สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จัดทำโดย
นายภัทรพล ศรีเมือง ม.4/2 เลขที่ 11
คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาประวัติศาสตร์ ส31104
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทย โดยได้
ศึกษาผ่านแหล่งความรู้ต่างๆ อาทิเช่น ตำรา หนังสือ และแหล่งความรู้จากเว็บไซต์ต่างๆ โดยรายงานเล่มนี้
ต้องมีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติเเละพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทยสมัยก่อนรัตนโกสินทร์
เเละสมัยรัตนโกสินทร์
ผู้จัดทำคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดทำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์นี้จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่
สนใจศึกษาประวัติศาสตร์ไทยเป็นอย่างดี หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับเเละขออภัยมา ณ
ที่นี้ด้วย
นายภัทรพล ศรีเมือง
29 มกราคม 2565
ก
สารบัญ หน้า
ก
เรื่อง ข
คำนำ 1
สารบัญ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช 6
พระราชกรณียกิจ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 12
พระราชกรณียกิจ
บรรณานุกรม
ข
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ 2133-2148)
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชมีพระนามเดิมว่า พระนเรศ หรือ พระองค์ดำ เป็นพระราชโอรสในสมเด็จ
พระมหาธรรมราชากับพระวิสุทธิกษัตรี (พระราชธิดาของพระมหาจักรพรรดิกับสมเด็จพระสุริโยทัยวีรสตรี
ของไทย) เสด็จพระราชสมภพเมื่อ พ.ศ. 2098 ที่พระราชวังจันทร์ เมืองพิษณุโลก มีพระเชษฐภคินี คือ พระ
สุพรรณกัลยา มีพระอนุชา คือ สมเด็จพระเอกาทศรถ (องค์ขาว) เมื่อครั้งพระชนมายุได้ 9
พรรษาได้เสด็จไปประทับอยู่ที่เมืองหงสาวดีของพม่า เมื่อพระชนม์ได้ 15 พรรษา สมเด็จพระมหา-
ธรรมรราจึงได้ขอตัวสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกลับกรุงศรีอยุธยา และแต่งตั้งให้เป็นพระมหาอุปราช
ครองมืองพิษณุโลก พระองค์ได้เป็นกำลังสำคัญในการป้องกันบ้านเมือง และประกาศอิสรภาพจากพม่า
เมื่อ พ.ศ. 2127 (กรุงศรีอยุธยาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า ในระหว่าง พ ศ. 2112-2127 เป็นเวลา 15 ปี)
เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2133 ครองราชสมบัติ 15 ปี
• ปกครองเมืองพิษณุโลก
หลังจากพระเจ้าบุเรงนองตีกรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อ พ.ศ. 2112 และได้สถาปนาสมเด็จพระมหาธรรมราชา
ครอง กรุงศรีอยุธยาในฐานะประเทศราชของหงสาวดีแล้ว พระองค์ได้หนีกลับมายังกรุงศรีอยุธยาโดยที่
พระเจ้า บุเรงนองทรงยินยอมอันเนื่องมาจากพระสุพรรณกัลยา ทรงขอไว้ เมื่อเสด็จกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยา
ในปีพ.ศ. 2115 สมเด็จพระมหาธรรมราชาพระราชทานนามให้ พระองค์ว่า "พระนเรศวร" และโปรดเกล้าฯ
ให้เป็นพระ มหาอุปราช พระชนมายุ 17 พรรษา ไปปกครองเมืองพิษณุโลก
1
• การตีกรุงศรีอยุธยาของเขมร
เมื่อปี พ.ศ. 2113 พระยาละแวกหรือสมเด็จพระบรมราชา กษัตริย์เขมร ซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของ
กรุงศรีอยุธยามาก่อนตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 เห็นกรุงศรีอยุธยาบอบซ้ำจากการทำสงคราม
กับพม่าจึงถือโอกาสยกกองทัพเข้ามาซ้ำเติมโดยมีกำลังพล 20,000 นาย เข้ามาทางเมืองนครนายก
เมื่อมาถึงกรุงศรีอยุธยาได้ตั้งทัพอยู่ที่ตำบลบ้านกระทุ่มแล้วเคลื่อนพลเข้าประชิดพระนครและได้เข้ามา
ยืนช้างบัญชาการรบอยู่ในวัดสามพิหาร รวมทั้งวางกำลังพลรายเรียงเข้ามาถึงวัดโรงฆ้องต่อไปถึงวัดกุฎีทอง
• ประกาศอิสรภาพ
หลังจากเสร็จสิ้นสงครามพระมหาธรรมราชาได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยามี
พระนามว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชปกครองกรุงศรี อยุธยาสืบต่อมา ต่อมาพระเจ้าบุเรงนองได้ส่งพระ
นเรศวร กลับคืนกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดเกล้า ฯให้มีพระราชพิธีสถาปนาพระนเรศวรขึ้น
เป็นพระมหาอุปราชและส่งไปครองเมืองพิษณุโลก
2
• พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง
ฝ่ายพระมหาอุปราชาทราบข่าวว่า สมเด็จพระนเรศวรกวาดต้อนคนไทยกลับจึงได้ให้สุรกรรมาเป็น กองหน้า
พระมหาอุปราชาเป็นกองหลวงยกติดตาม กองทัพไทยมา กองหน้าของพม่าตามมาทันที่ริมฝั่ง แม่น้ำสะโตง
ในขณะที่ฝ่ายไทยได้ข้ามแม่น้ำไปแล้ว และคอยป้องกันมิให้ข้าศึกข้ามตามมาได้ ได้มีการต่อสู้กันที่ริมฝั่งแม่น้ำ
สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้พระแสงปืนคาบชุดยาวเก้าคืบ ยิงถูกสุรกรรมาแม่ทัพ หน้าพม่าตายบนคอช้าง
กองทัพของพม่าเห็นแม่ทัพตาย ก็พากันเลิกทัพกลับไป
• รบกับพระเจ้าเชียงใหม่ที่บ้านนายสระเกศ พ.ศ. 2128
พระเจ้าเชียงใหม่ยกกองทัพมาแก้แค้นตั้งอยู่ที่บ้านสระเกษในแขวงเมืองวิเศษชัยชาญ สมเด็จพระนเรศวรกับ
พระเอกาทศรถยกทัพไปถึงตำบลป่าโมก ก็พบกับกองทัพพม่าซึ่งลงมาเที่ยว รังแกราษฎรทางเมือง
วิเศษชัยชาญ จึงได้เข้าโจมตีจนทัพพม่าล่าถอยไป พระเจ้าเชียงใหม่จึงจัด กองทัพยกลงมาอีก สมเด็จพระ
นเรศวรจึงดำรัสสั่งให้พระราชมนูคุมกองทัพขึ้นไปลาดตระเวน ดูก่อน กองทัพพระราชมนูไปปะทะกับพม่าที่
บ้านบางแก้ว สมเด็จพระนเรศวรเสด็จขึ้นไปถึงบ้านแห จึงมีดำรัสให้ข้าหลวงขึ้นไปสั่งพระราชมนูให้ทำเป็นล่า
ทัพกลับถอยลงมา แล้วพระองค์กับพระอนุชาก็รุกไล่ตีทัพพม่าแตกพ่ายทั้งทัพหน้าและทัพหลวงจนถึงค่ายที่
ตั้งทัพของพระเจ้าเชียงใหม่ที่ บ้านสระเกษ ทัพของพระเจ้าเชียงใหม่จึงแตกกระจัดกระจายไป
3
• พระแสงดาบคาบค่าย
สมเด็จพระนเรศวรทรงพาทหารรักษาพระองค์ และ เอาพระองค์ออกนำหน้าทรงคาบพระแสงดาบขึ้นปล้น
ค่ายพระเจ้าพระเจ้านันทบุเรง แต่พวกพม่าต่อสู้และป้องกันไว้เข้าค่ายไม่ได้
• เสด็จขึ้นครองราชย์
นับตั้งแต่สมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพ เป็นต้นมา หงสาวดีได้เพียรส่งกองทัพเข้ามา หลายครั้ง แต่ก็
ถูกกองทัพกรุงศรีอยุธยาตีแตก พ่ายไปทุกครั้ง เมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชา เสด็จสวรรคต พระองค์ได้
เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2133 เมื่อพระชนมายุได้ 35 พรรษา ทรงพระนาม
ว่า สมเด็จพระนเรศวร และโปรดเกล้าฯ ให้พระ เอกาทศรถ พระอนุชา ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช แต่มีศักดิ์
