รายงาน
เรือ่ ง อารมณข์ องสมถกรรมฐาน 40
จัดทาโดย
1. พระอรณุ ชัย จติ ตฺปญฺโญ รหัส 6503501050
2. พระศรเี ทพ ชาคโร รหัส 6503501031
3. พระกติ ตศิ ักด์ิ กิตฺตปิ ุญโฺ ญ รหัส 6503501028
4. พระเอกอาทิตย์ เอกมโน รหัส 6503501024
5. พระใบฏกี าสทิ ธชิ ยั จตฺตวิดล รหัส 6503501021
เสนอ
พระครูจติ ตสุนทร, ดร.
รายงานฉบับนเ้ี ปน็ ส่วนหนึง่ ของวชิ ากรรมฐาน 1 หลักสตู รพทุ ธศาสตร์บณั ฑติ
สาขาวิชาพระพุทธศาสนา ชน้ั ปที ี่ 1 ปีการศกึ ษา 2565
มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตนครศรีธรรราช
คานา
รายงานฉบับน้ีเป็นส่วนหนึ่งของวิชา 000 140 กรรมฐาน 1 หลักสูตรพุทธศาสตร์บัณฑิต
สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครศรีธรรราช ชั้นปีท่ี 1
ปีการศึกษา 2565 โดยมีจุดประสงค์ เพ่ือการศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่องอารมณ์ของสมถกรรมฐาน 40
ซึ่งรายงานน้ีมีเน้ือหาความรู้จากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม เป็นคู่มือในการศึกษาเร่ือง
อารมณข์ องสมถกรรมฐาน 40 ใหเ้ กิดความกระจ่างเกี่ยวกบั การฝึกจิต อารมณ์ สามารถพิจารการทางานของ
จิตและส่ิงที่ใช้เป็นอารมณ์ในการเจริญภาวนาได้ศึกษาถึงหลักการฝึกกรรมฐาน ว่าผู้ใดเหมาะแก่การฝึก
ด้านใดและฝกึ ระดบั ใด และนาสกู่ ารใช้ประโยชน์ในทางปฏบิ ัติได้
ผู้จัดทาหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน นิสิต นักศึกษา ท่ีกาลังหาข้อมูล
เร่อื งนี้อยู่ หากมขี ้อแนะนาหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทาขอน้อมรับไวแ้ ละขออภยั มา ณ ที่น้ี
ผจู้ ัดทา
สารบญั หนา้
1
1. ความหายของ กรรมฐาน 1
2. ความหายของ อารมณ์ของสมถกรรมฐาน 1
3. หมวดขอกรรมฐาน 40 3
4. กสิน 10 ขอ้ 1-10 6
5. อสุภกรรมฐาน 10 ขอ้ 11-20 8
6. อนุสสติ 10 ขอ้ 21-30 9
7. อาหาเรปฏิกลู สญั ญา ขอ้ 31 11
8. จตุธาตุววฏั ฐาน ขอ้ 32 13
9. อปั ปมญั ญา 4 ขอ้ 33-36 14
10 อรูปฌาน 4 ขอ้ 37-40 17
11. บทสรุป
อารมณข์ องสมถกรรมฐาน 40
กรรมฐาน คอื อะไร
กรรมฐาน คือ ท่ีตั้งแห่งการงานทางพระพทุ ธศาสนา หมายเอาอบุ ายทางใจ 2 ประการ คือ
อบุ ายสงบใจ เรียกว่า สมถกรรมฐาน และอุบายเรอื งปญั ญา เรียกว่า วปิ สั สนากรรมฐาน
อารมณ์ของสมถกรรมฐาน คอื ท่ีตง้ั แห่งการทางานของจิต, ส่ิงท่ีใช้เปน็ อารมณ์ในการเจรญิ
ภาวนา, อปุ กรณใ์ นการฝึกอบรมจิต อารมณข์ องสมถกรรมฐานมี 40 วธิ ี แบ่งออกเป็น 7 หมวด ดงั น้ี
1. หมวดกสนิ 10 เปน็ การทาสมาธิด้วยวธิ กี ารเพง่
1. ปฐวกี สนิ เพ่งธาตุดิน กสิณทใี่ ช้ดินเปน็ อารมณ์
2. อาโปกสณิ เพ่งธาตนุ ้า
3. เตโชกสณิ เพง่ ไฟ
4. วาโยกสนิ เพง่ ลม
5. นลี กสนิ เพง่ สีเขยี ว
6. ปีตกสนิ เพง่ สีเหลือง
7. โลหติ กสิณ เพง่ สแี ดง
8. โอฑาตกสิณ เพง่ สขี าว
9. อาโลกกสิณ เพ่งแสงสวา่ ง
10. อากาศกสณิ เพ่งอากาศ
2. หมวดอสภุ กรรมฐาน 10 เป็นการต้ังอารมณ์ไว้ให้เห็นว่า ไม่มีอะไรสวยงดงาม มีแต่สิ่งสกปรกโสโครก
น่าเกลียด ของกายนี้ ซากศพในสภาพตา่ งๆ ซง่ึ ใช้เปน็ อารมณ์แห่งสมถกรรมฐาน
11. อุทธุมาตกอสุภ รา่ งกายของคนและสัตว์ท่ีตายไปแล้ว นับแต่วันตายเป็นต้นไป มีร่างกาย
บวมข้ึน พองไปด้วยลม ขึ้นอดื
12. วินีลกอสุภ วนี ีลกะ แปลวา่ สีเขียว เป็นร่างกายที่มีสีเขียว สีแดง สีขาว คละปนระคนกัน
คอื มีสแี ดงในที่มเี นื้อมาก มสี ขี าวในท่ีมีน้าเหลืองน้าหนองมาก มสี เี ขียวในท่ีมีผ้าคลุมไว้
ฉะนน้ั ตามรา่ งกายของผ้ตู าย จงึ มสี เี ขียวมาก
13. วปิ พุ พกอสภุ กรรมฐาน เป็นซากศพท่มี นี ้าเหลอื งไหลอยู่เป็นปกติ
14. วิฉทิ ทกอสุภ คอื ซากศพที่มรี ่างกายขาดเป็นสองท่อนในท่ามกลางกาย
15. วกิ ขายิตกอสุภ เปน็ รา่ งกายของซากศพท่ถี กู ยื้อแย่งกัดกนิ
16. วิกขิตตกอสุภ เป็นซากศพท่ีถูกทอดทิ้งไว้จนส่วนต่าง ๆ กระจัดกระจาย มีมือ แขน ขา
ศีรษะ กระจัดพลดั พรากออกไปคนละทาง
17. หตวิกขติ ตกอสภุ คือ ซากศพที่ถกู สบั ฟนั เป็นทอ่ นน้อยและท่อนใหญ่
18. โลหติ กอสุภ คอื ซากศพท่มี ีเลอื ดไหลออกเปน็ ปกติ
2
19. ปฬุ ุวกอสภุ คือ ซากศพท่ีเตม็ ไปดว้ ยตัวหนอนคลานกินอยู่
20. อฏั ฐิกอสุภ คอื ซากศพทีม่ ีแตก่ ระดกู
3. หมวด อนุสสติกรรมฐาน 10 อนุสสติ แปลว่า ความมระลึกถึง อารมณ์อันควรระลึกถึงเนือง ๆ เม่ือเลือก
ปฏบิ ตั ใิ ห้พอเหมาะแกจ่ รติ จะไดผ้ ลเป็นสมาธมิ ีอารมณ์ ตัง้ ม่ันไดร้ วดเร็ว
21. พุทธานสุ สตกิ รรมฐาน ระลกึ ถึงคุณพระพุทธเจ้าเปน็ อารมณ์
22. ธัมมานสุ สตกิ รรมฐาน ระลกึ ถึงคณุ พระธรรมเปน็ อารมณ์
23. สงั ฆานสุ สติกรรมฐาน ระลกึ ถงึ คณุ พระสงฆเ์ ปน็ อารมณ์
24. สลี านสุ สตกิ รรมฐาน ระลึกถงึ คณุ ศีลเป็นอารมณ์
25. จาคานสุ สตกิ รรมฐาน ระลกึ ถงึ ผลของการบรจิ าคเป็นอารมณ์
26. เทวตานุสสติเป็นกรรมฐาน ระลกึ ถงึ ความดขี องเทวดาเป็นอารมณ์
27. มรณานุสสติกรรมฐาน ระลกึ ถึงความตายเปน็ อารมณ์
28. กายคตานุสสตกิ รรมฐาน เหมาะแก่ผทู้ ีห่ นักไปในจาคะจริต
29. อานาปานานุสสตกิ รรมฐาน เหมาะแกผ่ ทู้ ่ีหนกั ไปในโมหะ และวติ กจรติ
30. อุปสมานสุ สตกิ รรมฐาน ระลกึ ความสุขในพระนิพพานเป็นอารมณห์ มวดอาหาเรปฏิกูล
สญั ญา
4.หมวด อาหาเร ปฏกิ ลู สญั ญา
31. อาหาเรปฏิกูลสัญญา เพง่ อาหารใหเ้ ห็นเปน็ ของนา่ เกลียด บรโิ ภคเพื่อบารุงรา่ งกาย ไม่
บริโภคเพอ่ื สนองกิเลสหมวดจตุธาตวุ วฏั ฐาน
5. หมวด จตุธาตวุ วฏั ฐาน
32. จตธุ าตุววัฏฐาน 4 เป็นการพจิ ารณารา่ งกายประกอบดว้ ยธาตุ 4 ดิน น้า ลม ไฟ
6. หมวด อปั ปมญั ญา 4 คอื พรหมวหิ าร 4 ได้แก่
33. เมตตา ปรารถนาดีอยากให้เขามคี วามสุข มจี ติ อันแผไ่ มตรีและคดิ ทาประโยชน์แกม่ นุษย์
สัตว์ท่วั หนา้
34. กรณุ า ความสงสารปราณี มปี ระสงค์จะสงเคราะห์แกท่ งั้ คนและสัตว์ คดิ ช่วยให้พน้ ทกุ ข์
ใฝ่ใจในอนั จะปลดเปลือ้ งบาบดั ความทกุ ข์ยากเดอื ดร้อนของปวงสตั ว์
35. มุทติ า มีจิตช่ืนบาน พลอยยินดเี มื่อผู้อื่นไดด้ ี
36. อเุ บกขา มีอารมณเ์ ป็นกลางวางเฉย
7. หมวด อรูปฌาณ 4 เป็นการปล่อยอารมณ์ ไม่ยึดถืออะไร มีผลทาให้จิตว่าง มีอารมณ์เป็นสุขประณีต ใน
ฌานท่ไี ดผ้ ู้จะเจรญิ อรูปฌาณ 4 ต้องเจริญฌานในกสินให้ได้ฌาณ 4 เสียก่อน แล้วจึงเจริญอรูปฌานจนจิต
เปน็ อเุ บกขารมณ์
37. อากาสานญั จายตนะ ถอื อากาศเป็นอารมณ์ จนวงอากาศเกิดเป็นนิมิตย่อใหญ่เล็กได้ ทรง
จิตรักษาอากาศไว้ กาหนดใจว่าอากาศหาท่สี ุดมิได้ จนจติ เป็นอเุ บกขารมณ์
3
38. วิญญาณัญจายตนะ กาหนดวิญญาณหาท่ีสุดมิได้ ท้ิงอากาศและรูปท้ังหมด ต้องการจิต
เท่านัน้ จนจิตเปน็ อเุ บกขารมณ์
39. อากิญจญั ญายตนะ กาหนดความไม่มีอะไรเลย อากาศไม่มี วิญญาณก็ไม่มี ถ้ามีอะไรสัก
หน่อยหนง่ึ กเ็ ปน็ เหตขุ องภยนั ตราย ไม่ยดึ ถอื อะไรจนจิตตั้งเปน็ อเุ บกขารมณ์
