The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระมหากษัตริย์ที่มีบทบาท
ในการสร้างสรรค์ชาติไทp
(พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ - ร.8)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ศุภาวรรณ ชัยยะ, 2023-02-02 08:02:17

พระมหากษัตริย์ที่มีบทบาท ในการสร้างสรรค์ชาติไทย

พระมหากษัตริย์ที่มีบทบาท
ในการสร้างสรรค์ชาติไทp
(พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ - ร.8)

พระมหากษัตริย์ ริ ที่ ย์ มี ที่ บ มี ทบาท ในการสร้า ร้ งสรรค์ช ค์ าติไติ ทย


พ่อขุนศรีอิ รีอิ นทราทิตย์ (ครองราชย์ พ.ศ. ๑๗๙๒ - ไม่ปรากฏ) พระราชประวัติ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัย หรือราชวงศ์พระร่วง มีพระนามเดิมว่า "พ่อขุนบางกลางหาว" แห่งเมืองบางยาง พระองค์ทรงร่วมกับพระสหาย พ่อขุนผา เมือง เจ้าเมืองราดช่วยกันรวบรวมคนไทยยึดเมืองสุโขทัยจาก ขอมสบาดโขลญลาพง ซึ่งเข้าครอบครองเมืองสุโขทัยอยู่ขณะ นั้นจนเป็นผลสาเร็จและตั้งเมืองสุโขทัยเป็นราชธานี พระราชกรณียกิจสำ คัญ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ประกอบพระราชกรณียกิจที่สำ คัญ คือเมื่อครั้งยังเป็นพ่อขุนบางกลางหาวได้รวมกำ ลัง พลกับพ่อขุนผาเมืองต่อสู้ขับไล่พวกขอมและทรงสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ผลงานของพ่อขุนศรีอิน ทราทิตย์มีความสำ คัญ เพราะได้สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับสุโขทัยจนพัฒนาเป็นอาณาจักรที่มีความเจริญ รุ่งเรืองสืบต่อมาและ การที่พระองค์ร่วมมือกับพ่อขุนผาเมืองขับไล่อิทธิพลของขอมให้พ้นจาก สุโขทัยได้ แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ ของพระองค์และความสมานสามัคคีของคนไทยในยามที่บ้านเมืองกำ ลังคับขัน การปกครอง หลังจากที่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ได้สถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้นมาแล้วได้พยายามขจัดอิทธิพลของขอมให้หมดไป จึงได้จัดระบบการปกครองใหม่เป็นการปกครองแบบไทย ๆที่ถือว่าประชาชนทุกคนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นหัวหน้าครอบครัวคือ พระมหากษัตริย์ได้ปกครองประชาชนในฐานะบิดาปกครองบุตร หรือที่เรียกว่าการปกครองแบบปิตุราชาธิปไต


พ่อขุนรามคำ แหง (ครองราชย์ พ.ศ.๑๘๒๒-๑๘๔๑) พระราชประวัติ พ่อขุนรามคำ แหงมหาราช ทรงเป็นพระราชโอรสของพ่อขุน ศรีอินทราทิตย์และพระนางเสือง โดยมีพี่น้องร่วมท้องเดีย ศกันทั้งหมด ๕ พระองค์ มาีีพระนามเดิมวาา "ราม" พระองค์ ทรงมีความกล้าหาญในการศึกสงครามมาตั้งแต่ยังมิได้เสด็จ ขึ้นครองราชย์และเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ทรงมี พระราชกรณียกิจสำ คัญในกสารสร้างสรรค์ชาติไทย พระราชกรณียกิจสำ คัญ พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่ได้รับการยกย่องเป็น "มหาราช"ด้วยทรงบำ เพ็ญพระราชกรณียกิจ อันทรงคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน ทรงรวบรวมอาณาจักรไทยจนเป็นปึกแผ่นกว้างขวาง ทั้งยังได้ทรงประดิษฐ์ ตัวอักษรไทยขึ้นมา ทำ ให้ชาติไทยได้สะสมความรู้ทางศิลปะ วัฒนธรรม และ วิชาการต่างไปสืบทอดกันมา มากกว่า๘๐๐ปี ด้านเศรษฐกิจ : ทรงส่งเสริมให้มีการค้าเสรี โดยไม่เก็บภาษีผ่านด่าน ที่เรียกว่า จกอบ(จังกอบ) ทำ ให้การค้าขายของสุโขทัยขยายตัว การปกครอง ทรงวางรูปแบบการปกครองแบบ "พ่อปกครองลูก"อันเป็นแบบอย่างให้กับผู้ปกครองบ้านเมืองในยุค หลังๆ ของไทยดังจะเห็นได้จากการที่พ่อขุนรามคำ แหงมหาราชทรงเอาพระทัยใส่ใจดูแลทุกข์สุขของ ราษฎรอย่างใกล้ชิดด้วยการโปรดให้แขวนกระดิ่งไว้ที่ประตูพระราชวัง เพื่อให้ราษฎรได้ร้องทุกข์และ พระองค์ก็จะทรงตกัดสินใจด้วยพระองค์เอง นอกจากนี้ พระยังโปรดให้สร้างพระแท่นมนังศิลาบาตรตั้งไว้ กลางดงตาลสำ หรับไว้ให้พระภิกษุสงฆ์ขึ้นแสดงธรรมในวันส่งนะและทรงใช้เป็นที่ประทับอบรมสั่งสอน พสกนิกรในวันธรรมดา


