หนงั สืออ่านเพิม่ เติม
เรือ่ งดนตรีไทยในแต่ละยคุ สมยั 1
บทนำ
"ดนตรเี ปน็ สว่ นหนง่ึ ของขำ้ พเจำ้ จะเปน็ แจส๊ หรอื ไมใ่ ชแ่ จส๊ กต็ ำม
ดนตรลี ว้ นอยใู่ นทกุ คน เปน็ สว่ นทย่ี ง่ิ ใหญใ่ นชวี ติ คนเรำ สำหรบั
ขำ้ พเจำ้ ดนตรคี อื สง่ิ ประณตี งดงำม และทกุ คนควรนยิ มในคณุ คำ่ ของ
ดนตรที กุ ประเภท เพรำะวำ่ ดนตรแี ตล่ ะประเภทตำ่ งกม็ คี วำมเหมำะสม
ตำมแตโ่ อกำสและอำรมณท์ ต่ี ำ่ ง ๆ กนั ออกไป"
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั รัชกาลท่ี 9 ในคราวเสดจ็ เยอื นตา่ งประเทศ ทรงใช้
ดนตรกี ระชับสัมพันธไมตรีระหวา่ งประเทศ ซง่ึ เป็นทชี่ ืน่ ชมของชาวต่างชาตดิ ้านดนตรไี ทยอนั เปน็ สมบตั ทิ าง
วัฒนธรรมของชาติ ทรงมพี ระราชดาริใหร้ วบรวมเพลงไทยเดมิ ข้ึนไว้ แล้วบนั ทึกโนต้ ขึ้นเปน็ หลักฐาน และทรง
รเิ ริ่มให้มกี ารวิจยั เก่ยี วกับดนตรไี ทยประเภทตา่ ง ๆ นอกจากน้ีทรงไดน้ าเพลงสากลมาแต่งเปน็ แนวเพลงไทย
และมีพระราชดารชั เก่ยี วกบั ดนตรแี ก่นกั ข่าวชาวอเมริกันในรายการเสยี งแหง่ วิทยุอเมรกิ า เมอ่ื วันท่ี 21
มถิ ุนายน พุทธศักราช 2503
สำรบญั หนงั สอื อา่ นเพม่ิ เติม
เร่อื งดนตรไี ทยในแต่ละยคุ สมยั 2
ท่ี เร่ือง
1 ปฐมบทดนตรไี ทย หนา้
2 ดนตรีไทยสมยั ก่อนกรงุ สโุ ขทัยเป็นราชธานี 3
3 ดนตรไี ทยสมยั กรงุ สโุ ขทยั เปน็ ราชธานี 3
4 ดนตรีไทยสมัยกรงุ ศรีอยุธยาเปน็ ราชธานี 8
5 ดนตรไี ทยสมยั กรุงธนบรุ ี 11
6 ดนตรีไทยสมัยกรงุ รตั นโกสินทร์ 14
16
หนงั สอื อา่ นเพิ่มเตมิ
เรือ่ งดนตรีไทยในแต่ละยคุ สมยั 3
ปฐมบทดนตรไี ทย
ดนตรีไทย เป็นศิลปะแขนงหนึ่งของไทย ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศต่าง ๆ เช่น อินเดยี
เครื่องดนตรีมี 4 ประเภท ดีด สี ตีเป่า ดนตรีไทย ถือว่าเป็นมรดกทางวฒั นธรรมอันล้าค่าของชน
ชาติไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณซึ่งดนตรีไทยได้มีการพัฒนามาเรื่อยมาตั้งแต่สมยั อดีตอดีตจนถึง
ปจั จุบนั ซึง่ สามารถแบง่ ยุคของดนตรีไทย ได้ดังนี้
ดนตรไี ทยสมยั ก่อนกรุงสุโขทยั เป็นรำชธำนี
จากประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ได้อพยพมาจากแถบภูเขาอัลไต และอพยพเรื่อยมาจนถึง
แหลมทองในสมัยปัจจุบัน ได้ปรากฏหลักฐานเป็นจดหมายของอาจารย์ท่านหนึ่งที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่ง
อาจารย์มนตรี ตราโมท กล่าวไว้ ( สงบศึก ธรรมวิหาร 2540, หน้า 3) ดังน้ี “จดหมายของ
อาจารย์ผู้หนึ่ง ในโรงเรียนที่เซยี งไฮ้ ซึ่งมีมาถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศกึ ษาธิการของไทยเรา ลง
หนงั สืออา่ นเพม่ิ เตมิ
เรื่องดนตรไี ทยในแต่ละยคุ สมยั 4
ใ น ว ั น ท่ี 11 ต ุ ล า ค ม 2484 ก ล ่ า ว ว ่ า เ ข า ไ ด้
ทาการศึกษาค้นคว้าตานานดึกดาบรรพ์ของชนชาติ
