รายงานนวตั กรรม
1. ชอื่ นวัตกรรม การพฒั นาทกั ษะการพูดภาษาอังกฤษ รายวิชาภาษาองั กฤษเพ่ิมเติม โดยใช้กระบวนการการ
เรียนรู้ DUANG MODEL ของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 5
2. ชอ่ื ผู้พัฒนานวตั กรรม นางดวงจันทร์ เวชกามา
3.ความเปน็ มาและความสาคญั
ภาษาอังกฤษนับว่ามีความสาคัญและมีบทบาทในฐานะเป็นภาษาสากล การจัดการเรียนการสอน
ภาษาอังกฤษตามหลกั สูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน เปน็ การพัฒนาท้ัง 4 ทักษะคือทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะ
การอ่านและทักษะการเขียน ซ่ึงท้ัง4 ทักษะที่กล่าวมานั้น ทักษะการพูดเป็นทักษะท่ีสาคัญท่ีสุด เนื่องจากเป็น
ทกั ษะทแ่ี สดงใหเ้ ห็นว่า ผ้พู ูดมีความรู้ในภาษาอังกฤษชดั เจน และเน่ืองจากทักษะการพูดเป็นการถ่ายทอดความคิด
ความเข้าใจและความรู้สกึ ในการใช้ภาษาเพ่อื การส่ือสารในชวี ิตประจาวัน การท่ผี ู้เรียนใช้ภาษาได้ไม่ดีเพราะผเู้ รียน
ไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมท่ีมีการใช้ภาษาอังกฤษในการส่ือสาร ขาดความคล่องแคล่วในโครงสร้างทางภาษาและ
สานวนตา่ งๆ
จากการจัดการเรียนการสอนรายวิชาภาษาอังกฤษเพิ่มเติมในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ท่ีผ่านมาพบว่า
ปัญหาท่ีเกิดข้ึนบ่อยท่ีสุดคือนักเรียนยังอ่อนในเร่ืองของทักษะการพูด และทักษะการเขียน ไม่กลา้ พูดกลัวพูดไม่ถูก
และเขยี นไม่ถกู ทาให้เกิดความรูส้ ึกท่ีไม่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ ส่งผลให้ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนต่า จากความ
เป็นมาและความสาคัญของปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงได้ตระหนักถึงความสาคัญของของการพูดและการเขียน
ภาษาอังกฤษและมีความสนใจท่ีจะพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ เพ่ือแก้ปัญหาการพูดและการเขียน
ภาษาอังกฤษ เรอ่ื งการพัฒนาทักษะการพูดและการเขยี นภาษาองั กฤษโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ DUANG MODEL
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เพ่ือกระตุ้นให้นักเรียนเห็นความสาคัญและพัฒนาทักษะการพูดและการเขียน
ภาษาอังกฤษได้ดียิ่งขึ้น และพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนทสี่ ูงขึ้น นอกจากน้ีจะนาผลท่ีไดจ้ ากการพัฒนาไปใช้ให้
เป็นประโยชน์ในการวางแผนและจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศให้มี
ประสิทธภิ าพยิง่ ขน้ึ
4.วตั ถุประสงค์
1.เพื่อศึกษาผลการพัฒนาทักษะการพูดโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ DUANG MODEL ของนักเรียนชั้น
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5/1 โรงเรยี นนาวงั วิทยา จงั หวัดอานาจเจริญ
2.เพื่อเปรียบเทยี บความสามารถในการพูดภาษาองั กฤษโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ DUANG MODEL ของ
นักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 5/1 โรงเรียนนาวงั วทิ ยา จงั หวัดอานาจเจรญิ
5. กรอบแนวคดิ การพัฒนานวตั กรรม
ในการพฒั นาทักษะการพูดภาษาอังกฤษสาหรับนกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 โดยใชก้ ระบวนการเรียนรู้
DUANG MODEL โรงเรยี นนาวังวิทยา จงั หวดั อานาจเจรญิ ซง่ึ ได้ดาเนินการตามกรอบแนวคดิ สรุปได้ดงั น้ี
ตวั แปรต้น (Independent Variable)
กระบวนการเรยี นรู้แบบ DUANG MODEL
ตวั แปรตาม (Dependent Variable)
ทกั ษะการพดู ภาษาองั กฤษ
นยิ ามศัพท์เฉพาะ
การพูด หมายถงึ การถา่ ยทอดความรู้ ความคิด อารมณแ์ ละความร้สู ึกของผพู้ ดู โดยใชถ้ ้อยคาน้าเสยี ง สี
หน้าแววตารวมท้ังกริ ิยาท่าทางต่างๆเพ่ือให้ผู้ฟงั เข้าใจความหมาย
นักเรยี น หมายถึง นักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 5/1 โรงเรยี นนาวังวิทยา
กระบวนการเรียนรูแ้ บบ DUANG MODEL
ขัน้ ที่1 D (Design) การออกแบบรูปแบบการจดั การเรียนการสอน
ขน้ั ท่ี2 U (Understanding) การสรา้ งความเข้าใจกับผเู้ รียนเกี่ยวกับคาศพั ทแ์ ละโครงสร้างประโยค
ข้ันที่3 A (Active Leaning) กระบวนการจดั การเรียนรู้แบบกระบวนการกลมุ่
ขน้ั ที่4 N (Network) การทางานแบบภาคีเครือข่าย
ขัน้ ท่ี5 G ( Goal) เป้าหมายในการจัดการเรยี นการสอนเพ่ือมุ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
ผู้เรียน หมายถึงผู้ที่กาลังศึกษาอยู่ในระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565
โรงเรียนนาวังวิทยา อาเภอเมอื ง จงั หวดั อานาจเจริญ
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. เป็นแนวทางในการพฒั นาการพูดภาษาอังกฤษใหแ้ กน่ ักเรียนระดับมัธยมศึกษา
2. เปน็ แนวทางสาหรับครูในการจดั การเรยี นการสอนภาษาอังกฤษทจี่ ะช่วยให้นักเรียนมีความเขา้ ใจใน
การพูดภาษาองั กฤษมากยง่ิ ขึ้น
3. เปน็ แนวทางสาหรับสถานศกึ ษาและหน่วยงานทเี่ กีย่ วข้องในการพัฒนาความสามารถในการพูด
ภาษาอังกฤษใหแ้ กน่ ักเรียนระดบั มธั ยมศึกษา
6. กระบวนการพฒั นานวัตกรรม
แนวคิด ทฤษฎที เี่ กี่ยวข้อง ในการศึกษาแนวคดิ ทฤษฎที ่เี ก่ียวข้องกับการพฒั นาทกั ษะการพดู ภาษาองั กฤษ
ของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5/1 ในครั้งน้ี ข้าพเจ้าไดศ้ กึ ษาค้นคว้าแนวคดิ และทฤษฎที ี่เก่ยี วขอ้ งดงั น้ี
1. หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551กล่มุ สาระการเรยี นร้ภู าษาต่างประเทศ
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ 1 ภาษาเพอ่ื การส่ือสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เขา้ ใจและตีความเรื่องท่ีฟงั และอ่านจากส่ือประเภทตา่ งๆ และแสดงความคิดเหน็ อย่างมีเหตผุ ล
มาตรฐาน ต 1.2 มที ักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึกและความคิดเห็น
อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
มาตรฐาน ต 1.3 นาเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรอื่ งต่างๆโดยการพูดและการ
เขียน
สาระท่ี 2 ภาษาและวฒั นธรรม
มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพนั ธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจา้ ของภาษา และนาไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม
กบั กาลเทศะ
มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษากับภาษา
และวัฒนธรรมไทย และนามาใช้อยา่ งถูกต้องและเหมาะสม
สาระที่ 3 ภาษากบั ความสมั พันธ์กับกลุ่มสาระการเรยี นรอู้ ื่น
มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเช่ือมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น และเป็นพ้ืนฐานในการ
พัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทศั น์ของตน
สาระที่ 4 ภาษากบั ความสัมพนั ธก์ ับชุมชนและโลก
มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณต์ ่างๆ ทัง้ ในสถานศกึ ษา ชมุ ชน และสังคม
มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเคร่ืองมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการ
แลกเปลยี่ นเรียนรู้กับสังคมโลก
คุณภาพผูเ้ รียนเม่อื จบช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ ๖
ปฏบิ ัตติ ามคาแนะนาในคมู่ ือการใช้งานต่างๆ คาช้แี จง คาอธิบาย และคาบรรยายที่ฟังและอา่ น อา่ น
ออกเสยี งข้อความ ขา่ ว ประกาศ โฆษณา บทร้อยกรอง และบทละครส้นั ถกู ต้องตามหลกั การอา่ น อธิบายและ
เขียนประโยคและข้อความสัมพันธก์ บั ส่ือทไี่ ม่ใชค่ วามเรียงรูปแบบต่างๆ ที่อ่าน รวมทง้ั ระบุและเขยี นส่ือที่ไมใ่ ช่
ความเรยี งรูปแบบตา่ งๆ สมั พันธก์ บั ประโยคและข้อความท่ีฟังหรืออา่ น จับใจความสาคัญ วิเคราะหค์ วาม สรุป
ความ ตีความ และแสดงความคิดเห็นจากการฟังและอา่ นเร่ือง ที่เปน็ สารคดีและบนั เทงิ คดี พรอ้ มท้ังใหเ้ หตุผล
