The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Praewanit Boontermnitikul, 2023-09-11 16:07:36

History of western musical instruments

History of western musical instruments

ประวัติศาสตร์ของเครื่องดนตรีตะวันตก


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS คำ นำ ในแต่ละยุคสมัยมัของประวัติวั ติศาสตร์ เกิดการเปลี่ยนแปลงตลอด ไม่ว่ม่าว่จะเป็นป็ถิ่นที่อยู่ อาศัย แนวความคิด การปกครองในยุคสมัยมันั้นนั้ๆ ซึ่งซึ่สิ่งสิ่เหล่านี้ส่ นี้ งส่ผลให้มห้นุษนุย์เย์กิดการ พัฒพันาปรับรัตัวขึ้นขึ้เรื่อรื่ยๆ มีคมีวามมีอมีารยธรรมมากขึ้นขึ้และสิ่งสิ่ที่บ่งบ่บอกถึงการพัฒพันาขึ้นขึ้ ของมนุษนุย์ไย์ด้อด้ย่าย่งชัดชัเจน คือ เครื่อรื่งดนตรี โดยหนังนัสือสืเล่มนี้จ นี้ ะอธิบธิายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงดนตรีแรีละเครื่อรื่งดนตรีใรีนยุคสมัยมั ต่างๆของตะวันวัตก ที่เกิดจากอิทธิพธิลและมุมมองที่มีต่มี ต่อดนตรีขรีองคนในแต่ละยุคสมัยมั ยินยิดีต้ดี ต้อนรับรัสู่โสู่ ลกของดนตรีผ่รีาผ่นเครื่อรื่งดนตรีตรีะวันวัตกที่จะทำ ให้คุห้ณคุเข้าข้ใจ ประวัติวั ติศาสตร์เร์ครื่อรื่งดนตรีตรีะวันวัตกได้อด้ย่าย่งลึกซึ้งซึ้มากขึ้นขึ้ ผู้จัผู้ ดจัทำ หวังวัว่าว่ผู้อ่ผู้ อ่านจะได้รัด้บรัทั้งทั้ความรู้แรู้ละเพลิดเพลินไปกับ “History of Western Musical instruments” หากผิดผิพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี่ด้ นี่ วด้ย แพรวานิตย์ บุญเติมนิติกุล ภัทรวรินทร์ เอี๊ยวเจริญ ศีรณา ใสสมบูรณ์ ผู้เรียบเรียง


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS CONTENTS ยุคโบราณ ยุคกรีก ยุคโรมัน ยุคกลาง ยุคเรเนซองส์ ยุคบาโรก ยุคคลาสสิก ยุคโรเเมนติก ยุคศตวรรษที่ 20 เเละปัจจุบัน 6-13 14-19 20-27 28-39 40-44 45-49 50-55 56-62 63-67


