The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตรวจงานแปลมัทธิว 16

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by P. Tads, 2021-06-07 09:47:05

16 มัทธิว 16: 1-12

ตรวจงานแปลมัทธิว 16

มทั ธวิ 16: 1-12 ชาวฟารสิ แี ละชาวสะดุสแี สวงหาเครอ่ื งหมาย

ชาวฟาริสีขอเครือ่ งหมายจากฟ้า
1 ชาวฟารสิ แี ละชาวสะดสู เี ขา้ มาจบั ผดิ พระองค์ ขอใหท้ รงแสดงเครอ่ื งหมายจากฟ้า
2 พระองค์ทรงตอบพวกเขาว่า “ตอนเยน็ ท่านทงั้ หลายพูดว่า ‘อากาศจะดี เพราะฟ้าสแี ดง’ 3 ตอนเชา้ ท่านพูดว่า ‘วนั น้ีจะมี

พายุ เพราะฟ้าสแี ดงคล้า’ ท่านรวู้ ่าอากาศจะเป็นอยา่ งไรจากลกั ษณะทอ้ งฟ้า แลว้ เหตุใดจงึ ไม่เขา้ ใจเครอื่ งหมายแห่งกาลเวลาเลา่ 1
4 คนชวั่ รา้ ยและไม่ซ่อื สตั ย์อยากเหน็ เคร่อื งหมายหรอื จะไม่มเี คร่อื งหมายอะไรใหเ้ หน็ เวน้ แต่เคร่อื งหมายของประกาศกโยนาห์”
แลว้ พระองคท์ รงแยกจากคนเหล่านนั้ เสดจ็ จากไป
เชื้อแป้งของชาวฟาริสีและชาวสะดสู ี
5 บรรดาศษิ ยข์ า้ มฝัง่ ทะเลสาบ ลมื นาขนมปังไปดว้ ย 6 พระเยซูเจา้ ตรสั แก่เขาว่า “จงระวงั ใหด้ ี จงระวงั เชอ้ื แป้งของชาวฟารสิ แี ละ
ชาวสะดสู ”ี 7 บรรดาศษิ ยจ์ งึ พดู กนั วา่ “น่ีเป็นเพราะเราไม่ไดน้ าขนมปังมา” 8 พระเยซูเจา้ ทรงทราบ จงึ ตรสั ว่า “ทา่ นช่างมคี วามเช่อื
น้อย ทาไมจงึ ถกเถยี งกนั เร่อื งไม่มขี นมปัง 9 ท่านยงั ไม่เขา้ ใจหรอื ท่านจาไม่ไดห้ รอื เร่อื งขนมปังหา้ กอ้ นเล้ยี งคนหา้ พนั คน ท่าน
เกบ็ เศษทเ่ี หลอื ไดก้ ก่ี ระบุง 10 หรอื เรอ่ื งขนมปังเจด็ กอ้ นเลย้ี งคนสพ่ี นั คน ท่านเกบ็ เศษทเ่ี หลอื ไดก้ ต่ี ะกรา้ 11 ทาไมท่านจงึ ไมเ่ ขา้ ใจ
ว่าเราไม่ไดพ้ ูดเร่อื งขนมปัง เราบอกใหร้ ะวงั เช้อื แป้งของชาวฟารสิ แี ละชาวสะดูส”ี 12 บรรดาศษิ ย์จงึ เขา้ ใจว่าพระองคม์ ไิ ดต้ รสั ให้
ระวงั เชอ้ื แป้งขนมปัง แตใ่ หร้ ะวงั คาสอนของชาวฟารสิ แี ละชาวสะดสู ี

ข้อศึกษาวิพากษ์
มธ. 16:1-4 เป็นคู่ของ 12:38-40 (ดู ขอ้ ศกึ ษาวพิ ากษ์เก่ยี วกบั ตอนดงั กล่าว) แมว้ ่าจะเปลย่ี นฉากเหตุการณ์ท่ี 16:5

แต่ 16:1-12 ยงั เป็นหน่วยเดยี วกนั ลอ้ มกรอบดว้ ยการนาชาวฟารสิ แี ละชาวสะดุสมี าอย่คู ู่กนั (ซง่ึ ปกตไิ ม่ค่อยพบ) ใน
ตอนตน้ และตอนจบ (ว. 1, 12) นกั บุญมทั ธวิ ทาในสงิ่ ทต่ี ่างไปจากปกติ คอื ไม่ไดน้ าบนั ทกึ จากเอกสารแหล่ง Q และ
พระวรสารนักบุญมาระโกมารวมกนั แต่ใช้รูปแบบจากแหล่ง Q ใน 12:38-40 และใช้รูปแบบจากพระวรสาร
นกั บุญมาระโกตรงน้ี (ดูเหมอื นจะปรบั ใหค้ ลา้ ยกบั รปู แบบแรกอย่บู า้ ง) เม่อื ท่านนักบุญมทั ธวิ ยกขอ้ ความบางสว่ นจากหน่วย
หน่ึงของพระวรสารนักบุญมาระโกมาใชใ้ น “ภาคหน่ึง” (Part One) ซง่ึ เป็นการสรา้ งสรรคข์ องท่าน (ดูบทนา) ท่าน
ละเวน้ เน้ือหาสาระนัน้ เม่อื มาถงึ ลาดบั ของเหตุการณ์ในพระวรสารนกั บุญมาระโก การท่ีท่านนาเน้ือหาน้ีมากล่าว
ซ้าในท่นี ้ีทาให้เกดิ กรอบสาหรบั เน้ือหาตอน 16:1-12 โดยรวมทงั้ หมด และมคี วามเช่อื มโยงกนั ด้านแนวคดิ กบั
หน่วยก่อนหน้าน้ีและหน่วยทก่ี าลงั จะมาถงึ

16:1 การนาชาวฟารสิ กี บั ชาวสะดสุ มี าผสมกนั ดูแปลกและโดดเด่น เรอ่ื งลกั ษณะน้ีเกดิ ขน้ึ สค่ี รงั้ ในเน้ือหา
ตอนน้ีและไม่มสี ่วนกล่าวถงึ อกี ในพระคมั ภรี ์ภาคพนั ธสญั ญาใหม่ ยกเวน้ ในเน้ือหาอกี ตอนหน่ึงของพระวรสาร
นกั บุญมทั ธวิ (3:7) ทงั้ ในสว่ นดงั กล่าวและสว่ นน้ี มนั เป็นโครงสรา้ งทต่ี ดั ต่อโดยนกั บุญมทั ธวิ เปลย่ี นคาวา่ “ฝงู ชน”
ใน 3:7 และ “ชาวฟารสิ กี บั คนของกษตั รยิ เ์ ฮโรด” ในบทคขู่ นานในพระวรสารนกั บุญมาระโกใหก้ ลายเป็นชาวฟาร-ิ
สแี ละชาวสะดุสี ซง่ึ มอี ยจู่ รงิ ในประวตั ศิ าสตรแ์ ละเป็นกลุ่มทเ่ี ป็นปรปักษ์ต่อกนั และปกตแิ ทบจะไม่พดู จาเหน็ พอ้ ง

381

กนั เหมอื นในตอนน้ี เร่อื งน้ีเป็นไปไดย้ ากทางประวตั ศิ าสตรเ์ หมอื นกบั การทพ่ี รรคเยรซู าเลม็ ทเ่ี ป็นกลุ่มคนชนั้ สูง
จะอยบู่ นชายฝัง่ ทะเลกาลลิ แี ละโตเ้ ถยี งกบั นกั เทศน์พเนจร (3:7 เป็นเพยี งอกี สว่ นเดยี วในภาคพนั ธสญั ญาใหม่ทม่ี กี ารอา้ งองิ ถงึ ชา
วสะดุสที ่อี ยู่นอกแควน้ ยูเดยี ) อย่างไรกต็ าม การนาชาวฟารสิ แี ละชาวสะดุสมี าอยู่ดว้ ยกนั ไม่จาเป็นต้องหมายความว่า
ผเู้ ขยี นเป็นชนต่างศาสนาท่ไี ม่รูค้ วามเป็นจรงิ ทางประวตั ศิ าสตร์ เป็นไปไดว้ ่าสงิ่ น้ีช้ใี หเ้ หน็ ถงึ ชุมชนของนักบุญ
มทั ธวิ ทแ่ี ยกตวั ออกจาผนู้ าในศาลาธรรม และหนั มามองศาสนายดู ายจากมุมมองของคนนอก เพราะทา่ นและกลุ่ม
ของทา่ นนนั้ กลายเป็นคนนอกในชุมชนของตนเอง

ชาวฟารสิ ีและชาวสะดุสี “ทดสอบ” พระเยซูเจ้า มนั เป็นครงั้ แรกท่ีมีการใช้คาว่า “ล่อลวง” (tempt /
peirazo) นับตงั้ แต่เร่อื งราวทพ่ี ระองค์ทรงถูกผจญล่อลวงใน 4:1-11 ส่วนอ่นื ๆ ทใ่ี ชก้ ม็ เี พยี ง 19:3 และ 22:18, 35
โดยแต่ละครงั้ เป็นชาวฟารสี ี นักบุญมทั ธวิ มองเหน็ ความต่อเน่ืองระหว่างการต่อต้านพระเยซูเจ้าของมารปิศาจ
และของผนู้ าชาวยวิ มุมมองทต่ี ่างกนั และความขดั แยง้ ของสองอาณาจกั รซง่ึ เป็นแนวคดิ (ผอู้ ธบิ ายตคี วาม: M. EUGENE
BORING) หลกั ของนักบุญมทั ธวิ กลบั คนื มาอกี ครงั้ (ดู บทเสรมิ เร่อื ง “พระอาณาจกั รสวรรคใ์ นพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ) แนวคดิ น้ี
ขยายไปสู่ ว. 5-12 และเป็นอกี เหตุผลหน่ึงท่ีมกี ารนาเอา 16:1-4 มากล่าวซ้าเพ่อื เป็นส่วนแนะนาเร่อื ง ขอ้ ความ
ทงั้ หมดใน 16:1-14 จงึ นาไปส่ฉู ากเหตุการณ์สาคญั ทน่ี กั บุญเปโตรกล่าวประกาศความเช่ือของเขาและคาสงั่ ของ
พระเยซูเจา้ ทใ่ี หต้ ดิ ตามพระองคใ์ น 16:13-28 ซง่ึ ความขดั แยง้ ระหว่างการตดั สนิ ใจทจ่ี ะอย่กู บั “สง่ิ ทเ่ี ป็นของพระ
เจา้ ” หรอื ”สง่ิ ทเ่ี ป็นของมนุษย”์ คอื ประเดน็ ทม่ี ุ่งเน้นอย่างชดั เจนทส่ี ุด สว่ นเร่อื งของการเรยี กรอ้ ง “เคร่อื งหมาย
จากสวรรค”์ และคาตอบของพระเยซเู จา้ ขอใหด้ ทู ่ี 12:38

16:2-4 ส่วนแรกของคาตอบจากพระเยซูเจา้ มคี วามไม่แน่นอนในตน้ ฉบบั อย่างมากเพราะมนั ไดห้ ายไป
จาก B, C, f13 และธรรมประเพณีสว่ นใหญข่ องชาวซเี รยี และคอปตกิ ดงั นนั้ พระคมั ภรี ฉ์ บบั REB จงึ ละเวน้ สว่ นน้ี
ส่วนฉบบั NAB ได้นาส่วนน้ีใส่ไว้วงเล็บ ส่วนฉบบั NIV และ NRSV มสี ่วนน้ีรวมอยู่ด้วย แต่มหี มายเหตุท่รี ะบุ
ยนื ยนั ถงึ ความไม่แน่ใจ แต่ไม่ว่าจะเป็นในฉบบั ดงั้ เดมิ หรอื ในฉบบั ระดบั รอง ส่วนน้ีมคี วามเช่อื มโยงทส่ี าคญั กบั
บรบิ ท เพราะคาว่า “สวรรค์” ใน 6:1 และ “ท้องฟ้า” ใน ว. 2-3 มาจากคาเดยี วกนั ในภาษากรกี (ouranos) ไม่มี
เคร่อื งหมายใดๆ ท่คี ลุมเครอื แมก้ ระทงั่ เคร่อื งหมายทม่ี าจากสวรรคห์ รอื ท้องฟ้านัน้ กย็ งั ต้องมกี ารตคี วาม ผนู้ า
ชาวยิวรู้วิธอี ่านท้องฟ้า แต่ไม่รู้ถึงเคร่อื งหมายเดียวท่ีพระเป็นเจ้าให้กบั พวกเขา ซ่ึงก็คือความตายและการ
กลบั คนื พระชนมข์ องพระเยซูเจา้ (ดู 12:38 และขอ้ คดิ ไตร่ตรองท่ตี ามหลงั 12:45) มนั เก่ยี วขอ้ งกบั การตคี วามตามยุคสมยั
(Times / kairoi) ซ่ึงเป็นอีกหน่ึงคาหลกั ในพระวรสารนักบุญมทั ธิว (ดู 26:18) การไร้ความสามารถท่ีจะตีความ
เคร่อื งหมายทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงกล่าวถงึ น้ีไม่ใช่เร่อื งของไหวพรบิ ทางปัญญา แต่เกย่ี วขอ้ งกบั การมใี จแขง็ กระดา้ ง
และขาดความเชอ่ื อยา่ งทว่ี รรคตอ่ ไปแสดงใหเ้ หน็ อยา่ งชดั เจน ในสว่ นสรุปจบของบทสนทนาน้ี พระเยซูเจา้ ไดไ้ ป
จากชาวฟารสิ แี ละชาวสะดุสี แต่มนั ไม่ใช่การถอยตวั จากการเผชญิ หน้าทแ่ี สดงออกอย่ใู นการตอบสนองต่อความ
มุ่งรา้ ยโดยปราศจากการโตต้ อบและปราศจากความรุนแรง ซง่ึ เหน็ ไดจ้ ากการกระทาทเ่ี ป็นปกตขิ องพระเยซูเจา้
คอื “พระองคท์ รงถอยจากไป” (He withdrew) (“anachoreo” ดู 4:12; 12:15) แต่การทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงยุตกิ ารส่อื สาร
กบั ผู้นาชาวยวิ (“abandon” “leave behind” หรอื “kataleipo” ตอนอ่นื ท่มี คี าน้ีปรากฏในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ มเี พยี ง 4:13;
19:5; 21:17) พระองค์ทรงไม่ไดพ้ บพวกเขาอกี เลยจนกระทงั่ ถงึ การเผชญิ หน้ากนั ครงั้ สุดทา้ ย ซ่งึ เรมิ่ ต้นในแควน้ ยู
เดยี (19:3; 22:23)

382

16:5-12 บรรดาศษิ ยก์ ลบั ไปรวมกบั พระเยซูเจา้ ซ่งึ ตอนแรกทรงอย่ตู ามลาพงั ขณะทม่ี กี ารเผชญิ หน้าใน
ว. 1-14 นักบุญมทั ธวิ นาฉากเหตุการณ์น้ีจากพระวรสารนักบุญมาระโกไปเขยี นใหม่ ปรบั ปรุงใหม่ และเปล่ยี น
ตาแหน่ง ในพระวรสารนักบุญมาระโก เหตุการณ์น้ีเกดิ ขน้ึ บนเรอื ขณะทก่ี าลงั มกี ารขา้ มไปอกี ฝัง่ หน่ึง ดงั นนั้ เรอ่ื ง
เล่าน้ีจงึ เป็นตวั แทนของประสานรวมกนั ระหว่างแนวคดิ หลกั สองประการจากสองฉากเหตุการณ์ก่อนหน้าน้ี คอื
ฉากเร่อื งการเล้ยี งฝูงชนใน 15:32-38 ซ่ึงบรรดาศิษย์คอื คนกลุ่มสุดท้ายท่ีปรากฏตวั และฉากเหตุการณ์การ
เผชญิ หน้าระหวา่ งพระเยซูเจา้ และชาวฟารสิ กี บั ชาวสะดุสใี น 16:1-4 ซง่ึ ไม่มบี รรดาศษิ ยอ์ ยเู่ ลย