ไทยในดนิ แดนจีน ไดห้ ลกั ฐานไว้หลายอย่าง
มีความในหนังสือฉบับนี้กล่าวว่า คนไทยมี
อุปนิสัยทางศิลปะทางดนตรีมาแต่ดึกด า
บรรพ์” จากข้อความในจดหมายที่ยกมา แสดงให้
เห็นว่า ดนตรีไทยมีมาควบคู่กับคนไทย มาตั้งแต่
โบราณก่อนการอพยพลงมาสู่แหลมทองใน
ปัจจุบัน และยงั มีเอกสารหลักฐานเกีย่ วกบั ดนตรีไทย ซึง่ อาจารย์มนตรี ตราโมทไดก้ ล่าวถงึ ความ
เจรญิ รุง่ เรอื งและความเปน็ มาเก่ียวกบั ดนตรีไทยและเพลงไทยอีกว่า “ในตอนกลางลุ่มแม่น้าแยง
ซีที่เป็นที่ตั้งของอาณาจักรฌ้อ ซึ่งนักประวัติศาสตร์ โดยมากกล่าวว่า ฌ้อในสมัยนั้นคือชนชาติ
หนงั สืออา่ นเพมิ่ เตมิ
เรื่องดนตรไี ทยในแต่ละยคุ สมยั 5
ไทย พระเจ้าฌ้อปาออง ซง่ึ ครองราชอย่รู ะหวา่ งปีพทุ ธศกั ราช 310 ถงึ 343 วา่ เปน็ กษัตรยิ ์ไทย ใน
สมัยนั้นจีนได้เครื่องดนตรีไปจากชนชาติในดินแดนตอนใต้หลายอย่าง ที่ปรากฏชัดคือ กลอง
ชนิดหนึ่งซึ่งจีนใช้อยู่จนทุกวันนี้เรียกว่า “น่านตังกู” อันหมายถึง กลองของชาวใต้ ลักษณะเป็น
กลองขึงหนังตรึงด้วยหมุดทั้งสองหน้าอย่าง “ กลองทัด ” ของไทยเราในปัจจุบัน และรูปร่างก็
แตกตา่ งจากกลองชนดิ อน่ื ๆ ของจนี ซ่ึงเขา้ ใจวา่ อาจได้ไปจากกลองของชนชาตไิ ทย ในสมัยนั้นก็
เป็นได”้
หลกั ฐานสาคญั อีกอย่างหน่ึงท่ีบง่ บอกถึง“เคร่ืองดนตรีไทย” และเครอื่ งดนตรีท่เี กา่ แก่ ของ
ไทยก็คือ “แคน” โดยมีหลักฐานยืนยันและมีบันทึกของจีนได้บันทึกไว้ว่า (สงบศึก ธรรมวิหาร
2540,หนา้ 5) “ทเ่ี มือง ฉางซาแคว้นยูนาน เปน็ บา้ นเกิดของประธานาธิบดีเหมาเจอ๋ ตงุ เขาได้พบ
ศพ 2 ศพ เปน็ ศพทม่ี ีอายตุ ั้ง 2,000 ปี แลว้ รา่ งกายยังคงสภาพเดมิ เครอ่ื งแต่งกายกว็ ิจิตรพิสดาร
มาก รัฐบาลของเขาให้ชื่อศพนี้ว่า “The Duke of Tai and his Consart” ในข้าง ๆศพปรากฏ
หนงั สืออ่านเพิ่มเตมิ
เรื่องดนตรไี ทยในแต่ละยคุ สมยั 6
สิ่งของอยู่ 2 อย่างคือ เครื่องใช้ประจาวันเป็นเครื่องเขนิ เครื่องเขินท่ี
คล้าย ๆ กับของเชยี งใหม่ แล้วกเ็ ป็นจานวนนับร้อย แลว้ อีกส่ิงหน่ึง
กเ็ ปน็ เครอ่ื งดนตรีชนิดหนงึ่ ที่ตรงกบั ของเราทเี่ รียกว่า แคน ในเร่อื งที่
เกี่ยวกับแคนน้ี จากบันทกึ ของจีนที่บันทึกว่าจีนมีแคนใช้ประมาณ
3,000 ปี แต่จีนมีแคนใชห้ ลงั ไทย เพราะฉะนัน้ แคนไทยต้องมีอายุ
มากกว่า 3,000 ปี ที่กล่าวว่าจีนมีแคนใช้หลังไทยเพราะถ้าใช้หลัง
การเปรียบเทียบจะเห็นว่าแคน ของจีนสวยงาม กระทัดรัดกว่าของ
ไทย เพราะจนี ได้แบบอยา่ งและรูปแบบไปจากแคนไทย ซง่ึ มรี ูปร่าง
ยาว ใช้วัสดุทีไ่ ม่ทนทานเท่าแคนของจีน ซึ่งเมื่อจีนเห็นข้อบกพร่อง
ของแคนไทยแล้วจึงนาไปปรับปรุงให้กระทัดรัดและสวย งามจากแคนของไทย ได้พัฒนาเป็น
เครอ่ื งดนตรีอ่ืน ๆ อีกหลายชนดิ (สงบศกึ ธรรมวิหาร2540 หนา้ 6)
หนงั สอื อ่านเพม่ิ เตมิ
