คำนำ
การจัดเรียงการสอน ในประกาศนียบัตรวิชาชีพ
(ปวช.) สาขาวิชาศิลปกรรมสังกัดสำนักงานคณะ
กรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มี
รายวิชาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีการใช้สี ทั้งใน
สาขางานวิจิตรศิลป์ การออกแบบ และคอมพิ วเตอร์
กราฟิ ก ปัญหาร่วมกันอย่างหนึ่งที่นักเรียนนักศึกษา
ระดับนี คื อเรื่องการใช้สี ผู้เขียนมีความเชื่อว่าในการ
สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์นั้น จำเป็ นต้องมีความรู้และ
เข้าใจในทฤษฎีก่อน เพื่ อเป็ นแนวทางไปสู่การปฏิบัติ
งานที่ดี ทำให้ผู้เขียนได้ตระหนักถึงปัญหาต่างๆ เหล่า
นี้ จึงได้เขียนหนังสือทฤษฎีเล่มนี้ขึ้นมาเพื่ อเป็ น
เอกสารประกอบการสอนในเรื่องทฤษฎีสี ซึ่งเนื้อหา
ภายในประกอบด้วยความรู้ในเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ
ผนวกกับความรู้ในเชิงวิเคราะห์ ทั้งนี้ผู้เขียนได้
รวบรวมเนื้อหานอกเหนือจากหลักสูตร (ปวช.) ตลอด
จนตัวอย่างภาพประกอบที่เป็ นภาพสีทั้งเล่มเพื่ อมุ่ง
หวังให้ผู้เรียนได้เกิดความรู้ความเข้าใจและการนำไป
ใช้ในงานทัศนศิ ลป์ อย่ างสร้างสรรค์ตลอดจนเอื้อ
ประโยชน์ต่อผู้อ่านและผู้สนใจในเชิงวิชาการขอกราบ
ขอบพระคุ ณศาสตราจารย์อารีสุ ทธิพันธุ์ครูผู้ปลู ก
และปลุ กความคิ ดในการเขี ยนอย่ างสร้างสรรค์ขอก
ราบขอบพระคุณศาสตราจารย์ดร. วิรุ ณ ตั้งเจริญ
ครูผู้กระตุ้นสมองทั้งสองซีกให้ทำงานร่วมกันเกิดเป็ น
ผลงานวิชาการทางศิ ลปะความดี ของหนังสื อเล่ มนี้
ขอมอบแด่บูรพาจารย์ทั้งในสถาบันและนอกสถาบัน
การศึกษาที่ทำให้ผู้เขียนได้รับทั้งภูมิรู้ภูมิธรรมและ
ภูมิคุ้มกันในการดำเนินชีวิต
สารบัญ
บทที่ 1 ในประวัติศาสตร์ศิลป์
สี ในสมัยอียิ ปต์โบราณ
สี ในสมัยกรีกโบราณ
สี ในสมัยโรมันโบราณ
สี ในสมัยยุ คต้นของคริสเตี ยน
สี ในสมัยเรอนาส์ซองค์
สี โมสมัยบาโรก-โรโกโก
สีในสมัยฟื้ น
ฟู คลาสสิก
สีโนลัทธิอิมเพ
รสชันนิสม์
สี ในลัทธิหลังอิมเพรสชันนิ สม์
บทที่ 2 ความหมายของสี
ความหมายของการมองเห็ นแสง
องค์ประกอบหลักของการมองเห็ น
แสง
คุ ณสมบัติ ของสี น้ำหนักสี
ความเข้มของสี
ความสว่างไสว
ข้อความในย่ อหน้าของคุ ณ
บทที่ 3 ทฤษฎีแม่สี
ทฤษฎีแม่ชีวัตถุธาตุ
แม่สี ของนักจิตวิทยา
จิตวิทยากับความรู้สึก
สี ในเชิงสัญลักษณ์
แม่สีของนักฟิ สิกส์
บทที่ 4 วรรณะของสี
วรรณะร้อน
วรรณะเย็ น
การประสานสี ต่ างวรรณะ
ค่าน้ำหนักของสี
ค่ าน้ำหนักของสี สี เดี ยว
ค่ าน้ำหนักของสี หลายสี
สี เอกรงค์
บทที่ 5 สีกลมกลืน
สี กลมกลื นสารบัญ
ความกลมกลืนตามทฤษฎีกของเราเล
ความกลมกลื นของสี ใกล้เคี ยง
ความกลมกลื นของสี ตรงข้าม
ความกลมกลื นของสี แยกตรงข้าม
ความกลมกลื นของสี สามเส้า
ความกลมกลื นของสี ค่ าอ่อนครอบคลุ ม
บทที่ 1
สีในประวัติศาสตร์ศิลป์
