The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

จ้างแรงงาน จ้างทำของ ประนีประนอมยอมความ 422

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Auraiwan Ketsuwan, 2024-03-01 12:37:23

จ้างแรงงาน จ้างทำของ ประนีประนอมยอมความ 422

จ้างแรงงาน จ้างทำของ ประนีประนอมยอมความ 422

สัญญาจ้างแรงงาน สัญญาจ้างทำของ สัญญาประนีประนอม ยอมความ รายวิชากฎหมายสัญญาทางพาณิชย์และธุรกิจ 0801235


หน้า 1 จาก 28 คำนำ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) เล่มนี้จัดทำเพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบข้อมูล เกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงาน สัญญาจ้างทำของ และสัญญาประนีประนอมยอมความ ผู้จัดทำหวังว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้ (e-book) เล่มนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับ คนที่สนใจในเรื่องสัญญาจ้างแรงงาน สัญญาจ้างทำของ และสัญญาประนีประนอม ยอมความ ภายใต้ประโยชน์จากหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้ไม่มากก็น้อย ผู้จัดทำ นางสาวอุไรวรรณ เกตสุวรรณ


หน้า 2 จาก 28 สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำและสารบัญ 1-2 สัญญาจ้างแรงงาน 3 ความหมายของสัญญาจ้างแรงงานและลักษณะสำคัญของสัญญาจ้างแรงงาน 4 สิทธิและหน้าที่ของนายจ้าง - ลูกจ้าง 7 ความระงับแห่งสัญญาจ้างแรงงาน 12 อายุความ 13 สัญญาจ้างทำของ 14 ความหมายของสัญญาจ้างทำของและลักษณะสำคัญของสัญญาจ้างทำของ 15 ข้อแตกต่างของสัญญาจ้างแรงงานและสัญญาจ้างทำของและสัญญาซื้อขาย 16 หน้าที่และความรับผิดของผู้รับจ้าง - ผู้ว่าจ้าง 17 ความระงับแห่งสัญญาจ้างทำของ 20 อายุความ 21 สัญญาประนีประนอมยอมความ 22 ความหมายของสัญญาและลักษณะสำคัญของสัญญาประนีประนอมยอมความ 23 แบบของสัญญาและประเภทของสัญญาประนีประนอมยอมความ 24 ความสมบูรณ์และผลของสัญญาประนีประนอมยอมความ 25 อายุความ 27 บรรณานุกรม 28


หน้า 3 จาก 28 สัญญาจ้างแรงงาน ข้อความทั่วไป ในแวดวงธุรกิจและอุตสาหกรรมย่อมมีความต้องการใช้แรงงาน ดังนั้น บุคคลจึงจัดว่าเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มี ความสำคัญในการขับเคลื่อนในทางเศรษฐกิจที่มีความสำคัญต่อสังคมและประเทศชาติเป็นอย่างมาก การจ้าง แรงงานบุคคลในระดับต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร ผู้จัดการตลอดจนถึงบุคคลผู้ใช้แรงงานเข้ามาทำงาน จึงเป็น เรื่องที่บุคคลผู้เป็นนายจ้างจะต้องมีความตระหนักหรือคำนึงถึงบุคลากรที่มีส่วนขับเคลื่อนในองค์กรธุรกิจและ อุตสาหกรรมให้ประสบความสำเร็จบุคคลที่เป็นลูกจ้างจึงจะมีความก้าวหน้าต่อหน้าที่การงานและยั่งยืนตลอดไป กฎหมายเกี่ยวกับแรงงานที่มีความเกี่ยวข้องต่อลูกจ้าง ได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งมีบทบัญญัติใน บรรพ ๓ เอกเทศสัญญา ลักษณะ ๖ จ้างแรงงาน กำหนดถึงลักษณะของการจ้างแรงงาน สิทธิและหน้าที่ของ นายจ้างและลูกจ้าง รวมตลอดถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างหรือการเลิกสัญญาจ้าง ดังนั้น สัญญาจ้างแรงงานเป็นสัญญา ที่ใช้กันมากในแวดวงธุรกิจและอุดสาหกรรม เพราะว่ามีความเกี่ยวข้องกับลูกจ้างซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของ ประเทศ กล่าวคือ ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างย่อมจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการร่วมมือร่วมใจ ในการจรรโลงให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล การตกลงกันและมีนิติสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างทีทั้ง สองฝ่ายปฏิบัติต่อกันตามที่ผูกพันตามสัญญาและกฎหมายที่กำหนดขึ้นมา กล่าวคือ สัญญาจ้างแรงงานเป็นสัญญา ที่เกิดขึ้นจากการแสดงเจตนาของคู่สัญญา โดยมีคำเสนอและคำสนองสอดคล้องต้องกัน มีสาระสำคัญตรงตาม เจตนาระหว่างกันของนายจ้างและลูกจ้าง ดังนั้น บุคคลที่เป็นลูกจ้างทำงานให้แก่บุคคลที่เป็นนายจ้าง และนายจ้าง ตกลงรับลูกจ้างเข้ารับการทำงาน ซึ่งจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างตลอดระยะเวลาที่ทำงานให้ การใช้กฎหมายแรงงานมีการขยายตัวมากยิ่งขึ้น อุตสาหกรรมก็มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดปัญหา เกี่ยวกับข้อพิพาททางแรงานระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง การเอารัดเอาเปรียบและการกดขี่ค่าแรงงานย่อมปรากฏ ขึ้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือสื่ออื่น ๆ ต่อมาได้มีการประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ กำหนดการให้ความคุ้มครองแรงงานแก่ลูกจ้างและการกำหนด ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง และจัดให้มีกองทุนเงินทดแทนเพื่อเป็นหลักประกันแก่ลูกจ้างว่าจะต้อง ได้รับเงินทดแทนในเมือประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย หรือถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงาน หลังจากนั้นได้มี พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ.๒๕๕๑ รวมตลอดถึงพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์มีสาระสำคัญเกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน สัมพันธ์พ.ศ. 2518 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มีสาระสำคัญ เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายพิจารณาคดีแรงงาน


หน้า 4 จาก 28 สัญญาจ้างแรงงาน – สัญญาจ้างทำของ สัญญาจ้างแรงงานและสัญญาจ้างทำของนั้น มีลักษณะที่คล้ายคลึงและแตกต่างกันบางประการ กล่าวคือ เป็น การจ้างให้บุคคลอื่นทำการงานให้ แต่ก็มีข้อแตกต่างสำคัญ คือ สัญญาจ้างแรงงานไม่ได้มุ่งถึงผลสำเร็จของงาน ส่วน สัญญาจ้างทำของดูที่ผลสำเร็จของงาน ดังนั้นความเกี่ยวพัน สิทธิหน้าที่ และความรับผิดต่างๆ ระหว่างกันและกับ บุคคลภายนอก จึงแตกต่างกันอย่างมากไปด้วย ความหมายของสัญญาจ้างแรงงาน สัญญาจ้างแรงงาน คือ สัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าลูกจ้าง ตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า นายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ลูกจ้างทำงานให้ (มาตรา 575) การจ้างแรงงานนี้ รวมถึงการใช้ความรู้ความสามารถด้วย เช่น การจ้างครูมาสอนหนังสือ จ้างเภสัชกรหรือที่ ปรึกษามาประจำร้านด้วย การจ้างแรงงานส่วนใหญ่จะใช้กฎหมายเกี่ยวกับแรงงานที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ส่วนสัญญาจ้างแรงงานตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นลักษณะการจ้างทั่ว ๆ ไป ไม่มีเวลา กะเกณฑ์การทำงานที่แน่นอน จำนวน คนไม่มาก เช่น การจ้างคนทำงานบ้าน จ้างคนมาช่วยขนของ บรรจุหีบห่อหรือถางหญ้าเป็นรายวัน โดยกำหนด หน้าที่และความสัมพันธ์โดยทั่ว ๆ ไประหว่างกัน ลักษณะสำคัญของสัญญาจ้างแรงงาน ลักษณะของสัญญาจ้างแรงงานมีดังนี้ 1) เป็นสัญญา 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกว่าลูกจ้าง อีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่านายจ้าง ลูกจ้าง คือบุคคลที่ตกลงจะทำงานให้นายจ้าง นายจ้าง คือบุคคลที่ตกลงจะให้สินจ้างแก่ลูกจ้างตลอดเวลาที่ลูกจ้างทำงานให้ 2) เป็นสัญญาต่างตอบแทน กล่าวคือทั้งลูกจ้างและนายจ้างก็มีหน้าที่จะต้องชำระแก่กันและกัน โดยลูกจ้าง ต้องทำงานให้แก่นายจ้าง และนายจ้างต้องจ่ายสินจ้างให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทน


