The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน เรื่องการแก้ปัญหาเรื่อง ทักษะการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) โดยวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน สำหรับนัหเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอนุบาลวัดป่าเลไลยก์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by prae_219, 2021-10-07 10:28:02

วิจัยในชั้นเรียน ศิริลักษณ์ มั่นคง

วิจัยในชั้นเรียน เรื่องการแก้ปัญหาเรื่อง ทักษะการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) โดยวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน สำหรับนัหเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอนุบาลวัดป่าเลไลยก์

วจิ ัยในช้นั เรยี น
เร่อื ง การแก้ปญั หาเรื่อง ทักษะการปฏิบตั ิทา่ รำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย)

โดยใช้วธิ ีการสอนแบบหอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped Classroom)
สำหรบั นักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรยี นอนบุ าลวัดป่าเลไลยก์

นางสาวศริ ลิ กั ษณ์ มน่ั คง

รายงานการวิจยั ในช้ันเรียนนเี้ ป็นส่วนหนง่ึ ของการศกึ ษาวชิ า การปฏบิ ตั กิ ารสอนใน
สถานศึกษา 1 รหสั วิชา 30021012 หลกั สตู รศกึ ษาศาสตรบัณฑิต (5 ปี)
สาขาวิชา นาฏศลิ ปไ์ ทยศึกษา
คณะศลิ ปศกึ ษา สถาบนั บณั ฑิตพัฒนศิลป์ วิทยาลยั นาฏศิลปสพุ รรณบรุ ี
ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2564



บทคัดยอ่

การแก้ปัญหาเรื่อง ทักษะการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) โดยใช้วิธีการสอน
แบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
โรงเรยี นอนบุ าลวัดปา่ เลไลยก์ มีวตั ถุประสงค์ ดงั นี้ 1) เพอื่ ศึกษาผลการประเมินทกั ษะการปฏิบัติท่ารำ
เพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) โดยใช้การเรียนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom)
กลุ่มกลุ่มเป้าหมายในการครั้งวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอนุบาลวัดป่าเลไลยก์
อำเภอเมือง จังหวัดสพุ รรณบุรี ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 จำนวน 82 เครอื่ งมอื ท่ีใช้ในการวิจัย
ครง้ั นีค้ ือ แบบประเมนิ ทักษะการปฏิบัติทา่ รำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย)

ผลการวิจัยพบว่า การแก้ปัญหาเรื่อง ทักษะการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย)
โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) สำหรับนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปี
ที่ 4 โรงเรียนอนุบาลวัดปา่ เลไลยก์ มีคุณภาพตามเกณฑ์ คือ คิดเป็นร้อยละ 72.07 สูงกว่าเกณฑ์ที่ต้ัง
ไว้ ร้อยละ 70 ซึ่งถือว่าผูเ้ รยี นมพี ัฒนาการด้านทกั ษะการปฏิบัตทิ ่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย)
ทด่ี ขี น้ึ



กิตตกิ รรมประกาศ

วิจัยเล่มนี้ สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี เนื่องจากได้รับความเมตตาอนุเคราะห์จาก อาจารย์นิเทศก์
ที่ให้ความรู้ ข้อมูล รวมทั้งรายละเอียดต่าง ๆ และขอขอบพระคุณคุณท่านผู้อำนวยการและครูพ่ีเล้ียง
โรงเรียนอนุบาลวัดปา่ เลไลยก์ ทใ่ี หค้ ำปรึกษา และให้คำแนะนำ แกผ่ วู้ ิจยั ในการคน้ คว้าวิจยั ครงั้ นี้

ขอขอบพระคุณ นางอินทิรา พงษ์นาค และนางอรมรัตน์ เปี่ยมดนตรี อาจารย์นิเทศก์ ที่ให้
ความรู้ คอ่ ยให้ปรกึ ษา และคำแนะนำ รวมทั้งให้ข้อคิดเห็น ขอ้ เสนอแนะ และเสริมสรา้ งแนวคิดตา่ ง ๆ
แกผ่ วู้ ิจยั ตลอดมา ขอขอบพระคุณเปน็ อย่างสงู

ขอขอบพระคุณท่านผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลวัดปา่ เลไลยก์ นางสาวอารีย์ บัญญัติ ที่ให้
คำแนะนำและข้อเสนอแนะ รวมถึงการให้กำลังใจแก่ผู้วิจัย และช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ อันเป็น
ประโยชน์ต่องานวิจัยเล่มน้ี ขอขอบพระคุณเป็นอยา่ งสูง

ขอขอบพระคุณนางสาวอรุณ เรือนรอบ และนางสาวสุรีย์ ดาวอุดม คุณครูพี่เลี้ยงโรงเรียน
อนุบาลวัดป่าเลไลยก์ ที่ให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะ รวมถึงการให้กำลังใจแก่ผู้วิจัย และช่วยเหลือ
ในดา้ นตา่ ง ๆ อนั เปน็ ประโยชนต์ อ่ งานวจิ ยั เลม่ นี้ ขอขอบพระคุณเป็นอยา่ งสูง

ผู้วจิ ัยขอนอ้ มรำลึกถงึ พระคณุ บิดา มารดา ทอี่ บรมเล้ียงดดู ว้ ยความรกั และความอบอุ่นตลอด
มา ขอขอบคุณพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือด้วยดี คุณค่าและประโยชน์
อันพึงมีจากวิจัยในชั้นเรียนเล่มนี้ ผู้วิจัยขอน้อมบูชาแด่บุพการี ตลอดจนบูรพาจารย์ผู้มีพระคุณ
ทกุ ท่าน

ศิริลกั ษณ์ มัน่ คง



สารบญั

หน้า
บทคัดยอ่ ........................................................................................................................................... ก
กติ ตกิ รรมประกาศ............................................................................................................................ ข
สารบัญ............................................................................................................................................. ค
สารบัญตาราง....................................................................................................................................จ
สารบัญภาพ...................................................................................................................................... ฉ
บทท่ี
1 บทนำ...................................................................................................................................1

1.1 ความเป็นมาและความสำคญั ของปัญหา.........................................................................1
1.2 วัตถุประสงค์ของการวจิ ยั ...............................................................................................3
1.3 สมมติฐานของการวิจัย ...................................................................................................3
1.4 กรอบแนวคิดในการวจิ ัย.................................................................................................3
1.5 ขอบเขตของการวิจัย......................................................................................................3
1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ ...........................................................................................................4
1.7 ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะได้รับ.............................................................................................4
2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วข้อง ..........................................................................................5
2.1 หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ)
ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4...........................................................................................................5
2.2 รำวงมาตรฐาน ...............................................................................................................7
2.3 แนวคิดห้องเรยี นกลบั ด้าน........................................................................................... 11
2.4 งานวิจยั ทเี่ กย่ี วข้อง...................................................................................................... 20
3 วธิ ีการดำเนินงานวจิ ัย....................................................................................................... 22
3.1 กรอบแนวคิด .............................................................................................................. 22
3.2 กลุม่ เปา้ หมาย ............................................................................................................. 22
3.3 เครือ่ งมือที่ใช้ในการวจิ ยั .............................................................................................. 22
3.5 การเก็บรวบรวมข้อมลู ................................................................................................. 23
3.6 สถติ ิทใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล .................................................................................... 23



สารบญั

หน้า
บทท่ี
4 ผลการวจิ ยั ........................................................................................................................ 24

4.1 ผลการประเมินทักษะการปฏบิ ัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) หลังการเรียนโดย
รปู แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ นสงู กว่าร้อยละ 70...................................................................... 25
5 สรุปผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ............................................................................. 29
5.1 สรุปผลการวิจยั ........................................................................................................... 29
5.2 อภิปรายผล................................................................................................................. 29
5.3 ข้อเสนอแนะ ............................................................................................................... 30
บรรณานกุ รม.................................................................................................................................. 32
ภาคผนวก
ภาคผนวก -แบบประเมนิ ทกั ษะการปฏบิ ัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) ..... 33
ประวตั คิ ณะผู้วจิ ยั ........................................................................................................................... 38



สารบญั ตาราง

หน้า
บทที่ 2

ตารางท่ี 1 ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลางของมาตรฐานการเรียนรูศ้ 3.1ชน้ั
ประถมศึกษาปีท่ี 4................................................................................................................6
ตารางท่ี 2 ตัวช้ีวัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลางของมาตรฐานการเรยี นรู้ศ 3.2ชน้ั
ประถมศึกษาปีท่ี 4................................................................................................................6
ตารางที่ 3 ลำดับเพลงและท่ารำของรำวงมาตรฐาน..............................................................9
บทที่ 4
ตารางท่ี 1 ผลคะแนนตามเกณฑ์การประเมินการปฏบิ ตั ทิ า่ รำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย)
ของกลุ่มเปา้ หมาย.............................................................................................................. 25



สารบัญภาพ

หน้า
บทท่ี 1

ภาพท่ี 1 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั .........................................................................................3
บทที่ 2

ภาพที่ 2 แสดงรูปแบบการรำวงมาตรฐาน.......................................................................... 10
บทท่ี 3

ภาพที่ 3 กรอบแนวคิดในการวิจยั ...................................................................................... 22

บทที่ 1
บทนำ

1.1 ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา

การเรียนรู้ในสถานศึกษายุคสมัยศตวรรษเดิมครูมีหน้าที่สอนหรือสั่งสอนผู้เรียนให้ความรู้
หากแตร่ ปู แบบการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 แตกต่างออกไปอย่างส้นิ เชิง ดังคำกล่าวทีว่ า่ การศึกษาท่ีมี
คณุ ภาพนั้น ครตู ้อง “ก้าวขา้ มสาระวิชา” ไปสูก่ ารเรยี นรู้ “ทักษะ เพื่อการดำรงชวี ิตในศตวรรษที่ 21”
(21st Century Skills) ที่ครูสอนไม่ได้นักเรียนต้องเรียนเอง หรือพูดใหม่ว่า ครูต้องไม่สอนแต่ต้อง
ออกแบบการเรียนรู้ และ อำนวยความสะดวก (facilitate) การเรียนรู้ให้นกั เรียนเรียนรู้จากการเรยี น
แบบลงมือทำหรือปฏิบัติแล้วการเรียนรู้ก็จะเกิดจากภายในใจและสมองของตนเอง การเรียนรู้แบบน้ี
เรียกว่า PBL (Project-Based Learning) (วิจารณ์ พานิช, 2556 : 9) อาจกล่าวได้ว่าการศึกษาใน
ศตวรรษที่ 21 ผู้สอนตอ้ งไม่เป็นผู้สอนเพยี งอย่างเดียว หากแต่ผู้สอน ต้องเรยี นรู้พรอ้ มผู้เรียนปรับปรุง
เปลยี่ นแปลงรปู แบบการสอน แผนการสอน วธิ สี อน เทคนิคการสอน หรือนวัตกรรมการสอนใหม่ ๆ ท่ี
จะพัฒนาการสอนการเรียนรู้ให้ทันตามยุคสมัยสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงผกผันอย่างรวดเร็ว ผู้สอน
ควรเน้นให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยผู้สอนมีหน้าที่ช่วยแนะนำ (Coaching) ออกแบบการ
เรียนการสอนตามรูปแบบการสอน PBL (Project-Based Learning) โดยรูปแบบวิธีการจัดการเรียน
การสอนมีหลายวิธี หนึ่งในรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่นิยมและสอดคล้องกับการสร้างการ
เรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่มีพลังและเกิดทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 คือ การสอนแบบ
ห้องเรียนกลบั ด้าน (Flipped Classroom)

การสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) ของ Jonathan Bergman และ
Aaron Sams เป็นการเรียนแบบกลับด้าน โดยเปลี่ยนรูปแบบวิธีการสอนแบบเดิมที่ผู้สอนบรรยาย
เน้ือหาในห้องเรยี น แล้วให้ผู้เรียนกลับไปทำการบ้านสง่ ผู้สอนเปลย่ี นเป็นผเู้ รียนเป็นผคู้ น้ คว้าหาความรู้
ด้วยตนเอง ผ่านระบบเทคโนโลยวี ีดีโอหรือบทเรยี นออนไลนท์ ่ีผูส้ อนจัดหาให้ก่อนเข้าชัน้ เรียน และมา
ทำกิจกรรมในห้องเรียน โดยผู้สอนมีหน้าที่คอยแนะนำ หัวใจสำคัญของการสอนแบบ Flipped
Classroom คือ การใช้เทคโนโลยีการเรียนการสอนที่ทันสมัยและให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้ผ่าน
กิจกรรมซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะกระตุ้นให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้อย่างเต็มที่ (Jureerat
Thomthong, 2557)

วิชานาฏศิลป์ไทยนั้นมุ่งเน้นให้ผูเ้ รียนมีความรู้ ความเข้าใจองค์ประกอบนาฏศิลป์ แสดงออก
ทางนาฏศิลปอ์ ยา่ งสร้างสรรค์ ใชศ้ พั ทเ์ บ้ืองตน้ ทางนาฏศิลป์ วเิ คราะห์วพิ ากษ์ วิจารณ์คุณค่านาฏศิลป์
ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ สร้างสรรค์การเคลื่อนไหวในรูปแบบต่าง ๆ ประยุกต์ใช้
นาฏศลิ ป์ในชีวิตประจำวนั เข้าใจความสัมพนั ธ์ระหวา่ งนาฏศิลป์กับประวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรม

2

เห็นคุณค่าของนาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และสากล
ถือได้ว่าวิชานาฏศิลป์จัดเป็นกิจกรรมหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการเรียนการสอน เพราะเป็นกิจกรรมที่
สามารถส่งเสริมจินตนาการของผู้เรียนให้สามารถกล้าคิด กล้าแสดงออกอย่างอิสระและสร้างสรรค์

จากการที่ผู้วิจัยได้ทำการสำรวจปัญหาการเรียนการสอน ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ
สาระนาฏศิลป์ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอนุบาลวัดป่าเลไลยก์ จังหวัดสุพรรณบุรี
พบว่า รายวิชานาฏศิลป์ในหน่วยการเรียนรูก้ ารแสดงนาฏศิลปเ์ ป็นหมู่ เรื่องรำวงมาตรฐาน (ชาวไทย)
มีรายละเอียดของเนื้อหาที่มากพอสมควร เป็นเนื้อหาที่เน้นไปในทางการปฏิบัติ และเนื่องจาก
สถานการณ์การระบาดของไวรสั โคโรนาสายพันธ์ุใหม่ COVID-2019 ทำให้ไม่สามารถจัดการเรียนการ
สอนตามปกติได้ จึงต้องเปลี่ยนการจัดการเรยี นการสอนให้เป็นในรูปแบบออนไลน์ มีการปฏิบัติทา่ รำ
ผ่านระบบออนไลน์ทำให้ผู้เรียนไม่สามารถปฏิบัติท่ารำได้ถูกต้องและไม่สามารถป ฏิบัติท่ารำได้ตรง
ตามจงั หวะ ทำให้ผู้เรียนมผี ลการประเมินการปฏบิ ตั ิตำ่ กว่าเกณฑ์ทีต่ ั้งไว้