มนุษย์มีความแตกต่างจากสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมทั่ว ๆ ไป ในยุคดึกดำบรรพ์มนุษย์มีทั้ง
ความหวาดกลัว ตื่นเต้นและสงสัยในปรากฏการณ์ธรรมชาติรอบ ๆ ตัว พวกเขาพยายามที่จะเอาชนะ
ธรรมชาติและควบคุมธรรมชาติ เขารู้สึกว่าเขามีพลังอำนาจเหนือสิ่งต่าง ๆ พลังเร้นลับเกิดขึ้นได้จาก
รูปหรือภาพต่าง ๆ ด้วยมือของเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพบนผนังถ้ำที่เขาอาศัยการปั้ นดิน
เหนียวและการแกะสลักลงไปบนกระดูกหรือก้อนหิน
1.สีในสมัยอียิปต์โบราณ Color in ancient Egypt)
การใช้สีในสมัยอียิปต์โบราณมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับศาสนา สีต่าง ๆที่ถูกนำมา
ใช้ได้ถูกกำหนดเป็นแบบแผนประเพณีนิยม การระบายสีมิได้เกี่ยวข้องกับแสงและเงา เป็นการระบาย
สีแบน ๆ ด้วยสีที่สดใสไม่ว่า
จะเป็นงานประติมากรรม
2.สีในสมัยกรีกโบราณ (Color in ancient Greece)
ศิ ลปกรรมของกรีกโบราณส่ วนใหญ่จะปรากฏทางด้านประติ มากรรมและสถาปั ตยกรรมอย่ างเด่ นชัด
แต่ผลงานด้านจิตรรรมกลับไปปรากฏในการตกแต่งบนผนังเครื่องปั้นดินเผาจำนวนมาก ซึ่งได้มี
อิทธิพลต่ อการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังแห่ งกรุงเอเธนส์
3.สีในสมัยโรมันโบราณ (Color in ancient Roman)
สถาปัตยกรรมอันใหญ่โตมโหฬาร ไม่ว่าจะเป็ นวิหาร พระราชวัง คฤหาสน์ ชาวโรมันล้วนนิยมเขียนภาพบนผนัง
ประดับโมเสก (Mosaics) เป็ นภาพผนังและประดับพื้นด้วยโมเสกอันสวยงาม
4.สีในสมัยยุคต้นของคริสเตียน (Color in early Christianity)
ศิลปะคริสเตียนแห่งบิแซนทีอุมมีการสร้างสรรค์โมเสกด้วยชิ้นแก้วมากกว่าหินสีหรือหินอ่อน ทำ
เป็ นภาพโมเสก เพื่ อชาวคริสเตียนและพวกนอกศาสนาที่ไม่รู้หนังสือ สร้างสรรค์ด้วยศรัทธาที่มีต่อคริสต์
ศาสนา
5.สีในสมัยเรอนาส์ซองส์ (Color in the Renaissance)
เมื่อผ่านมาถึงสมัยเรอนาส์ซองส์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ศิลปิ นเริ่มค้นพบแนวทางใหม่ในการสร้างสรรค์งานจิตกรรม โดยเฉพาะ
ความพยายามที่จะสร้างภาพจิตรกรรมแบบเหมือนจริงด้วยวิธีทัศนียภาพแสงและเงา
6.สีในสมัยบาโรก-โรโกโก (Color in Baroque-Rococo)
ในทศวรรษที่ 17 ศิลปิ นฮอลแลนด์ นิกายโปแตสแตนท์ได้ก้าวผ่านจิตรกรรมที่แสดงเนื้อหาสาระจากคัมภีร์ไบเบิ้ล เทพนิยายและ
ประวัติศาสตร์ ไปสู่จิตรกรรมบนขาหยั่ง ทั้งภาพทิวทัศน์ ภาพหุ่นนิ่ง ภาพเหมือน และภาพลักษณะอื่น ๆ
7.สีในสมัยฟื้ นฟู คลาสสิก (Color in the Classic Revival period)
การประฏิวัติในฝรั่งเศส ได้หวนกลับมารื้อฟื้ นอุดมการณ์ของกรีกและโรมันโบราณ ไม่ว่าจะเป็ นเสรีภาพในการพู ด สิทธิ
มนุษชน สิทธิในการออกเสียง การปกครองแบบสาธารณรัฐสภา และสภาประชาชน
8.สีในลัทธิอิมเพรสชันนิสม์ (Color in Impressionism)
ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในขณะที่สมัยรื้อฟื้ นคลาสสิก (Classic Reviral Period) หรือสมัยคลาสสิกใหม่