เร่อื งดนตรีไทยในแต่ละยคุ สมยั 7
สรุปควำมรู้ ดนตรไี ทย ในสมยั กอ่ นประวตั ศิ ำสตร์นนั้ มีประวัติความเปน็ มาควบคู่กบั
ชนชาติไทย ก่อนที่จะอพยพมาสู่ดินแดนที่ขนานนามกันว่า “แหลมทอง” พัฒนาเป็นอาณาจักร
ต่าง ๆ จนเกิดเป็นประเทศไทยขึ้นในปัจจุบัน ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์แล้ว เครื่องดนตรี
ชนิ้ แรกท่คี น้ พบคือ กลองและแคน ซ่งึ ตอ่ มาไดเ้ กดิ การพัฒนาจากภูมิปัญญาของผู้คนจนสามารถ
สร้างสรรคเ์ ครอ่ื งดนตรชี นิดอนื่ ๆ ข้ึนมาได้ จากแคนเป็นปีซ่ อและขลยุ่ ซง่ึ เป็นเครือ่ งดนตรปี ระเภท
เป่า เหตุที่เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าก็เนื่องด้วยทาได้ง่าย เพียงแต่เจาะรูแล้วทาเครื่อง
บังคับลมกส็ ามารถเป่าเปน็ เสียงดนตรีไดแ้ ล้ว
หนงั สืออา่ นเพ่มิ เตมิ
เร่ืองดนตรีไทยในแต่ละยคุ สมยั 8
ดนตรไี ทยสมยั กรงุ สุโขทยั เป็นรำชธำนี
ดนตรใี นสมยั กรงุ สโุ ขทัยเป็นราชธานนี น้ั นบั วา่ เปน็ สมัยเริ่มตน้ ประวตั ิศาสตร์ของประเทศ
ไทย เพราะว่า เร่อื งราวชนชาตไิ ทยปรากฏหลกั ฐานเดน่ ชดั ขึ้นในสมยั สุโขทัย เม่ือในยุคสมัยท่ีพ่อ
ขุนรามคาแหงได้ครองราชสมบัติและได้ได้ประดิษฐ์อักษรไทย
และจารึกเรื่องราวต่าง ๆ ลงในศิลา และจากศิลาจารึกสมัย
สุโขทัยนี้ ทาให้ทราบประวัติศาสตร์สุโขทัยอย่างดี เพราะใน
หลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคาแหงที่จารึกเป็นคาสั้นๆ
ว่า “ เสียงพาทย์ เสยี งพิณ เสยี งเลอื้ น เสียงขบั ”
(สงบศึก ธรรมวิหาร 2540, หน้า 9) ทาให้เราทราบถึงดนตรี
ไทยในสมยั สโุ ขทยั ได้เปน็ อย่างดี
หนงั สอื อา่ นเพม่ิ เตมิ
เรอ่ื งดนตรีไทยในแต่ละยคุ สมยั 9
เครอื่ งดนตรไี ทยในสมัยสุโขทัย สนั นิษฐานว่า เครอ่ื งดนตรีไทย มกี ลองสองหนา้ แตรงอน
(คล้ายเขาสัตวท์ าด้วยโลหะ ) แตรสังข์ (ทาจากหอยสงั ข์) ตะโพน ฆ้อง กลองทัด ฉิ่ง บัณเฑาะว์
กรบั กงั สดาล มโหระทึก ซอสามสาย ระนาด ปไ่ี ฉน และมวี งดนตรีไทยเกดิ ข้ึนคือวงบรรเลงพณิ วง
ขับไม้ วงป่ีพาทยเ์ ครือ่ งหา้ และวงมโหรเี ครือ่ งส่ี (สงบศกึ ธรรมวหิ าร. 2540 : 9)
สรุปควำมรู้ เครื่องดนตรีไทยในสมัยสุโขทัยเป็นราชธานีนั้นถือได้ว่าเป็นยุคเริ่มต้น
ของประวัติศาสตร์ชาติไทยมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไวอ้ ย่างชัดเจนจึงเกดิ เป็นหลักฐาน
ให้ชนรุ่นหลังสามารถศึกษาถึงการพัฒนาและวิวัฒนาการของดนตรีไทยได้อย่างชัดเจนมากข้ึน
โดยสมยั สโุ ขทัยน้ันมี เครือ่ งดนตรมี ีครบท้งั 4ประเภท อย่างเช่นสมยั ปจั จบุ นั คือ
เคร่ืองดีด ไดแ้ ก่ พณิ เปน็ ตน้ เคร่ืองสี ได้แก่ ซอ เป็นตน้
เครือ่ งตี ได้แก่ ระนาด ฆอ้ ง กลอง เปน็ ต้น เคร่อื งเปา่ ไดแ้ ก่ ปี่ ขลยุ่ เป็นต้น
หนงั สืออา่ นเพิ่มเติม
เรื่องดนตรีไทยในแต่ละยคุ สมยั 10
รู้หรือไม่ ?