พระเยซูเจา้ ไดท้ รงตดั ขาดการสอ่ื สารกบั ผนู้ าชาวยวิ ในฉากก่อนหน้าน้ี สว่ นในฉากน้ีดเู หมอื นพระองคจ์ ะ
สูญเสยี การส่อื สารกบั บรรดาศษิ ยข์ องพระองคด์ ว้ ย บรรดาศษิ ย์ได้กงั วลเร่อื งขนมปัง (ว. 5) ส่วนพระเยซูเจา้ ทรง
ตอ้ งการเตอื นบรรดาศษิ ยเ์ รอ่ื งคาสอนของชาวฟารสิ แี ละชาวสะดุสี (ว. 6) คาทใ่ี ชร้ ่วมกนั กค็ อื “เชอ้ื แป้ง” ซง่ึ บรรดา
ศษิ ยเ์ ขา้ ใจตามความสนใจของตนเองวา่ หมายถงึ ขนมปังจรงิ ๆ (ว. 8) ดว้ ยความรอู้ ยา่ งลกึ ซง้ึ ในฐานะองคพ์ ระผเู้ ป็น
เจา้ (ดู 12:25; 26:9-10) พระเยซูเจา้ ทรงตระหนักดถี งึ ความเขา้ ใจผดิ ของบรรดาศษิ ย์ ซ่งึ ไม่ไดอ้ ย่ใู นระดบั สตปิ ัญญา
เท่านัน้ แต่เป็นเร่อื งของการมี “ความเช่อื น้อย” (oligopistoi) จากนัน้ พระเยซูเจา้ ทรงเปลย่ี นประเดน็ จากเร่อื งเช้อื
แป้งหรอื คาสอนของชาวฟารสิ แี ละชาวสะดุสี แลว้ มาจดั การกบั ความกงั วลของบรรดาศษิ ย์ พระองคเ์ คยสอนพวก
เขาใหว้ างใจในพระผเู้ ป็นเจา้ ในการจดั หาสงิ่ ต่างๆ ให้ (6:25-34 ซง่ึ คาท่นี ักบุญมทั ธวิ มกั ใชบ้ ่อยนัน้ มาจากแหล่งขอ้ มูลเอกสารแหล่ง
Q) แต่พวกเขากลบั ปล่อยใหค้ วามกงั วลเกย่ี วกบั ความมงั่ คงปลอดภยั ทางกายภาพมคี วามสาคญั เหนือความเป็น
จรงิ ด้านจติ วญิ ญาณ ส่วนต่อไปท่ฉี ากน้ีปูพ้นื ให้จะช้ใี ห้เราเหน็ ว่าการทาเช่นน้ีคอื การจดจ่ออยู่กบั สงิ่ ท่เี ป็นของ
มนุษยแ์ ทนทจ่ี ะจดจ่อกบั สงิ่ ทเ่ี ป็นของพระเป็นเจา้ (16:23) ดงั นัน้ มนั จงึ มคี วามแตกต่างทางคุณภาพเม่อื เทยี บกบั
สภาวะท่ียงั ไม่เข้าใจ (not-yet understanding) ของพวกเขาใน ว. 9 ซ่ึงได้รบั การแก้ไขโดยทนั ที (ว. 12) ความ
กงั วลเร่อื งขนมปังทม่ี คี วามหมายตามตวั อกั ษรทาใหพ้ วกเขารสู้ กึ ถูกกดดนั ใหล้ ะท้งิ คาสอนของพระเยซูเจา้ ท่มี า
จากคาเทศน์สอนภูเขาและไปเขา้ พวกกบั ชาวฟารสิ ี ซง่ึ อยฝู่ ัง่ ตรงขา้ มกบั พระอาณาจกั รสวรรค์ และกลายเป็นหน่ึง
เดยี วกบั ซาตานในการ “ทดลอง” พระเยซูเจา้ ซง่ึ นกั บุญเปโตรถูกกล่าวหาวา่ กระทาเช่นนนั้ ในสว่ นถดั ไป (16:23 อกี
ครงั้ ) พระเยซูเจา้ ทรงเรยี กใหพ้ วกเขาระลกึ ถงึ การทพ่ี ระเป็นเจา้ ทรงจดั หาสงิ่ จาเป็นใหพ้ วกเขาอย่างอุดมลน้ เหลอื
เหน็ ไดจ้ ากตอนทพ่ี ระองคท์ รงเลย้ี งดูฝงู ชนจานวนหา้ พนั และสพ่ี นั คน จากนนั้ พระองค์ไดท้ รงกลบั มาพดู ประเดน็
เดมิ อกี ครงั้ คอื คาสอนของชาวฟารสิ แี ละชาวสะดสุ ี ซง่ึ ตอนแรก “oligopistoi” ทาใหบ้ รรดาศษิ ยข์ า้ ใจผดิ แต่ตอนน้ี
พวกเขาเขา้ ใจแลว้ สง่ิ น้ีตรงขา้ มกบั ในพระวรสารนักบุญมาระโก (7:21) ความเขา้ ใจผดิ ของบรรดาศษิ ย์เป็นเพยี ง
การออกนอกล่นู อกทางชวั่ คราวเท่านนั้ เรอ่ื งเล่าในตอนน้ที งั้ หมดในพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ เป็นเรอ่ื งของการสอน
และเป็นการสอนทป่ี ระสบความสาเรจ็ สอนโดยพระองค์ผทู้ รงเป็นพระอาจารยช์ นั้ ยอด และส่งผลใหเ้ กดิ บรรดา
ศษิ ยท์ ม่ี คี วามเขา้ ใจในพระองคแ์ ละคาสอนของพระองค์

383

มทั ธวิ 16:13-28 การกลา่ วแสดงความเชอ่ื ของศษิ ยแ์ ละชมุ ชนแหง่ ใหม่

เปโตรประกาศความเช่ือ
13 พระเยซูเจ้าเสดจ็ มาถงึ เขตเมอื งซซี ารยี าแห่งฟิลปิ และตรสั ถามบรรดาศษิ ย์ว่า “คนทงั้ หลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็น

ใคร” 14 เขาทลู ตอบวา่ “บา้ งกล่าวว่าเป็นยอหน์ ผทู้ าพธิ ลี า้ ง บา้ งกล่าวว่าเป็นประกาศกเอลยี าห์ บา้ งกล่าววา่ เป็นประกาศกเยเรมยี ์
หรอื ประกาศกองคใ์ ดองคห์ น่ึง”

15 พระองค์ตรสั กบั เขาว่า “ท่านล่ะคดิ ว่าเราเป็นใคร” 16 ซโี มน เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คอื พระครสิ ตเจา้ พระบุตรของพระ
เจา้ ผทู้ รงชวี ติ ” 17 พระเยซูเจา้ ตรสั ตอบเขาวา่ “ซโี มน บตุ รของยอหน์ ทา่ นเป็นสุขเพราะไมใ่ ชม่ นุษยท์ เ่ี ปิดเผยใหท้ ่านรู้ แตพ่ ระบดิ า
เจา้ ของเราผสู้ ถติ ในสวรรคท์ รงเปิดเผย 18 เราบอกท่านวา่ ท่านคอื ศลิ า และบนศลิ าน้ี เราจะตงั้ พระศาสนจกั รของเรา ประตูนรกจะ
ไมม่ วี นั ชนะพระศาสนจกั รได้ 19 เราจะมอบกุญแจอาณาจกั รสวรรคใ์ ห้ ทุกสง่ิ ทท่ี ่านจะผกู บนแผ่นดนิ น้ี จะผกู ไวใ้ นสวรรคด์ ว้ ย ทุก
สง่ิ ทท่ี ่านจะแกใ้ นแผน่ ดนิ น้ี กจ็ ะแกใ้ นสวรรคด์ ว้ ย” 20 แลว้ พระองคท์ รงกาชบั บรรดาศษิ ยม์ ใิ หบ้ อกใครวา่ พระองคค์ อื พระครสิ ตเจา้
พระเยซูเจ้าทรงทานายเรือ่ งพระทรมานเป็นครงั้ แรก

21 ตงั้ แต่นัน้ มา พระเยซูเจา้ ทรงเรม่ิ แจง้ แก่บรรดาศษิ ยว์ ่า พระองคจ์ ะตอ้ งเสดจ็ ไปกรุงเยรซู าเลม็ เพ่อื รบั การทรมานอย่างมาก
จากบรรดาผอู้ าวโุ ส หวั หน้าสมณะและธรรมาจารย์ จะถูกประหารชวี ติ แตจ่ ะทรงกลบั คนื พระชนมชพี ในวนั ทส่ี าม

22 เปโตรนาพระองคแ์ ยกออกไป ทลู ทดั ทานวา่ “ขอเถดิ พระเจา้ ขา้ เหตุการณ์น้ีจะไมเ่ กดิ ขน้ึ กบั พระองคอ์ ย่างแน่นอน” 23 แต่
พระองค์ทรงหนั มาตรสั แก่เปโตรว่า “เจา้ ซาตาน ถอยไปขา้ งหลงั เจา้ เป็นเคร่อื งกดี ขวางเรา เจา้ ไม่คดิ อย่างพระเจา้ แต่คดิ อย่าง
มนุษย”์
เงอ่ื นไขในการติดตามพระคริสตเจา้

24 พระเยซูเจา้ ตรสั แก่บรรดาศษิ ยว์ ่า “ถา้ ผใู้ ดอยากตามเรา กจ็ งเลกิ คดิ ถงึ ตนเอง จงแบกไมก้ างเขนของตนและตดิ ตามเรา 25
ผใู้ ดใคร่รกั ษาชวี ติ ของตนใหร้ อดพน้ กจ็ ะสญู เสยี ชวี ติ นริ นั ดร แต่ถา้ ผใู้ ดเสยี ชวี ติ ของตนเพราะเรา กจ็ ะพบชวี ติ นิรนั ดร 26 มนุษยจ์ ะ
ไดป้ ระโยชน์ใดในการทไ่ี ดโ้ ลกทงั้ โลกเป็นกาไร แต่ตอ้ งเสยี ชวี ติ มนุษยจ์ ะตอ้ งใหส้ งิ่ ใดเพอ่ื แลกกบั ชวี ติ ทส่ี ญู เสยี ไปใหก้ ลบั คนื มา
27 “บตุ รแห่งมนุษยจ์ ะเสดจ็ กลบั มาในพระสริ ริ ุ่งโรจน์ของพระบดิ าพรอ้ มกบั บรรดาทตู สวรรค์ เม่อื นนั้ พระองคจ์ ะประทานรางวลั แก่
ทุกคนตามความประพฤตขิ องเขา 28 เราบอกความจรงิ แก่ท่านทงั้ หลายว่า บางท่านทย่ี นื อย่ทู น่ี ่ีจะยงั ไมต่ าย จนกวา่ จะไดเ้ หน็ บตุ ร
แหง่ มนุษยเ์ สดจ็ กลบั มาในพระอาณาจกั รของพระองค”์

ข้อศึกษาวิพากษ์
นักบุญมทั ธวิ นาฉากน้ีมาเป็นจุดกง่ึ กลางทส่ี าคญั อย่างยง่ิ ของตอนเน้ือหาทม่ี ขี นาดยาวน้ี แสดงภาพการ

ก่อตวั ของครสิ ตจกั รอนั เน่ืองมาจากการปฏเิ สธไม่ยอมรบั ของชาวอสิ ราเอล (ดู ภาพรวมท่ี 13:53) ในฉากน้ี นักบุญเป
โตรประกาศความเช่อื ท่เี ป็นรากฐานของครสิ ตจกั ร และพระเยซูเจา้ ทรงประกาศว่าเปโตรเป็นรากฐานทพ่ี ระองค์
จะทรงสรา้ งชุมชนใหม่ขน้ึ มา รวมทงั้ กล่าวถงึ สง่ิ ท่เี ราตอ้ งยอมรบั ถงึ คุณค่าและความหมายของการยนื ยนั ในคา
ประกาศความเช่ือน้ี เห็นได้ชดั เจนว่าในตอนเน้ือหาท่ีเป็นหลกั ปฏิบัติของการก่อตงั้ ครสิ ตจักรน้ี (13:53-18:35)

384

นกั บุญเปโตรไดร้ บั บทบาททโ่ี ดดเด่นกว่าบรรดาอคั รสาวกคนอ่นื เน้ือหาบางสว่ นจากจดหมายของนกั บุญเปโตร
ไดเ้ ป็นสาระทป่ี รากฏในบทบรรยายเรอ่ื งใน มก. 14:28-31; 15:15; 16:17-19; 17:24-27; 18:21

หน่วยน้ีต่อเน่ืองมาจาก ว. 13 ไปจนถงึ ว. 18 ลอ้ มกรอบดว้ ยขอ้ ความอา้ งองิ ถงึ บุตรแห่งมนุษยใ์ นวรรค
ตน้ และในวรรคจบ ซง่ึ นักบุญมทั ธวิ ไดเ้ ตมิ เขา้ มาทงั้ สองตอน บทสนทนาบทน้ีและสว่ นทเ่ี ป็นการสอนน้ีเกดิ ขน้ึ ใน
สถานทเ่ี พยี งแห่งเดยี วในเขตฟิลปิ ปีซง่ึ ปกครองโดยซซี าร์ โดยมกี ารเปลย่ี นฉากในตอนตน้ ของหน่วย (16:13) และ
ตอนจบ (17:1) ดงั นนั้ 16:13-28 จงึ เป็นหน่ึงหน่วยทป่ี ระกอบดว้ ยหน่วยยอ่ ย 3 สว่ น ไดแ้ ก่ ว. 13-20, ว. 21-23, ว.
24-28 ในตอนน้ีทงั้ หมดนักบุญมทั ธวิ ไม่ได้มแี หล่งขอ้ มูลอ่นื นอกจากพระวรสารนักบุญมาระโก (สาหรบั 16:17-20)
และธรรมประเพณีในชุมชนของท่านเอง ท่านเขยี นตามลาดบั เร่อื งตามพระวรสารนกั บุญมาระโกทุกอย่าง จงึ ทา
ใหส้ ว่ นทท่ี า่ นปรบั เปลย่ี นและเตมิ เขา้ มานนั้ โดดเดน่ อย่างเหน็ ไดช้ ดั

มทั ธวิ 16:13-20 พระเยซูเจา้ ในฐานะพระบตุ รของพระเป็นเจา้ และเปโตรในฐานะศลิ าเอก

ข้อศกึ ษาวิพากษ์
ตอนน้ีคือฉากเหตุการณ์ท่ีเป็นจุดรวมของหน่วยท่ีเป็นบทบรรยายเร่อื งขนาดยาว คือ 13:53-17:27