(Neoclassic) ยังมีบทบาทอยู่ในฝรั่งเศส จอห์น คอนสเตเบิล (John Constable) และวิลเลียม เทอเนอร์ (Joseph Mallord
William Turner) ศิลปิ นชาวอังกฤษผู้หลงใหลและรักอากาศที่สดชื่นและชอบออกไปเขียนภาพนอกสถานที่เขียนภาพ
ธรรมชาติ และสิ่ งแวดล้อมเบื้องหน้าสร้างสรรค์บรรยากาศด้วยการใช้สี สัน
9.สีในลัทธิหลังอิมเพรสชันนิสม์ (Color in Post Impression)
ศิลปิ นยุคหลังอิมเพรชชันนิสม์มีการแสดงออกที่ต่อต้านลัทธิอิมเพรชชั่นนิสม์ ซึ่ง ปอล เซซาน (Paul Cezanne) ไม่พึ งพอใจกับการระบายสีอย่างฉับพลัน
(Spontaneous Painting) ความไม่ชัดเจนของรูปทรงที่มีลักษณะการป้ายสีแบบหยาบ ๆ ทำให้ภาพขากอารมณ์และความรู้สึก
บทที่ 2
ความหมายของสี
ธรรมชาติก่อกำเนิดสีสันอันงดงาม ไม่ว่าจะเป็ นสีของท้องฟ้ า ภูเขา ต้นไม้ ดอกไม้ แมลง อัญมณี หรือแม้แต่สีที่เกิดจากปรากฏการณ์
ต่างๆ เช่น สีจากเปลวไฟ สีจากรุ้งกินน้ำ
1.ความหมายของสี
สี คือลักษณะความเข้มของแสงที่ปรากฏแก่สายตาให้เห็นเป็ นสี โดยผ่านกระบวนการรับรู้ด้วยตามองจะรับข้อมูลจากตา
สี คือการรับรู้ความถี่ (หรือความยาวคลื่น) ของแสง ในทำนองเดียวกันกับที่ระดับเสียง(หรือโน้ตดนตรี) คือการรับรู้ความถี่หรือ
ความยาวคลื่ นของเสี ยง
2.การมองเห็ นแสงสี
การมองเห็นของมนุษย์เป็ นการรับรู้เบื้องต้นเกียวกับสิ่งต่าง ๆ โดยมีกระบวนการเป็ นลำดับดังนี้ คือ เมื่อแสงผ่าน
ลงมากระทบวัตถุ ตาของเรามองเห็นวัตถุและแสง ข้อมูลต่าง ๆ จะผ่านเข้าสู่สมอง สมองจะสร้างภาพขึ้น ก่อให้เกิดการ
มองเห็ น
3.องค์ประกอบหลักของการมองเห็ น
ความชัดเจนแม่นยำของการมองเห็น (Visual Acuity) ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลัก 4 ตัว คือ
1.ขนาดของวัตถุ (Size) เป็ นขนาดที่ตกกระทบบนเรตินา
2.ความสว่าง (Luminance) ขึ้นอยู่กับปริมาณแสงที่ตกกระทบพื้นผิวใด ๆ แล้วสะท้อนเข้าสู่ตาเราใน
ปรมาณที่เหมาะสม
3.ความแตกต่างของสีวัตถุกับพื้นผิวโดยรอบ (Comtrast)
4.เวลา (Time) เวลาที่ใช้มองต้องมากพอที่จะระบุรายละเอียดของวัตถุนั้น ๆ ได้
4.แสง (Light)
แสงเป็ นจุดเริ่มต้นของการมองเห็นมีความสำคัญต่องานทัศนศิลป์ เพราะถ้า
ปราศจากแสงก็จะไม่เห็นภาพใด ๆ และถ้าไม่เห็นภาพ ก็ไม่มีศิลปะที่มองเห็นได้ (Visual Art)
ผลของแสง จะทำให้มนุษย์รับรู้สิ่งต่าง ๆ
แสง เป็ นพลังงานรังสี (Radiation Energy) ที่ตารับรู้และมีปฏิกิริยาตอบสนอง ด้วย
กระบวนการวิเคราะห์แยกแยะของสมองตา
แหล่งกำเนิดแสง แบ่งเป็ น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
1.แสงธรรมชาติ
2.แสงประดิษฐ์
5.คุณสมบัติของสี
ทฤษฎีสีหลายทฤฎี ได้แยกคุณสมบัติของสี (color property) ไว้ 3 คุณสมบัติ คือ สี
แท้
(Hue) น้ำหนักสี (Value) และความเข้มของสี (Intensity)
