ประวัติศาสตร์ ม.๒ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๒ พัฒนาการของภูมิภาคเอเชีย
เอเชียตะวันออก เป็นภูมิภาคที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดใน ทวีปเอเชีย ประกอบด้วยประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ และ มองโกเลีย ภูมิภาคนี้มีลักษณะโดดเดี่ยว ไม่สามารถติดต่อกับภูมิภาคอื่นได้สะดวก เพราะมีทะเล เทือกเขา ที่ราบสูง และทะเลทรายปิดล้อมอยู่ ส่งผลให้ประชากรที่ตั้งถิ่นฐานในภูมิภาคนี้ไม่ค่อยมีโอกาสแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม กับดินแดนอื่น จึงพัฒนาภูมิปัญญาและหล่อหลอมอารยธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง
ลักษณะภูมิประเทศ เ อ เ ชี ย ตะวันออกตั้งอยู่ทางตะวันออกสุดของทวีปเอเชีย ลั ก ษณ ะภู มิป ร ะ เท ศ ส่ ว นใ ห ญ่ ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย เทือกเขาและที่ราบสูง ซึ่งเป็นต้นก าเนิดของ แม่น้ าสายส าคัญหลายสาย เช่น แม่น ้าหวางเหอ (แม่น้ าฮวงโห) แม่น้ าเหล่านี้ท าให้เกิดที่ราบลุ่มแม่น้ า ซึ่งเหมาะส าหรับท าการเพาะปลูก ส่งผลให้มีการตั้ง ถิ่นฐานในภูมิภาคนี้มาช้านาน
ลักษณะภูมิอากาศ พื้นที่ของภูมิภาค เอเชียตะวันออก ส่วนใหญ่อยู่ในเขตอบอุ่น ภูมิอากาศเอื้ออ านวยต่อการเพาะปลูก ท าให้มี ประชากรเข้ามาตั้งถิ่นฐานหนาแน่น ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ส่วนพื้นที่ทางตอนเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือเป็น เขตทะเลทรายและกึ่งทะเลทราย ซึ่งมี ภูมิอ าก าศแห้งแล้งแล ะหน า วจัดในฤดูหน า ว ไม่เอื้ออ านวยต่อการเพาะปลูก จึงมีประชากรอาศัย อยู่เบาบาง
เอเชียตะวันออก
จีนเป็นแหล่งอารยธรรมของโลกตะวันออกที่มี ความเจริญและมีเอกลักษณ์เฉพาะ ทั้งยังมีอิทธิพลต่อ ดินแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและดินแดนที่จีนติดต่อ สัมพันธ์ด้วย พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของจีนยาวนาน มากกว่า ๓,๐๐๐ ปี ท าให้ประเทศจีนมีรากฐานทาง การเมือง เศรษฐกิจและสังคมที่แข็งแกร่ง จีน
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของจีน แม่น้ าหวางเหอเป็นแม่น้ าที่มีความส าคัญ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และภูมิปัญญาของจีน เอกสารจดหมายเหตุของราชวงศ์ชิง เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่ท าให้ผู้ศึกษาได้รับรู้ถึงพัฒนาการ ของประวัติศาสตร์จีน
สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก และ มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ การตั้งถิ่นฐานมีอยู่หนาแน่นในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ า หวางเหอและแม่น้ าฉางเจียงซึ่งเป็นเขตเพาะปลูกที่ส าคัญที่สุดของประเทศ และเป็นที่ตั้งของ เมืองส าคัญ ๆ ตลอดจนตลาดการค้าขนาดใหญ่ พัฒนาการทางเศรษฐกิจ การเมือง และ ภูมิปัญญาของจีนมีความผูกพันอย่างมากกับแม่น ้าทั ง ๒ สาย กล่าวได้ว่า “หวางเหอ คือ ต้นก้าเนิดของอารยธรรมจีน ส่วนฉางเจียง คือ อารยธรรมจีนที่สมบูรณ์”