“ เสียงพาทย์ สันนิษฐานว่าเปน็ เสียงของเครอ่ื งดนตรีกล่มุ ปี่พาทย์
เสยี งพณิ สนั นิษฐานวา่ เปน็ เสียงของพิณนา้ เตา้
เสียงเลอื้ น สันนิษฐานว่าเปน็ เสียงเอือ้ น (เนือ่ งจากสาเนียงการเพ้ยี นของคา)
เสยี งขับ สนั นิษฐานว่าเปน็ เสยี งของการขับกลอ่ ม
หนงั สืออ่านเพมิ่ เติม
เรือ่ งดนตรีไทยในแต่ละยคุ สมยั 11
ดนตรไี ทยสมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยำเป็นรำชธำนี
ดนตรีไทยในสมยั กรงุ ศรีอยุธยาเปน็ ราชธานีน้ันนับไดว้ ่า เปน็ ยคุ ท่ีมมี คี วามเจริญรุ่งเรือง
ของการดนตรีไทยเป็นอย่างมาก เพราะประชาชนนยิ มเล่นดนตรีกันมาก ซึ่งเครื่องดนตรีในสมัย
กรุงศรีอยุธยา ส่วนใหญ่จะได้รับอิทธิพลจากกรุงสุโขทัย แต่ก็ได้มีการปรับปรุงรูปร่าง ตลอดจน
การประสมวงดนตรี และได้มีการพัฒนาคิดค้นเรื่องดนตรีเพิ่มเติม เช่น จะเข้ เป็นต้น (สงบศึก
ธรรมวิหาร 2540, หน้า 10) ด้วยความเจริญรุ่งเรืองในการดนตรีไทย จึงทาให้เกิดความนิยมใน
หม่ขู องประชาชน นิยมเลน่ ดนตรีไทยกันอยา่ แพรห่ ลาย และอาจจะถึงการเลน่ ที่เรยี กได้ว่าเล่นจน
เกินขอบเขต จนต้องออกกฎมณเฑียรบาล ในรัชสมัยของพระบรมไตรโลกนารถ ( พ.ศ.1991 -
2031 )ว่า “…ห้ามขับร้องเพลงเรือ เป่าขลุ่ย เป่าปี่ สีซอ ดีดกระจับปี่ตีโทนทับ ในเขต
พระราชฐาน”
หนงั สืออา่ นเพิม่ เติม
เร่อื งดนตรไี ทยในแต่ละยคุ สมยั 12
ในสมัยกรุงศรอี ยุธยาเป็นราชธานไี ด้ ปรากฏเครื่องดนตรี
ครบทุกประเภท ดงั นี้
เคร่อื งดดี ไดแ้ ก่ กระจบั ปี่ จะเข้ พณิ เพยี้ ะ พณิ น้าเต้า
เครอ่ื งสี ได้แก่ ซอสามสาย ซออู้ ซอด้วง
เคร่ืองตไี ม้ ไดแ้ ก่ กรบั พวง กรับคู่ กรับเสภา ระนาดเอก
เครือ่ งตีโลหะ ได้แก่ ฆอ้ งวงใหญ่ ฆ้องคู่ ฆอ้ งชยั ฆ้องโหมง่ ฉ่ิงฉาบ มโหระทึก
เคร่ืองตหี นัง ได้แก่ ตะโพน (ทับ) โทน รามะนา กลองทดั กลองตุ๊ก
เครอ่ื งเป่ำ ไดแ้ ก่ ปีใ่ น ปี่กลาง (คงมีพวกป่ีมอญและป่ชี วาดว้ ย) ขล่ยุ แตรงอน
หนงั สอื อา่ นเพมิ่ เติม
เร่อื งดนตรีไทยในแต่ละยคุ สมยั 13
สรุป ดนตรีไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยำเป็นราชธานีนี้นั้น ได้รับ
การนพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาจากเครื่องดนตรีไทยในสมัยที่กรุง
สุโขทัยเป็นราชธานี และมีการปนะดิษฐ์คิดค้นเครื่องดนตรีรูปแบบ
ใหม่ๆเพิ่มเติมขึ้นมาอีกมามายจนก่อให้เกิดความนิยมในหมู่
ประชาชนจนนิยมเล่นดนตรีไทย กันอย่างแพร่หลาย แม้แต่ในเขต
พระราชฐาน ยังต้องมีการออกกฎมณเฑียรบาลซึ่งถือได้ว่าเป็น
กฎหมายที่ใช้สาหรับการควบคุมเรื่องราวต่าง ๆ ภายในเขต
พระราชฐาน เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าการอนตรีไทยในสมัยอยุธยา
นั้นมีความเจริญร่งุ เรือง จนเรยี กไดว้ ่าเป็นยคุ ทองของดนตรไี ทยเลยทีเดียว
หนงั สอื อา่ นเพมิ่ เติม
เร่อื งดนตรไี ทยในแต่ละยคุ สมยั 14
ดนตรไี ทยสมัยกรงุ ธนบุรี
เน่ืองดว้ ยในสมัยน้ีปกครองโดย สมเด็จพระเจา้ กรงุ ธนบุรี
หรือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์ทรงมีพระราชกรณีย
กิจที่สาคัญในรัชสมัยของพระองค์ คือ การกอบกู้เอกราชจากพม่า
ซึ่งภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง สมเด็จพระเจ้าตาก
สินมหาราชได้ขับไล่กองทัพของทหารพม่าออกจากราชอาณาจักร
จนหมดสิ้น และยังทรงทาสงครามตลอดรัชสมัยเพื่อรวบรวม
แผ่นดินซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของ ขุนศึกก๊กต่าง ๆ ให้เป็น