จากปัญหาในการจัดการเรียนการสอนที่ได้กล่าวมาข้างต้น พบว่าแนวคิด “ห้องเรียนกลับ
ด้าน” (Flipped Classroom) เปน็ รปู แบบการเรียนการสอนท่ีสอดคล้องกับแนวคิดการจัดการเรียนรู้
ที่ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญอย่างแท้จริง (วิจารณ์ พานิช. 2556) โดยเป็นแนวทางในการเรียนการสอน
รปู แบบใหม่ท่ี โดยเปลย่ี นจากการสอนแบบเดมิ ทีเ่ รียนทีห่ ้องแล้วกลับไปทำการบ้านที่บา้ น เป็นเรียนท่ี
บ้านจากส่ือการสอน ไฟล์วิดีโอท่ีครูสรา้ งหรอื จากเว็บไซตท์ ี่ครูกำหนดแลว้ นำงานหรอื การบ้านท่ีไดร้ ับ
มอบหมายมาทำที่ห้องเรียน ฝึกคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหาแล้วนำมาอภิปรายร่วมกันใน ชั้นเรียน โดยมี
ครูคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด (สุรศักดิ์ ปาเฮ. 2556) ผู้วิจัยจึงเลือกทำการแก้ไขปัญหาการเรียน
การสอนรายวิชานาฏศิลป์ โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลบั ด้าน เพื่อให้นักเรียนมี
ผลการประเมนิ การปฏบิ ัติและทักษะการปฏิบัติที่ดีข้ึน เนื่องจากการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับ
ด้านจะช่วยให้นักเรียนมีเวลามากพอที่จะฝึกการปฏิบัติ การคิด และการวิเคราะห์ ผ่านการฝึกปฏิบัติ
ด้วยตนเองหรือพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวคิดกับเพื่อนร่วมชั้นและครูดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้นำรูปแบบการ
จัดการเรยี นรูแ้ บบหอ้ งเรียนกลับด้าน เพอ่ื สง่ เสริมใหผ้ เู้ รยี นพฒั นาทัง้ ทางด้านเน้อื หาและทักษะปฏิบัติ
มากยิง่ ขน้ึ เพอื่ ส่งผลใหผ้ เู้ รียนเกดิ กระบวนการเรียนร้ทู ี่มปี ระสิทธิภาพอย่างแทจ้ รงิ

3

1.2 วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ัย
เพ่อื ศึกษาผลการประเมินทกั ษะการปฏิบตั ิท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) โดยใชก้ าร

เรียนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom)

1.3 สมมติฐานการวจิ ัย
นักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4 มีผลการประเมินทักษะการปฏบิ ัตทิ ่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน

(ชาวไทย) หลงั การเรยี นโดยรปู แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ นสงู กวา่ ร้อยละ 70

1.4 กรอบแนวคิดในการวจิ ัย ตัวแปรตาม
ตวั แปรต้น

การจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการสอนแบบ ผลการประเมนิ ทักษะการปฏบิ ัตทิ ่ารำเพลง
ห ้ อ ง เ ร ี ย น ก ล ั บ ด ้ า น ( Flipped Classroom) รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) สงู กว่ารอ้ ยละ 70
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
โรงเรียนอนุบาลวดั ป่าเลไลยก์

ภาพที่ 1 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั

1.5 ขอบเขตในการวิจยั
1.5.1 ขอบเขตด้านเนื้อหาการวิจัยครั้งนี้นําเสนอเนื้อหาเรื่อง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย)

โดยกล่าวถงึ การปฏบิ ัติท่ารำเพลงรำวงมาตรฐาน (ชาวไทย)
1.5.2 ขอบเขตด้านประชากร
1) กลุ่มเป้าหมายในการครั้งวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

โรงเรียนอนุบาลวัดป่าเลไลยก์ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
จำนวน 82 คน

1.5.3.ตัวแปรการวิจัย
1) ตัวแปรตน้

การจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped
Classroom) สำหรับนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรียนอนบุ าลวัดป่าเลไลยก์

4

2) ตวั แปรตาม
ผลการประเมินทักษะการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย)

สูงกวา่ รอ้ ยละ 70

1.6 นยิ ามศัพท์เฉพาะ
1.6.1 การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน หมายถึง การจัดการเรียนรู้โดยให้นักเรียน

เรียนนอกห้องเรียนจากสื่อการสอน ไฟล์วิดีโอที่พัฒนาขึ้น ค้นคว้าจากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องแล้วนำงาน
หรอื การบ้านท่ไี ด้รับมอบหมายมาทำท่หี ้องเรยี น ฝึกคิด วเิ คราะห์ แกป้ ัญหาแลว้ นำมาอภิปรายร่วมกัน
ในชั้นเรยี น โดยมีครูคอยใหค้ ำแนะนำอย่างใกล้ชดิ

1.6.2 การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน วิชานาฏศิลป์ เรื่อง รำวงมาตรฐาน (ชาว
ไทย) หมายถึง แผนการจัดการเรียนรู้และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้วิชา
นาฏศิลป์ เร่อื ง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) ทจี่ ดั การเรียนรแู้ บบห้องเรียนกลับด้านโดยใช้ระบบช้ันเรียน
ออนไลน์ โดยนักเรียนจะต้องศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองมาก่อนล่วงหน้าซึ่งเป็นกิจกรรมนอก
ห้องเรียนจากนั้นกิจกรรมในชั้นเรยี น นกั เรียนจะไดฝ้ ึกทกั ษะการปฏิบตั ิโดยใช้กระบวนการของ Polya
หรือฝึกปฏิบัติการทดลองด้วยตนเอง โดยมีครูเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือและแนะนำอย่างใกล้ชิด ซึ่ง
แผนการจดั การเรียนร้แู บบห้องเรยี นกลับด้านมีข้นั ตอนการจัดการเรยี นรู้ ดังน้ี ข้ันท่ี 1 กำหนดยุทธวิธี
เพิ่มพูนประสบการณ์ (Experiential engagement) ข้ันที่ 2 สืบค้นเพื่อให้เกิดมโนทัศน์รวบยอด
(Concept exploration) ขั้นที่ 3 สร้างองค์ความรู้อย่างมีความหมาย (Meaning making) ขั้นที่ 4
สาธติ และประยุกตใ์ ช้ (Demonstration and application)

1.7 ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะได้รับ
1.7.1 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีผลการประเมินทักษะการปฏิบัติท่ารำเพลง

รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) สูงกว่าร้อยละ 70

บทท่ี 2
เอกสารและงานวิจยั ท่เี กี่ยวข้อง

ในการแก้ปัญหาเรื่องทักษะการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) โดยใช้วิธีการ
สอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
โรงเรียนอนุบาลวัดป่าเลไลยก์ ผู้วิจัยได้มีการศึกษาตำรา แนวคิด ทฤษฎี และเอกสารงานวิจัยท่ี
เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาประกอบการวิจัยดังรายละเอียดที่จะนำเสนอตามลำดับและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ดงั รายละเอียดต่อไปน้ี

2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (กล่มุ สาระการเรยี นรศู้ ิลปะ)
ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 4

2.2 รำวงมาตรฐาน
2.3 แนวคดิ หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น
2.4 งานวิจยั ท่เี กย่ี วขอ้ ง
2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ)
ช้นั ปนะถมศึกษาปที ่ี 4
กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะเป็นกลุ่มสาระที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
มีจินตนาการทางศิลปะ ชื่นชมความงาม มีสุนทรียภาพ ความมีคุณค่า ซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์
กิจกรรมทางศิลปะช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม ตลอดจน
การนำไปสู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่นในตนเอง อันเป็นพื้นฐาน ใน
การศกึ ษาตอ่ หรือประกอบอาชีพได(้ กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2551)
กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ มีทักษะวิธีการทาง
ศิลปะ เกิดความซาบซึ้งในคุณค่าของศิลปะ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงออกอย่างอิสระในศิลปะแขนง
ตา่ ง ๆ ประกอบดว้ ยสาระสำคญั คือ สาระท่ี 1 ทศั นศลิ ปส์ าระที่ 2 ดนตรแี ละสาระที่ 3 นาฏศิลป์
สาระท่ี 3 นาฏศลิ ป์

ผู้เรียนจะได้เรยี นรูเ้ พื่อใหม้ ีความรู้ความเขา้ ใจองค์ประกอบนาฏศิลป์ แสดงออกทาง
นาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ ใช้ศัพท์เบื้องต้นทางนาฏศิลป์ วิเคราะห์วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่านาฏศิลป์
ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ สร้างสรรค์การเคลื่อนไหวในรูปแบบต่าง ๆ ประยุกต์ใช้
นาฏศิลป์ ในชีวิตประจำวัน เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์กับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เห็น
คุณค่าของนาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และสากล โดยใน
ระดบั ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 4 ได้กำหนดตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง ดังนี้

6

มาตรฐาน ศ 3.1 เขา้ ใจและแสดงออกทางนาฏศิลปอ์ ย่างสร้างสรรคว์ เิ คราะห์วิพากษ์วิจารณ์
คณุ ค่านาฏศิลป์ ถ่ายทอดความรสู้ กึ ความคิดอย่างอสิ ระ ชืน่ ชม และประยุกตใ์ ช้ในชวี ิตประจำวนั

ตารางที่ 1 ตวั ชี้วดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลางของมาตรฐานการเรียนรศู้ 3.1ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4

ชัน้ ตั้วช้ีวดั สาระการเรยี นรู้

ป.4 1. ระบุทักษะพื้นฐานทางนาฏศิลป์และการ • หลักและวิธีการปฏบิ ัตนิ าฏศิลป์

ละครทใี่ ช้สื่อความหมายและอารมณ์ - การฝกึ ภาษาท่า

- การฝึกนาฏยศัพท์

2. ใช้ภาษาท่าและนาฏยศัพท์หรือศัพท์ • การใช้ภาษาท่าและนาฏยศัพท์

ทางการละครงา่ ย ๆ ในการถา่ ยทอดเร่ืองราว ประกอบเพลงปลุกใจ เพลงพระราช

นิพนธแ์ ละเพลงในทอ้ งถ่ิน

• การใช้ศัพท์ทางการละครในการ

ถ่ายทอดเร่อื งราว

3. แสดง การเคล่ือนไหวในจังหวะต่าง ๆ ตาม • การประดษิ ฐท์ า่ ทางหรอื ทา่ รำประกอบ

ความคิดของตน จังหวะพื้นเมอื งและจงั หวะทส่ี นใจ

4. แสดงนาฏศิลป์เป็นคู่ และหมู่ • การแสดงนาฏศลิ ป์ ประเภทคู่และหมู่

- รำวงมาตรฐาน

- ระบำ

มาตรฐาน ศ.3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
เห็นคณุ ค่าของนาฏศลิ ป์ที่เปน็ มรดกทางวัฒนธรรม ภมู ิปญั ญาท้องถ่นิ ภมู ิปญั ญาไทยและสากล

ตารางที่ 2 ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลางของมาตรฐานการเรยี นรูศ้ 3.2ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4

ช้นั ตวั้ ชี้วัด สาระการเรียนรู้

ป.4 1. อธิบายประวัติความเป็นมาของนาฏศิลป์ • ความเปน็ มาของนาฏศลิ ป์

หรือชดุ การแสดงอยา่ งง่าย ๆ • ท่ีมาของชุดการแสดง

2. เปรียบเทยี บการแสดงนาฏศลิ ปก์ บั การแสดง • การชมการแสดง

ทมี่ าจากวฒั นธรรมอน่ื - การแสดงนาฏศิลปส์ ภ่ี าค

การแสดงของท้องถนิ่

7

3. อธิบายความสำคัญของการแสดงความ • ความเป็นมาของนาฏศลิ ป์

เคารพในการเรยี นและการแสดงนาฏศิลป์ - การทำความเคารพกอ่ น

เรยี นและก่อนแสดง

- แนวทางการสืบสานและ

อนุรักษ์นาฏศิลป์การไหว้ครู

ดนตรี - นาฏศิลป์

4. ระบเุ หตผุ ลทค่ี วรรักษา และสืบทอด • ความเป็นมาของนาฏศิลป์

การแสดงนาฏศลิ ป์ คุณคา่ ของนาฏศิลป์

สรุปได้ว่าหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้
ศิลปะนั้นมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ มีทักษะวิธีการทางศิลปะ เกิดความซาบซึ้งใน
คุณค่าของศิลปะอันประกอบด้วย สาระทัศนศิลป์ สาระดนตรี และสาระนาฏศิลป์ โดยมาตรฐานการ
เรียนรู้สาระนาฏศิลป์ของระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย ทักษะพิสัย
และจิตพิสัย ที่เกี่ยวข้องกับการแสดงนาฏศิลป์ ซึ่งผู้วิจัยได้จัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน
ใหส้ อดคลอ้ งกบั มาตรฐานและตัวช้ีวดั การเรยี นรคู้ อื ปฏบิ ัตทิ ่ารำเพลงรำวงมาตรฐาน

2.2 รำวงมาตรฐาน
2.2.1 ประวัติความเปน็ มาของราํ วงมาตรฐาน
รําวงมาตรฐาน เป็นการละเล่นที่มีมาช้านาน ดังที่ กรมศิลปากร (2514 : 7-9)

ได้ให้ความหมายรําวงมาตรฐานวา “รำวง” มีกำเนิดมาจากรําโทน ซึ่งแต่เดิมรําโทนเป็นการละเล่น
พน้ื เมอื งอย่างหนง่ึ ของชาวไทยท่ีนยิ มเล่นกันในฤดเู ทศกาลของท้องถนิ่ ในบางจังหวัด คำว่า “รําโทน”
สนั นิษฐานวา่ เรียกชือ่ จากการเลยี นแบบเสยี งตามเครื่องดนตรีประกอบจังหวะที่ใช้เปน็ หลักคอื “โทน”
ซง่ึ ตเี ปน็ ลำนาํ เสียง “ปะ โทน ปะ โทน ปะ โทน โทน” เคร่ืองดนตรีทใ่ี ช้ในการรำโทน ไดแ้ ก่ ฉ่ิง กรับ
และโทน

ลักษณะรําโทนนั้นเป็นการรําคู่ระหว่างชายกับหญิง ให้เข้ากับจังหวะโทน โดยไม่มี
ท่ารำกำหนดเปน็ แบบแผนตายตวั

ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 รําโทนได้รับความนิยมอย่างแพรหลาย จึงมีผู้ประพันธ์
ลำนาํ เพลงและบทร้องประกอบการรำขึ้น นิยมนำไปเล่นกันแพร่หลายตามจังหวดั อื่น ๆ บทร้องอาจมี
หลายลกั ษณะเริ่มต้งั แต่บทชมโฉม เกย้ี วพาราสี บทสพั ยอกหยอกเยา้ และบทพรอดพรำ่ ร่ำลาจากกนั

8

ระหว่างสงครามโลกครงั้ ที่ 2 (พ.ศ. 2484 - 2489) ประชาชนในจังหวัดพระนครและ
ธนบุรี ปัจจุบันคือกรุงเทพมหานคร พากันนิยมเล่นรําโทนทัว่ ไป รัฐบาลสมยั จอมพล ป. พิบูลสงคราม
ไดม้ ีวตั ถุประสงคท์ จ่ี ะเชดิ ชศู ิลปะการเลน่ ราํ โทนให้มีระเบียบ เปน็ แบบแผนอนั ดีงามตามแบบนาฏศลิ ป์
ไทย จึงมอบให้กรมศิลปากรพิจารณาปรับปรุง การเล่นรําโทนเมื่อ พ.ศ. 2487 กรมศิลปากรจึงสร้าง
บทรองประกอบการรำขึน้ ใหม่ 4 บท คอื