5.1 สีแท้ (Hue) หมายถึง สีเด่นหรือสีบริสุทธิ์ สีใดสีหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติที่แสดง
ลักษณะของตัวมันว่าเป็ นสีอะไร
สีแท้มีอยู่ 12 สี คือ
สีขั้นที่ 1 (Primary Colors) หรือ แม่สี เหลือง แดง น้ำเงิน
สีขั้นที่ 2 (Secondary Colors) ส้ม เขียว ม่วง
สีขั้นที่ 3 (Intermediate Colors) ส้มเหลือง ส้มแดง เขียวน้ำเงิน ม่วงแดง ม่วงน้ำเงิน
5.2 ค่าน้ำหนักสี (Value of color) หมายถึง สีซึ่งสัมพันธ์กับความเบา-หนัก หรือ
อ่อน-แก่ ของสีใดสีหนึ่ง น้ำหนักสีมีความสัมพันธ์กับระดับสีเทา (gray scale) โดยไล่น้ำหนัก
จากสี ขาวไปสู่ สี ดำหลายน้ำหนัก
5.3 ความเข้มของสี (Intensity) หมายถึง ความสดใส สีทุกสีจะมีความเข้มสูงสุดเมื่อ
เป็ นสีแท้และเมื่อสีแท้ถูกเปลี่ยนน้ำหนัก
สีทุกสีสามารถลดความเข้มได้ถึง 3 วิธี คือ
ผสมขาว เพื่ อลดความเข้มโดยให้มีน้ำหนักไปในทางสีขาว สีที่ผสมขาว เรียกว่า สี
อ่อน (Tint)
ผสมเทา เพื่ อลดความเข้มโดยให้มีน้ำหนักกลาง ๆ เรียกว่า สีจาง หรือสีโทน
(Tone)
ผสมดำ เพื่ อลดความเข้มโดยให้มีน้ำหนักไปทางสีดำ เรียกว่า สีคล้ำ (Shade)
5.4 ความสว่างไสว (Brilliant) นอกจากนี้ยังมีคำที่คล้ายคลึงอีกคำหนึ่งคือ ความ
สว่างไสว (Brilliant) ใช้เรียกความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อใช้สีใดสีหนึ่ง โดยให้ถูกล้อมรอบด้วยอีก
สี หนึ่ ง
บทที่ 3
ทฤษฎีแม่สี (Theory of Primaries color)
ต้นคริสต์0ศตวรรษที่ 19 เป็ นต้นมา ทฤษฎี หรือ วงสี ที่มีสีพื้นฐาน 3 สี เป็ น
หลัก คือ สีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในยุโรป ทั้งรัก
วิทยาศาสตร์ ศิลปิ น หรือ นักปรัชญามีบทบาทในการนำเสนอทฤษฎีเป็ นอย่างมาก
1.ทฤษฎีแม่สีวัตถุธาตุ (Pigmenttary Primaries)
ทฤษฎีแม่สีวัตถุธาตุ หรือทฤษฎีสีของช่างเขียน (Artist) ไม่ได้มีความ
เกี่ยวข้องกับเรื่องของลำแสงแต่อย่างใด แต่เกี่ยวเนื่องกับการดูดกลืนและสะท้อนแสง
ของวัตถุต่างๆ
สีขั้นต้น เมื่อมีการผสมของรงควัตถุหรือวัตถุมีสี จะเกิดการรวมกันของสีที่จะ
ถูกดูดกลืนไว้ทำให้ปริมาณแสงที่จะสะท้อนออกมาลดลง จึงเป็ นที่มาของชื่อ สีแบบลบ
(Subtractive Color) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แม่สีวัตถุธาตุ (Pigmentary color)
โดยหลักการแล้ว สีแดง เหลือง น้ำเงิน ตามทฤษฎีแม่สีวัตถุธาตุนั้น หมาย
ถึง เนื้อสี (pigment) หรือแม่สีของนักเคมี เป็ นสีที่ผลิตขึ้นใช้ในวงการอุตสาหกรรม
ความสำคัญของสีทั้ง 3 ก็คือ เมื่อผสมกันแล้ว (โดยวิธีสลับคู่) จะเกิดเป็ นสีขั้นที่ 2 และ
ขั้นที่ 3 ขึ้น ดังนี้
แม่สีขั้นที่ 1 (Primary Colors) ได้แก่
น้ำเงิน (Blue) ชื่อเฉพาะ Pussaim Blue
เหลือง (Yellow) ชื่อเฉพาะ Gamboge Tint
แดง (Red) ชื่อเพาะ Grimson Lake
เมื่อนำแม่สีแต่ละสีมาผสมกันในอัตราส่วนเท่า ๆ กัน ทีละคู่ จะเกิดเป็ นสีใหม่