เสมอพระมหากษัตริย์อีกพระองค์
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ ได้แก่
ด้านการบริหารบ้านเมือง เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงขึ้นครองราชย์ ทรงสถาปนา
สมเด็จพระเอกทศรถพระอนุชาให้ทรงดำรงตำแหน่งพระอุปราชแต่มีพระอิสริยยศเสมือนพระมหากษัตริย์
ด้านการทำศึกสงคราม สมเด็จพระนเรศวรมหาราชมีบทบาทเด่นในด้านการทำสงครามจนตลอดรัชกาล
•พระมหาอุปราชายกทัพมาครั้งแรก
พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงโปรดเกล้าฯ ให้พระมหาอุปราชายกทัพมาโจมตีอยุธยาทางด่านเจดีย์สามองค์
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยกทัพหลวงไปถึงสุพรรณบุรีและใช้กลศึกโจมตีทัพหน้าพม่าถอยร่นไป
•สงครามยุทธหัตถี
พ.ศ. 2135 พระเจ้าหงสาวดีทรงให้พระมหาอุปราชารบแก้ตัวอีกครั้ง ทัพพระมหาอุปราชายกมาทางด่าน
เจดีย์สามองค์ สมทบกับพระเจ้าเชียงใหม่ พระเจ้าแปรกับอุปราชตองอูยกมาทางด่านแม่ละเมา
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช้กลยุทธ์เร่งโจมตีทัพหลวงโดยให้กำลังจำนวนหนึ่งไปซุ่มรังควานกอง
เสบียงข้าศึก ทัพหน้าไปตั้งรับศึกที่บ้านหนองสาหร่าย สุพรรณบุรี สมเด็จพระนเรศรมหาราชกับ
สมเด็จพระเอกาทศรถจะทรงยกทัพหลวงไปสมทบ แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปเนื่องจากช้างพระที่นั่งวิ่งฝ่า
กองทัพข้าศึกเข้าไปถึงทัพหลวงของพม่า จึงต้องตัดสินด้วยการกระทำยุทธหัตถี พระมหาอุปราชาเป็นฝ่าย
เพลี่ยงพล้ำทิวงคต หลังจากนั้นพม่ามิได้ยกทัพใหญ่มารุกรานอยุธยาอีกกว่า 100 ปี
4
• ไทยตีเขมร สมเด็จพระนเรศวรมหาราชมีพระราชประสงค์ยึดเขมรเป็นประเทศราช
โปรดเกล้าๆ ให้ยทัพใหญ่เข้าตีทั้งทางเรือและทางบก จนยึดพระตะบองและละแวกได้ในพ.ศ. 2137
• ไทยตีเมืองหงสาวดีหลังจากไทยได้หัวเมืองมอญฝ่ายใต้ ซึ่งมีเมืองมาะตะมะเป็นศูนย์กลางสำคัญ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกกองทัพหลวงไปตีหงสาวดีราชธานีของพม่าโดยใช้
เมาะตะมะเป็นฐานรวบรวมเสบียงและกำลังพล สามารถยกไปล้อมหงสาวดี แต่พอดีมีข่าวว่าพระเจ้าแปร
พระเจ้าอังวะ และพระเจ้าตองอูยกทัพมาช่วยหงสาวดี จึงรับสั่งให้เดินทัพกลับ
• ไทยตีเมืองหงสาวดีครั้งที่ 2 ไทยใช้เมาะลำเลิงเป็นฐานเตรียมเสบียง เรือ และกำลังพล
เพื่อไปยึดหงสาวติโดยที่ยะไข่กับตองอูรับจะช่วยกรหนาบดีพงสาวดี แต่ตองดูและยะไข่เข้าโจมตีหงสาวดี
เสียก่อนและรวบรวมอพยพผู้คนไปตองอู สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงให้ยกทัพตามไปตีตองอู
แต่ไม่สำเร็จ ประกอบกับฝนตกหนักเสบียงอาหารร่อยหรอลง จึงให้เลิกทัพกลับ
• ไทยตีอังวะ เนื่องจากพม่าเกิดการแย่งชิงบัสลังก์อย่างรุนแรง พระเจ้าอังวะสามารถรวบรวม
อำนาจตั้งตนเป็นกษัตริย์ ขยายอาณาเขตไปตีไทใหญ่บางส่วนเป็นของไทย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ทรงขัดเคืองจึงดำรัสให้ยกทัพไปรบกับอังวะ แต่ไม่ทันบรรลุจุดหมายปลายทางก็ประชวรสวรรคต
• สวรรคต
สมเด็จพระนเรศวรเสด็จสวรรคต เมื่อวันจันทร์ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 6 ปี มะเส็ง ตรงกับวันที่ 25 เมษายน พ.ศ.