- เพลงงามแสงเดอื น
- เพลงชาวไทย
- เพลงราํ ซิมารํา
- เพลงคืนเดอื นหงาย
โดยการปรับปรุงทํานองเพลงและเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการเล่น พร้อมทั้งจัดท่า
รำให้ดูงดงาม ถูกต้องตามแบบฉบับท่ารําวงมาตรฐานของนาฏศิลป์ไทย คือนําแม่ท่าในบทรำแม่บท
อาทิเช่น ท่าสอดสร้อยมาลา ท่าชักแปงผัดหนา เป็นต้น มากำหนดไว เป็นแบบฉบับท่ารำมาตรฐาน
และเปลี่ยนชื่อที่เรียกว่า “รำโทน” มาเป็น “รำวง” โดยเหตุผลที่ ว่าผู้เล่นรํากันเป็นวงนั่นเอง
ต่อมาท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ได้แต่งบทร้องที่ใช้ประกอบการรำวงขึ้นใหม่อีก 6 บท
โดยเป็นทาํ นองของกรมศลิ ปากร 3 เพลง คอื
- เพลงดอกไมข้ องชาติ
- เพลงดวงจันทร์วนั เพญ็
- เพลงบชู านักรบ
และทำนองของกรมประชาสมั พนั ธ์ 3 เพลง คือ
- เพลงหญงิ ไทยใจงาม
- เพลงดวงจนั ทร์ขวัญฟา้
- เพลงยอดชายใจหาญ
ผู้ประพันธ์บทร้องทั้ง 4 เพลงของกรมศิลปากร คือ จมื่นมานิตย นเรศ (เฉลิม
เศวตนันท) ขณะนั้นดำรงตําแหน่งหัวหน้ากอง กองการสังคีตผู้ปรับปรุงทํานองเพลง คือ นายมนตรี
ตราโมท ขณะนั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกดุริยางค์ไทย สำหรับผู้ประดิษฐ์ท่ารํา คือ หม่อมตวน
(นางศภุ ลกั ษณ ภทั รนาวกิ ) นางมลั ลี คงประภัศร และนางลมุล ยมะคุปต์ เพอ่ื ให้ประชาชนชาวไทยได้
รํากันอย่างแพร่หลายและมีแบบแผนอันเดียวกัน กรมศิลปากรจึงได้เรียกชื่อการรํานี้ว่า
“ราํ วงมาตรฐาน” มาจนถงึ ปจั จุบนั

9

2.2.2 เครอ่ื งแตง่ กายของรำวงมาตรฐาน
เคร่ืองแต่งกายของรําวงมาตรฐาน ประกอบดวย 4 ประเภทคอื
1) การแตง่ กายแบบชาวบาน
ผชู้ าย นุ่งผาโจงกระเบน สวมเส้ือคอพวงมาลยั เอวคาดผ้าห้อยชายด้านหน้า
ผู้หญิง นุ่งโจงกระเบน ห่มผ้าสไบอัดจีบ ปล่อยผม ประดับดอกไม้ที่ผมด้านซ้าย

คาดเข็มขดั ใสเคร่ืองประดับ
2) การแตง่ กายแบบรชั กาลที่ 5
ผชู้ าย นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อราชปะแตน ใส่ถุงเทา้ รองเทา้
ผู้หญิง นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อลูกไม้สไบพาดบาผูกเป็นโบวทิ้งชายไว้ข้าง

ลำตัวด้านซ้าย ใส่เครื่องประดับมุก
3) การแตง่ กายแบบสากลนิยม
ผู้ชาย นุ่งกางเกง สวมสทู ผกู เนค็ ไท
ผู้หญงิ นุ่งกระโปรงป้ายข้าง ยาวกรอมเท้า ใส่เสอ้ื คอกลมแขนกระบอก
4) การแตง่ กายแบบราตรีสโมสร
ผูช้ าย นุ่งกางเกง สวมเสื้อพระราชทาน ผ้าคาดเอวห้อยชายด้านข้าง
ผูห้ ญิง นุ่งกระโปรงยาวจีบหนานาง ใส่เสื้อจบั เดรป ชายผ้าห้อยจากบ่าลงไปทางด้าน

หลัง เปิดไหล่ขวา ศีรษะทำผมเกลา้ เปน็ มวยสูงใสเ่ กี้ยวและเคร่อื งประดับ
2.2.3 เครื่องดนตรีของรำวงมาตรฐาน
แตเ่ ดมิ นั้น “ราํ โทน” มเี คร่อื งดนตรีประกอบ คือ ฉิ่ง กรบั และโทน เม่อื มีการพัฒนา

รําโทนนี้ขึ้นจึงได้มีการพัฒนาเครื่องดนตรีที่ใช้ในการแสดงรําวงมาตรฐานในปัจจุบัน 2 ประเภท คือ
วงดนตรีไทย และวงดนตรสี ากล

การลำดับเพลงและท่ารำของรำวงมาตรฐาน มดี ังนี้

ตารางที่ 3 ลำดบั เพลงและทา่ รำของรำวงมาตรฐาน

ที่ เพลง ทา่ รำ

1 เพลงงามแสงเดือน ท่าสอดสร้อยมาลา

2 เพลงชาวไทย ท่าชกั แปง้ ผัดหนา้

3 เพลงรำซมิ ารำ ท่ารำสา่ ย

4 เพลงคืนเดอื นหงาย ท่าสอดสร้อยมาลาแปลง

5 เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ ท่าแขกเต้าเข้ารวั , ท่าผาลาเพยี งไหล่

6 เพลงดอกไมข้ องชาติ ทา่ รำยั่ว

10

7 เพลงหญงิ ไทยใจงาม ทา่ พรหมสี่หนา้ , ทา่ ยูงฟ้อนหา่ ง
8 เพลงดวงจนั ทร์ขวัญฟา้ ทา่ ชา้ งประสานงา, ทา่ จนั ทร์ทรงกลดแปลง
9 เพลงยอดชายใจหาญ ผู้หญิง - ท่าชะนีร่ายไม้, ผู้ชาย – ท่าจอเพลิง
กาฬ
10 เพลงบชู านักรบ ท่าที่ 1 (ผู้หญิง - ท่าขัดจางนาง, ผู้ชาย – ท่า
จนั ทรท์ รงกลด)
ท่าท่ี 2 (ผ้หู ญงิ - ท่าลอ่ แกว้ , ผ้ชู าย - ท่าขอแกว้ )

หลักการลำดับขึ้นอยู่กับการจัดลำดับจากง่ายไปยาก ตลอดจนการใช้ท่ารําที่สัมพันธ์
และสืบเน่อื งกันตามขนั้ ตอน การสอนขน้ึ อยู่กบั วิธกี ารของครู

2.3.4 โอกาสท่ใี ช้ในการแสดง
เผยแพร่ให้ประชาชนชม และแสดงในงานรื่นเริงต่าง ๆ หรือแสดงในโอกาสตอน

รับแขกตางบานตา่ งเมือง หรือราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจาอยูห่ วั
2.3.5 วิธกี ารแสดง
1) การจดั วงราํ วงมาตรฐานน้นั ให้ผูห้ ญิงยนื อยดู่ า้ นหน้าผู้ชาย ท้ังสองหนั หน้าไปตาม

วงในลกั ษณะทวนเข็มนาฬกิ า คู่ถัดไปใหยืนต่อหลังไป จดั ระยะวงราํ ให้สวยงามกับจำนวนผูร้ าํ ทง้ั วง
2) แสดงแบบระบำหมู่หญิง - ชาย หลาย ๆ คู่
3) การแสดงแตล่ ะครง้ั ไม่ควรน้อยกว่า 5 คโู่ ดยให้พจิ ารณาตามสถานท่ี
4) ต้องใหม้ คี วามพร้อมเพรยี งกันในเวลาแสดง ระวังระยะระหวา่ งคู่ไม่ให้ห่างหรือชิด

จนเกินไป ระวังอยา่ ให้วงเบี้ยวหรือวงขาด
5) ก่อนจะเร่ิมราํ หญงิ - ชาย ทำความเคารพกนั ดว้ ยการไหว้ดว้ ยท่าทางสุภาพ
6) ก่อนรำแตล่ ะเพลง ดนตรนี าํ 1 วรรค เพ่อื ให้ผ้รู ำตง้ั ตนจังหวะได้พร้อมกนั

ภาพแสดงรปู แบบการรำวงมาตรฐาน

ผหู้ ญงิ
ผูช้ าย

ภาพท่ี 2 แสดงรูปแบบการรำวงมาตรฐาน

11

สรุปได้ว่าเนื้อหาของรำวงมาตรฐานประกอบไปด้วยประวัติความเป็นมา เครื่องแต่ง
กาย เครื่องดนตรี เพลง ท่ารำประกอบเพลง โอกาสที่ใช้ในการแสดง และวิธีการแสดง ซึ่งตามแนว
ทางการสอน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอนุบาลวัดป่าเลไลยก์ กำหนดเนื้อหาในการเรียนรู้การ
ปฏิบัติรำวงมาตรฐาน เพลงชาวไทย โดยผู้วิจัยจึงนำการปฏิบัติท่ารำเพลงชาวไทยเป็นขอบเขตในการ
แก้ปญั หาเร่ือง ทกั ษะการปฏบิ ตั ทิ า่ รำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) โดยใช้วธิ ีการสอนแบบหอ้ งเรยี น
กลบั ดา้ น (Flipped Classroom)

2.3 แนวคดิ เกีย่ วกับการจัดการเรยี นรูแ้ บบห้องเรียนกลับด้าน
การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน ได้มีนักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวแนวคิด

เก่ยี วกับหอ้ งเรียนกลับด้านไว้ดงั นี้
Bergmann J. and Sams A (2012) ได้กล่าวว่า รูปแบบห้องเรียนกลับด้าน เป็นวิธีการที่

ครอบคลุมการใช้งานและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต เพื่อยกระดับการเรียนรู้
ในห้องเรียนต่าง ๆ ของคุณเพื่อให้คุณสามารถใช้เวลามากขึ้นในการมีปฏิสมั พันธ์กับนักเรยี นแทนการ
บรรยายหน้าชั้นเรียนเพียงอย่างเดียว ซงึ่ วธิ ีการท่ีถกู ใชเ้ ป็นส่วนใหญ่มักจะทำการสอนโดยใช้วิดีโอที่ถูก
สร้างขึ้นโดยครู ซึ่งนักเรยี นสามารถเรยี นรู้ได้นอกเวลาเรียน Jonathan และAaron เรยี กกวา่ หอ้ งเรียน
กลับด้าน เพราะกระบวนการเรียนและการบ้านทั้งหมดจะ “พลิกกลับ” สิ่งที่เคยเป็นกิจกรรมในช้ัน
เรียน เช่นการจดบันทึก (lecture) จะถูกทำที่บ้านผ่านทางวิดีโอที่ครูสร้างขึ้นและสิ่งที่เคยต้องทำท่ี
บ้าน (งานต่าง ๆ ได้รับมอบหมาย) จะนำมาทำในชน้ั เรยี น

จันทิมา ปัทมธรรมกุล (2555) ได้กล่าวไว้ว่า ห้องเรียนกลับด้าน หมายถึงกระบวนการเรียน
การสอนรูปแบบหนง่ึ ซ่งึ เปล่ยี นการใชช้ ว่ งเวลาของการบรรยายเนอ้ื หา (Lecture) ในห้องเรยี นเปน็ การ
ทำกจิ กรรมต่าง ๆ เพ่ือฝกึ แก้โจทย์ปัญหาและประยุกตใ์ ชจ้ ริง ส่วนการบรรยาย จะอยู่ในชอ่ งทางอื่น ๆ
เช่น วิดีโอ วิดีโอออนไลน์ podcasting หรือ screencasting ฯลฯ ซึ่งนักเรียนเข้าถึงได้เมื่ออยู่ที่บ้าน
หรือนอกห้องเรียน ดังนั้น การบ้านท่ีเคยมอบหมายให้นักเรียนฝึกทำเองนอกห้องจะกลายมาเปน็ ส่วน
หนึ่งของกิจกรรมในห้องเรียนและในทางกลับกัน เนื้อหาที่เคยถ่ายทอดผ่านการบรรยายในห้องเรียน
จะเปลย่ี นไปอยใู่ นส่ือที่นักเรยี นอ่าน-ฟัง-ดู ไดเ้ องท่ีบา้ นหรือที่ไหน ๆ ก็ตาม ผสู้ อนอาจทิ้งโจทย์หรือให้
นักศกึ ษาสรปุ ความเนื้อหานน้ั ๆ เพอื่ ตรวจสอบความเข้าใจของนักศกึ ษาและนำมาอภิปรายหรือปฏิบัติ
จริงในหอ้ งเรียน

จากที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นนั้นผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า ห้องเรียนกลับด้านเป็นรูปแบบหนึ่งของการ
สอนคือ "เรียนที่บ้าน-ทำการบ้านที่โรงเรียน" โดยที่ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เนื้อหาจากที่บ้านหรือนอกชั้น
เรยี นผ่านการเรยี นด้วยตนเองจากส่ือการเรียนการสอน วดิ ีทัศน์ (Video) สว่ นการเรียนในชั้นเรียนนั้น
ให้นักเรียนทำกิจกรรมร่วมกัน เช่นนักเรียนสามารถตั้งคำถามจากการเรียนรู้ ด้วยตนเองที่สามารถ

12

อธิบายต่อได้ ใช้เทคโนโลยีสืบค้นหาความรู้ที่ได้ร่วมกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน นักเรียนเป็นผู้นำของการ
อภปิ รายในห้องเรยี น โดยมีครเู ป็นผู้คอยใหค้ วามช่วยเหลอื ชีแ้ นะ

2.3.1 เป้าหมายและวตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น
จันทิมา ปัทมธรรมกุล (2555) ได้กล่าวไว้ว่า เป้าหมายและวัตถุประสงค์การเรียนรู้

คือ ให้นักเรียนอ่านเนื้อหาล่วงหน้าและมาทำกิจกรรมในห้อง ลองนึกถึงการเรียนวิชาวรรณกรรมซึ่ง
นักเรียนต้องอ่านนวนิยายมาก่อนล่วงหน้าแล้วนำมาวิเคราะห์ต่อในห้องเรียนหรือการเรียนวิชาด้าน
กฎหมายซึ่งนำสิ่งที่อ่านมาแล้วมาอภิปรายต่อในบรรยากาศแบบ Socratic seminar ก็นับได้ว่าเข้า
ขา่ ยลกั ษณะของหอ้ งเรยี นกลับดา้ นไดใ้ นสว่ นหน่งึ (Berrett, 2012) ส่งิ ท่ี Eric Mazur ซง่ึ เปน็ อาจารย์/
นักฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Harvard ใช้วิธีการสอนที่เรียกว่า Peer instruction ที่เน้นการฝึก
กระบวนการคิดขั้นสูงมากกว่าการจดจำเนื้อหา และทำมาต่อเนื่องมาแล้วกว่า 21 ปี หรือโครงการ
SCALE-UP ที่ North Carolina State University ก็สอดคล้องในวิธีการสอนเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียน
ตั้งใจและมีส่วนร่วมในการเรียนรู้เชิงรุก การใช้เทคนิคและเครื่องมือการเรียนรู้ต่าง ๆ เป็นแนวคิดท่ี
คล้ายกบั การเรยี นรู้ ในห้องเรียนแบบ Flipped โดยจุดรว่ มของวิธีการสอนเหลา่ นค้ี ือการตอบโจทย์ว่า
จะทำให้นักศึกษาเกิดการเรียนรู้ ในห้องเรียนหรือมีส่วนร่วมในห้องเรียนมากขึ้น (engagement)
ได้อย่างไร ผ่านการเรียนรู้เชิงรุก การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative Learning) และการใช้
เทคโนโลยสี ารสนเทศเพือ่ การสอนและการเรยี นรู้ (ICT for teaching and learning) เปน็ ตน้