เรียกว่า สีขั้นที่ 2 (Secondary Color) ได้แก่
น้ำเงิน + เหลือง = เขียว (Green)
แดง + เหลือง = ส้ม (Orange)
น้ำเงิน + แดง = ม่วง (Violet)
เมื่อนำสีขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 มาผสมกัน ในปริมาณที่เท่า ๆ กัน จะได้เป็ นสีใหม่
เรียกว่า สีขั้นที่ 3 (Tertiary Color) ได้แก่
เขียว + น้ำเงิน = เขียวน้ำเงิน (เขียวแก่)
เขียว + เหลือง = เขียวเหลือง(เขียวอ่อน)
ส้ม + แดง = ส้มแดง (แสด)
ส้ม + เหลือง = ส้มเหลือง (ส้มอ่อน
ม่วง + แดง = ม่วงแดง
ม่วง + น้ำเงิน = ม่วงน้ำเงิน (คราม)
2.แม่สีของนักจิตวิทยา (Psychological Color)
แม่สีจิตวิทยา เป็ นสีในกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึก และมีผลต่อจิตใจของมนุษย์ กล่าวคือสีที่เราพบเห็นจะสามารถโน้มน้าวชวนให้รู้สึกตื่นเต้น โศกเศร้า
นักจิตวิทยาศึกษาถึงอิทธิพลของสีที่มีต่อความรู้สึกและพฤติกรรมของมนุษย์ โดยกำหนดให้แม่สี 4 สี คือ เหลือง แดง น้ำเงิน เขียว สีทั้งสี่ที่นักจิตวิทยาถือว่ามีอิทธิพลต่อความรู้สึกของมนุยษ์มาก
2.1 นักจิตวิทยาสีกับความรู้สึก
ในด้านจิตวิทยา สี เป็ นตัวกระตุ้นความรู้สึกและมีผลต่อจิตใจของมนุษย์ สีต่าง ๆ จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราจึงมักใช้สีเพื่ อสื่อความรู้สึกและความหมายต่าง ๆ ได้แก่
สีแดงให้ความรู้สึกเร่าร้อน รุนแรง อันตราย ตื่นเต้น
สีเหลือง ให้ความรู้สึก สว่าง อบอุ่น แจ่มแจ้ง ร่าเริง ศรัทธา มั่งคั่ง
สีเขียว ให้ความรู้สึก สดใส สดชื่น เย็น ปลอดภัย สบายตา มุ่งหวัง
สีฟ้ า ให้ความรู้สึก ปลอดโปร่ง แจ่มใส กว้าง ปราดเปรื่อง
สีม่วง ให้ความรู้สึก หม่นหมอง ลึกลับ
สีขาว ให้ความรู้สึก บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ว่างเปล่า จืดชืด
สีน้ำเงิน ให้ความรู้สึก เงียบขรึม สงบสุข จริงจัง มีสมาธิ
สีชมพู ให้ความรู้สึก อ่อนหวาน เป็ นผู้หญิง ประณีต ร่าเริง
2.2สี ในเชิงลักษณ์
สีแดง มีความอบอุ่น ร้อนแรง เปรียบดังดวงอาทิตย์ นอกจากนี้ยังแสดงถึง ความมีชีวิตชีวา ความรัก ความปรารถนา
สีเขียว แสดงถึงธรรมชาติ สีเขียวร่มเย็นมักใช้สื่อความหมายเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม การเกษตร การเพาะปลูก การเกิดใหม่
สีเหลือง แสดงถึงความสดใส ความเบิกบาน โดยเรามักจะใช้ดอกไม้สีเหลืองในการไปเยี่ยมผู้ป่ วยและแสดงความรุ่งเรือง ความมั่งคั่ง และฐานันดรศักดิ์
สีน้ำเงิน แสดงถึงความเป็ นสุภาพบุรุษ มีความสุขุม หนักแน่น และยังหมายถึง ความสูงศักดิ์ในธงชาติไทย สีน้ำเงินหมายถึงพระมหากษัตริย์ ในศาสนาคริสต์เป็ นสีประจำแม่พระ
สีม่วง แสดงถึงพลัง ความมีอำนาจ ในสมัยอียิปต์สีม่วงแดงเป็ นสีของกษัตริย์ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยโรมัน นอกจากนี้ สีม่วงแดงยังเป็ นสีชุดของพระสังฆราช สีม่วงเป็ นสีที่มีพลังหรือการมีพลังแอบแฝงอยู่
