The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ผลงานของบุคคลสำคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย (ร.9 - ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ศุภาวรรณ ชัยยะ, 2023-02-01 05:33:24

ผลงานของบุคคลสำคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย

ผลงานของบุคคลสำคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย (ร.9 - ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี)

ผลงานสำ คัญ คั 1.ด้านการเมืองการปกครอง สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้เข้ารับราชการ แผ่นดินตั้งแต่ในสมัยราชกาลที่ 2 เป็นต้นมาจนถึงรัชกาลที่ 5 ได้มีบทบาทสำ คัญทางการเมืองการปกครอง เช่น ในขณะเป็นพระ ยาศรีสุริยวงศ์ในปลายรัชกาลที่ 3 ได้มีความเห็นร่วมกับเจ้าพระยาพระคลัง และเสนาบดีกรมมหาดไทย พระยาราชสุภาวดี และขุนนางคนอื่นๆ ว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎสมควรเป็นพระเจ้าแผ่นดินสืบต่อจากรัชกาลที่ 3 ยิ่ง กว่าเจ้านายพระองค์อื่นๆ ในรัชสมัยพระบาลสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัวก่อนพระองค์จะเสด็จสวรรคต ได้ทรงมอบหน้าที่รักษาแผ่นดินให้แก่ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ และเมื่อรัชกาลที่ 4 เสด็จสวรรคต เจ้าพระยาศรี สุริยวงศ์ได้เชิญเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ขุนนางผู้ใหญ่ และพระราชาคณะ ผู้ใหญ่มาประชุมอัญเชิญเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานารถ พระราชโอรสในพระบาลสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครอง ราชสมบัติ ขณะที่มีพระชนมมายุเพียง 14 พรรษาเศษ โดยที่ประชุมเห็น สมควรแต่งตั้งให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้สำ เร็จราชการแผ่นดินไป จนกว่าพระบาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระ ชนมายุครบ 20 พรรษา ซึ่งเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ได้ ดำ รงตำ แหน่งเป็นผู้สำ เร็จราชกาลแผ่นดินด้วย ความจงรักภักดี ภายหลังที่พ้นจากตำ แหน่งผู้สำ เร็จ ราชกาลแผ่นดินไปแล้ว ก็ทรงโปรดเกล้าฯ เลื่อนให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ขึ้นเป็น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์


ผลงานสำ คัญ คั 2.ด้านกฎหมาย ในช่วงสมัยที่เป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ดำ รงตำ แหน่งผู้ สำ เร็จราชกาลแผ่นดิน ได้มีผลงานสำ คัญในการตรากฎหมายลด อัตราดอกเบี้ย พ.ศ. 2411 จากเดิมซึ่งคิดเป็นร้อยละ 30-40 หรือ ร้อยละ 50-60 ต่อปี ลดลงเหลือไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งเป็นกฎหมาย สำ คัญที่ช่วยสกัดกั้นมิให้คนต้องกลายเป็นทาสและมีการออกกฎหมาย พยาน พ.ศ. 2413 เพื่อป้องกันมิให้ถ่วงคดี เป็นต้น 3.การต่างประเทศ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์มีส่วนร่วมในการเจรจาทำ สัญญาการค้าและไมตรีกับประเทศมหาอำ นาจตะวันตกเป็นผลสำ เร็จ แม้ จะต้องโอนอ่อนผ่อนตามไปบ้างในยุคล่าอาณานิคม แต่ไทยก็สามารถ รักษาเอกราชไว้ได้ และในปีต่อมาทูตอเมริกันและฝรั่งเศสก็ได้เข้ามาทำ หนังสือสัญญาการค้า โดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ มีส่วน ร่วมทำ สัญญาด้วยโดยมิให้คนไทยเสียเปรียบแก่ต่างประเทศ