และยกตวั อย่างประกอบ
สนทนาและเขียนโต้ตอบขอ้ มูลเกี่ยวกับตนเองและเรื่องต่างๆ ใกล้ตัว ประสบการณ์ สถานการณ์ ข่าว/
เหตุการณ์ ประเด็นท่ีอยู่ในความสนใจและสื่อสารอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม เลือกและใช้คาขอร้อง คาช้ีแจง
คาอธิบาย และให้คาแนะนา พูดและเขียนแสดงความต้องการ เสนอและให้ความช่วยเหลือ ตอบรับและปฏิเสธ
การใหค้ วามช่วยเหลอื ในสถานการณ์จาลองหรือสถานการณ์จริงอยา่ งเหมาะสม พดู และเขยี นเพือ่ ขอและให้ข้อมูล
บรรยาย อธิบาย เปรียบเทียบ และแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับเร่ือง/ประเด็น/ข่าว/เหตุการณ์ที่ฟังและอ่านอย่าง
เหมาะสม พูดและเขียนบรรยายความรู้สึกและแสดงความคิดเห็นของตนเองเก่ียวกับเรื่องต่างๆ กิจกรรม
ประสบการณ์ และขา่ ว/เหตุการณ์อย่างมีเหตผุ ล
พูดและเขยี นนาเสนอข้อมลู เกยี่ วกับตนเอง/ประสบการณ์ ข่าว/เหตุการณ์ เร่ืองและประเด็นตา่ งๆ ตาม
ความสนใจ พูดและเขียนสรุปใจความสาคัญ แก่นสาระท่ีได้จากการวิเคราะห์เร่ือง กิจกรรม ข่าว เหตุการณ์ และ
สถานการณ์ตามความสนใจ พูดและเขยี นแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั กิจกรรม ประสบการณ์ และเหตุการณ์ ท้ังใน
ท้องถน่ิ สังคม และโลก พรอ้ มท้งั ใหเ้ หตผุ ลและยกตัวอยา่ งประกอบ
เลือกใช้ภาษา น้าเสียง และกิริยาท่าทางเหมาะกับระดับของบุคคล เวลา โอกาสและสถานที่ตาม
มารยาทสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา อธิบาย/อภิปรายวิถีชีวิต ความคิด ความเชื่อ และท่ีมาของ
ขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจ้าของภาษา เข้าร่วม แนะนา และจัดกิจกรรมทางภาษาและวัฒนธรรมอย่าง
เหมาะสม
อธิบาย/เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างโครงสร้างประโยค ข้อความ สานวน คาพังเพย สภุ าษิต และบท
กลอนของภาษาต่างประเทศและภาษาไทย วเิ คราะห์/อภิปรายความเหมือนและความแตกต่างระหว่างวถิ ชี วี ิต ความ
เชอ่ื และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษากบั ของไทย และนาไปใช้อย่างมเี หตุผล
คน้ คว้า/สืบค้น บันทึก สรุป และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้
อนื่ จากแหล่งเรยี นรตู้ า่ งๆ และนาเสนอดว้ ยการพดู และการเขียน
ใช้ภาษาส่ือสารในสถานการณ์จริง/สถานการณ์จาลองที่เกิดข้ึนในห้องเรียน สถานศึกษา ชุมชน และ
สงั คม
ใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น/ค้นคว้า รวบรวม วิเคราะห์ และสรุปความรู้/ข้อมูลต่างๆ จากส่ือ
และแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ เผยแพร่/ประชาสัมพันธ์ ข้อมูล ข่าวสาร ของ
โรงเรียน ชมุ ชน และทอ้ งถน่ิ /ประเทศชาติ เปน็ ภาษาตา่ งประเทศ
มีทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศ (เน้นการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน) ส่ือสารตามหัวเรื่องเก่ียวกับตนเอง
ครอบครัว โรงเรียน สิ่งแวดล้อม อาหาร เคร่ืองดื่ม ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เวลาว่างและนันทนาการ สุขภาพ
และสวัสดิการ การซื้อ-ขาย ลมฟ้าอากาศ การศึกษาและอาชีพ การเดินทางท่องเท่ียว การบริการ สถานที่ ภาษา
และวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภายในวงคาศพั ท์ประมาณ ๓,๖๐๐-๓,๗๕๐ คา (คาศัพท์ที่มีระดับการใชแ้ ตกต่าง
กัน)
ใช้ประโยคผสมและประโยคซับซ้อนสื่อความหมายตามบริบทต่างๆ ในการสนทนา ทั้งที่เป็นทางการ
และไม่เป็นทางการ
ตัวชว้ี ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง ทีเ่ กี่ยวข้องกับการพูด ระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาตอนปลาย
มาตรฐาน ต 1.2 มที ักษะการส่ือสารทางภาษาในการแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรสู้ กึ
และความคิดเห็นอย่างมีประสทิ ธภิ าพ
ชัน้ ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง
ม.4-6 1. สนทนาและเขียนโตต้ อบข้อมลู เก่ยี วกับตนเอง ภาษาทีใ่ ช้ในการสื่อสารระหว่างบุคคล เช่น
และเรื่องราวต่างๆ ใกลต้ ัว ประสบการณ์ การทกั ทาย กล่าวลา ขอบคณุ ขอโทษ
สถานการณ์ ข่าว/เหตุการณ์ที่อยู่ในความสนใจของ ชมเชย การพูดแทรกอย่างสุภาพ การชักชวน
สงั คมและส่ือสารอยา่ งต่อเน่ือง การแลกเปลีย่ นข้อมลู เก่ียวกับตนเอง เรื่อง
ใกลต้ ัว สถานการณ์ตา่ งๆในชีวิตประจาวัน
การสนทนา/เขียนข้อมูลเกี่ยวกบั ตนเองและ
บุคคลใกลต้ วั ประสบการณ์ สถานการณ์
ตา่ งๆ ข่าวเหตุการณ์ ประเด็นที่อยู่ในความ
สนใจของสังคม
2. เลือกและใช้คาขอร้อง ให้คาแนะนา คาชี้แจง คาขอร้อง คาแนะนา คาช้แี จง คาอธิบาย ท่ีมี
คาอธบิ าย อยา่ งคลอ่ งแคลว่ ข้นั ตอนซับซ้อน
3.พูดและเขยี นแสดงความต้องการ เสนอ ตอบรับ ภาษาทีใ่ ช้ในการแสดงความต้องการ เสนอ
และปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือในสถานการณ์ และให้ความช่วยเหลือ ตอบรับและปฏิเสธ
การให้ความช่วยเหลือในสถานการณต์ ่างๆ
จาลองหรือสถานการณ์จรงิ อยา่ งเหมาะสม เช่น Please…/…, please./ I’d like…/ I
need…/ May/Can/Could…?/Would you
please…?Yes,../ Please do. /Certainly./
Yes, of course./Sure./ Need some
help?/ What can I do to help?/ Would
you like any help?/ If you like I
could…/ What can I do to help?/
Would you like any help?/ Would you
like me to help you?/ If you need
anything, please…/ Is there anything I
can do?/ I’ll do it for you./ I’m
afraid…/ I’m sorry, but…/ Sorry, but…
etc.
4. พดู และเขยี นเพื่อขอและให้ขอ้ มลู บรรยาย คาศัพท์ สานวน ประโยคและข้อความท่ีใช้ใน
อธบิ าย เปรียบเทียบ และแสดงความคิดเหน็ การขอและให้ขอ้ มูล บรรยาย อธิบาย
เกย่ี วกบั เรอื่ ง/ประเดน็ /ขา่ ว/เหตกุ ารณท์ ี่ฟังและ เปรียบเทียบ และแสดงความคิดเหน็ เก่ยี วกบั
อ่านอย่างเหมาะสม ประเดน็ /ข่าว/เหตุการณท์ ่ีฟงั และอา่ น
ช้นั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
ม.4-6 5. พดู และเขยี นบรรยายความรู้สกึ และแสดงความ ภาษาท่ีใช้ในการแสดงความรู้สึก ความคิดเห็น และ
ให้เหตผุ ลประกอบ เชน่ ชอบ ไมช่ อบ ดีใจ เสียใจ มี
คิดเห็นของตนเองเกย่ี วกับ เรอื่ งตา่ งๆ กจิ กรรม ความสุข เศรา้ หวิ รสชาติ สวย น่าเกลียด เสยี งดัง
ประสบการณ์ และขา่ ว/เหตุการณ์อย่างมีเหตุผล ดี ไมด่ ี จากข่าว เหตุการณ์ สถานการณ์ ใน
ชวี ติ ประจาวัน เช่น Nice./Very nice./Well
done!/Congratulations on…
I like… because…/ I love… because…/
I feel… because…/I think…/I believe…/
I agree/disagree…/ I’m afraid I don’t like…/ I
don’t believe…/I have no idea…/ Oh no!
etc.
มาตรฐาน ต 1.3 นาเสนอข้อมลู ขา่ วสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องตา่ งๆ โดยการพูด
และการเขียน
ชนั้ ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ม.4-6
1. พูดและเขยี นนาเสนอขอ้ มูลเก่ียวกบั ตนเอง การนาเสนอข้อมูลเก่ยี วกบั ตนเอง
ประสบการณ์ ขา่ ว/เหตกุ ารณ์ เร่อื งและประเด็น ประสบการณ์ ข่าว/เหตกุ ารณ์ เร่อื งและ
ตา่ งๆ ตามความสนใจของสงั คม ประเด็นที่อย่ใู นความสนใจของสงั คม เช่น
การเดินทาง การรับประทานอาหาร การเลน่
กฬี า/ดนตรี การดภู าพยนตร์ การฟังเพลง
การเลี้ยงสัตว์การอ่านหนงั สือ การท่องเทีย่ ว
การศึกษา สภาพสังคม เศรษฐกิจ
2. พดู และเขียนสรปุ ใจความสาคญั / การจับใจความสาคญั /แกน่ สาระ
แกน่ สาระท่ีไดจ้ ากการวเิ คราะห์เรือ่ ง กจิ กรรม ขา่ ว การวิเคราะห์เร่ือง กิจกรรม ข่าว เหตกุ ารณ์
และสถานการณ์ตามความสนใจ
เหตุการณ์ และสถานการณต์ ามความสนใจ
3. พดู และเขียนแสดงความคิดเห็นเกยี่ วกบั กิจกรรม การแสดงความคิดเห็น การให้เหตผุ ลประกอบ
ประสบการณ์ และเหตกุ ารณ์ ทง้ั ในท้องถน่ิ สังคม และยกตัวอย่างเกี่ยวกบั กจิ กรรม
และโลก พร้อมท้ังให้เหตุผลและยกตวั อยา่ ง ประสบการณ์ และเหตุการณ์ในทอ้ งถิ่น