พระมหาธรรมราชาที่๑(ลิไทย) (ครองราชย์พ.ศ.๑๘๙๐ - ๑๙๑๑) พระราชประวัติ พระมหาธรรมราชาที่ 1 หรือ พระบาทกมรเตงอัญศรี สุริยพงศ์รามมหาราชาธิราช, พระบาทกมรเตงอัญฦๅ ไทยราช, พระยาฦๅไทย หรือ พญาลิไทยทรงเป็นพระ มหากษัตริย์ไทยพระองค์ที่ 6แห่งราชวงศ์ พระร่วง(อาณาจักรสุโขทัย) ทรงเป็นพระราชโอรสของ พระยาเลอไทยและพระราชนัดดาของพ่อขุน รามคำ แหงมหาราช พระราชกรณียกิจสำ คัญ การปกครอง การปกครองที่อาศัยพระพุทธศาสนานี้เรียกว่าการปกครองแบบธรรมราชา พระมหากษัตริย์จะทรงตั้ง มั่นอยู่ในทศพิธราชธรรม การปกครองแบบธรรมราชานี้ถูกนำ มาใช้จนประทั่งสิ้นสุดสมัยสุโขทัย การ ปกครองแบบกระจายอำ นาจ ทรงทำ นุบำ รุงบ้านเมืองให้เจริญหลายประการ เช่น สร้างถนนพระร่วงตั้งแต่เมืองศรีสัชนาลัยผ่านกรุง สุโขทัยไปถึงเมืองนครชุม (กำ แพงเพชร) บูรณะเมืองนครชุม ทรงสร้างเมืองสองแคว (พิษณุโลก) เป็นเมือง ลูกหลวงโดยการย้ายเมืองซึ่งเคยอยู่ที่สองแควซึ่งเดิมอยู่ทางใต้(วัดจุฬามณีในปัจจุบัน)แต่ยังคงเรียกว่า เมืองสองแควตามเดิม พระยาลิไทยทรงเลื่อมใสในศาสนาพุทธเป็นอย่างมากนโยบายการปกครองที่ใช้ศาสนา เป็นหลักรวมความ เป็นปึกแผ่นจึงเป็นนโยบายหลักในรัชสมัยนี้ ด้วยทรงดำ ริว่าการจะขยายอาณาเขตต่อไปเช่นเดียวกับใน รัชกาลพ่อขุนรามคำ แหง พระอัยกา ก็จักต้องนำ ไพร่พลไปล้มตายอีกเป็นอันมาก พระองค์จึงทรงมีพระราช ประสงค์ที่จะปกครองบ้านเมืองเช่นเดียวกับพระเจ้าอโศกมหาราชที่ทรงปกครองอินเดียให้เจริญได้ด้วยการ ส่งเสริมพระพุทธศาสนาและสั่งสอนชาวเมืองให้ตั้งอยู่ในศีลธรรมอันจะเป็นวิธีรักษาเมืองให้ยั่งยืนอยู่ได้ • • •


สมเด็จพระราชาธิบดีที่๑(อู่ทอง) (ครองราชย์ พ.ศ.๑๘๙๓-๑๙๑๒) พระราชประวัติ สมเด็จพระรามาธิบดีที่๑(อู่ทอง)ทรงเป็นเป็นต้นราชวงศ์อู่ทอง ทรงเป็นปฐมกษัตริย์ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของ ไทยและดำ รงอยู่เป็นเวลานานถึง๔๑๗ปี พระราชกรณียกิจสำ คัญ การสถาปนากรุงศรีอยุธยาสมเด็จพระรามาธิบดีที่๑(อู่ทอง) ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมื่อวันศุกร์ ขึ้น๑๕ค่ำ เดือน๕ ปีขาลจุลศักราช ๗๑๒ ตรงกับวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ.๑๘๙๓ การค้าขายและสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศในด้านไมตรีกับต่างประเทศในสมัยเมื่อสร้างกรุง ศรีอยุธยานั้น ฝรั่งกับญี่ปุ่นยังไม่มีมาค้าขายแต่การไปมาค้าขายกับเมืองจีน,แขก, จาม, ชวา, มลายู ตลอดจนอินเดีย, เปอร์เซียและลังกานั้นไปถึงกันมานานแล้ว สำ หรับการค้าขายกับจีนนั้น ราชวงศ์อู่ทองของไทยตรงกับราชวงศ์หมิงของจีน พระเจ้าหงอู่แห่งรา ชวงศ์หมิงเมื่อทราบว่ากรุงศรีอยุธยาตั้งเป็นอิสรภาพก็แต่งให้ หลุยจงจุ่น เป็นราชทูตเข้ามาเจริญพระ ราชไมตรีถึงกรุงศรีอยุธยา พระองค์จึงแต่งให้ราชทูตออกไปเมืองจีนพร้อมกับราชทูตจีน เพื่อเจริญ สัมพันธไมตรีกับจีนในคราวนั้นด้วย การปกครอง ทรงนำ รูปแบบการปกครองแบบ "จตุสดมภ์" จากเขมรหรือเรียกว่า "เวียง วังคลัง นา" มาใช้เป็นหน่วย งานสำ คัญในการปกครองอาณาจักร • • •


สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระราชประวัติ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเป็นพระมหากษัตริย์อยุธยา ในลำ ดับที่ ๘ โดยเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรม ราชาธิราชที่๒(เจ้าสามพระยา) กับพระราชธิดาของพระมหา ธรรมราชาที่๒แห่งกรุงสุโขทัยและราชวงศ์สุพรรณภูมิแห่งกรุง ศรีอยุธยา พระราชกรณียกิจสำ คัญ พระราชกรณียกิจด้านการปกครองประกอบด้วยการจัดระเบียบการปกครองส่วนกลางและส่วน ภูมิภาคอันเป็นแบบแผนซึ่งยึดสืบต่อกันมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และการตราพระราชกำ หนดศักดินา ซึ่งทำ ให้มีการแบ่งแยกสิทธิและหน้าที่ของแต่ละบุคคลแตกต่าง กันไป โดยทรงเห็นว่ารูปแบบการปกครองนับตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 มีความหละ หลวม หัวเมืองต่าง ๆ เบียดบังภาษีอากรและปัญหาการแข็งเมืองในบางช่วงที่พระมหากษัตริย์ อ่อนแอ การปกครอง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงปฏิรูปการปกครองโดยมีการแบ่งงานฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนออก จากกันอย่างชัดเจน ให้สมุหพระกลาโหมดูแลฝ่ายทหารและให้สมุหนายกดูแลฝ่ายพลเรือน รวมทั้ง จตุสดมภ์ในราชธานี (ครองราชย์พ.ศ.๑๙๙๑-๒๐๓๑)