วิจารณ์ พานิช (2556,หน้า 42-44) เป้าหมายและวัตถุประสงค์การเรียนรู้ แบบ
ห้องเรียนกลับด้าน คือ สร้างสภาพการเรียนรู้ที่นักเรียนได้เรียนรู้เท่าเทียมกัน (equitable) ตาม
ธรรมชาติของนักเรียนท่ีแตกต่างกนั ซึ่งหมายความว่านักเรยี นต้องใช้เวลาและความพยายามแตกต่าง
กัน แต่ครูและห้องเรียนจะช่วยให้นักเรียนทุกคนเรียนบรรลุเป้าหมายเท่าเทียมกันในเวลาเรียน
ห้องเรียนกลับด้านเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันขจัดปัญหาและอุปสรรค ข้อพิสูจน์สุดท้ายคือ
ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนของนักเรียนทั้งชั้น ส่วนการเรียนแบบรู้จริง คือ ให้นักเรียนได้เรียนรู้ ตาม
วตั ถุประสงค์ชุดหนง่ึ ตามอัตราเร็วของการเรียนรู้ของตน ไม่ใชต่ ้องเรยี นตามอตั ราเร็วท่ีครหู รือชั้นเรียน
กำหนดการเรียนแบบนี้นกั เรียนต้องเรียกวัตถุประสงค์ไลต่ ามลำดับพื้นความรู้ก่อนหลัง คือต้องเข้าใจ
พื้นความรู้ชุดที่ 1 เสียก่อน จึงจะสามารถเรียนรู้และเข้าใจบทเรียนที่ 2 ได้ ลักษณะสำคัญของการ
เรยี นแบบรู้จรงิ คือ

1. นักเรยี นเรียนเปน็ กลุ่ม หรือเด่ียว ๆ ตามอตั ราเรว็ ท่เี หมาะสม
2. ครูคอยประเมินการเรียนรู้ (formative assessment) และวัดความเข้าใจของ
ศิษย์
3. นักเรียนพิสูจน์ว่าตนเรียนรู้ วัตถุประสงค์นั้น เข้าใจอย่างแท้จริง โดยสอบผ่าน
ขอ้ สอบ (summative assessment) นักเรยี นที่ยังสอบไม่ผ่านวัตถุประสงค์ข้อใด ได้รับการช่วยเหลือ

13

ผลการวจิ ัยบอกว่า การเรยี นแบบรู้จริง ชว่ ยเพ่ิมผลสัมฤทธขิ์ องเด็ก เพม่ิ ความร่วมมือระหว่างนักเรียน
เพม่ิ ความมน่ั ใจตนเองของนักเรียนและชว่ ยให้โอกาสนักเรียนได้แก้ตวั ในการเรียนรู้ให้บรรลุผลสัมฤทธิ์
หากพลาดในรอบแรก เมื่อเรียนแบบรู้จริงในชั้นต้น ๆ พื้นความรู้ก็แข็งพอที่จะขึ้นไปเรียนชั้นสูงขึ้นไป
ได้โดยไม่ยากลำบาก เพราะมีวีดีทัศน์ให้ดูเองกี่รอบก็ได้ หยุดบันทึกช่วยความเข้าใจก็ได้ ถอยหลัง
กลับไปดูบางตอนใหม่ก็ได้ นักเรียนจึงสามารถเรียนวิชาหรือทฤษฎีจนเข้าใจ หากยังไม่เข้าใจชัดแจ้งก็
ยังมีชั่วโมงเรียนในชั้นเรียนให้ฝึกทำแบบฝึกหัดโดยมีเพื่อนและครูคอยช่วยเหลือ ห้องเรียนแบบกลับ
ทางจึงช่วยให้การเรียนแบบรู้จริงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เทคโนโลยีคลังข้อสอบและการสอบโดยใช้
ไอซีที เป็นเครื่องมือ ช่วยให้เด็กสามารถทดสอบความเข้าใจของตนเองกี่ครั้งก็ได้ สอบแต่ละคร้ัง
ข้อสอบต่างกันทั้ง formative assessment และ summative assessment จึงไม่เป็นภาระหนัก
ของนักเรยี นและครูอกี ตอ่ ไป

การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านและเรียนให้รู้จริง ( flipped-mastery
classroom) เป็นการนำเอาวิธีการสองอย่างมาใช้ร่วมกัน โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วยสร้าง
บรรยากาศของการเรยี นรทู้ ี่นกั เรียนรจู้ รงิ มลี ักษณะเปน็ ห้องเรยี นที่นักเรียนแต่ละคน (หรือแต่ละกลุ่ม)
เรียนบทเรียนของตนที่ไม่ตรงกับของคน (หรือ กลุ่ม) อื่นแต่ละคน (กลุ่ม) อยู่กับกิจกรรมของตน
นักเรยี นทำกิจกรรมเพ่ือการเรียนรู้ของตน ครเู ดินไปรอบ ๆ หอ้ งเพ่ือตรวจสอบการเรียนรู้ของศิษย์แต่
ละคน (กลุ่ม) และคอยช่วยเชียร์หรือให้กำลังใจ หรือช่วยตั้งคำถาม หรือแนะวิธีช่วยตวั เองให้แก่ศิษย์
นกั เรยี นจะหาวธิ แี สดงให้ครเู ห็นวา่ ตนเขา้ ใจวตั ถุประสงค์ของการเรียนรู้ ขนั้ ตอนน้ัน โดยอาจไม่ใช่การ
ตอบขอ้ สอบทีม่ อี ยู่ในคอมพวิ เตอร์ก็ได้ ในขณะทหี่ อ้ งเรยี นแบบเดมิ จะมีลักษณะ เปน็ ระเบยี บเรียบร้อย
นักเรียนทกุ คนทำกิจกรรมเดียวกันทำพร้อมกัน หอ้ งเรียนแบบกลบั ทางและเรยี นให้รู้จริง มีลักษณะไม่
เป็นระเบียบ นักเรียนทำกิจกรรมที่ต่างกันเรียนไม่พร้อมกันแต่ละคนมีอัตราเร็วของการเรี ย ตามท่ี
เหมาะกับตน ครูต้องรู้เนื้อหาวิชาอย่างรู้จริงห้องเรียนแบบกลับทางและเรียนแบบรู้จริงนี้ ครูต้องมี
ความสามารถเปลี่ยนสวิตช์สมองจากเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่องหนึ่งได้ทันท่วงทีรวมทั้งต้องเข้าใจความ
เช่อื มระหวา่ ง 29 สาระวิชา ครตู อ้ งไมอ่ ายที่จะสารภาพกับเด็กวา่ ตนไม่รู้ ในบางเร่ือง น่ันคือครูต้องทำ
ตัวเป็น “ผู้เรียนรู้” มากกว่า เป็น “ผู้รอบรู้” เป้าหมายและวัตถุประสงค์การเรียนรู้
แบบห้องเรยี นกลบั ดา้ น

จากที่นักการศึกษาได้กล่าวไว้ ข้างต้นนั้น จึงพอสรุปได้ว่า เป้าหมายและ
วตั ถุประสงค์การเรยี นรู้แบบหอ้ งเรียนกลับทาง คอื

1. นกั เรยี นรบั ผิดชอบการเรยี นของตนเอง
2. หอ้ งเรยี นเต็มไปดว้ ยกจิ กรรมทีห่ ลากหลาย
3. การผสมผสานการใช้เทคโนโลยีกบั วิธีทที่ ำให้เกดิ กระบวนการเรียนรใู้ หม่ ๆ
4. ผ้เู รียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้

14

5. การมีปฏิสมั พนั ธ์ของนกั เรยี นและผู้ปกครองเพ่มิ มากขึ้น
2.3.2 องคป์ ระกอบการเรียนรแู้ บบหอ้ งเรียนกลบั ด้าน

ทัศนวรรณ รามณรงค์ (2556) ไดก้ ลา่ วไว้วา่ การจดั การเรยี นการสอนแบบห้องเรียน
กลับด้าน ซึ่งเป็นนวัตกรรมการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ในการสร้างผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้
แบบรอบด้านหรือ Mastery Learning นั้นจะมีองค์ประกอบสำคัญที่เกิดขึ้น 4 องค์ประกอบที่เป็น
วัฏจกั ร(Cycle) หมนุ เวยี นกนั อยา่ งเปน็ ระบบ ซึ่งองคป์ ระกอบทงั้ 4 ท่ีเกิดขึ้นได้แก่

1. การกำหนดยุทธวิธีเพิ่มพูนประสบการณ์ (Experiential Engagement) โดยมี
ครูผู้สอนเป็นผู้ช้ีแนะ วิธีการเรยี นรู้ให้กับผู้เรียนเพื่อเรียนเนื้อหาโดยอาศัยวธิ กี ารท่ีหลากหลายทั้งการ
ใช้กิจกรรมที่กำหนดขึ้นเอง เกม สถานการณ์จาลอง สื่อปฏิสัมพันธ์ การทดลอง หรืองานด้านศิลปะ
แขนงต่าง ๆ

2. การสืบค้นเพื่อให้เกิดมโนทัศน์รวบยอด (Concept Exploration) โดยครูผู้สอน
เป็นผู้คอยชี้แนะให้กับ ผู้เรียนจากสื่อหรือกิจกรรมหลายประเภทเช่น สื่อประเภทวิดีโอบันทึกการ
บรรยาย การใช้สอื่ บนั ทกึ เสียง ประเภท Podcasts การใชส้ อ่ื Websites หรือสอื่ ออนไลน์ Chats

3. การสร้างองค์ความรู้ อย่างมีความหมาย (Meaning Making) โดยผู้เรียนเป็น
ผู้บูรณาการสร้างทักษะ องค์ความรู้ จากสื่อที่ได้รับจากการเรียนรู้ ด้วยตนเองโดยการสร้างกระดาน
ความรู้อิเล็กทรอนิกส์ (Blogs) การใช้แบบทดสอบ (Tests) การใช้สื่อสังคมออนไลน์และกระดาน
สำหรับอภปิ รายแบบออนไลน์ (Social Networking & Discussion Boards)

4. การสาธิตและประยุกต์ใช้ (Demonstration & Application) เป็นการสร้างองค์
ความรู้โดยผู้เรียนเอง ในเชิงสร้างสรรค์ โดยการจัดทำเป็นโครงงาน (Project) และผ่านกระบวนการ
นำเสนอผลงาน (Presentations) ทเ่ี กิดจากการรังสรรค์งานเหลา่ นั้น

วิจารณ์ พานชิ (2556, หนา้ 45) ได้กล่าววา่ องค์ประกอบการเรียนรู้ แบบห้องเรียน
กลับด้านคือ

1. กำหนดวตั ถุประสงคข์ องการเรียนร้ใู ห้ชัดเจน
2. ไตร่ตรองว่าวตั ถปุ ระสงคส์ ่วนไหนควรเรยี นแบบลงมือทำหรอื Inquiry
3. ส่วนไหนควรเรยี นแบบรับถา่ ยทอด
4. ให้แน่ใจว่านกั เรียนเข้าถึงวีดที ศั น์เพอ่ื เรยี นสาระวชิ า
5. สรา้ งกิจกรรมใหน้ ักเรียนลงมือทำเพอ่ื เรียนรู้ในช้นั เรียน
6. สร้างวิธีสอบหลายวิธีเพื่อพิสูจน์ว่านักเรียนบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์ใน
แต่ละบทเรยี น องค์ประกอบการเรียนรแู้ บบห้องเรยี นกลบั ดา้ น

15

จากท่ไี ด้กลา่ วไว้ข้างตน้ น้ันผูว้ จิ ัยจงึ สรปุ ไดว้ ่า องค์ประกอบการเรียนรู้แบบห้องเรียน
กลับด้านประกอบไปด้วย 1. การกำหนดยุทธวิธีเพิ่มพูนประสบการณ์ 2. การสืบค้นเพื่อให้เกิดมโน
ทศั นร์ วบยอด 3. การสรา้ งองคค์ วามรู้อย่างมีความหมาย 4. การสาธิตและประยกุ ต์ใช้

2.3.3 สภาพแวดลอ้ มของการจดั การเรียนหอ้ งเรียนแบบหอ้ งเรยี นกลับด้าน
จันทิมา ปัทมธรรมกุล (2555 : บทคัดย่อ) การผสมผสานการใช้เทคโนโลยีเพื่อการ

เรียนการสอนกับวิธีที่ทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ โดยมีนักเรียนเป็นศูนย์กลาง เช่น inquiry-
problem-based learning ให้เป็นสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ที่พวกเขาเข้าถึง จัดการและมีส่วน
รับผิดชอบในการใช้งานเพื่อประโยชน์ในการเรียนของตนเอง ใชเ้ วลาในหอ้ งเรียนเพ่ือทำกิจกรรมหรือ
งานที่ได้ฝึกการประยุกต์ กระบวนการกลุ่มจะมีส่วนอย่างมากในการเรียนแบบนี้เพื่อที่จะฝึกความ
เข้าใจก่อนที่จะเรียนหัวข้ออื่น ๆ ได้หัวใจของ flipped ข้อหนึ่งคือการปรับการสอนให้ "interactive"
ซึ่งหมายความว่าไม่จำเป็นต้องมีวิดีโอออนไลน์ ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีทีทันสมัยหรือไม่ต้องพึ่งพา
อินเตอร์เน็ตตลอดกระบวนการก็ได้แต่ขึ้นอยู่กับการสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่สามารถทำให้การใช้
เวลาในห้องเรียนให้เกิด interaction ได้มากไม่ว่าจะเป็นจากการทำงานกลุ่ม การอภิปรายกับเพื่อน
และผู้สอนซึ่งก็หลากหลายไดต้ ามแนวทางของผู้สอนและลกั ษณะ เนื้อหา ตลอดจนเป้าหมายของการ
สอนนั้น ๆ อย่างน้อยการคำนึงถึงหลักของ attention span ว่าโดยทั่วไปความสนใจต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
อย่างจดจ่อนั้นมีระยะเวลาประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้นก็น่าจะช่วยทำให้ผู้สอนคิดหาวิธีที่จะกระตุ้น
ใหผ้ เู้ รียนสนใจมากกว่าการนง่ั ฟังบรรยายตลอดคาบเรยี นเพียงอย่างเดียว

ทัศนวรรณ รามณรงค์ (2555 : บทคัดย่อ) ได้กล่าวไว้ว่า Flipped classroom
เป็นทางเลือกหนึ่งทีน่าสนใจในการจัดการสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ (learning environment)
ท่ามกลางความต้องการที่จะลดอัตราส่วนระหว่างครกู ับนักเรยี นของการเรยี นในห้อง อาจดูเหมือนว่า
การสอนแบบ Flipped ท้าทายต่อขนบของการสอนที่ให้ความสำคัญกับการบรรยาย และไม่ให้
ความสำคัญกับการบรรยายอีกต่อไปแต่ที่จริงแล้ว Flipped ไม่ได้ต่อต้านวิธีการสอนแบบบรรยาย
Flipped classroom มีหลายรูปแบบและไม่ใช่สูตรสำเร็จเพียงแต่ Flipped ตั้งคำถามกับการสอน
แบบบรรยายที่เป็น teacher-centered lectures และสนใจว่าจะทำให้วิธีการสอนแบบบรรยายมี
ประสิทธิภาพมากขึ้นได้อย่างไรบ้างมากกว่าลองคิดดูว่าในการเรียนที่เน้นการบรรยายและถ่ายทอด
เน้อื หาของบทเรยี นเป็นหลักนั้นผูเ้ รยี นจะมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับการจดจำในสิ่งที่ผู้สอนถ่ายทอด
มากกว่า แต่ในทางตรงข้ามรูปแบบของ Flipped classroom ที่เน้นกิจกรรมการเรียนรู้ให้ได้ทำ
กิจกรรมที่เน้นกระบวนการคิดเกี่ยวกับแนวคิดหลักหรือแก่นของความรู้นั้น ๆ (core concept) ช่วย
ให้ผู้สอนทราบว่าผูเ้ รียนยังต้องการความรู้หรือขาดความเข้าใจในส่วนใดตอ้ งการคำชี้แนะอยา่ งไรบ้าง
บรรยากาศในห้องเรียนลักษณะนี้ดีกว่าการมุ่งบรรยายสาระความรู้ ที่ผู้สอนต้องการให้ครบถ้วนตาม
แผนการสอนในลกั ษณะของการส่ือสารทางเดียวแตไ่ ม่สามารถสรา้ งส่วนรว่ มหรอื ดึงดูดความสนใจจาก