40. เนวสญั ญานาสัญญายตนะ ทาความรสู้ กึ ตัวเสมอวา่ ท้ังทม่ี สี ญั ญาอยูก่ ท็ าเหมอื นไม่มี ไม่รับ
อารมณ์ใด ๆ จะหนาว รอ้ นก็รู้แตไ่ ม่ดิ้นรนกระวนกระวาย ปล่อยตามเร่ือง เปลื้องความ
สนใจใด ๆ ออกจนส้นิ จนจิตเปน็ อุเบกขารมณ์
อปุ สรรคของผู้ ปฏิบัติสมถกรรมฐานไดใ้ ห้บรรลุเอกคั คตา เรยี กว่านวิ รณ์ 5 ซึ่งจัดเปน็ อกศุ ลจติ
ระดับ ปรยิ ุฏฐานกเิ ลส
อารมณ์สมถกรรมฐาน 40 เป็นอุบาย 40 วิธีที่ใช้ฝึกจิตให้เกิดสมาธิ ก็คือสิ่งท่ีเอามาให้จิต
กาหนด เพ่อื ชกั นาใหเ้ กดิ สมาธพิ อจิตกาหนดจบั ส่งิ นเ้ี ข้าแลว้ จะชกั นาให้จติ แน่วแนอ่ ยู่กบั สิ่งนี้ จนเป็นสมาธไิ ด้
ม่ันคงและเรว็ ทส่ี ุด ในคัมภีร์อรรถกถาและปกรณ์ ได้รวบรวมแสดงกรรมฐานไว้ 40 อยา่ ง คือ
กสิน 10 ขอ้ 1-10
กสิณ คือวิธีการปฏิบัติสมาธิแบบหน่ึงในพระพุทธศาสนา มีความหมายว่า เพ่งอารมณ์
เป็นสภาพหยาบ สาหรบั ให้ผ้ฝู ึกจับใหต้ ดิ ตาตดิ ใจ ให้จติ ใจจบั อย่ใู นกสณิ ใดกสิณหนงึ่ ใน 10 อย่าง ใหม้ ีอารมณ์
เปน็ หนึ่งเดยี ว จติ จะได้อยนู่ ่งิ ไม่ฟุ้งซ่าน มีสภาวะให้จติ จบั ง่ายมีการทรงฌานถึงฌาน 4 ได้ทั้งหมด กสิณทั้ง 10
เปน็ พื้นฐานของอภิญญาสมาบตั ิ
การเพ่งกสิณนับว่าเป็นอุบายกรรมฐานกองต้น ๆ ท่ีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรง
บัญญัตไิ ว้ ว่าดว้ ยการปฏบิ ตั สิ มาธิภาวนาเพอ่ื อบรมจิต (อันเป็นแนวทางแห่งการบรรลุสาเร็จมรรคผลนิพพาน
หลุดพน้ จากการเวยี นว่ายตายเกิดในวัฏสงสารน้ีออกไปได้) ซ่ึงอุบายกรรมฐานมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสี่สิบกอง
ภายใต้กรรมฐานท้ังส่ีสิบกองนั้น จะประกอบไปด้วยกรรมฐานที่เกี่ยวเนื่องกับการเพ่งกสิณอยู่ถึงสิบกอง
ดว้ ยกัน
การเพง่ กสณิ คือ อาการท่ีเราเพง่ (อารมณ์) ไมไ่ ดห้ มายถึงเพง่ มอง หรือจ้องมอง ไปยังวตั ถหุ รือ
สงิ่ ใดส่ิงหนึ่ง อาทเิ ชน่ พระพุทธรูป เทียน สีต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งอากาศ ฯลฯ แล้วเรียนรู้ รับรู้/บันทึก สภาพ
หรือคุณสมบัติเฉพาะ ของวัตถุ (ธาตุ) หรือสิ่ง ๆ นั้นไว้เช่น เนื้อ สี สภาพผิว ความหนาแน่น ความเย็น
ในจิต จนกระท่งั เมื่อหลบั ตาลงจะปรากฏภาพนิมิต (นิมิตกสณิ ) ของวัตถุหรือสงิ่ ๆ นัน้ ขึน้ มาใหเ้ หน็ ในจติ หรือ
แมก้ ระทง่ั ยามลืมตาก็ยังสามารถมองเห็นภาพนิมิตกสิณดังกล่าวเป็นภาพติดตา การเพ่งกสิณจัดเป็นอุบายวิธี
ในการทาสมาธทิ มี่ ดี ีอยู่ในตวั กลา่ วคือ การเพ่งกสณิ เป็นเสมอื นทางลัดที่จิตใชใ้ นการเขา้ สสู่ มาธิได้อย่างรวดเร็ว
และง่ายดายกว่าการเลือกใช้อุบายกรรมฐานกองอ่ืน ๆ มากมายนัก ท้ังน้ีเน่ืองจากแนวทางในการปฏิบัติสมาธิ
ภาวนาด้วยการใช้อุบายวิธีการเพ่งกสิณน้ัน จิตจะยึดเอาภาพนิมิตกสิณท่ีเกิดขึ้นมาเป็นเคร่ืองรู้ของจิต
แทนอารมณต์ ่าง ๆ ทผี่ ่านเขา้ มาในจิต และเมอ่ื ภาพนมิ ติ กสิณเริ่มรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิต จิตก็จะรับเอา
ภาพนมิ ติ กสิณนัน้ มาเปน็ หนง่ึ เดียวกันกับจิต จากนัน้ ภาพนมิ ิตกสณิ ดังกล่าวจะค่อย ๆ พัฒนาไปเองตามความ
4
ละเอยี ดของจติ ซงึ่ จะสง่ ผลใหเ้ กิดมีความเปล่ียนแปลงขึ้นกับภาพนิมิตกสิณน้ัน เร่ิมตั้งแต่ความคมชัดในการ
มองเห็นภาพนมิ ติ กสิณทป่ี รากฏขึ้นภายในจิต และสามารถมองเห็นภาพนิมิตกสิณน้ันได้อย่างชัดเจน ราวกับ
มองเห็นด้วยตาจรงิ ๆ ไปจนกระท่ังการทจี่ ติ สามารถบงั คับภาพนมิ ิตกสณิ นัน้ ให้เล่อื นเข้า-เล่ือนออก หรือหมุน
ไปทางซา้ ย-ทางขวา หรือยืด-หดภาพนมิ ติ กสิณดงั กลา่ วได้ อนั เป็นพลังจติ ทเี่ กดิ ขึน้ จากการเพ่งนิมติ กสิณ
แตใ่ นท่สี ดุ แล้วภาพนิมิตกสิณทง้ั หลายก็จะมาถึงจดุ แห่งความเป็นอนัตตา อันได้แก่ ความว่าง
และแสงสว่าง กล่าวคือ ภาพนิมิตท้ังหลายจะหมดไปจากจิต แม้กระท่ังอาการและสัญญาในดวงจิตก็จะจาง
หายไปดว้ ย จากนัน้ จติ จึงเขา้ ส่กู ระบวนการของสมาธิในขน้ั ฌานตอ่ ไปตามลาดบั
กสณิ ท้ัง 10 อย่าง แบง่ ออกเปน็ 2 พวก
พวกที่หน่ึง คือ กสิณกลาง มี 6 อย่าง คนทุกจริตฝึกกสิณได้ทั้ง 6 แต่ต้องดูให้เหมาะกับจริต
นิสัย ของแต่ละคน เช่น คนมีโทสะจริต ไมค่ วรฝึกกสนิ ไฟ เพราะจะไปเสริมธาตไุ ฟในตัว ทาใหย้ ่ิงมีโทสะมาก
ขนึ้ (ยง่ิ ทาให้หงุดหงดิ งา่ ย)
1. ปฐวีกสณิ (ธาตุดนิ /ของแขง็ ไมใ่ ชเ่ ฉพาะดนิ ) จิตเพง่ ดนิ โดยกาหนดวา่ สิ่งนี้เป็นดิน หายใจ
เข้าให้ภาวนาว่า "ปฐวี" หายใจออกให้ภาวนาว่า "กสิณัง" เม่ือปฏิบัติอยู่ดังนี้ ก็จะข่มนิวรณ์ธรรมเสียได้โดย
ลาดับ กเิ ลศก็จะสงบระงับจากสนั ดาน สมาธกิ จ็ ะกล้าขึน้ จติ น้ันกช็ อื่ ว่าตั้งม่ัน เปน็ อุปจารสมาธิ เม่อื ทาได้สาเร็จ
ปฐมฌานแลว้ กพ็ ึงปฏิบัตใิ นปฐมฌานนนั้ ให้ชานาญคล่องแคลว่ ดว้ ยดกี อ่ นแล้วจงึ เจริญทตุ ิยฌานสบื ตอ่ ไปได้
2. เตโชกสิณ (ธาตุไฟ ธาตุร้อน) จิตเพ่งไฟ คือการเพ่งเปลวไฟ โดยกาหนดว่าส่ิงน้ีเป็นไฟ
หายใจเขา้ ให้ภาวนาว่า "เตโช" หายใจออกภาวนาวา่ "กสิณงั "
3. วาโยกสิณ (ธาตลุ ม) จิตเพง่ อย่กู บั ลม นึกถงึ ภาพลม โดยกาหนดว่าสิง่ น้ีเปน็ ลม หายใจเขา้ ให้
ภาวนาวา่ "วาโย" หายใจออกภาวนาวา่ "กสณิ งั "
4. อากาสกสณิ (ชอ่ งว่าง) จติ เพง่ อยูก่ ับอากาศ นึกถงึ อากาศ คือการเพง่ ชอ่ งวา่ ง โดยกาหนดว่า
สง่ิ นี้เปน็ ชอ่ งวา่ ง เวลาหายใจเขา้ ให้ภาวนาวา่ "อากาศ" หายใจออกภาวนาว่า "กสณิ งั "
5. อาโลกสิณ (กสิณแสงสวา่ ง) จิตเพ่งอยู่กับแสงสว่าง นึกถึงแสงสว่าง วิธีเจริญอาโลกกสิณ
ให้ผู้ปฏบิ ตั ิยึดโดยทาความรูส้ ึกถงึ ความสว่าง ไม่ใช่เพ่งที่สีของแสงน้ัน เวลาหายใจเข้าให้ภาวนาว่า "อาโลก"
หายใจออกให้ภาวนาวา่ "กสณิ ัง"
6. อาโปกสิณ (ธาตุน้า/ของเหลว) จิตนึกถึงน้าเพ่งน้าไว้ คือการเพ่งน้า โดยกาหนดว่าสิ่งนี้
เปน็ นา้ หายใจเขา้ ให้ภาวนาวา่ "อาโป" หายใจออกภาวนาว่า "กสิณัง" ให้เลือกภาวนากสิณใดกสิณหน่ึงให้ได้
ถงึ ฌาน 4 หรอื ฌาน 5 กสณิ อื่น ๆ ก็ทาได้งา่ ยทงั้ หมด
พวกที่สองคือกสิณเฉพาะอุปนิสัยหรือเฉพาะจริตมี 4 อย่าง สาหรับคนโกรธง่าย คือพวก
โทสจรติ ได้แก่
1. โลหติ กสิณ เพ่งกสณิ หรอื นมิ ติ สีแดงจะเปน็ ดอกไมแ้ ดง เลือดแดง หรือผ้าสีแดงก็ได้ท้ังน้ัน
จิตนกึ ภาพสีแดงแล้วภาวนาวา่ โลหติ กสิณัง
5
2. นีลกสิณ ตาดูสีเขียวใบไม้ หญ้า หรืออะไรก็ได้ที่เป็นสีเขียว แล้วหลับตาจิตนึกถึงภาพ
สเี ขยี ว ภาวนาว่า นีล กสิณงั
3. ปีตกสิณ จติ เพ่งของอะไรกไ็ ด้ที่เป็นสเี หลอื ง ภาวนาว่า ปตี กสณิ ัง
4. โอทาตกสิณ ตาเพ่งสีขาวอะไรก็ได้แล้วแต่สะดวก แล้วหลับตานึกถึงภาพสีขาว ภาวนา
โอทา กสณิ ัง จนจติ มีอารมณ์เปน็ หน่งึ ไมว่ อกแวกไม่รู้ลมหายใจภาพกสณิ ชัดเจน
ท่านว่าจิตเข้าถึงฌาน 4 ก็เป็นจิตเฉยมีอุเบกขาอยู่กับภาพกสิณต่าง ๆ ที่จิตจับเอาไว้ เป็น
เอกคดารมย์
อานภุ าพกสิณ 10
กสิณ 10 ประการนี้ เป็นปัจจัยให้แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ตามนัยที่กล่าวมาแล้วในฉฬภิญโญ เม่ือ