ท่ามกลางชาวอสิ ราเองทต่ี าบอดและหวั ด้อื ในสายตาของนักบุญมทั ธวิ พระเยซูเจา้ ทรงสรา้ งชุมชนใหม่ของผู้ท่ี
รบั รแู้ ละประกาศตวั ตนทแ่ี ทจ้ รงิ ของพระองค์

16:13 ซซี าเรยี ฟิลปิ ปี อย่ทู างเหนือของทะเลกาลลิ ปี ระมาณยส่ี บิ ไมล์ แต่ก่อนเคยเป็นศูนย์กลางความ
เชอ่ื ทางศาสนาของพระบาอลั จากนนั้ ในสมยั เฮเลนนิสตกิ เรยี กว่า “แพนีอสั ” (Paneus) เพราะมกี ารบชู าเทพเจา้
แพนในถ้าและบ่อน้าพุบรเิ วณนนั้ ต่อมาไดถ้ กู เปลย่ี นช่อื โดยกษตั รยิ เ์ ฮโรด มหาราช (Herod the Great) หลงั จาก
ท่พี ระองคส์ รา้ งวดั ให้กบั ซซี าร์ ออกสั ตสั (Caesar Augustus) หลงั จากกษัตรยิ ์เฮโรดส้นิ พระชนม์ ดนิ แดนน้ีได้
กลายเป็นอาณาเขตของฟิลลปิ พระโอรสของเฮโรด ผู้ขยายเมอื งน้ีและตงั้ ช่อื ใหม่ตามกษตั รยิ ์ไทบเี รยี ส ซซี าร์
(Tiberius Caesar) และช่อื ของเขาเอง ระหว่างสงครามปี 66-70 ซซี าเรยี กลายเป็นแหล่งพกั ผ่อนหย่อนใจของผู้
บญั ชาการทพั ชาวโรมนั นามว่าเวสปาเซยี น (Vespasian) ผเู้ รม่ิ ตน้ ยดึ กรุงเยรซู าเลม็ แลว้ ใหล้ กู ชาย คอื ตติ สั เป็น
ผสู้ านต่อใหเ้ สรจ็ ตอนทเ่ี ขากลายเป็นจกั รพรรดิ หลงั จากกรุงเยรูซาเลม็ ล่มสลายแลว้ ตติ สั และกองทพั ของเขาก็
กลบั ไปยงั ซซี าเรยี โดยมโี จเซฟัส (Josephus) รายงานวา่ มกี ารนาเชลยชาวยวิ โยนใหส้ ตั วก์ นิ ไปบางสว่ นแลว้ นกั
บุญมทั ธวิ คงกล่าวถงึ สถานท่แี ห่งน้ีในพระวรสาร (แต่นักบุญลูกาได้ตดั ท้งิ ไป) ซ่งึ อาจเป็นส่วนท่ไี ม่สาคญั อะไรนัก แต่
เน่ืองจากนักบุญมทั ธวิ ไม่กล่าวถงึ สถานท่บี นท้องถนนทม่ี อี ย่ใู นพระวรสารนักบุญมาระโก จงึ เป็นได้ว่าท่านอาจ
ตอ้ งการเน้นใหเ้ หน็ ว่าฉากสาคญั เกดิ ขน้ึ ในสถานทซ่ี ง่ึ มคี วามเกย่ี วขอ้ งกบั ชาตแิ ละศาสนา คอื ชาวยวิ และชนต่าง
ศาสนา ทา่ นนาฉากการประกาศว่าพระเยซูเจา้ ทรงเป็นพระเมสสยิ าหข์ องชาวยวิ ไปซ่อนไวใ้ นเงาพระวหิ ารแหง่ ซี

385

ซาร์ สถานท่ซี ่ึงชาวโรมนั ผู้บุกรุกทาลายกรุงเยรูซาเล็มจดั การเฉลมิ ฉลองชยั ชนะ และยงั เป็นสถานท่ซี ่ึงผู้คน
เคารพยาเกรงเพราะเกย่ี วขอ้ งกบั เหตกุ ารณ์เผยแสดง (Revelatory Events) ของทงั้ ชาวยวิ และคนตา่ งศาสนา

คาถามของพระเยซูเจ้ามไี วเ้ พ่อื แสดงความแตกต่างทางวรรณกรรมท่เี ห็นได้ชดั กบั การตอบสนองต่อ
ความเชอ่ื ของบรรดาศษิ ย์ ไม่ใชเ่ พราะวา่ พระองคต์ อ้ งการใหใ้ ครมาบอกวา่ คนสว่ นใหญ่มคี วามประทบั ใจเกย่ี วกบั
พระองคอ์ ย่างไร เพ่อื แสดงใหเ้ หน็ ความแตกต่างน้ี นักบุญมทั ธวิ ไมก่ ล่าวถงึ “บุตรแห่งดาวดิ ” ทฝ่ี งู ชน (12:23) และ
บุคคลบางคน (9:27:15:22) เคยกล่าวถงึ แมค้ าว่า “บุตรแห่งมนุษย”์ ทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงเคยใช้ (9:6; 11:19; 12:40; ดู เทยี บ
8:20) เป็นสงิ่ ทผ่ี ตู้ ่อต้านพระองคแ์ ละฝงู ชนไม่เขา้ ใจ แต่นกั บุญมทั ธวิ ยงั คงใหพ้ ระเยซูเจา้ ทรงแสดงการระบุตวั ตน
ของพระองค์เองในฐานะ “บุตรแห่งมนุษย์” ในคาถามท่พี ระองค์ทรงถามบรรดาศษิ ย์ (ซ่ึงแตกต่างอย่างเห็นได้ชดั กบั
แหล่งขอ้ มลู ในพระวรสารนักบุญมาระโก ดู เทยี บ มก. 8:27) ตวั ตนทแ่ี ทจ้ รงิ ของพระเยซูเจา้ ไม่ใช่สง่ิ ทแ่ี ปลกใหม่สาหรบั บรรดา
ศษิ ย์ เพราะพวกเขาเคยไดย้ นิ พระองคก์ ล่าวถงึ ตนเองดว้ ยการใชค้ าศพั ทท์ างครสิ ตศาสตรม์ าแลว้ พวกเขาเขา้ ใจ
พระองค์ และบูชาพระองค์ในฐานะพระบุตรของพระเป็นเจ้าอยู่แลว้ (14:33) ผลลพั ธค์ อื ฉากเหตุการณ์น้ีไม่ใช่สงิ่
ใหมท่ างครสิ ตศาสตรเ์ หมอื นอยา่ งในพระวรสารนกั บุญมาระโก ซง่ึ ไมม่ มี นุษยค์ นใดสามารถระบุไดว้ า่ พระเยซูเจา้
ทรงเป็นใครจนกระทงั่ นกั บุญเปโตรไดก้ ล่าวประกาศความเชอ่ื ของท่านใน มก. 8:29 แต่สงิ่ ทน่ี ักบุญมทั ธวิ มุ่งเน้น
มากกว่า คอื เร่อื งของการก่อตงั้ ครสิ ตจกั ร เพราะการประกาศความเช่อื ว่าพระเยซูเจา้ คอื พระเมสสยิ าหผ์ เู้ ป็น
ตวั แทนของพระอาณาจกั รพระเป็นเจ้า เป็นสงิ่ ท่ีแยกชุมชนแห่งใหม่ท่ีพระองค์ทรงสรา้ งข้นึ น้ีจากคนอ่ืนๆ ท่ี
ต่อตา้ นและปฏเิ สธ

16:14 ประชาชนมีความคิดเห็นเก่ียวกับอัตลักษณ์ตัวตนของพระเยซูเจ้าในทางท่ีเคารพยาเกรง
ลกั ษณะรว่ มของช่อื บุคคลท่ที า่ นคดิ วา่ พระองคเ์ ป็นไมใ่ ชป่ ระกาศก แต่เป็นชอ่ื ของผทู้ อ่ี ยู่ในสถานะสงู สง่ เหนือโลก
น้ี ยอหน์ และประกาศกคนอ่นื นนั้ เสยี ชวี ติ ไปแลว้ ดงั นนั้ ผคู้ นจงึ เชอ่ื ว่าพวกเขาฟ้ืนคนื ชพี เพราะคดิ ว่าพระองคค์ อื
คนเหล่านัน้ เอลยิ าห์ถูกรบั ไปสวรรค์โดยท่ีไม่ได้เสยี ชีวติ ส่วนเยเรมหี ์ คอื ช่อื ท่ีเติมลงไปในรายการท่ีมาจาก
พระวรสารนักบุญมาระโก การระบุว่าพระเยซูเจ้าเป็นประกาศกท่พี ระเป็นเจ้าทรงทาให้กลบั คนื ชพี จากผูต้ าย
นับเป็นครสิ ตศาสตร์ “ระดบั สงู ” คาว่า “เพยี งแค่ประกาศกคนหน่ึง” จงึ ไม่อาจเป็นขอ้ ความของพระวรสารนกั บุญ
มทั ธวิ เพราะพระเยซูเจา้ ทรงจดั ใหพ้ ระองคเ์ องอยู่ในกลุ่มของประกาศกอยู่แลว้ (13:57) ดงั นัน้ คาว่า “ประกาศก”
ถงึ แมจ้ ะไม่ไดผ้ ดิ แตไ่ มเ่ พยี งพอสาหรบั ความเขา้ ใจทางครสิ ตศาสตรข์ องนกั บญุ มทั ธวิ (ดู เทยี บ 21:11; 46)

16:15-16 คาสรรพนาม “พวกท่าน” (hymeis) ถูกใช้ในแบบเน้น “แล้วพวกท่านล่ะ คดิ ว่าเราเป็นใคร?”
(ในฉบบั NIV คงรกั ษารปู แบบเดมิ ไวม้ ากกว่า) คาน้ีเป็นรปู พหพู จน์ หมายถงึ บรรดาศษิ ยท์ งั้ หลาย ซโี มน เปโตร คอื ผทู้ ต่ี อบ
แทนทุกคนในกลุ่ม ในพระวรสารนกั บุญมาระโก บรรดาศษิ ยต์ อบอยา่ งเรยี บงา่ ยว่า “พระครสิ ต์” แต่นักบุญมทั ธวิ
เตมิ คาว่า “พระบุตรผทู้ รงชวี ติ ของพระเป็นเจา้ ” (ดู 26:63 ซง่ึ มคี าเดยี วกนั น้ีปรากฏขน้ึ อกี ครงั้ โดยเป็นการประกาศยอมรบั ของพระเยซู
เจ้าเองต่อหน้าบรรดานักบวชชนั้ สูง และยงั เก่ยี วขอ้ งกบั การสรา้ งพระวหิ ารใหม่หรอื ชุมชนใหม่) “พระบุตรของพระเจ้า” เป็นเร่ืองการ
เปิดเผยของพระเป็นเจา้ ทด่ี งั กอ้ งมาจากสวรรคใ์ นขณะทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงรบั พธิ ลี า้ ง (3:7) คาพดู ทพ่ี ระองคป์ ระกาศ
ยอมรบั เก่ยี วกบั พระองคเ์ องใน 11:27 คาพูดทบ่ี รรดาศษิ ยป์ ระกาศยอมรบั เกย่ี วกบั พระองคใ์ น 14:33 และไดร้ บั
การยนื ยนั อกี ครงั้ จากพระสุรเสยี งทด่ี งั จากสวรรคใ์ น 17:14 (เรอ่ื งช่อื ทใ่ี ชเ้ รยี กพระองค์ คอื “บตุ รแหง่ มนุษย”์ “พระครสิ ต”์ และ “พระ
บุตรของพระเจา้ ” ขอใหด้ บู ทเสรมิ เรอ่ื ง “ครสิ ตศาสตรข์ องนกั บญุ มทั ธวิ ”) ในบรบิ ทน้ีพระเป็นเจา้ ผทู้ รงชวี ติ มคี วามแตกตา่ งอย่างเหน็
ไดช้ ดั กบั การทค่ี นทอ้ งถนิ่ นาพระองคไ์ ปเกย่ี วขอ้ งกบั การบชู ารปู เคารพ

386

16:17-19 การเปลย่ี นแปลงในการเรยี บเรยี งของนักบุญมทั ธวิ ทส่ี าคญั ทส่ี ุด คอื การใส่คาเหล่าน้ีลงไปใน
คาตอบทพ่ี ระเยซูเจา้ ตรสั กบั เปโตร ท่มี าของคาพูดดงั กล่าวยงั คงเป็นท่ถี กเถยี งกนั อยู่ แต่นักวชิ าการส่วนใหญ่
มองวา่ คาพดู เหล่าน้มี าจากธรรมประเพณีกอ่ นหน้าสมยั ของนกั บุญมทั ธวิ หรอื มาจากนกั บุญมทั ธวิ เอง มากกว่ามา
จากพระเยซูเจา้ พระองคจ์ รงิ ในประวตั ศิ าสตร์ แต่ว่าคาพดู น้ีจะเป็นหน่วยหน่ึงมาแต่ดงั้ เดมิ หรอื เป็นคาพดู ทแ่ี ยก
ออกมา รวมถงึ ความเช่อื มโยงระหว่าง 16:19 ถงึ 18:18 ยงั คงเป็นทถ่ี กเถยี งกนั อยู่ มุมมองในทน่ี ้ีกค็ อื 18:18 เป็น
คากล่าวของประกาศกชาวครสิ ตท์ พ่ี ดู ต่อกนั ในชุมชนของนกั บุญมทั ธวิ ว่าเป็นคาพดู ของพระเยซูเจา้ ซง่ึ 16:19 ก็
มาจากสงิ่ น้ี

สาหรบั 16:17 คาพหพู จน์ทใ่ี ชเ้ รยี กบรรดาศษิ ยใ์ น ว. 16 เปลย่ี นเป็นคาเอกพจน์ ศษิ ยท์ งั้ หลายไดร้ บั การ
กล่าวอวยพรจากพระองค์แบบเดยี วกนั ใน 13:16-17 เพราะทุกคนไดก้ ล่าวยอมรบั แลว้ ว่าพระองคเ์ ป็นพระบุตร
ของพระเป็นเจา้ ใน 14:33 แต่คาอวยพรท่พี ระองคใ์ ห้นักบุญเปโตรโดยเฉพาะนัน้ มคี วามสาคญั เพราะในพระวร
สารนักบุญมทั ธวิ นักบุญเปโตรไม่เพยี งแต่เป็นตวั แทนและผพู้ ูดแทนศษิ ย์ทงั้ หลาย แต่ความเขม้ แขง็ และความ
อ่อนแอของท่านยงั เป็นสญั ลกั ษณ์ของชาวครสิ ต์ทวั่ ไปอกี ด้วย แต่ท่านมบี ทบาทอนั เป็นเอกลกั ษณ์และไม่มใี คร
สามารถกระทาซ้าได้ คอื การก่อตงั้ ชุมชนแห่งใหม่ (ดูบทนา) นักบุญเปโตรไม่ได้รบั การอวยพรเพราะความสาเรจ็
หรอื ความรคู้ วามเขา้ ใจจากตวั ของท่านเอง ความรถู้ งึ บทบาทพระผไู้ ถ่ของพระเยซูเจา้ เป็นการเปิดเผยจากพระ
เป็นเจา้ เป็นของประทาน ไม่ใชส่ ง่ิ ทเ่ี ราบรรลุดว้ ยตนเอง ในทน่ี ้ี นกั บุญเปโตรคอื ตวั แทนความเช่อื ของชาวครสิ ต์
โดยรวม (ดู มธ. 11:25-27; 1คร 12:3) คาทแ่ี ปลว่าการเปิดเผย (apocalypse) ไม่ได้ส่อื ทางอ้อมถงึ ประสบการณ์ดา้ นจติ
วญิ ญาณทบ่ี คุ คลหน่งึ ไดร้ บั เป็นการสว่ นตวั แต่เป็นการเปิดเผยจากพระเป็นเจา้ เกย่ี วกบั ความลบั แหง่ วนั พพิ ากษา
โลก