หน้า 5 จาก 28 3) เป็นสัญญาไม่มีแบบ กฎหมายไม่ได้กำหนดแบบในการทำสัญญาจ้างแรงงานไว้ ดังนั้นนายจ้างและลูกจ้าง จึงอาจจะทำสัญญาจ้างแรงงานกันด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษรก็ได้ 4) ต้องมีสินจ้าง สินจ้างคือค่าจ้างซึ่งนายจ้างจะต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนในการที่ลูกจ้างทำงาน ให้แก่นายจ้าง สินจ้างนี้จะจ่ายกันเท่าใด จ่ายกันอย่างไร ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มิได้บัญญัติไว้ แต่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 90 บัญญัติให้นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง ไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุก 5) วัตถุประสงค์ของสัญญาจ้างแรงงาน สัญญาจ้างแรงงานมุ่งที่จะให้ลูกจ้างทำงานตามที่นายจ้างมอบหมาย เมื่อลูกจ้างได้ทำงานตามที่นายจ้างว่าจ้างหรือมอบหมายแล้ว งานนั้นจะสำเร็จหรือไม่ นายจ้างก็ต้องจ่าย สินจ้างให้แก่ลูกจ้างตลอดเวลาที่ลูกจ้างทำงานอยู่ซึ่งแตกต่างจากสัญญาจ้างทำของ ซี่งสัญญาจ้างทำของ ความสำคัญอยู่ที่ผลสำเร็จของงานที่จ้าง ข้อสังเกต สัญญาจ้างแรงงานอาจเป็นความตกลงในการทำงานที่ต้องใช้สติปัญญานอกจากแรงงานก็ได้ สินจ้างในสัญญาจ้างแรงงานอาจเป็นทรัพย์สินอื่นใด โดยไม่จำกัดเพียงแค่ในรูปเงินตราเท่านั้น และลูกจ้างในที่นี้ ไม่ได้หมายความรวมถึง ข้าราชการ และลูกจ้างของกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2564/2524 จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสองปลูกบ้านรายวัน เครื่องมือก่อสร้างเป็นของโจทก์ แต่วัสดุก่อสร้างเป็นของจำเลย ไม่ปรากฏว่าได้แบ่งงานทั้งหมด และตกลงกันให้ถือเอาผลสำเร็จของงานแต่ละงวด หรือถือเอาผลสำเร็จของงานทั้งหมดเป็นเงื่อนไขในการจ่ายค่าจ้าง สัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยเป็น สัญญาจ้างแรงงาน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3834/2524 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ขับรถยนต์รับจ้าง บรรทุก หิน ดิน ทราย อันเป็นการทำงานให้แก่จำเลยที่ 2 ภายใต้การบังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 โดยจะมีการจ่ายสินจ้างให้เป็น รายเที่ยว และกำหนดจ่ายสินจ้างเมื่อได้ทำงานเสร็จแล้วเป็นสัญญาจ้างแรงงาน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1371/2524 สัญญาจ้างเฝ้ารักษาไม้มีข้อความว่า ผู้รับจ้างยอมรับเฝ้ารักษาไม้ของ กลาง โดยคิดค่าจ้างเฝ้ารักษาเป็นรายเดือนตามจำนวนปริมาตรของไม้ ถ้าไม้ที่รับจ้างเฝ้ารักษาขาดหายหรือเป็น อันตราย ยอมให้ผู้จ้างปรับไหมตามชนิดและปริมาตรของไม้ที่สูญหายหรือเป็นอันตรายไป ในระหว่างที่ผู้รับจ้างเฝ้า ไม้ตามสัญญา ผู้จ้างอาจขนไม้ของกลางทั้งหมดหรือบางส่วนไปจากที่เดิมในเวลาใดก็ได้ ไม้ที่นำไปแล้วอันพ้นจาก ความรับผิดของผู้รับจ้างทำสัญญาเช่นนี้ต้องถือว่าย่อมเป็นสัญญาจ้างแรงงาน เพราะอำนาจการครอบครองไม้อยู่ แก่ผู้จ้าง ผู้รับจ้างเพียงแต่เฝ้ารักษามิให้ไม้สูญหายหรือเป็นอันตรายไป


หน้า 6 จาก 28 สิทธิและหน้าที่ของนายจ้าง ก.สิทธิของนายจ้าง 1.นายจ้างมีสิทธิที่จะให้ลูกจ้างทำงานให้แก่นายจ้างตามข้อตกลงในสัญญาจ้างแรงงานเนื่องจากสาระสำคัญ ของสัญญาจ้างแรงงาน คือ บุคคลคนหนึ่งเรียกว่าลูกจ้าง ตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่านายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้ ( ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 575 บัญญัติว่า "อันว่าจ้างแรงงานนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าลูกจ้าง ตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่านายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้) 2.นายจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงาน หากปรากฎว่ามีเหตุใดเหตุหนึ่งดังนี้ 2.1 ลูกจ้างจะให้บุคคลภายนอกทำงานแทนตนหาได้ไม่ เมื่อนายจ้างไม่ยินยอมด้วย ( ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 577 วรรคสอง บัญญัติว่า ลูกจ้างจะให้ภายนอกทำงานแทนตนก็ได้ เมื่อนายจ้าง ยินยอมพร้อมใจด้วย ) 2.2 ถ้าลูกจ้างรับรองโดยแสดงออกชัดหรือโดยปริยายว่าตนเป็นผู้มีฝีมือพิเศษ หากมาปรากฏว่าไร้ฝีมือ เช่นนั้น ( ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 578 บัญญัติว่า ถ้าลูกจ้างรับรองโดยแสดงออกชัดหรือโดย ปริยายว่าตนเป็นผู้มีฝีมือพิเศษ หากมาปรากฎว่าไร้ฝีมือเช่นนั้นไชร้ ท่านว่านายจ้างชอบที่จะบอกเลิกสัญญาเสียได้) 2.3 ถ้าลูกจ้างขาดงานโดยปราศจากเหตุอันสมควร ( ตามประประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 579 บัญญัติว่า การที่ลูกจ้างขาดงานไปโดยเหตุอันสมควร และชั่วระยะเวลาน้อยพอสมควรนั้น ท่านว่าไม่ทำให้ นายจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ) 2.4 ถ้าลูกจ้างจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้น เป็นอาจิณก็ดี ละทิ้งการงานไปเสียก็ดี กระทำความผิดอย่างร้ายแรงก็ดี หรือทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติ หน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตก็ดี ( ตามประประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 583 บัญญัติว่า ถ้าลูกจ้างจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็น อาจิณก็ดี ละทิ้งการงานไปเสียก็ดี กระทำความผิดอย่างร้ายแรงก็ดีหรือทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตก็ดี ท่านว่านายจ้างจะไล่ออกโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหม ทดแทนก็ได้)


หน้า 7 จาก 28 ข.หน้าที่ของนายจ้าง 1. นายจ้างต้องจ่ายสินจ้างให้แก่ลูกจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้ ตราบใดยังคงเป็นนายจ้างและลูกจ้าง สัญญา จ้างแรงงานมีผลใช้บังคับกันอยู่ ( ตามประประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 บัญญัติว่า อันว่าจ้าง แรงงานนั้น คือสัญญา ซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าลูกจ้าง ตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่านายจ้างและ นายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้) นอกจากนี้ถ้าตามพฤติการณ์ไม่อาจจะคาดหมายได้ว่างานนั้นจะพึงทำให้เปล่า กฎหมายย่อมถือเอาโดย ปริยายมีคำมั่นจะให้สินจ้าง ( ตามประประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 576 บัญญัติว่า ถ้าตาม พฤติการณ์ไม่อาจจะคาดหมายได้ว่างานนั้นจะพึงทำให้เปล่าไซร้ ท่านย่อมถือเอาโดยปริยายว่ามีคำมั่นจะให้สินจ้าง) 2. นายจ้างต้องออกหนังสือรับรองผลงานหรือใบผ่านงานและระยะเวลาที่ทำงานให้แก่ลูกจ้าง เมื่อการจ้าง แรงงานสิ้นสุดลงแล้ว ( ตามประประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 585 บัญญัติว่า เมื่อการจ้างงานสุดสิ้น ลงแล้ว ลูกจ้างชอบที่จะได้รับใบสำคัญแสดงว่าลูกจ้างนั้นได้ทำงานมานานเท่าไร และงานที่ทำนั้นเป็นงานอย่างไร ) 3. ถ้าลูกจ้างเป็นผู้ซึ่งนายจ้างได้จ้างเอามาแต่ต่างถิ่น โดยนายจ้างออกค่าเดินทางให้ เมื่อการจ้างแรงงาน สิ้นสุดลง และถ้ามิได้กำหนดกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาแล้ว กฎหมายกำหนดให้นายจ้างจำต้องใช้ค่าเดินทางขา กลับให้ เว้นแต่การเลิกสัญญาจ้าง เพราะว่าการกระทำหรือความผิดของลูกจ้าง ( ตามประประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 586 บัญญัติว่า ถ้าลูกจ้างเป็นผู้ซึ่งนายจ้างได้จ้างเอามาแต่ต่างถิ่นโดยนายจ้างออกเงินค่า เดินทางให้ไซร้ เมื่อการจ้างแรงงานสุดสิ้นลง และถ้ามิได้กำหนดกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาแล้ว ท่านว่านายจ้าง จำต้องใช้เงินค่าเดินทางขากลับให้ แต่จะต้องเป็นดังต่อไปนี้ คือ (๑) สัญญามิได้เลิกหรือระงับเพราะการกระทำหรือความผิดของลูกจ้าง และ (๒) ลูกจ้างกลับไปยังถิ่นที่ได้จ้างเอามาภายในเวลาอันสมควร 4. นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดละเมิดกับลูกจ้างในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งของนายจ้าง ( ตามประ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 บัญญัติว่า นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น )


หน้า 8 จาก 28 สิทธิและหน้าที่ของลูกจ้าง ก.สิทธิของลูกจ้าง 1. ลูกจ้างมีสิทธิที่จะได้รับสินจ้างหรือค่าจ้างตลอดเวลาที่ลูกจ้างทำงานให้แก่นายจ้างตราบใดยังคงเป็น นายจ้างและลูกจ้างและสัญญาจ้างแรงงานมีผลบังคับใช้กันอยู่ แม้ว่านายจ้างจะมิได้มีงานให้ลูกจ้างทำ หากมิได้มี การยกเลิกสัญญาจ้างแรงงาน หรือสัญญาจ้างแรงงานยังไม่ระงับสิ้นไป ลูกจ้างก็ยังคงมีสิทธิได้รับสินจ้างหรือค่าจ้าง ในระหว่างความเป็นนายจ้างและลูกจ้างยังไม่ได้สิ้นสุดลง ( ตามประประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 บัญญัติว่า อันว่าจ้างแรงงานนั้น คือสัญญา ซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าลูกจ้าง ตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกคน หนึ่งเรียกว่านายจ้างและนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้ ) 2. ลูกจ้างมีสิทธิโอนสิทธิของตนให้แก่บุคคลภายนอกก็ได้ เมื่อนายจ้างยินยอมพร้อมใจด้วย ( ตามประ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 577 บัญญัติว่า นายจ้างจะโอนสิทธิของตนให้แก่บุคคลภายนอกก็ได้ เมื่อลูกจ้างยินยอมพร้อมใจด้วย ลูกจ้างจะให้ภายนอกทำงานแทนตนก็ได้ เมื่อนายจ้างยินยอมพร้อมใจด้วยถ้า คู่สัญญาฝ่ายใดทำการฝ่าฝืนบทบัญญัตินี้ คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้) 3. ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินค่าเดินทางกลับด้วย หากปรากฏว่าถ้าลูกจ้างเป็นผู้ซึ่งนายจ้างได้จ้างเอามาแต่ต่าง ถิ่น โดยนายจ้างออกเงินค่าเดินทางให้ เมื่อการจ้างแรงงานสุดสิ้นลง และถ้ามิได้กำหนดกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา แล้ว นายจ้างจำต้องใช้เงินค่าเดินทางกลับให้ทั้งนี้สัญญามิได้เลิกหรือระงับ เพราะการกระทำหรือความผิดของ ลูกจ้าง และลูกจ้างกลับไปยังถิ่นที่ได้จ้างเอามาภายในเวลาอันสมควร ( ตามประประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 586 บัญญัติว่า ถ้าลูกจ้างเป็นผู้ซึ่งนายจ้างได้จ้างเอามาแต่ต่างถิ่นโดยนายจ้างออกเงินค่าเดินทางให้ไซร้ เมื่อ การจ้างแรงงานสุดสิ้นลง และถ้ามิได้กำหนดกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาแล้ว ท่านว่านายจ้างจำต้องใช้เงินค่า เดินทางขากลับให้ แต่จะต้องเป็นดังต่อไปนี้ คือ (๑) สัญญามิได้เลิกหรือระงับเพราะการกระทำหรือความผิดของลูกจ้าง และ (๒) ลูกจ้างกลับไปยังถิ่นที่ได้จ้างเอามาภายในเวลาอันสมควร ข.หน้าที่ของลูกจ้าง 1. ลูกจ้างต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และเชื่อฟังคำสั่งของนายจ้างโดยชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงการรักษาความลับและประโยชน์ในงานที่จะเกิดขึ้นของนายจ้าง