ผลงานสำ คัญ คั 4.ด้านการพัฒนาประเทศ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้ทำ นุบำ รุงประเทศ ชาติให้มีความเจริญรุ่งเรืองหลายด้าน เช่น เป็นผู้อำ นวยการสร้าง วังที่เมืองเพรชบุรี ได้สั่งให้รื้อบ้านรกรุงรังติดกำ แพงพระบรมมหาราช วังทั้งด้านในและด้านริมน้ำ ออกจนหมด ขยายถนนรอบกำ แพงเมือง สร้างตึกแถวและตลาดท่าเตียน ขยายถนนบำ รุงเมือง เฟื่องนคร สั่งให้ ขุดคลองนครเนื่องเขตต์ และอำ นวยการขุดคลองเปรมประชากร เป็นต้น 3.การขนบธรรมเนียมประเพณี สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้ริเริ่มประเพณีการทำ บุญ วันกิดเป็นครั้งแรก ซึ่งต่อมาประเพณีนี้ได้แพร่หลายไปในหมู่พระบรม วงศานุวงศ์ และขุนนาง และสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน


ลาลูแบร์


ประวัติ วั ติ "ลาลูแบร์" มีชื่อเต็มว่า "ซีมง เดอ ลา ลูแบร์" (21 เมษายน พ.ศ. 2185-26 มีนาคม พ.ศ. 2272) เป็นราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่ง ฝรั่งเศส เกิด: 21 เมษายน พ.ศ. 2185 สัญชาติ: ฝรั่งเศส เสียชีวิต: 26 มีนาคม พ.ศ. 2272 (86 ปี)


ผลงานสำ คัญ คั 1.ด้านการค้า ในการเจรจากับอยุธยาเพื่อการค้าของฝรั่งเศสทั้งสองฝ่าย ได้ลงนามในสัญญาการค้าที่เมืองลพบุรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2230 ผู็แทนฝ่ายไทยที่ลงนาม คือ ออกญาพระเสด็จผู็รักษา การตำ แหน่งเจ้าพระยาพระคลัง และพระศรีพิพัฒน์รัตนราช สำ หรับผู้ แทนฝรั่งเศส คือ ลาลูแบร์และเซเบเรต์ ลาลูแบร์ผู้นี้นอกจากจะเป็น หัวหน้าคณะทูตจาก ฝรั่งเศสแล้วเขายังได้รับคำ สั่งให้สังเกตเรื่องราว ต่างๆเกี่ยวกับอาณาจักรอยุธยาที่ได้พบเห็นและบันทึกข้อสังเกตทั้งหลาย เหล่านั้นเพื่อกลับไปรายงานให้ราชสำ นักของพระเจ้าหลุยส์ที่14 แห่ง ฝรั่งเศสได้ทรงทราบบันทึกเหล่านี้ได้กลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์