ปึกแผ่น เช่นเดียวกับขยายพระราชอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ พระองค์ยังทรง
มุ่งม่ันทจ่ี ะฟน้ื ฟปู ระเทศในดา้ นตา่ ง ๆ ให้กลับคืนส่สู ภาวะปกติหลังสงคราม ทรงส่งเสริมทางด้าน
เศรษฐกิจ ศาสนา ศลิ ปวัฒนธรรม วรรณกรรม และการศึกษา
หนงั สืออา่ นเพม่ิ เตมิ
เรอ่ื งดนตรีไทยในแต่ละยคุ สมยั 15
เนื่องด้วยตลอดรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นช่วงระยะเวลาที่สั้นเพียง
แค่ 15 ปีเท่านั้น ประกอบกับการที่เป็นช่วงของการกอ่ ร่างสร้างเมือง และการป้องกันประเทศจึงทา
ให้การพัฒนาการของดนตรีไทยในสมัยนี้ ไม่ปรากฏหลักฐานว่า ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง
ขึ้น สันนิษฐานว่า ยังคงเป็นลักษณะและรูปแบบของ ดนตรีไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั่นเอง
(สงบศึก ธรรมวิหาร 2540, หน้า 11)
หนงั สืออ่านเพมิ่ เตมิ
เร่อื งดนตรีไทยในแต่ละยคุ สมยั 16
ดนตรีไทยสมัยกรงุ รัตนโกสนิ ทร์
ในสมัยที่กรงุ รตั นโกสนิ ทรเ์ ปน็ ราชธานนี น้ั ถอื ไดว้ า่ บ้านเมอื งมีความสงบสขุ สมบรู ณ์ จึงทา
ให้ ศิลปวัฒนธรรม ของชาติ ได้รับการฟื้นฟูทะนุบารุง และส่งเสริมให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นจาก
สมัยก่อน โดยเฉพาะ ทางด้านดนตรีไทย ในสมัยนี้ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเจริญขึ้นเป็น
ลาดับ โดย สงบศกึ ธรรมวหิ าร (2540, หน้า 12-16) ไดอ้ ธบิ ายไวเ้ ปน็ ลาดบั ตามรชั กาลดงั น้ี
หนงั สอื อ่านเพิ่มเตมิ
เรื่องดนตรไี ทยในแต่ละยคุ สมยั 17
สมัยรัชกำลท่ี 1
ในสมยั นด้ี นตรีไทยยังคงมีลกั ษณะรูปแบบตามท่ีมมี าตั้งแตใ่ นสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งสิ่ง
ทพี่ ัฒนาขึน้ บ้างในสมยั น้ีกค็ ือ การเพิ่ม กลองทัด ข้นึ อกี 1 ลกู ใน วงป่ีพาทย์ ซงึ่ แตเ่ ดมิ น้ันกลอง
ทัด มีเพียงแค่ 1 ลูก จึงทาใหใ้ นวงปี่พาทย์ มี กลองทัดทั้งหมด 2 ลูก คือ ลูกที่มีเสียงสงู (ตัวผู้)
ลูกหนึ่ง และ ลูกที่มีเสียงต่า (ตัวเมีย) อีกลูกหนึ่ง และการใช้ กลองทัด 2 ลูก ในวงป่ีพาทย์น้ี ก็
เป็นท่ีนยิ มกันมาจนถึงในปัจจบุ ัน
หนงั สืออ่านเพิ่มเติม
เร่อื งดนตรไี ทยในแต่ละยคุ สมยั 18
สมยั รัชกำลท่ี 2
ในสมัยนี้ถือได้ว่าเป็นยคุ ทองของ ดนตรไี ทย แหง่ กรงุ รัตนโกสนิ ทร์
ยคุ หนึง่ ทงั้ นีเ้ นอ่ื งดว้ ย องค์พระมหากษตั ริย์ คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธ
เลิศล้านภาลัย ทรงสนพระทัย ดนตรีไทย เป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงพระ
ปรีชาสามารถ ในทาง ดนตรีไทย ถึงขนาดที่ ทรงดนตรีไทย คือ ซอสาม
สาย ไดอ้ ย่างเปน็ เลศิ และทรง มีซอคพู่ ระหัตถ์นามวา่ "ซอสายฟา้ ฟาด"
ทง้ั พระองค์ได้ พระราชนิพนธ์ เพลงไทย ขน้ึ เพลงหนง่ึ เป็นเพลงทีม่ ี
ไพเราะ และมที มี่ าทไ่ี ปที่อศั จรรย์ เนื่องดว้ ยคนื หนึ่งพระองค์บรรทมอยู่ในท่ี
พระแท่นและมพี ระสบุ นิ นิมิตรเห็นพระจันทร์ลอยมาในอากาศพร้อมกับได้
ยินเสียงดนตรี เมื่อบรรทมตื่นทรงจดจาทานองเหล่านั้นได้และเรียกให้
หนงั สอื อ่านเพ่ิมเตมิ
เรือ่ งดนตรีไทยในแต่ละยคุ สมยั 19
มหาดเล็กมาต่อเพลงไว้เพื่อเล่นถวาย แต่แรกทรงพระราชทานนามว่า เพลง ทรงพระสุบิน ตาม
เหตุการณ์ ต่อมาได้มอี ีกชื่อหนง่ึ คอื เพลง "บหุ ลันลอยเลื่อน"
การพฒั นาเปล่ียนแปลงของดนตรีไทยในสมยั รัชกาลที่ 2 น้ี ได้มีการนาเอา วงป่พี าทย์มา
บรรเลง ประกอบกับการขับเสภา เป็นครั้งแรก เกิดเป็นวงปีพ่ าทย์เสภาทีน่ ิยมบรรเลงกันมาจนถงึ
ปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังมีกลองอีกชนิดหนึ่งเกิดขึน้ โดยดัดแปลงจาก "เปิงมาง" ของมอญ เรียก
กลองชนดิ นี้วา่ "สองหน้า" ใช้ตกี ากับจังหวะแทนเสยี งตะโพนในวงป่ีพาทย์ ประกอบการขับเสภา
เนื่องจากเห็นว่าตะโพนดงั เกนิ ไป จนกระทงั่ กลบเสยี งขบั กลองสองหน้านี้ ปจั จุบนั นยิ มใชต้ กี ากบั
จงั หวะหน้าทบั ในวงป่ีพาทย์ไม้แขง็
หนงั สอื อา่ นเพ่ิมเตมิ
เร่อื งดนตรไี ทยในแต่ละยคุ สมยั 20
สมัยรัชกำลท่ี 3
ในสมยั น้ี วงปี่พาทยไ์ ดพ้ ฒั นาขน้ึ เปน็ วงปีพ่ าทยเ์ ครื่องคู่ เพราะไดม้ กี ารประดิษฐร์ ะนาดทุ้ม
มาค่กู ับระนาดเอก และประดิษฐฆ์ อ้ งวงเลก็ มาคกู่ บั ฆอ้ งวงใหญ่
หนงั สอื อ่านเพิม่ เตมิ
เรอื่ งดนตรไี ทยในแต่ละยคุ สมยั 21
สมยั รัชกำลที่ 4
ในสมัยนี้วงปี่พาทย์ได้พัฒนาขึน้ จากวงปี่พาทยเ์ ครื่องคู่กลายเป็นวงปี่พาทยใ์ หญ่ เพราะ
ได้มีการประดษิ ฐ์ เครื่องดนตรี เพิ่มขึ้นอีก 2 ชนิด โดยเลียนแบบ ระนาดเอก กับระนาดทุ้ม โดย
ใช้โลหะทาลูกระนาด และทารางระนาดให้แตกต่างไปจากรางระนาดเอก และระนาดทุ้ม (ไม้)
เรียกว่า ระนาดเอกเหล็ก และระนาดทุ้มเหล็ก โดยเครื่องดนตรีทั้งสองชนิดนี้ได้รับแรงบัลดาลใจ
มาจากเครอ่ื งเข่ยี หวี หรือกลไกลภายในกลอ่ งดนตรขี องตะวันตกนั้นเอง โดยนามาบรรเลงเพมิ่ ใน
วงป่ีพาทยเ์ ครอ่ื งคู่ ทาให้ ขนาดของ วงปพ่ี าทย์ขยายใหญ่ข้ึนจึงเรยี กวา่ วงปี่พาทยเ์ ครื่อง
ใหญ่ ในสมัยน้ี วงการดนตรไี ทย นิยมการร้องเพลงสง่ ใหด้ นตรีรับ หรอื ทเี่ รียกว่า "การรอ้ งสง่ " กนั
หนงั สอื อา่ นเพม่ิ เตมิ
เร่ืองดนตรีไทยในแต่ละยคุ สมยั 22
มากจนกระทั่ง การขับเสภาซงึ่ เคยนิยมกันมากอ่ นค่อยๆ หายไป และการรอ้ งส่งเปน็ แนวทางให้มี
ผูค้ ิดแตง่ ขยายเพลงจากเพลง สองชนั้ ของเดิมให้เป็นเพลง สามช้นั และตัดลง เปน็ ชัน้ เดียว จน
เกิดเป็นเพลงเถาในทสี่ ุด และนอกจากน้ี วงเครื่องสายท่เี ป็นแบบฉบบั ก็ไดเ้ กิดขน้ึ ในสมยั รชั กาล
น้เี ช่นกนั
หนงั สอื อา่ นเพม่ิ เตมิ
เรื่องดนตรีไทยในแต่ละยคุ สมยั 23
สมยั รัชกำลท่ี 5
ในสมัยนี้ได้มกี ารพัฒนาวงป่ีพาทย์ข้นึ ใหม่อีกชนิดหน่ึง ซึ่งต่อมาเรียกว่า
"วงปี่พาทย์ดึกดาบรรพ์" โดยสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ซึ่งใช้สาหรับ
บรรเลงประกอบการแสดง "ละครดึกดาบรรพ์" ที่เป็น ละครที่เพิ่งปรับปรุงขึ้นใน
สมัยรัชกาลนี้เช่นกัน หลักการปรับปรุงของทา่ น ทาโดยการตัดเครื่องดนตรีชนิด
เสียงเล็กแหลม หรอื ดังเกนิ ไปออก คงไว้แต่เครื่องดนตรีท่ีมีเสียงทุ้ม นมุ่ นวล กับ
การเพิ่มเครื่องดนตรีบางอย่างเข้ามาใหม่ เครื่องดนตรี ในวงปี่พาทย์ดึกดาบรรพ์
ประกอบด้วยระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ระนาดท้มุ ระนาดทุม้ เหลก็ ขล่ยุ ซออู้ ฆ้อง
หยุ่ 7ใบ ตะโพน กลองตะโพน และเคร่อื งกากบั จงั หวะ
หนงั สอื อา่ นเพิม่ เตมิ
เร่อื งดนตรไี ทยในแต่ละยคุ สมยั 24
สมัยรชั กำลท่ี 6
ได้มีการพัฒนาวงป่ีพาทย์ขึ้นมาอีกชนิดหนึ่ง โดยนาวง
ดนตรีของมอญมาผสมกับ วงปี่พาทย์ของไทย ต่อมาเรียกวง
ดนตรีแบบผสมนี้ว่า "วงปี่พาทย์มอญ" โดย
หลวงประดษิ ฐไพเราะ (ศร ศลิ ปบรรเลง)เปน็ ผปู้ รับปรุงข้นึ วงป่ี
พาทย์มอญดังนี้ มีทั้งวงปี่พาทย์มอญเครื่องห้า เครื่องคู่ และ
เครื่องใหญ่ เชน่ เดียวกับวงปพ่ี าทยข์ องไทย และเป็นท่ีนิยมใช้
บรรเลงประโคมในงานอวมงคล มาจนถึงในปัจจุบันนี้ และ