หน้า 9 จาก 28 2. ลูกจ้างต้องทำงานด้วยตนเอง จะให้บุคคลภายนอกทำงานแทนก็ได้ เว้นแต่นายจ้างยินยอมด้วย ( ตาม ประประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 577 บัญญัติว่า นายจ้างจะโอนสิทธิของตนให้แก่บุคคลภายนอกก็ ได้เมื่อลูกจ้างยินยอมพร้อมใจด้วย ลูกจ้างจะให้ภายนอกทำงานแทนตนก็ได้ เมื่อนายจ้างยินยอมพร้อมใจด้วยถ้า คู่สัญญาฝ่ายใดทำการฝ่าฝืนบทบัญญัตินี้ คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้) 3. ลูกจ้างต้องกระทำการตามที่รับรองโดยแสดงออกชัดหรือโดยปริยายว่าตนเป็นผู้มีฝีมือพิเศษ ( ตามประ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 578 บัญญัติว่า ถ้าลูกจ้างรับรองโดยแสดงออกชัดหรือโดยปริยายว่าตน เป็นผู้มีฝีมือพิเศษ หากมาปรากฎว่าไร้ฝีมือเช่นนั้นไชร้ ท่านว่านายจ้างชอบที่จะบอกเลิกสัญญาเสียได้) 4. หากลูกจ้างไม่กระทำตามหน้าที่ของลูกจ้าง กล่าวคือ ลูกจ้างต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และเชื่อฟังคำสั่งของนายจ้างโดยชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงการรักษาความลับและประโยชน์ในงานที่จะเกิดขึ้นของ นายจ้าง หากปรากฏว่าลูกจ้างกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งอื่นซึ่งผิดหน้าที่ของลูกจ้าง ( ตามประประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 583 บัญญัติว่า ถ้าลูกจ้างจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หรือละเลยไม่ นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณก็ดี ละทิ้งการงานไปเสียก็ดี กระทำความผิดอย่างร้ายแรงก็ดี หรือทำประการอื่น อันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตก็ดี ท่านว่านายจ้างจะไล่ออกโดยมิพักต้องบอก กล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้ ) ดังต่อไปนี้ 4.1 ถ้าลูกจ้างจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย หรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็น อาจิณ หากเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง นายจ้างไม่ต้องเตือนลูกจ้าง นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างได้โดยทันทีโดยไม่ต้อง จ่ายค่าชดเชย แต่ในบางกรณีที่ไม่ใช่เป็นเรื่องร้ายแรง แต่เป็นเรื่องที่เกิดซ้ำๆ กัน นายจ้างได้เตือนลูกจ้างแล้ว ลูกจ้างยังฝ่าฝืนกระทำซ้ำที่เกี่ยวกับคำเตือนขึ้นอีก นายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเป็นการเตือนลักษณะการกระทำคนละกรณีกัน นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชย เช่น การที่ นายจ้างออกหนังสือเตือนลูกจ้างเรื่องการลาป่วยผิดระเบียบ มิใช่เตือนเรื่องขาดงาน ต่อมาลูกจ้างขาดงาน จึงถือ ไม่ได้ว่ากระทำผิดซ้ำคำเตือน นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3199/2525 จำเลยประกอบกิจการธนาคาร ได้มีหนังสือเวียนแจ้งให้พนักงานทราบ ว่าการกู้ยืมเงินลูกค้าถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับพนักงาน และหากผู้ใดฝ่าฝืนจะมีโทษ โจทก์กู้ยืมเงินจากลูกค้า ของจำเลยจำนวน 3,000 บาท และใช้คืนแล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ใช้อำนาจในตำแหน่งบีบบังคับลูกค้าเพื่อให้ ยอมให้กู้ยืมเงินแต่อย่างใด การกระทำของโจทก์จึงมิใช่เป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย และฝ่าฝืน


หน้า 10 จาก 28 ข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชย ให้โจทก์เมื่อเลิกจ้าง มีปัญหาว่าคำตักเตือนเป็นหนังสือมีระยะเวลานานเท่าใดจึงจะหมดอายุ หรือระยะเวลานานเท่าใด เดิมมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2839/2528 ได้วางแนวบรรทัดฐานว่า กฎหมายมิได้กำหนดว่า คำตักเตือน เป็นหนังสือมีระยะเวลานานเท่าใดจึงจะหมดอายุ หรือระยะเวลานานเท่าใดจึงจะเป็นระยะเวลาที่นานเกินสมควรที่ ไม่สามารถนำมาเป็นเหตุในการเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าทดแทน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อนายจ้างตักเตือนเป็น หนังสือแล้ว คำตักเตือนนั้นจะมีผลอยู่ตลอดไป หากลูกจ้างรู้สำนึกตัวและปรับปรุงแก้ไขการทำงาน การประพฤติ ตัวของตนแล้ว คำตักเตือนนั้นก็ควรสิ้นผลไป และการพิจารณาว่าระยะเวลาคำตักเตือนเป็นหนังสือกับการฝ่าฝืน ข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างครั้งหลัง เป็นระยะเวลาเนิ่นนานหรือไม่เพียงนั้น จะต้อง พิจารณาตามพฤติการณ์เป็นเรื่องๆ ไป แต่ในปัจจุบันได้มีพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 วรรคสอง บัญญัติว่า หนังสือเตือนให้มีผลบังคับได้ไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด ดังนั้น กฎหมาย กำหนดให้หนังสือเตือนมีระยะเวลาที่ให้มีผลบังคับได้ไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด จึงมีความชัดเจน และแน่นอนมากยิ่งขึ้น 4.2 ละทิ้งการงานไปเสีย การละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร หมายถึง ไม่มีเหตุอันสมควรที่จะต้องละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกัน มิใช่หมายถึง การละทิ้งหน้าที่นั้น กระทำไปโดยไม่สมควร เพราะเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของนายจ้าง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3651/2529 ผู้คัดค้านลากิจกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัดเพราะมารดาป่วยหนัก ครบ กำหนดลากิจแล้ว อาการของมารดาของผู้คัดค้านไม่ทุเลาลง ต้องเข้ารักษาที่สถานีอนามัยและโรงพยาบาล ตามลำดับ ผู้คัดค้านได้โทรเลขถึงเพื่อนร่วมงานขอให้ลาต่อแทน ดังนี้ การละทิ้งหนี้ที่ของผู้คัดค้านมีเหตุอันสมควร กรณีไม่ต้องด้วยประกาศกระทรวงมหาดไทย ข้อ 47 (4) ผู้ร้องจะขออนุญาตเลิกจ้างผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการ ลูกจ้างไม่ได้ 4.3 กระทำความผิดอย่างร้ายแรง การกระทำความผิดอย่างร้ายแรงต่อนายจ้าง เช่น กระทำผิดอาญาโดย เจตนาหรือประมาทอย่างร้ายแรงต่อนายจ้าง ซึ่งจะต้องพิจารณาดูจากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ความร้ายแรงอื่นๆ ประกอบกับลักษณะการกระทำของบุคคลอื่นและลูกจ้างด้วย หากเป็นการกระทำความผิดอย่างร้ายแรง นายจ้างมี สิทธิเลิกจ้างได้ทันที โดยไม่จำต้องมีการตักเตือนลูกจ้างเสียก่อน แต่ถ้าพฤติการณ์ดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะถือเป็น กรณีร้ายแรงถึงขนาด นายจ้างจะยังไม่มีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่จ่ายค่าชดเชยหาได้ไม่