พระสุริโริ ยทัย (มีพระชนมายุระหว่าง พ.ศ.๒๐๕๙-๒๐๙๒) พระสุริโยทัยทรงเป็นพระอัครมเหสีในสมเด็จพระมหาจักรพรรดิในขณะที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิขึ้น ครองราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาต่อจากขุนวรวงศาธิราชได้เพียง 7 เดือน เมื่อ พ.ศ. 2091 พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ และมหาอุปราชาบุเรงนองยกกองทัพพม่าเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์และเข้ามาตั้งค่ายล้อมพระนคร การ ศึกครั้งนั้นเป็นที่เลื่องลือถึงวีรกรรมของพระสุริโยทัยเพราะขณะพระเจ้าแปรตะโดธรรมราชาที่ 1 กำ ลัง ปะทะกับสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระนางได้ไสช้างพระที่นั่งเข้าขวางด้วยเกรงว่าพระราชสวามีจะเป็น อันตรายจนถูกพระแสงของ้าวฟันพระอังสาขาดสะพายแล่งสวรรคตอยู่บนคอช้าง เมื่อวันอาทิตย์ขึ้น 6ค่ำ เดือน 4 ปีจุลศักราช 910ตรงกับวันเดือนปีทางสุริยคติคือวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2091 เมื่อสงครามยุติลง สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ทรงปลงพระบรมศพของพระนางและสถาปนาสถานที่ปลงพระศพเป็นวัดศพ สวรรค์(หรือวัดสวนหลวงสบสวรรค์ในปัจจุบัน) พระประวัติ


สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (ครองราชย์ พ.ศ.๒๑๓๓-๒๑๔๘) พระราชประวัติ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือ พระองค์ดำ เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชและพระวิสุทธิกษัตรีย์ พระราชธิดาของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิและพระสุริโยทัย เสด็จพระราชสมภพเมื่อ พ.ศ. 2098 ที่พระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก พระองค์มีพระเชษฐภคินีคือพระสุพรรณกัลยาและพระอนุชาคือสมเด็จพระเอกาทศรถ (พระองค์ขาว) ขณะที่ทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงใช้ชีวิตอยู่ที่พระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก จนกระทั่งพระเจ้าบุเรงนองยกทัพมาตีเมืองพิษณุโลกในสงครามช้างเผือก สมเด็จพระมหาธรรม ราชาธิราช เจ้าเมืองพิษณุโลก ยอมอ่อนน้อมต่อหงสาวดีจึงทำ ให้พระเจ้าบุเรงนองได้เมืองพิษณุโลกกับอยุธยาและทำ ให้สยามตกเป็นประเทศราชของพม่า เพื่อยืนยันความจงรัก ภักดีของกษัตริย์ พระเจ้าบุเรงนองทรงขอพระสุพรรณกัลยาและพระนเรศวรไปเป็นองค์ประกันที่หงสาวดีใน พ.ศ. 2107 ทำ ให้พระองค์ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนตั้งแต่มีพระชนมายุ เพียง 9 พรรษา ประทับอยู่กรุงหงสาวดี8 ปี และเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยาเมื่อพระชนมายุ17 พรรษา พ.ศ. 2115 ครั้งที่อยู่ในเมืองหงสาวดีก็ได้แสดงความปรีชาสามารถให้ปรากฏหลายต่อหลายครั้ง พระราชกรณียกิจที่สำ คัญ ในปี พ.ศ. 2135 พระเจ้านันทบุเรง โปรดให้พระมหาอุปราชา นำ กองทัพทหารสองแสนสี่หมื่นคน มาตีกรุงศรีอยุธยาหมายจะชนะศึกในครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบว่าพม่า จะยกทัพใหญ่มาตีจึงทรงเตรียมไพร่พล มีกำ ลังหนึ่งแสนคนเดินทางออกจากบ้านป่าโมกไปสุพรรณบุรี ข้ามน้ำ ตรงท่าท้าวอู่ทองและตั้งค่ายหลวงบริเวณหนองสาหร่าย เช้าของวันจันทร์แรม 2ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ. 2135สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเครื่องพิชัยยุทธสมเด็จพระนเรศวรทรงช้าง นามว่า เจ้าพระยาไชยานุ ภาพ ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงช้างนามว่า เจ้าพระยาปราบไตรจักร ช้างทรงของทั้งสองพระองค์นั้นเป็นช้างชนะงาคือช้างมีงาที่ได้รับการฝึกให้รู้จักการต่อสู้มาแล้วหรือเคย ผ่านสงครามชนช้าง ชนะช้างตัวอื่นมาแล้ว ซึ่งเป็นช้างที่กำ ลังตกมัน ในระหว่างการรบจึงวิ่งไล่ตามพม่าหลงเข้าไปในแดนพม่า มีเพียงทหารรักษาพระองค์และจาตุรงค์บาทเท่านั้น ที่ติดตามไปทัน สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงพระคชสารอยู่ในร่มไม้กับเหล่าเท้าพระยา จึงทราบได้ว่าช้างทรงของสองพระองค์หลงถลำ เข้ามาถึงกลางกองทัพ และ ตกอยู่ในวงล้อมข้าศึกแล้วแต่ด้วยพระปฏิภาณไหวพริบของสมเด็จพระนเรศวร ทรงเห็นว่าเป็นการเสียเปรียบข้าศึกจึงไสช้างเข้าไปใกล้แล้วตรัสถามด้วยคุ้นเคยมาก่อนแต่วัยเยาว์ ว่า "พระเจ้าพี่เราจะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำ ยุทธหัตถีด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด ภายหน้าไปไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่จะได้ยุทธหัตถีแล้ว" พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้น จึงไสช้างนามว่า พลายพัทธกอเข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพเสียหลัก พระมหาอุปราชาทรงฟันสมเด็จพระนเรศวรด้วยพระแสงของ้าวแต่สมเด็จพระ นเรศวรทรงเบี่ยงหลบทัน จึงฟันถูกพระมาลาหนังขาดจากนั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพชนพลายพัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระนเรศวรทรงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชา เข้าที่อังสะขวาสิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถทรงฟันเจ้ามังจาปะโรเสียชีวิตเช่นกัน ทหารพม่าเห็นว่าแพ้แน่แล้ว จึงใช้ปืนระดมยิงใส่สมเด็จพระนเรศวรได้รับบาดเจ็บ ทันใดนั้นทัพหลวงไทยตามมา ช่วยทัน จึงรับทั้งสองพระองค์กลับพระนคร พม่าจึงยกทัพกลับกรุงหงสาวดีไป นับแต่นั้นมาก็ไม่มีกองทัพใดกล้ายกมากล้ำ กรายกรุงศรีอยุธยาอีกเป็นระยะเวลาอีกยาวนาน แต่ในมหายาชะเวงหรือพงศาวดารของพม่า ระบุว่า การยุทธหัตถีครั้งนี้ ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรบุกเข้าไปในวงล้อมของฝ่ายพม่า ฝ่ายพม่าก็มีการยืนช้างเรียงเป็นหน้า กระดาน มีทั้งช้างของพระมหาอุปราชา ช้างของเจ้าเมืองชามะโรง ทหารฝ่ายสมเด็จพระนเรศวรก็ระดมยิงปืนใส่ฝ่ายพม่า เจ้าเมืองชามะโรงสั่งเปิดผ้าหน้าราหูช้างของตน เพื่อไส ช้างเข้ากระทำ ยุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวรเพื่อป้องกันพระมหาอุปราชาแต่ปรากฏว่าช้างของเจ้าของชามะโรงเกิดวิ่งเข้าใส่ช้างของพระมหาอุปราชาเกิดชุลมุนวุ่นวาย กระสุน ปืนลูกหนึ่งของทหารฝ่ายสมเด็จพระนเรศวรก็ยิงถูกพระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์


สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ เดือนยี่ ปีวอก พ.ศ. 2175(นับแบบปัจจุบัน พ.ศ. 2176) เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง กับพระราชเทวีไม่ปรากฏ พระนาม คำ ให้การชาวกรุงเก่า ระบุว่าพระชนนีของพระองค์ชื่อพระสุริยาส่วน คำ ให้การขุนหลวงหาวัดระบุพระนามว่าพระอุบลเทวีและหม่อมหลวงมานิจ ชุมสายระบุพระนามว่าพระนางศิริ ธิดาและมีพระขนิษฐาร่วมพระมารดาคือกรมหลวงโยธาทิพ (หรือพระราชกัลยาณี) พระราชบิดาและพระราชมารดาเป็นเครือญาติกัน หม่อมหลวงมานิจ ชุมสายระบุว่าพระมารดาของพระนารายณ์เป็น "...พระขนิษฐาต่างมารดาของพระเจ้าปราสาททอง"แต่งานเขียนของนิโค ลาส์เดอแซร์แวสระบุว่า มารดาเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ส่วนพระราชบิดาคือสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ฟาน ฟลีตระบุว่า เป็นลูกของน้องชายพระราชมารดาในสมเด็จ พระเจ้าทรงธรรม พระองค์มีพระนมที่คอยอุปถัมภ์อำ รุงมาแต่ยังทรงพระเยาว์คือเจ้าแม่วัดดุสิตซึ่งเป็นญาติห่าง ๆ ของพระเจ้าปราสาททองเช่นกัน[5] กับอีกท่านหนึ่งคือพระนมเปรม ที่ฟร็องซัวอ็องรีตุรแปง (FrançoisHenryTurpin) ระบุว่าเป็นเครือญาติของสมเด็จพระนารายณ์ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นพระอนุชาต่างพระมารดาในสมเด็จเจ้าฟ้าไชยและยังมีพระอนุชาต่างพระมารดาอีก ได้แก่ เจ้าฟ้าอภัยทศ(เจ้าฟ้าง่อย) เจ้าฟ้าน้อย พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ พระองค์ทองและพระอินทราชา ใน คำ ให้การขุนหลวงหาวัดระบุว่าพระองค์มีพระนามาภิไธยเดิมว่า พระนรินทกุมาร หรือคำ ให้การชาวกรุงเก่า เรียกว่า พระสุรินทกุมาร เมื่อแรกเสด็จพระบรมราชสมภพนั้น พระญาติเห็นพระ โอรสมีสี่กร พระราชบิดาจึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า พระนารายณ์ หรือ พระเจ้าลูกเธอพระนารายณ์ราชกุมารส่วนในคำ ให้การชาวกรุงเก่าและคำ ให้การขุนหลวงหาวัดเล่าว่าเมื่อเพลิง ไหม้พระที่นั่งมังคลาภิเษก พระโอรสเสด็จไปช่วยดับเพลิง ผู้คนเห็นเป็นสี่กร จึงพากันขนานพระนามว่า พระนารายณ์ พระราชประวัติของสมเด็จพระนารายณ์นั้นเกี่ยวกับเรื่องปาฏิหาริย์อยู่มาก แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของพราหมณ์ เมื่อเทียบกับกษัตริย์องค์ก่อน ๆ ด้วยเหตุนี้เองพระราชประวัติของพระองค์จึงกล่าวถึงปาฏิหาริย์มหัศจรรย์ตามลำ ดับ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ครองราชย์ พ.ศ.๒๑๙๙-๒๒๓๑) พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจสำ คัญความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในสมัยสมเด็จพระนารายณ์รุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง โดยมีการติดต่อทั้งด้านการค้าและการทูตกับประเทศต่าง ๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น อิหร่าน อังกฤษ และฮอลันดา มีชาวต่าง ชาติเข้ามาในพระราชอาณาจักรเป็นจำ นวนมาก ในจำ นวนนี้รวมถึงเจ้าพระยาวิชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ชาวกรีกที่รับราชการตำ แหน่งสูงถึงที่สมุหนายก ขณะเดียวกันยังโปรดเกล้าฯ ให้แต่งคณะทูตนำ โดยเจ้าพระยาโกษาธิบดี(ปาน) ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำ นักฝรั่งเศสในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ถึง 4ครั้งด้วยกัน ผู้ที่เขียนเกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยาและสยามมากที่สุด ในสมัยนี้ก็คือซีมง เดอลาลูแบร์ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่เลื่องลือพระเกียรติยศในพระราโชบายทางคบค้าสมาคมกับชาวต่างประเทศรักษาเอกราชของชาติให้พ้นจากการเบียดเบียนของชาวต่าง ชาติและรับผลประโยชน์ทั้งทางวิทยาการและเศรษฐกิจที่ชนต่างชาตินำ เข้ามา นอกจากนี้ ยังได้ทรงอุปถัมภ์บำ รุงกวีและงานด้านวรรณคดีอันเป็นศิลปะที่รุ่งเรืองที่สุดในยุคนั้น เมื่อสมเด็จพระ นารายณ์เสด็จเถลิงถวัยราชสมบัติ ณ ราชอาณาจักรศรีอยูธยาแล้ว ปัญหากิจการบ้านเมืองในรัชสมัยของพระองค์เป็นไปในทางเกี่ยวข้องกับชาวต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ด้วยในขณะนั้น มีชาว ต่างประเทศเข้ามาค้าขายและอยู่ในราชอาณาจักรไทยมากว่าที่เคยเป็นมาในกาลก่อน ที่สำ คัญมาก คือชาวยุโรปซึ่งเป็นชาติใหญ่มีกำ ลังทรัพย์ กำ ลังอาวุธและผู้คน ตลอดจน มีความเจริญ รุ่งเรืองทางวิทยาการต่าง ๆ เหนือกว่าชาวเอเซียมาก และชาวยุโรปเหล่านี้กำ ลังอยู่ในสมัยขยายการค้าศาสนาคริสต์และอำ นาจทางการเมืองของพวกตนมาสู่ดินแดนตะวันออก


สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (ครองราชย์ พ.ศ.๒๓๑๑ - ๒๓๒๕) พระราชประวัติ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือสมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราชาพระนามเดิมว่าสิน เป็นคนไทยเชื้อสายจีน เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ก่อตั้งอาณาจักรธนบุรีและเป็น พระมหากษัตริย์พระองค์เดียวของราชอาณาจักรธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระราชกรณียกิจสำ คัญ การกู้เอกราช เมื่อปี พ.ศ. 2309 พม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ในสมัยพระเจ้าเอกทัศและได้เสียกรุงแก่ พม่าเป็นครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2310 เหตุการณ์ในกรุงศรีอยุธยาขณะนั้นเกิดความระส่ำ ระสาย ทหารพม่าได้ ล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ พระยาตากเห็นว่าคงสู้พม่าไม่ได้แล้ว จึงนำ ทหารจำ นวนหนึ่งตีฝ่าวงล้อมพม่าออก มาและได้รวบรวมกำ ลังอยู่ที่เมืองจันทบุรีแล้วยกทัพกลับไปตีพม่าที่กรุงศรีอยุธยา ทัพของพระยาตาก สามารถตีพม่าจนแตกพ่ายไป พระยาตากสามารถรวบรวมผู้คนกอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนมาจากพม่า ได้ภายในเวลา 7 เดือน • การสร้างและสถาปนากรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวง หลังจากได้กอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนจากพม่าได้แล้ว พระองค์ทรงเห็นว่าทางกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าเผาผลาญเสียหายมากและยากที่จะ ฟื้นฟูให้เจริญเหมือน เดิมได้ พระองค์จึงย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงธนบุรีแล้วทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ทรง พระนามว่า พระบรมราชาธิราชที่ 4ครองกรุงธนบุรีอยู่15 ปี นับว่าเป็นกษัตริย์พระองค์เดียวที่ปกครอง กรุงธนบุรี • การปกครอง รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชคงใช้ระบบการปกครองแบบเก่าที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา โดยสรุป มีดังนี้ 1. การปกครองส่วนกลางหรือส่วนราชธานี อยู่ในความรับผิดชอบของอัครมหาเสนาบดี2ตำ แหน่ง และ เสนาบดีจตุสดมภ์ อีก 4ตำ แหน่งคือ กรมเวียง กรมวัง กรมคลังและกรมนา


พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฟ้ จุฬาโลกมหาราช (ร.๑) (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๒๕ - ๒๓๕๒) พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 1 ในราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวัน พุธ เดือน 4แรม 5ค่ำ ปีมะโรงอัฐศก เวลา 3ยาม ตรงกับวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 (นับแบบปัจจุบัน พ.ศ. 2280) ปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุง รัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325ขณะมี พระชนมายุได้45 พรรษาและทรงย้ายราชธานีจาก ฝั่งธนบุรีมาอยู่ฝั่งพระนครและโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง พระบรมมหาราชวังเป็นที่ประทับ พระราชกรณียกิจสำ คัญ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนากรุงเทพมหานคร (หรือกรุงรัตนโกสินทร์) เป็นราชธานี และทรงสถาปนาราชวงศ์จักรีปกครองราชอาณาจักรไทยเมื่อ6 เมษายน พ.ศ. 2325(วันจักรี) ภายหลังการเสด็จเสวยราชย์แล้ว พระองค์ทรงมีพระราชกรณีกิจที่สำ คัญยิ่งคือ การป้องกันราชอาณาจักรให้ ปลอดภัยและทรงฟื้นฟูวัฒนธรรมไทยอันเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและอยุธยา การที่ไทย สามารถปกป้องการรุกรานของข้าศึกจนประสบชัยชนะทุกครั้งแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของพระองค์ใน การบัญชาการรบอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามกับพม่าใน พ.ศ. 2328 ที่เรียกว่า "สงคราม เก้าทัพ" นอกจากนี้พระองค์ยังพบว่ากฎหมายบางฉบับที่ใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาไม่มีความยุติธรรม จึงโปรด เกล้าโปรดกระหม่อมให้มีการตรวจสอบกฎหมายที่มีอยู่ทั้งหมดเสร็จแล้วให้เขียนเป็นฉบับหลวง 3ฉบับ ประทับตราราชสีห์ คชสีห์ และบัวแก้วไว้ทุกฉบับ เรียกว่า "กฎหมายตราสามดวง"สำ หรับใช้เป็นหลักในการ ปกครองบ้านเมืองการสถาปนากรุงรัตนโกสิน


พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ หล้านภาลัย (ร.๒) (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๕๒ - ๒๓๖๗ ) พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพระนามเดิมว่า ฉิม เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ขณะทรงมีบรรดาศักดิ์ เป็นหลวงยกรบัตรเมืองราชบุรี) ประสูติแต่ท่านผู้หญิงนาค (ภายหลังเฉลิมพระนามเป็นสมเด็จพระอมรินทราบรม ราชินี) เมื่อเจริญพระชนม์ได้ทรงศึกษาในสำ นักพระพนรัตน์ (ทองอยู่) วัดบางว้าใหญ่ พระราชกรณียกิจสำ คัญ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ ทรงฟื้นฟู พระพุทธศาสนาอย่างมากมายหลายด้าน โดยเฉพาะ ด้านการก่อสร้างศาสนสถาน ทรงโปรดฯให้สร้างวัดขึ้นใหม่หลายวัดได้แก่ วัดสุทัศนเทพวราราม วัดชัยพฤกษ มาลา วัดโมลีโลกยาราม วัดหงสาราม และวัดพระพุทธบาทที่ สระบุรี ซึ่งสร้างค้างไว้ตั้งแต่สมัยพระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช การปกครอง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระปรีชาสามารถในการปกครองประเทศ ทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯแต่งตั้งผู้แทนพระองค์ไปกำ กับราชการควบคุมดูแลส่วนราชการต่าง ๆ ที่สำ คัญ ทรงตราพระราช กำ หนดและบทลงโทษเรื่องการสูบ การซื้อและการขายฝิ่น ทรงกำ หนดการเข้ารับราชการของพลเมืองและ ทรงส่งเสริมข้าราชการให้ปฏิบัติหน้าที่ตามความถนัดของตน


พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า อยู่หัว (ร.๓) พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ ๓ แห่ง พระบรมราชวงศ์จักรี มีพระนามเดิมว่า "พระองค์เจ้าทับ" ทรงเป็นพระราชโอรสของ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและ สมเด็จพระศรีสุลงสลับ (เจ้าจอมมารดาเรียม) ได้รับการสถาปนาเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เมื่อ พ.ศ.๒๒๕๖ พระราชกรณียกิจสำ คัญ ด้านการศึกษา ทรงทำ นุบำ รุงและสนับสนุนการศึกษา โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท แต่ง ตำ ราเรียนภาษาไทยขึ้นเล่มหนึ่งคือ หนังสือจินดามณี โปรดเกล้าฯ ให้ผู้รู้นำ ตำ ราต่าง ๆ มาจารึกลงในศิลา ตามศาลารอบพุทธาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ปั้นตั้งไว้ตามเขามอและเขียนไว้ ตามฝาผนังต่าง ๆ มีทั้งอักษรศาสตร์แพทยศาสตร์ พุทธศาสนศึกษา โบราณคดีฯลฯ เพื่อเป็นการเผยแพร่ วิชาการสาขาต่าง ๆ จึงอาจกล่าวได้ว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของกรุง สยาม ด้านความมั่นคง พระองค์ได้ทรงป้องกันราชอาณาจักรด้วยการส่งกองทัพไปสกัดทัพของเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ ไม่ให้ยก ทัพเข้ามาถึงชานพระนครและขัดขวางไม่ให้เวียงจันทน์เข้าครอบครองหัวเมืองอีสานของสยาม นอกจากนี้ พระองค์ทรงประสบความสำ เร็จในการทำ ให้สยามกับญวนยุติการสู้รบระหว่างกันเกี่ยวกับเรื่องเขมรโดยที่ สยามไม่ได้เสียเปรียบญวนแต่อย่างใด • • (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๖๗ - ๒๓๙๔)


พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว (ร.๔) (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๑๑) พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหา มกุฏวิทยมหาราช (18ตุลาคม พ.ศ. 2347–1ตุลาคม พ.ศ. 2411) เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 4แห่ง ราชวงศ์จักรี มีพระนามเดิมว่า "เจ้าฟ้ามงกุฎ" เสด็จ พระราชสมภพ ณ พระราชวังเดิม เมื่อวันพฤหัสบดีขึ้น 14ค่ำ เดือน 11 ปีชวด พระราชกรณียกิจสำ คัญ ชุมนุมพระบรมราโชบาย4 หมวดคือ หมวดวรรณคดีโบราณคดีธรรมคดีและตำ รา ตำ นานเรื่อง พระแก้วมรกตเรื่องปฐมวงศ์ ทรงริเริ่มให้มีการค้นคว้าศิลาจารึกในประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรก คือจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุน รามคำ แหงและจารึกหลักที่ 4 ของพระยาลิไทย พระองค์ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง โดยทรงตั้งธรรมยุตติกาวงศ์ขึ้น เป็นนิกายใหม่ในพระพุทธ ศาสนา ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยและระเบียบแบบแผน ด้านพระพุทธศาสนา • นอกจากนี้แล้วยังทรงเป็นนักโหราศาสตร์อีกด้วย ทรงแต่งตำ ราทางโหราศาสตร์ที่เรียกว่า "เศษ พระจอมเกล้า" ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตำ ราที่ได้รับการยอมรับว่าแม่นยำ และทรงได้รับการยกย่องเชิดชู เกียรติว่าทรงเป็น "พระบิดาแห่งโหราศาสตร์ไทย" • พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนักดาราศาสตร์ไทย ทรงการคำ นวณการเกิดสุริยุปราคา เต็มดวงได้อย่างแม่นยำ ในวันที่ 18สิงหาคม พ.ศ. 2411ล่วงหน้า 2 ปีและได้เสด็จพระราชดำ เนินพร้อม เชิญทูตฝรั่งเศสและสิงคโปร์ทอดพระเนตรสุริยุปราคาครั้งนั้น นอกจากนี้ พระปรีชาสามารถของพระองค์ ในด้านวิทยาศาสตร์นั้น ยังทำ ให้พระองค์ได้รับการยกย่องเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสัตววิทยาสมาคม แห่งสหราชาอาณาจักรอีกด้วยวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2525รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประกาศ ยกย่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย"และอนุมัติให้วันที่ 18สิงหาคมของทุกปีเป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ •


พระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.๕) (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๕๓) พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระนามเดิม ว่าสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระบรมราชสมภพ เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสในพระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระนางเจ้าฟ้ารำ เพย ภมราภิรมย์เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 1ตุลาคม พ.ศ. 2411และบรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 พระราชกรณียกิจสำ คัญ พระราชกรณียกิจที่สำ คัญของรัชกาลที่ 5ได้แก่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการเลิกทาสและไพร่ใน ประเทศไทย การป้องกันการเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิฝรั่งเศสและจักรวรรดิอังกฤษ ได้มีการประกาศ ออกมาให้มีการนับถือศาสนาโดยอิสระในประเทศโดยบุคคลศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามสามารถ ปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ได้มีการนำ ระบบจากทางยุโรป การปกครอง การปกครองส่วนกลาง การ ปรับปรุงการบริหารราชการในส่วนกลางของพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว รัชกาลที่ 5คือ ทรงยกเลิกตำ แหน่งอัครเสนาบดี2ตำ แหน่งคือสมุหกลาโหม และสมุหนายก รวมทั้งจตุสดมภ์ โดยแบ่งการบริหารราชการออกเป็นกระทรวงตามแบบอารยประเทศ และให้มีเสนาบดีเป็นผู้ว่าการแต่ละกระทรวง กระทรวงที่ตั้งขึ้นทั้งหมด


พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยูหัว(ร.๖) (ครองราชย์ พ.ศ.๒๔๕๓-๒๔๖๘) พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหา กษัตริย์ไทยรัชกาลที่ ๖ แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี มีพระนาม เดิมว่า "สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ" เป็นพระราชโอรสของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระศรีพัชทรา บรมราชินีนารถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง) ทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จเจ้าฟ้า มหาวชิราวุธ กรมขุนเทพ ทวาราวดีเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๑ พระราชกรณียกิจสำ คัญ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติคลังออมสิน พ.ศ. 2456 ขึ้น เพื่อให้ประชาชนรู้จักออม ทรัพย์และเพื่อความมั่นคงในด้านเศรษฐกิจของประเทศอีกทั้งยังทรงริเริ่มก่อตั้งบริษัทปูนซิเมนต์ไทยขึ้น ทรงจัดตั้งสภาเผยแผ่พาณิชย์ซึ่งเป็นหน่วยงานคล้ายกับสภาพัฒนาการเศรษฐกิจในปัจจุบัน และใช้พระ ราชทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ ธนาคารสยามกัมมาจล ทุนจำ กัด(ปัจจุบันคือธนาคารไทย พาณิชย์) ซึ่งมีปัญหาการเงิน ทำ ให้ธนาคารของคนไทยแห่งนี้ดำ รงอยู่มาได้ อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายในราชสำ นักของพระองค์ค่อนข้างฟุ่มเฟือย กระทรวงพระคลังมหาสมบัติต้อง ถวายเงินเพิ่มขึ้นมากในพระคลังข้างที่ ทั้งนี้เพราะเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง หมกมุ่นอยู่กับแต่ศิลปะวิทยาการ ทำ ให้การคลังของประเทศอ่อนแอรายจ่ายของแผ่นดินมีสูงกว่ารายได้ ส่งผลให้เกิดยุคข้าวยากหมากแพงในตอนปลายรัชกาลไปจนถึงในรัชกาลถัดไป การปกครอง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเน้นความสำ คัญของ “ชาติ” เป็นหัวใจของการปกครอง กล่าวคือ ทรงกระทำ ทุกวิถีทางเพื่อประโยชน์ของชาติซึ่งหมายถึงราษฎรที่เกิดเป็นไทยและในเวลาต่อมา มีความหมายรวมถึงดินแดนที่เป็นของราษฎรที่เกิดเป็นไทยด้วยไม่ว่าราษฎรเหล่านั้นจะมีเชื้อชาติและ ศาสนาใด ทรงพิจารณาเรื่องอันจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองอย่างรอบคอบและรอบด้าน เมื่อถึงเวลาอัน เหมาะสมจึงจะดำ เนินการ