มกี ารแสดงภาพบทบาทของนักบุญเปโตรไว้ 3 อย่าง ใน ว. 18 นักบุญเปโตรเป็นศลิ าท่พี ระเยซูเจา้ จะ
ทรงสรา้ งชุมชนใหม่ ช่อื “เปโตร” (Peter) หมายถงึ “ก้อนหนิ ” (Stone) หรอื “หนิ ” (Rock) (ภาษาอราเมอกิ คอื Cepha
ภาษากรีกคือ Petros ส่วนคาภาษาอังกฤษท่ีเห็นนัน้ เป็นคาท่ีมีรากมาจากคาเหล่าน้ี) ในประเทศตะวันตกท่ีได้รบั อิทธิพลจาก
ขนบธรรมเนียมชาวครสิ ต์ “ปีเตอร”์ เป็นช่อื ทพ่ี บไดท้ วั่ ไป แต่เป็นเพยี งคาท่สี ะท้อนใหเ้ หน็ อทิ ธพิ ลของช่อื เล่นท่ี
พระเยซูเจา้ ทรงประทานใหซ้ โี มน (Simeon) ทม่ี ตี ่อวฒั นธรรมตะวนั ตก ไม่เคยมบี นั ทกึ ทเ่ี ป็นลายลกั ษณ์อกั ษร
ใดๆ แสดงให้เห็นถงึ บุคคลอ่นื ก่อนหน้าซีโมน ท่มี ชี ่อื หมายถึง “หนิ ” ในภาษาอราเมอิกหรอื ภาษากรกี ดงั นัน้
ภาษาอังกฤษควรแปลคาๆ น้ีว่า “Stone” หรอื “Rock” ไม่ใช่ “Peter” ซ่ึงก่อให้เกิดความเข้าใจผิดๆ ว่าคาน้ี
หมายถงึ ชอ่ื หน่งึ ทพ่ี บไดท้ วั่ ไป และทาใหผ้ อู้ ่านยคุ ปัจจุบนั มองไม่เหน็ การเลน่ คาในขอ้ ความน้ีซง่ึ กลา่ ววา่ “ทา่ นคอื
ก้อนหนิ และบนหนิ ก้อนน้ี เราจะสรา้ งครสิ ตจกั รขน้ึ มา” ในท่นี ้ีมกี ารแสดงภาพว่านักบุญเปโตรคอื รากฐานของ
ครสิ ตจกั ร (ดู ขอ้ คดิ ไตรต่ รอง ดา้ นล่าง)

เรายงั ไม่รู้ชดั เจนว่านักบุญมทั ธวิ ต้องการตีความว่า นักบุญเปโตรเพงิ่ ได้รบั การประทานช่อื ท่แี ปลว่า
“กอ้ นหนิ ” จากพระเยซูเจา้ ในตอนน้ี หรอื เคยมกี ารประทานช่อื น้ีใหก้ บั ท่านอย่แู ลว้ เพยี งแต่ครงั้ น้ีเพม่ิ มกี ารแสดง
ใหเ้ หน็ ถงึ ความสาคญั ของช่อื นนั้ ยน. 1:42 สะทอ้ นถงึ ธรรมประเพณีทเ่ี ช่อื ว่า นักบุญเปโตรไดร้ บั ช่อื ใหม่น้ีตงั้ แต่
ครงั้ แรกทเ่ี ขาพบพระเยซูเจา้ แต่ในสว่ นก่อนหน้าน้ีของพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ ผบู้ รรยายเท่านนั้ ทเ่ี รยี กซโี มนว่า
“เปโตร” ซ่ึงอาจเป็นการช่วยให้เราคาดเดาเร่อื งราวต่อได้ ตาม อสย 51:1-2 (ดู มธ 3:9) นักวชิ าบางคนมองว่า
นักบุญเปโตรถูกนามาเทยี บคู่ขนานกบั อบั ราฮมั เพราะอับราฮมั เป็นจุดเรมิ่ ต้นของประชากรของพระเจา้ ท่าน

387

ไดร้ บั การเปลย่ี นช่อื และถูกเรยี กว่า “หนิ ” นกั บุญเปโตรเองไดเ้ ป็นจุดเรม่ิ ตน้ ของประชากรกลุ่มใหม่ของพระเป็น
เจา้ และไดร้ บั ชอ่ื วา่ “หนิ ” แบบอบั ราฮมั เพอ่ื แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสาคญั ของสงิ่ น้ี เน่ืองจากนกั บุญมทั ธวิ สนใจทจ่ี ะ
หาภาพคู่ขนานจากหนังสอื ประกาศกอิสยาห์ท่สี ะท้อนถึงพระเยซูเจ้าและครสิ ตจกั รของพระองค์ (ดูบทเสรมิ เร่อื ง
“มทั ธวิ ในฐานะผตู้ คี วามพระคมั ภรี ”์ ) และมองวา่ อบั ราฮมั คอื จดุ เรมิ่ ตน้ ของเรอ่ื งราวประชากรของพระเป็นเจา้ (1:1-2 เทยี บ 3:9)
ประเด็นน้ีอาจมคี วามจรงิ อยู่ด้วย แต่หากเป็นเช่นนัน้ มนั ก็เป็นเพียงการส่อื ให้เห็นโดยอ้อม และการจะเรยี ก
นกั บุญเปโตรวา่ “อบั ราฮมั คนทส่ี อง” กค็ งจะมากเกนิ ไป

แม้ว่านักบุญเปโตรได้เป็นรากฐาน แต่พระเยซูเจ้าคอื ผู้สร้างครสิ ตจกั ร ดงั นัน้ นักบุญเปโตรจึงไม่ได้
แขง่ ขนั กบั พระเยซูเจา้ ในทน่ี ้เี ป็นการแสดงภาพวา่ พระเยซูเจา้ คอื ผทู้ ส่ี รา้ งชมุ ชนใหม่ขน้ึ มา ชมุ ชนทเ่ี ปรยี บเสมอื น
สงิ่ ก่อสรา้ ง เร่อื งน้ีเป็นส่วนหน่ึงของครสิ ตศาสตรข์ องนักบุญมทั ธวิ เก่ยี วกบั การท่พี ระครสิ ต์ยงั คงประทบั อยู่ใน
คริสตจกั รของพระองค์ (ดู ข้อคิดไตร่ตรองเก่ียวกับ 1:23) ภาพท่ีอยู่เบ้ืองหลังคือพระวิหารแห่งวนั พิพากษาโลกท่ี
ประกอบดว้ ยประชากรทแ่ี ทจ้ รงิ ของพระเป็นเจา้ ซง่ึ เป็นภาพทพ่ี บไดบ้ ่อยในครสิ ตศาสนายุคเรมิ่ แรกและในชุมชน
ชาวคุมราน (ดู เทยี บ ยน. 2:19-21; 1คร. 3: 16-17; 2คร. 6:16; อฟ. 2:21; วว. 3:12; 4 QpPs37 3:13-16) และบางครงั้ กจ็ ะเชอ่ื มโยงกบั
ศลิ าทเ่ี ป็นรากฐาน หรอื ผทู้ เ่ี ป็นเสาหลกั หรอื ศลิ าเอก ใน กท. 2:9 คาวา่ “เสาหลกั ” ถูกใชเ้ ป็นช่อื ของนกั บุญเปโตร
และ อสย. 28:14-22 ในธรรมประเพณีของชาวยิว พระวิหารแห่งเยรูซาเล็มสร้างอยู่บนหินท่ีเช่ือกนั ว่าเป็น
ศูนย์กลางของโลก ซ่ึงเป็นสถานท่ีปัจจุบนั ของ “โดมทองแห่งเยรูซาเล็ม” (Dome of the Rock) คาท่หี มายถึง
“ก่อสรา้ ง” (Build / oikodomeo) ถูกนามาใช้ท่นี ่ีและใน 26:21; 27:40 ส่วนคาว่า “ครสิ ตจกั ร” (Church/ ekklesia)
พบในท่ีน้ีและใน 18:7 ของพระวรสารต่างๆ เท่านัน้ ในนิรุกติศาสตร์ คาน้ีหมายถึง “ผู้ท่ีถูกเรยี กให้ออกมา”
(Called Out) และถูกใช้ในหมู่ชาวกรกี สมยั เฮเลนนิสตกิ ในการเรยี ก “การชุมนุม” (Assembly) ทางการเมอื งใน
ท้องถิน่ (ตวั อย่าง เช่น ใน กจ. 19:32; 39-40) แต่ไม่ว่าจะเป็นนิรุกติศาสตร์หรอื การใช้คาน้ีในทางโลกก็ไม่อาจบอกถึง
ความหมายของนกั บญุ มทั ธวิ ได้ เพราะทา่ นเจตนาทจ่ี ะสอ่ื ถงึ ประชากรของพระเป็นเจา้ ทไ่ี ดร้ บั การฟ้ืนฟูขน้ึ มาใหม่
ประกอบดว้ ยบรรดาศษิ ยข์ องพระเยซูเจา้ ผสู้ บื ทอด และการดารงอยอู่ ย่างต่อเน่ืองของชนชาตอิ สิ ราเอลท่ีสญู เสยี
จุดยืนและบทบาทของตน (21:43) คาว่า “ekklesia” หมายถึง “กลุ่มผู้ร่วมชุมนุมในพระยาเวห์” (hwhy lhq qAhAl
Yahweh: Congregation of Yahweh) ประชากรในพนั ธสญั ญาของพระเป็นเจา้ ท่อี ยู่ในถนิ่ ทุรกนั ดาร ได้รบั มอบ
หนังสอื ปัญจบรรพท่ภี ูเขาไซนาย และมกั ไดร้ บั การแปลเช่นน้ีบ่อยครงั้ ในพระคมั ภรี ฉ์ บบั 70 ไมไ่ ดห้ มายความว่า
นกั บุญมทั ธวิ เหน็ ครสิ ตจกั รของทา่ นคอื สง่ิ ทม่ี าแทนทช่ี นชาตอิ สิ ราเอล แตเ่ ป็นชมุ ชนพเิ ศษทม่ี พี นั ธสญั ญาใหม่ อยู่
ภายในหรอื ควบคไู่ ปกบั ชนชาตอิ สิ ราเอล นกั บุญมทั ธวิ ใหพ้ ระเยซูเจา้ ทรงสรา้ ง “ครสิ ตจกั รของเรา” (My Church)
ขน้ึ เพอ่ื เป็นการเทยี บใหเ้ หน็ ความตา่ งกบั “ศาลาธรรมของพวกเขา” (Their Synagogues)

“เฮดสี ” (Hades) คอื อาณาจกั รของผตู้ าย ไม่ใช่สถานทแ่ี ห่งการลงโทษ “ประตูแห่งเฮดสี ” เป็นสานวนท่ี
อยู่ในพระคมั ภรี ์ (อสย 38:10) ซ่งึ อาจมคี วามหมายเดยี วกบั คาว่า “ประตูแห่งความตาย” (โยบ 38:17; สดด 9:13; 107:18)
ในท่นี ้ี คาท่แี ปลว่า “เอาชนะ” (Overcome) หรอื “มอี านาจเหนือกว่า” (Prevail Over) หมายถงึ แขง็ แรงกว่า ซ่งึ
หมายความวา่ อาณาจกั รของผตู้ ายทไ่ี ม่มมี นุษยค์ นใดเอาชนะได้ กย็ งั ไม่เขม้ แขง็ กวา่ ครสิ ตจกั รทต่ี งั้ อยบู่ นรากฐาน
ศลิ านัน้ และครสิ ตจกั รแห่งน้ีจะดารงอยู่ตลอดไปจนส้นิ สุดประวตั ศิ าสตร์ โดยมอี งค์พระผเู้ ป็นเจา้ อยู่ดว้ ย (28:20)
ดงั นัน้ ขอ้ ความส่วนน้ีอย่างน้อยไดป้ ระกาศว่าครสิ ตจกั รจะไม่มวี นั ตาย แต่คาว่า “ประตูแห่งเฮดสี ” อาจหมายถงึ
ประตูแห่งนรกใตพ้ ภิ พทอ่ี านาจของซาตานโผล่ขน้ึ มาโจมตคี รสิ ตจกั ร โดยเฉพาะในกาลอวสานของโลก (การผจญ

388

ทดลองในวนั พพิ ากษาท่อี ยู่ใน มธ 6:13 และ 26:14 และจนิ ตภาพท่รี ุนแรงใน วว 9:1-11) ดงั นัน้ มนั กอ็ าจหมายถงึ ครสิ ตจกั รถูกโจมตี
จากอานาจแห่งความชวั่ รา้ ย แต่มนั จะไม่มวี นั ถูกความชวั่ รา้ ยเอาชนะไดเ้ พราะมรี ากฐานทอ่ี ย่บู นหนิ ไม่ว่าจะใน
กรณีใด คอื การแสดงภาพครสิ ตจกั รในแบบผูช้ นะ ผูท้ ่สี ามารถทลายประตูแห่งเฮดสี ไดส้ าเรจ็ ตรงน้ีเป็นอกี ครงั้
หน่งึ ทท่ี งั้ สองอาณาจกั รยนื เผชญิ หน้ากนั (ดู 12: 22-37) ครสิ ตจกั รไม่อาจหลบเลย่ี งจากอานาจแหง่ เฮดสี แต่จะมสี ว่ น
ร่วมในการต่อสู้ระหว่างสองอาณาจกั ร โดยมีคาสญั ญาท่ีแน่นอนว่าอาณาจกั รของศัตรูท่ีเป็นสญั ลักษณ์ ว่า
อาณาจกั รแหง่ ความตายจะไมม่ วี นั ชนะไดเ้ ลย