บาทหลวงปาลเลอกัว กั ซ์


ประวัติ วั ติ พระสังฆราชปัลเลอกัวซ์เกิดเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2348 ที่ เมืองโกต-ดอร์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อท่านอายุได้ 23 ปี ท่านก็ได้ ตัดสินใจบวชเป็นบาทหลวง เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2371 ที่เซมินารีของคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส จากนั้นท่านก็ได้รับ มอบหมายให้ไปเผยแผ่ศาสนาคริสต์ที่อาณาจักรสยาม ได้ออกเดินทางเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2371 ถึงสยามเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2372 ในปี พ.ศ. 2381 ท่านได้รับตำ แหน่งอธิการวัดคอนเซ็ปชัญ ท่านได้ปรับปรุงโบสถ์แห่งนี้ ซึ่ง สร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2217 ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แล้วจากถูกทิ้ง ร้างมานาน[3]แล้วย้ายไปอยู่ที่โบสถ์อัสสัมชัญในปี พ.ศ. 2381 จนปี พ.ศ. 2378 พระคุณเจ้าฌ็อง-ปอล-อีแลร์-มีแชล กูร์เวอซี (Jean-Paul-Hilaire-Michel Courvezy) ประมุขมิสซังสยามในขณะนั้นได้แต่งตั้งท่านเป็นอุปมุขนายก (vicar general) แล้วให้ดูแลดินแดนสยามในช่วงที่ท่านไปดูแลมิสซังที่สิงคโปร์ เมื่อ กลับมาก็ได้รับอนุญาตจากสันตะสำ นักให้อภิเษกท่านปาเลอกัวเป็นมุขนายกรอง ประจำ มิสซังสยาม (Coadjutor Vicar Apostolic of Siam) ในปี พ.ศ. 2381 พร้อมทั้งดำ รงตำ แหน่งมุขนายกเกียรตินามแห่งมาลลอส เมื่อมีการแบ่งมิสซัง สยามออกเป็นสองมิสซัง ท่านจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นประมุขมิส ซังสยามตะวันออกเป็นท่านแรก ในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2384 จากนั้นหลุยส์ ลาร์นอดี เดินทางเข้ามาสยาม เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2388 พร้อมกับนำ กล้องถ่ายรูปที่ พระสังฆราชปาลเลอกัวซ์ สั่งซื้อมาจากปารีส มาด้วย


ผลงานสำ คัญ คั 1. ด้านอักษรศาสตร์ บาทหลวงปาลเลอกัวซ์ศึกษาภาษาไทยและบาลีจนมีความรู้ แตกฉาน และได้ทำ พจนานุกรมภาษาไทยขึ้น โดยมีวชิรญาณเถระ ได้ทรงช่วยจัดทำ ด้วย และบาทหลวงปาลเลอกัวซ์ได้ถวายการสอน ภาษาละตินให้พระองค์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำ คัญที่ทำ ให้พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบความรู้และความคิดของชาวตะวันตก นอกจากนี้ บาทหลวงปาลเลอกัวซ์ได้เขียนพจนานุกรมสี่ภาษา คือ ภาษาไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ หรือสัพพะ พะจะนะ พาสาไท พิมพ์ ขึ้นใน พ.ศ. 2397 เขียนหนังสือไวยากรณ์ภาษาไทยเป็นภาษาฝรั่งเศส และแต่งหนังสือเรื่อง "เล่าเรื่องเมืองสยาม" ทำ ให้ชาวยุโรปรู้จักเมือง ไทยดียิ่งขึ้น


ผลงานสำ คัญ คั 2. ด้านศาสนา บาทหลวงปาลเลอกัวซ์ได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่คริสต ศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทย เช่น สร้างสำ นักพระสังฆราช เพื่อเผยแผ่คริสต์ศาสนาที่วัดอัสสัมชัญบางรัก และได้ย้ายจากวัด คอนเซ็ปชัญไปอยู่ที่วัดอัสสัมชัญจนกระทั่งมรณภาพ 3. ด้านวิทยาการตะวันตก บาทหลวงปาลเลอกัวซ์มีความรู้ในด้านภูมิศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมี และมีความรู้ความชำ นาญทาง ด้านวิชาการถ่ายรูป รวมทั้งเป็นผู้นำ วิทยาการถ่ายรูปเข้า มาใoประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2388 โดยสั่งซื้อกล้องถ่ายรูปมาจากฝรั่งเศส และมีฝีมือในการชุบโลหะ ซึ่งบุตรหลานข้าราชการบางคนได้เรียนรู้วิชา เหล่านี้จากท่าน นอกจากนี้บาทหลวงปาลเลอกัวซ์ได้สร้างโรงพิมพ์ ภายในวัดคอนเซ็ปชัญและจัดพิมพ์หนังสือสวดมนต์