บาเพ็ญปฏิบัติใน กสิณกองใดกองหน่ึงสาเร็จถึงจตตุถฌานแล้ว ก็ควรฝึกตามอานาจที่กสิณกองนั้นมีอยู่ให้
ชานาญ ถ้าท่านปฏิบัติถึงฌาน 4 แล้ว แต่มิได้ฝึกอธิษฐานต่าง ๆ ตามแบบ กล่าวกันว่าผู้นั้นยังไม่จัดว่าเป็นผู้
เขา้ ฌานถึงกสิณ
อานาจฤทธใิ์ นกสิณทางพระพทุ ธศาสนา
ปฐวีกสณิ มฤี ทธิ์ดังน้ี เชน่ เนรมติ คนคนเดยี วให้เปน็ คนมาก ๆ ได้ ให้คนมากเป็นคนคนเดียว
ได้ ทาน้าและอากาศใหแ้ ขง็ ได้ สามารถย่อแผน่ ดินใหใ้ กลก้ าลงั การในเดินทาง
อาโปกสณิ สามารถเนรมติ ของแข็งให้อ่อนได้ เช่น อธิษฐานสถานที่เป็นดินหรือหินที่กันดาร
น้าให้เกดิ บ่อนา้ อธิษฐานหนิ ดนิ เหล็กใหอ้ ่อน อธษิ ฐานในสถานท่ขี าดแคลนฝน ให้เกดิ มีฝนอยา่ งน้เี ปน็ ต้น
เตโชกสณิ อธิษฐานใหเ้ กิดเปน็ เพลิงเผาผลาญหรือใหเ้ กดิ แสงสว่างได้ ทาแสงสวา่ งให้เกิดแก่
จกั ษญุ าณ สามารถเหน็ ภาพตา่ ง ๆ ในทีไ่ กลไดค้ ล้ายตาทพิ ย์ ทาให้เกิดความร้อนในที่ทกุ สถานได้ เมอื่ อากาศ
หนาว สามารถทาใหเ้ กิดความอบอุ่นได้
วาโยกสณิ อธษิ ฐานจติ ใหต้ วั ลอยตามลม หรืออธิษฐานใหต้ ัวเบา เหาะไปในอากาศก็ได้
สถานทใ่ี ดไมม่ ีลมอธษิ ฐานใหม้ ีลมได้
นลี กสณิ สามารถทาใหเ้ กดิ สเี ขยี ว หรอื ทาสถานทส่ี วา่ งใหม้ ืดครมึ้ ได้ „
ปีตกสิณ สามารถเนรมิตสีเหลืองหรือสีทองใหเ้ กิดได้
โลหติ กสิณ สามารถเนรมิตสแี ดงให้เกิดไดต้ ามความประสงค์
โอทากสิณ สามารถเนรมิตสีขาวให้ปรากฏ และทาให้เกิดแสงสว่างได้ เป็นกรรมฐาน ท่ี
อานวยประโยชน์ในทพิ ยจกั ขญุ าณ เช่นเดียวกบั เตโชกสณิ
อาโลกสณิ เนรมติ รูปใหม้ รี ัศมีสวา่ งไสวได้ ทาทม่ี ดื ใหเ้ กิดแสงสว่างไดเ้ ปน็ กรรมฐานสร้าง
ทิพยจักขุญาณโดยตรง
อากาสกสิณ สามารถอธษิ ฐานจิตให้เหน็ ของที่ปกปดิ ไวไ้ ด้ เหมอื นของนั้นวางอยใู่ นทแ่ี จ้ง
สถานทีใ่ ดเป็นอับดว้ ยอากาศ สามารถอธษิ ฐานใหเ้ กดิ ความโปรง่ มีอากาศสมบรู ณ์เพยี งพอแกค่ วามต้องการได้
6
วิธีอธษิ ฐานฤทธิ์
วธิ ีอธิษฐานจิตท่ีจะให้เกดิ ผลตามฤทธ์ิที่ต้องการท่านให้ทาดังตอ่ ไปนี้
1. ท่านให้เขา้ ฌาน 4 ก่อน
2. แลว้ ออกจากฌาน 4
3. แล้วอธษิ ฐานจติ ในสง่ิ ที่ตนตอ้ งการจะให้เป็นอยา่ งนน้ั
4. แล้วกลับเข้าฌาน 4 อีก
5. ออกจากฌาน 4
6. แล้วอธษิ ฐานจติ ทับลงไปอกี ครั้ง ส่ิงทต่ี ้องการจะปรากฏสมความปรารถนา
อสุภกรรมฐาน 10 ขอ้ 11-20
อสุภ [อะ-สบุ ] จาก อ- (คาอปุ สรรค; "ไม่") + สภุ ("งาม" "สวย" "ดี") แปลว่า "ไม่งาม ไม่สวย
ไม่ด"ี คือไมน่ า่ ช่ืนชม น่าเกลียด นา่ ระอา ใช้ว่า อสภุ ะ กไ็ ด้ เป็นหนงึ่ ใน กรรมฐาน 40 แต่จะกระทาไดไ้ มส่ ูงกว่า
ปฐมฌาณ เพราะเป็นอารมณ์คิดพิจารณามากกว่าอารมณ์เพ่ง(เป็นอารมณ์วิปัสนามากกว่าอารมกรรมฐาน)
เปน็ กรรมฐานทม่ี ุง่ กระทาต่อราคะจรติ และกามารมณ์ คือ ค้นคว้าหาความจริงจากวัตถุท่ีมีชีวิต และไม่มีชีวิต
ท่ีคนมวั เมา หลงใหลวา่ สวยสดงดงาม ซงึ่ เปน็ การฝนื กฎแห่งความเป็นจริง เป็นเหตุของความทุกข์ไม่มีสิ้นสุด
เอามาตีแผ่ใหเ้ หน็ สภาพตามความเป็นจริง ตามคาสอนของสมเดจ็ พระสมั มาสัมพุทธเจา้
วัตถุประสงค์ในการปฏิบัติสามารถจาแนกไดห้ ลายประการ เชน่ ในบุคคลผปู้ ฏบิ ัติธรรม ผู้ที่มี
ราคะจริตเป็นปกติ จะใช้อสุภกรรมฐานในการยับยั้ง หรือ ต่อสู้เม่ือเกิดราคะ ราคะจริต ไม่จาเป็นต้องเป็นผู้
ปรารถนาในเร่อื งเพศเสมอไป ผู้ทช่ี อบสิง่ ของ-รา่ งกายสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยปรุงแต่ง ก็เป็นราคะจริต
เช่นกัน เพราะสภาพแท้จริงไม่ได้เป็นดังที่เห็น-ชอบ จะทาให้อารมณ์ราคะระงับลงได้ อีกประการหนึ่งคือ
เพ่อื ให้เห็นสภาพที่แท้จริงของร่างกายตามท่ีพระพุทธเจ้าทรงสอน ว่าเป็นของไม่งาม ฯลฯ ทาให้ผู้ปฏิบัติตัด
ความสงสัยในพระธรรม(วิจิกิจฉา) ด้วยการดูของจริง และเกิดความเข้าใจสภาพที่แท้จริงตามไตรลักษณ์
จนนาไปสคู่ วามรแู้ จ้งในการท่ีจะปฏเิ สธการมีภพมีชาติ หรือ การมรี า่ งกายท่ีเต็มไปด้วยทุกข์อีก(สักกายทิฏฐิ) ,
แม้ภิกษุผู้บวชในบวรพุทธศาสนาเป็นสมมติสงฆ์ หรือ ที่เป็นพระอริยะบุคคลต่ากว่าพระอนาคามี จะใช้
อสุภกรรมฐานเป็นเครื่องมือที่สาคัญ ในการประหัตประหารราคะ ทั้งในเร่ืองสัมผัสระหว่างเพศ หรือ
เรื่องอน่ื ๆ ทข่ี ้องในกามทง้ั ปวง (นเี่ องภกิ ษุผูป้ ฏิบตั ิดี หรือ พระสุปฏิปันโนจะสามารถระงับความต้องการทาง
เพศลงได้ ด้วยการพิจารณาอสุภกรรมฐาน ทั้งกายของตนเองและของผู้อื่น ว่าเป็นของไม่งาม ไม่ยั่งยืน ตาม
สภาพความเป็นจริง)
สรปุ คอื อสภุ กรรมฐานเป็นกรรมฐานสาหรับระงบั ราคะ หรือ กามารมณ์ โดยตรง ชว่ ยให้มอง
สิ่งต่างๆ ไปตามสภาพความเป็นจริง ตัดอวิชชาและมิจฉาทิฏฐิ นาไปสู่การรู้แจ้ง และพระนิพพาน
ซึ่งผู้ที่เจริญเปน็ พ้นื ฐาน แล้วเจริญวปิ ัสนาญาณตอ่ ไปจะเปน็ ทางสพู่ ระอนาคามีผล และพระอรหตั ผลในที่สดุ
7
อสุภ ในคาวัดใช้หมายถึงซากศพในสภาพต่างๆ ซ่ึงท่านกาหนดเป็นอารมณ์กรรมฐาน ได้
กลา่ วไว้โดยรวม 10 อยา่ งคอื
1. อุทธมุ าตกะ ซากศพทพี องข้นึ อดื ทา่ นสอนเพ่ือเป็นท่ีสบายของบุคคลผู้มีความกาหนัดใน
ทรวดทรง สนั ฐาน เพราะอสภุ กรรมฐานขอ้ นแี้ สดงให้เห็นเนอื้ แทข้ องทรวดทรงสันฐาน ว่ามีสภาพไม่คงที่ ใน
ท่ีสุดกต็ ้องข้นึ อืดพอง เหม็นเน่า เปน็ สง่ิ โสโครกไม่นา่ รกั ใคร่ ไม่น่าชอบใจอยา่ งนี้
2. วินลี กะ ซากศพท่ีเขียวคลา้ มีสแี ดง เขียว ขาว ปะปนกนั ไปตามสภาพ ทา่ นสอนไวเ้ พื่อเปน็ ท่ี
สบายของบุคคลที่มีความพอใจหนักไปทางรักใคร่ผิวพรรณที่ผุดผ่อง เพราะกรรมฐานข้อนี้แสดงให้เห็นว่า
ผิวพรรณนั้นไม่ได้สวยจริง ในท่ีสุดก็จะกลายเป็นผิวพรรณท่ีมีสีเลอะเทอะ เลอะเลือน แปดเป้ือนไปด้วยสิ่ง
โสโครกทีผ่ วิ พรรณนน้ั หุ้มหอ่ ไว้ จะหลงั ไ่ หลออกมากลายเป็นของนา่ เกลยี ดโสโครก
3. วิปพุ พกะ ซากศพท่ีมนี ้าเหลอื ง นา้ หนองไหลเย้ิม ทา่ นสอนไว้เปน็ ทีส่ บายสาหรับบุคคลที่มี
ความยินดใี นผวิ พรรณทป่ี รุงดว้ ยเครอื่ งหอม เอามาฉาบไว้ อสุภน้ีแสดงให้เห็นว่า เคร่ืองหอมที่ประทินผิวนั้น
ไม่มีความหมาย ในทส่ี ดุ ก็ตา้ นทานสิง่ โสโครกท่อี ยู่ภายในไม่ได้ นา้ เลอื ด น้าเหลือง น้าหนอง ของโสโครกท่ีมี
อยภู่ ายในจะทะลกั ออกมาทับถมเคร่อื งหอมให้หายไปตามสภาพท่ีเป็นอยู่จรงิ
4. วิจฉิททกะ ซากศพท่ีขาดกลางตัว ท่านสอนไว้เป็นท่ีสบายสาหรับผู้ที่กาหนัดยินดี
ในร่างกายทีเ่ ป็นแทง่ ทึบ มเี นอ้ื ลา่ ทพ่ี อกพูนนูนออกมา เปน็ เครือ่ งบารุงราคะของผู้ที่มักมากในเนื้อแท่งท่ีกาเริบ
กรรมฐานน้ีแสดงใหเ้ ห็นว่า ร่างกายน้มี ิใช่แท่งทบึ ตามทค่ี ิดไว้ ความจรงิ เป็นโพรงข้างใน เตม็ ไปด้วยตับ ไต ไส้
ปอด และสิ่งโสโครก
5. วิกขายิตกะ ซากศพท่ถี กู สตั วก์ ดั กิน เวา้ แหวง่ ท่านสอนไว้เป็นทส่ี บายของผู้มีความกาหนัด
ยินดีในกล้ามเนื้อบางส่วนของร่างกาย กรรมฐานน้ีแสดงให้เห็นว่า ส่วนของกล้ามเนื้อบางช่วงท่ีตน