16:19 จะเห็นได้ว่าสาหรบั นักบุญมัทธิวแล้ว อาณาจกั รทัง้ สองน้ีขยายอิทธิพลของตนด้วยคาสอน
“อาณาจกั รสวรรค”์ มตี วั แทนคอื คาสอนอนั ทรงอานาจ การเผยแพร่คาสอนจากหนังสอื ฮาลาคา (Halakha) อนั
ทรงอานาจทใ่ี หส้ วรรคม์ พี ลงั อานาจปกครองสง่ิ ทเ่ี ป็นของโลกน้ี ภาพนักบุญเปโตรถอื กุญแจไม่ไดห้ มายถงึ ภาพ
ของผรู้ กั ษาประตูสวรรคท์ อ่ี ยใู่ นภาพวาดและการต์ ูนศาสนาทพ่ี บเหน็ กนั บอ่ ยๆ ภาพต่อไปแสดงใหเ้ ราเขา้ ใจอยา่ ง
ชดั เจนวา่ บทบาทของนกั บุญเปโตรในฐานะผถู้ อื กญุ แจจะไดเ้ ป็นจรงิ บนโลกน้ี ในฐานะอาจารยใ์ หญ่แห่งครสิ ตจกั ร
ภาพทม่ี ลี กั ษณะคลา้ ยกนั ใน มธ 23:13 และ ลก 11:52 ชไ้ี ปทต่ี าแหน่งของผสู้ อน เช่นเดยี วกบั เน้ือหาส่วนทเ่ี ป็น
ช่วงนาเขา้ เร่อื ง คอื มธ 16:1-12 และโดยทวั่ ไปแลว้ นกั บุญมทั ธวิ ใสใ่ จกบั เร่อื งของคาสอนทถ่ี ูกตอ้ ง ผถู้ อื กุญแจมี
อานาจในบา้ นในฐานะผบู้ รหิ ารจดั การและผสู้ อน (ดู เทยี บ อสย. 22:20-25 ซ่งึ อาจมอี ทิ ธพิ ลต่อนักบุญมทั ธวิ ในส่วนน้ี) คาว่า “ผูก
และแก้” เป็นคาศพั ท์เฉพาะในหมู่ของรบั บี ซ่งึ หมายถงึ การสอนอย่างทรงอานาจ การมสี ทิ ธอิ านาจทจ่ี ะตคี วาม
หนงั สอื ปัญจบรรพและนาไปใชใ้ นกรณีทเ่ี ฉพาะเจาะจงต่างๆ รวมถงึ การประกาศว่าสง่ิ ใดทาไดแ้ ละสงิ่ ใดทาไมไ่ ด้
พระเยซูเจา้ ผทู้ รงสอนอย่างมอี านาจ (7:29) และไดป้ ระทานอานาจนัน้ แก่บรรดาศษิ ย์ของพระองค์ (10:1,8) ไดท้ รง
มอบอานาจทจ่ี ะสอนในนามของพระองคแ์ ก่บรรดาศษิ ย์คนทเ่ี ป็นหลกั ไวใ้ นทน่ี ้ี สทิ ธอิ านาจทจ่ี ะตดั สนิ ใจเกย่ี วกบั
สง่ิ ต่างๆ ในการใชช้ วี ติ ของครสิ ตชนโดยการนาคาสอนของพระเยซูเจา้ มาใชก้ บั สถานการณ์ทเ่ี ป็นรปู ธรรมในชวี ติ
ของครสิ ตจกั ร ใน 18:18 สทิ ธอิ านาจเดยี วกนั น้ีถูกมอบใหก้ บั ครสิ ตจกั รทงั้ หมดโดยรวม และสามขอ้ ความทเ่ี ป็น
ถอ้ ยคาขดั แยง้ กนั ใน 5:33-48 (ดู บทอภปิ รายในส่วนนนั้ ) แสดงใหเ้ หน็ ว่าการนาคาสอนของพระเยซูเจา้ ไปใชใ้ นชวี ติ จรงิ
คอื งานของศษิ ย์ทุกคนในชุมชน โดยนักบุญเปโตรมคี วามรบั ผดิ ชอบพเิ ศษในฐานะครูผูส้ อนหลกั รวมถงึ การ
ประพฤตติ นเป็นตวั อยา่ งและเป็นตวั แทนของพระองค์

16:20 นกั บุญมทั ธวิ กลบั ไปหาแหล่งขอ้ มลู คอื พระวรสารนกั บุญมาระโกและนาถอ้ ยคาเหล่านนั้ มา มนั มี
ความสาคญั สาหรบั เทววทิ ยาของนักบุญมาระโกเก่ยี วกบั ความลบั แห่งผูเ้ ป็นพระเมสสยิ าห์ แต่เหลอื ร่องรอยไว้
เพยี งเลก็ น้อยในพระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ แตถ่ งึ กระนนั้ ถอ้ ยคาทฟ่ี ังหยาบกระดา้ งเหลา่ น้กี ย็ งั มคี วามหมายทางเทว
วทิ ยาสาหรบั นักบุญมทั ธิว ไม่ควรนามาตีความในแง่จิตวิทยาหรือกลยุทธ์ของพระเยซูเจ้าพระองค์จรงิ ใน
ประวตั ิศาสตร์ และเร่อื งเล่าน้ีไม่ใช่องค์ประกอบหน่ึงของความลบั แห่งผู้เป็นพระเมสสยิ าห์ แต่เป็นการยนื ยนั
แนวคดิ ทางเทววทิ ยาของนกั บุญมทั ธวิ ทว่ี ่า ชุมชนใหมท่ พ่ี ระเยซูเจา้ ทรงก่อตงั้ ขน้ึ มคี วามรบู้ างอยา่ งทร่ี กู้ นั เฉพาะ
คนในชุมชนเทา่ นนั้ เป็นสง่ิ ทแ่ี ยกพวกเขาออกจากชาวอสิ ราเอลทวั่ ไป ผซู้ ง่ึ ปฏเิ สธไม่ยอมรบั พระเยซูเจา้ ในฐานะ
พระครสิ ต์ (13:10-17)

389

ข้อคิดไตร่ตรอง
1. เป็นเวลาหลายชวั่ อายุคนทเ่ี น้ือหาส่วนน้ีกลายเป็นประเดน็ ทถ่ี กเถยี งโต้แยง้ กนั ระหว่างชาวโปรเตสแตนท์

และชาวโรมนั คาทอลกิ บ่อยครงั้ การตคี วามดูจะเน้นไปทข่ี อ้ ความทเ่ี ป็นการประกาศยอมรบั แต่ความสาเรจ็
อย่างหน่ึงของกลุ่มนักวชิ าการทเ่ี น้นการสรา้ งสัมพนั ธภาพระหว่างชาวครสิ ต์กลุ่มต่างๆ คอื นักวชิ าการทงั้
ของฝ่ายโปรเตสแตนทแ์ ละคาทอลกิ ต่างเหน็ พอ้ งกนั ว่าความหมายดงั้ เดมิ ของขอ้ ความน้ีคอื พระเยซูเจา้ ทรง
สร้างครสิ ตจกั รโดยมีนักบุญเปโตรเป็นรากฐาน (ซ่ึงขดั แย้งกบั มุมมองของโปรเตสแตนท์สมยั ก่อน) ไม่ใช่คาประกาศ
ยอมรบั หรอื ความเชอ่ื ของนกั บุญเปโตร และตาแหน่งของนกั บุญเปโตรนนั้ เป็นเอกลกั ษณ์และไม่อาจใหผ้ อู้ ่นื
มาทาซ้าได้ (ซ่งึ ขดั แยง้ กบั มุมมองของคาทอลกิ สมยั ก่อน) ขอ้ ความน้ีแสดงภาพของนักบุญเปโตร ผู้ทม่ี บี ทบาทซ่งึ ไม่
เหมือนใครและไม่อาจกระทาซ้าในการเป็ นรากฐานของคริสตจักร เทวศาสตร์ในสมัยต่อๆ มา ทัง้
โรมนั คาทอลกิ , ออโธดอกซ์ตะวนั ออก และโปรเตสแตนท์ ต่างก็นาความหมายไปพฒั นาต่อในแบบของ
ตนเอง ถงึ กระนนั้ ในปัจจบุ นั กม็ คี วามเหน็ ตรงกนั โดยรวมในเรอ่ื งของความหมายดงั้ เดมิ

สาหรบั ชวี ติ ครสิ ตชนในสมยั ของเรา สงิ่ น้ีหมายความว่าขอ้ ความดงั กล่าวไม่จาเป็นต้องมแี ง่มุมของการ
โต้แยง้ ถกเถยี งระหว่างคนต่างความเช่อื เหมอื นท่เี คยเป็นมาในการโตว้ าทรี ะหว่างชาวโรมนั คาทอลกิ , ชาว
ออโธดอกซ์ตะวนั ออก และชาวโปรเตสแตนท์ แต่เราควรมองเร่อื งน้ีในมุมมองใหม่ว่าเป็นคาสญั ญาของพระ
ครสิ ตว์ ่าจะทรงสรา้ งครสิ ตจกั รของพระองค์ แมว้ ่าจะมอี านาจแห่งความตายมายกทพั มาโจมตกี ต็ าม เราทุก
คนในครสิ ตจกั รควรจะกลา้ หาญไมห่ วาดหวนั่ ดว้ ยคาสญั ญาน้ี
2. รูปแบบซ้าๆ ในในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ อย่างการเผยแสดง การอวยพร การตงั้ ช่อื และการมอบหมาย
พนั ธกจิ ทเ่ี ราพบในทน่ี ้เี คยมกี ารใชก้ บั ศษิ ยท์ กุ คนมาก่อนแลว้ ใน 5:3-16 พระครสิ ตผ์ ทู้ รงเป็นตวั แทนของพระ
เป็นเจา้ ทรงเป็นผกู้ ระทา การสอนและเทศนาในขอ้ ความน้ีน่าจะชใ้ี หเ้ หน็ ว่าครสิ ตจกั รไม่ใช่ความสาเรจ็ ของ
มนุษย์ หรอื ทก่ี ลุ่มคนทม่ี คี วามคดิ แบบเดยี วกนั มารวมตวั กนั สรา้ งกลุ่มเพ่อื สนับสนุนกนั และกนั แต่ควรมอง
วา่ เป็นพระเป็นเจา้ ผทู้ รงกระทาการผ่านพระครสิ ต์และไดใ้ หก้ ารเผยแสดงซ่งึ ก่อใหเ้ กดิ ความเช่อื พระองคผ์ ู้
ทรงอวยพรผทู้ ่รี บั การเผยแสดงนัน้ พระองคผ์ ทู้ รงตงั้ ช่อื ใหม่ใหก้ บั เรา (หมายถงึ อตั ลกั ษณ์ตวั ตนหรอื ธรรมชาตขิ องเรา

ไมใ่ ชแ่ คช่ ่อื เรยี ก)

มทั ธวิ 16:21-23 พระเยซูเจา้ ในฐานะบตุ รแหง่ มนุษยผ์ ตู้ อ้ งรบั ทนทุกขท์ รมาน เปโตรในฐานะของหนิ ทท่ี าใหส้ ะดดุ

พระเยซูเจ้าทรงทานายเรื่องพระทรมานเป็นครงั้ แรก
21 ตงั้ แตน่ นั้ มาพระเยซเู จา้ ทรงเรม่ิ แจง้ แก่บรรดาศษิ ยว์ า่ พระองคจ์ ะตอ้ งเสดจ็ ไปกรุงเยรซู าเลม็ เพอ่ื รบั การทรมานอยา่ งมาก

จากบรรดาผอู้ าวุโส หวั หน้าสมณะและธรรมาจารย์ จะถกู ประหารชวี ติ แตจ่ ะทรงกลบั คนื พระชนมชพี ในวนั ทส่ี าม
22 เปโตรนาพระองคแ์ ยกออกไป ทลู ทดั ทานว่า “ขอเถดิ พระเจา้ ขา้ เหตุการณ์น้ีจะไมเ่ กดิ ขน้ึ กบั พระองคอ์ ยา่ งแน่นอน” 23

แตพ่ ระองคท์ รงหนั มาตรสั แก่เปโตรวา่ “เจา้ ซาตาน ถอยไปขา้ งหลงั เจา้ เป็นเครอ่ื งกดี ขวางเรา เจา้ ไมค่ ดิ อยา่ งพระเจา้ แตค่ ดิ อยา่ ง
มนุษย”์

390

ข้อศึกษาวิพากษ์

น่ีคอื คาพยากรณ์แรกเกย่ี วกบั พระมหาทรมาน ซ่งึ กลายเป็นองคป์ ระกอบของบทบรรยายในพระวรสารใน

สารบบแต่ละเลม่

มทั ธวิ 16:21-23 มาระโก 8:31-33 ลูกา 9:22

มทั ธวิ 17:22-23 มาระโก 9:30-32 ลกู า 9:43ข-45

มทั ธวิ 20:17-19 มาระโก 10:32-34 ลกู า 18:31-34

มทั ธวิ 26:2

พระวรสารนกั บุญมทั ธวิ และพระวรสารนกั บุญลกู านาคาพยากรณ์เกย่ี วกบั พระมหาทรมานสามครงั้ ทอ่ี ย่ใู น

พระวรสารนักบุญมาระโกไปรวมไวด้ ว้ ย โดยนกั บุญมทั ธวิ เตมิ เพมิ่ ขน้ึ มาอกี ครงั้ หน่ึงท่ี 26:2 การพฒั นาของธรรม

ประเพณีน้ีทม่ี คี วามเป็นไปไดม้ ากทส่ี ุดมดี งั ต่อไปน้ี (1) ตามมมุ มองของชาวยวิ ในศตวรรษทห่ี น่ึง ซง่ึ เขา้ ใจว่าการ

ถูกปฏเิ สธ ความทุกขท์ รมาน และความตายลว้ นแต่เป็นของผทู้ เ่ี ป็นประกาศกแทจ้ รงิ และเม่อื ดูจากสงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ

จากนักบุญยอห์นผูท้ าพธิ ลี ้าง พระเยซูเจา้ พระองค์จรงิ ในประวตั ศิ าสตร์จงึ คาดหวงั การถูกปฏเิ สธ ความทุกข์

ทรมาน และความตายอยู่แล้ว ความหวงั ในวนั พพิ ากษาโลกของพระองค์ท่ใี กล้จะมาถงึ นัน้ เป็ นกรอบทางเทว

วทิ ยาใหก้ บั ความเช่อื มนั่ ว่าพระเป็นเจา้ จะแก้ต่างใหก้ บั พระองคแ์ ละพนั ธกจิ ของพระองคใ์ นอนาคตอนั ใกล้ เม่อื

พระอาณาจกั รมาถงึ ในวนั สุดทา้ ยของโลก หากพระองคค์ ดิ ถงึ เร่อื งการกลบั คนื พระชนมช์ พี อย่างเฉพาะเจาะจง

(ซ่งึ มแี นวโน้มว่าเป็นเช่นนัน้ ) น่าจะเป็นการฟ้ืนคนื ชพี ของประชากรของพระเป็นเจ้าในฐานะส่วนหน่ึงของชยั ชนะของ

พระเป็นเจา้ ในกาลอวสานโลก

(2) หลงั จากการกลบั คนื พระชนมช์ พี ชาวครสิ ตย์ ุคแรกเรม่ิ ไดพ้ ฒั นาธรรมประเพณีคาพดู ของพระเยซูเจา้

ใหก้ ลายเป็นคาพยากรณ์ทม่ี คี วามเจาะจงมากขน้ึ โดยใส่รายละเอยี ดเพม่ิ จากการมองยอ้ นกลบั (ตคี วามใหมแ่ บบหวน

ระลกึ : Reinterpretation)ไปดูเหตุการณ์ ซ่งึ เหน็ ไดช้ ดั เจน ใน มก. 10: 32-34) และจากการไตร่ตรองพจิ ารณาพระคมั ภรี ์ ในจุดน้ีเอง

ทม่ี กี ารกาหนดวนั ทแ่ี น่นอน คอื “หลงั จากสามวนั ” / “ในวนั ทส่ี าม” เขา้ ไปสปู่ ระเพณีดงั กลา่ ว ถงึ แมว้ ่าพระเยซูเจา้

จะคาดหวงั การช่วยใหอ้ สิ ระจากพระเป็นเจา้ ทร่ี วดเรว็ หลงั จากการสน้ิ พระชนมข์ องพระองค์ แต่ไม่ไดก้ าหนดระบุ

ไวอ้ ย่างเจาะจงชดั เจนว่าเม่อื ใด จากการไตร่ตรอง ฮชย. 6:2 ซง่ึ โดยดงั้ เดมิ แลว้ มคี วามหมายในเชงิ เปรยี บเทยี บ

ถงึ “การกลบั คนื ชพี ” ของชาติอสิ ราเอล แต่ถูกนามาตคี วามใหม่ให้หมายถงึ การกลบั คนื พระชมน์ชพี ของพระ