ยุคโ บ ราณ บ ท ที่ 1


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 8 การกำ เนิดของเครื่องดนตรีสามารถสืบย้อนไปถึงสมัยโบราณ มนุษย์รู้วิธีสร้างเครื่องดนตรีง่ายๆ เมื่อพิจารณาจากสภาพแวดล้อมทาง ธรรมชาติโดยรอบ เดิมทีจะเป็นการตบมือ ผิวปาก เคาะหิน เคาะกิ่งไม้ ฯลฯ ต่อมามีเครื่องดนตรีพร้อมรูปภาพปรากฏขึ้น มีหลายสไตล์ที่ แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ มีการแลกเปลี่ยนศิลปะ วัฒนธรรม และลักษณะเครื่องดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ โดยเฉพาะเครื่อง ดนตรีสากลที่เล่นเครื่องดนตรีตะวันตก การกำ เนิดของดนตรีตะวันตกซึ่งเป็นเรื่องปกติในปัจจุบัน เนื่องมาจากเครื่องดนตรีของชาวกรีก โบราณ เครื่องดนตรี 3 ชิ้นถูกสร้างขึ้น ได้แก่ ไลรา คิธารา และออโรส และหลังจากนั้นไม่นานก็มีการพัฒนาเครื่องดนตรีประเภทต่างๆ ขึ้น เครื่องสายและเครื่องเครื่องเป่าทองเหลืองสองประเภท เครื่องเพอร์คัชชัน และเครื่องดีดหรือเพอร์คัสซีฟ เช่น ไวโอลิน ฟลุต ทรัมเป็ต กลอง กีตาร์ ฯลฯ เครื่องดนตรีสากลสามารถพบได้ในวงดนตรีนานาชาติประเภทต่างๆ ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน สำ รวจประวัติศาสตร์ดนตรีตั้งแต่สมัยโบราณ การได้รับเรื่องราวนั้นถือว่ายาก ยุคแห่งการรู้จักใช้ตัวอักษรหรือสัญลักษณ์อื่น ๆ ปรากฏ และแพร่หลายในยุคกลางตอนต้นระหว่างศตวรรษที่ 5 ถึง 6 มีเพียงสัญลักษณ์ในการบันทึกซึ่งแสดงเฉพาะระดับเสียงและจังหวะ ระดับ เสียงและเวลา ในยุคแรกๆของโลกที่มีมนุษย์อยู่ด้วย มนุษย์อาศัยอยู่ในป่า ถ้ำ และโพรงต้นไม้ แต่พวกเขาก็รู้วิธีร้องเพลงและเต้นรำ อย่าง เป็นธรรมชาติด้วย เช่น รู้จักตบมือ เคาะหิน เคาะไม้ เป่านกหวีด ร้องเพลงประกอบนิทาน เป็นต้น ร้องเพลงและเต้นรำ เพื่ออธิษฐานต่อ พระเจ้าเพื่อปกป้องคุณจากอันตรายและสร้างแรงบันดาลใจให้กับความสุขและความอุดมสมบูรณ์ทุกประเภทให้กับตัวคุณเอง หรือ เป็นการนมัสการ การแสดงออกถึงความกตัญญูต่อพระพรและการปลอบประโลมใจของพระเจ้า โลกผ่านมาหลายยุคสมัยแล้ว ดนตรีพัฒนาไปพร้อมกับความก้าวหน้าและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ เครื่องดนตรีที่ใช้แต่เดิมมีการ พัฒนาทีละขั้นตอน กลายเป็นเครื่องดนตรีที่เราเห็นร้องทุกวันเพื่อวิงวอนพระเจ้า และกลายเป็นเพลงสวดทางศาสนา และเพลงที่ร้องโดย ทั่วไป จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่าโครงสร้างของดนตรีตะวันตกได้รับอิทธิพลจากดนตรีของชาวกรีก นี่คือชาติที่มีอารยธรรมโบราณ ประดิษฐ์และสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ทุกประเภท รวมถึงศิลปะและดนตรี เมื่อกรีซกลายเป็นส่วนหนึ่งของดนตรีและวัฒนธรรมของจักรวรรดิ โรมัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็โอนไปยังชาวโรมันและจักรวรรดิโรมันก็ล่มสลาย วัฒนธรรมดนตรีกรีกที่ชาวโรมันนำ มาใช้จึงแพร่กระจายไปยัง ผู้คนต่างๆ ทั่วยุโรป ยุคสมัยทางดนตรีตะวันตก จึงมีความเชื่อมโยงกับด้านสังคม การเมืองการปกครอง วัฒนธรรมในยุคนั้น ดังนั้นดนตรีแต่ละยุคจะมีความ ก้้ากึ่งกัน และมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามแนวคิดของผู้ประพันธ์เพลง จึงท้าให้เกิดลักษณะของดนตรีตะวันตกในแต่ละยุคขึ้นมา การศึกษา และท้าความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะของบทเพลงในแต่ละยุคนั้น จะ ช่วยให้ เข้าใจเก่ียวกับโครงสร้าง และพัฒนาการของดนตรีตะวันตก บ ท ที่ 1


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 9 Lyre greek instrument


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 10


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 1 1 Kithara greek instrument (Greek: κιθάρα, romanized: kithára)


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 12


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 13 Aulos Greek instrument (Ancient Greek: αὐλός, plural αὐλοί, auloi)


บ ท ที่ 2 ยุคก รี ก (ANCI ENT GRE EK MUSIC)