16

ผู้เรียนฉะนั้น เหตุผลประการหนึ่งที่น่าสนใจของ Flipped คือ การเรียนการสอนที่ให้ความสำคัญกับ
การพัฒนาผู้เรยี น เนื่องจากกจิ กรรมทีใ่ ห้ฝึกฝนนัน้ จะช่วยให้ผู้สอนรู้ feedback ว่านักเรยี นมีความร้มู ี
ทกั ษะหลงั จากการเรยี นไปแล้วดง่ั ที่คาดหวังไวห้ รือไม่ได้เปน็ อยา่ งดี

วิจารณ์ พานิช (2556, หน้า 47) ได้กล่าวว่า เมื่อใช้ห้องเรียนกลับด้านและเรียนรูใ้ ห้
จริง บรรยากาศในห้องเรียนเปลี่ยนไป ชีวิตครูเปลี่ยนไป และพฤติกรรมของเด็กก็เปลี่ยนไปใน
ห้องเรียนแบบเดิม นักเรียนนั่งฟังรับคำสั่งและรับถ่ายทอดแล้วตอบข้อสอบเพื่อพิสูจน์ว่าตนได้เรยี นรู้
สภาพเช่นนี้ได้ผลต่อเด็กส่วนน้อยเด็กอีกจำนวนหนึ่งหมดความสนใจและหลุดไปจากกระบวนการ
เรียนรู้ แต่ในห้องเรียนแบบกลับด้านและเรียนรู้ให้จริง นักเรียนรับผิดชอบต่อการเรียนของตนเอง
การเรียนไม่ใช่สิ่งที่กระทำต่อนักเรียนแต่กลายเป็นสิ่งที่นักเรียนเป็นเจ้าของเป็นผู้กระทำ และจะเป็น
ทักษะที่ติดตัวตลอดไปสภาพแวดล้อมของการจัดการห้องเรียนแบบห้องเรียนกลับด้าน

จากที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นนั้นผู้วิจัยพอสรุปได้ว่า ประกอบไปด้วย 1. ปรับรูปแบบการ
เรยี นการสอนเรียนเน้ือหาที่บา้ นทำการบ้านที่โรงเรยี น 2. จัดการเรยี นรู้ เพอ่ื เปดิ โอกาสให้เด็กได้เลือก
เรยี นดว้ ยวธิ ที ่ตี นถนดั ท่สี ุด เช่นบางคนชอบเรยี นจากวีดีทัศน์ บางคนชอบเรยี นจากตาราเรียน บางคน
ชอบค้นจากอินเทอร์เน็ต 3. จัดกิจกรรมที่เน้นกระบวนการคิดเกี่ยวกับแนวคิดหลักหรือแก่นของ
ความรู้นั้น ๆ 4. จัดให้นักเรียนมีการอภิปรายกันในห้องเรียนเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กัน 5. นักเรียน
สามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ใหม่ๆ 6. ครูคอยดูแลกระบวนการช่วยเหลือ
และกำหนดทศิ ทาง

2.3.4 บทบาทผู้เรียนการเรยี นรู้แบบหอ้ งเรยี นกลบั ด้าน
จันทิมา ปัทมธรรมกุล (2555) ได้กล่าวไว้ว่า นักเรียนแต่ละคนจะมีบทบาทในการ

จดั การเรียนรู้ ของตนอย่างมาก เน่ืองจากเปน็ การใช้เทคโนโลยีควบคู่กับวธิ ีการสอนซึ่งช่วยตอบสนอง
ความตอ้ งการเรยี นรู้ท่ีแตกต่างหลากหลายของผ้เู รยี นได้เปน็ อยา่ งดี วิธีการน้จี ะช่วยให้ได้แนวทางการ
สอนที่แตกต่างขึ้นอยู่กับความต้องการของนักศึกษาเป็นหลักทำให้นักศึกษาสามารถกำหนดสิ่งท่ี
ต้องการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ฟังเนื้อหาส่วนของบรรยายด้วยตนเอง พวกเขาจะรู้ได้ว่ากำลังเรียนรู้
สิ่งใดและกำลังค้นหาคำตอบอะไรอยู่และนักศึกษาแต่ละคนไม่จำเป็นต้องทำงานชิ้นเดียวกันหรือ
รปู แบบเดยี วกัน

วิจารณ์ พานิช (2556, หน้า 51) นักเรียนแต่ละคนได้เลือกเรียนด้วยวิธีที่ตนถนัด
ที่สุด เช่นบางคนชอบเรียนจากวีดีทัศน์ บางคนชอบเรียนจากตาราเรียน บางคนชอบค้นจาก
อนิ เทอร์เน็ต นกั เรียนบางคนอาจแสดงความรู้ ความเข้าใจไดด้ โี ดยการตอบขอ้ สอบตามปกติแต่บางคน
อาจแสดงความเข้าใจได้ดีกว่า โดยการอภิปรายด้วยวาจากับครูหรือบางคนชอบการทดสอบโดย
นำเสนอด้วย PowerPoint หรือบางคนอาจเขียนเรียงความอธิบายความเข้าใจที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด

17

คือ มีนักเรียนขอทำวิดีโอเกมเพื่อทดสอบความรู้ความเข้าใจวิชาของตนบทบาทของผู้เรียนการเรียนรู้
แบบห้องเรียนกลับทาง

จากที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นนั้นผู้วิจัยพอสรุปได้ว่า บทบาทของผู้เรียนการเรียนรู้แบบ
ห้องเรียนกลับด้าน มีดังนี้คือ 1. ผู้เรียนเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง 2. ผู้เรียนใช้ทักษะกระบวนการคิดและ
กระบวนการกลุ่มสร้างความรู้ด้วยตนเอง 3. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนและมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน
รว่ มชั้นเรียน 4. เสรมิ สรา้ งความซือ่ สตั ย์ ความมวี ินัยของผู้เรยี น 5. ผ้เู รยี นสามารถนำความรูไ้ ปใช้ได้

2.3.5 บทบาทผสู้ อนการเรียนรูแ้ บบห้องเรยี นกลบั ด้าน
วิจารณ์ พานิช (2556, หน้า 47) ได้กล่าวว่า บทบาทของครูเปล่ียนไปอย่างส้นิ เชิงคือ

ไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดความรู้ แต่ทำบทบาทไปทางเป็นติวเตอร์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโค้ชหรือผู้จุดประกาย
โดยการตั้งคำถามยุแหย่ให้เด็กคิดสร้างความสนุกสนานในการเรียนและเป็นผู้อำนวยความสะดวกใน
การเรียนเวลาของครูจะใช้สำหรับมีปฏิสัมพันธ์สองทางกับศิษย์ ทำให้เด็กที่เรียนช้าหรือหัวช้าได้รับ
การเอาใจใส่ครูจะไม่ยืนอยู่หน้ากระดานดำที่หน้าชั้นอีกต่อไป แต่จะเดินไปเดินมาในชั้นเพื่อช่วยลูก
ศิษย์ท่มี ีปัญหาการเรียนบทบาทของผู้สอนการเรยี นรู้ แบบห้องเรยี นกลบั ด้าน

จากที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นนั้นผู้วิจัยพอสรุปได้ว่า บทบาทของผู้สอนการเรียนรู้แบบ
ห้องเรียนกลับทาง มีดังนี้คือ 1. ผู้สอนจัดการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียนสร้างความรู้ใหม่เอง
2. ผู้สอนให้ผู้เรียนใช้ทักษะกระบวนการคิด กระบวนการกลุ่มและสร้างความรู้ ด้วยตนเอง 3. ผู้สอน
ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนคือ มีส่วนทั้งด้านปัญญา กาย อารมณ์และสังคมรวมทั้งให้ผู้เรียนมี
ปฏิสัมพันธ์กับทั้งสิ่งมีชีวิตและกับสิ่งไม่มีชีวิต 4. ผู้สอนสร้างบรรยากาศเอื้อต่อการเรียนรู้ ท้ัง
บรรยากาศทางกายภาพและจิตใจ 5. ผ้สู อนมีการวัดผลประเมินผลทง้ั ทกั ษะกระบวนการขีดความสมา
รถศักยภาพของผู้เรียนและผลผลติ จากการเรียนรู้ ซึ่งเปน็ การประเมินตามสภาพจริง 6. ผู้สอนเปล่ียน
บทบาทเป็นผอู้ ำนวยความสะดวกคือ เป็นผูจ้ ดั ประสบการณร์ วมท้ังสื่อการเรยี นการสอนเพื่อให้ผู้เรียน
ใชเ้ ป็นแนวทางสร้างความรดู้ ว้ ยตวั เอง

2.3.6 กิจกรรมการเรียนรแู้ บบหอ้ งเรียนกลับดา้ น
รุง่ นภา นตุ ราวงศ์ (2555) ไดก้ ลา่ วไว้วา่ การปรบั เปลย่ี นและพฒั นารูปแบบการเรียน

การสอนแบบกลับด้านชั้นเรียนตามศักยภาพของผู้เรียน ซึ่งนักเรียนสามารถดูวิดีโอเรื่องต่าง ๆ ตาม
ช่วงเวลาหรอื ลำดับท่ีเป็นไปตามศักยภาพของตนเองแต่ละคนอยู่ในจดุ การเรียนรู้ท่ีแตกต่างกันออกไป
ไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งไปถึงส่งิ ทห่ี ลักสูตรกำหนดพร้อม ๆ กันกิจกรรมในชั้นเรียนจึงไม่จดั ไว้เป็นลำดับท่ีตายตัว
นักเรียนทำกิจกรรมที่หลากหลายช้าเร็วแตกต่างกันออกไป โดยใช้สื่อนานาชนิดในการเรียนรู้บางคน
ทำการทดลอง บางคนสืบค้นข้อมูล บางคนค้นคว้าออนไลน์ บางคนทำงานเป็นกลุ่มเล็ก ๆ บาง
คนทำงานตามลำพังครูจะคอยดูแลช่วยเหลือแต่จะไม่เป็นผู้ควบคุมกระบวนการเรียนรู้ นักเรียนต้อง

18

รับผิดชอบในการเรียนรู้เป็นของตนเอง ทั้งนี้ครูผู้สอนต้องศึกษาและมีความเข้าใจองค์ประกอบของ
การกลบั ดา้ นชนั้ เรียนตามศกั ยภาพ ดงั นี้

1. กำหนดจุดประสงค์การเรยี นรู้ท่ีชัดเจน
2. พิจารณาว่าจุดประสงค์ใดผู้เรียนสามารถเรียนรู้ ค้นคว้าหาคำตอบ (Inquiry)
ด้วยตนเองได้และจุดประสงค์ได้ทีค่ รูต้องสอนโดยตรง (Direct instruction)
3. ต้องแนใ่ จวา่ นักเรยี นเขา้ ถงึ วิดีโอหรือสอื่
4. จัดกจิ กรรมการเรียนรทู้ ีเ่ หมาะสมในชนั้ เรียน
5. จัดทำแบบทดสอบหลาย ๆ ชดุ หลายลักษณะเพ่ือประเมินผเู้ รียน
2.3.7 การประเมินผลการเรยี นรูแ้ บบหอ้ งเรียนกลบั ด้าน
รุ่งนภา นุตราวงศ์ (2555) ได้กล่าวไว้ว่า การวัดผลและประเมินผลภายใต้รูปแบบ
กลับด้านชั้นเรียนนั้นมีทั้งการประเมินเพื่อพัฒนา (Formative assessment) เพื่อพัฒนาและสร้าง
ความรู้ความเข้าใจแก่นักเรียนและการประเมินผลรวบยอด (Summative assessment) เพื่อตัดสิน
ว่าผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถบรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ที่เป็นเป้าหมายหรือไม่วัดผลและ
ประเมินผลด้วยวิธีการที่หลากหลายวัดผลและประเมินผลซ้ำได้ ใช้เทคโนโลยีช่วยในการวัดผลและ
ประเมินผล ใชผ้ ลการประเมินเพือ่ พฒั นาการเรียนรู้
วิจารณ์ พานชิ (2556, หน้า 61) ได้กลา่ วไว้ว่า สร้างระบบประเมินทเ่ี หมาะสมระบบ
ประเมนิ ทป่ี ระเมนิ ความเข้าใจของเด็กอย่างแม่นยำ คำถามคอื ครูไดอ้ ย่างไรวา่ ศษิ ย์ได้เรียนรู้อย่างรู้จริง
ตามที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์ของวิชาและถ้านักเรียนคนใดยังเรียนรู้ไม่ได้ ตามที่กำหนดจะทำ
อย่างไร เทคโนโลยีสมัยใหม่คือคำตอบ การประเมินเพื่อปรับปรุง (Formative Assessment) การ
ทดสอบแบบ Formative และ Feedback แกน่ กั เรยี นทันทชี ่วยให้เด็กเรียนร้ไู ด้อย่างถูกทางไม่เดินผิด
ทาง การประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบบห้องเรยี นกลับดา้ น
จากที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นนั้นผู้วิจัยพอสรุปได้ว่า การประเมินผลการเรียนรู้แบบ
ห้องเรียนกลับมดี ังนี้ 1. ประเมินเพื่อปรับปรุง (Formative Assessment) เพอ่ื พัฒนาและสรา้ งความรู้
ความเขา้ ใจแกน่ ักเรยี น 2. การประเมินผลรวบยอด (Summative Assessment) เพือ่ ตดั สินว่าผู้เรียน
มีความรูค้ วามสามารถบรรลตุ ามจุดประสงคก์ ารเรยี นรทู้ เ่ี ป็นเป้าหมายหรือไม่
2.3.8 ประโยชน์ของการเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ด้าน
Kathleen Fulton (2012) ได้กล่าวไว้ว่า ประโยชน์ของลักษณะการเรียนรู้
แบบกลบั ด้านมีดงั ต่อไปนี้
1. นักเรยี นไดเ้ รียนร้ดู ว้ ยตนเอง
2. นกั เรยี นทำการบา้ นได้ง่ายขนึ้ เพราะมีครคู อยแนะนำ
3. ครสู ามารถปรับหลกั สตู รให้เหมาะกบั นักเรยี น