ครสิ ต์ (ดู เทยี บ 1คร 15:4)

(3) พระวรสารนักบุญมาระโกหรอื ธรรมประเพณีก่อนหน้าพระวรสารมาระโกไดจ้ ดั รปู แบบและสไตล์ของ

คาพูดเหล่าน้ี ทาใหเ้ ป็นคาพูดท่เี จาะจงของบุตรของมนุษย์ มคี าว่า “ถูกส่งตวั ” (Hand Over) หรอื “ถูกมอบตวั ”

(Deliver Up) เป็นคากรยิ าหลกั นกั บุญมาระโกไดส้ รา้ งเคร่อื งหมายแสดงโครงสรา้ งของคาพดู เชน่ น้ี 3 แหง่ ในบท

บรรยายท่ี 8:31; 9:31; 10:32-34

(4) นกั บุญมทั ธวิ นาคาพยากรณ์ถงึ พระมหาทรมาน 3 ครงั้ ในพระวรสารนกั บญุ มาระโกมาใสไ่ ว้ แมว้ า่ มนั จะ

ไม่มบี ทบาททางโครงสรา้ งแบบเดยี วกบั ในพระวรสารนักบุญมาระโก และท่านได้นามาเขยี นใหม่เลก็ น้อยเพ่อื

แสดงสารทต่ี อ้ งการสอ่ื ทางเทววทิ ยา ในทน่ี ้เี รากาลงั สนใจความหมายในระดบั ของพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ และจะ

พจิ ารณาทงั้ สามคาพดู ในลกั ษณะเดยี วกนั

16:21 “นบั แต่นนั้ เป็นตน้ ไป” (From that Time on/ apo tote) เป็นขอ้ ความแสดงจุดเปลย่ี นของเรอ่ื งราว แต่

ไม่ใช่ส่วนหน่ึงของโครงสรา้ งพ้นื ฐานในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ (ดู “โครงเร่อื ง” “บทนา”) พระเยซูเจ้าทรงหนั กลบั มา

391

สอนเฉพาะศษิ ยข์ องพระองค์ และยงั คงมุ่งเน้นเชน่ นนั้ อยา่ งตอ่ เน่อื งจนกระทงั่ ถงึ 20:34 จากสว่ นน้ีไปจนถงึ จบบท
ท่ี 18 ไม่มกี ารสอนเป็นอุปมาและการสอนผูค้ นในท่สี าธารณะอกี เลย มเี ร่อื งการอศั จรรย์ทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงไล่ผี
เพยี งเรอ่ื งเดยี ว (17:14-20) นกั บญุ มทั ธวิ ไดล้ ะเวน้ ไม่กล่าวถงึ ฝงู ชน ซง่ึ อย่ใู นบทบรรยายคขู่ นานใน มก: 8:34 ฝงู ชน
หายไปจนกระทงั ่ 19:3 (ยกเวน้ เป็นส่วนหน่ึงของฉากใน 17:14 และไม่ได้รบั การสอน) ส่วนผูต้ ่อต้านได้หายไปจนกระทงั ่ 19:3
ซง่ึ ปรากฏขน้ึ เป็นสงิ่ ประกอบฉาก คาสอนทงั้ หมดจะเป็นการสอนใหก้ บั บรรดาศษิ ยโ์ ดยตรงเทา่ นนั้

พระมหาทรมานของพระเยซูเจา้ และการตดิ ตามของบรรดาศษิ ยส์ นั นิษฐานไดว้ า่ เป็นสง่ิ ทผ่ี คู้ นรูแ้ ละไดร้ บั
การสอนมาอยู่แล้วในสมยั ของนักบุญมทั ธวิ (ดู 10:38) ดงั นัน้ มนั จงึ ไม่ใช่การเผยแสดงท่แี ปลกใหม่ (แบบเดยี วกบั ใน
พระวรสารนักบุญมาระโก) แต่ในทน่ี ้ีเร่อื งเล่าน้ีนาการใชช้ วี ติ ดว้ ยการยอมรบั อย่างเปิดเผยของบรรดาศษิ ย์ไปเช่อื มโยง
กบั การสรา้ งชุมชนใหม่ คาสอนเหล่าน้เี กย่ี วขอ้ งกบั การยอมทนทุกขท์ รมานของบุตรแห่งมนุษยห์ รอื พระเมสสยิ าห์
โดยมสี ญั ญาณมาจากคาใหม่ท่หี มายถงึ “คาสงั่ ” (Instruction /deiknyo, deiknymi) ซ่งึ เป็นคาเดยี วกบั คาสงั่ ท่เี ป็น
การเผยแสดงจากพระเป็นเจา้ ใน วว 1:1 (ดู เทยี บ apocalypto ใน 16:17) นักบุญมทั ธวิ ยงั คงใช้คาว่า “บุตรแห่งมนุษย์”
(Son of Man) จากพระวรสารนักบุญมาระโกในคาพยากรณ์เก่ยี วกบั พระมหาทรมานทงั้ หมด แต่ละเว้นในท่นี ้ี
เพราะพระเยซูเจา้ ไดท้ รงใชไ้ ปแลว้ ใน 16:13 (เกย่ี วกบั “บุตรแหง่ มนุษย”์ ดู บทเสรมิ เรอ่ื ง “ครสิ ตศาสตรข์ องมทั ธวิ ”)

นกั บุญมทั ธวิ ไม่ไดข้ ยายความเร่อื งเหตุผลเกย่ี วกบั การสน้ิ พระชนมข์ องพระเยซูเจา้ เพยี งแต่บอกว่ามนั
เป็ นส่วนหน่ึงในแผนการศักดิส์ ิทธิข์ องพระผู้เป็ นเจ้า (ดู 20:28) การทนทุกข์ทรมานของบุตรแห่งมนุษย์เป็ น
ส่ิงจาเป็ น (คาว่า “ต้อง” [must] ในฉบับ NRSV และคาว่า “ถูกกาหนดไว้” [destined] ในฉบับ NIV) ตามท่ีวรรณกรรมพยากรณ์
(Apocalyptic) ไดก้ ล่าวไว้ (“dei” เช่นใน วว 1:1 อา้ งองิ ถงึ 2:28 ใน LXX) มนั ไม่ไดห้ มายถงึ “โชคชะตา” (fate) ในแบบชาว
กรกี (haimarmene) แต่ในพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ คาสอนน้ีหมายถงึ น้าพระทยั ของพระเจา้ ตามทไ่ี ดเ้ ปิดเผยไวใ้ น
พระคมั ภรี ์ คากรยิ าทใ่ี ชใ้ น 17:22, 20:18 และ 26:2 (คาพยากรณ์ถงึ พระมหาทรมานอกี ครงั้ หน่ึง) มคี วามหมายทส่ี อ่ื ถงึ “ส่ง
มอบตวั ” (Hand over) “ทรยศ” (Betray) และ “ปลดปล่อย” (Deliver Up) (paradidomi) โดยพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรง
ปลดปล่อยขา้ รบั ใชผ้ ทู้ ุกขท์ รมานของพระองคใ์ น อสย 53:6 การทพ่ี ระเป็นเจา้ คอื ผปู้ ลดปล่อยบุตรแห่งมนุษยน์ นั้
เหน็ ไดช้ ดั เจนใน 17:22 พระองคท์ รงปลดปล่อยเขาไปสมู่ นุษยชาติ (ไม่ใช่คนกลุ่มหน่ึงนาไปส่งใหค้ นอกี กลุ่มหน่ึง) ในจุดอ่นื
คาๆ น้ีมกั แสดงทงั้ สองความหมายออกมาพรอ้ มๆ กนั พระเป็นเจา้ คอื ผทู้ ก่ี ระทาการอยเู่ บอ้ื งหลงั การกระทาของ
มนุษย์ คาน้ีและความเป็นมาจากพระคัมภีร์เก่ียวกับคาน้ีจึงได้รบั การเลือกสรรมาอย่างระมัดระวงั เพ่ือให้
แสดงออกถงึ ขอ้ ความทม่ี คี วามขดั แยง้ กนั อย่ใู นตนเอง (Paradox) เกย่ี วกบั ความรบั ผดิ ชอบขององคพ์ ระเป็นเจา้
สงู สดุ กบั ความรบั ผดิ ชอบของมนุษยท์ ม่ี ตี อ่ การสน้ิ พระชนมข์ องพระเยซูเจา้

การใสค่ านาหน้านาม (article) ทแ่ี สดงวา่ คานามนนั้ เป็นเอกพจน์และเจาะจง คอื การทน่ี กั บุญมทั ธวิ นา “ผู้
อาวุโส” (Elders) มหาสมณะ (High Priests) และ “ธรรมาจารย์” (Scribes) มารวมกันเป็นกลุ่มเดียว ซ่ึงเป็น
ตวั แทนของกลุ่มผูน้ าชาวยวิ (ดู เทยี บ 16:1) ในท่นี ้ีผู้ท่จี ะต้องรบั ผิดชอบต่อการส้นิ พระชนม์ของพระเยซูเจ้าไม่ใช่
ชาวยวิ ทงั้ หมด แต่เป็นกลุ่มผนู้ าของพวกเขา (ดู เทยี บ 27:24-26) คากรยิ า “ถูกทาใหต้ าย” (Be Killed) และ “ถูกทาให้
กลบั ฟ้ืนคนื ชพี ” (Be Raised) ลว้ นแต่เป็นคากรยิ าแบบกรรมวาจก (Passive Voice) ซง่ึ ทาใหเ้ หน็ ชดั เจนว่าพระ
เยซูเจา้ ไม่ไดท้ รงกลบั ฟ้ืนคนื พระชนมด์ ว้ ยตนเอง แต่เป็นการกระทาของพระเป็นเจา้ ในทางเดยี วกนั ขอ้ ความท่ี
บอกวา่ “หลงั จากสามวนั ” (After Three Days) ถูกเปลย่ี นเป็น “ในวนั ทส่ี าม” (On the Third Day) โดยสอดคลอ้ ง

392

กนั ทุกตาแหน่ง เป็นการแสดงความหมายอย่างมากเพยี งพอว่าสอ่ื ถงึ ช่วงเวลาระหว่างวนั ศุกรถ์ งึ วนั อาทติ ยแ์ ละ
การอา้ งองิ ถงึ ฮชย. 6:2

16:22 คาตอบของนักบุญเปโตรเป็นการยึดเกาะพระเยซูเจ้าและตาหนิพระองค์ด้วยคาพูดท่ีคล้ายคา
ภาวนา เป็นสว่ นท่นี กั บุญมทั ธวิ เตมิ ลงไปจากขอ้ มลู ทม่ี าจากพระวรสารนักบุญมาระโก เราอาจตคี วามคาคดั คา้ น
ของนกั บุญเปโตรว่ามาจากความเขา้ ใจผดิ ๆ เกย่ี วกบั ผเู้ ป็นพระเมสสยิ าห์ มาจากความรสู้ กึ สว่ นตวั ของท่านทร่ี กั
พระเยซูเจา้ หรอื ทงั้ สองอย่างกไ็ ด้ เน่ืองจากนักบุญมทั ธวิ ได้เขยี นใหพ้ ระเยซูเจา้ ตอบกลบั ดว้ ยความหมายของ
การเป็นศษิ ย์ ซง่ึ ตลอดมาสาหรบั นกั บญุ มทั ธวิ สงิ่ น้ีเป็นหน่ึงเดยี วกบั ความเขา้ ใจความหมายของการเป็นพระเมส
สยิ าห์ ดงั นนั้ เราจงึ ควรมองวา่ คาตอบของนกั บุญเปโตรเป็นเร่อื งทางเทววทิ ยามากกว่าเพยี งแคค่ วามรสู้ กึ สว่ นตวั
ประเดน็ น้มี คี วามสาคญั ยง่ิ ขน้ึ เมอ่ื เราเหน็ วา่ นกั บญุ เปโตรยงั คงมบี ทบาทเป็นตวั แทนของบรรดาศษิ ยต์ ่อไป

16:23 คาตอบโต้ของพระเยซูเจ้า (คาว่า “ตาหนิ” (Rebuke) ในพระวรสารนักบุญมาระโกได้ถูกละเว้น) คือการเรียก
นกั บญุ เปโตรไปสคู่ วามเป็นศษิ ยท์ เ่ี รมิ่ ตน้ ขน้ึ ใหมแ่ ละลกึ ซง้ึ กวา่ เดมิ ขอ้ ความทว่ี า่ “จงถอยไปอยขู่ า้ งหลงั เรา” (Get
Behind Me) สะท้อนถงึ ถ้อยคาใน 4:19 สูตรของความเป็นศษิ ย์คอื “อยู่หลงั เรา” (opiso mou) ถูกนาไปใชก้ บั ทงั้
สองกรณี คาว่า “อย่หู ลงั เรา” ไมไดเ้ ป็นเพยี งแค่การระบุตาแหน่ง แต่เป็นลกั ษณะท่าทขี องการเป็นศษิ ย์ พระเยซู
เจ้ากาลงั จะเดนิ ทางไปสู่ไม้กางเขน ศษิ ย์ของพระองค์กต็ ้องตดิ ตาม แต่ถึงกระนัน้ เสยี งสะท้อนของการพูดกบั
ซาตานใน 4:10 คอื คาวา่ “จงไปเสยี ” (Go / hypage) ไดถ้ ูกนามาใชใ้ นแต่ละทเ่ี ชน่ กนั

การถูกผจญล่อลวงและการเอาชนะการผจญล่อลวงทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงเผชญิ ในครงั้ แรกนนั้ ไมใ่ ชค่ รงั้ เดยี ว
แล้วจบ มนั กลบั มาอีกครงั้ ในคาคดั ค้านท่จี รงิ ใจและวงิ วอนของศษิ ย์ผู้น้ี การล่อลวงให้บรรลุพนั ธกิจในแบบท่ี
มาตรฐานของมนุษยม์ องว่าประสบความสาเรจ็ เป็นการล่อลวงจากปิศาจจรงิ ๆ (ดู ขอ้ คดิ ไตร่ตรอง 14:22-33) พนั ธกจิ
ของพระเยซูเจา้ คอื การเรมิ่ ตน้ อาณาจกั รของพระเป็นเจา้ เป็นเรอ่ื งทต่ี อ้ งตดั สนิ ใจอย่างแทจ้ รงิ แตอ่ าจดเู หมอื นว่า
มลี กั ษณะเป็นแบบทางเลอื ก เป็นการใชส้ ทิ ธอิ านาจและความเป็นผปู้ กครองในแบบทแ่ี ตกต่างไปอย่างสน้ิ เชงิ ใน
ทน่ี ้ผี ตู้ ่อตา้ นพระองคไ์ ม่ใชใ่ ครอ่นื แตเ่ ป็น “หนิ ” ทพ่ี ระองคจ์ ะใชส้ รา้ งชมุ ชนใหม่นนั่ เอง นกั บุญเปโตรผเู้ ป็นหนิ ศลิ า
กลายเป็นเปโตร ผู้เป็นหนิ สะดุดเสยี แล้ว(ความหมายตามตวั อกั ษรของคาว่า Skandalon ดู เทยี บ อสย. 8:11-15 โดยเฉพาะ ว. 14)
นอกจากน้ียงั มกี ารนามาเทยี บเคยี งให้เหน็ ความต่างท่นี ่าตกใจ (Jarring Juxtaposition) โดยทาให้สง่ิ น้ีเกดิ ข้นึ
ทนั ทหี ลงั จากทม่ี กี ารอวยพรให้นกั บุญเปโตรใน 16:17-19 แมว้ ่าท่านนกั บุญเปโตรไดร้ บั การเปิดเผยจากพระเป็น
เจา้ (16:17) แต่ทา่ นกย็ งั คดิ แบบทม่ี นุษยค์ ดิ คอื คดิ โดยใชเ้ หตุผล คดิ ถงึ ตนเองเป็นหลกั รวมทงั้ เรอ่ื งมติ รภาพและ
“ความสาเรจ็ ” ในแบบมนุษย์