นอกจากนี้ยังได้มี การนาเครื่องดนตรีของต่างชาติ เข้ามาบรรเลงผสมกับ วงเครื่องสายของไทย
บางชนิดก็นามาดดั แปลงเป็นเครื่องดนตรีของไทย ทาให้รปู แบบของ วงดนตรีไทย เปลี่ยนแปลง
พัฒนาไปเป็นอย่างมาก คือ การนาเครื่องดนตรีของชวา หรือประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน คือ
หนงั สืออ่านเพม่ิ เตมิ
เร่ืองดนตรไี ทยในแต่ละยคุ สมยั 25
"อังกะลุง" มาเผยแพร่ในเมืองไทยเป็นครั้งแรก โดยหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)
ทโดยนามาดัดแปลง ปรับปรงุ ขน้ึ ใหมใ่ หม้ เี สียงครบ 7 เสยี ง ซง่ึ เดมิ มอี ยู่ 5 เสยี ง ปรบั ปรงุ วิธีการ
เล่น โดยถอื เขยา่ คนละ 2 เสียง ทาให้เคร่อื งดนตรีชนิดน้ี กลายเปน็ เครื่องดนตรีไทยอีกอย่างหน่ึง
เนื่องด้วยคนไทยสามารถทาอังกะลุงเองได้ และวิวิธีการบรรเลงองั กะลุงก็เป็นแบบเฉพาะของไทย
ซ่งึ แตกต่างไปอกไปจากของชวา การนาเคร่อื งดนตรขี องตา่ งชาตเิ ขา้ มาบรรเลงผสมในวงเคร่อื งสาย
ไทยเกิดเป็นวงเครอื่ งสายผสมขึน้ ได้แก่ ขมิ ของจนี และออรแ์ กนของฝรั่ง ไวโอลนิ เปยี โน ทาให้วง
เคร่อื งสายพัฒนารปู แบบของวงจนมีความแปลกใหมแ่ ละเปน็ ทน่ี ยิ มเปน็ อย่างมาก
หนงั สอื อา่ นเพม่ิ เติม
เร่ืองดนตรไี ทยในแต่ละยคุ สมยั 26
สมยั รัชกำลท่ี 7
ในสมัยนพ้ี ระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อยู่หวั
ได้ทรงสนพระทัยทางด้าน ดนตรีไทยเป็นอย่างมาก
พระองค์ได้พระราชนิพนธ์ เพลงไทยขึ้นถึง 3 เพลง
ด้วยกัน คือ เพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง 3 ชั้น เพลง
เขมรลอยองค์ เถา และเพลงราตรีประดับดาว เถา
พระองค์และพระราชินีไดโ้ ปรดให้ครูดนตรีเข้าไปถวาย
การสอนดนตรีในถึงในวัง แต่เป็นทนี่ า่ เสียดาย เพราะ
ระยะเวลาในการครองราชยข์ องพระองค์ไมน่ านนัก เน่อื งจากมีการเปล่ยี นแปลงการปกครอง จนทา
ให้พระองค์ทรงสละราชสมบัติ หลังจากนั้นได้ 2 ปี มิฉะนั้นแล้ว ดนตรีไทย ก็คงจะเจริญรุ่งเรือง
หนงั สืออ่านเพ่มิ เตมิ
เรือ่ งดนตรไี ทยในแต่ละยคุ สมยั 27
มาก ในสมัยของพระองค์ อยา่ งไรกต็ ามดนตรีไทยในสมัยรัชกาลน้ี นบั วา่ ไดพ้ ัฒนา มาจนกระทั่ง
เกดิ ความสมบูรณ์ และเปน็ แบบแผนมาจนถึงในปจั จุบนั
จะเห็นได้ว่า ในสมัยที่ปกครองโดยระบบสม
บูรณาญาสิทธิราชนั้นมีผู้นิยมการบรรเลง ดนตรีไทยกัน
มากและมีผู้มีฝีมือทางดนตรีไทย ตลอดจนมีความคิด
ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ให้พัฒนาก้าวหน้ามาตามลาดับ
อีกทั้งพระมหากษัตริย์ เจ้านาย ตลอดจนขุนนางผู้ใหญ่
ได้ให้การอุปถมั ภ์ และทานุบารุงดนตรีไทย และในวังต่าง
ๆ มักจะมีวงดนตรีประจาวัง เช่น วงวังบูรพา วงวังบางขุน
พรหม วงวังบางคอแหลม และวงวังปลายเนนิ แตล่ ะวงต่าง
ก็ขวนขวายหาครูดนตรีนักดนตรีที่มีฝีมือเป็นเลิศเข้ามา
หนงั สอื อา่ นเพ่ิมเติม
เรื่องดนตรไี ทยในแต่ละยคุ สมยั 28
ประจาวง มีการฝึกซ้อมกันอย่างจริงจัง จนถึงกับมีการประกวด
ประชันกัน จนทาให้ดนตรีไทยเจริญเฟื่องฟูเป็นมาก ต่อมา
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 เป็นต้นมา
ดนตรีไทยเริ่มซบเซาลง อาจกล่าวได้ว่า เป็นยุคที่ ดนตรีไทย
เกือบจะถึงจดุ จบ เนื่องจากรัฐบาลของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม มี
นโยบายทเี รียกวา่ "รฐั นิยม" ซ่ึงนโยบายนี้ มีผลกระทบต่อ ดนตรี
ไทย ด้วย กล่าวคือมีการห้ามบรรเลงดนตรีไทย เพราะเห็นว่าไม่
สอดคล้องกบั การพัฒนาประเทศใหท้ ดั เทยี มกับอารยประเทศ หาก