สีฟ้ า แสดงถึงความสว่าง ความปลอดโปร่ง เปรียบเหมือนท้องฟ้ า เป็ นอิสรเสรี เป็ นสีขององค์การสหประชาชาติ เป็ นสีของความสะอาด ปลอดภัย สีขององค์การอาหารและยา (อย.) แสดงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
สีทอง มักใช้แสดงถึงคุณค่า ราคา สิ่งของหายาก ความสำคัญ ความสูงส่งสูงศักดิ์ความศรัทธาสูงสุด ในศาสนาพุ ทธ หรือเป็ นสีกานของพระพุ ทธรูป
สีดำ แสดงถึงความมืด ความลึกลับ สิ้นหวัง ความตายเป็ นที่สิ้นสุดของทุกสิ่ง โดยที่สีทุกสีเมื่ออยู่ในความมืด จะเห็นเป็ นสีดำ นอกจากนี้ยังหมายถึง ความชั่วร้าย
สีชมพู แสดงถึงความอบอุ่น อ่อนโยน ความอ่อนหวาน นุ่มนวล ความน่ารัก แสดงถึงความรักของมนุษย์โดยเฉพาะรุ่นหนุ่มสาว เป็ นสีของความเอื้ออาทร ปลอบประโลม
3.แม่สีของนักฟิ สิกส์ (Spectrum Primaries)
แม่สีของนักฟิ สิกส์หรือแม่สีของแสง ศึกษาถึงคุณสมบัติของสีในด้สนความเข้ม (ความมืด-ความสว่าง) โดยมุ่ง
ค้นคว้าทดลองเรื่องแสงสีต่าง ๆ ชึ่งมีประโยชน์มากต่อการจัดฉาก เวที งานโฆษณา ตู้โชว์ หรืองานอื่น ๆ ที่ต้องมีแสงเป็ น
ส่วนประกอบ ทฤษฎีนี้มีแม่สี 3 สี คือ แดง เขียว น้ำเงิน
บทที่ 4
วรรณะของสี (Tones)
วรรณะของสี หมายถึง สภาพของสีส่วนรวมที่ให้คว
มรู้สึกไม่ขัดกับสยตาจากวงสีธรรมชาติเสามถแบ่งสีออกเป็ น
สองวณะ ดังนี้
1.วรรณะร้อน (Warm tones) หมายถึง กลุ่มสีที่ให้
ความรู้สึกร้อนหรืออุ่น ประกอบด้วย สีเหลือง ส้ม-เหลือง ส้ม
ส้ม-แดง แดง และม่วง-แดง สีฝ่ าย้อนอาจจะไม่ใช่สีสด ๆ ดัง
เห็ นในวงจสี เสมอไป
2.วรรณะเย็น (Cool tones) หมายถึง กลุ่มสีที่ให้วาม
รู้สึกเยือกเย็น สงบ เรียบ ประกอบด้วย สีเขียว-เหลือง เขียว
เขียวน้ำเงิน น้ำเงิน-ม่วง และม่วง เรียกว่า วรณะเย็น (Cool
tones) สีฝ่ ายเย็นก็เช่นเดียวกัน ถ้าสีใดมีอิทธิพลหนักไปทาง
สีน้ำเงินหรือสีเขียว เช่น สีเทา สีดำ ก็ถือว่าเป็ นฝ่ ายสีเย็น
ในการระบายสี เมื่อนำสีตั้งแต่ 3 4 5 หรือ 6 สีขึ้นไปมใช้
อย่างอิสระและสามรถให้เกิดการประสานกลมกลืนกันเป็ น
อย่างดี เมื่อเกิดควมชำนาญจะเห็นได้ว่า วรณะของสีจะเข้ามมี
บทบาทในภาพเขี ยนอยู่ เสมอ
3.กาประสานสีต่างวรรณะ สีทุกสีสามรถทำให้ดูอบอุ่น
ขึ้นด้วยการผสมสีแดง สีส้มหรือสีเหลือง ถ้าจำทำให้สีเย็นลงให้
ใช้สีขาว สีฟ้ า สีน้ำเงิน หรือสีเขียว เข้าไปผสมสีต่าง ๆ ที่ถูก
ผสมก็จะรู้สึกเย็นลง สีวรรณะร้อนมีแนวโน้มที่จะอยู่ข้างหน้า
ของภาพ
การประสานสีต่างวรรณะคือ การนำสีวรรณะร้อนและ
สีวรรณะเย็นมระบายผสานกันในภาพเดียวกัน ถ้าปริมาณสี
ของวรรณะร้อนมีประมณ 70% และปริมาณของสีวรรณะเย็นมี
ประมาณ 30 % ภาพนั้นจะเป็ นภาพวรรณะร้อน (Warm
tones)
4.ค่าน้ำหนักของสี (value of color) ค่าน้ำหนักของสี หมายถึงผลความแตกต่างของสีใดสีหนึ่งหรือค่าความสัมพันธ์ของ