2148 สิริพระชนมพรรษา 49 พรรษาเศษ ด ารงราชสมบัติ 14 ปีเศษ สมเด็จ พระเอกาทศรถจึงได้อัญเชิญ
พระบรมศพสมเด็จพระนเรศวรกลับ กรุงศรีอยุธยา
5
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2411-2453)
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมี่อทรงพระเยาว์ทรงได้รับการศึกษาทั้งดันการปกครอง โบราณราชประเพณี
ภาษาอังกฤษ และวิทยาการทางด้านต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นกษัตริย์ พระองค์เสด็จขึ้น
ครองราชย์เมื่อยังทรงพระเยาว์ เจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่เห็นชอบให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เป็น
ผู้สำเร็จราชการแผ่นติน ในช่วงวลาดังกล่าวพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินต่างประเทศเพื่อทอดพระเนตร
ความเจริญของต่างชาติ และเสริมสร้างสัมพันธไมต่รี เมื่อพระองค์ได้ครองราชสมบัติด้วยพระองค์เอง
เมื่อ พ ศ. 2416 ได้ทรงดำเนินการปฏิรูปประเทศทันที ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
รัชสมัยนี้มีการจัดระบบและสร้างระเบียบใหม่ของบ้านเมืองเพื่อสร้างเอกภาพ เสถียรภาพของ
บันมืองและสถาบันกษัตริย์ รัฐบาลสยามได้ดำเนินวิเทโศบายต่างประเทศอย่างรอบคอบ ทั้งการยอมเสีย
ดินแดน การกระชับไมตรีกับราชสำนักยุโรป เพื่อปกป้องเอกราชของประเทศ
แนวคิดหลักการปฏิรูปด้านการปกครอง คือ ระบบรวมศูนย์อำนาจพร้อมทั้งจัดระเบียบด้าน
การเงินการคลังของประเทศให้เป็นแบบสากล ปรับปรุงบ้านเมืองทั้งราชธานีและหัวเมืองให้เจริญก้าวหน้า
ปรับปรุงคุณภาพประชากรทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข และสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล จะได้กำลังคนที่มี
ประสิทธิภาพเพียงพอในการช่วยพัฒนาประเทศ
6
- พระราชกรณียกิจด้านการไปรษณีย์โทรเลข
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นการสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างมากต่อไปใน
อนาคต พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการก่อสร้างวางสายโทรเลขสำหรับสายโทรเลขสาย
แรกของประเทศเริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ.2418 จากกรุงเทพฯ - สมุทรปราการ ระยะทาง 45 กิโลเมตร และได้
วางสายใต้น้ำต่อยาวออกไปจนถึงประภาคารที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาสำหรับบอกข่าวเรือเข้า - ออก ต่อมาได้
วางสายโทรเลขขึ้นอีกสายหนึ่งจากกรุงเทพฯ - บางปะอิน และขยายไปทั่วถึงในเวลาต่อมา
สำหรับกิจการไปรษณีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งการไปรษณีย์ขึ้นเป็น
ครั้งแรกในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2424 มีที่ทำการเรียกว่าไปรษณียาคาร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และเปิด
ดำเนินการอย่างเป็นทางการครั้งแรกในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ.2426 หลังจากนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมโทรเลข
รวมเข้ากับกรมไปรษณีย์ชื่อว่า กรมไปรษณีย์โทรเลข
- พระราชกรณียกิจด้านการโทรศัพท์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล และพระปรีชาสามารถอย่างมากใน
การพัฒนาประเทศ โดยกระทรวงกลาโหมได้นำโทรศัพท์อันเป็นวิทยาการในการสื่อสารที่ทันสมัยเข้ามา
ทดลองใช้เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2424 จากกรุงเทพฯ - สมุทรปราการ เพื่อแจ้งข่าวเรือเข้า - ออก