ใคร่ปรารถนานัน้ ในไมช่ า้ ก็ตอ้ งวิปรติ สลายตัวไป และเต็มไปดว้ ยสิง่ โสโครก ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจในทส่ี ุด
6. วิกขิตตกะ ซากศพที่มีมือ เท้า ศีรษะขาดหายไป ท่านสอนไว้เป็นท่ีสบายของผู้ที่กาหนัด
ยนิ ดีในลลี า อิริยาบถ มกี ารยา่ ง ก้าวไป ถอยกลบั คู้-เหยยี ดแขนขา ของเพศตรงข้าม หรือ เป็นผู้ใคร่ในอิริยาบถ
พอใจกาหนัดยินดใี นทอ่ นกลา้ มเนื้อท่ีเคลอื่ นไหวนั้น อารมณ์กรรมฐานในข้อนี้แสดงให้เห็นว่า อวัยวะต่าง ๆ
ท่ีเคล่อื นไหวอริ ยิ าบถนนั้ ไมม่ อี ะไรแนน่ อน ไม่สามารถจะรวมกลมุ่ กนั ไดต้ ลอดกาล ตลอดสมัย ในท่ีสุดก็ต้อง
กระจดั พลัดพราย เปน็ ทอ่ นน้อย ท่อนใหญต่ ามท่ปี รากฏน้ี
7. หตวิกขิตตกะ ซากศพที่ถูกบั่นเป็นท่อนๆ นามาวางใกล้ๆกัน (ห่างกันประมาณ 1 นิ้ว )
ทา่ นสอนไวเ้ ปน็ ท่สี บายของผู้มีความกาหนัดยินดีในข้อต่อ คือ ร่างกายที่มีอาการ 32 ครบถ้วน คนประเภทน้ี
รักไมเ่ ลือก ถ้าเหน็ ว่าเป็นคนท่ีมอี วัยวะไมบ่ กพรอ่ งเป็นรักได้ กรรมฐานนี้แสดงให้เห็นว่า การติดต่อของส่วน
ต่าง ๆ ของรา่ งกายน้ี ไม่จรี งั ย่งั ยนื ในไมช่ า้ ก็ตอ้ งพลัดพรากจากกนั ตามกฎของธรรมดา
8. โลหติ กะ ซากศพทีถ่ กู ประหารมเี ลอื ดไหลนอง ท่านสอนไว้เป็นท่ีสบายของผู้กาหนัดยินดี
ในร่างกายทีต่ กแต่งด้วยเครอ่ื งประดับ คือบูชาอาภรณ์มากกว่าเน้ือแท้ กรรมฐานน้ีแสดงให้เห็นว่าอาภรณ์น้ัน
ไม่สามารถจะรักษาแท่งทึบของก้อนเน้ือท่ีรองรับเครื่องประดับไว้ได้ ในไม่ช้าสิ่งสกปรกโสโครกภายใน
8
จะหลั่งไหลออกมาในท่ีสุด เคร่ืองประดับ หรือ อาภรณ์อันเป็นท่ีเจริญตามิได้มีอานาจในการต้านทานกฎ
ของธรรมดาไวไ้ ด้เลย
9. ฬุวกะ ซากศพที่เน่าเฟะคลาคล่าด้วยตัวหนอน ท่านสอนไว้เป็นท่ีสบายสาหรับผู้กาหนัด
ยดึ ถอื วา่ รา่ งกายนี้เป็นของเรา แตก่ รรมฐานนี้แสดงใหเ้ หน็ ว่า รา่ งกายนไ้ี ม่ใช่ของเรา ร่างกายนีเ้ ป็นสาธารณะแก่
หมู่หนอนท่กี าลงั กนิ อยู่ ถ้ารา่ งกายนเ้ี ปน็ ของเราจรงิ เจ้าของร่างคงไม่ปลอ่ ยใหห้ นอนกัดกินเปน็ อาหารได้
10. อฏั ฐกิ ะ ซากศพท่เี หลอื แต่โครงกระดูก ท่านสอนไว้เป็นทีส่ บายของผ้มู ีกาหนัดยนิ ดใี นฟัน
ทีร่ าบเรยี บขาวเป็นเงางาม กรรมฐานนช้ี ใ้ี หเ้ หน็ วา่ กระดูกและฟนั น้ีต้องหลุดถอนเป็นธรรมดา ไมค่ งสภาพสวย
สดงดงามให้ชมอยู่ตลอดกาลตลอดสมัยได้ ตัวไมท่ ันตายฟันกห็ ลุดออกกอ่ นแล้ว ฟันท่วี า่ นน้ั กไ็ ม่ไดส้ วยจรงิ ถา้
ปลอ่ ยไวไ้ ม่ชาระขดั สีเพียงวันเดียว สขี าวไข่มุขนั้นจะกลายเป็นสีเหลืองเพราะส่ิงโสโครกท่ีฟันเกาะไว้ แม้ตัว
เจา้ ของเองกไ็ มอ่ าจทนได้
อสุภกรรมฐานท่ีสมเด็จพระบรมศาสดาทรงสอนมีอยู่ด้วยกัน 10 อย่างดังนี้ ท่านผู้ปฏิบัติจง
เลือกเพอ่ื กาจัดราคะ เลือกตามที่เหมาะสมกบั ความรู้สึกเดมิ ทีม่ ีความกาหนัดยนิ ดอี ยูน่ ้ันเพ่อื ผลในการปฏิบัติใน
สว่ นวปิ สั นาญาณ เพ่อื มรรคผลตอ่ ไป
อสุภ นยิ มใชค้ ู่กับคาอื่นๆ ท่ีเกี่ยวข้องกัน เช่น อสุภกถา อสุภกรรมฐาน อสุภนิมิต อสุภาวนา
อสภุ สญั ญา
อนสุ สติ 10 ข้อ 21-30
อนสุ สติ 10 หมายถงึ กรรมฐานเป็นเคร่ืองระลกึ ถงึ มี 10 อยา่ ง ไดแ้ ก่
1. พุทธานสุ สติ การระลกึ ถึงพระคณุ ของพระพทุ ธเจา้ (พุทธะ+อนุสสต=ิ พทุ ธานสุ สต)ิ
2. ธัมมานุสสติ การระลกึ ถึงพระคุณของพระธรรม
3. สังฆานสุ สติ การระลึกถงึ พระคณุ ของพระสงฆ์
4. สีลานุสสติ การระลกึ ถึงศลี ท่ตี นรกั ษา
5. จาคานสุ สติ การระลกึ ถึงทาน ความดีทตี่ นสร้างไว้
6. เทวตานสุ สติ การระลกึ ถึงคณุ ท่ีทาใหค้ นเป็นเทวดา เช่น หริ ิ โอตตัปปะ และพระคณุ ของ
พอ่ แม่ทเี่ ปน็ เทวดาของบตุ รธิดา เทวดาหรือบุคลทเ่ี คารพนบั ถือ
7. อุปสมานสุ ติ การระลึกถึงพระคณุ ของพระนพิ พาน
8. มรณสติ[1][2] การระลึกถงึ ความตายที่สัตว์โลกยอ่ มประสบ
9. อานาปานสติ การระลึกถงึ ลมหายใจเขา้ ออก (อานาปาน + อนุสสติ = อานาปานสุ สต)ิ
10.กายคตาสติ การระลกึ ถึงความไม่งามปฏิกลู ของอาการ 32 มผี ม ขน เล็บ ฟัน หนัง (ปัญจตจ
กรรมฐาน)
วิสทุ ธิมรรคระบุวา่ พุทธานุสสติ ธัมมานสุ สติ สงั ฆานสุ สติ สีลานสุ สติ จาคานสุ สติ เทวตานุ
สติ อปุ สมานสุ ติ มรณานุสสติ เปน็ อารมณน์ มิ ิตรทาสมาธไิ ด้สูงสดุ ทร่ี ะดับอปุ จาระสมาธิ กายคตานุสสตเิ ปน็
9
อารมณ์นมิ ิตรทาสมาธไิ ด้สงู สุดที่ระดับปฐมฌาน(ฌาน1) และอานาปานุสสตเิ ปน็ อารมณน์ ิมิตรทาสมาธิได้
สูงสุดทร่ี ะดบั จตุตถฌาน(ฌาน4)
อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา ขอ้ 31
อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา คอื การพิจารณาความเป็นปฏิกลู ในอาหาร โดยกาหนดหมายว่าอาหารที่
บรโิ ภคเป็นสิง่ ปฏกิ ลู องคธ์ รรมได้แก่ สญั ญาเจตสกิ ทใ่ี นมหากุศลจิต มหากริ ยิ าจติ
อาหาร เป็นเหตุธรรมที่อุดหนุนให้ผลเกิดข้ึนและช่วยให้ธรรมอ่ืนเกิดขึ้น คาว่า อาหาร มี
ความหมายกวา้ งขวางออกไปหลายนยั ในพระบาลใี หค้ วามหมายของคาว่า อาหาร ไว้ว่า “ธรรมใด นามาซึ่งรูป
อันเกิดจากโอชา นามาซึ่งเวทนา นามาซึ่งปฏิสนธิวิญญาณ และนามาซ่ึงเจตสิกกับกัมมชรูป ธรรมนั้นช่ือว่า
อาหาร”
1. กพฬกี าราหาร (นามาซึง่ รูปทเ่ี กดิ จากโอชา)
กพฬีการาหาร (อ่านวา่ กะ-พะ-ลี-กา-รา-หาน ) ได้แก่ โอชา สารอาหารหรือวิตามิน ที่ได้
จากข้าว น้า พชื ผกั ต่าง ๆ ตลอดจนทุกส่ิงท่ีเรากลืนกินเข้าไป สารอาหารน้ีจะเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ดารง
อย่ไู ด้ องค์ธรรมไดแ้ ก่ โอชาที่อย่ใู นอาหารตา่ ง ๆ
2. ผัสสาหาร (นามาซึ่งเวทนา) ผัสสาหาร นามาซ่ึงเวทนา คือการเสวยอารมณ์ทุกข์บ้าง
สขุ บา้ ง หรือไม่ทุกข์ ไม่สขุ ให้เกิดขนึ้ เวทนาทง้ั หลายน้ี ถา้ ไมม่ ผี สั สะแลว้ กจ็ ะเกิดไม่ได้เลย เพราะผัสสะน้ีเป็น
เหตุให้เกิดเวทนา จึงชื่อว่าผัสสะเป็นอาหารของเวทนา (หรือผัสสะนามาซึ่งการเกิดเวทนา) องค์ธรรมได้แก่
ผัสสเจตสกิ ทีใ่ นจติ ทั้งหมด
3. มโนสัญเจตนาหาร (นามาซ่ึงวิบาก) มโนสัญเจตนาหาร ก็คือเจตนาในการทากุศล อกุศล
เจตนาน้ีเป็นเหตุนามาให้เกิดผล คือกุศลวิปากจิตและอกุศลวิปากจิต ท้ังในปฏิสนธิกาลและปวัตติกาล
ในปฏสิ นธิกาลกน็ ามาซง่ึ ปฏสิ นธวิ ิญญาณ คอื การเกดิ เปน็ มนษุ ย์ เทวดา พรหม หรืออบายสัตว์ ในปวัตติกาลก็
นามาซึ่งวิบากต่างๆ เช่น ทาให้เห็นรูปที่ดี ได้ยินเสียงที่ดี เป็นต้น องค์ธรรมได้แก่ เจตนาเจตสิก ท่ีในจิต
ท้งั หมด
4. วญิ ญาณาหาร (นามาซงึ่ เจตสกิ และกมั มชรูป) วิญญาณาหาร นามาซึ่งเจตสิกและกัมมชรูป
ในปฏสิ นธิกาล ปฏิสนธิวิญญาณย่อมเป็นผู้นาให้เจตสิกและกัมมชรูปเกิดข้ึนได้ ในปวัตติกาล จิตย่อมนาให้
เจตสกิ เกิดขึน้ อยา่ งเดียว ไม่ไดน้ าให้กมั มชรปู เกิดขึน้ ด้วย เพราะกัมมชรปู ไมใ่ ชร่ ูปทเ่ี กดิ จากสมฏุ ฐานของจิต แต่
เป็นรูปท่ีเกิดจากสมุฏฐานของกรรม แต่อย่างไรก็ตาม กัมมชรูปก็อาศัยเกิดม าจากอดีตกรรม ท่ีเรียกว่า