ในยุคสมัยนี้มีการสร้างเครื่องดนตรีทั้งหมด 3 ชนิด พิณไลรา (Lyra) เป็นเครื่องดนตรีเครื่องสายสำ หรับนักดนตรีมือใหม่ ชาวกรีกนิยมนำ มาใช้ประกอบพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าอะพอลโล นอกจากนี้ยังนำ มาเครื่องดนตรีมาบรรเลงประกอบกับบทร้อยกรองหรือมหากาพย์เกี่ยวกับการเดินทางของโฮเมอร์ พิณคีธารา (Kithara) เป็นเครื่องดนตรีเครื่องสายสำ หรับนักดนตรีมืออาชีพ มีทั้งหมด 7 สาย นิยมใช้เล่นประกอบในพิธีทางศาสนา ต่างๆ เช่น พิธีแต่งงาน พิธีศพ หรือ ในโอกาสต่างๆ เช่น งานฉลองชัยชนะ เป็นต้น ออโลส (Aulos) เป็นเครื่องเป่าลมประเภทลิ้นคู่ ทำ มาจากไม้ เป็นเครื่องดนตรีที่มีความสำ คัญมากในสมัยนี้ ชาวกรีกนิยมนำ มาใช้ ประกอบพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าไดโอนีซัส ยุคกรีก เป็นต้นก้าเนิดของดนตรีตะวันตก ดนตรีกรีกเป็นดนตรีที่เน้นเสียงแนวเดียว (Monophony) ไม่มีเสียงประสาน เน้นเฉพาะ แนวทำ นอง ดนตรีกรีกแบ่งออกได้ดังนี้ - ยุค Mythical เป็นช่วงจากเริ่มต้น จนถึง 1,000 ปีก่อนคริสตกาล (B.C.) ดนตรีในช่วงนี้จะใช้ประกอบพิธีกรรมของลักธิเทพเจ้าอ พอลโล (Apollo) - ยุค Homeric (1,000 – 700 B.C.) ยุคนี้ก้าเนิดโดยโฮเมอร์ (Homer) เนื่องจากมีบทร้อยกรองหรือมหากาพย์ ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ ของชาติเกิดขึ้น โดย แต่งจากการเดินทางผจญภัยของโฮเมอร์ ซึ่งกลายมาเป็นวรรณคดีที่ชาวกรีกนำ มาขับ ร้อง ประกอบพิณไลรา (Lyra) โดยผู้ดีดพิณจะท้าหน้าที่ขับร้องไปด้วย ลักษณะการ บรรเลงประเภทนี้เรียกว่า บาดส์ (Bards) โดยขุนนางชั้นสูงจะจ้างนักดนตรีมืออาชีพ มาบรรเลงในคฤหาสน์ ในขณะเดียวกันยังก้าเนิดดนตรีพื้นเมือง (Folk Songs) จาก กลุ่มคนเลี้ยงแกะ ซึ่งเนื้อหาของเพลงจะเกี่ยวกับการ เลี้ยงแกะ และขับกล่อมฝูงแกะ โดยการเป่า Panpipes (คล้ายแคนอีสาน) - ยุค Archaic (700 – 550 B.C.) ในยุคนี้นิยมรูปแบบกวีนิพนธ์แบบลีริก (Lyric) ซึ่งมีลักษณะที่เอื้อให้กวีได้แสดงความรู้สึกตนเองได้เต็มที่ ในยุคนี้จึงนิยมการ แสดงออกโดยการระบายอารมณ์ในใจของกวี - ยุค Classical (550 – 440 B.C.) เป็นยุคที่มีการร้องเพลงประกอบระบ้า เรียกว่า ดีทีแรมบ์ (Dithyramb) คือเป็นการร้องเพลงโต้ตอบ กับกลุ่มคอรัส และ ผสมผสานกับการเต้นร้าอีกด้วย และพัฒนาต่อมาในรูปแบบบทละคร (Drama) - ยุค Hellenistic (440 – 330 B.C.) มีการค้นพบกฎพื้นฐานของเสียง โดย พีทาโกรัส (Pythagoras) ซึ่งค้นพบระยะขั้นคู่เสียง 8 คู่ เป็น หลักส้าคัญของบันได เสียงที่ใช้กันในปัจจุบันนี้ และได้พัฒนาต่อมาเป็นโหมด (Mode) เพื่อชักจูงผู้ฟังให้เกิด อารมณ์ความรู้สึก เช่น โหมด แห่งความเงียบสงบ มักใช้ในพิธีของเทพเจ้าอพอลโล (Apollo) และโหมดสนุกสนาน อึกทึก ครึกโครม มักใช้ในพิธีของเทพเจ้าไดโอนิซัส (Dionysus) ซึ่งการค้นพบกฎของเสียง ส่งผลให้ในยุคนี้ความนิยมต่อการร้องเพลง ประกอบละครลดลง HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 15 บ ท ที่ 2 ยุคกรีก (Ancient Greek Music) “ยุคแห่งการเริ่มต้น ดนตรีกับเทพเจ้า” (1,000 B.C. – 330 B.C.) (1,000 – 330 ปีก่อนคริสตกาล)


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 16 Apol o playing Lyre


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 1 7 Homer


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 18 Panpipes


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 19 Pitachora/Phytachola


บ ท ที่ 3 ยุคโร มั น (ROMAN)


ยุคโรมัน (Roman) 146 B.C. – A.D. 450 เป็นยุคที่เริ่มต้นหลังจากที่กรีกกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน และรับเอาวัฒนธรรมทางดนตรีของกรีกไปทั้งหมด ทั้งรูปแบบ ทั้ง การร้องเสียงเดียว และได้นำ ไปปรับปรุงดัดแปลงให้เข้ากับสภาพความเป็นจริงในยุคนี้ เพื่อใช้ปลุกใจประชาชนให้เกิดความเป็นหนึ่ง เดียวกัน ในยุคนี้เริ่มต้นหลังจากที่ กรีก ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน จึงได้ชื่อยุคโรมัน ในปี 146 ปีก่อนคริสตศักราช อาณาจักร โรมันรับเอาวัฒนธรรมทางดนตรีของกรีกไปทั้งหมด ทั้งรูปแบบ การร้องเสียงเดียว (Monophony) ลักษณะของดนตรีในยุคโรมันจะยึดทฤษฎีดนตรีของกรีกเป็นหลัก และนำ มาผสมผสานกับทัศนะแบบเฮเลนิสติค (Hellenistic civilization) เป็นการผสมระหว่างอารยธรรมกรีก และอารยธรรมของตะวันออกกลาง และเอเชีย ตะวันตกเฉียงใต้ ในช่วงหลัง พัฒนาการทางดนตรีมีความเสื่อมลงอย่างมาก เนื่องจากถูกนำ ไปบรรเลงในโอกาส และสถานที่ซึ่ง ไม่เหมาะสม เช่นการจัด แสดงดนตรีในสมัยของคารินุส (Carinus 284 A.D.) ได้มีการบรรเลงดนตรีที่ประกอบด้วย ทรัมเป็ต (Trumpet) 100 ชิ้น แตร(Horn) 100 ชิ้น และเครื่องดนตรีอื่น ๆ อีก 200 ชิ้น ซึ่งการจัดการบรรเลงดนตรี แบบโอ่อ่าเช่นนี้ ก็ไม่เป็นที่สบอารมณ์ในหมู่นักปราชญ์ทางดนตรี ประเภทอนุรักษ์นิยมเท่าใดนัก แต่ก็เกิดนักดนตรีขึ้นจำ นวนมาก เนื่องจากการหลอมรวมอาณาจักร และการจัดการแสดงที่ใช้นักดนตรี จำ นวนมาก ถือเป็นยุคที่คึกครื้นสำ หรับนักดนตรี โดยสรุปแล้วยุคโรมันเอาความรู้จากกรีกไปเผยแพร่และปรับปรุงดัดแปลงให้เข้ากับสภาพความเป็นจริงใน ขณะนั้น เพื่อใช้ปลุกใจ ประชาชนให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งเป็นผลดีต่อการปกครองอาณาจักรที่กว้าง ใหญ่ จัดได้ว่าเป็นยุคที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ทางดนตรีมากนัก แต่เป็นยุคที่สืบต่อความเป็นดนตรีกรีกสู่อาณาจักรที่ กว้างใหญ่ขึ้น (ยุโรป) และซึ่งเป็นผลดีในการพัฒนาดนตรีตะวันตก ต่อไป HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 21 บ ท ที่ 3 ยุคโรมัน(Roman) “ยุคแห่งการรวมอาณาจักร” (146 B.C. – A.D. 450) (146 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 450)