ประกอบ สงั คม และโลก
2. ความหมายของการพดู เพอ่ื การสอื่ สาร
การพดู เปน็ ทักษะที่จาเป็นอย่างยิ่งในการเรียนภาษาเพือ่ การส่อื สาร ผพู้ ดู จะต้องใช้ ความสามารถทางดา้ น
ภาษาหลายด้านประกอบกัน เพ่ือให้ผู้ฟังเข้าใจ โดยจะต้องถ่ายทอดความรู้สึก นึกคิดของผู้พูดที่จะพูดให้ผู้ฟังสามารถฟัง
เขา้ ใจ ผพู้ ดู ท่ดี จี ะต้องพดู ให้เหมาะสมกบั โอกาสและ สถานการณต์ ่างๆ และมคี วามคล่องแคล่วในการพูด โดยการเลือกใชค้ า
พูดท่ีถกู ต้อง
สุมิตรา องั วัฒนกลุ (2540 หนา้ 167) กล่าววา่ การพูดเป็นการถา่ ยทอดความร้สู กึ นึกคิด ความเขา้ ใจให้
ผู้ฟงั ได้รับรูแ้ ละเข้าใจจุดมุง่ หมายของผ้พู ดู โดยใชก้ ลวธิ ีในการพูดท่ีทาให้การสื่อสารมี ประสิทธิภาพ
อวยชัย ผกามาศ (2542 หนา้ 1-2) กลา่ วถึง ความหมายของการพดู ไว้วา่ การพูดคือการสื่อสารทาง
ความคิด ประสบการณ์และความตอ้ งการของผู้พูดไปสู่ผฟู้ งั เพื่อสอื่ ความหมายให้ผู้ฟงั เกิด ความเข้าใจ โดยใชน้ า้ เสียง
ภาษา และกรยิ าทา่ ทาง ได้อย่างถกู ต้องตามจรรยามารยาท และประเพณี นิยมของสงั คมใหผ้ ูฟ้ งั รับรูแ้ ละไดร้ ับการ
ตอบสนอง
สรุปได้ว่า การพูดหมายถึงการใช้ความสามารถทางด้านภาษา รวมถึงท่าทาง ความรู้สึกนึกคิด ที่จะ
ถ่ายทอดให้ผู้ฟังเข้าใจ โดยมีจุดมุ่งหมายท่ีสาคัญคือ เพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลระหว่างบุคคล ตั้งแต่สองคนขึ้นไป การ
พูดที่มีประสิทธิภาพนั้น ผู้พูดจะต้องเลือกใช้ถ้อยคา น้าเสียง รวมถึงอากัปกริยา ในการพูด (Non-Verbal Language) เพื่อ
ประกอบการพูดให้สอดคลอ้ งได้อยา่ งเหมาะสมถกู ต้องกบั โอกาส และวัฒนธรรมตลอดจนประเพณนี ยิ มของสังคม
3.ความสามารถในการพูดเพอ่ื การสื่อสาร
จดุ มุ่งหมายของการสอนภาษาในการพูดเพ่ือการสอื่ สารน้ัน คือ ใหผ้ ู้เรียนมีความรู้ความสามารถในการ ใช้
ภาษาเพอ่ื การสอ่ื ความหมายได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสมกับกาลเทศะ ดังเชน่
Bartz (1994: 18-82) กล่าวถงึ องคป์ ระกอบของความสามารถในการพูดเพอ่ื การส่อื สารคือ
1. ความคลอ่ งแคลว่ (Fluency) และมีความเข้าใจธรรมชาตใิ นการพดู
2. ความเขา้ ใจ (Comprehensibility) คือ ความสามารถทจ่ี ะพดู ให้ผู้อ่นื เขา้ ใจในสง่ิ ท่ี ผู้พูดสอ่ื สารออกมา
Canale และ Swain (1980: 147) กล่าวว่า ความสามารถในการออกเสียง (Pronunciation) คาศัพท์
(Vocabulary) และหลักภาษาและไวยากรณ์(Grammar) เป็นส่ิงสาคัญ ท่ีจะทาให้ผู้ฟัง สามารถเข้าใจข้อความที่ใช้ในการ
สือ่ สารไดอ้ ย่างมีคุณภาพ (Quality of communication) องคป์ ระกอบเหล่าน้ีจะทาให้เกิดความสมั พันธ์ระหวา่ งประโยคที่
เชื่อมโยงกนั ซ่งึ จะทาใหก้ ารสนทนา เปน็ ไปอย่างต่อเนื่องจะตอ้ งมีความสามารถดังต่อไปนี้
1. ความสามารถด้านไวยากรณ์(Grammatical Competence) ความสามารถ ในด้านนี้มิได้เพียงแต่
ความสามารถในการเข้าใจและใช้ไวยากรณ์เท่าน้ัน จะต้องมีความสามารถใน องคป์ ระกอบทั้งหมดทางด้านภาษา คือ เสียง
คาศัพท์และไวยากรณ์เน่ืองจากผู้พูดจะสามารถเลือกใช้ ถ้อยคาในการพูดเพื่อการสื่อสารได้อย่างถูกต้องและตรงกับความ
ต้องการ
2. ความสามารถด้านภาษาศาสตร์สังคม (Sociolinguistic Competence) ผู้พูด สามารถเลือกแบบของ
ภาษาให้สัมพันธ์กับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม อีกท้ังสามารถพูดสนทนาเพ่ือ สร้างความสัมพันธ์ทางสังคมตลอดจน
จดุ ประสงค์ในการส่งสาร ผู้ที่มีความสามารถทางด้านน้ีจะ สามารถใช้ภาษาท่ีแตกต่างไปตามประเภทของการพูด เช่น การ
อภิปราย การเสนอความคดิ หรือ การ โตว้ าทีเป็นตน้
3. ความสามารถในการใช้ความสัมพันธ์ของข้อความหรือการเช่ือมประโยค (Discourse Competence)
ตามหลักภาษา หากผู้พูดมีความสามารถทางด้านน้ีจะทาให้ผู้พูด สามารถใช้ภาษาในการสนทนา ลาดับก่อน-หลัง และ
สานวนที่ผู้พดู ใช้เพื่อแสดงความคดิ เห็นมีความ เช่ือมโยงสมั พันธ์กนั จงึ ทาให้การสนทนาดาเนินไปไดอ้ ยา่ งราบรนื่
4. ความสามารถด้านกลวิธีในการสื่อสาร (Strategic Competence) ในการพูดได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
นั้น ผู้พูดจะต้องมีกลวิธีในการส่ือสาร จึงจะทาให้ผู้พูดเพิ่มศักยภาพทางการพูด เพื่อการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถึงแม้ว่าผู้พูดมีความรู้ทางด้านไวยากรณ์ไม่ดีพอ หากใช้กลวิธีใน การแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ก็จะทาให้ผู้พูดสามารถ
ดาเนินการสนทนาสือ่ สารกบั ผู้อน่ื ไดเ้ ปน็ อย่างดี
Carrall (1982: 135) ได้จัดลาดบั ความสามารถของทักษะทางการพูดไว้ 9 ระดับ ดงั นค้ี ือ
ระดับที่ 1 หมายถงึ ระดบั ท่ีผพู้ ดู ไม่สามารถเข้าใจหรอื พดู ไมไ่ ดเ้ ลย (Non-User)
ระดับท่ี 2 หมายถงึ ระดบั ท่ีผู้ใช้ภาษาไดเ้ ล็กน้อย (Intermittent User)
ระดับท่ี 3 หมายถึง ระดับที่ผู้ใช้ภาษาได้ในวงจากัด ผู้พูดเกิดความผิดพลาดบ่อยๆ เข้าใจบทสนทนาและรู้
รายละเอยี ดบางส่วน ไมส่ ามารถจบั รายละเอยี ดไดจ้ ับได้แต่ใจความสาคญั เทา่ นนั้ (Extremely Limited User)
ระดับท่ี 4 หมายถึง ระดับท่ีผู้พูดใช้ภาษาเกือบดีสามารถสนทนาโต้ตอบได้แต่ไม่ คล่องแคล่ว ไม่สามารถ
นาการสนทนา หรือ อภปิ รายไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว จงึ ทาให้การสนทนาขาดความต่อเน่ือง (Marginal User)
ระดับท่ี 5 หมายถึง ระดับที่ผู้พูดใช้ภาษาได้ปานกลาง สามารถส่ือความหมาย ใจความหลัก แต่ยังมี
ขอ้ ผดิ พลาดในการใช้ไวยากรณจ์ งึ ทาให้การส่ือสารไม่ชัดเจน ขาดความ คล่องแคลว่ ในการใช้ภาษา และทา่ ทางประกอบการ
พูด (Modest User)
ระดบั ที่ 6 หมายถงึ ระดับทผ่ี ู้พูดใช้ภาษาได้สามารถคยุ ในหัวข้อที่ต้องการ และ ปะติดปะตอ่ เร่ืองราวท่ีพูด
ได้หรือ เปลี่ยนหัวข้อท่ีพูดได้มีการหยุดพูด หรือ พูดไม่ต่อเน่ืองในการสนทนาเป็นบางคร้ัง แต่ก็สามารถเร่ิมต้นการสนทนา
ใหม่ได(้ Competence User)
ระดับที่ 7 หมายถึง ระดับที่ผู้พูดใช้ภาษาได้ดีสามารถเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้อย่าง ชัดเจน มีการเก็บ
รายละเอียด มีเหตุผล สามารถสนทนาได้เป็นเร่ืองราว แต่ยังขาดความคล่องแคล่ว มีความสามารถในการติดตามการ
สนทนาเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ส่วนน้าเสียงยังขาดความ ม่ันใจ มีการพูดซ้าข้อความ แต่สามารถโต้ตอบได้อย่างมี
ประสทิ ธิภาพ (Good User)
ระดับที่ 8 หมายถึง ผู้พดู ใชภ้ าษาไดด้ ีมาก สามารถพูดหรืออภิปรายอย่างมี ประสิทธภิ าพ สามารถนาการ
สนทนาและดาเนินการสนทนาได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีอารมณ์รว่ มใน การโตต้ อบ และใชก้ ริยาท่าทางได้อยา่ งเหมาะสม
(Excellent User)
ระดับที่ 9 หมายถึง ผู้พูดใช้ภาษาได้อย่างเช่ียวชาญ สามารถพูดได้อย่างมี ประสิทธิภาพ สามารถ
ดาเนนิ การสนทนาได้อย่างต่อเนือ่ ง ขยายความได้ตลอดจนสามารถพดู ได้ ใจความสาคญั (Expert User)
สรุปว่า ความสามารถในการพูดประกอบด้วย การเลือกใช้คา ประโยค ให้เหมาะสมกับสถานะ ทางสังคม
ของผู้พูดและผู้ฟัง มีความคล่องแคล่ว มีความต้ังใจในการส่ือสารตลอดจนมีกลวิธีการเลือก กลวิธีในการส่ือสารเพื่อแก้ไข
ข้อบกพร่องทางการสื่อสาร ซึ่งนับว่าเป็นส่วนสาคัญในการพูดเพื่อการ ส่ือสารท่ีผู้พูดสามารถใช้ภาษาในการสื่อสารให้ผู้ฟัง
เกดิ ความเข้าใจตรงกับสงิ่ ที่ผพู้ ูดตอ้ งการสอื่ ได้อย่าง มีประสิทธิภาพ
4. การวดั และประเมินความสามารถในการพูดเพ่ือการสื่อสาร
4.1 วิธีการทดสอบความสามารถด้านการพูด การทดสอบความสามารถด้านการพูดเพื่อการส่ือสารน้ัน
Finocehiaro และ Sango (1983: 139-143) ได้เสนอวิธีการทดสอบความสามารถทางดา้ นการพูดไวด้ งั ตอ่ ไปน้ี
1. พูดประโยคสั้นๆ ตามผสู้ อน หรือ ตามท่ไี ดย้ นิ จากเครอ่ื งบนั ทึกเสยี ง
2. ใหอ้ า่ นออกเสียงประโยคตา่ งๆ
3. ให้บรรยายวัตถุวัตถุท่ีใช้บรรยายขึ้นอยู่กับระดับของผู้เรียน ผู้เรียนอาจ พูดถึงข้อมูลอ่ืนๆของวัตถุแต่มี