ที่ปากน้ำต่อมากรมโทรเลขได้มารับช่วงต่อในการวางสายโทรศัพท์ภายในกรุงเทพฯ ซึ่งใช้เวลา 3 ปีจึงแล้ว
เสร็จพร้อมเปิดให้บริการกับประชาชน และพัฒนามาจนกระทั่งทุกวันนี้
7
- พระราชกรณียกิจด้านการพยาบาลและสาธารณสุข
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริที่จะสร้างโรงพยาบาลเพื่อรักษาประชาชนด้วยวิธีการ
แพทย์แผนใหม่ เนื่องจากการรักษาแบบเดิมนั้นล้าสมัย ไม่สามารถช่วยคนได้อย่างทันท่วงทีทำให้มีผู้เสียชีวิต
มากมายเมื่อเกิดโรคระบาด พระองค์จึงทรงจัดสร้างโรงพยาบาลขึ้นบริเวณริมคลองบางกอกน้อย อันเป็นที่ตั้ง
ของพระราชวังบวรสถานพิมุข หรือวังหลังโดยได้พระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์จำนวน 16,000 บาท เป็น
ทุนเริ่มแรกในการสร้างโรงพยาบาล ให้ใช้ชื่อว่า โรงพยาบาลวังหลัง เปิดทำการรักษาแก่ประชาชนทั่วไปเป็น
ครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2431 ต่อมาพระองค์ได้พระราชทานนามโรงพยาบาลแห่งนี้ใหม่ว่าโรง
พยาบาลศิริราช เพื่อเป็นการระลึกถึงสมเด็จพระนางเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ พระราชโอรสที่
ประสูติในสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ที่สิ้นพระชนมายุเพียง 1 ปี 7 เดือน
ทั้งยังได้พระราชทานพระเมรุ พร้อมกับเครื่องใช้ เช่น เตียง เก้าอี้ ตู้โต๊ะ ฯลฯ ในงานพระศพให้กับโรงพยาบาล
เพื่อใช้ประโยชน์ รวมทั้งพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์
จำนวน 56,000 บาท ให้กับโรงพยาบาลเป็นทุนในการใช้จ่าย
8
- พระราชกรณียกิจด้านการขนส่งและสื่อสาร
ในปี พ.ศ. 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้คณะเสนาบดีและกรมโยธาธิการ
สำรวจเส้นทาง เพื่อวางรากฐานการสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ มีการวางแผนให้ทางรถไฟสายนี้
ตัดเข้าเมืองใหญ่ๆ ในบริเวณภาคกลางของประเทศแล้วแยกเป็นชุมสายตัดเข้าสู่จังหวัดใหญ่ทางแถบภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากเป็นหัวลำโพงเมืองที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจการค้า
การสำรวจเส้นทางในการวางเส้นทางรถไฟนี้เสร็จสิ้นเมื่อปี พ.ศ. 2434 และในวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2434
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินขุดดินก่อพระฤกษ์ เพื่อสร้างทางรถไฟครั้ง
แรกที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยโปรดเกล้า ฯ ให้ทางรถไฟสายนี้เป็นรถไฟหลวงแห่งแรกของไทย
- พระราชกรณียกิจด้านการไฟฟ้า
ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นว่าไฟฟ้าเป็นพลังงานที่
สำคัญและมีประโยชน์อย่างมาก เมื่อมีโอกาสประพาสต่างประเทศ ได้ทอดพระเนตรกิจการไฟฟ้า และทรงเห็น
ถึงประโยชน์มหาศาลที่จะเกิดจากการมีไฟฟ้า พระองค์จึงทรงมอบหมายให้กรมหมื่นไวยวรนารถเป็นผู้ริเริ่มใน
การจ่ายกระแสไฟฟ้าขึ้นในปี พ.ศ. 2433 ซึ่งเป็นการเปิดใช้ไฟฟ้าครั้งแรกของไทย
และปีเดียวกัน (พ.ศ. 2433) มีการก่อตั้งโรงไฟฟ้าที่วัดเลียบ หรือวัดราชบูรณะ จนกระทั่งถึง พ.ศ. 2436 ต่อมา
เพื่อให้กิจการไฟฟ้าก้าวหน้ายิ่งขึ้น รัฐบาลได้โอนกิจการให้ผู้ชำนาญด้านนี้ ได้แก่ บริษัทอเมริกัน
ชื่อ แบงค็อค อิเลคตริกซิตี้ ซิดิแคท เข้ามาดำเนินงานต่อ และในปี พ.ศ. 2437 บริษัทเดนมาร์กได้เข้ามาตั้ง
โรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าเพื่อใช้ในการเดินรถรางที่บริษัทได้รับสัมปทานการเดินรถในเขตพระนคร ต่อมา
บริษัทต่างชาติทั้ง 2 บริษัทได้ร่วมกันรับช่วงงานจากกรมหมื่นไวยวรนาถ และก่อตั้งเป็นบริษัทไฟฟ้าสยาม ขึ้น
ในปี พ.ศ. 2444 นับเป็นการบุกเบิกไฟฟ้าครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์ไทย ในการเริ่มมีไฟฟ้าใช้เป็นครั้งแรก
9
- พระราชกรณียกิจด้านการกฎหมาย
กฎหมายในขณะนั้นมีความล้าสมัยอย่างมาก เนื่องจากใช้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 และยังไม่เคยมีการชำระ
ขึ้นใหม่ให้เหมาะสมกับยุคสมัย ทำให้ต่างชาติใช้เป็นข้ออ้างในการเอาเปรียบไทยเรื่องการทำสนธิสัญญา
เกี่ยวกับการขึ้นศาลตัดสินคดีที่ไม่ให้ชาวต่างชาติขึ้นศาลไทย โดยตั้งศาลกงสุลพิจารณาคดีคนในบังคับต่าง
ชาติเอง แม้ว่าจะมีคดีความกับชาวไทยก็ตาม ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรง
โปรดเกล้าฯ สร้างประมวลกฎหมายอาญาขึ้นใหม่เพื่อให้ทันสมัยทัดเทียมกับอารยประเทศ ในปี พ.ศ.2440
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนกฎหมายแห่งแรกของ
ประเทศไทย เพื่อเป็นสถานที่สำคัญที่ผลิตนักกฎหมายที่มีความรู้ความสามารถในการพัฒนาประเทศ
ต่อมาในปี พ.ศ.2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้ตรากฎหมายลักษณะอาญา
ร.ศ.127 อันเป็นลักษณะกฎหมายอาญาฉบับแรกที่นำขึ้นมาใช้ อีกทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้มีการตั้งกรรมการ
ขึ้นมาชุดหนึ่ง พิจารณาทำกฎหมายประมวลอาญาแผ่นดินและการพาณิชย์ ประมวลกฎหมายว่าด้วย
พิจารณาความแพ่ง และพระธรรมนูญแห่งศาลยุติธรรม
แต่ยังไม่ทันสำเร็จดีก็สิ้นรัชกาลเสียก่อน เมื่อสร้างประมวลกฎหมายขึ้นมาใช้แล้ว บทลงโทษแบบจารีต
ดั้งเดิมจึงถูกยกเลิกไปโดยสิ้นเชิงในรัชกาลของพระองค์เอง เพราะมีกฎหมายใหม่เป็นบทลงโทษ ที่เป็นหลัก
การพิจารณาที่ดีและทันสมัยกว่าเดิมด้วย
10
- พระราชกรณียกิจด้านการเปลี่ยนแปลงระบบเงินตรา
ในปี พ.ศ. 2417 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้ทำธนบัตรขึ้นเรียกว่า อัฐ
เป็นกระดาษมีมูลค่าเท่ากับเหรียญทองแดง 1 อัฐ แต่ใช้ได้เพียง 1 ปีก็เลิกไป เพราะประชาชนไม่นิยมใช้ ต่อ
มาทรงตั้งกรมธนบัตรขึ้นมา เพื่อจัดทำเป็นตั๋วสัญญาขึ้นใช้แทนเงินกรมธนบัตรได้เริ่มใช้ตั๋วสัญญาเมื่อ
วันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2445 เป็นครั้งแรก เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จ-
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในปี พ.ศ. 2441 ได้มีการผลิตธนบัตรรุ่นแรกออกมา 5 ชนิด คือ 1,000 บาท 100 บาท 20 บาท 10 บาท
5 บาท ภายหลังมีธนบัตรใบละ 1 บาทออกมาด้วย รวมถึงพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้กำหนดหน่วยเงินตรา โดย
ให้หน่วยทศนิยมเรียกว่า สตางค์ กำหนดให้ 100 สตางค์ เท่ากับ 1 บาท พร้อมกับผลิตเหรียญสตางค์ขึ้นมาใช้
เป็นครั้งแรกเรียกว่าเบี้ยสตางค์ มีอยู่ด้วยกัน 4 ชนิด คือ ราคา 20 สตางค์ 10 สตางค์ 4 สตางค์ 2 สตางค์ครึ่ง
ใช้ปนกับเหรียญเสี้ยว และอัฐ
ต่อมาในปี พ.ศ.2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงออกประกาศยกเลิกใช้เงินพดด้วงและ
ทรงออกพระราชบัญญัติมาตราทองคำ ร.ศ.127 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2451 ว่าด้วยเรื่อง