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 22 พัฒนาการทางดนตรียุคนี้ มีความเสื่อมลงอย่างมาก เนื่องจากยุคโรมันนิยมนำ ดนตรีไปบรรเลงในโอกาส และ สถานที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น การจัดแสดงดนตรีในสัมยของคารินุส ซึ่งเป็นการบรรเลงดนตรีแบบยิ่งใหญ่ที่ไม่สบอารมณ์ในหมู่นักดนตรีในยุคนี้ ในยุคโรมันได้มีการสร้างบันไดเสียงโบราณ ซึ่งเป็นกลุ่มตัวโน้ตที่มีระดับเสียงต่างกัน เรียงกันเป็นลำ ดับขั้นจากเสียงต่ำ ไปเสียงสูงโดย ไม่มีการข้ามขั้น โดยในยุคสมัยโรมันมีบันไดเสียงโบราณ 2 ประเภท คือ ออเธนติค เชอร์ช โมด (Authentic Church Mode) และ เพล กัล เชอร์ช โมด (Plagal Church Mode) ออเธนติค เชอร์ช โมด (Authentic Church Mode) เป็นบันไดเสียงที่เริ่มต้นจากโน้ตขั้นแรกของบันไดเสียง ซึ่งโน้ตตัวเริ่มต้น คือ ฟินาลิส (Finalis) แบ่งบันไดเสียงประกอบออกเป็น 4 บันได เสียง โดเรียน (Dorian) เป็นบันไดเสียงที่เริ่มต้นจากโน้ต D-E-F-G-A-B-C-D หรือ เร – มี – ฟา – ซอล – ลา – ที – โด - เร ฟรีเจียน (Phrygian) เป็นบันไดเสียงที่เริ่มจากโน้ต E-F-G-A-B-C-D-E หรือ มี – ฟา – ซอล – ลา – ที – โด – เร - มี ลีเดียน (Lydian) เป็นบันไดเสียง ที่เริ่มจากโน้ต F – G – A – B – C – D – E – F หรือ ฟา – ซอล – ลา – ที – โด – เร – มี – ฟา มิกโซลีเดียน (Mixolydian) เป็นบันไดเสียงที่เริ่มจากโน้ต G – A – B – C – D – E – F – G หรือ ซอล – ลา – ที – โด – เร – มี – ฟา – ซอล


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 23 เพลกัล เชอร์ช โมด (Plagal Church Mode) เป็นบันไดเสียงที่เริ่มต้นจากตัวโน้ตที่อยู่ต่ำ ลงมาจากโน้ตฟินาลิสของบันไดเสียงออเธนติค เชอร์ช โมด แบ่งบันไดเสียงประกอบออกเป็น 4 บันไดเสียง ไฮโปโดเรียน โมด (Hypo – Dorian Mode) เป็นบันไดเสียงที่เริ่มจาก A – B – C – D – E – F – G – A หรือ ลา – ที – โด – เร – มี – ฟา – ซอล – ลา โดยมีโน้ต D เป็นตัวฟินาลิส (Finalis) ไฮโปฟรีเจียน (Hypo - Phrygian) เป็นบันไดเสียงที่เริ่มจาก B – C – D – E - F – G – A – B หรือ ที – โด – เร – มี – ฟา – ซอล – ลา – ที โดยมีโน้ตชื่อ E เป็นตัวฟินาลิส (Finalis) ไฮโปลีเดียน (Hypo – Lydian) เป็นบันไดเสียงที่เริ่มจาก C – D – E – F – G – A – B – C หรือ โด – เร – มี – ฟา – ซอล – ลา – ที – โด โดยมีโน้ตชื่อ G เป็นตัวฟินาลิส (Finalis) ไฮโปมิกโซลีเดียน (Hypo - Mixolydian) เป็นบันไดเสียงที่เริ่มจาก D-E-F-G-A-B-C-D หรือ เร – มี – ฟา – ซอล – ลา – ที – โด – เร โดยมีโน้ตชื่อ G เป็นตัวฟินาลิส (Finalis)


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 24


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 25 Hel enistic civilization The Hel enistic world in 301 BC


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 26 สมัยมัของคารินุริสนุ (Carinus 284 A.D.)