ข้อห้ามไม่ให้บอกชื่อวัตถุหรือส่ิงท่ีเห็น โดยให้ผู้ฟังเป็นผู้เดาว่าส่ิงที่ผู้พูด กล่าวถึงนั้นคืออะไร และสามารถบรรยายภาพ
บคุ คล สถานท่ี หรอื สิง่ ของอ่ืนๆ ได้
4. ให้บรรยายเหตกุ ารณโ์ ดยใช้ภาพประกอบ
5. ใหพ้ ดู ตามหัวขอ้ ที่กาหนด โดยมกี ารกาหนดไวห้ ลายหัวข้อ และให้ผเู้ รียน เลอื กหัวข้อไดต้ ามทตี่ อ้ งการ
6. ใหผ้ ู้เรยี นแสดงเป็นผสู้ มั ภาษณโ์ ดยใหห้ าข้อมลู ใหไ้ ด้มากท่สี ดุ จากผู้ถูกสัมภาษณแ์ ล้วทาการจดบันทึกไว้
การทดสอบความสามารถด้านการพูดเพ่ือการสื่อสารน้ันสามารถทาได้หลายวิธีเช่น การสัมภาษณ์ การ
บรรยาย การเล่าเรื่อง การโต้วาทีหรือ การแสดงบทบาทสมมติจากสถานการณ์ต่างๆ ที่กาหนดให้จากวิธีการต่างๆ เหล่าน้ี
ผู้สอนจะต้องเป็นผู้เลือกการทดสอบท่ีเหมาะสมกับระดับ ความสามารถของผู้เรียน เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการจัด
กจิ กรรมการเรยี นการสอนของผูส้ อน
4.2 เกณฑ์การประเมินความสามารถด้านการพูด การประเมินความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษเพื่อ
การส่อื สารต้องคานงึ ถึง องคป์ ระกอบความสามารถด้านการพดู เพื่อวัดความรคู้ วามสามารถของผ้เู รียนในหลายๆ ด้าน เช่น
การพูด การออกเสียง ไวยากรณ์คาศัพท์ความเข้าใจและความคล่องแคล่วในการใช้ภาษา ซึ่งสามารถ ทาได้หลายวิธีโดย
สามารถดาเนินการได้ต้ังแต่ขั้นก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียน โดยให้ สอดคล้องกับเนื้อหาสาระที่ผู้เรียนได้เรียน
มาแล้ว
7. กระบวนการนานวัตกรรมไปใช้
7.1 กลมุ่ เป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ รายวิชาภาษาอังกฤษเพิ่มเติม โดยใช้
กระบวนการเรียนรู้แบบ DUANG MODEL สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในครั้งนี้ คือนักเรียนระดับชั้น
มัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 โรงเรียนนาวังวิทยา ท่ีกาลังเรียนรายวิชาภาษาอังกฤษเพิ่มเติมในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา
2565 จานวน 30 คน โดยใช้วธิ ีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
7.2 ตวั แปร
1. ตวั แปรตน้ (Independent Variable) คอื กระบวนการจดั การเรียนรู้แบบ DUANG MODEL
2. ตัวแปรตาม (Dependent Variable) คือ ทกั ษะการพูดภาษาอังกฤษ
เครอื่ งมอื ทใ่ี ช้ในการเก็บขอ้ มลู
1. แผนการจดั การเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการจัดการเรยี นร้แู บบ DUANG MODEL
2. แบบฝึกบทสนทนาความสามารถดา้ นการพดู ภาษาองั กฤษกอ่ นเรยี นและหลังเรียน จานวน 5 บท
ขัน้ ตอนการสร้างเครอ่ื งมอื
ดาเนินการสรา้ งตามขัน้ ตอนดังนี้
การจัดทาแผนการจัดการเรยี นรใู้ ชก้ ระบวนการจัดการเรยี นรู้แบบ DUANG MODEL
1.1 ศกึ ษาหลักสตู รการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ในมาตรฐาน ต 1.2 มีทกั ษะการสื่อสารทาง
ภาษาในการแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สกึ และความคิดเหน็ อย่างมปี ระสิทธภิ าพ ในระดับชั้น
มัธยมศึกษาปที ี่ 4-6 ตาม สาระการเรียนร้แู กนกลางภาษาต่างประเทศทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกับการอา่ น
1.2 ศึกษาค้นคว้า และออกแบบกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ DUANG MODE และจัดทาแบบฝึก 5
บท
1.3 กระบวนการจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้รปู แบบ DUANG MODEL ซึง่ ประกอบไปดว้ ย 5 ขั้นตอน ดังนี้
ขัน้ ที่1 D (Design) การออกแบบรปู แบบการจัดการเรยี นการสอน
ข้นั ที่2 U (Understanding) การสรา้ งความเข้าใจกับผ้เู รยี นเกี่ยวกบั คาศัพท์และโครงสร้างประโยค
ขั้นที่3 A (Active Leaning) กระบวนการจดั การเรยี นรู้แบบกระบวนการกลุ่ม
ขั้นท่ี4 N (Network) การทางานแบบภาคเี ครือขา่ ย
ขั้นที่5 G ( Goal) เป้าหมายในการจัดการเรียนการสอนเพ่ือมงุ่ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
7.3 วธิ เี กบ็ รวบรวมข้อมูล
ดาเนินเก็บรวบรวมข้อมูลจากการพฒั นาทกั ษะการพดู ภาษาอังกฤษ รายวิชาภาษาอังกฤษเพิม่ เติม โดยใช้
กระบวนการเรียนรู้แบบ DUANG MODEL สาหรบั นักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ดังน้ี
1. นาแบบฝึกบทสนทนาความสามารถดา้ นการพูดภาษาอังกฤษให้นกั เรียนฝกึ พดู โดยผูส้ อนทาการบันทึก
การพดู ลงในแบบสงั เกตพฤติกรรมการพดู
2. หลังจากทน่ี ักศึกษาฝึกพดู จนครบทง้ั 5 ชุด นาผลที่ไดม้ าหาค่าเฉลีย่ คะแนนของ นักเรียนจากแบบ
สังเกตพฤติกรรมด้านการพดู
7.4 วิธีการวเิ คราะหข์ อ้ มูล
ดาเนินการวเิ คราะหข์ อ้ มูลตามลาดับดังต่อไปนี้
1. วเิ คราะหค์ วามสามารถทางการพดู ภาษาองั กฤษของนักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5/1 โดยใช้ กระบวนการ
เรียนร้แู บบ DUANG MODEL โดยการหาคา่ สถติ ิพน้ื ฐาน เช่นการหาคา่ เฉล่ยี (Mean)
2. เปรียบเทียบความสามารถทางการพดู โดยการใชแ้ บบฝึกกอ่ นและหลังเรียน โดยใช้ค่าร้อยละ
(Percentage)
7.5 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
การพัฒนาทักษะการพูดภาษาองั กฤษ รายวชิ าภาษาอังกฤษเพ่ิมเตมิ โดยใช้กระบวนการ เรียนรแู้ บบ
DUANG MODEL สาหรับนักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 5 ในครงั้ น้ี ได้นาเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู โดยมี ผล
การศกึ ษาตามรายละเอยี ดดังนี้
ตารางแสดงการเปรยี บเทยี บผลจากคะแนน Pre Test/ Post Test ของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5/1
ท่ี ชอื่ -สกลุ คะแนนกอ่ นเรยี น คะแนนหลังเรียน ผลต่างคะแนน รอ้ ยละของที่
(20) (20) ก่อน- หลัง เพมิ่ ขึ้น
1 นายคชาธปิ พรหมจนั ทร์ 6 16 10 33.33
2 นายจริ ศักดิ์ วงคพ์ รม 8 16 8 26.66
3 นายชาครติ บุญจง 13 19 6 20.00
4 นายดลฤทธ์ิ คาสาร 6 16 10 33.33
5 นายพงษธร มงคลมาตย์ 10 15 5 16.66
6 นายพีรวัฒน์ ศาลารมย์ 14 16 2 6.66
ที่ ช่อื -สกลุ คะแนนกอ่ นเรยี น คะแนนหลังเรียน ผลต่างคะแนน รอ้ ยละของที่
(20) (20) กอ่ น- หลัง เพ่มิ ขึ้น
7 นายวภิ ู นาคา 10 15 5 16.66
8 นายวรี ศักดิ์ ดวงซุย 14 16 2 6.66
9 นายวราวุธ ศรไี กรพักตร์ 12 16 4 13.33
10 นายอธิวุฒิ ปะวะเสนงั 11 17 6 20.00
11 นางสาวกลุ าพร อรศรี 14 16 2 6.66
12 นางสาวจิรพัชร คามนั่ 6 17 9 30.00
13 นางสาวณฐั ฐาภรณ์ อระวงศ์ 12 15 3 10.00
14 นางสาวธิญาดา สุกุ 6 16 6 20.00
15 นางสาวธิดารัตน์ สมี าชยั 12 18 6 20.00
16 นางสาวนทั ทญา สขุ เกษม 8 15 7 23.33
17 นางสาวพรไพลนิ มาศเหลอื ง 10 15 5 16.66
18 นางสาวพมิ พม์ าดา เสมอภาพ 6 16 10 33.33
19 นางสาวมนรดา ธรรมชาติ 14 19 5 16.66
20 นางสาววรศิ รา ปุยวงค์ 10 16 6 20.00
21 นางสาวลลติ า เครือ่ งทพิ ย์ 7 16 9 30.00
22 นางสาวศิรญิ ากร นามโคตร 12 17 5 16.66
23 นางสาวศภุ สิ รา บุญสูง 16 19 3 10.00
24 นางสาวสุชาวดี วงค์แสนชัย 10 16 6 20.00
25 นางสาวอรปรียา อรศรี 6 15 9 30.00
26 นางสาวอริสา หอมหวล 14 18 4 13.33
27 นางสาวพจิ ติ รา มสี ด 8 15 7 23.33
28 นายกฤษณพงษ์ ศรีโส 6 16 10 33.33
29 นายเกษมสุข เสนารนิ ทร์ 8 16 8 26.66
30 นายกติ ติพร วงศ์ชาชม 6 15 9 30.00
รวม 295 488 187 623.24
ค่าเฉล่ยี 9.83 16.27 6.23 20.77
จากตาราง พบวา่ คะแนนเฉลี่ยกอ่ นเรียนของนักเรียนเท่ากับ 9.83 และคะแนนเฉลยี่ หลังเรยี นของนักเรียน
เท่ากับ 16.27 เม่อื พิจารณาแล้วพบวา่ โดยภาพรวมคะแนนหลงั เรยี นของนักเรยี นจะสูงกว่าก่อนเรยี น โดยมีผลตา่ ง
ของ คะแนนอยู่ระหว่าง 10-2 คะแนน คิดเป็นรอ้ ยละ 33.33 – 6.66
8. ผลทเ่ี กดิ ขึ้นจากการดาเนินงาน
สรุปผลการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ รายวิชาภาษาอังกฤษเพ่ิมเติม โดยใช้ กระบวนการเรียนรู้