ให้ใช้แร่ทองคำเป็นมาตรฐานเงินตราแทนแร่เงิน เพื่อให้เสถียรภาพเงินตราของไทยสอดคล้องกับหลักสากล
และในปีต่อมาทรงออกประกาศเลิกใช้เหรียญเฟื้อง และเบี้ยทองแดง
- พระราชกรณียกิจด้านการศึกษา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยในการศึกษารูปแบบใหม่โดยโปรดเกล้าฯ ให้มี
การตั้งโรงเรียนขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้รับการศึกษาทั่วกัน เพราะการศึกษาสมัยนั้นส่วนใหญ่ยังศึกษาอยู่ในวัด
เมื่อมีการสร้างโรงเรียนและการศึกษาเจริญก้าวหน้าขึ้นเท่ากับเป็นการบ่งบอกถึงความเจริญทางด้าน
วัฒนธรรมอย่างหนึ่ง จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงเรียนหลวงแห่งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2444 และ โปรดเกล้าฯ
ให้มีการสอบไล่สามัญศึกษาขึ้นอีกด้วย เพื่อเป็นการทดสอบความรู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา นอกจากนี้พระองค์
ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างโรงเรียนหลวงขึ้นอีกหลายแห่ง กระจัดกระจายไปตามวัดต่าง ๆ ทั้งในส่วน
กลางและส่วนภูมิภาค โรงเรียนหลวงแห่งแรกที่สร้างขึ้นในวัด คือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม โรงเรียนหลวง
ที่ตั้งขึ้นมานี้เพื่อให้บุตรหลานของประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้กัน การศึกษาขยายตัวเจริญขึ้น
ตามลำดับด้วยความสนใจของประชาชนที่ต้องการมีความรู้มากขึ้น จึงโปรดเกล้าฯ ให้โอนโรงเรียนเหล่านี้อยู่
ภายใต้การควบคุมของกระทรวงศึกษาธิการ
มีการพิมพ์ตำราพระราชทาน เพื่อเป็นตำราในการเรียนการสอนด้วย
11
บรรณานุกรม
วงเดือน นาราสัจจ์,ชมพูนุท นาคีรักษ์,มิตรชัย กุลแสงเจริญ. (2551). เล่ม ๑ ประวัติศาสตร์ ไทย :เวลาและยุคสมัย
ทางประวัติศาสตร์ ประเด็นวิภาค บุคคลสำคัญ และภูมิปัญญา ไทย.กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์ บริษัท พัฒนาคุณภาพ
วิชาการ (พว.) จํากัด
ปุญญยวีร์ อัษฎางคพิพัฌ. (2556). การฟื้นฟูอาณาจักรอยุธยา : พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
และสมเด็จพระเอกาทศรถ พ.ศ. 2114 – พ.ศ. 2153. ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ไทยคดีศึกษา), กรุงเทพมหานคร :
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
“พระราชกรณียกิจของพระนเรศวร.” (2561). (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก :
https://sites.google.com/site/phiminth/phra-rach-krni-nkic-khxng-phra-nreswr.
“เรียนประวัติศาสตร์ไทย By ดาวเรือง.” (2559). (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก :
http://darawadeerat.blogspot.com/2016/11/blog-post_17.html.
“(กว่าจะเป็น) ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช.” (2562). (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก :
https://www.the101.world/king-naresuan/.
“พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.” (2562). (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก :
https://kingchulalongkorn.car.chula.ac.th/th/history/rama5_bio
“พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5.”
(2563). (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก : https://www.cdti.ac.th/พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจที่สำคัญของ
รัชกาลที่-5
12