กัมมวิญญาณ คืออกุศลจิตและโลกียกุศล จิตในภพก่อนๆ ซ่ึงก็ชื่อว่าวิญญาณเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้
จติ ทั้งหมดจงึ ชื่อวา่ วญิ ญาณาหารองค์ธรรมไดแ้ ก่ จติ ทั้งหมด
การพิจารณาความเป็นปฏิกูลในอาหาร ให้พิจารณาอาหารทเี่ รยี กวา่ กพฬีการาหาร หรอื อาหาร
ทเี่ รารับประทานนัน่ เอง การพิจารณาความเป็นปฏกิ ลู ของอาหารโดยอาการ 10 อย่าง คือ
10
1. พจิ ารณาความเป็นปฏิกลู โดยอาการไปสสู่ ถานที่ท่มี อี าหาร วา่ ลาบาก ตัง้ แตก่ ารตอ้ งออกไป
หาอาหาร ฆราวาสต้องประกอบการงานอาบเหง่อื ตา่ งน้าเพ่อื จะได้เงินมาซ้อื อาหารเลี้ยงชีวิต ถ้าเป็นภิกษุก็ต้อง
บณิ ฑบาตไปในสถานที่ตา่ งๆ ทงั้ ทเ่ี ฉอะแฉะ สกปรก กราแดดกราฝน เพอ่ื ให้ได้อาหารมาเลยี้ งอตั ภาพ
2. พิจารณาความเป็นปฏิกูล โดยการแสวงหา ว่ามีเงินแล้วก็ต้องไปตลาดซื้ออาหาร เข้าร้าน
โนน้ ออกร้านนี้ เลอื กหาอาหาร หอบหวิ้ กลบั มา
3.พิจารณาความเป็นปฏกิ ูล โดยการบริโภค ว่าเม่ือหยิบอาหารเข้าปากแล้วฟันก็ทาหนาที่บด
เค้ียวคลุกเคล้าด้วยน้าลาย ก่อนจะเข้าปากอาหารนั้นปรุงอย่างดี แต่เม่ือเข้าปากเคี้ยวแล้ว หากลองคายออก
มาแล้วใหก้ ลนื กลบั เขา้ ไปใหม่ ก็คงกลืนไมล่ งเพราะดูน่าเกลียดเหมือนรากสนุ ัข
4. พิจารณาความเป็นปฏิกูล โดยที่อยู่ ว่าอาหารท่ีบริโภคนี้ แปดเปื้อนคละเคล้ากับส่ิง 4
อย่าง คอื นา้ ดี เสมหะ หนอง และเลือด เปน็ สงิ่ สกปรกโสโครก
5. พิจารณาความเปน็ ปฏกิ ูล โดยกระเพาะ วา่ เป็นท่หี มักหมมรวมกนั ของอาหารวา่ อาหารทเ่ี รา
กินเข้าไป เปอื้ นน้าดี เสมหะ หนอง เลอื ด หมกั หมมรวมกนั อยู่ในกระเพาะที่สกปรกโสโครก ถ้วยชามภาชนะ
เราใชแ้ ล้วยงั ขดั ลา้ งทาความสะอาด แตก่ ระเพาะอาหารเป็นที่ใส่อาหารที่แปดเป้ือนไปด้วยน้าดี เสมหะ หนอง
เลอื ด ไม่เคยล้างตลอดเวลา 20-40 ปีแห่งอายุของเรา และทกุ วันมีอาหารใหม่หมักหมมทับถมลงไปอีก
6. พิจารณาความเปน็ ปฏกิ ูล โดยยังไมย่ อ่ ย วา่ อาหารท่ีบรโิ ภคเขา้ ไป ตัง้ แตเ่ มื่อวานก็ตาม วันน้ี
ก็ตาม หมักหมมรวมกนั เกิดเปน็ ฟอง เพราะธาตไุ ฟท่มี อี ยู่ในกระเพาะอาหาร มีสภาพน่าสะอิดสะเอียนเหมือน
ซากศพหรือขยะท่ีบดู เปน็ ฟอง
7. พจิ ารณาความเปน็ ปฏิกลู โดยย่อยแล้ว ว่าอาหารที่ถูกย่อยแล้วกลายเป็นอุจจาระ ปัสสาวะ
เปน็ ส่ิงท่นี ่าเกลยี ด
8. พิจารณาความเป็นปฏิกูล โดยผลท่ีสาเร็จ ว่าอาหารท่ีย่อยแล้วกลายเป็น ผม ขน เล็บ
ฟัน หนงั กระดกู เปน็ อวัยวะตา่ งๆ แตอ่ าหารท่ไี ม่ย่อยกลับทาให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย เช่น โรคหิดเป่ือย หิด
ด้าน คุดทะราด โรคเร้ือน กลาก หดื ไอ เปน็ ตน้ ล้วนแตเ่ ป็นผลทเ่ี กดิ จากอาหารท่ีบริโภคเข้าไปน้ีเอง เป็นส่ิงท่ี
น่าเกลียดและน่ากลวั การบรโิ ภคถา้ บริโภคมากไปกเ็ กิดโทษได้
9. พิจารณาความเป็นปฏิกูล โดยการหล่ังไหล ว่าอาหารท่ีบริโภคเข้าไปน้ัน เม่ือไหลออก ก็
ออกทางทวารทง้ั 9 เชน่ ไหลออกทางช่องตาก็เปน็ ขต้ี า ไหลออกทางช่องปากเป็นน้าลาย เสมหะ ไหลออกจาก
ทวารหนักเป็นอุจจาระ ไหลออกจากทวารเบาเป็นปัสสาวะ ไหลออกจากขุมขนเป็นเหงื่อ เป็นต้น ขณะที่
บริโภคอาหารกล็ อ้ มวงกนั ร่นื เริง แตเ่ วลาถา่ ยออก กแ็ ยกกนั ไปปดิ บงั กนั ซ่อนเร้นไมใ่ หใ้ ครเห็น
10. พิจารณาความเป็นปฏิกูล โดยความแปดเปื้อน ว่าอาหารนี้เม่ือเวลาบริโภคอยู่ก็เปื้อนมือ
ปาก ลิ้น เพดาน ย่อยแล้วก็เป้ือน ถ่ายออกก็เปรอะเปื้อนน่าเกลียด ต้องชาระล้างใส่เคร่ืองหอมกลบความ
โสโครกและกล่ินเหมน็
การเจริญอาหาเรปฏิกูลสัญญา เจริญได้แต่เฉพาะในมนุสสภูมิเท่านั้น เพราะมนุษย์มีการ
รับประทานอาหารชนิดทเี่ ป็นปฏิกูล สว่ นในเทวภมู แิ ละพรหมภมู ไิ มม่ ีอาหารชนดิ ปฏิกูลแลว้
11
นมิ ติ ภาวนา ในการเจริญอาหาเรปฏกิ ูลสัญญา
นิมิตไดเ้ พยี งบรกิ รรมนิมติ คือ ข้าว แกง ขนม นา้ ฯลฯ ทีเ่ กี่ยวเนื่องด้วยสัญญาของตนที่มีการ
เห็นวา่ เป็นปฏกิ ลู น้เี องเหล่านีใ้ ช้เป็นเครอ่ื งอาศยั ในการบรกิ รรม จัดเปน็ บริกรรมนิมิต ภาวนาได้ 2 คือ บริกรรม
ภาวนาและอุปจารภาวนา การที่ไม่เกิดอัปปนาภาวนา เพราะการเจริญกรรมฐานน้ีมีสภาวะอาหาร คือ
กพฬกี าราหาร เปน็ อารมณเ์ ป็นหลักเกณฑ์ ตัวกพฬีการาหารเปน็ เพียงสมมตุ ิอาหารเทา่ น้ันไม่ใช่ตัวอาหารแท้ๆ
ส่วนข้าว แกง ขนม นา้ ฯลฯ ต่างๆ ทเี่ หน็ อยู่นัน้ เปน็ เพยี งเครอื่ งประกอบในการเจริญเท่าน้นั ตามธรรมดาสภาวะ
ของอาหาร มุ่งถึงโอชาหรือสารอาหาร วิตามิน เกลือแร่ แร่ธาตุต่างๆ ท่ีอยู่ในอาหาร โอชานี้มีสภาพละเอียด
สุขุมท้ังเป็นธรรมารมณ์ ด้วยเหตุนี้อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ทั้งสองน้ีจึงไม่ปรากฏ เม่ือปฏิภาคนิมิต
ไม่ปรากฏ อปั ปนาภาวนาอนั เปน็ ตัวฌานกเ็ กดิ ขนึ้ ไมไ่ ด้
อานิสงสข์ องอาหาเรปฏิกูลสญั ญา คือ
1. ไม่ยินดีในรสอาหาร บริโภคเพียงเพื่อดารงชีวิตอยู่ ดุจดังสามีภรรยาท่ีบริโภคเน้ือบุตร
ในทางกันดารที่แร้นแค้นด้วยอาหารโดยไม่มีความยินดี ประสงค์เพียงแต่จะข้ามทางกันดารให้ถึง
ท่ีหมายปลายทางฉันใด ผู้เจริญก็ย่อมบริโภคไปฉันนั้น อาศัยเหตุ คือ การบริโภคอาหารที่ปราศจาก
รสตัณหา ประสงค์เพียงแต่จะดารงชีวิตร่างกายเอาไว้ เพ่ือจะได้ทาการปฏิบัติให้พ้นออกไปจากวัฏฏทุกข์นี้
แมต้ ณั หาราคะ ในกามคณุ ๕ ผเู้ จริญก็ย่อมละลงได้
2. เหน็ ความเกดิ ดบั ของรูปขนั ธ์ ความเกดิ ดบั ของรปู ภายใน ตนทีเ่ กิดจากอาหาร ความเกิดดับ
ของจติ ขณะบรโิ ภคและหลงั บรโิ ภค
3. สามารถเจริญกายคตาสติไปในขณะนั้นด้วย คือพิจารณาความเป็นปฏิกูลโดย ดี
เสลด หนองเลือด เป็นต้น
4. อยเู่ ปน็ สขุ
5. มีสุคตภิ ูมเิ ปน็ ทีห่ วงั ได้
จตุธาตวุ วัฏฐาน ข้อ 32
จตธุ าตุววัฏฐาน คอื การวเิ คราะหธ์ าตุ 4 ดิน น้า ลม ไฟ ในรา่ งกาย ดังนี้
1. ปฐวี นัน้ มลี ักษณะแข้มแข็ง หยาบ กระดา้ ง ปฐวีธาตุมอี าการ 20
2. อาโป นั้นมีลักษณะเอิบอาบ ไหลไป ความซึมซาบ อาโปมีอาการ 12
3. เตโช ความเปน็ เครื่องทาใหร้ ้อน ความเปน็ ของร้อน เตโชมีอาการ 4
4. วาโย ความเป็นสิง่ ทาใหฟ้ ุง้ เฟ้อ การไหวตัวได้ วาโยมีอาการ 6
ปฐวีธาตุมอี าการ 20
1. เกสา ‟ ผมท้งั หลาย 2. โลมา ‟ ขนทัง้ หลาย
3. นขา ‟ เล็บทง้ั หลาย 4. ทนั ตา ‟ ฟันทง้ั หลาย
5. ตโจ ‟ หนงั 6. มังสงั ‟ เน้ือ
12
7. นหารู ‟ เอน็ ท้ังหลาย 8. อัฏฐี ‟ กระดูกทัง้ หลาย
9. อัฏฐิมิญชัง ‟ เยอ่ื ในกระดูก 10. วักกัง ‟ ไต
11. หทยงั ‟ หัวใจ 12. ยกนงั ‟ ตับ
13. กโิ ลมกัง ‟ พังผดื 14. ปหิ กงั ‟ ม้าม
15. ปปั ผาสัง ‟ ปอด 16. อันตัง ‟ ไส้ใหญ่
17. อนั ตคุณัง ‟ ไส้นอ้ ย 18.อุทรยิ ัง ‟ อาหารใหม่
19. กรสี ัง ‟ อาหารเก่า 20. มัตถลงุ คงั ‟ มนั ในสมอง
ปฐวธี าตุ มคี วามต้งั อยู่เปน็ อารมณ์
อาโปโกฏฐาส ๑๒ 2. เสมหงั ‟ เสมหะ
1. ปิตตงั ‟ ดี 4. โลหติ งั ‟ เลือด
3. ปพุ โพ ‟ นา้ หนอง 6. เมโท ‟ มันขน้