แบบ DUANG MODEL สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนนาวังวิทยา จังหวัด อานาจเจริญ
ปรากฏผลดงั นี้
1.การพัฒนาทักษะการพูดภาษาองั กฤษ รายวชิ าภาษาอังกฤษเพิ่มเตมิ โดยใช้ กระบวนการเรียนรูแ้ บบ
DUANG MODEL สาหรับนักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5/1 โรงเรียนนาวงั วิทยาอยใู่ น ระดับผา่ นเกณฑ์(X = 16.27)
2. ผลสมั ฤทธิ์ของการพฒั นาทักษะการพดู และการเขียนภาษาองั กฤษ รายวิชาภาษาองั กฤษเพ่ิมเตมิ โดย
ใช้กระบวนการเรยี นรแู้ บบ DUANG MODEL สาหรับนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรยี นนาวังวิทยา จานวน
30 คน พบว่าจากการเปรียบเทยี บคะแนนการทดสอบกอ่ นและหลงั การเรยี น เมื่อพิจารณาแลว้ พบวา่ โดยภาพรวม
คะแนนหลงั เรียน (X = 16.27) สงู กวา่ ก่อนเรยี น )X = 9.83) โดยมีผลต่างของคะแนนอยู่ระหวา่ ง 10-2 คะแนน
คดิ เปน็ ร้อยละ 33.33 – 6.66
9. สรปุ ส่งิ ที่เรยี นร้แู ละการปรับปรงุ ใหด้ ีขึ้น
จากการวิเคราะห์การศึกษาการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ รายวิชาภาษาอังกฤษเพิ่มเติม โดยใช้
กระบวนการเรียนรู้แบบ DUANG MODEL สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 โรงเรียนนาวังวิทยา ขอ
อภปิ รายผลตามวัตถปุ ระสงค์ ดังนี้
1. ผลการวิเคราะห์การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ DUANG MODEL
ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 5/1 โรงเรียนนาวังวิทยา อยู่ในระดับดี ท้ังนี้อาจเนื่องมาจากการใช้ รูปแบบการ
สอนแบบ DUANG MODEL ช่วยให้ผเู้ รียนเกดิ การเรียนร้แู บบมีลาดับขนั้ ตอน ผู้เรียนได้ฝึกฝนการพดู มีเครอื ขา่ ยใน
การช่วยเหลือการสร้างความเข้าใจในการพดู เพ่ือให้บรรลุจุดมุ่งหมายของการอา่ น ครูผู้สอนได้ช่วยสร้างบรรยากาศ
ใน การเรียนรู้ให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในการพูด เพ่ือบรรลุเป้าหมายของการอ่านจับใจความสาคัญ ให้ผู้เรียนได้
ปฏิบัติ ทุกข้ันตอนได้ด้วยตนเอง การให้กาลังใจ การสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นกับการเรียนรู้
เปิดโอกาส ให้ผู้เรียนแสดงความคิด และผู้เรียนตระหนักได้ว่าตนสามารถนาาวิธีการเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ใน
การศกึ ษาได้ จาก การสอนดังกล่าวจึงส่งผลให้ผเู้ รียนสามารถพัฒนาทกั ษะการพดู ภาษาอังกฤษหลังการสอนอยู่ใน
ระดบั ดี
2. ผลการวิเคราะห์การเปรยี บเทยี บการพัฒนาทักษะการพดู ภาษาอังกฤษ ก่อนเรยี น และหลังเรียน โดย
ใช้กระบวนการเรียนรู้ DUANG MODEL ของนักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปี ท่ี 5/1 พบว่า มคี วาม แตกตา่ งกนั อย่าง
ชดั เจน ทีไ่ ดร้ บั การจดั การเรยี นรแู้ บบ DUANG MODEL มีความสามารถทางภาษาองั กฤษดา้ นการพูดหลงั เรียนสูง
กวา่ กอ่ นเรียน ที่เป็นเช่นนีเ้ น่อื งจากการสอนโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ DUANG MODEL เน้นให้ผู้เรยี นได้ฝึกฝน
การพูดและมเี ครอื ข่ายในการช่วยเหลือ ในการสรา้ งความเขา้ ใจในการพดู ภาษาอังกฤษ วิธีการน้ีทา ใหผ้ ู้เรยี นมุ่ง
ไปสู่ความสาเร็จในการพูดภาษาอังกฤษกับคนอ่ืน ทาให้การพูดกับคนอ่นื เป็นไปอยา่ งมีจุดหมาย และช่วยใหผ้ ู้เรียน
ได้ ใช้โครงสรา้ งความร้ใู นทไ่ี ด้รบั การฝกึ ฝนมาทุกขน้ั ตอน นอกจากนี้ยังมแี ผนการจดั การเรียนรู้ สอ่ื การเรยี นรู้ และ
แบบฝึกหัด สง่ ผลใหผ้ เู้ รยี นมคี วามสามารถทางการทางการพดู หนา้ หอ้ งเรยี นสงู ขนึ้ หลงั จากการสอน
10. ข้อเสนอแนะและแนวทางการพฒั นาอยา่ งตอ่ เน่อื ง
1. ควรมีการสร้างแบบฝึกทักษะเพ่ือพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษท่ีหลากหลาย เพ่ือให้ ผู้เรียนเกิด
ความสนใจ ไดเ้ รียนร้แู ละลงมือทาแบบฝกึ ดว้ ยตนเอง
2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกพูดเพิ่มเติมโดยอาจใช้แบบฝึกทักษะที่หลากหลายและมีหลายระดับ เพื่อให้
ผ้เู รยี นสามารถหยบิ ยืมไปอา่ นไดเ้ อง
3. ครูควรได้รับพัฒนาในการจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ การจัดทานวตั กรรมและการจัดทางานวิจัยเพ่ือ
แกป้ ญั หาในช้นั เรยี นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บรรณานุกรม
กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2551). หลกั สูตรการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน. กรุงเทพฯ: คุรุสภาลาดพร้าว.
เฉลิม ทองนวล. เทคนคิ การสอนภาษาองั กฤษเพื่อการสื่อสาร. กรุงเทพฯ: ไฮเอ็ดพับลชิ ชง่ิ , 2557.
สนุ ันทา แก้วพันช่วง. (2550). การพัฒนาทักษะการพดู ภาษาองั กฤษของนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 6 โดย
ใชก้ ิจกรรมภาษาเพื่อการส่ือสาร. (วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบณั ฑติ ). มหาวิทยาลัย ศรีนครนิ ทรวโิ รฒประสานมติ ร
, กรุงเทพมหานคร.
สุมิตรา อังวัฒนกุล. (2540). แนวคิดและเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษระดบั มัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ : โรง
พิมพ์จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
แสงระวี ดอนแก้วบัว. (2558). ภาษาศาสตร์สาหรับครูสอนภาษาอังกฤษ.กรุงเทพฯ : ส านักพิมพ์ แห่ง
จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
อุมาพร ภูพานเพชร. (2547). ผลการใช้กิจกรรมการพูดเพื่อการสื่อสารในการพัฒนาความสามารถ ด้าน
การพูดของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปที่ 1. สารนิพนธ ศศ.ม. (การสอนภาษาอังกฤษในฐานะ
ภาษาตา่ งประเทศ). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. ถายเอกสาร
ภาคผนวก
แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี 1
รายวชิ า ภาษาองั กฤษเพ่ิมเติม รหัสวิชา อ32203
กล่มุ สาระการเรยี นร้ภู าษาต่างประเทศ ระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 5
หนว่ ยการเรียนรู้ Personal Identification เร่ือง Daily Routines
สอนวันท่ี 22 – 26 สิงหาคม 2565 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565
…………………………………………………………………………………………………..
1. มาตรฐานการเรยี นรู้และตวั ชี้วดั ที่เก่ียวข้อง
มาตรฐาน ต 1.2 มีทกั ษะการสอ่ื สารทางภาษาในการแลกเปลยี่ นข้อมลู ข่าวสาร แสดงความรสู้ กึ และความ
คิดเหน็ อยา่ งมีประสิทธิภาพ
ตวั ชวี้ ดั ต 1.2 ม. 5/1 สนทนาและเขยี นโต้ตอบข้อมลู เก่ียวกับตนเองและเร่ืองต่างๆ ใกลต้ วั
ประสบการณ์ สถานการณ์ ข่าว /เหตกุ ารณ์ ประเด็นทอี่ ยใู่ นความสนใจของสังคม และสือ่ สารอย่างต่อเนื่องและ
เหมาะสม
มาตรฐาน ต 1.3 นาเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเหน็ ในเรื่องต่างๆโดยการพดู และเขยี น
ตัวช้ีวดั ต 1.3 ม. 5/1 พดู และเขยี นนาเสนอข้อมลู เกีย่ วกบั ตนเองประสบการณ์ ข่าว/เหตุการณ์ เร่ือง
และประเด็นตา่ งๆ ท่ีอยใู่ นความสนใจของสงั คม
2. ผลการเรยี นรู้
ขอ้ ที่ 2 พูดและเขียนเพ่อื ให้ข้อมูล บรรยาย อธบิ าย เปรยี บเทยี บ และแสดงความคิดเห็นท้งั เรือ่ งสว่ นตวั
ข่าว และเหตกุ ารณ์ต่างๆ ได้อยา่ งเหมาะสม
3. สาระสาคัญ
การเรียนรู้คาศัพทเ์ กี่ยวกบั กิจวตั รประจาวัน คาวเิ ศษณบ์ อกความถี่ ประโยคในรปู แบบ Present simple
tense และ Adverb of frequency เปน็ การวางรากฐานท่ีดีและเปน็ ประโยชนท์ ีจ่ ะนาไปใชใ้ นการส่อื สารใน
ชีวิตประจาวันและการศึกษาต่อในระดบั ทีส่ งู ขนึ้
4. จุดประสงค์การเรียนรู้
4.1 เติมคากรยิ าลงในช่องวา่ ง โดยใช้ Present simple tense ไดถ้ ูกต้อง
4.2 แตง่ ประโยคโดยใชค้ าวิเศษณ์บอกความถ่ีได้ถูกต้อง
4.3 เขียนเก่ยี วกบั กจิ วัตรประจาวันของตนเองและพดู นาเสนอไดถ้ กู ต้อง
5 สาระการเรียนรู้
5.1 Vocabulary: get up, wake up, have a shower, have breakfast, have lunch, have
dinner, go to school, go to work, go home etc.