หน้า 11 จาก 28 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3479/2525 หัวหน้าคนงานสั่งให้โจทก์ซึ่งเป็นคนงานกลับไปทำงาน โจทกืไม่ไป หัวหน้าคนงานจึงผลักอกโจทก์เบาๆ 2 ครั้ง อันเป็นการละเมิดสิทธิในร่างกายของโจทก์ โจทก์จึงต่อยหัวหน้า คนงาน 1 ครั้งถูกที่ซอกคอ หัวหน้าคนงานจึงต่อยตอบแล้วกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน เมื่อมีผู้มาห้ามจึงเลิกรากัน หัวหน้า คนงานไม่ได้รับบาดเจ็บ ดังนี้ แม้การกระทำของโจทก์จะเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงานของจำเลย แต่ หัวหน้าคนงานก็มีส่วนทำให้โจทก์กระทำความผิดขึ้นด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะถือเป็นกรณีร้ายแรง ถึงขนาดที่นายจ้างจะมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ โดยไม่จ่ายค่าชดเชย 4.4 ทำประการอื่นอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต กล่าวคือ ลูกจ้างต้องไม่กระทำการสุจริตต่อหน้าที่ หมายถึง การแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือการแสวงหาประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3301/2529 ระเบียบการทำงานของจำเลยกำหนดว่าการตอกบัตรบันทึกเวลาทำงาน แทนผู้อื่นเป็นการกระทำผิดวินัย การตอกบัตรบันทึกเวลาทำงานมีความสำคัญในการปกครองพนักงานของบริษัท จำเลยให้เป็นไปโดยเรียบร้อย เป็นหลักฐานในการจ่ายค่าจ้าง ป้องกันการทุจริต แสวงหาประโยชน์ได้ค่าจ้างโดยมิ ได้มาทำงานตามบัตรตอกบันทึกเวลาทำงานนั้น โจทก์ได้กระทำผิดตอกบัตรแทนผู้อื่น จึงเป็นพฤติการณ์ส่อไป ในทางทุจริต ถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเป็นกรณีร้ายแรง ( อ้างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1497/2524 ) 4.5 ไม่กระทำการตามที่ลูกจ้างรับรองโดยแสดงออกชัดเจนหรือโดยปริยายว่าตนเป็นผู้มีฝีมือพิเศษ กล่าวคือ ในขณะที่นายจ้างรับลูกจ้างเข้าทำงาน ลูกจ้างรับรองโดยแสดงออกชัดหรือโดยปริยายว่าตนเป็นผู้ มีฝีมือพิเศษ แต่ต่อมาปรากฏว่าภายหลังลูกจ้างปฏิบัติงานแล้ว ลูกจ้างไม่สามารถทำงานตามที่ลูกจ้างรับรองโดย แสดงออกชัดหรือโดยปริยายว่าตนเป็นผู้มีฝีมือพิเศษนั้นได้ ตัวอย่าง นายฉลองมีความประสงค์จะสร้างภาพยนตร์ในแนวผจญภัยเรื่องหนึ่ง จึงประกาศรับสมัครนักแสดง นำในหน้าหนังสือพิมพ์ โดยมีคุณสมบัติที่จะต้องสามารถขับเครื่องบินได้ นายยอดศักดิ์มีความสนใจอยากแสดง ภาพยนตร์ดังกล่าว จึงไปสมัครกับนายฉลอง นายฉลองเห็นว่านายยอดศักดิ์มีรูปร่างหน้าตาดี จึงได้ทำสัญญาว่าจ้าง นายยอดศักดิ์เป็นนักแสดงนำ แต่เมื่อถึงคิวการแสดง นายยอดศักดิ์ไม่สามารถแสดงตามบทบาทได้ เพราะว่านาย ยอดศักดิ์ซึ่งเป็นลูกจ้างไม่สามารถขับเครื่องบินได้ตามที่ประกาศในหน้าหนังสือพิมพ์ไว้ ซึ่งเป็นการที่ลูกจ้างไม่ กระทำตามที่ลูกจ้างรับรองโดยแสดงออกชัดหรือโดยปริยายว่าตนเป็นผู้มีฝีมือพิเศษ


หน้า 12 จาก 28 กรณีที่กล่าวไว้ดังกล่าวข้างต้นตามข้อ 4.1-4.5 นายจ้างจะไล่ออกโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือชดใช้ค่า สินไหมทดแทนก็ได้ ความระงับแห่งสัญญาจ้างแรงงาน สัญญาจ้างแรงงานอาจสิ้นสุดลงในกรณีดังกล่าวต่อไปนี้ 1) ระงับโดยผลของกฎหมาย มีดังนี้ (1) เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญา (2) เมื่องานที่ว่าจ้างสำเร็จลงแล้ว (3) เมื่อลูกจ้างตาย เพราะสัญญาจ้างแรงงานถือเอาคุณสมบัติของลูกจ้างเป็นสำคัญ (4) เมื่อนายจ้างตาย ปกติเมื่อนายจ้างตายสัญญาจ้างแรงงานไม่ระงับ เพราะผลงานย่อมตกไปยังทายาท แต่การจ้างแรงงานรายใดสาระสำคัญอยู่ที่ตัวบุคคลผู้เป็นนายจ้าง สัญญาจ้างแรงงานนั้นย่อมระงับไป ด้วยความตายของนายจ้าง (มาตรา 584) (5) เมื่อมีข้อสัญญากำหนดให้เลิกจ้าง เช่น กำหนดวันเกษียณอายุ กำหนดว่าลูกจ้างสตรีห้ามทำการสมรส 2) ระงับโดยคู่สัญญาบอกเลิกจ้าง กรณีนายจ้างบอกเลิกจ้าง มีดังนี้ (1) เมื่อลูกจ้างให้บุคคลภายนอกทำงานแทนตนโดยนายจ้างไม่ยินยอมพร้อมใจด้วย (มาตรา 577 วรรค สองและวรรคสาม) (2) เมื่อลูกจ้างรับรองโดยแสดงออกชัดหรือโดยปริยายว่าตนเป็นผู้มีฝีมือพิเศษ หากปรากฏว่าไร้ฝีมือ (มาตรา 578) (3) เมื่อลูกจ้างขัดคำสั่งของนายจ้างหรือละเลยเป็นอาจิณ ทิ้งงาน กระทำความผิดอย่างนร้ายแรง ทำ ประการใดๆอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของลูกจ้างให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต (มาตรา 583) กรณีลูกจ้างบอกเลิกจ้าง มีดังนี้ (1) เมื่อนายจ้างผิดสัญญาจ้างอันเป็นสาระสำคัญของสัญญา เช่น นายจ้างไม่จ่ายสินจ้างตามสัญญาจ้าง


หน้า 13 จาก 28 (2) เมื่อนายจ้างโอนสิทธิการจ้างไปให้แก่บุคคลภายนอกโดยลูกจ้างไม่ยินยอมพร้อมใจด้วย (มาตรา 577 วรรคหนึ่ง) วิธีการบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงาน ถ้าในสัญญาจ้างแรงงานไม่ได้กำหนดลงไว้ว่าจะจ้างกันนานเท่าใด ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกสัญญาโดยการ บอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้มีผลเลิกสัญญากัน เมื่อถึง กำหนดจ่ายสินจ้างในคราวถัดไปก็ได้ แต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่า 3 เดือน อย่างไรก็ตาม หากนายจ้างบอกเลิกสัญญา โดยจ่ายสินจ้างล่วงหน้าให้ลูกจ้างครบจำนวนที่จะต้องจ่ายตาม กำหนดการบอกกล่าวล่วงหน้าแล้ว นายจ้างก็ให้ลูกจ้างออกจากงานได้ทันที (มาตรา 582) ตัวอย่างที่ 1 ดำทำสัญญาจ้างแดงมาเป็นคนทำสวน ตกลงให้ค่าจ้างเดือนละ 5,000 บาท ไม่ได้กำหนดเวลาว่า จะจ้างแดงนานเท่าใด ต่อมาในวันที่ 1 มกราคม 2550 ดำต้องการจะเลิกจ้างแดง ดำจะบอกเลิกจ้างแดงทันทีไม่ได้ ดำจะต้องบอกแดง ในวันที่ 1 มกราคม 2550 หรือก่อนหน้านั้นว่าดำจะเลิกจ้างแดงในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550 (คือ 1 ระยะเวลาในการจ่ายค่าจ้าง) แต่ถ้าดำต้องการจะให้แดงออกจากงานในวันที่บอกกล่าวคือวันที่ 1 มกราคม 2550 ก็ได้ แต่ดำจะต้องจ่ายค่าจ้างของเดือนมกราคมทั้งเดือนให้แก่ดำ ตัวอย่างที่ 2 ตามตัวอย่างที่ 1 ถ้าดำและแดงตกลงจ่ายค่าจ้างกันเป็นรายปี สมมติว่าปีละ 60,000 บาท กรณี นี้ดำจะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าให้แดงทราบ 3 เดือน ก่อนวันจะให้ออกก็พอ ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าถึง 1 ปี แต่ ถ้าดำต้องการให้แดงออกจากงานในวันที่บอกกล่าวเลยโดยไม่ให้เวลา 3 เดือน ดำก็ต้องจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าให้แดง เท่ากับค่าจ้าง 3 เดือน คือ 15,000 บาท อายุความ อายุความแห่งสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับสินจ้างมีกำหนด 2 ปีนับแต่วันที่เลิกจ้าง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 400/2548 กองทุนสวัสดิการ อ.ส.ค. เป็นกองทุนที่โจทก์จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสวัสดิการ แก่พนักงานของโจทก์ และอยู่ในการกำกับควบคุมดูแลของโจทก์ มิได้มีฐานะเป็นนิติบุคคลแยกออกต่างหากแต่ อย่างไร การที่จำเลยกู้ยืมเงินจากกองทุนสวัสดิการ ๑.ส.ด. แล้วชำระหนี้ไม่ครบถ้วน โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลย ให้ชำระหนี้แก่กองทุนสวัสดิการ อ.ส.ค.ได้


หน้า 14 จาก 28 สัญญาจ้างทำของ ข้อความทั่วไป ปัจจุบันการประกอบอาชีพต่าง ๆ ย่อมมีทั้งสัญญาจ้างแรงงานและสัญญาจ้างทำของ ซึ่งจะมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะสัญญาจ้างทำของ บุคคลที่เป็นผู้ว่าจ้างจะไม่มีอำนาจในการบังคับบัญชา ผู้รับจ้าง เป็นเพียงแต่ผู้รับจ้าง ตกลงจะทำงานให้แก่ผู้ว่าจ้าง ซึ่งผู้รับจ้างรับรองว่าจะทำงานให้เกิดความสำเร็จ และผู้ว่าจ้างจะจ่ายค่าตอบแทน ให้แก่ผู้รับจ้าง เช่น ช่างตัดผม ช่างตัดเสื้อสูท คนขับรถ แท็กซี่ ผู้รับเหมาก่อสร้าง จะเห็นว่า บุคคลต่าง ๆ ที่มีอาชีพ เป็นผู้รับจ้าง จะสามารถประกอบอาชีพได้โดยปราศจากการบังคับบัญชาจากบุคคลซึ่งเป็นผู้ว่าจ้าง ดังนั้น สาระสำคัญของสัญญาจ้างทำของจึงขึ้นอยู่กับความสำเร็จของงาน การที่ผู้ว่าจ้างจะจ่ายค่าตอบแทนจึงมีส่วน สัมพันธ์กับปริมาณงานที่มีผลสำเร็จของงาน เช่น ดำมีความประสงค์สร้างบ้านหลังหนึ่ง แดงผู้รับเหมาจะคำนวณ งานก่อสร้างออกเป็นงวด ๆขึ้นอยู่ว่าแต่ละงวดจะกำหนดว่างานแต่ละอย่างสำเร็จไปแล้วกี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งดำเป็นผู้ ว่าจ้างก็จะจ่ายเงินในแต่ละงวดตามปริมาณงานที่เสร็จสิ้นไปตามข้อตกลงในสัญญาก่อสร้างที่ทำกันไว้ระหว่างดำผู้ ว่าจ้างและแดงผู้รับเหมาซึ่งงานก่อสร้างบ้านจะสำเร็จลงได้ก็ใช้ระยะเวลาเป็นปี หรือบางครั้งการที่ผู้ว่าจ้างจะจ่าย ค่าตอบแทนจะจ่ายเพียงครั้งเดียวก็ได้เมื่องานที่ว่าจ้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ จ้างตัดเสื้อผ้า จ้างซ่อมเครื่อง คอมพิวเตอร์ จ้างทำอาหารกล่อง จ้างทำโต๊ะเก้าอี้งานดังกล่าวที่กล่าวมาข้างต้นจะมีผลสำเร็จของงานที่ใช้ ระยะเวลาสั้น ๆ หรือไม่นานนัก แม้ว่าบางครั้งอาจมองดูว่าเมื่อเป็นสัญญาจ้างทำของ และเมื่องานที่ว่าจ้างเสร็จ เรียบร้อยแล้ว ผู้ว่าจ้างจะได้รับสิ่งของที่ทำขึ้นจากผู้รับจ้างก็ตาม แต่ความเป็นจริง การที่ได้รับสิ่งของจากผู้ว่าจ้าง ก็ ไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่อย่างใด แม้เพียงได้ประโยชน์จากแรงงานก็เพียงพอที่จะเป็นสัญญาจ้างทำของได้เช่นเดียวกัน เช่น จ้างคนขับรถ แท็กซี่เพื่อไปส่งสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อนัดกับเพื่อนไปดูหนัง กรณีเช่นนี้ก็เป็นสัญญาจ้างทำของ หา ใช่สัญญาจ้างแรงงานไม่ เพราะว่าบุคคลฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่ผู้ ว่าจ้าง และบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง ตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น