5. เสโท ‟ เหงือ่ 8. วสา ‟ มนั เหลว
7. อสั สุ ‟ นา้ ตา 10. สิงฆาณิกา ‟ นา้ มูก
9. เขโฬ ‟ น้าลาย 12. มตุ ตัง ‟ นา้ มตู ร
11. ลสกิ า ‟ ไขข้อ
อาโปธาตุ มกี ารไหลลงเปน็ อารมณ์
เตโชโกฏฐาส 4
1. สันตัปปคั คี ไดแ้ ก่ ไฟธาตุกระทาใหอ้ บอุ่นกาย
2. ปรทิ ัยหคั คี คือไฟธาตุใหก้ ายร้อนกระวนกระวาย
3. ชริ ณัคคี คอื ไฟธาตุเผากายให้แกช่ รา ครา่ คร่า
4. ปริณามัคคี คือไฟธาตอุ นั เผาอาหารใหย้ อ่ ยยบั
เตโชธาตุ มกี ารทาให้ลอยเป็นอารมณ์
วาโยโกฏฐาส 6
1. อทุ ธงั คมาวาตา คือ ลมพัดแตพ่ น้ื เท้าขน้ึ เบือ้ งบน
2. อโธคมาวาตา คอื ลมพดั เบ้อื งบนลงเบ้ืองตา่
3. กจุ ฉิสยาวาตา คอื ลมพัดอยใู่ นทอ้ ง
4. โกฏฐาสยาวาตา คือลมพัดอย่ใู นลาไส้
5. องั คมังคานุสารโิ นวาตา คอื ลมพัดซา่ นท่ัวสารพางคก์ าย
6. อสั สาสปสั สาสวาตา คอื ลมหายใจเข้าออก
วาโยธาต มกี ารเคลอื่ นไปเปน็ อารมณเ์ จริญโดยลักษณะ
13
โดยสรุป
ปฐวีธาตุ มลี กั ษณะหยาบ
อาโปธาต มลี กั ษณะเพม่ิ พนู ยึดเอา
เตโชธาตุ มลี กั ษณะรอ้ น ทาให้ย่อย
วาโยธาตุ มีลกั ษณะความพยุงไว้ ความเคลอ่ื นไหว ความแสดงท่าทาง
อัปปมญั ญา 4 ขอ้ 33-36 คือ พรหมวิหาร 4 ขอ้
พรหมวิหาร 4 พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมเป็นท่ีอยู่ของพรหม พรหมแปลว่าประเสริฐ หลัก
ความประพฤติท่ีประเสริฐบริสุทธิ์, ธรรมทตี่ อ้ งมไี ว้เป็นหลักใจและกากับความประพฤติ จึงจะได้ช่ือว่าดาเนิน
ชวี ิตหมดจด และปฏบิ ตั ติ นตอ่ มนุษยส์ ตั วท์ ้งั หลายโดยชอบ พรหมวหิ าร 4 จงึ แปลวา่ คณุ ธรรม 4 ประการ ท่ีทา
ให้ผูป้ ระพฤตปิ ฏิบัติเป็นผู้ประเสรฐิ ได้แก่
1. เมตตา คมุ อารมณ์ไว้ตลอดวัน ให้มีความรัก อันเน่ืองด้วยความปรารถนาดี ไม่มีอารมณ์
เน่อื งดว้ ยกามารมณ์ เมตตาสงเคราะห์ผอู้ ืน่ ใหพ้ น้ ทกุ ข์ ปรารถนาดอี ยากใหเ้ ขามีความสขุ มี
จติ อนั แผไ่ มตรีและคิดทาประโยชน์แกม่ นุษย์สตั วท์ ั่วหน้า ความสขุ เกิดข้นึ ไดท้ งั้ กายและใจ
เช่น ความสขุ เกิดการมที รพั ย์ ความสุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์เพ่ือการบริโภค ความสุข
เกิดจากการไมเ่ ป็นหน้ี และความสุขเกดิ จากการทางานทีป่ ราศจากโทษ เปน็ ตน้
2. กรุณา ความสงสารปราณี มีประสงค์จะสงเคราะห์แก่ทั้งคนและสัตว์ คิดช่วยให้พ้นทุกข์
ใฝใ่ จในอนั จะปลดเปลื้องบาบดั ความทุกข์ยากเดือดร้อนของปวงสัตว์ พระพุทธองค์ทรง
สรปุ ไว้ว่าความทุกข์มี 2 กลุ่มใหญๆ่ ดงั นี้
- ทกุ ขโ์ ดยสภาวะ หรอื เกดิ จากเปล่ียนแปลงตามธรรมชาติของรา่ งกาย เช่น การเกิด การเจ็บ
ไข้ ความแก่และความตายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เกิดมาในโลกจะต้องประสบกับการ
เปลยี่ นแปลงทางรา่ งกายอยา่ งหลกี เลีย่ งไมไ่ ด้ ซ่งึ รวมเรียกวา่ กายิกทุกข์
- ทุกข์จรหรือทุกข์ทางใจ อันเป็นความทุกข์ท่ีเกิดจากสาเหตุที่อยู่นอกตัวเรา เช่น เม่ือ
ปรารถนาแลว้ ไมส่ มหวังก็เป็นทุกข์ การประสบกบั สงิ่ อนั ไม่เป็นทร่ี กั กเ็ ปน็ ทุกข์การพลัด
พรากจากส่งิ อันเป็นทรี่ กั ก็เป็นทกุ ข์ รวมเรียกว่า เจตสกิ ทกุ ข์
3. มุทิตา มีจิตช่ืนบาน พลอยยินดีเม่ือผู้อ่ืนได้ดี ไม่มีจิตริษยาเจือปน มีจิตผ่องใสบันเทิง
อาการแชม่ ช่ืนเบกิ บานอยเู่ สมอ ต่อสตั ว์ทั้งหลายผูด้ ารงในปกตสิ ุข มคี วามยินดีเม่ือผู้อ่ืนอยู่
ดีมีสุขเจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป ความยินดีเม่ือผู้อื่นได้ดี คาว่า "ดี" ในที่น้ี หมายถึง การมี
ความสุขหรอื มีความเจรญิ กา้ วหน้า ความยินดีเม่ือผอู้ ื่นได้ดีจึงหมายถึง ความปรารถนาให้
ผู้อน่ื มีความสุขความเจริญก้าวหนา้ ยิง่ ๆข้นึ ไมม่ จี ติ ใจริษยา ความริษยา คือ ความไม่สบาย
ใจ ความโกรธ ความฟ้งุ ซ่านซงึ่ มกั เกิดขึ้นเมื่อเห็นผู้อ่ืนได้ดีกว่าตน เช่น เห็นเพื่อนแต่งตัว
เรียบร้อยแลว้ ครชู มเชยกเ็ กิดความริษยาจงึ แกลง้ เอาเศษชอล์ก โคลน หรือหมึกไปป้ายตาม
14
เสอ้ื กางเกงของเพ่ือนนกั เรียนคนน้นั ใหส้ กปรกเลอะเทอะ เราต้องหมั่นฝกึ หัดตนให้เป็นคน
ทมี่ ีมทุ ติ า เพราะจะสรา้ งไมตรีและผกู มติ รกับผู้อ่นื ไดง้ ่ายและลึกซึง้
4. อเุ บกขา มอี ารมณเ์ ป็นกลางวางเฉย ความวางใจเป็นกลาง อนั จะให้ดารงอยู่ในธรรมตามท่ี
พจิ ารณาเห็นด้วยปัญญา คือมจี ิตเรียบตรงเท่ียงธรรมดุจตราชั่ง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง
พิจารณาเห็นกรรมท่สี ตั วท์ ั้งหลายกระทาแล้ว อันควรได้รับผลดหี รือชั่ว สมควรแก่เหตุอัน
ตนประกอบ พรอ้ มท่ีจะวนิ ิจฉัยและปฏิบัติไปตามธรรม รวมทั้งรู้จักวางเฉยสงบใจมองดู
ในเม่ือไม่มกี ิจทค่ี วรทา เพราะเขารบั ผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือ
เขาควรได้รับผลอันสมกับความรับผิดชอบของตน การวางใจเป็นกลางเพราะพิจารณา
เห็นวา่ ใครทาดียอ่ มได้ดี ใครทาช่ัวยอ่ มไดช้ ว่ั ตามกฎแห่งกรรม คือ ใครทาสิ่งใดไว้ส่ิงน้ัน
ย่อมตอบสนองคืนบุคคลผู้กระทา เมื่อเราเห็นใครได้รับผลกรรมในทางท่ีเป็นโทษ
เรากไ็ ม่ควรดีใจหรือคดิ ซา้ เตมิ เขาในเร่อื งท่ีเกิดขึ้น เราควรมีความปรารถนาดี คือพยายาม
ช่วยเหลอื ผูอ้ นื่ ให้พ้นจากความทกุ ข์ในลักษณะที่ถูกต้องตามทานองคลองธรรม
ผูด้ ารงในพรหมวหิ าร ย่อมชว่ ยเหลือมนุษย์สัตวท์ ้ังหลายด้วยเมตตากรุณา และยอ่ มรกั ษาธรรม
ไวไ้ ดด้ ้วยอเุ บกขา ดังนั้น แม้จะมีกรณุ าที่จะชว่ ยเหลอื ปวงสตั วแ์ ต่ก็ต้องมอี ุเบกขาดว้ ยท่จี ะมใิ ห้เสียธรรม
พรหมวิหาร 4 เรียกอีกอย่างว่า อัปปมัญญา 4 เพราะแผ่สม่าเสมอโดยท่ัวไปในมนุษย์สัตว์
ท้ังหลาย ไมม่ ีประมาณ ไม่จากดั ขอบเขต พรหมวหิ ารมใี นผูใ้ ด ยอ่ มทาให้ผู้นั้นประพฤติปฏิบัติเกื้อกูลแก่ผู้อ่ืน
ด้วยสงั คหวตั ถุเปน็ ตน้
ตวั อย่างมาตรฐาน ที่แสดงความหมายของพรหมวิหารไดช้ ดั ซง่ึ คมั ภีรท์ ัง้ หลายมักยกขน้ึ อ้าง
1. เม่อื ลูกยงั เลก็ เปน็ เดก็ เยาวว์ ัย
แม่ - เมตตา รกั ใคร่เอาใจใส่ ถนอมเลีย้ งใหเ้ จรญิ เตบิ โต
2. เมื่อลกู เจ็บไขเ้ กดิ มที ุกขภ์ ยั
แม่ - กรณุ า ห่วงใยปกปักรกั ษา หาทางบาบดั แกไ้ ข
3. เมื่อลกู เจริญวัยเปน็ หนมุ่ สาวสวยสง่า
แม่ - มทุ ิตา พลอยปลาบปลมื้ ใจ หรอื หวงั ใหล้ กู งามสดใสอยู่นานเทา่ นาน
4. เมื่อลูกรบั ผดิ ชอบกจิ หน้าที่ของตนขวนขวายอยดู่ ้วยดี
แม่ - อเุ บกขา มีใจน่ิงสงบเปน็ กลาง วางเฉยคอยดู
อรูปฌาน 4 ข้อ 37-40
วธิ ปี ฏบิ ัตใิ นอรูปฌาน คอื ฌานทไ่ี มม่ ีรปู 4 อย่าง คือ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ
อากญิ จญั ญายตนะ เนวสญั ญานา สัญญายตนะ รวม 4 อย่างดว้ ยกัน
อรูปฌานทั้ง 4 นี้ เป็นฌานละเอียดและอยู่ในระดับฌานท่ีสูงสุด ท่านที่ปฏิบัติได้อรูปทั้ง 4
นี้แล้ว เจริญวิปัสสนาญาณ ย่อมได้บรรลุมรรคผลรวดเร็วเป็นพิเศษ เพราะอารมณ์ในอรูปฌานและอารมณ์
15
ในวิปัสสนาญาณ มีส่วนคล้ายคลึงกันมาก ต่างแต่ อรูปฌานเป็นสมถภาวนา มุ่งดารงฌานเป็นสาคัญสาหรับ