5.2 Structure: Present Simple Tense
5.3 Function: Talk about daily routines
6 สื่อการเรียนรู้
6.1 VDO นาเข้าสู่บทเรียน เรอื่ ง My Daily Routine
6.2 Text 1, 2
7 ภาระงาน/ชิน้ งาน
7.1 เขียน Daily routines
7.2 จดั ทา VDO clip เรอื่ ง My daily routines
8 ทกั ษะผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (3Rs 8Cs 2Ls)
8.1 ทักษะในสาระวิชาหลัก (3Rs)
8.1.1 Reading (อา่ น)
8.1.2 Writing (เขียน)
8.1.3 (A)Rithemetics (คณติ ฯ)
8.2 ทักษะการเรียนรแู้ ละนวัตกรรม (8Cs)
8.2.1 Critical Thinking and Problem Solving (การคิดวจิ ารณญาณและ
แก้ปญั หา
8.2.2 Creativity and Innovation (การสร้างสรรค์และนวตั กรรม)
8.2.3 Cross-cultural Understanding (ความเขา้ ใจความต่างวัฒนธรรม)
8.2.4 Collaboration, Teamwork and Leadership (การทางานเปน็ ทมี ภาวะ
ผู้นา)
8.2.5 Communications, information, and Media Literacy (การสือ่ สาร
สารสนเทศ)
8.2.6 Computing and ICT Literacy (ทักษะดา้ นคอมพิวเตอรแ์ ละเทคโนโลย)ี
8.2.7 Career and Learning Skills (ทกั ษะอาชพี และการเรยี นร)ู้
8.2.8 Compassion (คณุ ธรรม เมตตา กรุณา ระเบยี บวินยั )
9 สมรรถนะที่สาคญั ชองผเู้ รยี น
9.1 ความสามารถในการสอ่ื สาร
9.2 ความสามารถในการคิด
9.3 ความสามารถในการแก้ปญั หา
9.4 ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ
9.5 ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
10 คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 10.2 ซื่อสตั ยส์ จุ รติ
10.1 รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ 10.4 ใฝเ่ รยี นรู้
10.3 มวี นิ ยั 10.6 มงุ่ มนั่ ในการทางาน
10.5 อยูอ่ ย่างพอเพียง 10.8 มีจิตสาธารณะ
10.7 รักความเปน็ ไทย
11 ความสัมพนั ธก์ บั กลุม่ สาระการเรยี นรู้อืน่
11.1 กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
12 กจิ กรรมการเรียนรู้
ครู นกั เรียน
ขั้นนาเข้าสู่บทเรยี น (Introduction) 1. นกั เรียนทักทายครู
1. ครูทกั ทายนักเรยี น 2. นกั เรียนดวู ดิ โี อเรื่อง My daily routines
2. ครใู หน้ กั เรียนดวู ดิ ีโอเรอ่ื ง My daily routines
เพ่ือนาเขา้ ส่บู ทเรยี น เพอ่ื นาเข้าสู่บทเรยี น
3. ครถู ามคาถามจากวดิ โี อ เชน่ 3. นกั เรยี นตอบคาถามจากวดิ โี อ เชน่
- What time does she wake up?
- What does she have for breakfast? - She wakes up at ……………..
4. ครูแจง้ จดุ ประสงคใ์ นการเรียน - She has……..….for breakfast.
4. นักเรียนรบั ฟังถึงจดุ ประสงค์ของการ
ขน้ั นาเสนอเน้อื หา (Presentation) เรียนรู้
1. ครแู จกใบความรู้ Vocabulary แล้วแนะนา
คาศัพทใ์ หมใ่ ห้นกั เรียนออกเสยี งตามพรอ้ มท้งั 1. นกั เรียนรบั ใบความรู้ Vocabularyแล้ว
ใหน้ ักเรยี นเดาความหมายของคาศัพทจ์ าก ออกเสยี งคาศพั ทต์ ามทีละคาพร้อมท้ังทา
รูปภาพท่ีให้มา และเดาจากคาจากัดความที่ให้ ความเขา้ ใจความหมายของคาศพั ท์โดยเดา
มา ความหมายของคาศัพทจ์ ากรปู ภาพที่ใหม้ า
2. ครแู จก Text 1 แลว้ อธิบายหลักการใช้ และเดาจากคาจากดั ความทใ่ี ห้มา
Present simple tense ให้นกั เรยี นฟัง 2. นักเรียนรบั Text 1 แลว้ ฟังครูอธิบาย
3. ครูแจก Text 2 แลว้ อธิบายหลักการใชค้ า หลักการใช้ Present simple tense
วิเศษณ์บอกความถ่ี (Adverb of frequency) 3. นักเรียนรบั Text 2 แลว้ ฟังครอู ธิบาย
ให้นักเรยี นฟัง หลกั การใช้คาวิเศษณบ์ อกความถี่ (Adverb
of frequency)
ขน้ั ฝกึ (Practice)
Activity 1 : Present simple tense 1. นักเรยี นฟงั ครอู ธบิ ายขน้ั ตอนการทา
1. ครอู ธบิ ายขัน้ ตอนการทา 2. นักเรียนรบั Activity 1 จากครู
2. ครแู จก Activity 1 เปน็ กจิ กรรมให้นกั เรยี นเตมิ
3. นกั เรียนแตล่ ะคนทากิจกรรม เม่อื
คากริยาลงในช่องวา่ ง โดยใช้ Present simple หมดเวลานกั เรยี นส่ง Activity 1
tense ทีเ่ รยี นมา
3. ครกู าหนดเวลา 10 นาทีในการทากจิ กรรม เมอ่ื 1. นักเรียนฟงั ครูอธบิ ายขนั้ ตอนการทา
หมดเวลาครเู ก็บรวบรวม Activity 1 เพอ่ื ตรวจและ 2. นกั เรียนรบั Activity 2 จากครู
ใหค้ ะแนน
Activity 2 : Adverb of frequency 3. นกั เรียนแตล่ ะคนทากจิ กรรม เมอ่ื
1. ครูอธบิ ายข้ันตอนการทา หมดเวลานกั เรยี นส่ง Activity 2
2. ครแู จก Activity 2 เป็นกิจกรรมให้นกั เรยี นแต่ง
ประโยคโดยใช้ Adverb of frequency
3. ครูกาหนดเวลา 10 นาทีในการทากจิ กรรม เมอื่ หมด
เวลาครูเก็บรวบรวม Activity 2 เพื่อตรวจและให้
คะแนน
(ตอ่ ) นกั เรยี น
ครู 1. นกั เรยี นรบั ตวั อย่างงานเขียน Daily
ขน้ั การนาไปใช้ (Production) routines และฟงั ครอู ธิบาย
Activity 3 : Writing and Speaking daily
routines 2. นกั เรยี นรบั Activity 3
3. นกั เรยี นแลกเปล่ยี นงานเขยี นกบั เพื่อน
1. ครูแจกตัวอยา่ งการเขยี น Daily routines
พร้อมทัง้ อธบิ ายให้นกั เรยี นฟัง พรอ้ มแสดงความคดิ เหน็
4. นักเรยี นจบั คูฝ่ กึ พูดเกย่ี วกบั Daily
2. ครแู จก Activity 3 และกาหนดเวลาในการทา
10 นาที routines ของตนเอง
5. นักเรียนสง่ Activity 3
3. ครใู ห้นกั เรยี นแลกเปล่ยี นงานเขยี นซ่งึ กนั และกัน
4. ครูใหน้ ักเรียนจบั คูฝ่ ึกพูดเกี่ยวกบั Daily
routines ของตนเอง
5. ครใู ห้นักเรียนรวบรวม Activity 3 สง่ ครเู พ่อื
ตรวจและให้คะแนน
13 กจิ กรรมการเรียนรู้
ส่ิงทป่ี ระเมนิ วธิ ีประเมนิ เคร่ืองมือประเมิน เกณฑ์ประเมิน
Activity 1: Present ครตู รวจใบงาน และให้ ใบงาน Activity 1: นกั เรียนได้คะแนน รอ้ ย
simple tense คะแนน
Present simple tense ละ 70 ขนึ้ ไป ถือวา่ ผา่ น
เกณฑ์
Activity 2: Adverbs of ครตู รวจใบงาน และให้ ใบงาน Activity 2: นกั เรยี นได้คะแนน รอ้ ย
frequency คะแนน Adverbs of frequency ละ 70 ขึ้นไป ถอื ว่าผ่าน
เกณฑ์
Activity 3: Writing and ครูตรวจใบงาน และให้ แบบประเมนิ การเขียน นกั เรียนได้รบั การ
speaking daily คะแนน และการพูด ประเมินในระดบั
routines คณุ ภาพดีข้ึนไป ถือวา่
ผา่ นเกณฑ์ การประเมนิ
การมคี ุณลักษณะอันพงึ ตรวจให้คะแนนตามแบบ แบบประเมิน คณุ ลกั ษณะ นักเรียนได้รบั การ
ประสงค์ มีความ ประเมนิ อันพึงประสงค์ มีความ ประเมนิ ในระดับ
รบั ผิดชอบ ใฝเ่ รียนรู้ และ รบั ผดิ ชอบ ใฝเ่ รียนรู้ และ คณุ ภาพดีขน้ึ ไป ถือวา่
มุ่งมนั่ ในการ ทางาน ม่งุ ม่นั ในการ ทางาน ผ่านเกณฑ์ การประเมิน
14 บนั ทึกหลงั สอน
14.1 ผลจากการจดั การเรยี นรู้
จากการเรยี นร้ตู ามแผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 1 เรื่อง Daily Routines นกั เรยี นจานวน 30 คน ผลปรากฎ
ดงั น้ี
1. นกั เรยี นปฏบิ ตั ิกิจกรรมใน Activity 1 (Present simple tense) ผ่านคิดเปน็ รอ้ ยละ……………………….
และไม่ผา่ นคิดเปน็ ร้อยละ……………………………
2. นักเรียนปฏบิ ตั ิกจิ กรรมใน Activity 2 (Adverb of frequency) ผ่านคดิ เปน็ ร้อยละ……………………….
และไม่ผ่านคิดเป็นร้อยละ……………………………
3. นักเรียนปฏบิ ตั กิ จิ กรรมใน Activity 3 (Writing and Speaking daily routines) ผา่ นคดิ เป็นร้อย
ละ……………………….และไม่ผ่านคดิ เปน็ ร้อยละ…………………………………………….
4. นกั เรียนผา่ นการประเมนิ สมรรถนะท่สี าคญั ผ่านคิดเปน็ ร้อยละ…………………………………….…………….
และไมผ่ ่านคิดเป็นร้อยละ…………………………………………………….
5. นักเรียนผ่านการประเมินทักษะผเู้ รียนในศตวรรษที่ 21 ผา่ นคดิ เป็นรอ้ ยละ…………………….…………….
และไมผ่ า่ นคดิ เปน็ ร้อยละ…………………………………………………….
6. นักเรยี นผ่านการประเมินคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ผ่านคิดเป็นรอ้ ยละ…………………………….…………….
และไมผ่ า่ นคิดเป็นร้อยละ…………………………………………………….