หน้า 15 จาก 28 ความหมายของสัญญาจ้างทำของ สัญญาจ้างทำของ คือ สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่ บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น (มาตรา 587) ลักษณะสำคัญของสัญญาจ้างทำของ สัญญาจ้างทำของมีลักษณะสำคัญดังนี้ 1) เป็นสัญญา 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง อีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง ผู้รับจ้าง คือบุคคลที่ตกลงจะทำการงานให้แก่ผู้ว่าจ้างจนสำเร็จ ผู้ว่าจ้าง คือบุคคลที่ตกลงจะให้สินจ้างแก่ผู้รับจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำงานนั้น 2) เป็นสัญญาต่างตอบแทน กล่าวคือ ทั้งผู้รับจ้างและผู้ว่าจ้างต่างทีหนี้ที่จะต้องชำระแก่กันและกัน โดยผู้รับ จ้างต้องทำงานให้แก่ผู้ว่าจ้างจนสำเร็จ และผู้ว่าจ้างต้องจ่ายสินจ้างให้แก่ผู้รับจ้างเป็นการตอบแทน 3) เป็นสัญญาไม่มีแบบ กฎหมายไม่ได้กำหนดแบบในการทำสัญญาจ้างทำของไว้ ดังนั้นผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้าง จึงทำสัญญาจ้างทำของกันด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษรก็ได้ 4) ต้องมีสินจ้าง สินจ้างก็คือค่าจ้างซึ่งผู้ว่าจ้างตกลงจ่ายให้ผู้รับจ้างเพื่อตอบแทนในการที่ผู้รับจ้างทำงานนั้น สำเร็จ สินจ้างนี้จะเป็นเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดก็ได้ 5) วัตถุประสงค์ของสัญญาจ้างทำของ สัญญาจ้างทำของมุ่งที่ผลสำเร็จของงานที่ผู้รับจ้างจะต้องทำให้แก่ผู้ว่า จ้าง ไม่ได้มุ่งที่ใช้แรงงานเช่นสัญญาจ้างแรงงาน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 211/2524 จำเลยจ้างโจทก์ตอกเสาเข็มของจำเลยจำนวน 18 ต้น โดยใช้ปั้นจั่นของ โจทก์ ตกลงค่าจ้างตอกเป็นรายต้น ต้นละ 1,700 บาท ดังนี้จำเลยมุ่งถึงผลสำเร็จของงาน คือการตอกเสาเข็มเป็น สำคัญ โดยโจทก์หาต้องทำงานตอกเสาเข็มภายใต้บังคับบัญชาของจำเลยไม่ สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยดังกล่าว จึงเป็นสัญญาจ้างทำของ มิใช่สัญญาจ้างแรงงาน


หน้า 16 จาก 28 ข้อแตกต่างของสัญญาจ้างแรงงานและสัญญาจ้างทำของ สัญญาจ้างแรงงานและสัญญาจ้างทำของแตกต่างกันดังนี้ 1) สัญญาจ้างแรงงานมุ่งที่การใช้แรงงาน ไม่มุ่งอยู่กับผลสำเร็จของงาน สัญญาจ้างทำของมุ่งถึงผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญ 2) สัญญาจ้างแรงงานคำนวณสินจ้างตามระยะเวลาที่ทำงาน สัญญาจ้างทำของคำนวณสินจ้างตามผลของงาน 3) สัญญาจ้างแรงงานนายจ้างมีอำนาจบบังคับบัญชาเหนือลูกจ้าง สัญญาจ้างทำของผู้ว่าจ้างไม่มีอำนาจบังคับบัญชาเหนือผู้รับจ้าง 4) สัญญาจ้างแรงงานนายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดที่ลูกจ้างกระทำไปในทางการที่จ้าง สัญญาจ้างทำของผู้ว่าจ้างไม่ต้องรับผิดกับผู้รับจ้างที่ทำละเมิดต่อผู้อื่น เว้นแต่ความเสียหายจากการ ละเมิดนั้นเกิดขึ้นเพราะคำสั่งของผู้ว่าจ้าง 5) สัญญาจ้างแรงงานนายจ้างเป็นผู้จัดหาเครื่องมือทำงานและสัมภาระที่ใช้สำหรับทำงานเสมอ สัญญาจ้างทำของผู้รับจ้างเป็นผู้จัดหาเครื่องมือทำงาน สำหรับสัมภาระที่ใช้สำหรับทำงานนั้นผู้รับจ้างหรือ ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้จัดหาก็ได้ ข้อแตกต่างของสัญญาจ้างแรงงานและสัญญาซื้อขาย สัญญาจ้างทำของและสัญญาซื้อขายแตกต่างกันดังนี้ 1) ถ้าคู่สัญญามุ่งเน้นที่ความสำเร็จของงานว่าสำคัญกว่าสัมภาระ สัญญานั้นก็เป็นสัญญาจ้างทำของ 2) ถ้าคู่สัญญามุ่งเน้นที่สัมภาระว่าสำคัญกว่าความสำเร็จของงาน สัญญานั้นก็เป็นสัญญาซื้อขาย ตัวอย่าง ดำไปเที่ยวที่บ้านของแดงซึ่งเป็นช่างไม้ เห็นโต๊ะไม้ประดู่ชิงชันที่แดงต่อไว้ตัวหนึ่ง ดำชอบมาก จึง บอกให้แดงต่อโต๊ะแบบที่เห็นให้ 10 ตัว โดยแดงช่างไม้เป็นผู้จัดหาไม้และสัมภาระในการต่อโต๊ะ ปัญหาว่าข้อตกลง ของดำและแดงเป็นสัญญาจ้างทำของหรือสัญญาซื้อขาย


หน้า 17 จาก 28 จากตัวอย่างดังกล่าวนี้จะวินิจฉัยว่าสัญญาระหว่างดำกับแดงจะเป็นสัญญาอะไร ขึ้นอยู่กับว่าดำและแดง มุ่งเน้นอะไรเป็นสำคัญ หากดำมุ่งเน้นถึงความสำเร็จของงานและฝีมือการต่อโต๊ะของแดง สัญญาดังกล่าวก็เป็นสัญญาจ้างทำของ แต่ ถ้าดำมุ่งเน้นถึงสัมภาระ คือไม้ประดู่ชิงชันซึ่งเป็นไม้แข็งแรงสวยงามเป็นสำคัญอีกทั้งไม้และสัมภาระในการต่อโต๊ะก็ เป็นของแดง สัญญาดังกล่าวก็เป็นสัญญาซื้อขาย (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 258/2530) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3838-3853/2532 จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ตามผลงาน แต่จำเลยเป็นผู้มีอำนาจ บังคับบัญชาโจทก์ในการทำงาน ดังนี้นิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยโจทก์จึงเป็นลักษณะการจ้างแรงงานไม่ใช่จ้างทำของ หน้าที่และความรับผิดของผู้รับจ้าง 1. ผู้รับจ้างตกลงจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จ ( ตามประประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 บัญญัติว่า อันว่าจ้างทำของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจน สำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น ) 2. ผู้รับจ้างเป็นผู้จัดหาเครื่องมือต่าง ๆ สำหรับทำการงาน ( ตามประประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 588 บัญญัติว่า เครื่องมือต่าง ๆ สำหรับใช้ทำการงานให้สำเร็จนั้น ผู้รับจ้างเป็นผู้จัดหา ) 3. ผู้รับจ้างเป็นผู้จัดหาสัมภาระชนิดที่ดี ( ตามประประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 589 บัญญัติว่า ถ้าสัมภาระสำหรับทำการงานที่กล่าวนั้นผู้รับจ้าง เป็นผู้จัดหา ท่านว่าต้องจัดหาชนิดที่ดี) 4. ผู้รับจ้างใช้สัมภาระของผู้ว่าจ้างเป็นผู้จัดหาด้วยความระมัดระวัง และประหยัดอย่าให้เปลืองเสียเปล่า เมื่อทำการงานเสร็จแล้ว มีสัมภาระเหลืออยู่ก็คืนให้แก่ผู้ว่าจ้าง ( ตามประประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 590 บัญญัติว่า ถ้าสัมภาระนั้นผู้ว่าจ้างเป็นผู้จัดหามาส่ง ท่านให้ผู้ รับจ้างใช้สัมภาระด้วยความระมัดระวัง และประหยัดอย่าให้เปลืองเสียเปล่า เมื่อทำการงานสำเร็จแล้ว มีสัมภาระเหลืออยู่ก็ให้คืนแก่ผู้ว่าจ้าง ) 5. ผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิดความชำรุดบกพร่องหรือความชักช้าในการที่ทำนั้นเกิดขึ้นเพราะสภาพแห่งสัมภาระ ซึ่งผู้ว่าจ้างส่งให้ก็ดี เพราะคำสั่งของผู้ว่าจ้างก็ดี( ตามประประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 591 บัญญัติ ว่า ถ้าความชำรุดบกพร่องหรือความชักช้าในการที่ทำ นั้นเกิดขึ้นเพราะสภาพแห่งสัมภาระซึ่งผู้ว่าจ้างส่งให้ก็ดี