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 27 The Laocoön and His Sons by the sculptors of Rhodes, 40-30 BC, via the Vatican Museum, Vatican City; with the Winged Victory of Samothrace, 190 BC, via the Louvre, Paris


บ ท ที่ 4 ยุคก ล าง(THE MIDDL E AGES)


ยุคกลาง “ยุคแห่งศาสนา ยุคมืดจากการล่มสลายของอาณาจักรโรมัน” เป็นยุคที่ศาสนาเข้ามามีอิทธิพลอย่างมากในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการปกครอง แนวความคิด รวมไปถึงดนตรี ซึ่งดนตรีในยุคสมัยนี้ ต่างขึ้นอยู่กับศาสนา เกี่ยวข้องกับศาสนาเป็นหลัก ดนตรีส่วนใหญ่จึงเป็นเพลงร้องกันในโบสถ์ แต่นอกเหนือจากเพลงในโบสถ์ คือ เพลง คฤหัสถ์ หรือ เพลงที่ชาวบ้านเล่นกันนอกโบสถ์ (Secular music) เป็นเพลงขับร้องเสียงเดียว มีดนตรีประกอบ ต่างจากเพลงในโบสถ์ ที่ เป็นเพลงร้องเสียงเดียว ที่ไม่มีดนตรีประกอบ โดยร้องเป็นภาษาละติน ทำ ให้เพลงคฤหัสน์เป็นที่นิยมของชาวบ้าน เพราะ สร้างความ สนุกสนานได้ เครื่องดนตรีในยุคกลาง ฮาร์พ (Harp) เป็นเครื่องดนตรีสาย ใช้บรรเลงเล่นเดี่ยวหรือเล่นรวมกับเครื่องดนตรีอื่นๆ นิยมเล่นประกอบการร้องโคลงกลอนหรือบทกวี เทิดทูน HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 29 บ ท ที่ 3 ยุคกลาง(TheMiddleAges)“ยุคแห่งศาสนา,ยุคมืดจากการล่มสลายของอาณาจักรโรมัน” (A.D. 450 – 1450) (ค.ศ. 450 – 1450)


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 30 ฟิดเดิล (Fiddle) เป็นเครื่องดนตรีสาย หรือก็คือ ไวโอลินในยุคปัจจุบัน เป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมมากในยุคนี้ เพราะมีความไพเราะ และ ง่ายต่อการเคลื่อนไหวขนาดเล่น รีเบค (Rebec) เป็นเครื่องดนตรีสายที่ใช้คันชักในการสี วิธีการใช้คล้ายกับฟิดเดิล ซึ่งปัจจุบันยังปรากฎอยู่ในดนตรีพื้นบ้านของชาวยุโรปทางตะวัน ออกเฉียงใต้ ซอเทรี (Psaltery) เป็นเครื่องดนตรีสายที่มีความคล้ายผสมระหว่างเครื่องดนตรีฮาร์พและกีตาร์ที่ใช้ไม้หรือนิ้วมือในการดีด


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 31 ดอลซีเมอร์ ( dulcimer) เป็นเครื่องดนตรีสายที่เข้ามาในยุโรปช่วงสงครามครูเสด มีลักษณะเหมือนขิม บรรเลงด้วยการใช้ไม้เล็กๆ ตีลง บนสาย ออการ์นิสทรัม (Organistrum) เป็นเครื่องดนตรีสายที่มีขนาดใหญ่ ต้องใช้ผู้เล่นถึงสองคน ใช้กลไกเฟืองหมุนเพื่อให้เกิดเสียง แต่เครื่อง ดนตรีนี้ได้ลดขนาดให้มีความเล็กลง กลายมาเป็น เฮอร์ดี้-เกอร์ดี้ (Hurdy-gurdy)


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 32 เฮอร์ดี้-เกอร์ดี้ (Hurdy-gurdy) เป็นเครื่องดนตรีสายแบบออการ์นิสทรัมที่ขนาดเล็กลง แต่ใช้มือซ้ายหมุนวงล้อและใช้นิ้วกดสายเพื่อให้เกิด เสียง ซิตเดิร์น (cittern) เป็นเครื่องดนตรีสายที่มีความแบบราบ ทำ มาจากไม่ ลักษณะรูปร่างมักเป็นหยดน้ำ ต่างจากทรงแบบกีตาร์หรือไวโอลิน