14.2 เวลาในการจดั การเรียนรู้
ตรงตามแผนฯ นอ้ ยกวา่ แผนฯ มากกว่าแผนฯ
14.3 การใชส้ อ่ื /แหลง่ เรยี นรู้
ตรงตามแผนฯ ไมต่ รงตามแผนฯ เพราะ……………………………………………
14.4 ปัญหาและอปุ สรรค
1. นักเรียนทีไ่ ม่ผา่ นการทดสอบการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม ได้ดาเนินการแก้ไขโดย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………….ผลการแก้ไข ผ่าน ไมผ่ า่ น
2. นักเรยี นทไี่ มผ่ ่านการประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน ไดด้ าเนินการแกไ้ ขโดย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………….ผลการแก้ไข ผา่ น ไมผ่ า่ น
3. นักเรยี นทีไ่ มผ่ า่ นการประเมนิ ทักษะผเู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 ไดด้ าเนินการแก้ไขโดย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………….ผลการแก้ไข ผ่าน ไม่ผ่าน
4. นกั เรียนท่ไี มผ่ า่ นการประเมินคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ ได้ดาเนนิ การแก้ไขโดย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………….ผลการแก้ไข ผ่าน ไม่ผ่าน
14.5 ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………………………………………………
(นางดวงจนั ทร์ เวชกามา)
ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ
ความเหน็ ของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื …………………………………………………
(นางสาวแววมณี สาราญสุข)
ความเหน็ ของฝา่ ยวิชาการ หวั หนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่ือ………………………………………………………
(นางดวงจันทร์ เวชกามา)
ความเหน็ ของผบู้ ริหาร ตาแหนง่ หัวหนา้ ฝ่ายวชิ าการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่ือ…………………………………………
(นายสมสมัคร วุฒเิ จริญกลุ )
ตาแหน่ง ผู้อานวยการโรงเรียนาวังวทิ ยา
Vocabulary
Part A: Write the correct verb phrase in the box below the picture.
go to work do homework get up have breakfast have lunch have dinner
go to school
brush your teeth wake up have a shower go to bed go home
Source: https://learnenglishteens.britishcouncil.org/vocabulary/beginner-
vocabulary/daily-routine
Part B: Match the vocabulary with the correct definition and write a – j
next to the number 1 – 10.
1………… You do this after a long day and just before you fall asleep. a. have dinner
2………… You do this when your alarm clock goes off in the morning. b. go to school
You do this in the morning because it is the most important c. have a shower
3………… meal of the day.
4………… You do this at the dinner table with your family. d. go to bed
5………… You do this to make your body and hair clean. e. go home
6………… You do this after you wake up. f. wake up
You do this so you can meet your friends and learn new
7………… things. g. have breakfast
You do this after school because your teacher will get angry if
you don't. h. brush your teeth
8…………
Your dentist will be pleased if you do this twice a day.
9………… You do this in the afternoon when your classes at school have i. get up
10……… finished. j. do homework
Source: https://learnenglishteens.britishcouncil.org/vocabulary/beginner-
vocabulary/daily-routine
Text 1
Present Simple Tense
Structure: S + V1 (s/es)
Definition: We use the present simple to talk about repeated actions or events,
permanent states or things which are always true. To find out more about
the present simple, read and listen to the conversation below.
Examples:
I usually get up at 7 o'clock.
During the week I have swimming practice on Mondays, I do taekwondo on
Tuesdays and tennis on Thursdays.
We always go on holiday in the summer.
* The main thing is that the third person singular forms end in -s or -es.
That's for he, she or it.
Examples:
He watches black and white films at his cinema club on Wednesdays.
He thinks chess is a sport!
** For questions we use:
do/does + subject + infinitive without to…..?
Examples:
Do you see him on Wednesdays then?
Does Jack like sports?
***For negatives we use:
the subject + do/does + not + infinitive without to.
Examples:
Daisy and Jack don't go out together much at the weekend.
I don't think Coldplay are boring.
Exercise: Write the correct form of the word in the blanket.
1. Alfie (live) in London.
2. Sophie (be) in Thailand today.
3. (do) Tony go swimming a lot?
4. We (not go) to the same school.
5. My dad (have) breakfast before us.
Source: https://learnenglishteens.britishcouncil.org/grammar/beginner-
grammar/present-simple
Text 2
Adverbs of Frequency
Definition: We use adverbs of frequency – like sometimes or usually – to say how
often we do things, or how often things happen.
100% 0%
never
always usually / often sometimes occasionally hardly /
normally ever
Examples:
They always hang out together.
The Northern Lights are usually green.
You normally see them best in September or March.
It’s often cloudy.
Q: What do you notice about the position of the adverbs?
A: They are usually before the main verb, or between the auxiliary and the
main verb. But they come after the verb to be.
Exercise Put the adverbs of frequency in the correct place.
Example: I get up at 7.30 a.m. (usually)
I usually get up at 7.30 a.m.
1. We drink coffee in the evening. (never)
2. She doesn’t go to the cinema on Saturday. (often)
3. They have dinner in a restaurant. (occasionally)
4. We are late. (always)
5. They eat a sandwich for supper. (sometimes)
Source: https://learnenglishteens.britishcouncil.org/grammar/beginner-
grammar/adverbs-frequency
Activity 1
Present Simple Tense
Name Surname Class / No. .
Directions: Read the letter and then choose the correct verb to complete each blank.
(10 points)
play finish go do deliver
show have is wake up send
14, Tobermory Street,
Arinagour,
Isle of Coll
Scotland
22 February 2020
Dear Christina
These photos (1) you my typical day. I wake up at 7.00
(except on Saturdays – on Sundays I always (2) after 9.00)
I (3) cornflakes and two cups of tea for breakfast.
Then I (4) newspapers every morning – except Sundays. Next,
I (5) to school with my friends Alexandra and John. I have lunch
at school. School (6) at 4.15. We usually have dinner at 6 p.m.
My favorite food (7) spaghetti. After dinner, I (8)my homework.
Then I often (9) chess on the Internet against people in Canada,
India, Australia and ……Spain! (10) me photos of your typical day.
Best wishes
Ruth
Source: Student’s Book Different 2
Activity 2
Adverbs of Frequency
Name Surname Class / No. .
Directions: Rewrite the complete sentence using the adverb in the brackets in its
correct position. (10 points)
1. He listens to the radio. (often)
2. They read a book. (sometimes)
2. Peter gets angry. (never)
3. Tom is very friendly. (usually)
4. I take sugar in my coffee. (sometimes)
6. Ramon and Frank are hungry. (often)
7. My grandmother goes for a walk in the evening. (always)
8. Walter helps his father in the kitchen. (usually)
9. They watch T V in the afternoon. (never)
10. Christine smokes. (never)
Source: https://en.islcollective.com/english-esl-
worksheets/grammar/adverbs/adverbs-frequency/15322
Activity 3
Writing Daily Routines
Name Surname Class / No. .
.
Example 1
My daily routine
My name is Adam. I always wake up at 7 o’clock in the morning then I
wash my face, brush my teeth and have a shower. After that, I get
dressed and prepare my school bag. Next, I have my breakfast and
wait for the school bus. At 8 o’clock I go to school and start my first
class. I have four classes in the morning. Next, I have lunch at the
canteen with my friends. The afternoon class starts 1. p.m. and I have
4 classes. The school finishes at 4.30 p.m. Then I play sport with my
friends. I get home at 5.00 p.m. and take a rest. Next, I usually watch
TV then help my mother to prepare dinner. I always have dinner with
my family at 7.00 p.m. Then I do my homework and chat with my
friends. At 9 o’clock I read a book and go to sleep.
Directions: Write your daily routine with your own style. (20 points)
Answer Keys
Vocabulary 2. have lunch
Part A: 4. get up
1. brush your teeth 6. go to school
3. wake up 8. go to bed
5. go to work 10. have a shower
12. have dinner
7. have breakfast
9. go home 2. f
4. a
11. do homework 6. i
8. j
Part B: 10. e
1. d
3. g
5. c
7. b
9. h
Activity 1
1. show 2. wake up
3. have 4. deliver
5. go 6. finishes
8. do
7. is
10. Send
9. play
Activity 2
1. He often listens to the radio.
2. They sometimes read a book.
3. Peter never gets angry.
4. Tom is usually very friendly.
5. I sometimes take sugar in my coffee.
6. Ramon and Frank are often hungry.
7. My grandmother always goes for a walk in the evening.
8. Walter usually helps his father in the kitchen.
9. They never watch T V in the afternoon.
10. Christine never smokes.
Activity 3
- The answers will vary.