หน้า 18 จาก 28 เพราะคำสั่งของผู้ว่าจ้างก็ดี ท่านว่าผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิด เว้นแต่จะได้รู้อยู่แล้วว่าสัมภาระนั้นไม่เหมาะ หรือว่าคำสั่ง นั้นไม่ถูกต้องและมิได้บอกกล่าวตักเตือน ) 6. ผู้รับจ้างจำต้องยอมให้ผู้ว่าจ้างหรือตัวแทนของผู้ว่าจ้างตรวจตราการงานได้ตลอดเวลาที่ทำงานอยู่ ( ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 592 บัญญัติว่า ผู้รับจ้างต้องยินยอมให้ผู้ว่าจ้างหรือตัวแทนเข้ามาตรวจ ตรางานได้ตลอดเวลาที่ทำอยู่นั้น ) 7. ผู้รับจ้างเริ่มต้องทำการในเวลาอันควร หรือทำการไม่ชักช้าตามข้อกำหนดในสัญญา ( ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 593 บัญญัติว่า ถ้าผู้รับจ้างไม่เริ่มทำการในเวลาอันควร หรือทำการชักช้า ฝ่าฝืน ข้อกำหนดแห่งสัญญาก็ดี หรือทำการชักช้าโดยปราศจากความผิดของผู้ว่าจ้าง จนอาจคาดหมายล่วงหน้าได้ว่าการ นั้นจะไม่สำเร็จภายในกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ก็ดี ผู้ว่าจ้างชอบที่จะเลิกสัญญาเสียได้ มิพักต้องรอคอยให้ถึง เวลากำหนดส่งมอบของนั้นเลย ) 8. ผู้รับจ้างแก้ไขสิ่งที่บกพร่องให้คืนดี หรือทำการให้เป็นไปตามสัญญาภายในเวลาอันสมควรซึ่งกำหนดให้ใน คำบอกกล่าวนั้นก็ได้ ( ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 594 บัญญัติว่า ถ้าในระหว่างเวลาที่ทำการ อยู่นั้นเป็นวิสัยจะคาดหมายล่วงหน้าได้แน่นอนว่า การที่ทำนั้นจะสำเร็จอย่างบกพร่องหรือจะเป็นไปในทางอันฝ่า ฝืนข้อสัญญาเพราะความผิดของผู้รับจ้างไซร้ ผู้ว่าจ้างจะบอกกล่าวให้ผู้รับจ้างแก้ไขสิ่งที่บกพร่องให้คืนดี หรือทำ การให้เป็นไปตามสัญญาภายในเวลาอันสมควรซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้นก็ได้ ถ้าและคลาดกำหนดนั้นไป ท่านว่าผู้ว่าจ้างชอบที่จะเอาการนั้นให้บุคคลภายนอกซ่อมแซมหรือทำต่อไปได้ ซึ่งผู้รับจ้างจะต้องเสี่ยงความ เสียหายและออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ) 9. ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทำไม่ทันเวลาที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาก็ดี ( ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 596 บัญญัติว่า ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทาไม่ทันเวลาที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาก็ดี หรือ ถ้าไม่ได้ กำหนดเวลาไว้ในสัญญาเมื่อล่วงพ้นเวลาอันควรแก่เหตุก็ดี ผู้ว่าจ้างชอบที่จะได้ลดสินจ้างลง หรือถ้าสาระสาคัญแห่ง สัญญาอยู่ที่เวลาก็ชอบที่จะเลิกสัญญาได้) 10. ผู้รับจ้างจะต้องรับผิดเพื่อการที่ชำรุดบกพร่องเพียงแต่ที่ปรากฏขึ้นภายในปีหนึ่งนับแต่วันส่งมอบ หรือที่ ปรากฏขึ้นภายในห้าปี ถ้าการที่ทำนั้นเป็นสิ่งปลูกสร้างกับพื้นดิน นอกจากเรือนโรงที่ทำด้วยเครื่องไม้( ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 600 บัญญัติว่า ถ้ามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาไซร้ ท่านว่าผู้รับ


หน้า 19 จาก 28 จ้างจะต้องรับผิด เพื่อการที่ทำชำรุดบกพร่องเพียงแต่ที่ปรากฏขึ้นภายในปีหนึ่งนับแต่วันส่งมอบ หรือที่ปรากฏขึ้น ภายใน 5 ปี ถ้าการที่ทำนั้นเป็นสิ่งปลูกสร้างกับพื้นดิน นอกจากเรือนโรงทำด้วยเครื่องไม้) แต่ข้อจำกัดนี้ท่านมิให้ใช้บังคับเมื่อปรากฏว่าผู้รับจ้างได้ปิดบังความชำรุดบกพร่องนั้น ข้อสังเกตบางประการ 1. ความชำรุดบกพร่องเพียงแต่ที่ปรากฏขึ้น ผู้รับจ้างรับผิดภายในปีหนึ่งนับแต่วันส่งมอบ 2. ความชำรุดบกพร่องเป็นสิ่งปลูกสร้างกับพื้นดินปรากฏขึ้น ผู้รับจ้างรับผิดภายในห้าปี ถ้าการที่ทำนั้นเป็น สิ่งปลูกสร้างกับพื้นดิน นอกจากเรือนโรงทำด้วยเครื่องไม้ภายในปีหนึ่งนับแต่วันส่งมอบ 3. เมื่อปรากฏว่าผู้รับจ้างได้ปิดบังความชำรุดบกพร่องนั้น ผู้รับจ้างรับผิดภายในสิบปีนับแต่วันส่งมอบ 4. หากคู่สัญญากำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา ก็เป็นตามข้อตกลงในสัญญานั้น 11. ผู้รับจ้างเอางานไปให้ผู้รับช่วงทำก็ได้ เว้นแต่สาระสำคัญแห่งสัญญานั้นจะอยู่ที่ความรู้ความสามารถของ ตัวผู้รับจ้าง ( ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 607 บัญญัติว่า ผู้รับจ้างจะเอาการที่รับจ้างทั้งหมด หรือแบ่งการแต่บางส่วนไปให้ผู้รับจ้างช่วงทำอีกทอดหนึ่งก็ได้ เว้นแต่สาระสำคัญแห่ง สัญญานั้นจะอยู่ที่ความรู้ ความสามารถของตัวผู้รับจ้าง แต่ผู้รับจ้างคงต้องรับผิดเพื่อความประพฤติหรือความผิดอย่างใดๆ ของผู้รับจ้างช่วง ) หน้าที่และความรับผิดของผู้ว่าจ้าง 1. ผู้ว่าจ้างจ่ายสินจ้างแก่ผู้รับจ้างเมื่องานสำเร็จ ( ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 บัญญัติว่า อันว่าจ้างทำของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจน สำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น ) 2. ผู้ว่าจ้างจ่ายสินจ้างเป็นส่วน ๆ ในเวลารับเอาแต่ละส่วนนั้น ( ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 602 บัญญัติว่า อันสินจ้างนั้นพึงใช้ให้เมื่อรับมอบการที่ทำ ถ้าการที่ทำนั้นมีกำหนดว่าจะส่งรับกันเป็นส่วน ๆ และได้ระบุ จำนวนสินจ้างไว้เป็นส่วนๆไซร้ ท่านว่าพึงใช้ สินจ้างเพื่อการแต่ละส่วน ในเวลารับเอาส่วนนั้น )


หน้า 20 จาก 28 3. ความผิดของผู้ว่าจ้าง เพราะคำสั่งของผู้ว่าจ้าง หรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้ หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง ( ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 428 บัญญัติว่า ผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้ รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้าง เว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่ สั่งให้ทำ หรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้ หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง ) ความระงับของสัญญาจ้างทำของ สัญญาจ้างทำของระงับสิ้นไปในกรณีดังต่อไปนี้ 1) ระงับไปโดยผลของกฎหมาย ซึ่งได้แก่ (1) เมื่อคู่สัญญาปฏิบัติตามข้อสัญญาจ้างทำของครบถ้วนแล้ว กล่าวคือ ผู้รับจ้างทำการงานเสร็จสิ้นและ ส่งมอบแล้ว และผู้ว่าจ้างได้จ่ายสินจ้างให้แก่ผู้รับจ้างแล้ว (2) เมื่อการที่จ้างทำนั้นพังทลายหรือบุบสลายลงก่อนมอบ ทั้งในกรณีที่ผู้รับจ้างเป็นผู้จัดหาสัมภาระตาม มาตรา 603 และในกรณีที่ผู้ว่าจ้างเป็นผู้จัดหาสัมภาระตามมาตรา 604 เพราะการชำระหนี้กลายเป็น พ้นวิสัย หากว่าความวินาศนั้นมิได้เป็นเพราะการกระทำของผู้รับจ้างหรือผู้ว่าจ้าง (มาตรา 603 และ มาตรา 604) 2) ระงับไปโดยผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญา ผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญาได้เมื่อ (1) อาจคาดหมายได้ล่วงหน้าว่าการนั้นจะไม่สำเร็จภายในกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้เพราะ ก) ผู้รับจ้างไม่เริ่มทำการในเวลาอันสมควร ข) ผู้รับจ้างทำการชักช้าฝ่าฝืนข้อกำหนดแห่งสัญญา ค) ผู้รับจ้างทำการชักช้าโดยปราศจากความรับผิดของผู้ว่าจ้าง (มาตรา 593) (2) ผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทำไม่ทันเวลาซึ่งมี 2 กรณี คือ ก) กรณีมีกำหนดเวลาส่งมอบ แต่ผู้รับจ้างส่งมอบไม่ทันเวลากำหนด เช่น ผู้ว่าจ้างกำหนดให้ส่งมอบ งานในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550 แต่ผู้รับจ้างส่งมอบงานในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2550 เป็นต้น ข) กรณีที่ไม่มีกำหนดเวลาส่งมอบ เช่น ผู้ว่าจ้างจ้างผู้รับจ้างตัดชุดวิวาห์โดยบอกว่าจะวิวาห์วันที่ 9 สิงหาคม 2550 แต่ผู้รับจ้างนำชุดวิวาห์มาส่งมอบให้วันที่ 10 สิงหาคม 2550 (มาตรา 596) (3) ผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญาโดยที่ผู้รับจ้างมิได้มีความผิด