พระบาทสมเด็จพรปกเกล้า เจ้าอยู่หัว(ร.๗) (ครองราชย์ พ.ศ.๒๔๖๘-๒๔๗๗) พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็น พระมหากษัตริย์ไทยลำ ดับที่ ๗ แห่งราชวงศ์ จักรี มีพระนามเดิมว่า "สมเด็จเจ้าฟ้าประชาปก ศักดิเดชน์" เป็นพระราชโอรสพระองค์สุดท้าย ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัคร ราชเทวี พระราชกรณีกิจสำ คัญ เศรษฐกิจสืบเนื่องจากผลของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ประเทศทั่วโลกประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งมีผลกระทบกระเทือนมาสู่ประเทศไทย พระองค์ได้ ทรงพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การควบคุมงบประมาณ ตัดทอนรายจ่ายลดอัตราเงินเดือนข้าราชการ รวมถึงการลดจำ นวนข้าราชการ ปรับปรุงระบบภาษี การเก็บภาษีเพิ่มเติม ยุบรวมจังหวัดเลิกมาตรฐานทองคำ เปลี่ยนไปผูกกับค่าเงินของอังกฤษ เป็นต้น รวมทั้งส่งเสริมกิจการสหกรณ์ให้ ประชาชนได้มีโอกาสร่วมกันประกอบกิจการทางเศรษฐกิจ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2471 ขึ้น การสุขาภิบาลและสาธารณูปโภคโปรดให้ปรับปรุงงานสุขาภิบาลทั่วราชอาณาจักรให้ทัดเทียมอารยประเทศด้านการสื่อสารและการคมนาคมนั้น ได้มีการอัญเชิญ กระแสพระราชดำ รัสของพระองค์จากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง ถ่ายทอดเสียงทางวิทยุเป็นครั้งแรกของประเทศไทยในพิธีเปิดสถานีวิทยุ กรุงเทพฯ ที่พระราชวังพญาไทในส่วนกิจการรถไฟ ขยายเส้นทางรถทางทิศตะวันออกจากทางจังหวัดปราจีนบุรี จนกระทั่งถึงต่อเขตแดนประเทศกัมพูชา ในปี พ.ศ. 2475เป็นวาระที่กรุงเทพมหานครมีอายุครบ 150 ปี ทรงจัดงานเฉลิมฉลองโดยทำ นุบำ รุงบูรณปฏิสังขรณ์สิ่งสำ คัญอันเป็นหลักของกรุงเทพมหานคร หลายประการคือ บูรณะวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง,สร้างปฐมบรมราชานุสรณ์และสะพานพระพุทธยอดฟ้าเชื่อมฝั่งกรุงเทพมหานครและฝั่ง ธนบุรีเพื่อเป็นการขยายเขตเมืองให้กว้างขวางเป็นต้น สำ หรับในเขตหัวเมือง ทรงได้จัดตั้งสภาจัดบำ รุงสถานที่ชายทะเลทิศตะวันตกขึ้น เพื่อทำ นุบำ รุงหัวหินและ ใกล้เคียงให้เป็นสถานที่ตากอากาศชายทะเล การปกครอง เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง การปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบ ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยคณะราษฎรในวันที่ พระบาท สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยอมรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวด้วยความเต็มพระทัยโดยมิได้ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕ นั้น ใช้พระราชอำ นาจของพระองค์ที่ มีอยู่ขัดขวางแต่อย่างใด ที่เป็นเช่นนี้เพราะพระองค์ไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อของประชาชนชาวไทย นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีพระราชประสงค์ที่ จะพระราชทาน รัฐธรรมนูญให้แก่ปวงชนชาวไทยอยู่ก่อนแล้ว จนถึงกับโบรดเกล้าฯ ให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ และเตรียม การประกาศใช้เมื่อถึงเวลาอันสมควรมา ก่อนหน้าคณะราษฎรจะยึดอำ นาจดังนั้น เมื่อคณะราษฎรจะขอ พระราชทานรัฐธรรมนูญ พระองค์จึงมิได้ทรงขัดขวางแสดงให้เห็นถึงการเสียสละพระราชอำ นาจ เพื่อความ เป็นประชาธิปไตยของประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง


พระบาทสมเด็จพระปรเมน ทรมหาอานันทมหิดล(ร.๘) (ครองราชย์ พ.ศ.๒๔๗๗-๒๔๘๙) พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ทรงเป็นพระมหา กษัตริย์ไทยลำ ดับที่ ๘ แห่งราชวงศ์จักรี มีพระนามเดิมว่า "พระว รวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล" เป็นพระโอรสองค์แรกของ สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จ พระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก)และหม่อม สังวาล มหิดล ณ อยุธยา (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติขณะทรงมีพระชนมายุ ๙ พรรษา จึงต้องมี คณะผู้สำ เร็จราชการแทนพระองค์ พระราชกรณียกิจสำ คัญ ในการเสด็จนิวัตพระนครครั้งแรกนั้น พระองค์ได้ประกอบพิธีทรงปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ท่ามกลางมณฑลสงฆ์ในพระอุโบสถวัด พระศรีรัตนศาสดารามเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 นอกจากนี้ ยังเสด็จพระราชดำ เนินไปทรงนมัสการพระพุทธรูปในพระ อารามที่สำ คัญ เช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร วัดสระเกศราช วรมหาวิหาร วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร วัดบวรนิเวศราชวรวิหารและวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร โดยเฉพาะที่วัดสุ ทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหารนั้น พระองค์เคยมีพระราชดำ รัสกล่าวว่า "ที่นี่สงบเงียบน่าอยู่จริง"ดังนั้น เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต จึงได้นำ พระบรมราชสรีรางคารของพระองค์มาประดิษฐาน ณ วัดแห่งนี้ พระองค์ยังทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าจะผนวชในพระพุทธศาสนา โดยได้มีพระราชหัตเลขาถึงสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิร ญาณวงศ์เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2489 ทรงขอสังฆราชานุเคราะห์ในการศึกษาตำ ราทางพระพุทธศาสนาเพื่อใช้ในการเตรียม พระองค์ในการที่จะอุปสมบท แต่ก็มิได้ผนวชตามที่ตั้งพระราชหฤทัยไว้ นอกจากนี้ยังได้พระราชทานพระราชทรัพย์บำ รุงวัดวาอาราม กับพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่ศาสนาอื่นตามสมควร การปกครอง พระองค์ได้เสด็จพระราชดำ เนินไปในพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489และเปิดประชุมสภา ผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2489 นอกจากนี้ ยังเสด็จพระราชดำ เนินทรงเยี่ยมราษฎรในจังหวัดต่าง ๆ และทรงเยี่ยมชาวไทย เชื้อสายจีนเป็นครั้งแรก ณ สำ เพ็ง พระนคร พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดความขัดแย้งกันระหว่างชาวไทยและชาวไทยเชื้อสายจีนจนเกือบเกิดสงครามกลางเมือง เมื่อพระองค์ทรงทราบ เรื่อง มีพระราชดำ ริว่า หากปล่อยความขุ่นข้องบาดหมางไว้เช่นนี้ จะเป็นผลร้ายตลอดไป จึงทรงตัดสินพระทัยเสด็จพระราชดำ เนินสำ เพ็ง ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงและพระองค์ทรงพระราชดำ เนินด้วยพระบาทเป็นระยะประมาณ 3 กิโลเมตร การเสด็จ พระราชดำ เนินสำ เพ็งในครั้งนี้จึงเป็นการประสานรอยร้าวที่เกิดขึ้นให้หมดไป


Click to View FlipBook Version