พัฒนาการด้านการเมืองการปกครอง ในอดีตจีนเรียกตนเองว่า “จุงกว๋อ” หมายถึง ศูนย์กลางของโลก ที่มีอารยธรรม การปกครองสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของจีนมีลักษณะส าคัญ คือ การรวมอ านาจอยู่ที่ศูนย์กลางการปกครองในเมืองหลวง จักรพรรดิจีนมีฐานะโอรส แห่งสวรรค์
พัฒนาการด้านการเมืองการปกครอง ส่วนขุนนางจีนแบ่งเป็น ขุนนาง ๓ ประเภท คือ ฝ่ายพลเรือน ฝ่ายทหาร และฝ่ายตรวจสอบ ส่วนใหญ่ถูกเลือกสรรมา โดยการสอบแข่งขัน การปกครองในส่วนภูมิภาค แบ่งเป็น มณฑล มีข้าหลวงใหญ่หรือผู้ส าเร็จราชการขึ้นตรงต่อจักรพรรดิ ในระดับต่้าสุด คือ อ้าเภอ มีนายอ าเภอ ท าหน้าที่เก็บภาษีอากร ให้ค าปรึกษา และตัดสินคดีความ รวมถึงควบคุมทหารของท้องถิ่น ภาพวาดการสอบจอหงวน
ในพุทธศตวรรษที่ ๒๔ ลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกได้แผ่ขยายเข้าสู่ เอเชีย จีนพ่ายแพ้ต่ออังกฤษในสงครามฝิ่น จึงถูกบังคับให้เปิดเมืองท่า เขตเช่าพิเศษ และชดใช้ ค่าปฏิกรรมสงคราม รวมทั้งต้องสูญเสียอธิปไตยทางการศาลและทางเศรษฐกิจ การที่ต่างชาติ เข้ามาย่ ายีเอาเปรียบจีน ท าให้ชาวจีนเคลื่อนไหวต่อต้านเพื่อล้มล้างผู้ปกครองที่ไม่สามารถ แก้ไขปัญหา และน าไปสู่การปฏิวัติเป็นประชาธิปไตย ในกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ผู้น าในการปฏิวัติ คือ ซุน ยัตเซ็น (Sun Yat-sen) แต่ความพยายามปฏิรูปประเทศหลังเปลี่ยนแปลง การปกครองประสบความล้มเหลว ท าให้ประเทศต้องแตกแยก ซุน ยัตเซ็น
จีนมีการปกครองในระบอบสังคมนิยม ในช่วงแรกอ านาจในการตัดสินใจด้านนโยบาย การเมือง การปกครอง การทหาร การต่างประเทศ และเศรษฐกิจของประเทศได้รวมศูนย์อยู่ที่ พรรคคอมมิวนิสต์จีนตามแนวคิดของเหมา เจ๋อตง ต่อมาในยุคเติ้ง เสี่ยวผิง (Deng Xiaoping) อ านาจบริหารโดยรวมยังอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เหมา เจ๋อตง ประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน
พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ โดยพื้นฐานของสังคมจีนมีความเจริญรุ่งเรืองทาง เศรษฐกิจ ชาวจีนจึงเชื่อว่าดินแดนของตนคือศูนย์กลางของโลกที่เจริญรุ่งเรือง ไม่จ าเป็นต้อง พึ่งสินค้าต่างชาติ แต่ก็ยังมีเส้นทางการค้ากับต่างประเทศของจีนที่ส าคัญ คือ เส้นทาง การค้าทางบกและเส้นทางการค้าทางทะเล เส้นทางการค้าทางทะเล ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่งหรือซ้องที่สามารถต่อเรือส าเภา ขนาดใหญ่และได้พัฒนาการค้าทางทะเลกับเกาหลี ญี่ปุ่น อาณาจักรต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย ตลอดถึง ตะวันออกกลางต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิง จีนมีนโยบายขยาย การค้าทางทะเลอย่างกว้างขวาง จึงส่งกองเรือส ารวจทางทะเล ภายใต้การน าของเจิ งเหอ (Zheng He) เดินทางไปไกล ถึงชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก
ตั งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๒ พ่อค้าชาวยุโรปเข้ามาค้าขายกับจีนโดยตรง อังกฤษได้น าฝิ่นที่ท าก าไรอย่างมหาศาลมาขายในจีน แต่ต่อมารัฐบาลจีนห้ามการค้าฝิ่นและ ตัดสินใจปราบฝิ่น เป็นเหตุให้เกิดสงครามฝิ่นกับอังกฤษ จีนเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ตั้งแต่ปลายราชวงศ์ชิงจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ประชาชนจีนได้รับความ เดือดร้อนทางเศรษฐกิจจากภัยธรรมชาติและความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ของรัฐบาล รัฐบาลจีนได้น าระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์หรือระบบคอมมูน (Commune) มาใช้แก้ปัญหาเศรษฐกิจที่มีความอดอยากและขาดแคลนอย่างมาก
พัฒนาการด้านสังคม สังคมจีนเป็นสังคมขนาดใหญ่ ประชากรส่วนใหญ่เป็น ชาวจีนเชื อสายฮั่น ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เป็นแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม และท างานรับจ้าง สังคมจีนมีความก้าวหน้าด้านภูมิปัญญาและอารยธรรมมาหลายพันปีแล้ว ทั้งด้าน ปรัชญา ศาสนา ศิลปกรรม การประดิษฐ์ตัวอักษร ฯลฯ อีกทั้งยังเป็นสังคมที่ยึดมั่นใน ค้าสอนของลัทธิขงจื๊อ ที่เน้นในเรื่องหลักคุณธรรม การเคารพผู้อาวุโส และยึดถือจารีต ประเพณีดั้งเดิม
ญี่ปุ่นเป็นหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ลักษณะภูมิประเทศที่โดดเดี่ยวจากโลกภายนอก ท าให้ ชาวญี่ปุ่นมีบุคลิกพิเศษ สามารถพึ่งพาตนเอง ทั้งยังยอมรับ ความเจริญที่ก้าวหน้า สามารถพัฒนาวัฒนธรรมให้มีเอกลักษณ์เฉพาะ อันเกิดจากการคิดค้น พัฒนา และการผสมผสานกับ อารยธรรมเอเชียตะวันออกของจีน ท าให้ประเทศเติบโต อย่างรวดเร็ว ญี่ปุ่น
พัฒนาการด้านการเมืองการปกครอง ประวัติศาสตร์การปกครองของญี่ปุ่น เริ่มมาเกือบ ๒,๐๐๐ ปี ผู้ปกครองมีสถานะเป็นจักรพรรดิ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลทางอารยธรรมจากจีนทั้งทางปรัชญา การปกครอง ภาษา และวัฒนธรรม โดยรับผ่านเกาหลีอีกต่อหนึ่ง ในปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๒ หรือสมัยยะมะโตะ (Yamato) ตอนปลาย (พ.ศ. ๑๑๙๕- ๑๒๕๓) ญี่ปุ่นรับรูปแบบอารยธรรมของจีนเป็นส่วนใหญ่ หลังจากนั้นได้มีการสร้าง เมืองหลวงแห่งแรกที่เมืองนะระ โดยยึดตามรูปแบบของนครฉางอานของจีน ต่อมาได้ย้าย เมืองหลวงไปที่เฮอังเกียว (เกียวโต)
ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๗ ญี่ปุ่นมีการปกครองแบบฟิวดัล อ านาจการปกครอง เป็นของชนชั้นนักรบ และเกิดสถาบันโชกุน ซึ่งเป็นผู้น าสูงสุดของพวกขุนศึกหรือหัวหน้า นักรบ (ไดเมียว) ที่ต่างมีก าลังนักรบ (ซามูไร) เป็นฐานอ านาจ ส่วนจักรพรรดิยังคงประทับอยู่ที่ เกียวโตแต่ไม่มีพระราชอ านาจ สมัยการปกครองของญี่ปุ่นในยุคนี้เรียกตามชื่อตระกูลของโชกุน ที่บริหารประเทศ เช่น สมัยอะชิกะงะ (Ashikaga) สมัยโทะกุงะวะ (Tokugawa) ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็วกระทั่งกลายเป็นผู้น าทางด้าน อุตสาหกรรมและการทหาร ท าให้ญี่ปุ่นได้ขยายแสนยานุภาพทางการทหารยึดครองดินแดน เกาหลีและแมนจูเรียของจีนในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ญี่ปุ่น ได้เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ และท าสงครามมหาเอเชียบูรพา โดยโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกา และยึดครองดินแดนจีน สงครามยุติลงเมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตร
พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ ตั้งแต่สมัยฟื้นฟูพระราชอ านาจเมจิเป็นต้นมา เศรษฐกิจ ญี่ปุ่นเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีปัจจัยส าคัญคือความสามารถในการพัฒนาอุตสาหกรรม ของชาวญี่ปุ่นที่เรียนรู้เทคโนโลยีจากชาติตะวันตกและส ามารถใช้ประโยชน์จ าก ทรัพยากรธรรมชาติภายในประเทศ ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยความร่วมแรงร่วมใจของชาวญี่ปุ่นที่มีจิตวิญญาณของความ รักชาติและเสียสละ ท าให้สามารถน าทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศมาพัฒนาเศรษฐกิจจน กลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นน า ทั้งด้านอุตสาหกรรมและการเกษตรของโลก จากนั้นจึง ขยายฐานการลงทุนไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ปัจจุบันญี่ปุ่นมีสถานะเป็นมหาอ านาจทาง เศรษฐกิจของโลกประเทศหนึ่ง
พัฒนาการด้านสังคม ความเจริญทางด้านสังคมและวัฒนธรรมของสังคมญี่ปุ่นมี รากฐานมาจากการพัฒนาอารยธรรมของชาวญี่ปุ่น ประกอบด้วยการผสมผสานอารยธรรมจีน และอารยธรรมของชาติตะวันตก ญี่ปุ่นพัฒนาลัทธิประเพณีจากความเชื่อดั้งเดิมของตน คือ แนวคิดเกี่ยวกับความตายและโลกใหม่หลังความตาย ความอุดมสมบูรณ์ และความเชื่อใน เทพเจ้าหรือคามิ (Kami) ความเชื่อเหล่านี้ได้พัฒนาเป็นลัทธิชินโต ซึ่งเน้นพิธีกรรมที่เรียบง่าย การบูชาธรรมชาติ การบูชาบรรพบุรุษ การให้ความเคารพต่อเทพเจ้า
ปัจจุบันสังคมญี่ปุ่นเป็นสังคมแบบเสรีนิยม ประชาชนมีโอกาสทางการศึกษา มีมาตรฐานการด ารงชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีใกล้เคียงกับชาวตะวันตก อย่างไรก็ตาม แม้สังคม ญี่ปุ่นได้พัฒนาและเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านการ คมนาคมขนส่ง การก่อสร้าง การพัฒนาสิ่งอ านวยความสะดวกต่าง ๆ แต่ชาวญี่ปุ่นก็ยังให้ ความส าคัญกับการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมที่มีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะที่ ชาวญี่ปุ่นภาคภูมิใจ
เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เดิมเป็นประเทศ เดียวกันและมีพัฒนาการที่เจริญรุ่งเรืองมานานกว่า ๒,๐๐๐ ปี แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้ถูกแบ่งออกเป็น สองประเทศ ทั้งสองประเทศมีภาษาและวัฒนธรรมเดียวกัน แต่มีพัฒนาการทางการเมืองการปกครองและเศรษฐกิจ แตกต่างกัน เกาหลี
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลง กองก าลังของสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกา เข้าไปปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในเกาหลีและได้ตกลงแบ่งเขตปกครองเกาหลี โดยแบ่งดินแดนที่ เส้นขนานที่ ๓๘ องศาเหนือ สหภาพโซเวียตเข้าควบคุมดินแดนส่วนที่อยู่เหนือเส้นขนาน ส่วนสหรัฐอเมริกาเข้าควบคุมดินแดนที่อยู่ใต้เส้นขนาน ใน พ.ศ. ๒๔๙๑ สหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกาต่างสนับสนุนให้มีการตั้งรัฐบาลใน ดินแดนที่ควบคุม ซึ่งดินแดนที่สหภาพโซเวียตควบคุมได้กลายเป็นประเทศเกาหลีเหนือ มีคิม อิล-ซ็อง ผู้ฝักใฝ่แนวทางสังคมนิยมเป็นประธานาธิบดี ส่วนสหรัฐอเมริกาได้สนับสนุนให้ อี ซึง-มัน (Yi Seung-man หรือ Syngman Rhee) ผู้มีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์เป็นผู้น า ของประเทศเกาหลีใต้ ดินแดนเกาหลีจึงถูกแบ่งแยกเป็น ๒ ประเทศนับแต่นั นมา