มทั ธวิ 16:24-28 ตน้ ทนุ และพระสญั ญาเกย่ี วกบั การเป็นศษิ ย์

393

เงือ่ นไขในการติดตามพระคริสตเจา้

24 พระเยซูเจา้ ตรสั แก่บรรดาศษิ ยว์ า่ “ถา้ ผใู้ ดอยากตามเรา กจ็ งเลกิ คดิ ถงึ ตนเอง จงแบกไมก้ างเขนของตนและตดิ ตามเรา 25
ผใู้ ดใครร่ กั ษาชวี ติ ของตนใหร้ อดพน้ กจ็ ะสญู เสยี ชวี ติ นิรนั ดร แต่ถา้ ผใู้ ดเสยี ชวี ติ ของตนเพราะเรา กจ็ ะพบชวี ติ นิรนั ดร 26 มนุษย์
จะไดป้ ระโยชน์ใดในการทไ่ี ดโ้ ลกทงั้ โลกเป็นกาไร แต่ตอ้ งเสยี ชวี ติ มนุษยจ์ ะตอ้ งใหส้ งิ่ ใดเพอ่ื แลกกบั ชวี ติ ทส่ี ญู เสยี ไปใหก้ ลบั คนื มา
27 “บุตรแห่งมนุษย์จะเสดจ็ กลบั มาในพระสริ ริ ุ่งโรจน์ของพระบดิ าพรอ้ มกบั บรรดาทูตสวรรค์ เม่อื นัน้ พระองค์จะประทานรางวลั
แก่ทุกคนตามความประพฤตขิ องเขา 28 เราบอกความจรงิ แก่ท่านทงั้ หลายวา่ บางท่านทย่ี นื อย่ทู น่ี ่ีจะยงั ไมต่ าย จนกวา่ จะไดเ้ หน็
บุตรแหง่ มนุษยเ์ สดจ็ กลบั มาในพระอาณาจกั รของพระองค”์

ข้อศึกษาวิพากษ์
แต่เดมิ ทงั้ คาพูดทงั้ 5 เร่อื งน้ีอาจถูกเผยแพร่ส่งต่อกนั มาโดยท่ไี ม่ไดอ้ ย่รู วมกนั แต่กถ็ ูกนามารวมกนั ให้

กลายเป็นสุนทรพจน์ทต่ี ่อเน่ืองของพระเยซูเจา้ โดยธรรมประเพณีก่อนหน้าพระวรสารนักบุญมาระโกหรอื ไม่ก็
โดยนักบุญมาระโกเอง ส่วนนักบุญมทั ธวิ ได้นามาผสานรวมกนั ใหเ้ ป็นคาตอบหน่ึงเดยี วโดยเปลย่ี นแปลงเลก็ ๆ
น้อยๆ เช่น ละเวน้ ส่วนเรม่ิ ต้นใหม่ท่ี มก. 9:1 ทาใหค้ าพูดนัน้ เช่อื มต่อกบั คาพูดเร่อื งก่อนหน้านัน้ อย่างสนิทขน้ึ
ดงั นัน้ 16:24-28 จงึ กลายเป็นส่วนเดยี วกนั กบั บทสนทนาท่มี คี วามเป็นหน่ึงเดยี ว คอื 16:13-28 มโี ครงสรา้ งท่ี
เกาะยดึ กนั แน่น และบูรณาการแง่คดิ สาคญั ครสิ ตศาสตร์และความเป็นศษิ ย์มารวมกนั อยู่ในแนวคดิ ท่เี ป็นหน่ึง
เดยี วและแยกจากกนั ไม่ได้

16:24 นักบุญมทั ธวิ ละเวน้ คาว่า “ฝงู ชน” ท่พี ระวรสารนักบุญมาระโกใชแ้ นะนาเขา้ สู่เร่อื งใหม่ ทาให้คา
สอนน้ีเป็นการสอนบรรดาศษิ ยเ์ ท่านัน้ และต่อเน่ืองมาจากบทสนทนาก่อนหน้าน้ี การจากดั คาพูดน้ีใหเ้ ป็นการ
กล่าวกบั เฉพาะกบั บรรดาศษิ ย์เท่านนั้ ส่งผลใหค้ วามหมายของคาสอนมุ่งเน้นไปทเ่ี ร่อื งของการเป็นศษิ ยส์ าหรบั
สมาชกิ ชุมชนใหม่ ผทู้ ก่ี ล่าวยอมรบั ความเช่อื ในพระครสิ ต์เหมอื นนักบุญเปโตร แต่ยงั “คดิ โดยใชม้ าตรฐานแบบ
มนุษยม์ ากกว่าการเผยแสดงของพระเป็นเจา้ ” (ดู เทยี บ 23ข) คาพูดเหล่าน้ีไม่ใช่คาเชอ้ื เชญิ ใหค้ นนอกมาเป็นศษิ ย์
แต่เป็นการพิจารณาใคร่ครวญความหมายของการเป็นศิษย์สาหรบั ผู้ท่ีตอบสนองเสยี งเรยี กของพระครสิ ต์
ข้อความในฉบับ NRSV ท่ีกล่าวว่า “หากใครต้องการเป็ นผู้ติดตามเรา” (If anyone want to become my
followers) จงึ อาจทาให้เขา้ ใจขอ้ ความ “ei tis thelei opiso mou elthein” ในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ผดิ เพราะโดย
ดงั้ เดมิ แลว้ ไม่มคี าศพั ท์ใดทแ่ี ปลว่า “Become” (ดู ฉบบั NIV ซ่งึ แปลส่วนน้ีไดถ้ ูกต้องกว่า) คาว่า “thelei” ทาใหก้ ารตดิ ตาม
เป็นเร่อื งของอาเภอใจ เร่อื งของการตดั สนิ ใจ แต่ไม่ใช่การตดั สนิ ใจแรกเรม่ิ คาประกาศของพระเยซูเจา้ เกย่ี วกบั
หนทางไปสู่ไมก้ างเขนของบุตรแห่งมนุษยจ์ งึ เป็นหนทางท่ีศษิ ยต์ ้องเดนิ ตามไปดว้ ย ครสิ ตศาสตรแ์ ละความเป็น
ศษิ ย์จงึ ไม่อาจแยกกนั ได้ ครสิ ตจกั รของนักบุญมทั ธวิ ตระหนักรูด้ อี ยู่แล้วว่ามบี างคนต้องกลายเป็นมรณสกั ขี
รวมถงึ บางคนทถ่ี ูกตรงึ กางเขน (นักบุญเปโตรในกรุงโรม ดู 23:34) จากมุมมองทว่ี า่ การเสดจ็ กลบั มาของพระครสิ ตใ์ กลจ้ ะ
มาถงึ ในอกี ไม่นานแล้ว นักบุญมทั ธวิ คาดหวงั ว่าความปัน่ ป่ วนวุ่นวายแห่งกาลอวสานโลกจะรุนแรงยง่ิ ขน้ึ การ
เรยี กใหบ้ รรดาศษิ ยแ์ บกไมก้ างเขนของตนจงึ สามารถตคี วามแบบตามตวั อกั ษรไดใ้ นสถานการณ์ของทา่ น

16:25 คากล่าวท่ีน่าประทบั ใจน้ีไม่ได้เป็นเพียงหลกั การทวั่ ไปในอุดมคติ ทงั้ บรบิ ทและวลีท่ีเป็นการ
ทดสอบคุณสมบตั ิ “เพ่ือเรา / เพราะเห็นแก่เรา” (For Me / For My Sake) ทาให้การอุทิศชีวิตเป็นเร่อื งของ
สญั ญาผกู พนั ทม่ี าจากการยอมรบั พระเยซูเจา้ วา่ เป็นพระครสิ ต์ ในทน่ี ้ีเช่นเดยี วกบั ทอ่ี ่นื ๆ นกั บุญมทั ธวิ แสดงออก
ถงึ ความเขา้ ใจของท่านเก่ยี วกบั การดารงอย่ขู องมนุษยใ์ นลกั ษณะทค่ี ลา้ ยกบั มุมมองแบบเฮเลนนิสตกิ แต่คาว่า

394

“Psyche” ซ่ึงมกั จะแปลว่า “วญิ ญาณ” (Soul) นัน้ จรงิ ๆ แล้วหมายถึง “ชวี ติ ” หรอื “หลกั การของชวี ติ ” สาหรบั
นกั บุญมทั ธวิ ความหมายของคาน้ีไม่ใช่ “สว่ น” ทเ่ี ป็นอมตะของมนุษย์ แต่เป็นตวั ตนทแ่ี ทจ้ รงิ ตวั ตนทม่ี ชี วี ติ อยู่ ผู้
ทพ่ี ยายามรกั ษาชวี ติ ของตนโดยการใชช้ วี ติ อย่างเหน็ แก่ตวั จะลงทา้ ยดว้ ยการสญู เสยี ตนเองไป เพราะเราจะตอ้ ง
มองการตดั สนิ ใจทจ่ี ะยอมรบั หรอื ปฏเิ สธพระครสิ ตใ์ นมมุ มองทเ่ี กย่ี วกบั วนั พพิ ากษาโลก

16:26 ในบรบิ ทของ “ความคขู่ นาน” แบบเฮเลนนสิ ตกิ สงิ่ น้อี าจถกู มองวา่ เป็นการใหค้ าปรกึ ษาทวั่ ไปหรอื
ใหค้ าสงั่ สอนเพอ่ื นาไปปฏบิ ตั ิ สงิ่ ตา่ งๆ ทงั้ หลายในโลกจะมปี ระโยชน์อะไร หากเราสญู เสยี ชวี ติ ของเราไป ผคู้ นจะ
ยอมเสยี ทุกสง่ิ เพ่อื แลกกบั ชวี ติ ของตน หากนัน่ เป็นทางเลอื กเดยี วทเ่ี หลอื อยู่ แต่กต็ อ้ งมองคาพดู น้ีโดยพจิ ารณา
ความเป็นมาจากพระคมั ภรี ์ (สดด 49:7-9) และมองผ่านทรรศนะของการประกาศยอมรบั ความเป็นพระครสิ ต์ของ
บุตรแห่งมนุษยผ์ ทู้ นทุกขท์ รมานและไดร้ บั การปลดปลอ่ ย ผซู้ ง่ึ กาลงั จะมาในฐานะของผพู้ พิ ากษา

16:27 บุตรแห่งมนุษย์ผู้รบั ทุกข์ทรมานได้รบั การปลดปล่อยโดยพระเป็นเจ้าและจะมาเป็นผู้ตัดสิน
พพิ ากษาโลก พระองค์จะประทานรางวลั และการลงโทษ “ตามการกระทาของแต่ละคน” (According to One’s
Practice / kata ten praxin) ไม่ไดต้ ดั สนิ จากการประกาศยอมรบั ความเช่อื ดว้ ยคาพดู ไม่วา่ จะเป็นทางการเพยี งใด
ก็ตาม การท่บี ุตรแห่งมนุษย์มพี ระเป็นเจ้าเป็นบดิ า (ดู 25:31) หมายความว่าครสิ ตศาสตรข์ อง “บุตรแห่งมนุษย์”
กบั ครสิ ตศาสตรข์ อง “พระบุตรของพระเจา้ ” ไมค่ วรถูกนามาแยกกนั อยา่ งชดั เจนเกนิ ไป ในทน่ี ้ีกเ็ หมอื นกบั ทอ่ี ่นื ๆ
การทบ่ี ตุ รแห่งมนุษยย์ อมเรร่ ่อนไรท้ อ่ี ยอู่ าศยั ทนทุกขท์ รมาน และเผชญิ กบั ความตายเพอ่ื ไปสกู่ ารปลดปลอ่ ยของ
พระเป็นเจา้ เป็นการเตมิ เต็มบทบาทในตาแหน่งของ “พระครสิ ต์” และ “พระบุตรของพระเจา้ ” บทสนทนาท่มี ี
ความเป็นครสิ ตศาสตรน์ ้ีมวี งเลบ็ ลอ้ มรอบ เป็นการทพ่ี ระเยซูเจา้ ระบุว่าพระองคเ์ ป็นบุตรแห่งมนุษย์ (16:13, 27-28)
การระบตุ วั ตนแบบเดยี วกนั น้เี กดิ ขน้ึ ขณะทม่ี กี ารโตต้ อบระหวา่ งพระเยซูเจา้ และมหาสมณะใน 26:63-64 ดว้ ย

16:28 เพ่อื สรุปจบบทสนทนาน้ีดว้ ยคาพูดทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงประกาศว่าพระองคเ์ ป็นบุตรแห่งมนุษย์ นัก
บุญมทั ธวิ ไดน้ าคาพูดจาก มก. 9:1 มาปรบั โครงสรา้ งใหเ้ ป็นคาพดู เรอ่ื งบุตรแห่งมนุษย์ ทาใหค้ าเทศนาของพระ
เยซูเจ้าเก่ยี วกบั พระอาณาจกั รพระเป็นเจ้าท่กี าลงั จะมาถงึ กบั การระบุตวั ตนว่าพระองค์เป็นบุตรแห่งมนุษย์มี
ความเช่อื มโยงสมั พนั ธ์กนั อย่างใกล้ชดิ การใกลจ้ ะมาถงึ ของพระอาณาจกั ร/การเสดจ็ กลบั มาพพิ ากษาโลกของ
บตุ รแหง่ มนุษย์ เป็นประเดน็ ทส่ี นบั สนุนใหผ้ คู้ นตดิ ตามหนทางของพระครสิ ต์

สงิ่ ท่ี “บางคนทย่ี นื อย่ทู น่ี ่ี” (Some Standing Here) เป็นคาสญั ญาว่าจะไดเ้ หน็ ก่อนตายนัน้ มกี ารตคี วามท่ี
หลากหลายกนั ไปว่า คอื อะไร ตวั เลอื กหลกั ๆ ในการตคี วามในประวตั ศิ าสตรท์ ผ่ี ่านมาของครสิ ตจกั ร คอื (1) การ
แสดงพระวรกายแห่งพระสริ ริ ุ่งโรจน์ให้บรรดาศษิ ย์ได้ประจกั ษ์ (the Transfiguration) ซ่ึงเกิดตามมาทนั ที (2)
การกลับคืนพระชนม์ชีพ (3) การรบั พระจิตเจ้าและพลังอานาจของพระครสิ ต์ท่ีทางานอยู่ในครสิ ตจกั ร แต่
คาอธิบายท่ีดูจะเป็นไปได้มากท่ีสุด คือ (4) นักบุญมทั ธิวต้องการส่อื ถึงการเสด็จกลบั มาของพระครสิ ต์เพ่ือ
พพิ ากษาโลก (Parousia) ซง่ึ ท่านคาดว่าจะมาถงึ ในไม่ชา้ และอย่างน้อยคนรุ่นแรกบางคนน่าจะยงั มชี วี ติ อยู่ แต่
แน่นอนว่าปัญหาหลกั ของความหมายทเ่ี หน็ ไดช้ ดั เจนน้ี คอื การเสดจ็ กลบั มาของพระครสิ ต์ไม่ไดเ้ กดิ ขน้ึ แต่ถงึ
กระนนั้ มนั กย็ งั เป็นความหมายทใ่ี กลเ้ คยี งทส่ี ุดอย่ดู ี การยอมรบั วา่ ชาวครสิ ตย์ คุ แรกเรมิ่ เขา้ ใจผดิ เกย่ี วกบั วนั เวลา
ของกาลอวสานโลกไม่ได้ทาให้ความถูกต้องน่าเช่อื ถอื ของครสิ ตศาสตร์ของพวกเขาต้องหมดไป และเราควร
ยอมรบั ความหมายเชน่ นนั้ แยกกนั จากกรอบของเวลาทม่ี นุษยไ์ มอ่ าจทราบได้