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 33 วิฮูลา (Vihuela) เป็นเครื่องดนตรีสายที่ประกอบด้วย 6 สายที่ทำ มาจากไส้แกะ ใช้นิ้วและปิ๊กในการเล่น ปี่ชอว์ม (Shawm) เป็นเครื่องดนตรีเป่าที่มีความสำ คัญมากในยุคกลาง ลักษณะตัวขลุ่ยมีรูยาว แต่ตรงปลายผายออกและมีลิ้นคู่ ทำ ให้เกิดเสียง ดังและแหลมในตอนที่เป่า นำ มาใช้เป่าเพื่อการร้องรำ ทำ เพลง


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 34 ครัมฮอร์น (Crumhorn) เป็นเครื่องดนตรีเป่าที่มีรูปร่างโค้ง แบบมีลิ้น เวลาเป่าจะเกิดเสียงหึ่งๆขึ้นจมูก คอร์นมิวส์ (cornemuse) เป็นเครื่องดนตรีเป่ามีรูปทรงตรง แบบมีลิ้น เวลาเป่าจะเกิดเสียงเรียบและหวาน ต่างจาก ครัมฮอร์นที่ให้เสียงหึ่งๆ ขึ้นจมูก


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 35 เจมชอน (Gemshorn) เป็นเครื่องดนตรีเป่าที่ทำ มาจากเขาวัว ถือใช้แบบแนวขวางแล้วเป่า แซ็คบัท (Sackbut) เป็นเครื่องดนตรีเป่าที่ใช้การเลื่อนท่อเพื่อปรับระดับเสียงพร้อมกับการเป่า กลายมาเป็นทรอมโบนในปัจจุบัน


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 36 ไพพ์ (Pipe) เป็นเครื่องดนตรีเป่าที่มีแค่ 3 รู มีรูปทรงที่มีความเรียบง่ายที่สุด แบ็กไพพ์ (bagpipe) เป็นเครื่องดนตรีเป่าที่มีหนังแพะและแกะเป็นส่วนประกอบ ใช้การเป่าลมผ่านหลอดเข้าไปใน ถุงและกดถุงเพื่อให้ลมออกทางหลอดอื่น


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 37 ทรัมเปต (Trumpet) เป็นเครื่องดนตรีเป่าที่มีรูปร่างยาวประกอบด้วย 4 สาย ทำ มาจากโลหะ นิยมใช้เพื่อป่าวประกาศหรือแจ้งเหตุสำ คัญ กลอง (Drum) เป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะที่ทำ มาจากไม้ โดยข้างในเป็นโพรง หุ้มข้างนอกด้วยหน้งของสัตว์ ใช้เพื่อประกอบการร้องเพลง และเต้นรำ


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 38 ฉาบคู่ (Cymbol) เป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะที่ทำ มาจากแผ่นโลหะกลมและบาง มีรูปทรงเว้าเข้าใน ใช้มือทั้งสองข้างถือฉาบแต่ละใบ และนำ มากระทบกัน กุ๋งกิ๋ง (Triangle) เป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะที่นำ โลหะมาดัดให้เป็นสามเหลี่ยม แล้วใช้แท่งโลหะตีกระทบ ทำ ให้เกิดเสียงกุ๋งกิ๋งเหมือนกับ ชื่อเครื่องดนตรี


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 39 แทมบูรีน (Tambourine) เป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะที่มีรูปร่างแบบขอบกลอง ทำ มาจากไม้ พลาสติก หรือโลหะ รอบๆขอบติดแผ่นโลหะ ประกบกัน 2 แผ่น ใช้การตีกระทบกับฝ่ามือเพื่อให้เกิดเสียง


บ ท ที่ 4 ยุคเรเ น ซ อ ง ส์ (THE RENAISSANCE PERIOD)