เกาหลีใต้ พัฒนาการด้านการเมืองการปกครอง ในช่วง ๓๕ ปีแรก เกาหลีใต้มีการปกครอง แบบเผด็จการประชาธิปไตย ท าให้รัฐบาลประสบปัญหาด้านเสถียรภาพทางการเมือง เพราะ รัฐบาลเผด็จการถูกต่อต้านจากนักศึกษาและประชาชน (โดยเฉพาะชาวนาและกรรมกร) อยู่เสมอ
พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ เกาหลีใต้มีการ พัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว จนกระทั่ง กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่หรือ NICS (Newly Industrial Countries) ความส าเร็จ ของการพัฒนาเศรษฐกิจท าให้เกาหลีใต้ได้รับความ ไว้วางใจให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกใน พ.ศ. ๒๕๓๑ ที่กรุงโซล
พัฒนาการด้านสังคม สังคมเกาหลีใต้เป็นสังคมเสรีประชาธิปไตย ชาวเกาหลีใต้ได้ ผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมจีนกับความเจริญของโลกตะวันตกที่ ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ลักษณะสังคมโดยรวมประกอบด้วยสังคมเมืองที่มี ความก้าวหน้าทางวัตถุและเทคโนโลยี และสังคมชนบทที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก แต่มีมาตรฐานการครองชีพและการด ารงชีวิตที่ดี โดยมีสิทธิได้รับโอกาสทางการศึกษา การประกอบอาชีพ และการพัฒนาตนเอง
เกาหลีเหนือ พัฒนาการด้านการเมืองการปกครอง เกาหลีเหนือมีการปกครองระบอบสังคมนิยมมาตลอด ผู้น าสูงสุด คือ คิม อิล-ซ็อง ซึ่งเป็นทั้งประมุขของพรรค คอมมิวนิสต์เกาหลีและประมุขของประเทศ ตั้งแต่ การสถาปนาประเทศเกาหลีเหนือจนถึงแก่กรรม ใน พ.ศ. ๒๕๓๗ คิม จ็อง-อึน ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของประเทศเกาหลีเหนือ
พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ เกาหลีเหนือประสบปัญหาในการพัฒนาเศรษฐกิจต้องซื้อ ข้าวและอาหารจากต่างประเทศ เนื่องจากพื้นที่ของเกาหลีเหนือมีภูมิอากาศหนาวเย็นและมัก ประสบปัญหาภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง ท าให้ไม่สามารถเพาะปลูกหรือผลิตอาหารเลี้ยงดูประชากร ได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ การที่เกาหลีเหนือพยายามระดมทรัพยากรเพื่อพัฒนากองทัพและอาวุธ นิวเคลียร์ให้มีศักยภาพเข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง ส่งผลกระทบต่อการ พัฒนาเศรษฐกิจ
พัฒนาการด้านสังคม สังคมของเกาหลีเหนือยังไม่เป็นที่รู้จักของโลกภายนอกมากนัก เพราะยังไม่มีการเปิดประเทศอย่างเต็มที่ ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมใน ระบบคอมมูน การพัฒนาอุตสาหกรรมยังไม่ก้าวหน้า เพราะมีวัตถุดิบจ ากัดและขาดการส่งเสริม ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประชาชนส่วนใหญ่ขาดการศึกษาและยากจน