หน้า 21 จาก 28 ในระหว่างที่ทำการที่จ้างยังทำไม่เสร็จผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ แต่ผู้ว่าจ้างต้องเสียค่าสินไหม ทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างสำหรับความเสียหายใดๆ ที่เกิดจากการบอกเลิกสัญญานั้น (มาตรา 605) 3) ระงับไปโดยผู้รับจ้างบอกเลิกสัญญา ผู้รับจ้างบอกเลิกสัญญาได้ใน 2 กรณ คือ (1) เมื่อผู้ว่าจ้างทำผิดสัญญา เช่น ไม่จัดหาสัมภาระไปให้ผู้รับจ้างตามกำหนดเวลาในสัญญาหรือไม่จ่าย สินจ้างในงวดก่อนๆ ที่เสร็จแล้ว เป็นต้น (2) แม้ผู้ว่าจ้างไม่ผิดสัญญา ผู้รับจ้างจะบอกเลิกสัญญาก็ได้ แต่ผู้รับจ้างต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนความ เสียหายที่เกิดจากการเลิกสัญญาให้แก่ผู้ว่าจ้าง (อนุโลมตามมาตรา 605) อายุความ การฟ้องร้องดำเนินคดีเพื่อให้ผู้รับจ้างผิดในความชำรุดบกพร่องต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ความชำรุด บกพร่องได้ปรากฏขึ้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1248/2504 การที่มาตรา 601 ห้ามมิให้ฟ้องผู้รับจ้างเมื่อพ้นเวลา 1 ปีนับแต่วันการ ชำรุดบกพร่องได้ปรากฏขึ้นนั้น หมายถึงการฟ้องร้องเมื่อได้รับมอบหมายการที่ว่าจ้างนั้นตามมาตรา 600 ด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245/2516 ความชำรุดบกพร่องตามมาตรา 601 หมายถึงความชำรุดบกพร่องใน ตัวทรัพย์ที่ว่าจ้างทำอันเกิดขึ้นตามบทบัญญัติในมาตรา 598 มาตรา 599 และมาตรา 600 หาได้หมายถึงการไม่ ปฏิบัติให้ครบถ้วนตามสัญญาจ้างทำของไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5920/2533 โจทก์รับมอบงานการก่อสร้างอาคารพิพาทจากจำเลยแล้ว ต่อมา กรรมการควบคุมงานก่อสร้างและรับมอบงานก่อสร้างอาคารพิพาท ได้ตรวจพบการชำรุดบกพร่องของอาคาร พิพาท โจทก์ต้องฟ้องจำเลยภายในกำหนด 1 ปีนับแต่วันการชำรุดบกพร่องได้ปรากฏขึ้น เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน กว่า 1 ปีนับแต่วันดังกล่าว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ แม้จะมีพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยินยอมรับผิดใน ความชำรุดบกพร่องตามที่โจทก์เรียกร้อง แต่เป็นการยอมรับหลังจากอายุความครบบริบูรณ์แล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ละเสียประโยชน์แห่งอายุความ จำเลยที่1 จึงยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ไม่ได้ การละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุ ความของลูกหนี้ชั้นต้น ไม่ลบล้างสิทธิของผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 จึงยกอายุความขึ้น ต่อสู้โจทก์ได้


หน้า 22 จาก 28 สัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อความทั่วไป ในสังคมที่มีประชาชนอยู่ร่วมกันย่อมอาจจะเกิดปัญหาข้อพิพาทขึ้น ไม่ว่าจะเกิดจากการกระทำของบุคคลจง ใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้บุคคลเสียชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งเรียกว่า " ละเมิด " บุคคลนั้นย่อมต้องชดใช้ค่าสินไหม ทดแทนให้แก่บุคคลอื่น เช่น มีการทำร้ายร่างกาย หรือการขับรถชนรถยนต์คันอื่น ย่อมทำให้เกิดความเสียหาย และคู่กรณีฝ่ายหนึ่งจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนหนึ่งให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง แต่หากความเสียหายที่คู่กรณีฝ่าย หนึ่งเรียกร้องเป็นจำนวนที่สูงเกินไป และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งอาจมีการต่อรองเพื่อลดค่าสินไหมทดแทนลงมา ซึ่งจะ ทำให้หนี้ค่าสินไหมทดแทนเดิมระงับไป และเกิดหนี้ใหม่ที่ได้มีการต่อรองกันเป็นหนี้ค่าสินไหมทดแทนใหม่ขึ้น ตามที่ได้มีการตกลงกันได้ ซึ่งเราเรียกว่า "สัญญาประนีประนอมยอมความ" ดังนั้น จึงได้มีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 3 ลักษณะ ๑ ประนีประนอมยอมความ มาตรา 850 ถึงมาตรา ๘๕๒ รวมทั้งหมด 3 มาตรา นอกจากนี้คู่สัญญาประนีประนอมยอมความสามารถตกลงกัน ประนีประนอมยอมความได้ในศาลและนอกศาล ซึ่งจะอธิบายความแตกต่างในรายละเอียดต่อไป


หน้า 23 จาก 28 ความหมายของสัญญาประนีประนอมยอมความ สัญญาประนีประนอมยอมความ คือ สัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงกันระงับข้อพิพาทอันใด อันหนึ่ง ซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จสิ้นไป ด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน (มาตรา 850) ลักษณะสำคัญของสัญญาประนีประนอมยอมความ สัญญาประนีประนอมยอมความมีลักษณะสำคัญดังนี้ 1) คู่สัญญามีข้อพิพาทหรือข้อขัดแย้งกันอยู่ ข้อพิพาทนี้จะมีอยู่ขณะที่สัญญากันหรือจะมีขึ้นในอนาคตก็ ได้ เช่น ทำสัญญากันว่าเมื่อเจ้ามรดกตายทายาทจะแบ่งทรัพย์สินกันอย่างไร จะได้ไม่เป็นปัญหา 2) เป็นสัญญาที่มีข้อตกลงยอมผ่อนผันให้แก่กัน ถ้าไม่มีการผ่อนผันให้แก่กันก็ไม่ใช่สัญญา ประนีประนอมยอมความ 3) เป็นสัญญาต่างตอบแทน เพราะทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไปและทำให้ แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่ได้แสดงไว้ในสัญญาว่าเป็นของตนตามมาตรา 852 4) คู่สัญญามีวัตถุประสงค์เพื่อระงับข้อพิพาท ถ้ามีข้อพิพาทอยู่แล้วก็เพื่อให้ข้อพิพาทนั้นระงับสิ้นไป หากจะมีข้อพิพาทขึ้นก็จะได้ป้องกันมิให้เกิดขึ้นหรือระงับไว้เสีย ตัวอย่าง ดำชกแดง จนเป็นเหตุให้แดงได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องไปนอนโรงพยาบาลอยู่ 1 เดือน แดงเรียกร้อง ค่าสินไหมทดแทนจากดำ 100,000 บาท ดำเห็นว่าจำนวนค่าสินไหมทดแทนสูงเกินไปซึ่งต่อรองเหลืออยู่ 60,000 บาท หากทั้งคู่กรณีตกลงหรือออมชอมกันได้ คู่สัญญาก็ตกลงกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นหนังสือโดย ระงับข้อพิพาทเดิม โดยคู่สัญญาต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน ดังนี้ แดงสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน 60,000 บาท ต้วอย่าง ดำขับรถยนต์ด้วยความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไปชนรถยนต์ของ แดงได้รับความเสียหาย ซึ่งแดงเรียกร้องค่าเสียหาย 150,000 บาท ดำเห็นว่าค่าเสียหายสูงเกินไป ขอต่อรองเหลือ 80,000 บาท หากคู่กรณีสามารถพูดคุยกันและไกล่เกลี่ยกันได้ โดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นหนังสือ ระงับข้อพิพาทเดิม โดยคู่สัญญาต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน ดังนี้ แดงสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน 80,000 บาท


หน้า 24 จาก 28 แบบของสัญญาประนีประนอมยอมความ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๘๕๑ บัญญัติว่า "อันสัญญาประนีประนอมความนั้น ถ้ามิได้มี หลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือลายมือชื่อตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่" กฎหมายมิได้กำหนดแบบของสัญญาประนีประนอมยอมความ ดังนั้น การที่คู่สัญญาตกลงกันด้วยวาจา จึงมี ผลสมบูรณ์สามารถบังคับใช้กันได้ เพียงแต่กฎหมายบังคับว่าหากมีการฟ้องร้องบังคับคดีจะต้องมีหลักฐานเป็น หนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงงลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือลายมือชื่อตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ เพราะว่า ในกระบวนพิจารณาคดี ศาลจะพิจารณาจากพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารของบุคคลที่มีสิทธิเรียกร้องให้บุคคลอีก ฝ่ายหนึ่งต้องรับผิด และศาลบังคับคดีให้บุคคลที่เป็นฝ่ายต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ สัญญาประนีประนอมยอมความนั้น กฎหมายมิได้บังคับว่าคู่กรณีจะต้องลงชื่อทั้งสองฝ่าย แม้มีเพียงผู้เดียวลง ชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือลายมือชื่อตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ ก็เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความได้ เช่น ดำ ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันกับแดงแล้ว แต่ปรากฎว่าดำมิได้ลงลายมือชื่อในสัญญาดังกล่าวนั้น แดงจะ นำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นไปฟ้องร้องดำหาได้ไม่ รวมทั้งการตกลงด้วยวาจา หากปรากฏว่าต่อมาดำ เขียนจดหมายบอกกล่าวถึงแดง บรรยายข้อเท็จจริงที่ได้ตกลงระงับข้อพิพาทและยอมรับผิดในหนี้ขึ้นใหม่ พร้อมทั้ง ลงลายมือชื่อดำมาในจดหมายนั้น กรณีดังกล่าวถือว่าเอกสารที่เป็นจดหมายนั้นเป็นหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือ ชื่อดำซึ่งเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่แดงสามารถฟ้องดำให้รับผิดได้ ประเภทของสัญญาประนีประนอมยอมความ สัญญาประนีประนอมยอมความมี 2 ประเภท คือ สัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำในศาล และสัญญา ประนีประนอมยอมความที่ทำนอกศาล ซึ่งได้แก่ สัญญาประนีประนอมยอมความ ตามมาตรา 850 ดังกล่าว 1) สัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำในศาล เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 ซึ่งบัญญัติว่า ในคดีที่คู่ความตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกัน ในประเด็นแห่งคดีโดย มิได้มีการถอนคำฟ้องนั้น และข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความกันนั้นไม่ เป็นการฝ่าฝืน ต่อกฎหมาย ให้ศาลจดรายงานพิสดารแสดงข้อความแห่งข้อตกลงหรือการประนีประนอม ยอมความ เหล่านั้นไว้แล้วพิพากษาไปตามนั้น