ลักษณะของดนตรีในยุคนี้ มีแนวสอดประสานทำ นอง เช่นเดียวกับยุคศิลป์ใหม่ แต่ได้พัฒนารูปแบบมากขึ้น การสอดประสานทำ นอง ยังคงเป็นที่นิยมของยุคนี้ แต่ในเรื่องของการบรรเลงเริ่มมีบทบาทมากขึ้น รูปแบบของดนตรีแบ่ง ความแตกต่างได้ยุคเรเนอซองส์ (The Renaissance) “ยุคที่ดนตรีคลายเครียด ดนตรีและศาสนามีความสำ คัญเท่ากัน” A.D. 1450-1600 เป็นยุคที่ดนตรีการบรรเลงเข้ามามีบทบาท มนุษย์เริ่มเห็นความสำ คัญมากขึ้น ดนตรีในยุคนี้เป็นแนวสอดประสานทำ นอง เล่นเพื่อ ความผ่อนคลาย สนุกสนาน ซึ่งแตกต่างจากยุคกลางเป็นอย่างมากที่เล่นดนตรีเพื่อศาสนา ในช่วงศตวรรษที่ 15 เป็นช่วงที่เริ่มมีการร้องประสานเกิดขึ้นที่เรียกว่า เพลงประเภทซังซอง และ ร้องแบบสอดประสานล้อกัน ซึ่งเป็นจุดเด่นของเพลงในยุคนี้ - ผู้คนหันมาให้ความสำ คัญกับลัทธิทางปรัชญา ทำ ให้ระบบแบบศักดินา (Feudalism) และมนุษยนิยม (Humanism) ถูกลดความ ส้าคัญลงไป - ศิลปนผู้มีชื่อเสียง คือ ลอเร็นโซ กิแบร์ดี โดนาเต็ลโล เลโอนาร์โด ดา วินชิ ฯลฯ - เพลงมักจะเป็นแบบ 3 แนว โดยแนวบนสุดจะมีลักษณะเด่น และน่าสนใจมากกว่าแนวอื่นๆ - เพลง 4 แนวในลักษณะ โซปราโน อัลโต เทเนอร์ และเบส ก็เริ่มนิยมประพันธ์กัน ในยุคต่อ ๆ มา - เพลงโบสถ์ จำ พวกแมส ซึ่งพัฒนามาจากเพลงแชนท์ ก็มีการประพันธ์เช่นกับในยุคกลาง - เพลงโมเต็ด ยังเหมือนกับยุคศิลป์ใหม่ - เพลงคฤหัสถ์เริ่มมีการประสานเกิดขึ้น เรียกว่า เพลงประเภทซังซอง แบบสอดประสาน (Polyphonic chanson) ซึ่งมีแนวเด่น 1 แนว และแนวที่เหลือเป็นแบบสอดประสานล้อกัน (Imitative style) - แนว Imitative style มีแนวโน้มที่จะเป็นลักษณะของเสียงประสาน (Homophony) - ลักษณะการล้อกันเป็นจุดเด่นของเพลงยุคน HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 41 บ ท ที่ 4 ยุคเรเนซองส์ (The Renaissance Period) หรือ ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา “ยุคที่ดนตรีคลายเครียด และดนตรีศาสนา มีความสาคัญเท่ากัน” (A.D. 1450 – 1600) (ค.ศ. 1450 – 1600)


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 42 เครื่องดนตรีในยุคเรเนอซองส์ วิโอล (viol) เป็นเครื่องดนตรีสายที่ประกอบด้วย 5 สาย มีหลายขนาด ในปัจจุบันคือเครื่องดนตรีเซลโลกับดับเบิ้ลเบส ในช่วงศตวรรษที่ 16 เป็นช่วงที่การร้องประสานได้รับการพัฒนาจนสมบูรณ์แบบ มีหลักเกณฑ์มากขึ้น ผู้คนนิยมประสานเสียงสลับการล้อกันของทำ นอง มีการ สร้างเพลงสวดใหม่ ที่ชื่อว่า โคราล (Chorale) ซึ่งเป็นเพลงที่นำ มาจากแชนท์ และใส่อัตราจังหวะ เกิดการสร้างรูปแบบเพลงใหม่ๆ มากขึ้น หลักการมีแบบแผนมากขึ้น - เพลงร้องแบบสอดประสาน มีการพัฒนาจนสมบูรณ์แบบ - เพลงโบสถ์ยังคงได้รับอิทธิพลจากเพลงโบสถ์ของยุคโรมันอยู่ - เกิดเพลงโบสถ์ของนิกายโปรแตสแตนท์ขึ้น ในยุคนี้ด้วย - การประสานเสียงเริ่มมีหลังเกณฑ์มากขึ้น - นิยมการประสานเสียงสลับการล้อกันของท้านอง เหมือนในศตวรรษที่ 15’ - การแต่งเพลงแมส และโมเต็ต น้าหลักการประสานล้อกันของทำ นองมาใช้ แต่เป็นแบบฟกว์ (Fugue) ซึ่งได้พัฒนามาจากแคนนอน คือ การ ล้อทำ นอง ที่มีการแบ่งเป็นส่วน ๆ ที่สลับซับซ้อน มีหลักเกณฑ์มากขึ้น - เกิดการปฏิวัติทางดนตรีขึ้น ในเยอรมัน ซึ่งเป็นเรื่องความขัดแย้งทางศาสนา กับพวกโรมันแคธอลิก - จึงเกิดเพลงสวดใหม่ ที่เรียกว่า โคราล (Chorale) ซึ่งเป็นเพลงที่น้ามาจากแชนท์ และใส่อัตราจังหวะ - มีการนำ เพลงคฤหัสถ์ มาใส่เนื้อเรื่องศาสนา - เป็นช่วงที่เกิดรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้น และหลักการต่าง ๆ มีแบบแผนมากขึ้น


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 43 ลูต (Lute) เป็นเครื่องดนตรีสายมีรูปร่างคล้ายลูกแพร มีส่วนคอเป็นแผ่นแบน เป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมมากในยุคนี้ ใช้นิ้วดีดเล่นที่คล้าย กับกีตาร์โปร่ง ขลุ่ยเรคอร์เดอร์ (Recorder) เป็นเครื่องดนตรีเป่าที่มีรูปร่างคล้ายขลุ่ยไม้ มีหลายขนาด ต้องใช้ปากคาบปลายข้างหนึ่งไว้ที่ปากแล้วเป่า


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 44 ปี่คอร์เน็ต (Cornet) เป็นเครื่องดนตรีเป่าที่มีปุ่มกด 3 ปุ่มกลางเครื่อง ส่วนปลายบานออกเป็นทรงกรวย ลักษณะคล้ายกับทรัมเป็ต ลักษณะ เสียงจะมีความนุ่ม ฟังสบายหู