ภูมิภาคเอเชียใต้ เป็นที่รู้จักกันในอดีตว่าเป็นศูนย์กลางของ อารยธรรมที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของโลกและมีอิทธิพลต่อภูมิภาคอื่นของเอเชีย ภูมิภาคนี้มีประชากร หนาแน่นมากที่สุดในโลก และเคยอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดินิยมตะวันตก ภายหลัง ได้รับเอกราช ภูมิภาคนี้ได้แบ่งออกเป็นหลายประเทศ แต่ละประเทศต่างมีพัฒนาการด้าน การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมของตนเอง
เอเชียใต้
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของเอเชียใต้มีความแตกต่างกัน คือ มีทั้งเขตเทือกเขาทาง ตอนเหนือที่มีภูมิอากาศหนาวเย็น เขตที่ราบลุ่มแม่น้ าสินธุ แม่น้ าคงคา แม่น ้าพรหมบุตร และ แม่น ้าสาขาของแม่น ้าดังกล่าวที่มีความอุดมสมบูรณ์ และเขตที่ราบสูงทางตอนกลางของภูมิภาค ที่แห้งแล้งและร้อนจัด ส่งผลให้แต่ละเขตมีความแตกต่างกันทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ การประกอบอาชีพ และการหล่อหลอมอารยธรรม
ลักษณะภูมิอากาศ ภูมิอากาศในเขตเอเชียใต้โดยรวมมีความแห้งแล้ง เพราะ ฝนตกน้อยและร้อนจัด ประชากรส่วนใหญ่จึงต้องอาศัยน้ าจากแม่น้ าสายต่าง ๆ เป็นหลักในการ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ส่วนพื้นที่ทางตอนใต้ซึ่งอยู่ในเขตมหาสมุทรอินเดีย ก็อาศัยลมมรสุมที่น าความชุ่มชื้น มาช่วยในการเพาะปลูกและบรรเทาความแห้งแล้ง
อินเดีย ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของภูมิภาค เอเชียใต้ที่มีความหลากหลายของสภาพภูมิศาสตร์ ชาวอินเดียโบราณได้พัฒนาความเจริญรุ่งเรือง ทางด้านอารยธรรม ท าให้อินเดียเป็นศูนย์กลาง ความเจริญที่ชนชาติต่าง ๆ ต้องการยึดครอง อย่างไรก็ตาม แม้อินเดียต้องตกอยู่ภายใต้ การปกครองของชนต่างเชื้อชาติและต่างศาสนา แต่ชาวอินเดียก็ยังสามารถด ารงเอกลักษณ์และ วัฒนธรรมของตนมาจนถึงปัจจุบัน อินเดีย
พัฒนาการด้านการเมืองการปกครอง ประเทศอินเดียมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ด าเนินไปอย่างต่อเนื่อง ประมุขของประเทศ คือ ประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้ง หัวหน้าฝ่ายบริหาร คือ นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้น าของพรรคการเมืองที่ครองเสียงข้างมากในรัฐสภา อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอินเดียต้องประสบปัญหาการเมืองภายใน อันเป็นผลมาจาก ความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติและศาสนา เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพราหมณ์- ฮินดู แต่มีชนกลุ่มน้อยที่นับถือศาสนาอื่น เช่น ชาวมุสลิม ชาวสิกข์ และผู้นับถือศาสนาคริสต์
พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ อินเดียจัดอยู่ในกลุ่มประเทศก าลังพัฒนาที่มีการเติบโต ทางเศรษฐกิจสูง แม้ว่าประชากรส่วนใหญ่จะมีฐานะยากจนและประกอบอาชีพเกษตรกรรม เป็นหลัก แต่อินเดียก็สามารถพัฒนาด้านอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่ทศวรรษ ๒๕๓๐ เป็นต้นมา โดยปัจจัยส าคัญที่ท าให้อุตสาหกรรมในอินเดียเติบโต คือ แรงงานค่าแรงต่ า และ ความต้องการของตลาดภายในประเทศ อุตสาหกรรมที่โดดเด่นของอินเดีย เช่น อุตสาหกรรมที่ เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ และอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งตลาดภายในประเทศมีความต้องการสูง
การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วท าให้อินเดียถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศ “BRICS” ซึ่งประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ที่มีความร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ และการเงินระหว่างประเทศ ส่งผลให้กลุ่มประเทศ BRICS กลายเป็นขั้วอ านาจใหม่ของ เศรษฐกิจโลกที่สามารถถ่วงดุลอ านาจของสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป โดยให้ความส าคัญใน เรื่องการปฏิรูปกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) การเปลี่ยนสกุลเงินส ารองระหว่าง ประเทศสกุลใหม่แทนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
พัฒนาการด้านสังคม สังคมอินเดียมีความเจริญรุ่งเรืองมายาวนานหลายพันปี อารยธรรมและภูมิปัญญาอินเดียมีความรุ่งเรืองมาก ทั้งด้านการปกครอง กฎหมาย ปรัชญา ศาสนา ภาษา วรรณกรรม ศิลปกรรม การแพทย์ ดนตรี อารยธรรมและภูมิปัญญาอินเดียไม่ได้มี อิทธิพลอยู่เฉพาะในประเทศเท่านั้น หากยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อดินแดนต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียใต้และดินแดนใกล้เคียง โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่รับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดียเป็นส่วนใหญ่
สังคมของอินเดียได้รับอิทธิพลจากระบบวรรณะที่ชาวอารยันใช้แบ่งแยกชนชั้น โดยแบ่งออกเป็น ๔ วรรณะ คือ วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร ผู้ที่ถือก าเนิดอยู่ในวรรณะใดจะต้องแต่งงานกันภายในวรรณะของตน หากฝ่าฝืน ทายาทที่เกิดมาจะอยู่นอกวรรณะ เรียกว่า จัณฑาล ระบบวรรณะมีอิทธิพลอย่างมากต่อวิถีชีวิตและความคิดของชาวอินเดียจนถึง สงครามโลกครั้งที่ ๒ ต่อมาหลังได้รับเอกราชแล้วสังคมอินเดียมีการปรับเปลี่ยนมากขึ้น พร้อมกับมีการรับความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ท าให้ชาวอินเดียไม่ได้ยึดติดอยู่กับ ระบบวรรณะแบบเดิม อย่างไรก็ตาม สังคมอินเดียปัจจุบันยังคงยึดมั่นอยู่กับขนบธรรมเนียมและ ประเพณีเดิม
ปากีสถานเป็นประเทศของชาวมุสลิมที่แยก ออกมาจากอินเดีย ในช่วงแรกปากีสถานประกอบด้วย ปากีสถานตะวันตกและตะวันออก ซึ่งไม่มีพรมแดน ติดต่อกัน ต่อมาดินแดนปากีสถานตะวันออกได้เรียกร้อง เอกราชและแยกตัวออกไปเป็นประเทศบังกลาเทศ ท าให้ ปากีสถานปัจจุบันมีพื้นที่ครอบคลุมเฉพาะส่วนที่เป็น ดินแดนปากีสถานตะวันตกแต่เดิม ปากีสถาน