หมอบรัด รั เลย์ ดร.แดน บีช บี บรัด รั เลย์


ประวัติ วั ติ บรัดเลย์เป็นชาวเมืองมาร์เซลลัส (Marcellus) รัฐนิวยอร์ก สหรัฐ เกิดวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2347 บุตรคนที่ห้าของนายแดน บรัดเลย์และนางยูนิช บีช บรัดเลย์ บิดาเกิดที่เมืองแฮมเดน รัฐคอน เนตทิคัต ก่อนจะย้ายครอบครัวมายังเมืองมาร์เซลลัสเมื่อ พ.ศ. 2288 บิดา ของหมอบรัดเลย์เป็นผู้หนึ่งที่เริ่มก่อตั้งเมืองมาร์เซลลัส ส่วนมารดา ยูนิช เสีย ชีวิตเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2347 เมื่ออายุ 38 ปี หลังจากที่คลอดหมอบรัด เลย์ ท่านจึงได้มารดาเลี้ยงคือ แนนซี ดูแลในวัยเด็ก บรัดเลย์เลือกศึกษาวิชา แพทย์เพราะในสมัยนั้นต้องการมิชชันนารีเป็นอย่างมาก ระยะแรกศึกษากับ ดร.เอ.เอฟ โอลิเวอร์ ที่เมืองเพนน์แยน โดยพยายามแก้ไขการพูดติดอ่างซึ่ง เป็นมาตั้งแต่วัยรุ่นโดยการเข้ากลุ่มฝึกพูด เขาเคยไปฟังบรรยายทางการแพทย์ที่ ฮาเวิร์ดใน ค.ศ. 1830 และกลับไปฝึกปฏิบัติงานการแพทย์ สลับกับการเป็นครู ในหมู่บ้าน เมื่อสะสมเงินได้เพียงพอจึงไปโรงเรียแพทย์ที่กรุงนิวยอร์ก เพื่อเรียน และสอบได้รับปริญญาแพทย์ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1833 ระหว่างอยู่ที่นิวยอร์ก ได้ปฏิบัติงานหาความชำ นาญ จนสมัครเป็นแพทย์มิชชันนารีกับคณะกรรมการ พันธกิจคริสตจักรโพ้นทะเล (American Board of Commissioners for Foreign Missions) เพื่อทำ งานในเอเชีย


ผลงานสำ คัญ คั 1. ด้านการพิมพ์ หมอบรัดเลย์ได้จัดตั้งโรงพิมพ์หนังสือไทยเป็นคนแรก รวมทั้งคิดสร้างเครื่องพิมพ์ด้วยไม้ ใน พ.ศ. 2397 ต่อมารัชกาลที่ 3 ได้โปรดเกล้าฯ ให้จ้างโรงพิมพ์ของหมอบรัดเลย์พิมพ์หมายประกาศห้าม สูบฝิ่นจำ นวน 9,000 ฉบับ ซึ่งนับเป็นหนังสือราชการชิ้นแรกที่ใช้วิธีการ พิมพ์ ต่อมาหมอบรัดเลย์ได้คิดหล่อตัวพิมพ์อักษรไทยขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2384 นอกจากนี้ ยังได้ออกหนังสือพิมพ์รายเดือนชื่อ "บางกอกรีคอร์เดอร์" โดยตัวท่านเองเป็นบรรณธิการ นับเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับแรกของไทย 2.ด้านการแพทย์ หมอบรัดเลย์เป็นผู้นำ วิชาการแพทย์แผนใหม่มาเผยแพร่ใน ประเทศไทยเป็นคนแรก โดยได้เริ่มผ่าตัดครั้งแรกในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังได้นำ วิธีรักษาโรคแผผนใหม่ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันไข้ ทรพิษมาใช้ในประเทศไทย รวมถึงเผยแพร่ด้านวิทยาศาสตร์และ ดาราศาสตร์เบื้องต้นอีกด้วย 3.ด้านขนบธรรมเนียมประเพณี หมอบรัดเลย์เป้นผู้เผยแพร่ประวัติศาสตร์ไทย ตำ นาน ขนบธรรมเนียมไทย ความรู้ในภาษาไทย รวมถึงศาสนา และประเพณีไทยให้ชาวต่างชาติ ได้รู้จักอย่างทั่วถึง