ผู้ใดะจัดให้มกี ารบรรเลง ดนตรีไทย ต้องขออนุญาต จากทางราชการก่อน อีกทั้ง นักดนตรไี ทยก็
จะตอ้ งมบี ตั รนักดนตรีที่ ทางราชการเปน็ ผู้ออกให้
หนงั สืออา่ นเพมิ่ เตมิ
เรือ่ งดนตรไี ทยในแต่ละยคุ สมยั 29
ต่อมาอีกหลายปี เมื่อได้มี การสั่งยกเลิก "รัฐนิยม" ดังกล่าว แต่การดนตรีไทย ก็ไม่ได้
กลับมาเจรญิ รุง่ เรอื งเท่าสมยั กอ่ น มาจนถงึ ปจั จบุ นั เน่ืองจากวถิ ชี วี ติ และสังคมไทยเปล่ียนแปลง
ไปจากเดมิ วัฒนธรรมทางดนตรีของต่างชาติ ได้เขา้ มามีบทบาทในชีวติ ประจาวนั ของคนไทยเป็น
อันมาก ดนตรีที่เราได้ยินไดฟ้ งั และได้เห็นกันทางวทิ ยุ โทรทัศน์ หรือที่บรรเลงตามงานส่วนมาก
มกั เป็นเป็นดนตรขี องต่างชาติ ไม่ใช่เสยี งดนตรีไทยอย่างแต่กอ่ น
หนงั สืออา่ นเพ่ิมเตมิ
เรอ่ื งดนตรีไทยในแต่ละยคุ สมยั 30
สมัยรชั กำลท่ี 8
พระองค์เสดจ็ สวรรคตเมื่อวันท่ี 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ซึ่งเป็นเหตุปจั จุบนั ทนั ด่วนทาให้
รชั กาลของพระองคน์ ้นั มีระยะเวลาสนั้ จงึ ไม่มีการพฒั นาหรอื เปลย่ี นแปลงทางดา้ นดนตรเี ลย
หนงั สืออา่ นเพ่ิมเติม
เร่ืองดนตรีไทยในแต่ละยคุ สมยั 31
สมัยรัชกำลที่ 9
ดว้ ยพระองคไ์ ด้ทรงเช่ียวชาญทางดา้ นดนตรสี ากลในแนวดนตรีแจ๊สเปน็ พิเศษ แต่ก็มิได้
ทรงละท้ิงดนตรีไทย ทรงพระราชทานการอปุ ถมั ปว์ งการดนตรีไทยเสมอมา พระองค์ได้ทรงพระราช
นิพนธ์บทเพลง และเป็นผูม้ มี ีเชี่ยวชาญรอบรู้เรื่องดนตรเี ป็นอย่างดีและทรงเคร่ืองดนตรไี ด้หลาย
ชนิด เชน่ แซก็ โซโฟน ครารเิ น็ต ทรมั เป็ต กีตาร์และเปียโน โปรดดนตรีแจ๊สเปน็ อยา่ งมาก และ
พระองค์ได้พระราชนิพนธ์เพลงที่มีความหมายและไพเราะหลายเพลงด้วยกันเช่น เพลงพระราช
นิพนธแ์ สงเทียน เป็นเพลงแรก สายฝน ยามเยน็ ใกลร้ งุ่ ลมหนาว ยิ้มสู้ คา่ แลว้ ไกลกังวล ความ
ฝนั อนั สงู สุด และเราสู้ หรอื จะเปน็ เพลงพรปใี หม่ ซ่ึงถือได้ว่าเป็นส่วนสาคัญอย่างหน่ึงท่ีเก่ียวข้อง
กับชีวิตของชาวไทย
ในยุคแรก หลังจากที่เพลงพระราชนิพนธ์มีทานองและคาร้องสมบูรณ์แล้วจะทรงพระกรณุ า
โปรดเกลา้ ฯใหค้ รูเอื้อ สุนทรสนาน นาไปบรรเลงในวงดนตรีของกรมโฆษณาการหรือวงสุนทราภรณ์
หนงั สอื อ่านเพม่ิ เตมิ
เรอ่ื งดนตรไี ทยในแต่ละยคุ สมยั 32
ในงานตา่ ง ๆ เพื่อให้เผยแพร่หลายท่ัวไป ปรากฏวา่ หลายเพลงกไ็ ดก้ ลายเปน็ เพลงยอดนิยมทั้ง
ในหมูช่ าวไทยและชาวตา่ งประเทศ
หนงั สืออา่ นเพิ่มเตมิ
เรอื่ งดนตรีไทยในแต่ละยคุ สมยั 33
สรุป จำกสมัยสุโขทัยสืบต่อมำสมัย
อยุธยำและจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ดนตรีไทย
ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเรื่อยมาจนถึงใน
ปัจจุบนั การดนตรไี ทยไดม้ ียุคทเ่ี ฟื่องฟทู สี่ ดุ และยุค
ที่ซบเซาที่สุด แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม ดนตรไี ทยกย็ ังคงอยู่
ในสังคม หากแต่มีการเปลี่ยนแปลงบทบาทไปบ้าง
ตามกาลเวลาและความนิยมของผู้คน ในสมัยก่อน
ดนตรีไทยอาจจะเป็นทั้งเครื่องประกอบพิธีกรรม
เคร่ืองให้ความบนั เทงิ แต่ในปัจจุบันดนตรีไทยในหนา้ ท่ขี องการใหค้ วามบันเทิงนัน้ ดจู ะลดน้อยลง
ไปตามกาลเวลาและความนิยมตามที่ได้กล่าวไป แต่ก็ยังคงอยู่ในฐานะของเครื่องประกอบ
หนงั สืออา่ นเพ่ิมเตมิ
เรอ่ื งดนตรีไทยในแต่ละยคุ สมยั 34
พิธีกรรม เครื่องแสดงถึงวัฒนธรรมของชาติ และเป็นสิ่งสาคัญที่ดารงอยู่ในวงการการศึกษาไทย
เพราะเว้นทางการพัฒนาของดนตรีไทยนน้ั มกั จะควบคไู่ ปกบั ประวัติศาสตร์ชาตไิ ทยเสมอ