19

4. ระยะเวลาในห้องเรียนสามารถใชไ้ ดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์
5. ครูผู้สอนประเมินผู้เรียนจากการสังเกตในการสนใจเรียนและการมีส่วนร่วมใน
กิจกรรม
6. ทฤษฎกี ารเรียนร้ใู หมๆ่
7. ใชเ้ ทคโนโลยีทีม่ ีความยืดหยนุ่ และเหมาะสมสำหรับ“การเรียนรใู้ นศตวรรษท่ี 21”
วิจารณ์ พานิช (2556, หน้า 61) ได้กล่าวไว้ว่า มีเหตุผลบางประการที่บอกถึงคุณประโยชน์
ของการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านที่ Bergmann และ Sams กล่าวไว้ในหนังสือของเขาที่ช่ือ
Flip Your Classroom : Reach Every Student in Every Class Every Day สรปุ ไดด้ ังนี้
1. เพ่ือเปลี่ยนวิธีการสอนของครู จากการบรรยายหน้าชั้นเรียนหรือจากครูสอนไป
เป็นครูฝึก ฝึกการทำแบบฝึกหัดหรือทำกิจกรรมอื่นในชั้นเรียนให้แก่ศิษย์เป็นรายบุคคลหรืออาจ
เรยี กวา่ เป็นครตู ิวเตอร์
2. เพื่อใช้เทคโนโลยีการเรียนที่เด็กสมัยใหม่ชอบ โดยใช้สื่อ ICT ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็น
การนำโลกของโรงเรยี นเขา้ สู่โลกของนักเรยี นซ่งึ เปน็ โลกยุคดิจิตัล
3. ช่วยเหลือเด็กที่มีงานยุ่ง เด็กสมัยนี้มีกิจกรรมมาก ดังนั้นจึงต้องเข้าไปช่วยเหลือ
ในการจัดการเรียนรู้ โดยใชบ้ ทสอนที่สอนด้วยวีดีทัศน์อยบู่ นอินเทอร์เน็ต (Internet) ช่วยให้เด็กเรียน
ไวล้ ่วงหน้าหรือเรยี นตามช้นั เรียนไดง้ า่ ยขน้ึ รวมท้งั เป็นการฝึกเดก็ ใหร้ ้จู ดั การจัดเวลาของตนเอง
4. ช่วยเหลือเด็กเรียนอ่อนให้ขวนขวายหาความรู้ ในชั้นเรียนปกติเด็กเหล่านี้จะถูก
ทอดท้งิ แต่ในหอ้ งเรียนกลับทางเด็กจะได้รบั การเอาใจใสจ่ ากครูมากท่สี ุดโดยอัตโนมัติ
5. ช่วยเหลือเด็กที่มีความสามารถแตกต่างกันให้ ก้าวหน้าในการเรียนตาม
ความสามารถของตนเอง เพราะเด็กสามารถฟัง – ดูวีดีทัศน์ได้เองจะหยุดตรงไหนก็ได้กรอกลับ
(Review) กไ็ ด้ตามท่ีตนเองพึงพอใจ
6. ช่วยให้เด็กสามารถหยุดและกรอกลับครูของตนเองได้ ทำให้เด็กจัดเวลาเรียน
ตามท่ตี นพอใจ เบื่อกห็ ยดุ พักได้ สามารถแบ่งเวลาในการดเู ปน็ ชว่ งได้
7. ช่วยให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับครูเพิ่มขึ้น ตรงกันข้ามกับการที่เรียนแบบ
ออนไลน์การเรียนแบบห้องเรียนกลับทางยังเป็นรูปแบบการเรียนที่นักเรียนยังคงมาโรงเรียนและ
นักเรียนพบปะกับครู ห้องเรียนกลับทางเป็นการประสานการใช้ประโยชน์ระหว่างการเรียนแบบ
ออนไลน์และการเรียนระบบพบหน้าช่วยเปลี่ยนและเพิ่มบทบาทของครูให้เป็นทั้งพี่เลี้ยง (Mentor)
เพอ่ื น เพอื่ นบา้ น (Neighbor) และผู้เชีย่ วชาญ (Expert)
8. ช่วยให้ครูรู้ จักนักเรียนดีขึ้นหน้าที่ของครูไม่ใช่เพียงช่วยให้ศิษย์ได้ความรู้ หรือ
เน้ือหา แต่ต้องกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจ (Inspire) ให้กำลังใจรับฟังและช่วยเหลือส่งเสริมผู้เรียนซ่ึง
เป็นมติ ิสำคัญที่จะชว่ ยเสริมพฒั นาการทางการเรยี นของเด็ก

20

9. ช่วยเพิ่มปฏิสัมพันธร์ ะหว่างเพื่อนนกั เรียนดว้ ยกันเอง จากกจิ กรรมทางการเรียนท่ี
ครูจัดประสบการณ์ขึ้นมานั้น ผู้เรียนสามารถที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันได้ดีเป็นการ
ปรบั เปล่ยี นกระบวนทัศน์ของนักเรียนท่เี คยเรียนตามคาสงั่ ครหู รือทางานให้เสรจ็ ตามกำหนด เป็นการ
เรียนเพื่อตนเองไม่ใช่คนอื่นส่งผลต่อเด็กที่เอาใจใส่การเรียน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนด้วยกันจะ
เพ่มิ ข้นึ โดยอตั โนมตั ิ

10. ชว่ ยใหเ้ ห็นคุณค่าของความแตกต่างตามปกติแลว้ ในชั้นเรยี นเดียวกันจะมีเด็กท่ีมี
ความแตกต่างกันมากมีความถนัดและความชอบที่แตกต่างกัน ดังนั้นการจัดกิจกรรมการสอนแบบ
ห้องเรียนกลบั ทางจะชว่ ยให้ครูเห็นจดุ อ่อนจดุ แขง็ ของผ้เู รยี นแตล่ ะคนเพอ่ื ด้วยกนั ก็เหน็ และช่วยเหลือ
กันดว้ ยจุดแขง็ ของแต่ละคน

11. เป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการห้องเรียน ช่วยเปิดช่องให้ครูสามารถ
จัดการชั้นเรียนได้ตามความต้องการที่จะทำ ครูสามารถทำหน้าที่ของการสอนที่สำคัญในเชิง
สรา้ งสรรค์เพอ่ื สรา้ งคุณภาพแก่ชั้นเรยี น ชว่ ยให้เดก็ รอู้ นาคตของชวี ิตได้ดีทสี ุด

12. เปลี่ยนคำสนทนากับพ่อแม่ ประสานความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างโรงเรียนกับ
ผ้ปู กครอง ซงึ่ การรับทราบและแลกเปลยี่ นความรู้ร่วมกนั จะทาใหเ้ ดก็ เกดิ การเรียนรู้ทีด่ ีได้

13. ช่วยให้เกิดความโปร่งใสในการจัดการศึกษา การใช้ห้องเรียนแบบกลับทางโดย
นำสาระคำสอนไปไว้ในวีดีทัศน์นำไปเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต เป็นการเปิดเผยเนื้อหาสาระทางการ
เรยี น สรา้ งความเชอ่ื ม่นั ในคุณภาพการเรียนการสอนให้ผปู้ กครองทราบ

2.4 งานวิจยั ที่เกีย่ วขอ้ ง
จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับห้องเรียนกลับด้าน ผู้วิจัยได้รวบรวมและสรุปใจความ

สำคญั ได้ดงั น้ี
ปางลีลา บูรพาพชิ ติ ภัย (2556) ได้ศึกษาผลงานวิจัยที่เกีย่ วขอ้ งทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ผลสรปุ ปรากฏวา่ การใช้การเรียนการสอน flipped Classroom จะมสี ิง่ ท่คี ล้ายกันคอื การให้ผู้เรียนได้
เตรียมตัวกอ่ นเข้าเรียนไม่วา่ ด้วยเอกสารหรือวิดีโอ ผู้เรียนจำเป็นตอ้ งทราบถงึ งานที่ได้รับมอบหมายท่ี
ได้ทำก่อนเข้าห้องเรียนและผู้สอนนั้นจะต้องรู้จริงในหัวข้อที่จะสอนและมีการวางแผนในการเตรียม
บทเรยี นลว่ งหน้าซ่งึ เม่ือแนวทางทผ่ี ู้สอนไดเ้ ตรยี มไว้สมบูรณ์กจ็ ะส่งเสรมิ ให้ผ้เู รียนพัฒนากระบวนการ
และมีเจตคติทดี่ ีต่อบทเรียนน้ัน ๆ และส่งผลท่ไี ดส้ ่วนใหญน่ ้ันนักเรยี นได้รับการเรียนที่มีผลการเรียนดี
ขึ้นและมีความพึงพอใจในการเรยี นรู้แบบกลับทางในชนั้ เรียน

นิชาภา บุรีกาญจน์ (2556) ได้ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้วิชาสุขศึกษาโดยใช้แนวคิดแบบ
ห้องเรียนกลับทางที่มีผลต่อความรับผิดชอบและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ตอนต้นผลการวิจัยสามารถกล่าวได้โดยสรุปว่าการจัดการเรียนรู้วิชาสุขศึกษาโดยใช้แนวคิดแบบ

21

ห้องเรียนกลับทางมีผลต่อความรับผิดชอบและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ตอนตน้ จากผลการวิจัยดังนี้ 1. ค่าเฉลีย่ ของคะแนนความรับผิดชอบและผลสัมฤทธิท์ างการเรียนวิชา
สุขศึกษาของนักเรียนกลุ่มทดลองหลังการทดลองสูงกว่าการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดบั
0.05 2. ค่าเฉลี่ยของคะแนนความรับผิดชอบและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสุขศึกษาของนักเรียน
กลุ่มทดลองสงู กวา่ นกั เรยี นกลุ่มควบคมุ อยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิติท่รี ะดบั 0.05

ลัลน์ลลิต เอี่ยมอำนวยสุข (2556) ได้ศึกษาผลการสร้างสื่อบนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพา
เรื่องการเคลื่อนไหวในระบบดิจิตอลพื้นฐานที่ใช้ในการสอนแบบห้องเรียนกลับทางเม่ื อนำสื่อที่ได้
จัดทำขึ้นไปใช้ในกลุ่มตัวอย่างพบว่านักเรียนมีผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อสื่อบน
คอมพิวเตอร์พกพาเรือ่ งการเคลือ่ นไหวในระบบดิจิตอลเบื้องต้นที่ใช้วิธีการสอนห้องเรียนกลับด้านอยู่
ในระดบั มาก

บทที่ 3
วธิ ีการดำเนนิ การวิจยั

การวิจัยเรื่อง การแก้ปัญหาเรื่อง ทักษะการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน
(ชาวไทย) โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) สำหรับนักเรียน
ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 โรงเรยี นอนุบาลวัดปา่ เลไลยก์มวี ิธกี ารดำเนนิ การวจิ ัยตามขนั้ ตอดังนี้

3.1 กรอบแนวคิดในการวิจยั
3.2 กลมุ่ เป้าหมาย
3.3 เครือ่ งมือท่ีใช้ในการวิจยั
3.4 การเก็บรวบรวมข้อมลู
3.5 สถิตทิ ใี่ ชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล

3.1 กรอบแนวคิดในการวิจยั ตวั แปรตาม
ตวั แปรตน้

การจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการสอนแบบ ผลการประเมินทักษะการปฏบิ ัตทิ ่ารำเพลง
ห ้ อ ง เ ร ี ย น ก ล ั บ ด ้ า น ( Flipped Classroom) รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) สูงกว่าร้อยละ 70
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
โรงเรยี นอนบุ าลวัดปา่ เลไลยก์

ภาพที่ 3 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย

3.2 กลมุ่ เปา้ หมาย
กลมุ่ เป้าหมายในการวิจัยครงั้ วิจัยคือ นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรียนอนุบาลวดั ป่าเล

ไลยก์ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบรุ ี ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 82 คน

3.3 เคร่อื งมือที่ใช้ในการวจิ ยั
แบบประเมนิ ทกั ษะการปฏบิ ตั ทิ า่ รำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย)

23

3.4 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
3.4.1 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลผลการประเมินการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (เพลง

ชาวไทย) ดำเนนิ การตามลำดับดังนี้
1) การกำหนดยุทธวิธีเพิ่มพูนประสบการณ์ (Experiential Engagement) โดยการ

ทำกจิ กรรมการเรียนการสอน อธบิ ายประวัติความเป็นมาและเน้อื หาเรอื่ ง รำวงมาตรฐาน
2) การสืบค้นเพื่อให้เกิดมโนทัศน์รวบยอด (Concept Exploration) ผู้วิจัยนำวีดิ

ทัศน์รูปแบบกระบวนการปฏิบัติท่ารำเพลงชาวไทย ส่งในผู้เรียนทาง Application Line พร้อมกับ
ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับวีดิทัศน์ โดยส่งให้ผู้เรียนก่อนคาบเรียนครั้งที่ 2 หนึ่งวันเพื่อให้ผู้เรียนฝึก
ปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตัวเองกอ่ นเรยี น

3) การสร้างองค์ความรู้ อย่างมีความหมาย (Meaning Making) ในคาบเรียนครั้งที่
2 ให้ผู้เรียนปฏิบัติท่ารำเพลงชาวไทยด้วยตนเอง 1 ครั้ง จากนั้นผู้วิจัยจึงอธิบายรายละเอียดของการ
ฝึกปฏิบัติท่ารำตามวีดิทัศน์รูปแบบการปฏิบัติกระบวนท่ารำเพลงชาวไทยอีกครั้ง แล้วให้ผู้เรียน
ฝึกซ้อม และแจ้งนักเรียนเกี่ยวกับวิธีการสอบปฏิบัติเพลงชาวไทยในคาบเรียนครั้งต่อไป โดยกำหนด
วิธีการสอบใหผ้ ูเ้ รียนเลือก 2 รูปแบบ คือ การบันทึกวิดีโอ และการสอบผ่าน โปรแกรม Application
Line

4) การสาธิตและประยุกตใ์ ช้ (Demonstration & Application) ในคาบเรียนครั้งที่
3 ผู้วิจัยทำการทดสอบการปฏิบัติท่ารำเพลงชาวไทยของผู้เรียน และดำเนินการเก็บข้อมูลกับ
กลมุ่ เป้าหมายจากผลการปฏิบตั ิท่ารำเพลงชาวไทย จากการเรียนแบบห้องเรยี นกลบั ด้านโดยใช้เกณฑ์
การประเมนิ การปฏบิ ตั ิท่ารำรำวงมาตรฐานเพลงชาวไทย

3.5 สถิติทใี่ ช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล

แบบประเมนิ ทักษะการปฏบิ ัติการแสดงทา่ รำประกอบเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) โดยใช้

การคำนวณ ดงั นี้ตอ่ ไปนี้

เม่อื P P = F 100
N

คอื ค่าร้อยละของคะแนน

F คอื คะแนนที่ได้

N คือ คะแนนเต็ม

บทท่ี 4
ผลการดำเนินการวจิ ยั

การวิจัยครั้งนี้มีรูปแบบเป็นการแก้ปัญหาทักษะการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน
(ชาวไทย) โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) วัตถุประสงค์เพื่อศึกษา
ผลการประเมินทักษะการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) โดยใช้การเรียนแบบห้องเรียน
กลบั ด้าน (Flipped Classroom) โดยผ้วู ิจัยจงึ ขอนำเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู ดงั นี้

4.1 ผลการประเมินทกั ษะการปฏบิ ัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) หลังการเรียนโดย
รูปแบบห้องเรียนกลับด้านสงู กว่าร้อยละ 70

4.1 ผลการประเมินทักษะการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) หลังการเรียนโดย
รูปแบบหอ้ งเรยี นกลบั ด้านสงู กว่าร้อยละ 70

ผวู้ จิ ัยได้ดำเนินการทดสอบความสามารถในการปฏิบัตริ ำวงมาตรฐานเพลงชาว เพื่อศึกษาผล
การประเมินทกั ษะการปฏิบตั ิทา่ รำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) หลังการเรยี นโดยรูปแบบห้องเรียน
กลับด้าน (Flipped Classroom) โดยกำหนดเกณฑ์การประเมินการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน
เพลง ชาวไทย ดังนี้