พระยารัษ รั ฎานุประดิษ ดิ ฐ์มหิศรภัก ภั ดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง)


ประวัติ วั ติ พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) เป็นบุตรของพระยา รัตนเศรษฐี (พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) ต้นสกุล ณ ระนอง) เกิด เมื่อ พ.ศ. 2400 เมื่ออายุ 25 ปี ได้เฝ้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2433 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ดำ รงตำ แหน่งผู้ว่าราชการเมืองตรัง และได้เป็นที่พระยา รัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี ภายหลังได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมุหเทศาภิบาล สำ เร็จ ราชการมณฑลภูเก็ต อีกทั้งยังได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่ง ตั้งให้ดำ รงตำ แหน่งเป็นองคมนตรีในพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย


ผลงานสำ คัญ คั 1.ด้านการคมนาคม พระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ ให้ความสำ คัญกับการคมนาคม มาก เพราะการคมนาคมที่ขยายตัวออกไปย่อมเป็นประโยชน์ต่อการ ปกครอง การค้าขาย กาปราบปรามโจรผู้ร้าย ฯลฯ ดังนั้น จึงปรากฏผล งานทางด้านคมนาคมในทุกจังหวัดที่อยู่ภายใต้การบริหารของพระยา รัษฎานุประดิษฐ์ฯ เช่น นครศรีธรรมราช พัทลุง กระบี่ รวมทั้งการ ตัดถนนสายต่างๆ บริเวณตลาดภูเก็ต เป็นต้น 2.ด้านเกษตรกรรม พระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ เป็นบุคคลแรกที่เชิญชวนให้เจ้านาย และข้าราชการมาทำ สวนยางให้เป็นตัวอย่างและชักชวนให้ประชาชนเห็น ประโยชน์ในการทำ สวนยาง โดยเป็นผู้ริเริ่มนำ พันธ์ุยางจากประเทศ เพื่อนบ้านมาปลูก และ แจกจ่ายให้กับราษฎรเพาะปลูกจนแพร่หลาย กลายเป็นอาชีพที่สำ คัญของ คนไทยมาถึงปัจจุบัน


ผลงานสำ คัญ คั 3.ด้านเศรษฐกิจ พระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ ได้ติดต่อบริษัทเหมืองแร่ใน ต่างประเทศให้มาเปิดการทำ เหมืองแร่ในมณฑลภูเก็ต โดยให้ทำ ผลประโยชน์แก่ทางราชการแทนการเรียกร้องค่าธรรมเนียม ถือว่าท่าน สามารถบริหารราชการแผ่นดินให้มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้ โดยไม่หวัง พึ่งงบประมาณของหลวงเพียงอย่างเดียว 4.ด้านการศึกษา พระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ ได้คัดเลือกบุตรหลานของข้าราชการใน จังหวัดภูเก็ตส่งไปเรียนภาษาอังกฤษที่เกาะปีนัง บุคคลเหล่านี้ต่ิมาได้ กลับมาทำ คุณประโยชน์ให้แก่ทางราชการเป็นอย่างดี


พระยากัล กั ยาณไมตรี ( Dr.Francis B. Sayre )


ประวัติ วั ติ พระยากัลยาณไมตรี หรือ ดร. ฟรานซิส บี . แซร์ ( Dr.Francis B. Sayre ) ชาวอเมริกัน และเป็นศาสตราจารย์ทางด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ ด ได้เข้ามาดำ รงตำ แหน่งที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศของไทย เมื่อ พ.ศ. 2466 ในรัชสมัยพระบาลสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและยังได้ ทำ คุณประโยชน์ให้กับไทยเป็นอย่างมาก จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็น "พระยากัลยาณไมตรี"