ความสว่าง (Brightness) และความมืด (Darkness) เป็ นปริมาณของแสงที่สะท้อนออกมาจกสีนั้น ๆ สีขาวเป็ นสีที่สะท้อน
แสงได้ดที่สุด เมื่อผสมสีดำลงไปทีละนิดแสงที่สะท้อนก็จะน้อยลงตามลำดับ
ลักษณะค่าน้ำหนักของสี สามารถแบ่งออกได้ 2 ลักษณะ
1.ค่าน้ำหนักของสีสีเดียว คือ การใช้สีเพี ยงสีเดียวมาทำให้เกิดค่าความอ่อน-แก่ ให้มีค่าต่างกันโดยการผสมสีขาว
หรือผสมสีดำ ทำให้เกิดค่าระดับความอ่อนแก่ของสีเพิ่ มขึ้นเป็ นจำนวนมาก
2.ค่าน้ำหนักของสีหลายสี คือ ค่าความอ่อนแก่ของสีต่าง ๆ ในวงสี โดยเรียงลำดับจากอ่อนไปแก่
5.สีเอกรงค์ (Monochrome) คือการใช้สีแท้สีใดเพี ยงสีเดียว ที่แสดงความเด่นชัดออกมาเป็ นสีหลักสำหรับการ
เขียนภาพ ส่วนสีที่จะนำมาประกอบภายในภาพจะต้องผสมกับสีหลักทุกครั้งก่อนที่จะระบาย ข้อสำคัญคือ สีที่นำมา
ประกอบจะต้องไม่เกิน 5 สี
บทที่ 5
สีกลมกลืน (Analogous Color)
1.สีกลมกลืน (Analogous Color) หมายถึง สีที่มีค่าน้ำหนักความอ่อนเข้มใกล้เคียงกันในวงล้อสีหรือสีที่อยู่ข้างเคียง ตาม
หลักของการประสานสีอย่างง่าย ๆ นี้ให้ใช้สีเรียงตามลำดับในวงจรสีตั้งแต่ 2 สีขึ้นไป อาจจะเป็ น 3-4-5-6 สีก็ได้
1.1 กลมกลืนด้วยค่าของน้ำหนักของสี ๆ เดียว (Total Value Harmony) คือการใช้สีเพี ยงสีเดียว แต่มีค่าหลาย
น้ำหนัก หรือเป็ นแบบเดียวกับสีเอกรงค์อาจใช้การผสมสีขาวให้น้ำหนักอ่อนลง และผสมดำให้น้ำหนักเข้มขึ้น
1.2 กลมกลืนโดยใช้สีใกล้เคียง (Symple Harmony) เป็ นการใช้สีข้างเคียงกันในวงจรสีซึ่งมีลักษณะสีใกล้เคียงกัน
เช่น ม่วง-ม่วงน้ำเงิน-น้ำเงิน หรือ เขียวเหลือง-เขียว-เขียวน้ำเงิน
1.3 กลมกลืนโดยใช้สีคู่ผสม (Two Colors Mixing) หมายถึง สีคู่ใดคู่หนึ่งที่ผสมกันแล้วได้สีที่ 3 เช่น สีน้ำเงินผสม
กับสีเหลืองได้สีเขียว แล้วนำทั้ง 3 สี มาใช้ในงานเดียวกัน
1.4 กลมกลืนโดยใช้วรรณะของสี (Tone) หมายถึง นำสีในกลุ่มวรรณะเดียวกันมจัดอยู่ด้วยกัน เช่น สีในวรรณะ
ร้อน เช่น เหลือง เหลือง-ส้ม ส้ม หรือสีในวรรณะเย็น ได้แก่ ม่วง-*ม่วงน้ำเงิน น้ำเงิน เขียว-น้ำเงิน เป็ นต้น
2.ความกลมกลื นตามทฤฎี สี ของเชฟเริล
เชฟเริลได้ค้นพบหลักความกลมกลืนของสี และได้เสนอกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ไว้ เขากล่าวว่าสีแต่ละสีมี
ความสวยงามเฉพาะของตัวมันเอง ความกลมกลืนจะเกิดความแตกต่างในค่ของสี (Tone) จากสีเดียวกัน
หลักการความกลมกลืนของสีเชฟเริล มีหลักการดังนี้
1.ความกลมกลืนของสีใกล้เคียง (Adjacent Colors)
2.ความกลมกลืนของสีตรงข้าม (Opposite Colors)
3.ความกลมกลืนของสีแยกตรงข้าม (Split-Complement)
4.ความกลมกลืนของสีสามเส้า (Triads)
5.ความกลมกลืนของสีค่าอ่อนครอบคลุม (Dominant Tint) (วิรุณ ตั้งเจริญ. 2535:48)
2.1 ความกลมกลืนของสีใกล้เคียง
เราสามารถมองเห็ นสี ได้อย่ างดี ก็ ต่ อเมื่อสี ทั้งหลายมีความสมันพันธ์ใกล้เคี ยงคล้ายคลึ งกันสี คล้ายกัน