พัฒนาการด้านการเมือง ปากีสถานได้ก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๙๐ และประสบปัญหา ทางการเมืองมาตลอด ทั้งปัญหาการเมืองภายในประเทศและปัญหากับประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหาการเมืองภายในประเทศ ได้แก่ ปัญหาการแบ่งแยกประเทศของปากีสถาน ตะวันออก และปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล ปัญหาปากีสถานตะวันออกเกิดจาก การที่ชาวปากีสถานตะวันออกได้เรียกร้องการปกครองตนเอง ปัญหากับประเทศเพื่อนบ้าน เกิดจากกรณีพิพาทระหว่างปากีสถานกับอินเดีย เกี่ยวกับปัญหาแคว้นแคชเมียร์ที่ท าให้เกิดสงครามระหว่างประเทศและปากีสถาน เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงมีผลสืบเนื่องให้ปากีสถานพยายามพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ตามอย่างอินเดีย แต่ก็ถูกอินเดียต่อต้านอย่างหนัก
ปากีสถานเป็นสังคมอิสลามที่สตรีมีโอกาสทางการศึกษาและมีสิทธิเสรีภาพทาง การเมือง เนื่องจากเคยอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษซึ่งได้วางรากฐานการศึกษาและการ พัฒนาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยไว้ให้กับอาณานิคม ท าให้สตรีบางคนที่มีการศึกษาสูง เช่น นางเบนาซีร์ บุตโต (Benazir Bhutto) สามารถเป็นผู้น าทางการเมืองได้เช่นเดียวกับบุรุษ
บังกลาเทศเป็นหนึ่งในประเทศที่มีประชากร หนาแน่นที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในเขตที่ราบลุ่มดินดอน สามเหลี่ยมปากอ่าวเบงกอล และมักประสบภัย ธรรมชาติรุนแรง จัดเป็นประเทศที่ขาดการพัฒนา และประสบปัญหาเรื่องเสถียรภาพทางการเมือง บังกลาเทศ
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของบังกลาเทศ บังกลาเทศก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๑๔ แต่รัฐบาลประสบปัญหาการขาดเสถียรภาพทาง การเมือง เพราะรัฐบาลชุดแรกที่บริหารโดยประธานาธิบดีที่เป็นพลเรือนได้ถูกโค่นล้มด้วยการ รัฐประหาร หลังจากนั้นบังกลาเทศก็มีการปกครองโดยรัฐบาลทหารซึ่งมีการรัฐประหารต่อเนื่อง ท าให้ประเทศบังกลาเทศอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก ในช่วง พ.ศ. ๒๕๓๓-๒๕๔๓ พลเรือนได้รับ เลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศในต าแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่รัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศล้วน ประสบปัญหาอย่างหนัก เนื่องจากไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนและความอดอยากใน ประเทศได้ เป็นเหตุให้มีการประท้วง ต่อต้าน และการก่อวินาศกรรม จนน าไปสู่การล้มล้าง รัฐบาล
ปัญหาคนว่างงาน บังกลาเทศมีประชากรหนาแน่นและมีพื้นที่เพาะปลูกจ ากัด ท าให้ เกิดปัญหาการว่างงาน แม้รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยเปิดรับการ ลงทุนจากต่างประเทศ แต่เนื่องจากอยู่ในวงจ ากัด จึงไม่สามารถแก้ปัญหาการว่างงานได้ทั้งหมด ส่งผลให้ชาวบังกลาเทศจ านวนมากพยายามเดินทางไปหางานท าในต่างประเทศ แม้ว่าส่วนใหญ่ จะเป็นแรงงานผิดกฎหมายก็ตาม ปัญหาภัยธรรมชาติ ลักษณะที่ตั้งท าให้บังกลาเทศประสบปัญหาอุทกภัย จากพายุ ไซโคลนที่ก่อตัวในอ่าวเบงกอลทุกปี ท าให้การเพาะปลูกได้รับความเสียหาย ไม่ได้ผลผลิตเต็มที่ นอกจากนี้วาตภัยที่เกิดขึ้นยังคร่าชีวิตผู้คนเป็นจ านวนมาก และส่งผลให้เกิดความยากจน ในสังคมบังกลาเทศ
ขอบคุณแหล่งที่มา สื่อการเรียนการสอน Powerpoint สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) ประวัติศาสตร์ม.2 หน่วยที่ 2 พัฒนาการภูมิภาคเอเชีย