ผลงานสำ คัญ คั 1.ด้านการต่างประเทศ ได้ดำ เนินการแก้ไขข้อผูกพันที่ไทยมีต่อประเทศต่างๆ ตามสนธิ สัญญาที่ทำ ไว้ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เรื่องที่คนในบังคับต่างชาติไม่ต้องขึ้น ศาลไทยและไทยจะเก็บภาษีขาเข้าจากต่างประเทศได้ไม่เกินร้อยละ 3 ทำ ให้สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศแรกที่ยินยอมยกเลิกข้อกำ หนดอัตรา ภาษีและสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ภายหลังที่ไทยได้ประกาศและบังคับ ใช้ประมวลกฎหมายที่ได้แก้ไขตามมาตราฐานตะวันตกแล้ว 5 ปี นอกจากนี้ท่านได้เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยไปเจรจากับประเทศต่างๆ ใน ยุโรป เมื่อ พ.ศ. 2467 ทำ ให้ประเทศยุโรปต่างๆ จำ นวน 10 ประเทศ ต่างตกลงยินยอมลงนามในสนธิสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์ฉบับใหม่กับ ไทยทำ สหรัฐอเมริกา 2.ด้านการเมืองการปกครอง ได้เป็นผู้ทูลเกล้าฯ ถวายคำ แนะนำ เกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองไทย เสนอข้อแก้ไขเกี่ยวกับปัญหาารคลัง อำ นาจของอภิรัฐมนตรีสภาการมี สภานิติบัญญัติ การร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่มี 12 มาตรา สำ หรับการบริหารประเทศแด่พระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้น


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีร พี ะศรี


ประวัติ วั ติ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี มีนามเดิมว่า "คอร์ราโด เฟโรจี" (Corrado Ferocl)เกิดเมื่อ พ.ศ. 2435 เป็นชาวนครฟลอเรนซ์ ประทศอิตาลี ท่านมี ความสนใจและศึกษาวิชาการทางด้านศิลปะ จนมีความสามารถด้าน ประติมากรรม และจิตรกรรม จนได้รับตำ แหน่งศาสตราจารย์


ผลงานสำ คัญ คั 1.ด้านศิลปกรรม ศาสตราจารย์คอร์ราโด เฟโรจี เข้าเป็นข้าราชการใน ตำ แหน่งช่างปั้น กรมศิลปากร กระทรวงวัง เมื่อ พ.ศ. 2466 ต่อมา ใน พ.ศ. 2469 ได้ดำ รงตำ แหน่งเป็นอาจารย์ช่างปั้นหล่อ แผนกศิลปากร สถานแห่งราชบัณฑิตยสภา แล้วย้ายมาเป็นช่างปั้นสังกัดอยู่ในกอง ประณีตศิลปกรรม กรมศิลปากร กระทรวงธรรมการ ประมาณ พ.ศ. 2477 ท่านได้เป็นผู้วางหลักสูตรการศึกษาด้าน ศิลปะของไทยมีมาตรฐานทัดเทียมกับโรงเรียนศิลปะในยุโรป โดยได้เริ่ม วางหลักสูตรวิชาจืตรกรรมและประติมากรรมขึ้น โดยในระยะเริ่มแรกใช้ ชื่อ "โรงเรียนประณีตศิลปกรรม" ทำ การสอนให้กับผู้สนใจทั้งที่เป็น ข้าราชการและคนไทยทั่วไป ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียน ศิลปากรแผนกช่าง" ใน พ.ศ. 2480 ต่อมาใน พ.ศ. 2486 ได้ยกฐานะ เป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร ตอนปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ศาสตราจารย์คอร์ราโด เฟโรจี ได้ ขอโอนสัญชาติจากสัญชาติอิตาเลียนมาเป็นสัญชาติไทย และ เปลี่ยนชื่อเป็น "นายศิลป์ พีระศรี" ท่านได้ใช้ชีวิต เป็นอาจารย์สอนลูกศิษย์ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต


Click to View FlipBook Version