เกณฑก์ ารประเมิน

คะแนน ระดบั คณุ ภาพ

9-10 ดมี าก

7-8 ดี

7-6 ปานกลาง

0-4 ควรปรับปรงุ

25

โดยผู้วิจัยตั้งสมมติฐานของการวิจัยไว้ว่าผลการประเมินทักษะการปฏิบัติท่ารำเพลง
รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) ของนักเรียนหลังการเรียนโดยรูปแบบห้องเรียนกลับด้าน ( Flipped
Classroom)จากการเรียนร้อยละ 70 อยู่ในเกณฑ์การประเมินระดับดีขึ้นไป ซึ่งผลการทดสอบ
ความสามารถในการปฏบิ ตั ิทา่ รำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) ดังตารางท่ี 4 ตอ่ ไปน้ี

ตารางที่ 1 ผลคะแนนตามเกณฑ์การประเมินการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) ของ
กลมุ่ เปา้ หมาย

ลำดับ ชอ่ื -สกลุ ชน้ั คะแนน คดิ เปน็ รอ้ ยละ
1 เด็กชายพรรษา หงษ์โต ป.4/1 4 40.00
2 เด็กชายกติ ติทัต พุ่มม่ัน ป.4/1 4 40.00
3 เดก็ ชายณฐั วุฒิ ไทยรา ป.4/1 6 60.00
4 เด็กชายธรรมธชั ขันธสิทธ์ิ ป.4/1 7 70.00
5 เด็กชายธติ ิศกั ด์ิ พาไธสง ป.4/1 7 70.00
6 เดก็ ชายภคิน สะอาดดี ป.4/1 4 40.00
7 เดก็ ชายศิวกร นอ้ ยวไิ ล ป.4/1 7 70.00
8 เด็กชายตอ่ พงศ์ บญุ ศรวี งศ์ ป.4/1 7 70.00
9 เดก็ ชายชยั วัฒน์ คะพลวงษ์ ป.4/1 7 70.00
10 เด็กชายคณุ านนต์ อ่อนไพรงาม ป.4/1 8 80.00
11 เดก็ ชายภาคภมู ิ พุทธไชย ป.4/1 6 60.00
12 เดก็ ชายอภเิ ชษฐ์ พวงทองใบ ป.4/1 7 70.00
13 เดก็ ชายณัฐวฒุ ิ อนุ่ ทรพั ย์ ป.4/1 7 70.00
14 เด็กชายรตั นชยั ปานช้าง ป.4/1 7 70.00
15 เด็กชายเดชาธร สรอ้ ยสุวรรณ ป.4/1 7 70.00
16 เด็กชายพชิ ญดนย์ โพธิ์ไพจติ ร ป.4/1 8 80.00
17 เดก็ ชายรตสิทธภิ าคย์ ยศศักด์ิศรี ป.4/1 8 80.00
18 เด็กชายธนู มนั มะณี ป.4/1 7 70.00
19 เดก็ ชายบารมี โตพนั ดี ป.4/1 8 80.00
20 เด็กชายวันเฉลิม ม่วงสวา่ ง ป.4/1 7 70.00
21 เด็กชายธญั ญากร เจ่ยี ภกั ดี ป.4/1 7 70.00
22 เด็กชายอสั นี เหมลี ป.4/1 7 70.00
23 เดก็ ชายนนทพัทธ์ ทรัพย์ถาวร ป.4/1 9 90.00
24 เดก็ หญงิ ขวัญแก้ว ย้มิ โสภา ป.4/1 9 90.00

26

ตารางที่ 1 ผลคะแนนตามเกณฑ์การประเมินการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) ของ
กล่มุ เปา้ หมาย (ตอ่ )

ลำดับ ชื่อ-สกุล ชน้ั คะแนน คดิ เปน็ รอ้ ยละ
25 เดก็ หญงิ พิมพล์ ภสั หารวย ป.4/1 7 70.00
26 เด็กหญงิ สดุ ารตั น์ เจริญดี ป.4/1 7 70.00
27 เดก็ หญงิ เกศนี จอมครี ี ป.4/1 7 70.00
28 เด็กหญิงนชิ าภสั เถื่อนม่วง ป.4/1 7 70.00
29 เดก็ หญงิ วนั นพิ า สมพรมปัน ป.4/1 7 70.00
30 เด็กหญงิ ชนญั ชิตา อภชิ าติ ป.4/1 8 80.00
31 เดก็ หญิงภัทรา หวานฉ่ำ ป.4/1 7 70.00
32 เดก็ หญงิ ปวรศิ า บางใจดี ป.4/1 7 70.00
33 เดก็ หญิงดารารตั น์ ชาวบ้านโพธิ์ ป.4/1 7 70.00
34 เดก็ หญิงสุดารัตน์ เกตุคง ป.4/1 8 80.00
35 เด็กหญิงธญั ชนก บุรมยท์ รัพย์ ป.4/1 9 90.00
36 เดก็ หญงิ ชัญญานุช ศรบี รู ณะพิทกั ษ์ ป.4/1 7 70.00
37 เด็กหญิงอภิญญา รัตนทองตระกูล ป.4/1 8 80.00
38 เด็กหญิงกุลธดิ า กาบแกว้ ป.4/1 8 80.00
39 เดก็ หญงิ ธนพร เจรญิ สขุ ป.4/1 7 70.00
40 เดก็ หญงิ ชุติกาล เพ็งรงุ่ ป.4/1 7 70.00
41 เด็กหญงิ เยาวลักษณ์ ฆ้องสง่ เสียง ป.4/1 7 70.00
42 เดก็ ชายกิตติศกั ด์ิ สนใจ ป.4/2 7 70.00
43 เดก็ ชายธีรภทั ธ์ิ อยกู่ ลัน่ เถ่ือน ป.4/2 6 60.00
44 เดก็ ชายกฤษณะ บุญศรีวงศ์ ป.4/2 6 60.00
45 เด็กชายชัยณวัฒน์ เอยื่ มกล้า ป.4/2 7 70.00
46 เด็กชายวรี วัฒน์ กองรอ้ ยอยู่ ป.4/2 7 70.00
47 เด็กชายณัฐปกรณ์ แสงนลิ ป.4/2 7 70.00
48 เดก็ ชายนภัสกร กอกุย้ ป.4/2 8 80.00
49 เด็กชายศภุ กติ ติ์ ตง๋ึ พนั ธ์ุ ป.4/2 8 80.00
50 เด็กชายปรเมศวร์ ชาวบ้านโพธ์ิ ป.4/2 8 80.00
51 เดก็ ชายพีรพัฒน์ กลน่ิ เกษร ป.4/2 7 70.00
52 เด็กชายศภุ กร ดษิ ฐ์พนั ธ์ุ ป.4/2 7 70.00

27

ตารางที่ 1 ผลคะแนนตามเกณฑ์การประเมินการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) ของ
กลมุ่ เป้าหมาย (ตอ่ )

ลำดบั ช่อื -สกุล ชน้ั คะแนน คดิ เป็นร้อยละ
70.00
53 เดก็ ชายตฤณ กจิ รนั ต์ ป.4/2 7 70.00
7 70.00
54 เด็กชายชยานนท์ สอพอง ป.4/2 7 40.00
4 70.00
55 เดก็ ชายชยั วฒั น์ พุกถัน ป.4/2 7 80.00
8 70.00
56 เด็กชายบุญญฤทธ์ิ ทบั ทองดี ป.4/2 7 70.00
7 70.00
57 เดก็ ชายธนิศร พานแกว้ ป.4/2 7 80.00
8 70.00
58 เด็กชายศรณั ยพงศ์ จงสมจิตต์ ป.4/2 7 40.00
4 70.00
59 เดก็ ชายธนภทั ร หมอยาดี ป.4/2 7 80.00
8 90.00
60 เด็กชายธนวัฒน์ ปน้ั แตง ป.4/2 9 70.00
9 70.00
61 เดก็ ชายมงคลชยั ศรีวรรณา ป.4/2 7 90.00
9 90.00
62 เดก็ ชายธีรกานต์ คุ้มประดิษฐ์ ป.4/2 9 90.00
9 70.00
63 เด็กชายกติ ิกร กุทาพนั ธ์ ป.4/2 7 60.00
6 70.00
64 เด็กชายกชเมธ จนั ทะคำแสง ป.4/2 7 80.00
8 70.00
65 เด็กชายอคิราภ์ แสนล้อม ป.4/2 7 70.00
7 90.00
66 เดก็ ชายจกั รพงษ์ ราษีทอง ป.4/2 9 90.00
9
67 เด็กหญิงโชตกิ า คงสำราญ ป.4/2

68 เด็กหญงิ ณฐั วรา สาธรุ ตั น์ ป.4/2

69 เดก็ หญิงธนิสรา พานโนรี ป.4/2

70 เดก็ หญิงปุณยาพร ธรรมโชติ ป.4/2

71 เด็กหญิงเกวลิน ตระกูลพิทกั ษ์กิจ ป.4/2

72 เดก็ หญงิ สราลี อนิ ทรส์ ขุ ป.4/2

73 เดก็ หญงิ สุพชิ า เมยี งแก ป.4/2

74 เด็กหญงิ ธญั ญลักษณ์ ตระการจนั ทร์ ป.4/2
75 เด็กหญงิ ศิริลักษณ์ ต๋ึงพนั ธุ์ ป.4/2

76 เดก็ หญงิ ทิพนาวา สุขเกษม ป.4/2

77 เด็กหญงิ จิรนนั ท์ หอมชะมด ป.4/2

78 เด็กหญงิ ธนานนั ท์ ทองฤทธิ์ ป.4/2

79 เด็กหญิงวรรณวิสา ทับโชติ ป.4/2

80 เด็กหญงิ เบญจรตั น์ ชูแกว้ ป.4/2

28

ตารางที่ 1 ผลคะแนนตามเกณฑ์การประเมินการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) ของ
กลมุ่ เปา้ หมาย (ตอ่ )

ลำดับ ช่ือ-สกลุ ชั้น คะแนน คิดเป็นรอ้ ยละ
81 เด็กหญงิ กัญญาภคั กองหิน ป.4/2 9 90.00
82 เด็กหญงิ ชุติกาญจน์ ขวญั งาม ป.4/2 7 70.00
72.07
สรปุ 591

จากตางรางที่ 4 ผลที่ไดจ้ ากการวิเคราะห์ข้อมลู การศึกษาผลการประเมนิ ทักษะการปฏิบัติท่า
รำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) จากการเรียนด้วยรูปแบบห้องเรียนกลับด้าน ( Flipped
Classroom) โดยกลุ่มเป้าหมายจำนวน 82 ผลปรากฏว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 มีคะแนน
แบบประเมินทักษะการปฏิบัติการแสดงท่ารำประกอบเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย)
591 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 72.07 ซึ่งเปน็ ไปตามเกณฑท์ ต่ี ั้งไว้

บทที่ 5
สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ

การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเรื่องการแก้ปัญหาเรื่อง ทักษะการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวง
มาตรฐาน (ชาวไทย) โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน ( Flipped Classroom)
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอนุบาลวัดป่าเลไลยก์ วัตถุประสงค์ในการวิจัย
ดังตอ่ ไปนี้

1. เพื่อศึกษาผลการประเมินทักษะการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) โดยใช้
การเรยี นแบบห้องเรยี นกลับด้าน (Flipped Classroom)

5.1 สรุปผลการวจิ ยั
5.1.1 จากการศึกษาผลการประเมินทักษะการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย)

ของนักเรียนระดับชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอนุบาลวัดป่าเลไลยก์ โดยกลุ่มเป้าหมาย ท้ังหมด 2
ห้องเรียน มีผู้เรียนที่ได้คะแนนตามเกณฑ์การประเมิน คิดเป็นร้อยละ 72.07 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์
สมมตฐิ านทต่ี ัง้ ไว้

5.2 อภิปรายผลการวิจยั
จากการวิจัยเรื่องการแก้ปัญหาเรื่อง ทักษะการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย)

โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี
ที่ 4 โรงเรียนอนุบาลวัดปา่ เลไลยก์ ผ้วู จิ ัยได้ทำการรวบรวมขอ้ มลู และสามารถนำไปอภปิ รายผลได้ตาม
วตั ถปุ ระสงคใ์ นการวิจยั คือ เพือ่ ศกึ ษาผลการประเมนิ ทกั ษะการปฏบิ ัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาว
ไทย) โดยใช้การเรียนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) มีรายละเอียดตามประเด็นการ
อภปิ รายดังนี้

ผลการประเมินทักษะการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย) โดยใช้การเรียนแบบ
หอ้ งเรียนกลบั ดา้ น (Flipped Classroom) ผ้วู จิ ัยได้ดำเนนิ การศกึ ษาผลการฝึกทักษะความสามารถใน
การปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงชาวไทย หลังจากการเรียนด้วยการเรียนแบบห้องเรียนกลับด้าน
(Flipped Classroom) โดยการสอบปฏิบัติแบบรายบุคคลผ่านการบันทึกวิดีโอ และการสอบผ่าน
โปรแกรม Application Line พบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มเป้าหมายจำนวน 82 คน
มีผู้เรียนที่ได้คะแนนตามเกณฑ์การประเมิน คิดเป็นร้อยละ 72.07 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้
ซึง่ ประเมินความสามารถตามสภาพจริงของนักเรียน นักเรียนสว่ นใหญส่ ามารถปฏิบตั ิเพลงชาวไทยได้

30

ถูกต้องตามขั้นตอนโดยสังเกตจากพฤติกรรมการเรียนและการปฏิบัติตอนสอบส่วนใหญ่นักเรียน
ปฏิบัติออกมาได้ดี แสดงท่าทางออกมาได้อย่างต่อเนื่อง คล่องแคล่วทั้งการปฏิบัติส่วนศีรษะ ส่วนมือ
และเท้า และปฏิบัติท่ารำประกอบเพลงได้ถูกต้องตามจังหวะและทำนอง อันเป็นผลมาจากการโดย
รูปแบบห้องเรียนกลับด้าน สอดคล้องกับ นิชาภา บุรีกาญจน์ ( 2556 ) ได้ทำการวิจัยการจัดการ
เรียนรู้วิชาสุขศึกษาโดยใช้แนวคิดแบบห้องเรียนกลับทางที่มีผลต่อค วามรับผิดชอบและผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นผลการวิจัยสามารถกล่าวได้โดยสรุปว่าการจัดการ
เรียนรู้วิชาสุขศึกษาโดยใช้แนวคิดแบบห้องเรียนกลับทางมีผลต่อความรับผิดชอบและผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีค่าเฉลี่ยของคะแนนความรับผิดชอบและ
ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนวิชาสุขศึกษาของนกั เรียนกลุ่มทดลองหลังการทดลองสูงกวา่ การทดลองอย่าง
มนี ัยสำคัญทางสถิติท่ีระดบั 0.05 2. ค่าเฉลย่ี ของคะแนนความรับผิดชอบและผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน
วิชาสุขศึกษาของนักเรียนกลุ่มทดลองสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
0.05 เป็นการนำรปู แบบหอ้ งเรยี นกลับด้านมาใช้ในการแก้ปญั หา ซ่ึงส่งผลให้ผู้เรยี นมผี ลการเรียนรู้ที่ดี
ข้ึน

5.3 ขอ้ เสนอแนะ
5.3.1 ขอ้ เสนอแนะเพือ่ การนำไปใช้
จากการวิจัยเรื่องการแก้ปัญหาเรื่อง ทักษะการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน

(ชาวไทย) โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) สำหรับนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนอนุบาลวดั ปา่ เลไลยก์ ผู้วิจัยไดใ้ หข้ อ้ เสนอแนะเพือ่ การนำไปใชด้ ังนี้

1) การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) ผ่านระบบช้ัน
เรียนออนไลน์นั้นเหมาะ สำหรับนักเรียนที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยี เช่น มีโทรศัพท์มือถือที่
สามารถใช้งานอนิ เตอร์เน็ตได้ เพ่อื การใช้งานได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ

5.3.2 ขอ้ เสนอแนะในการวิจัยคร้งั ต่อไป
จากการวิจัยเรื่องการแก้ปัญหาเรื่อง ทักษะการปฏิบัติท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน

(ชาวไทย) โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) สำหรับนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรยี นอนุบาลวัดป่าเลไลยก์ ผู้วจิ ยั ได้ใหข้ อ้ เสนอแนะในการวิจยั ในครง้ั ตอ่ ไปดังนี้

1) ควรมีการนำวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) ร่วมกับ
เนอ้ื หาในสาระอ่ืนๆ เช่น การปฏบิ ตั ิท่านาฏยศพั ท์ การปปฏบิ ัตทิ ่ารำเพลงปลุกใจ เป็นตน้

2) รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับดา้ น มขี อ้ ดี คือ 1. ช่วยให้นักเรียนมี
เวลามากพอในการทำแบบฝึกหัดหรือกิจกรรมต่างๆ และมีครูคอยให้คำแนะนำช่วยอย่างใกล้ชิด
2. นักเรียนสามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลารวมถึงสามารถเรียนซ้ำในเนื้อหานั้นได้ตลอด 3. ช่วยให้ครู

31

และ นักเรียนมีปฏสิ มั พันธ์มากขึ้นระหว่างการทำกิจกรรม และ 4. มุ่งเน้นให้นักเรียนสร้างองคค์ วามรู้
ด้วยตนเอง ดงั นั้นจึงควรนำรูปแบบการจัดการเรยี นรู้แบบห้องเรียนกลับด้านไปใช้ในหัวข้ออ่ืน วิชาอ่ืน
หรือระดบั ชัน้ อื่น ตามความเหมาะสม

32

บรรณานุกรม

กระทรวงศึกษาธิการ. หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน. กรุงเทพฯ, 2551.
กรมศลิ ปากร. (2514). ราํ วง. พิมพครัง้ ท่ี 4. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร
จันทิมา ปัทมธรรมกุล. (2555). Getting to know Flipped Classroom. สืบค้นเมื่อ 24 กันยายน

2564, จาก http://www2.li.kmutt.ac.th/thai/article/gettingtoknow.html.
ทศั นวรรณ รามณรงค์. ห้องเรยี นกลับทาง. สืบคน้ เมือ่ 24 กันยายน 2564.

จาก http : //www.gotoknow.org/posts/548870, 2556.
รุ่งนภา นุตราวงศ์. การจัดการเรียนรู้แบบกลับด้าน. สืบค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2564.

จาก http : //www.mathsrtchan.blogspot.com, 2555.
วิจารณ์ พานิช. (2556). ครูเพ่ือศิษย์สรา้ งห้องเรยี นกลบั ทาง. พิมพ์ครัง้ ท่ี 2. กรงุ เทพมหานคร:

มลู นิธิ สยามกัมมาจล.
สุรศักดิ์ ปาเฮ. 2556. หอ้ งเรียนกลบั ทาง: หอ้ งเรียนมิติใหมใ่ นศตวรรษท่ี 21. สบื ค้นเม่ือวนั ท่ี 25

กนั ยายน 2564 จาก http://www.mbuisc.ac.th/phd/academic/flipped%20classro
Bergman J. and Sams A. Flip Your Classroom Reach Every Student in Every Class

Every Day, 2012.
Jureerat Thomthong. (2014) ห้องเรียนกลับด้าน (The Flipped Classroom) สืบค้นเมื่อ 25

กันยายน 2564, จาก https://prezi.com/ o1 meklxbpyl2 / the- flippedclassroom/

ภาคผนวก
แบบประเมินทกั ษะการปฏบิ ตั ิท่ารำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย)

34

แบบประเมินทักษะการปฏิบัตทิ า่ รำเพลง รำวงมาตรฐาน (ชาวไทย)
โรงเรยี นอนบุ าลวดั ปา่ เลไลยก์

ลำดบั ช่ือ-สกุล ชั้น คะแนน คดิ เป็นรอ้ ยละ
1 เด็กชายพรรษา หงษ์โต ป.4/1 4 40.00
2 เดก็ ชายกิตติทตั พุ่มม่นั ป.4/1 4 40.00
3 เด็กชายณฐั วุฒิ ไทยรา ป.4/1 6 60.00
4 เดก็ ชายธรรมธัช ขันธสิทธ์ิ ป.4/1 7 70.00
5 เดก็ ชายธติ ศิ ักด์ิ พาไธสง ป.4/1 7 70.00
6 เด็กชายภคิน สะอาดดี ป.4/1 4 40.00
7 เดก็ ชายศิวกร นอ้ ยวไิ ล ป.4/1 7 70.00
8 เด็กชายตอ่ พงศ์ บญุ ศรวี งศ์ ป.4/1 7 70.00
9 เดก็ ชายชยั วัฒน์ คะพลวงษ์ ป.4/1 7 70.00
10 เด็กชายคุณานนต์ อ่อนไพรงาม ป.4/1 8 80.00
11 เด็กชายภาคภูมิ พุทธไชย ป.4/1 6 60.00
12 เดก็ ชายอภิเชษฐ์ พวงทองใบ ป.4/1 7 70.00
13 เดก็ ชายณฐั วฒุ ิ อนุ่ ทรพั ย์ ป.4/1 7 70.00
14 เดก็ ชายรตั นชัย ปานช้าง ป.4/1 7 70.00
15 เด็กชายเดชาธร สร้อยสุวรรณ ป.4/1 7 70.00
16 เดก็ ชายพชิ ญดนย์ โพธไ์ิ พจิตร ป.4/1 8 80.00
17 เดก็ ชายรตสทิ ธภิ าคย์ ยศศกั ดิ์ศรี ป.4/1 8 80.00
18 เดก็ ชายธนู มันมะณี ป.4/1 7 70.00
19 เด็กชายบารมี โตพันดี ป.4/1 8 80.00
20 เดก็ ชายวนั เฉลมิ มว่ งสวา่ ง ป.4/1 7 70.00
21 เดก็ ชายธัญญากร เจย่ี ภกั ดี ป.4/1 7 70.00
22 เด็กชายอสั นี เหมลี ป.4/1 7 70.00
23 เด็กชายนนทพัทธ์ ทรพั ย์ถาวร ป.4/1 9 90.00
24 เดก็ หญิงขวัญแกว้ ยิ้มโสภา ป.4/1 9 90.00

35

ลำดับ ช่ือ-สกุล ชั้น คะแนน คดิ เปน็ รอ้ ยละ
25 เด็กหญงิ พิมพล์ ภัส หารวย ป.4/1 7 70.00
26 เดก็ หญงิ สุดารตั น์ เจริญดี ป.4/1 7 70.00
27 เดก็ หญิงเกศนี จอมครี ี ป.4/1 7 70.00
28 เด็กหญิงนชิ าภัส เถื่อนมว่ ง ป.4/1 7 70.00
29 เดก็ หญิงวันนพิ า สมพรมปัน ป.4/1 7 70.00
30 เดก็ หญงิ ชนัญชิตา อภิชาติ ป.4/1 8 80.00
31 เดก็ หญิงภัทรา หวานฉ่ำ ป.4/1 7 70.00
32 เด็กหญงิ ปวริศา บางใจดี ป.4/1 7 70.00
33 เด็กหญงิ ดารารตั น์ ชาวบา้ นโพธ์ิ ป.4/1 7 70.00
34 เด็กหญงิ สุดารัตน์ เกตุคง ป.4/1 8 80.00
35 เดก็ หญงิ ธัญชนก บุรมย์ทรัพย์ ป.4/1 9 90.00
36 เดก็ หญิงชัญญานุช ศรบี ูรณะพทิ กั ษ์ ป.4/1 7 70.00
37 เด็กหญิงอภิญญา รัตนทองตระกูล ป.4/1 8 80.00
38 เดก็ หญงิ กลุ ธิดา กาบแกว้ ป.4/1 8 80.00
39 เดก็ หญิงธนพร เจรญิ สุข ป.4/1 7 70.00
40 เด็กหญิงชตุ กิ าล เพง็ รุ่ง ป.4/1 7 70.00
41 เด็กหญิงเยาวลักษณ์ ฆ้องส่งเสียง ป.4/1 7 70.00
42 เดก็ ชายกิตติศกั ด์ิ สนใจ ป.4/2 7 70.00
43 เดก็ ชายธีรภทั ธ์ิ อย่กู ล่นั เถือ่ น ป.4/2 6 60.00
44 เดก็ ชายกฤษณะ บุญศรวี งศ์ ป.4/2 6 60.00
45 เด็กชายชยั ณวฒั น์ เอื่ยมกล้า ป.4/2 7 70.00
46 เด็กชายวรี วัฒน์ กองรอ้ ยอยู่ ป.4/2 7 70.00
47 เด็กชายณัฐปกรณ์ แสงนลิ ป.4/2 7 70.00
48 เดก็ ชายนภัสกร กอก้ยุ ป.4/2 8 80.00
49 เดก็ ชายศภุ กิตต์ิ ต๋งึ พนั ธ์ุ ป.4/2 8 80.00
50 เด็กชายปรเมศวร์ ชาวบ้านโพธ์ิ ป.4/2 8 80.00
51 เด็กชายพีรพฒั น์ กลิ่นเกษร ป.4/2 7 70.00
52 เด็กชายศุภกร ดิษฐ์พนั ธุ์ ป.4/2 7 70.00

36

ลำดับ ช่ือ-สกุล ช้นั คะแนน คดิ เป็นร้อยละ
70.00
53 เด็กชายตฤณ กจิ รันต์ ป.4/2 7 70.00
7 70.00
54 เด็กชายชยานนท์ สอพอง ป.4/2 7 40.00
4 70.00
55 เดก็ ชายชัยวัฒน์ พกุ ถัน ป.4/2 7 80.00
8 70.00
56 เด็กชายบญุ ญฤทธ์ิ ทบั ทองดี ป.4/2 7 70.00
7 70.00
57 เดก็ ชายธนิศร พานแกว้ ป.4/2 7 80.00
8 70.00
58 เดก็ ชายศรัณยพงศ์ จงสมจติ ต์ ป.4/2 7 40.00
4 70.00
59 เด็กชายธนภทั ร หมอยาดี ป.4/2 7 80.00
8 90.00
60 เด็กชายธนวัฒน์ ป้ันแตง ป.4/2 9 70.00
9 70.00
61 เด็กชายมงคลชยั ศรวี รรณา ป.4/2 7 90.00
9 90.00
62 เดก็ ชายธีรกานต์ คมุ้ ประดิษฐ์ ป.4/2 9 90.00
9 70.00
63 เดก็ ชายกิติกร กุทาพนั ธ์ ป.4/2 7 60.00
6 70.00
64 เด็กชายกชเมธ จนั ทะคำแสง ป.4/2 7 80.00
8 70.00
65 เด็กชายอคิราภ์ แสนลอ้ ม ป.4/2 7 70.00
7 90.00
66 เด็กชายจักรพงษ์ ราษีทอง ป.4/2 9 90.00
9
67 เดก็ หญงิ โชติกา คงสำราญ ป.4/2

68 เดก็ หญงิ ณฐั วรา สาธุรตั น์ ป.4/2

69 เด็กหญิงธนสิ รา พานโนรี ป.4/2

70 เดก็ หญิงปุณยาพร ธรรมโชติ ป.4/2

71 เด็กหญงิ เกวลิน ตระกลู พิทักษ์กิจ ป.4/2

72 เด็กหญงิ สราลี อนิ ทร์สขุ ป.4/2

73 เด็กหญิงสุพชิ า เมียงแก ป.4/2

74 เดก็ หญิงธญั ญลกั ษณ์ ตระการจนั ทร์ ป.4/2
75 เด็กหญงิ ศริ ลิ ักษณ์ ต๋ึงพนั ธ์ุ ป.4/2

76 เดก็ หญิงทิพนาวา สขุ เกษม ป.4/2

77 เดก็ หญิงจิรนันท์ หอมชะมด ป.4/2

78 เด็กหญงิ ธนานันท์ ทองฤทธิ์ ป.4/2

79 เดก็ หญิงวรรณวสิ า ทบั โชติ ป.4/2

80 เด็กหญิงเบญจรตั น์ ชูแกว้ ป.4/2

37

ลำดบั ช่อื -สกุล ชัน้ คะแนน คดิ เปน็ รอ้ ยละ
81 เด็กหญิงกัญญาภัค กองหนิ ป.4/2 9 90.00
82 เด็กหญงิ ชตุ กิ าญจน์ ขวัญงาม ป.4/2 7 70.00

รายละเอยี ดเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบประเมินการปฏบิ ัติทา่ รำมาตรฐาน “เพลงชาวไทย”

รายการ 9-10 เกณฑ์การใหค้ ะแนน 0-4
ประเมนิ 7-8 5-6

1. การ นักเรยี นสามารถ นักเรียนสามารถ นักเรียนสามารถ นกั เรยี นไม่
ปฏิบตั ิทา่ รำ
ปฏิบตั ทิ า่ รำได้ ปฏิบัตทิ า่ รำได้ ปฏิบตั ทิ ่ารำได้ สามารถปฏบิ ตั ิ

ถกู ต้อง ทา่ รำมี ถูกต้อง การเปล่ยี น แตท่ า่ รำไม่มีความ ทา่ รำได้ การ

ความสวยงาม มือและการย้ำเทา้ สวยงาม เปล่ยี น เปล่ียนมอื และ

การเปลยี่ นมือ ถกู ต้อง ตรงตาม มอื ได้ถูกตอ้ งแต่ การยำ้ เทา้ ไม่

และการยำ้ เท้า เนื้อเพลง จงั หวะ ยำ้ เท้าไมต่ รงตาม ตรงตามเนื้อ

ตรงตามเนื้อเพลง และทำนองเพลง มี เนอื้ เพลง จังหวะ เพลง จังหวะ

จังหวะ และ ความม่นั ใจ และ และทำนองเพลง และทำนองเพลง

ทำนองเพลง กลา้ แสดงออก ไมม่ ีความมน่ั ใจ ไม่มีความมน่ั ใจ

มีความมน่ั ใจ และ และไมก่ ล้า และไมก่ ลา้

กล้าแสดงออก แสดงออก แสดงออก

38

ประวัตผิ ้วู ิจยั

ช่อื นางสาวศิรลิ กั ษณ์ มนั่ คง
วันเดอื นปีเกดิ 16 ตลุ าคม 2541
สถานทีเ่ กิด โรงพยาบาลพหลพลพยหุ เสนา
สถานท่ีอยูป่ ัจจุบัน 52/6 หมู่ 3 ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวดั กาญจนบุรี 71240
ประวตั ิการศกึ ษา
ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรยี นอนุบาลสงั ขละบรุ ี
พ.ศ.2552 ช้นั มธั ยมศึกษาตอนตน้ วิทยาลยั นาฏศิลปสพุ รรณบรุ ี
พ.ศ.2556 ช้ันมัธยมศกึ ษาตอนปลาย วิทยาลยั นาฏศลิ ปสุพรรณบุรี
พ.ศ.2559 กำลงั ศกึ ษาชน้ั ปรญิ ญาตรปี ีที่ 5 สาขานาฏศิลป์ไทยศกึ ษา
พ.ศ. 2564 หลักสูตรศกึ ษาศาสตรบณั ฑติ (5ปี) วิทยาลัยนาฏศลิ ปสุพรรณบรุ ี
สถาบนั บัณฑติ พัฒนศิลป์

39


Click to View FlipBook Version