วิปสั สนาภาวนามุ่งรูแ้ จ้งเหน็ จรงิ ตามอานาจของกฎธรรมดาเปน็ สาคัญ แตท่ ว่าอรูปฌานนี้ก็มีลักษณะเป็นฌาน
ปล่อยอารมณ์ คือ ไม่ยึดถืออะไรเป็นสาคัญ ปล่อยหมดทั้งรูปและนาม ถือความว่างเป็นสาคัญอานิสงส์
อรูปฌาน
ท่านท่ีได้อรูปฌานทั้ง 4 นี้ นอกจากจะมีผลทาให้จิตว่าง มีอารมณ์เป็นสุข ประณีตในฌาน
ที่ได้แล้วยังมีผลให้สาเร็จมรรคผลง่ายดายอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย นอกจากน้ันท่านท่ีได้ อรูปฌานนี้แล้ว
เม่อื สาเรจ็ มรรคผลจะได้เป็น พระอรหันตข์ ัน้ ปฏิสัมภิทาญาณ คือ มีคุณสมบัติพิเศษเหนือจากท่ีทรงอภิญญา 6
อีก 4 อยา่ ง สาหรับท่านทไ่ี ด้ปฏิสัมภทิ าญาณน้ี ท่านทรงอภญิ ญา 6 และคณุ สมบัติพิเศษอีก 4 คือ
ปฏสิ ัมภิทา 4
1. อัตถปฏิสัมภิทา มีปัญญาแตกฉานในอรรถ คือฉลาดในการอธิบายถ้อยคาที่ ท่านอธิบาย
มาแล้วอยา่ งพสิ ดาร ถอดเนื้อความที่พิสดารนั้นใหย้ ่อส้นั ลงมาพอไดค้ วามชดั ไม่เสยี ความ
2. ธัมมปฏิสัมภิทา ฉลาดในการอธิบายหัวข้อธรรม ท่ีท่านกล่าวมาแต่หัวข้อให้ พิสดาร
เข้าใจชดั
3. นิรุตตปิ ฏิสมั ภทิ า มีความฉลาดในภาษา รแู้ ละเข้าใจภาษาทุกภาษาได้อยา่ ง อศั จรรย์
4. ปฏภิ าณปฏสิ มั ภิทา มีปฏิภาณเฉลยี วฉลาด สามารถแกอ้ รรถปัญหาได้อย่าง อศั จรรย์
ปฏสิ มั ภทิ าญาณน้ี มีความแปลกจากอภิญญา 6 อยู่อยา่ งหนงึ่ คือทา่ นท่จี ะทรงปฏิสัมภิทา หรือ
ทรงอรูปฌานนี้ได้ ท่านต้องได้กสิณ 10 และทรงอภิญญามาก่อนแล้วจึงจะปฏิบัติต่อในอรูปนี้ได้ ถ้าท่าน
นักปฏิบตั ิท่ีไม่เคยเรยี นกสณิ เลย หรอื ทรงกสณิ ไดบ้ างสว่ นยังไม่ถึงขัน้ อภิญญาแล้วท่านมาเรียนปฏิบตั ิในอรูปนี้
ย่อมปฏิบัติไม่สาเร็จ เพราะการท่ีทรงอรูปฌานได้ ต้องใช้กสิณ 9 ประการ ปฐวี เตโช วาโย อาโป นีล ปีตะ
โลหติ ะ โอทาตะ อาโลกะ เวน้ อากาสกสิณอย่างเดียว เอามาเป็นบาทของอรูปฌานคือต้องเอากสิณ 8 อย่างน้ัน
อย่างใดอย่างหน่ึงมาต้ังข้ึน แล้วเข้าฌานในกสิณนั้นจนถึงจตุตถฌาน แล้วเพิกนิมิตในกสิณนั้นเสีย คาว่าเพิก
หมายถึงปล่อยไมส่ นใจในกสิณน้นั การท่ีจะปฏิบัติ ในอรูปฌาน ต้องเข้ารูปกสิณก่อนอย่างน้ี ฉะน้ันท่านที่จะ
เจริญในอรปู ฌานจึงต้องเปน็ ทา่ น ท่ไี ดก้ สิณจนคล่องอย่างน้อย 9 กอง จนชานาญและได้อภิญญาแล้วจึงจะมา
ปฏิบัติในอรูปฌานน้ีได้ ฉะน้ันท่านที่ได้ปฏิสัมภิทาญาณจึงเป็นผู้ทรงอภิญญาด้วย สาหรับอภิญญากับ
ปฏิสมั ภิทาญาณนี้ มีข้อแตกต่างกัน อยอู่ ย่างหนงึ่ ทน่ี ักปฏิบตั ิควรทราบ อภิญญาน้ัน ท่านท่ีปฏิบัติกสิณครบ 10
หรืออย่างน้อยครบ 8 ยกอาโลกกสิณและอากาสกสิณเสีย เม่ือชานาญในกสิณท้ัง 10 หรือทั้ง 8 นี้แล้ว ก็ทรง
อภิญญาได้ทันทีในสมัยท่ีเป็นฌานโลกีย์ ส่วนปฏิสัมภิทาญาณ 4 น้ี เม่ือทรงอรูปฌานที่เป็นโลกียฌานแล้ว
ยังทรงปฏิสัมภิทาไม่ได้ ต้องสาเร็จมรรคผลอย่างต่าเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหัตตผลปฏิสัมภิทา
จงึ จะปรากฏ บงั เกิดเปน็ คุณพิเศษขึน้ แกท่ ่านทบ่ี รรลุ ข้อแตกต่างน้ีนักปฏิบตั คิ วรจดจาไว้
1. อากาสานัญจายตนะ ฌานอันกาหนดอากาศคือช่องว่างหาท่ีสุดมิได้เป็นอารมณ์ หรือภพ
ของผ้เู ขา้ ถึงฌานนี้
16
อากาสานญั จายตนะน้ี ทา่ นกล่าวไว้ในวสิ ุทธมิ รรควา่ ก่อนท่ีจะเจริญอรปู อากาสานัญจายต
นะนี้ ทา่ นจะเข้าจตตุ ถฌานในกสณิ กองใดกองหนึง่ แล้วให้เพกิ คอื ไม่สนใจในกสิณนิมิตน้ันเสีย ใคร่ครวญว่า
กสณิ นิมติ นเี้ ปน็ อารมณ์ทีม่ รี ูปเปน็ สาคัญ ความสขุ ความทกุ ข์ ที่เป็นปัจจัยของภยันตราย มีรปู เป็นต้นเหตุ เราไม่
มคี วามตอ้ งการในรูปแลว้ ละรูปนมิ ิตกสิณ นน้ั ถืออากาศเปน็ อารมณจ์ นวงอากาศเกดิ เปน็ นิมติ ที่มีขอบเขตกว้าง
ใหญ่ แลว้ ย่อใหส้ นั้ ลงมา อธษิ ฐานให้เลก็ ใหญไ่ ด้ตามประสงค์ ทรงจิตรกั ษาอากาศไว้โดยกาหนดใจว่า อากาศ
หาทส่ี ุด มิไดด้ ังนี้จนจิตเป็นอเุ บกขารมณ์ เป็นฌาน ๔ ในอรูปฌาน
2. วิญญาณัญจายตนะ ฌานอันกาหนดวิญญาณหาท่ีสุดมิได้เป็นอารมณ์ หรือภพของผู้
เขา้ ถงึ ฌานน้ี
อรปู น้ีกาหนดวิญญาณเป็นอารมณ์ โดยจบั อากาสานญั จายตนะ คือกาหนด อากาศจากอรูป
เดิมเป็นปจั จยั ถือนิมิตอากาศน้ันเป็นฐานที่ต้ังของอารมณ์ แล้วกาหนด ว่า อากาศนี้ยังเป็นนิมิตที่อาศัยรูปอยู่
ถึงแม้จะเป็นอรูปก็ตามแต่ยังมีความหยาบอยู่มาก เราจะทิ้งอากาศเสีย ถือเฉพาะวิญญาณเป็นอารมณ์ แล้ว
กาหนดจติ วา่ วิญญาณหาท่สี ดุ มไิ ด้ ทิง้ อากาศและรูปทั้งหมดเดด็ ขาดกาหนดวิญญาณ คือถือวิญญาณ ตัวรู้เป็น
เสมือน จิต โดยคดิ วา่ เราตอ้ งการจติ เทา่ นนั้ รูปกายอย่างอ่ืนไม่ต้องการจนจิตต้งั อย่เู ป็นอเุ บกขารมณ์
3. อากิญจัญญายตนะ ฌานอันกาหนดภาวะท่ีไม่มีอะไรๆ เป็นอารมณ์ หรือภพของผู้
เขา้ ถึงฌานน้ี
อรูปน้กี าหนดความไมม่ ีอะไรเลยเป็นสาคัญ โดยเข้าฌาน 4 ในวิญญาณ แล้วเพิกวิญญาณ
คือ ไมต่ ้องการวญิ ญาณนั้น คิดว่าไม่มีอะไรเลยเป็นสาคัญ อากาศ ก็ไม่มีวิญญาณก็ไม่มี ถ้ายังมีอะไรสักอย่าง
หนง่ึ แมแ้ ตน่ ้อยหนึ่ง ก็เป็นเหตขุ องภยันตราย ฉะน้ันการไม่มีอะไรเลยเป็นการปลอดภัยท่ีสุดแล้วก็กาหนดจิต
ไมย่ ึดถอื อะไร ท้ังหมดจนจิตต้งั เป็นอเุ บกขารมณ์ เปน็ จบอรูปน้ี
4. เนวสญั ญานาสัญญายตนะ ฌานอันเข้าถงึ ภาวะมีสัญญากไ็ ม่ใช่ ไมม่ สี ัญญาก็ไมใ่ ช่ หรือภพ
ของผเู้ ข้าถึงฌานนี้
เนวสัญญานาสัญญายตนะน้ี กาหนดว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ คือ ทาความ
รสู้ กึ ตวั เสมอวา่ ทง้ั มสี ญั ญาอย่นู ี้ก็ทาความรู้สกึ เหมือนไมม่ สี ญั ญา คือไมย่ อมรับรจู้ ดจาอะไรหมด ทาตัวเสมือน
หุ่นทไ่ี ร้วญิ ญาณ ไม่รับรู้ ไม่รบั อารมณใ์ ดๆ ทงั้ ส้ิน หนาวก็ร้วู ่าหนาวแต่ไม่เอาเรื่อง ร้อนก็รู้ว่าร้อนแต่ไม่ดิ้นรน
กระวนกระวาย มีชวี ติ ทา เสมอื นคนตาย คือไม่ปรารภสัญญาคาจดจาใด ๆ ปล่อยตามเรื่องเปล้ืองความสนใจ
ใด ๆ ออกจนส้ิน จนจติ เปน็ เอกัคคตาและอุเบกขารมณ์
กรรมฐานใดให้ได้สมาธิถึงข้นั ใด
ภาวนา 3 คอื การเจริญ หมายถงึ การเจริญกรรมฐานหรือฝึกสมาธิขน้ั ตา่ งๆ
1. บริกรรมภาวนา คอื ภาวนาขัน้ บรกิ รรม, ฝึกสมาธิขั้นตระเตรียม ได้แก่ การถอื เอานมิ ิตในส่ิง
ที่กาหนดเป็นอารมณ์กรรมฐาน เชน่ เพง่ ดวงกสิณ หรอื นกึ ถงึ พุทธคุณเปน็ อารมณ์ว่าอยู่ในใจเป็นต้น กลา่ วสัน้ ๆ
คอื การกาหนดบรกิ รรมนมิ ิตน่ันเอง ได้ในกรรมฐานท้งั 40
17
2. อปุ จารภาวนา คือ ภาวนาขัน้ จวนเจียน, ฝกึ สมาธขิ ั้นเปน็ อปุ จาร ได้แก่ เจรญิ กรรมฐานต่อไป
ถงึ ขณะทปี่ ฏภิ าคนมิ ิตเกดิ ข้ึนในกรรมฐานท่ีเพง่ วตั ถกุ ด็ ี นิวรณ์สงบไปในกรรมฐานประเภทนึกเป็นอารมณ์ก็ดี
นับแต่ขณะนั้นไปจัดเป็นอุปจารภาวนา ขั้นนี้เป็น กามาวจรสมาธิ ได้ในกรรมฐานท้ัง 40; อุปาจารภาวนา
สิน้ สดุ แค่โคตรภูขณะ ในฌานชวนะ
3. อปั ปนาภาวนา คือ ภาวนาขั้นแน่วแน่, ฝึกสมาธิข้ันเป็นอัปปนา ได้แก่ เสพปฏิภาคนิมิตที่