หน้า 25 จาก 28 สัญญาประนีประนอมยอมความที่กระทำในศาลนี้ หากคู่สัญญาละเมิดข้อตกลงคู่สัญญาที่เสียหายมีสิทธิ ขอให้ศาลบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ทันที โดยไม่ต้องไปฟ้องร้องเป็นคดีขึ้นมาอีก 2) สัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำนอกศาล สัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำนอกศาลมีวิธีสำ สัญญาดังนี้ (1) สัญญาประนีประนอมยอมความนั้นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง (2) ต้องลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือลายมือชื่อตัวแทนของฝ่ายที่นต้องรับผิด ตัวอย่าง ดำกระทำละเมิดทำให้ทรัพย์สินของแดงเสียหายคิดเป็นเงิน 1,000 บาท ดำไม่มีเงินชำระให้แดง ดำ ขอประนีประนอมยอมความกับแดง โดยดำทำหนังสือยินยอมไปตัดหญ้าที่บ้านของแดง 5 วัน หมายเหตุสัญญาประนีประนอมยอมความส่วนมากคู่สัญญามักจะมีส่วนต้องรับผิดต่อกันและกัน คู่สัญญาก็ ต้องลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความทั้ง 2 ฝ่าย ความสมบูรณ์ของสัญญาประนีประนอมยอมความ สัญญาประนีประนอมยอมความ จะสมบูรณ์ได้ด้วยการแสดงเจตนาดกลงระหว่างคู่กรณีโดยไม่ต้องทำตาม แบบแต่อย่างใด แต่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือลายมือชื่อตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็น สำคัญ จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้เช่น นายแดงตกลงประนีประนอมความกับนายดำว่า นายแดงจะยอมชดใช้เงิน จำนวน 10,000บาท เพื่อเป็นค่าทดแทนความเสียหายที่นายแดงทำละเมิดต่อนายดำ โดยในการตกลงดังกล่าวเป็น แต่เพียงกระทำกันด้วยวาจาเท่านั้นหากนายแดงไม่ชดใช้ให้ตามที่ได้ตกลงกันไว้ นายดำจะฟ้องร้องบังคับนายแดงให้ ชดใช้ไม่ได้ เพราะการประนีประนอมยอมความดังกล่าวไม่ได้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายแดงผู้ต้องรับผิดชอบ แต่อย่างใด แต่ถ้านายแดงได้ชำระเงินจำนวน 10,000 บาทให้แก่นายดำไปแล้ว ถือว่าเป็นการชำระหนี้ที่สมบูรณ์ นายแดงเรียกเอาเงินที่ให้ไปแล้วกลับคืนฐานลาภมิดวรได้ไม่ได้ เพราะสัญญานั้นสมบูรณ์มิได้โมฆะ การลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องลงลายมือชื่อของคู่สัญญาทั้งสอง ฝ่าย เพียงแต่ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเพียงฝ่ายเดียวก็เป็นการเพียงพอ เมื่อไม่มีการปฏิบัติตามสัญญา แม้เป็น คู่สัญญาฝ่ายที่ไม่ได้ลงลายมือชื่อก็สามารถฟ้องร้องบังคับให้คู่สัญญาฝ่ายที่ลงลายมือชื่อปฏิบัติตามสัญญาได้ แต่ฝ่าย ที่ลงลายมือชื่อฝ่ายเดียวจะฟ้องร้องฝ่ายที่ไม่ได้ลงลายมือชื่อด้วยไม่ได้ หากลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย เมื่อฝ่ายใดฝ่าย


หน้า 26 จาก 28 หนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญา คู่สัญญาอีกฝ่ายก็สามารถฟ้องร้องบังคับคดีอีกฝ่ายหนึ่งได้เพราะถือว่าแต่ละฝ่ายเป็นฝ่าย ที่ต้องรับผิดตาม ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความ สัญญาประนีประนอมยอมความตามมาตรา 850 มีผลดังนี้ 1) ทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป จะนำกลับมาเรียกร้องอีกไม่ได้ 2) คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ 3) ถ้าคู่สัญญาไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ฝ่ายที่ได้รับความเสียหายมีสิทธินำสัญญานั้นไปฟ้องต่อศาล เพื่อให้ศาล สั่งให้มีการบังคับคดีตามสัญญาได้ภายในอายุความ 10 ปี คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 343/25334 แม้สัญญาจะใช้ชื่อว่า สัญญารับสภาพหนี้ แต่ข้อความในสัญญาว่า จำเลยยอมรับว่าได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 80,000 บาท และยอมรับว่ามีหนี้ดังกล่าวอยู่กับโจทก์ตามมูลหนี้ดังกล่าวจริง กับยอมชำระให้โจทก์ 40,000 บาท โดยผ่อนชำระเป็นงวดจนกว่าจะชำระเสร็จ หนี้จำนวนที่เหลือตกลงให้โจทก์ เรียกร้องเอาจากบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ เสรีสากลธนกิจจำกัด เห็นได้ชัดว่าเป็นการที่โจทก์จำเลยทั้งสองฝ่ายระงับ ข้อพิพาทที่มีขึ้นตามมูลหนี้ตัวเงินนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอม ความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 หาใช่เป็นการรับสภาพหนี้โดยกำหนดเวลาและเงื่อนไข ให้จำเลยชำระหนี้และมีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 168 โจทก์บรรยายถึงมูลหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอม ความมาในฟ้องของโจทก์โดยชัดเจนแล้ว ถือได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2576/2531 คดีนี้ถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่แบ่งทรัพย์มรดกให้ โจทก์จำนวน 9 ส่วนใน 21 ส่วน ในระหว่างบังคับคดี โจทก์ จำเลยทั้งสี่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยศาลชั้นต้นรับรู้เป็นผู้ทำให้มีข้อตกลงกันไม่ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาคดีนี้ และให้ยุติคดีทุกคดีทั้งคดีที่ พิพากษาแล้วและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลและตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สินกันใหม่ เมื่อโจทก์ จำเลยทั้งสี่ ได้ลงชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวต่อหน้าศาลแล้ว จึงเป็นสัญญาที่ใช้บังคับได้ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 โดยมีผลทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำ ให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852


หน้า 27 จาก 28 การบังคับคดีนี้และมูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาจึงเป็นอันระงับสิ้นไป โจทก์ จำเลยทั้งสี่จึงต้องปฏิบัติตามสัญญา ประนีประนอมยอมความดังกล่าว เมื่อจำเลยผิดสัญญาดังกล่าว โจทก์หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ชอบ ที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยตามสิทธิที่เกิดขึ้นตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น จะกลับมาขอให้ศาลออก หมายบังคับคดีตามคำพิพากษา ซึ่งมูลหนี้ระงับไปแล้วหาได้ไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2624/2516 คู่กรณีในคดีอาญาไม่ว่าจะเป็นความผิดอันยอมความกันได้หรือไม่ก็ตาม อาจตกลงประนีประนอมยอมความเรื่องค่าเสียหายในทางแพ่งอันพึงมีได้ตามสิทธิของตน กฎมหายห้ามเฉพาะการ ตกลงประนีประนอมยอมความเพื่อระงับหรืองดการฟ้องคดีอาญาที่มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวเท่านั้น สัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยทำให้ไว้แก่โจทก์ เนื่องจากจำเลยบุกรุกขึ้นไปบนเรือนโจทก์ในเวลา กลางคืนและกระทำอนาจารโจทก์ มีข้อความว่า จำเลยยอมเสียค่าทำขวัญให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวนหนึ่งภายใน เวลาที่กำหนด หากไม่ทำตามยอมให้ดำเนินคดีต่อไปนั้น เป็นเรื่องทำสัญญาประนีประนอมยอมความชดใช้ ค่าเสียหายฐานละเมิดให้แกโจทก์ในทางแพ่งเท่านั้น ไม่ใช่ค่าเสียหายที่เรียกร้องเพื่อระงับการฟ้องคดีอาญาซึ่ง กฎหมายห้ามไว้แต่อย่างใด จึงสมบูรณ์ใช้บังคับได้ สัญญาประนีประนอมยอมความนั้น กฎหมายมิได้บังคับว่าคู่กรณี จะต้องลงชื่อทั้งสองฝ่าย แม้จำเลยผู้เดียวลงชื่อรับผิดต่อโจทก์ก็เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2545 โจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องที่ดิน นายอำเภอเรียกโจทก์และจำเลยมา เจรจากัน โดยมีการบันทึกคำเปรียบเทียบไว้ว่าจำเลยตกลงแบ่งที่ดินให้แก่โจทก์ตามส่วนที่ตกลงกัน บันทึกคำ เปรียบเทียบดังกล่าว มีลักษณะเป็นการตกลงระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่มีอยู่แล้วในขณะนั้นให้เสร็จ ไป จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามมาตรา 850 อันมีผลให้สิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์จำเลยที่ มีอยู่ต่อกันระงับสิ้นไป โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวอีก คงมีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยให้ปฏิบัติ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามมาตรา 852 เท่านั้น อายุความ เมื่อทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ทำให้หนี้เดิมที่เกิดเป็นข้อพิพาทระงับลง แต่เกิดเป็นหนี้ใหม่เริ่มต้นนับ ใหม่ 10 ปี นับแต่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/1 อายุ ความในหนี้เดิมจะระงับลงทันที


หน้า 28 จาก 28 บรรณานุกรม ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ รองศาสตราจารย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กฎหมายเบื้องต้นทางธุรกิจ รัฐสิทธิ์ คุรุสุวรรณ กฎหมายเกี่ยวกับเอกเทศสัญญา รองศาสตราจารย์บุญเพราะ แสงเทียน กฎหมายธุรกิจ กองนิติการ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน https://legal.labour.go.th/attachments/article/121/254802.pdf อ.วีณา สุวรรณโณ ppt สัญญาจ้างแรงงาน สัญญาจ้างทำของ.pdf


Click to View FlipBook Version