แสดงคุณภาพของอารมณ์ (Emotional Quality) ไม่ว่าจะเป็ นกลุ่มสีเย็นหรือสีร้อน เมื่อมีการจัดวางอย่าง
เหมาะสม สีใกล้เคียงหรือสีคล้ายกันคือสีที่สัมพันธ์กันในวงสี ซึ่งพบได้ในธรรมชาติไม่ว่าจะเป็ นสีรุ้งที่ไล่จาก
แดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน ม่วง
แผนสีกลมกลืน (Analogous Color Schemes) จะปรากฎการณ์ได้ดีเมื่อมีสีแท้เป็ นกุญแจสำคัญ ไม่ว่า
จะเป็ นสีขั้นที่หนึ่งหรือขั้นที่สองในวงสี
สี แดงกับสี แดงม่วงและสี แดงส้ม
สี ส้มกับสี แดงส้มและสี เหลื องส้ม
สี เหลื องกับสี เหลื องส้มและสี เหลื องเขียว
2.2 ความกลมกลืนของสีตรงข้าม
ถ้าเราสังเกตจากธรรมชาติ จะเห็ นว่าดอกไม้สี ม่วงจะมีเกสรเหลื องอยู่ บริเวณกลางดอกนกหรือผี เสื้อน้ำเงิ นมักจะมี
จุดสีส้มร่วมอยู่ด้วย จกหลักการตัดกันตมปรากฎการณ์ของเชฟเริลสีตรงข้ามหรือสีตัดกันต่างก็ผลักดันสีส้มให้เด่นชัด
สีตัดกันจกวงสีแดง เหลือง น้ำเงิน คือ
สีแดง ตรงข้ามกับ สีเขียว สีแดงส้ม ตรงข้ามกับ สีน้ำเงินเขียว
สีส้ม ตรงข้ามกับ สีน้ำเงิน สีเหลืองส้ม ตรงข้ามกับ สีน้ำเงินม่วง
สีเหลือง ตรงข้ามกับ สีม่วง สีเหลืองเขียว ตรงข้ามกับ สีแดงม่วง
2.3 ความกลมกลืนของสีแยกตรงข้าม
ความกลมกลืนของสีแยกตรงข้ามหรือสีคู่ประกอบตรงข้าม (Split-Complements) เป็ นความกลมกลืนของสีตรง
ข้ามในวงสีอีกลักษณะหนึ่ง คือ การใช้สีหลัก (Key Color) และสีด้สนข้างสองด้สนของสีตรงข้ามนำมาใช้รร่วมกัน
2.4 ความกลมกลืนของสีสามเส้า
ความกลมกลืนของสีสามเส้า (Triads) เป็ นกรบูรณาการสีตัดกัน 3 สีในวงสี โดยยึดสีขั้นที่หนึ่ง (Primary color) สี
ขั้นที่สอง (Secondary color) และสีระหว่างกลง (Intermediate color) เป็ นหลัก
สี ขั้นที่ หนึ่ ง สีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน
สี ขั้นที่ สอง สีส้ม สีเขียว สีม่วง
สี ระหว่างกลาง สีแดงส้ม สีเหลืองเขียว สีน้ำเงินม่วง
สี ระหว่างกลาง สีเหลืองส้ม สีน้ำเงินเขียว สีแดงม่วง
2.5 ความกลมกลืนของส่าอ่อนครอบคลุม
ความกลมกลืนของสีค่าอ่อนครอบคลุม (Dominant tint) คือ แผนสีตัดกันหรือสีตรงข้ามที่มีสีค่าอ่อน (tint)
ทั้งหมด สีค่าอ่อนที่นี้ เชฟเริล หมายถึง ทั้งสีแท้ที่มีค่าสีอ่อน (hued tint) และสีแท้ที่แปรคู่เป็ นสีค่าอ่อน
ในการบูรณาการสีเข้าไว้ด้วยกัน สีแท้ซึ่งมีค่าของสีสว่าง (Dight in value) ไม่ว่าจะสีเหลือง สีส้ม สีเหลืองส้ม สี
เขียว สีเหลืองเขียว สีเหล่านี้สามารถแปค่าเป็ นสีอ่อนได้อย่างดียิ่ง
ถ้าเราแบ่งวงจรสีด้สนสีอุ่นออกเป็ น 4 ระดับ และแปรคู่สีสว่างให้มีค่าอ่อน และแปรค่าสีมืดให้มีค่าคล้ำเราก็จะได้สีเหลือง
อ่อน (pale yellow) สีส้มอ่อน (+pale orange or peach) สีแดงเข้ม (deep red or crimson) และสีม่วงเข้า (deep violet) ซึ่ง
เป็ นสีที่สามารถใช้ร่วมกันอย่างงดงาม