เกิดขึน้ แลว้ นนั้ สมา่ เสมอด้วยอปุ จารสมาธิ จนบรรลปุ ฐมฌาน คอื ถัดจากโคตรภูขณะในฌานชวนะเป็นต้นไป
ต่อแต่น้ันเป็นอัปปนาภาวนา ขั้นนี้เป็นรูปาวจรสมาธิ ได้เฉพาะในกรรมฐาน 30 คือ หักอนุสสติ 8 ข้างต้น
ปฏิกูลสัญญา 1 และจตุธาตุววัตถาน 1 ออกเสีย คงเหลือ อสุภะ 10 และกายคตาสติ 1 (ได้ถึงปฐมฌาน) อัปป
มัญญา 3 ข้อต้น (ได้ถึงจตุตถฌาน) อัปปมัญญาข้อท้ายคืออุเบกขา 1 กสิณ 10 และ อานาปานสติ 1 หรือได้
ถงึ ปญั จมฌาน อรูป 4 หรอื ได้อรูปฌาน
กรรมฐานใดเหมาะกบั จริตใด
จริต หรอื จริยา 6 (ความประพฤตปิ กติ, ความประพฤตซิ ง่ึ หนกั ไปทางใดทางหนงึ่ อันเป็นปกติ
ประจาอยู่ในสันดาน, พื้นเพของจิต, อุปนิสัย, พ้ืนนิสัย, แบบหรือประเภทใหญ่ๆ แห่งพฤติกรรมของคน
ตวั ความประพฤตเิ รยี กว่า จริยา บุคคลผู้มคี วามประพฤติอย่างน้นั ๆ เรียกวา่ จริต
1. ราคจริต คือ ผู้มีราคะเป็นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไปทางรักสวยรักงาม
กรรมฐานคปู่ รับสาหรับแก้ คือ อสุภะและกายคตาสติ
2. โทสจริต คือ ผู้มีโทสะเป็นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไปทางใจร้อนหงุดหงิด
กรรมฐานท่ีเหมาะ คอื พรหมวหิ ารและกสณิ โดยเฉพาะวัณณกสณิ
3. โมหจริต คอื ผูม้ โี มหะเป็นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไปทางเขลา เหงาซึมเงื่องงง
งมงาย กรรมฐานที่เกื้อกูล คือ อานาปานสติ และพึงแก้ด้วยมีการเรียน ถาม ฟังธรรม สนทนาธรรมตามกาล
หรอื อยกู่ ับครู
4. สัทธาจริต คือ ผู้มีศรัทธาเป็นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไปทางมีจิตซาบซึ้ง ชื่น
บาน น้อมใจเลือ่ มใสโดยง่าย พงึ ชกั นาไปในสิง่ ทค่ี วรแก่ความเลอื่ มใส และความเชื่อท่ีมีเหตุผล เช่น พิจารณา
อนสุ ติ 6 ขอ้ ต้น
5. พุทธิจรติ หรือ ญาณจริต คอื ผ้มู ีความร้เู ปน็ ความประพฤตปิ กติ, ประพฤตหิ นกั ไปในทางใช้
ความคดิ พจิ ารณา
6. วิตกจริต คือ ผู้มีวิตกเป็นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไปทางนึกคิดจับจดฟุ้งซ่าน
พึงแกด้ ้วยส่ิงท่สี ะกดอารมณ์ เชน่ เจรญิ อานาปานสติ หรือเพ่งกสณิ เป็นตน้
บทสรุป
กรรมฐาน 40 เป็นอบุ าย 40 วธิ ีทีใ่ ชฝ้ ึกจติ ให้เกดิ สมาธิ กค็ อื สง่ิ ทเี่ อามาให้จิตกาหนด เพื่อชักนา
ให้เกิดสมาธิ พอจิตกาหนดจับส่ิงนี้เข้าแล้ว จะชักนาให้จิตแน่วแน่อยู่กับส่ิงน้ี จนเป็นสมาธิได้ม่ันคงและเร็ว
ท่สี ดุ
18
กรรมฐาน การงานของใจ อันจะยัง ภาวนา คอื ความเกดิ ขึ้น มีข้นึ เปน็ ขนึ้ หรอื สาเร็จ ซึง่ ผลอัน
พงึ ประสงค์
สมถะกรรมฐาน การงานของใจ อนั จะยัง สมถะภาวนา คือความสงบและพลังใจ ให้เกิดและ
เพิ่มพนู มากขึ้น
วปิ สั สนากรรมฐาน การงานของใจ อันจะยงั วปิ สั สนาภาวนา คือความรูจ้ ริง รู้แจ้ง รู้วเิ ศษ รอู้ นั
สามารถชาระกิเลสใหเ้ บาบาง หรอื ขจัดใหข้ าดหมดสน้ิ ไปได้
วปิ ัสสนากรรมฐาน ไดแ้ ก่เหตุ คือ โยนิโสมนสิการ การพิจารณาโดยแยบคาย เหตุปัจจัยของ
องค์ธรรม 1 เดียว ที่ยกขนึ้ พจิ ารณานัน้ ต้ังแตต่ น้ จนจบกลา่ วคือ เกดิ ขนึ้ ดาเนินมาตัง้ อยู่ จวบจนดับสน้ิ สูญสลาย
ไป แลว้ น้อมลงในกฎธรรมชาติ กฎใดกฎหนง่ึ ในกฎธรรมชาติท้งั สี่ คือ 1.ไตรลักษณ์ 2.กฎแห่งกรรม 3.อริยสัจ
ส่ี 4. ปฏิจจสมุปบาท โดยมกี ฎพระไตรลกั ษณ์ เป็นสาคญั มี อนตั ตาเปน็ เคร่ืองละ และ ถอดถอนอุปาทานความ
ยดึ มั่นอาลยั อาวรณ์ และ โอปนยิโก การนอ้ มเข้ามาสูต่ น
วิปัสสนาภาวนา ได้แก่ผล คอื ความรู้จรงิ รู้แจง้ รู้วเิ ศษ รอู้ นั สามารถชาระกิเลสให้เบาบาง หรือ
เกิด วิมุตติ ความหลุดพ้น อันขจดั อวิชชา ความโง่ ความไม่รตู้ ามเปน็ จรงิ และ อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น ให้
คุณค่า อาลัยอาวรณ์ ในองคธ์ รรมท่ยี กขึ้นพจิ ารณาน้ันให้ขาดหมดสน้ิ ไปได้
คร้ันเมอื่ ปฏิบัติ วปิ สั สนากรรมฐาน จวบจนเกดิ วปิ ัสสนาภาวนา และ วมิ ุตติ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งด้วย
ความพากเพียร ไม่ลดละ ค่อยๆ ทยอยถอดถอน อวชิ ชา อุปาทาน ตณั หา และทุกข์ท่ีเคยมีเคยเป็น ในองค์ธรรม
แต่ละอยา่ ง ได้แก่
1.ทรพั ยส์ ินสงิ่ ของหรอื วตั ถอุ ันมใิ ช่ของ ๆ เรา
2.ทรพั ยส์ นิ สง่ิ ของหรอื วตั ถุอันเป็นของเรา
3. โลกธรรมแปด คอื ลาภ ยศ สรรเสริญ สขุ เสอ่ื มลาภ เสือ่ มยศ นินทา ทุกข์
4.บุคคล จากรกั น้อยชังน้อย ไปหารกั มากชังมาก
5.บุคคลหรอื กองขันธ์ทีร่ ักมากทส่ี ุด ชงั มากท่สี ุด
ภายนอก คือคนรักผเู้ ป็นตน้ แบบในใจของเรา
ภายใน คือ ขนั ธ์หา้ กายจิต รปู น
19
ถาม - ตอบ
1. อารมณข์ องสมถกรรมฐาน คอื อะไร
ตอบ อารมณข์ องสมถกรรมฐาน คอื ที่ตั้งแห่งการทางานของจิต, สิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ใน
การเจริญภาวนา, อปุ กรณ์ในการฝึกอบรมจติ อารมณข์ องสมถกรรมฐานมี 40 วิธี
2. กรรมฐาน 40 คอื อะไร
ตอบ กรรมฐาน 40 เป็นอบุ าย 40 วิธีทีใ่ ช้ฝึกจิตให้เกิดสมาธิ ก็คอื สิง่ ท่เี อามาให้จิตกาหนด
เพ่ือชกั นาให้เกดิ สมาธิ พอจติ กาหนดจับส่ิงนี้เข้าแล้ว จะชักนาให้จิตแน่วแน่อยู่กับ
สิ่งนี้ จนเปน็ สมาธไิ ดม้ นั่ คงและเร็วทส่ี ดุ
3. อัปปมัญญา 4 หมายถึงอะไร
ตอบ อัปปมญั ญา 4 คือ พรหมวหิ าร 4 ขอ้
พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมเป็นท่ีอยู่ของพรหม พรหมแปลว่าประเสริฐ หลักความ
ประพฤติท่ีประเสรฐิ บริสทุ ธ์ิ, ธรรมทีต่ ้องมีไวเ้ ปน็ หลักใจและกากับความประพฤติ จึง
จะได้ชือ่ วา่ ดาเนนิ ชีวิตหมดจด และปฏิบัติตนต่อมนุษย์สัตว์ทั้งหลายโดยชอบ พรหม
วิหาร 4 จึงแปลว่า คณุ ธรรม 4 ประการ ท่ที าให้ผู้ประพฤติปฏิบัติเป็นผู้ประเสริฐ ได้แก่
เมตตา กรณุ า มทุ ิตา อเุ บกขา
4. ในวนั ทีล่ ูกสาเร็จการศึกษา ผู้เปน็ บดิ า โอบกอดลกู ด้วยความปิติยีนดี ปลาบปล้ืมใจที่เห็น
ความสาเร็จของลูก การแสดงออกดังนีถ้ อื วา่ มผี ูเ้ ปน็ บิดา มอี ารมณ์สมถกรรมฐานขอ้ ใด
ตอบ มุทิตา คือมีจิตช่ืนบาน มีความยินดีเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุขเจริญงอกงามย่ิงข้ึนไป ความ
ปรารถนาให้ผอู้ ่ืนมีความสุขความเจรญิ ก้าวหน้าย่ิง ๆ ขน้ึ ไม่มจี ิตใจริษยา
5. ฌานที่เป็นญานละเอียดและอยใู่ นระดับฌานท่สี งู สดุ คือ ข้อใด
ตอบ อรปู ฌานทั้ง 4 เปน็ ฌานละเอยี ดและอยู่ในระดบั ฌานทส่ี งู สดุ ทา่ นทป่ี ฏิบัติได้อรูปท้ัง 4
นแี้ ล้ว เจรญิ วิปสั สนาญาณ ยอ่ มไดบ้ รรลมุ รรคผลรวดเร็วเป็นพิเศษ เพราะอารมณ์ใน
อรปู ฌานและอารมณ์ในวปิ ัสสนาญาณ มีส่วนคล้ายคลึงกันมาก ต่างแต่ อรูปฌานเป็น
สมถภาวนา มุ่งดารงฌานเป็นสาคัญสาหรับวิปัสสนาภาวนามุ่งรู้แจ้งเห็นจริง ตาม
อานาจของกฎธรรมดาเป็นสาคัญ ทา่ นท่ไี ด้อรปู ฌานทงั้ 4 นอกจากจะมผี ลทาให้จิตว่าง
มอี ารมณ์เปน็ สขุ ประณตี ในฌานท่ีได้แล้วยงั มผี ลใหส้ าเรจ็ มรรคผลง่ายดายอยา่ งคาดไม่
ถงึ อกี ดว้ ย