บ ท ที่ 5 ยุคบ าโร ก (THE BAROQUE AGE )


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 46 ยุคบาโรก (The Baroque Age) หรือ Barroco ( ข่มุกที่มีรูปร่างบิดเบี้ยว) “ยุคแห่งความงามจนเกินพอดี” (A.D. 1600 – 1750) (ค.ศ. 1600 – 1750) บ ท ที่ 5 ดนตรียุกบาโรกอยู่ในช่วงปีค.ศ.1600-1750 คำ ว่า “Baroque” มาจากคำ ว่า “Barroco” ในภาษาโปรตุเกสซึ่งหมายถึง “ไข่มุกที่มีสัณฐานเบี้ยว” ในด้านดนตรีได้มีผู้นำ คำ นี้มาใช้เรียกยุค สมัยของดนตรีที่เกิดขึ้นในยุโรป เริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 และสิ้นสุดลงราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ในสมัยบาโรกดนตรีศาสนาในแบบแผนต่าง ๆ เช่น ออราทอริโอ แมส พาสชัน คันตาตา ในศาสนา (Church Cantata) คีตกวีก็นิยมแต่งกันไว้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “แมสใน บี ไมเนอร์” ของ เจ.เอส. บาค และออราทอริโอ เรื่อง “The Messiah” ของเฮนเดล จัดได้ว่าเป็นดนตรีศาสนาที่เด่น ที่สุดของสมัยนี้ ลักษณะทั่วไปของดนตรีสมัยบาโรก 1. นิยมใช้เบสเป็นทั้งทำ นองและแนวประสาน 2. เคาน์เตอร์พอยท์ (Counterpoint) ยังคงเป็นคุณลักษณะเด่นของสมัยนี้ โฮโมโฟนีทำ ให้เคาน์เตอร์พอยท์สมบูรณ์มากขึ้น 3. นิยมใช้บันไดเสียงเมเจอร์และไมเนอร์แทนโมด 4.มีคีตลักษณ์ใหม่ๆเกิดขึ้นหลายรูปแบบ 5.เทคนิคการอิมโพรไวส์(Improvisation)ได้รับความนิยมมากที่สุด 6. มีการระบุความเร็ว – ช้า และหนัก – เบา ลงไปในผลงานบ้าง 7. เริ่มมีการประสานเสียงแบบโฮโมโฟนีเป็นการประสานเสียงแบบอิงคอร์ดและหลายแนวหนุน 8.โอเปร่า(opera)ได้กำ เนิดและพัฒนาขึ้นในสมัยนี้ 9. นิยมใช้สื่อที่ต่างกันตอบโต้กัน เช่น เสียงนักร้องกับเครื่องดนตรี 10. มีการจำ แนกหมวดหมู่ของคีตนิพนธ์


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 47 ผู้ประพันธ์เพลง 1. Antonio Vivaldi,1678-1741 ผู้ประพันธ์เพลงและนักไวโอลินชาวอิตาเลียน เกิดปี 1678 ที่เมืองเวนิสอันลือชื่อ เป็นลูกของนักไวโอลินประจำ โบสถ์เซ็นต์มาร์ค เขาได้รับการ ฝึกฝนการดนตรีเบื้องต้นจากพ่อของเขา เพลงที่วิวัลดีแต่งโดยมากมักเป็นเพลงสำ หรับร้องและเล่นด้วยเครื่องดนตรีประเภทสตริง ผลงานเพลงของ Antonio Vivaldi -“The Four Seasons” -Concerto in E minor for Cello & Orchestra -Concerto for violin in A minor -Concerto for Two Trumpet and Strings


HISTORY OF WESTERN MUSICAL INSTRUMENTS 48 2. Johann Sebastian Bach 1685-1750 เกิดวันที่ 21 มีนาคม 1685 ที่เมืองไอเซนาค (Eisenach) ประเทศเยอรมันเขาเกิดในตระกูลนักดนตรีได้รับการศึกษาเกี่ยวกับดนตรีจากพ่อของ เขา หลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิตเขาได้ขอให้พี่ชายของเขาสอนเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ด ให้ เมื่ออายุได้ 15 ปี เขาก็เริ่มเลี้ยงตัวเองโดยการเป็นนักออร์แกนและหัวหน้าวงประสานเสียงตามโบสถ์หลายแห่งในประเทศเยอรมันปี 1723 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำ นวยเพลงร้องที่โบสถ์ St.Thomas' Church ในเมือง Leipzig ตำ แหน่งนี้เป็นตำ แหน่งสูงสุดทางดนตรีของโบสถ์ใน นิกาย Luther บาคเป็นนักออร์แกนและคลาเวียร์ที่มีฝีมือยอดเยี่ยม เขาเป็นผู้คิดวิธีการเล่นคลาเวียร์โดยการใช้หัวแม่มือและนิ้วก้อยเพิ่มเข้าไป เป็นคนแรก ผลงานเพลงของ Johann Sebastian Bach -Air on a G String, -Brandenbarg Concerto No.2 in F -Mass in B minor -Toccata and Fugue in D minor


Click to View FlipBook Version