แบบบนั ทกึ ผลการปฏิบตั กิ จิ กรรมตามใบงาน
แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี 1 วชิ าภาษาอังกฤษเพม่ิ เตมิ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5/………
ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565
เลขท่ี ใบงาน/กจิ กรรม รวม รอ้ ยละ ผลการประเมิน
Activity 1 Activity 2 Activity 3 (60) ผ่าน ไมผ่ ่าน
(10) (10) (40)
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
เกณฑ์การประเมิน
นักเรยี นได้คะแนนจาการปฏิบตั กิ จิ กรรม Activities 1-3 ตงั้ แต่ร้อยละ 70 ขึ้นไป ถือว่าผา่ นเกณฑ์
ลงชื่อ……………………………………ผปู้ ระเมิน
(นางดวงจันทร์ เวชกามา)
ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ
เกณฑ์การประเมนิ ทกั ษะการเขยี น
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 1 วิชาภาษาอังกฤษเพิ่มเติม ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 5/………
ประเดน็ การ ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 น้าหนกั / คะแนน
ประเมิน ความสาคัญ รวม
การใชภ้ าษา เกณฑ์การประเมิน/ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
3 12
เนื้อหา 4321
การสะกด การสะกด สะกดคาผิดมาก สะกดผิดมาก
คาศัพท์ถูกต้อง คาศพั ท์ผดิ แตพ่ อเดา เขียนรูป
การเลอื กใชค้ า เล็กนอ้ ย พอเดา ความหมายได้ ประโยคไม่
ตรงกบั เนื้อหา ความหมายได้ รปู ประโยค ถกู ตอ้ ง ไม่มี
ประโยคถกู ต้อง เขยี นรปู ผดิ พลาดมาก เครื่องหมาย
มเี ครอื่ งหมาย ประโยคผดิ หลัก เคร่ืองหมาย วรรคตอน
วรรคตอนท่ี ไวยกรณ์ วรรคตอนไม่
ถูกตอ้ ง เลก็ น้อย ครบหรอื ไม่
เครื่องหมาย ถูกตอ้ ง
วรรคตอนผดิ
เลก็ น้อย
มีรายละเอียด รายละเอยี ด มีรายละเอยี ด มรี ายละเอียด 2 8
เนอ้ื หาตรงกับ ของเนื้อหา ของเน้ือหา ของเนื้อหา
ลกั ษณะท่ี มากแต่ยังไม่ นอ้ ย น้อยมาก
กาหนดมาก ครอบคลุม
ที่สุด ทง้ั หมด
รวม 5 20
เกณฑก์ ารประเมิน
ระดบั คณุ ภาพ ปรับปรงุ พอใช้ ดี ดมี าก
คะแนน 0-10 10-12 13-15 16-20
นักเรียนได้คะแนนตัง้ แตร่ ะดับคณุ ภาพดี (13-15 คะแนน) ขึ้นไป ถือวา่ ผา่ นเกณฑ์
เกณฑก์ ารประเมินทกั ษะการพูด
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 1 วิชาภาษาอังกฤษเพมิ่ เติม ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5/………
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565
ประเดน็ การ เกณฑ์การประเมนิ / เกณฑก์ ารให้คะแนน น้าหนกั / คะแนน
ประเมนิ ความสาคัญ รวม
4321
ความถูกต้อง
ด้านเนอ้ื หา สอื่ สารไดต้ รง สือ่ สารได้ตรง ส่อื สารไดต้ รง สื่อสารไม่
ประเด็น ประเด็นเป็น ประเดน็ เป็น คอ่ ยตรง 2 8
เน้อื หาถูกตอ้ ง สว่ นใหญ่ บางส่วน ประเด็น
ตามหวั ข้อที่ เนอ้ื หาถูกต้อง เนือ้ หาถูกต้อง เนือ้ หาไมค่ ่อย
กาหนด เปน็ ส่วนใหญ่ เปน็ บางส่วน ถกู ต้อง
การออกเสียง ออกเสียง ออกเสยี งได้ ออกเสยี งได้ ออกเสยี งไม่ 2 8
ใชค้ าศัพท์ ถกู ต้อง ใช้ ถกู ต้องเปน็ ถูกต้องเปน็ ถกู ต้อง ใช้ 1 4
สานวนและ คาศัพท์ สว่ นใหญ่ ใช้ บางสว่ น ใช้ คาศัพท์ 5 20
โครงสร้าง สานวนและ คาศัพท์ คาศัพท์ สานวนและ
ภาษา โครงสรา้ ง สานวนและ สานวนและ โครงสรา้ ง
ภาษาถกู ต้อง โครงสร้าง โครงสรา้ ง ภาษาแบบ
ความสามารถ และเหมาะสม ภาษาถกู ต้อง ภาษาแบบ ง่ายๆและมี
ในการพดู
เปน็ ส่วนใหญ่ งา่ ยๆและมี ขอ้ ผดิ
ข้อผดิ บา้ ง
พูดได้ พดู ได้ พูดได้ พดู เหมือน
คลอ่ งแคลว่ คล่องแคลว่ คลอ่ งแคล่ว ทอ่ งจา
เปน็ ธรรมชาติ เปน็ ธรรมชาติ เปน็ ธรรมชาติ ประสาน
ประสาน ประสาน ประสาน สายตากับ
สายตากับ สายตากับ สายตากบั ผฟู้ ังบา้ งเปน็
ผู้ฟงั ผฟู้ งั ผฟู้ ังน้อย ระยะ
แสดงออกสี แสดงออกสี
หน้าและ หน้าและ
ทา่ ทางอย่าง ทา่ ทางบ้าง
เหมาะสม เลก็ นอ้ ย
รวม
เกณฑ์การประเมนิ
ระดบั คุณภาพ ปรบั ปรงุ พอใช้ ดี ดมี าก
คะแนน 0-10 10-12 13-15 16-20
นักเรียนได้คะแนนตัง้ แตร่ ะดับคุณภาพดี (13-15 คะแนน) ขึน้ ไป ถือวา่ ผา่ นเกณฑ์
เกณฑก์ ารประเมินคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 1 วิชาภาษาอังกฤษเพมิ่ เตมิ ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5/………
ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565
ประเดน็ การ เกณฑ์การประเมิน/ เกณฑก์ ารให้คะแนน นา้ หนัก/ คะแนน
ประเมิน ความสาคญั รวม
4 321
มวี ินยั เขา้ เรียนตรง เข้าเรียนตรง เข้าเรียนตรง เข้าชา้ แต่ง 4
เวลา แต่งกาย เวลา แตง่ กาย เวลา แตง่ กาย กายถูกต้อง 1
เรียบรอ้ ย ทา เรยี บรอ้ ย ทา เรยี บรอ้ ย แตไ่ ดร้ ับการ
กจิ กรรมสง่ กิจกรรมสง่ ปฏิบตั ิ ตกั เตอื นให้
งานครบตรง งานครบตรง กจิ กรรมส่ง ทากิจกรรม
ตามเวลา ตามเวลาแต่ งานชา้ กว่า
ใฝ่เรยี นรู้ ไม่สมา่ เสมอ เวลาทีก่ าหนด 2 8
กระตือรอื ร้น กระตือรอื รน้ สบื ค้นขอ้ มูล สบื คน้ ข้อมูล
ในการสืบค้น ในการสืบค้น ทากจิ กรรม ทากิจกรรม
ขอ้ มลู ทา ข้อมูล ทา ดว้ ยตนเอง โดยได้รบั คา
กจิ กรรม และ กิจกรรม และ ตักเตือนจาก
พฒั นางาน พฒั นางาน ครู
ดว้ ยตนเอง ด้วยตนเองแต่
อยา่ ง ไมส่ มา่ เสมอ
สม่าเสมอ 2 8
มุ่งม่ันในการ ทางานด้วย ทางานดว้ ย ทางานด้วย ทางานโดยได้
ทางาน ความขยนั ความขยัน ความขยนั รับคา
และพยายาม และพยายาม และพยายาม ตกั เตอื นจาก
เพ่อื ใหง้ าน เพือ่ ใหง้ าน เพ่ือให้งาน ครู
เสรจ็ ตาม เสรจ็ ตาม เสรจ็ ตามที่
เป้าหมายและ เปา้ หมาย ไดร้ ับ
ช่นื ชมผลงาน มอบหมาย
ดว้ ยความ
ภาคภมู ิใจ 5 20
รวม
เกณฑก์ ารประเมิน
ระดบั คณุ ภาพ ปรบั ปรุง พอใช้ ดี ดมี าก
คะแนน 0-10 10-12 13-15 16-20
นักเรยี นได้คะแนนต้ังแตร่ ะดับคณุ ภาพดี (13-15 คะแนน) ข้ึนไป ถือวา่ ผ่านเกณฑ์
แบบฝกึ บทสนทนาชดุ ท่ี 1
Greetings
Conversation I
A: Hi, how are you doing?
B: I'm fine. How about yourself?
A: I'm pretty good. Thanks for asking.
B: No problem. So how have you been?
A: I've been great. What about you?
B: I've been good. I'm in school right now.
A: What school do you go to?
B: I go to PCC.
A: Do you like it there?
B: It's okay. It's a really big campus.
A: Good luck with school.
B: Thank you very much. Conversation II
A: How's it going?
B: I'm doing well. How about you?
A: Never better, thanks.
B: So how have you been lately?
A: I've actually been pretty good. You?
B: I'm actually in school right now.
A: Which school do you attend?
B: I'm attending PCC right now.
A: Are you enjoying it there?
B: It's not bad. There are a lot of people there.
A: Good luck with that. B: Thanks.
แบบฝึกบทสนทนาชดุ ท่ี 2
Weather
Conversation I
Jane: Hi, do you want to go and get some lunch?
Lucy: Yes, that would be great.
Jane: I want to try the new café on the corner of the High Street.
Lucy: Are you sure, it’s very small and we may have to sit outside.
Jane: Yes that’s why I want to go. It’s autumn already and the weather
might not be good for eating outside again until the spring.
Lucy: It looks as if it might rain soon. There has been some drizzle this
morning.
Jane: No, the sky is clear and you can see the sun. That will make it
warm.
Lucy: But there’s a gusty wind that makes it a bit chilly.
Jane: We can wear out coats. It’s been overcast for weeks. I want to sit in
the sun for a bit.
Lucy: Ok, but if it starts to snow we have to go inside, alright.
Conversation II
Mr Bean: Good morning!
Shopkeeper: Morning. How’s are you today?
Mr Bean: Not so bad, thanks, you?
Shopkeeper: Am good, apart from all this rain! It’s chucking down again!
Mr Bean: Yes, it’s awful, isn’t it? And it is very cold!
Shopkeeper: The weather forecast said it will brighten up after lunch.
Mr Bean: They always say that! Still, I can’t complain it’s a lot warmer
than back home. Shopkeeper: Really? Where are you from?
Mr Bean: Am from Russia
Shopkeeper: What’s the weather like in Russia now?
Mr Bean: Freezing cold, and snowing.
Shopkeeper: Right! So this must be like summer for you!
Mr Bean: Right! But I do like the snow sometimes.
แบบฝกึ บทสนทนาชุดท่ี 3
Talking on the Phone
Conversation I
A: This is John. May I speak with Ann?
B: Yes, this is Ann speaking.
A: Ann. How are you today?
B: Oh, things are going great. What's up?
A: I was wondering if you could meet me tomorrow for lunch.
B: Sure! Where did you have in mind?
A: I was thinking of Joe's in the village.
B: I love that place. Sure, let's go there.
A: Fine then, I'll meet you around twelve.
B: I'll see you there. Look forward to it.
Conversation II
A: May I speak with Lee? This is Ray.
B: Lee here.
A: Lee, I thought that was you. How's it going?
B: I am doing well. How can I help you?
A: I would like to treat you to lunch tomorrow so I can get some
suggestions from you.
B: Sounds like a plan. Where would you like to meet?
A: How about the new Chinese place next door?
B: Yes, that would work well for me.
A: I'll join you around twelve for lunch then.
B: It's a go then. See you there.
แบบฝกึ บทสนทนาชดุ ท่ี 4
Clothes
Conversation I
A: What are you doing here?
B: I'm just shopping.
A: What are you shopping for?
B: Some new clothes. How about you?
A: Same here.
B: Have you found anything nice yet?
A: I found a few pairs of pants.
B: Where'd you get those?
A: I found them at JC Pennies. 45
B: Those are really cute.
A: Do you want me to show you where I found them?
B: I would like that. Thank you.
Conversation II
A: You look really nice today.
B: Thank you. I just got this outfit the other day.
A: Really, where did you get it?
B: I got it from Macy's.
A: It's really nice.
B: Thanks again. You look nice today, too.
A: Thank you. I just got these shoes today.
B: Really? What kind of shoes are they?
A: These are called All Star Chuck Taylors.
B: I really like those. How much did they cost?
A: They were about forty dollars.
B: I think I'm going to go buy myself a pair.
แบบฝกึ บทสนทนาชดุ ที่ 5
Asking and Giving Directions
Conversation I
Man: Excuse me. Can you tell me the way to the bank?
You: Yes, sure. Turn left at the end of this street.
Man: At the traffic lights?
You: Yes. Then go as far as the roundabout.
Man: And at the roundabout?
You: Turn right at the roundabout into Dee Road.
Man: OK ... right at the roundabout.
You: Go down Dee Road. The bank's on the left.
Man: Thank you. You: Goodbye.
Conversation II
Panee: Hello, may we ask you something?
Laura: Certainly.
Panee: I am Panee and this is my classmate Yada.
Laura: okay, I am Laura, what can I help you?
Panee: We want to go to Mrs. Sukdee’s house, can you show us where her
house is?
Laura: Well okay, Mrs. Sukdee’s house is 30 minutes from this junction, go
straight ahead and you’ll see a house painted blue and red gate.
Panee: On which side?
Laser: On the right side of the road. That’s where she lives. Are you her
students?
Panee: Yes we are. Thank you very much.
Laura: You’re welcome.
MODEL
ภาพกิจกรรม