395

ข้อคิดไตร่ตรอง
1. หน้าท่ขี องฉากเหตุการณ์น้ี คอื การระบุขอ้ อา้ งทางครสิ ตศาสตรท์ ส่ี าคญั ประการหน่ึงเก่ยี วกบั พระเยซู

เจ้า คอื การส้นิ พระชนม์ของพระองค์นัน้ เป็นส่วนหน่ึงของแผนการของพระเป็นเจ้าท่จี ะช่วยให้มนุษย์รอดพ้น
“หน้าทเ่ี ชงิ บทบรรยายของส่วนท่เี ป็นการประกาศถงึ พระมหาทรมานสามครงั้ นัน้ คอื การเตรยี มบรรดาศษิ ย์ให้
พรอ้ มรบั สงิ่ ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ แต่วตั ถุประสงคเ์ ชงิ เทววทิ ยาคอื การยนื ยนั ใหผ้ อู้ ่านมนั่ ใจในบางประเดน็ หน่ึง คอื ความ
ตายอนั โหดรา้ ยรุนแรงของพระเยซูเจา้ ไม่ไดบ้ งั เอญิ เกดิ ขน้ึ ในประวตั ศิ าสตรโ์ ดยไรค้ วามหมาย แต่เป็นสว่ นหน่ึง
ของแผนการของพระเป็นเจา้ สอง คอื พระเยซูเจา้ ไม่ไดท้ รงเป็นเหย่อื ทช่ี ่วยเหลอื ตนเองไม่ได้ แต่ทรงเป็นผรู้ ่วม
กลยทุ ธอ์ นั ศกั ดสิ ์ ทิ ธขิ ์ องพระเป็นเจา้ อยา่ งรตู้ วั และเตม็ ใจ”

2. การดาเนินชวี ติ ครสิ ตชนไม่ใช่ภาพสะท้อนของวฒั นธรรมท่ยี ดึ ตวั เองเป็นหลกั (Egocentric Culture)
และแน่นอนว่าไมใ่ ช่การรบั ศลี ลา้ งบาปและพระพรทม่ี าจากศลี ศกั ดสิ ์ ทิ ธนิ ์ นั้ แต่ทจ่ี รงิ แลว้ ตรงขา้ มกนั อยา่ งสุดขวั้
การปฏเิ สธตนเองไม่ใช่ภาพลกั ษณ์ของ “ชวี ติ ทด่ี ”ี ในวฒั นธรรมของเรา แต่พระเยซูเจา้ ทอ่ี ย่ใู นพระวรสารนักบุญ
มทั ธวิ ไม่ได้ทรงเรยี กให้เราปฏเิ สธตนเองด้วยการบาเพญ็ พรตหรอื การเกลยี ดชงั ตนเอง การท่ีพระเยซูเจ้าทรง
เรยี กผู้คนให้มาเป็นศษิ ย์ ไม่ใช่การเขา้ ร่วมวฒั นธรรมหลงใหลการเคารพตนเอง (Cultural Infatuation of Self-
Esteem) แต่กไ็ ม่ใชส่ ง่ิ ทต่ี รงกนั ขา้ ม และการปฏเิ สธตนเองทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงเรยี กใหเ้ ราทานนั้ กไ็ มไ่ ดต้ รงขา้ มกบั
การเตมิ เตม็ ศกั ยภาพของตนเอง (Self-Fulfillment) ดว้ ยเช่นกนั การละเวน้ หรอื เลกิ ทาบางสง่ิ ไม่อาจทาใหค้ นผู้
หน่ึงกลายเป็นครสิ ตชนขน้ึ มาได้ แต่การปฏเิ สธตนเองหมายถงึ การปฏบิ ตั เิ สยี สละตนท่ีทาใหเ้ ขารสู้ กึ วา่ งเปล่า สงิ่
ท่วี ฒั นธรรมของเรายากจะเขา้ ใจ หรอื สงิ่ ท่วี ฒั นธรรมของเราไม่อาจเขา้ ใจตามเง่อื นไขต่างๆ ท่เี ราเป็น คอื การ
เปลย่ี นทศิ ทางของชวี ติ ไม่มุ่งเน้นทต่ี นเองอกี ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการเคารพตนเองหรอื การดหู มนิ่ ตนเอง ไม่ว่าจะ
เป็นการเตมิ เตม็ ศกั ยภาพของตนเองหรอื การทาใหต้ นเองวา่ งเปล่า ไรค้ ุณคา่

3. การเรยี กใหม้ าเป็นศษิ ย์น้ีอยู่บนพน้ื ฐานของความเช่อื ในพระครสิ ต์และความมนั่ ใจในชยั ชนะของพระ
เป็นเจา้ ในอนาคต มนั ไมใ่ ช่แค่เรอ่ื งอุดมคตอิ นั สงู ส่งหรอื หลกั การอนั ประเสรฐิ ของมนุษย์ กล่าวคอื ชวี ติ ทพ่ี ระองค์
ใหเ้ ราเป็นนนั้ ไม่ไดอ้ ย่บู นพน้ื ฐานของขอ้ สรุปทม่ี าจากการใชเ้ หตุผลว่าสงิ่ ต่างๆ ควรเป็นเช่นใด โดยสรุปจากการ
สงั เกตหรอื หลกั การโดยทวั่ ไป แต่อยบู่ นความเช่อื ทว่ี า่ ไดม้ บี างสง่ิ เกดิ ขน้ึ และสง่ิ นนั้ ทาใหท้ ุกอยา่ งแตกต่างไปจาก
เดมิ การเช่อื ว่าพระเยซูเจา้ ทรงเป็นพระครสิ ต์และดาเนินชวี ติ ตามนัน้ หมายความว่าเราตอ้ งจดั ทศิ ทางชวี ิตของ
เราไปสขู่ า่ วดที พ่ี ระเป็นเจา้ ไดท้ รงกระทาไวอ้ ยา่ งชดั เจนเดด็ ขาดและสงู สดุ ในพระครสิ ต์ ไม่ใชว่ ่าพระเยซูเจา้ ทรงมี
คาแนะนาดๆี ว่าเราควรใชช้ วี ติ อย่างไร (แลว้ เราจะเอาเกณฑอ์ ะไรมาตดั สนิ ว่าคาแนะนานนั้ เป็นสง่ิ ทด่ี ี?) การเรยี กใหม้ าเป็นศษิ ย์
ในทน่ี ้อี ยบู่ นพน้ื ฐานของการเผยแสดงของพระเป็นเจา้ ทงั้ ในอดตี และในอนาคต การเรยี กใหม้ าเป็นศษิ ยใ์ น ว. 24-
26 เช่อื มโยงอย่างไม่อาจแยกกนั ไดก้ บั ว. 16 และความคาดหวงั ใน ว. 27-28 ทงั้ หมดน้ีลว้ นเช่อื มโยงผกู พนั กนั
ดว้ ยคาประกาศของพระเยซูเจา้ ว่าพระองคเ์ ป็นบุตรแห่งมนุษยใ์ น ว. 13 และ 28 การประกาศยอมรบั ทางครสิ ต
ศาสตรใ์ น ว. 16 ไม่ใช่คาสอนท่เี ป็นนามธรรมเก่ยี วกบั “ตวั บุคคล” ของพระเยซูเจา้ แต่จะเป็นรูปธรรมเม่อื มนั
นาไปสชู่ วี ติ ทพ่ี ระองคเ์ รยี กเรามาใน ว. 24-26

4. การเรยี กใหม้ าเป็นศษิ ย์น้ีเป็นเร่อื งของการประกาศยอมรบั ประกาศว่าเราเช่อื ว่าพระเยซูเจา้ ทรงเป็น
พระครสิ ต์ พระองค์ทรงเป็นการกระทาท่ีเด็ดขาดของพระเป็นเจ้าในการเผยแสดงความจรงิ และช่วยกอบกู้
มนุษยชาตใิ หร้ อดพน้ คาทใ่ี ชส้ อ่ื ความหมายถงึ “การประกาศยอมรบั ” (Confession / martyrion; มธ 8:4; 10:18; 24:14)

396

ยงั หมายถงึ “ความเป็นมรณสกั ข”ี (Martyrdom) ในลกั ษณะของพยานอกี ด้วย การยอมมอบชวี ติ ของตนเองถูก
นาเสนอในลกั ษณะของการแสดงตนเป็นพยานถงึ สจั ธรรมท่ยี งิ่ ใหญ่กว่าตวั เราเอง ซ่งึ ผลท่ไี ด้นัน้ อาจทาใหต้ ้อง
เป็นมรณสกั ขจี รงิ ๆ ตามตวั อกั ษร เหมอื นอย่างท่เี กิดข้นึ กบั ครสิ ตจกั รของนักบุญมทั ธวิ และในคนทุกรุ่นหลงั
จากนนั้ ทงั้ ยงั สบื ต่อเน่ืองมาจนถงึ ทุกวนั น้ี แต่มนั อาจหมายถงึ การยอมละทง้ิ ตนเองในชวี ติ ประจาวนั เพอ่ื การอุทศิ
ตนให้กับพระคริสต์ (ระบุไว้ชัดเจนใน ลก 9:23) แม้ว่าผู้อ่านบทแสดงความคิดเห็นน้ีจานวนมากจะไม่ได้อยู่ใน
สถานการณ์เดยี วกบั นักบุญมทั ธวิ ซง่ึ เป็นสมยั ทก่ี ารประกาศยอมรบั ความเช่อื ของชาวครสิ ต์ทแ่ี ทจ้ รงิ อาจนาไปสู่
การเป็นมรณสกั ขใี นความหมายตามตวั อกั ษร แต่การเรยี กให้ยอมสละชวี ติ เพ่อื เป็นพยานให้กบั สจั ธรรมแห่ง
พระวรสารกเ็ ป็นความจรงิ ไม่น้อยไปกว่านัน้ การเปลย่ี นชวี ติ ใหม้ ุ่งไปสู่พระเป็นเจา้ ผู้ทรงเปิดเผยตนเองในพระ
ครสิ ต์ในฐานะองค์เจ้านายเหนือชวี ติ ของเรา แทนท่จี ะมุ่งไปสู่การบูชาตวั ตนของเราเอง เป็นความแตกต่างท่ี
เดด็ ขาดแน่นอนและสาคญั มาก

5. การเรยี กใหเ้ ป็นศษิ ยน์ ้เี ป็นเรอ่ื งของชุมชน ไมใ่ ชศ่ ลี ธรรมสว่ นบคุ คลของ “ตวั ฉนั ” ลาพงั คนเดยี ว แตเ่ ป็น
ศลี ธรรมของคนในชุมชนของศษิ ยท์ ป่ี ระกาศยอมรบั ว่าพระเยซูเจา้ เป็นพระครสิ ตแ์ ละใชช้ วี ติ เพอ่ื รอคอยการมาถงึ
อย่างสมบูรณ์ของพระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ ทพ่ี วกเขาเฝ้าภาวนาขอ และเป็นชุมชนท่มี กี ารประทบั อย่ขู องพระ
ครสิ ตต์ ลอดชว่ งของการกระทาพนั ธกจิ

6. ความหมายของการเป็นศษิ ยน์ ัน้ เป็นสง่ิ ทเ่ี รยี นรไู้ ดร้ ะหว่างทาง บรรดาศษิ ย์ในเร่อื งน้ีเป็นศษิ ยม์ าระยะ
หน่ึงแลว้ พวกเขาทุกคนไดร้ บั การเรยี กจากพระเยซูเจา้ เป็นรายบุคคล (4:18-22; 9:9; 10:2-4) และถูกพระองคส์ ่งออก
ไปเทศนาและรกั ษาคนป่วย (10:5-8) ตอนน้ีพวกเขากาลงั เรยี นรแู้ ละตน้ ทุนทพ่ี วกเขาตอ้ งจ่ายสาหรบั การเป็นศษิ ย์
ซง่ึ เป็นสง่ิ ทไ่ี ม่อาจอธบิ ายล่วงหน้าได้ แต่ตอ้ งเรยี นรเู้ องระหว่างทาง ชาวครสิ ตท์ ่ีความรสู้ กึ ละเอยี ดอ่อนหลายคน
อาจสงสยั ว่าชวี ติ การเป็นครสิ ตชนของตนนนั้ มคี วามสตั ยซ์ ่อื เพยี งใด เพราะพวกเขา “ไมร่ วู้ ่าตนเองกาลงั ทาอะไร
อย”ู่ ตอนท่ี “เขา้ รว่ มครสิ ตจกั ร” บรรดาศษิ ยใ์ นพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ ซง่ึ เพง่ิ เรยี นรใู้ น 16: 21-28 วา่ การตดิ ตาม
พระครสิ ต์หมายถงึ อะไร และจะต้อง/ทาผดิ พลาดและล้มเหลวต่างๆ ก่อนท่เี ร่อื งราวจะจบลง สง่ิ น้ีเป็นกาลงั ใจ
ใหก้ บั ชาวครสิ ต์ท่กี าลงั กงั วลกบั ความผดิ พลาดในอดตี (แน่นอนว่าในอนาคต ก็ต้องมอี กี ) และแน่ใจว่าตนเองยงั ไม่ค่อย
เขา้ ใจว่าควรจะใชช้ วี ติ ครสิ ตชนอย่างไร แต่คาสอนน้ีเป็นคาเตอื นสาหรบั ชาวครสิ ต์ทม่ี นั่ ใจวา่ ตนเองเขา้ ใจและคดิ
วา่ ไมจ่ าเป็นตอ้ งเปลย่ี นแปลงมมุ มองปัจจุบนั ของตนเองเกย่ี วกบั สง่ิ ตา่ งๆ

397

บทเสริมเรอ่ื ง: คริสตศาสตรข์ องมทั ธิว

นกั บุญมทั ธวิ ไม่ไดส้ รา้ งครสิ ตศาสตรข์ น้ึ มาเป็นหลกั คาสอนแยกต่างหาก สาหรบั ท่าน ครสิ ตศาสตรเ์ ป็น
แง่มุมหน่ึงของเทววทิ ยาหรอื หลกั คาสอนเก่ยี วกบั พระเป็นเจา้ ดงั นัน้ จงึ ไม่อาจทาเป็นนามธรรมและแยกออกมา
เป็นแนวคดิ หน่ึง นอกจากน้ี ครสิ ตศาสตรไ์ ม่อาจสอนเก่ยี วกบั พระครสิ ต์อย่างเดยี วโดยไม่กล่าวถงึ บรรดาศษิ ย์
และชุมชนของพระองค์ เมอ่ื ครสิ ตศาสตร์ (Christology) และเทววทิ ยา(Theology) สอ่ื ถงึ กนั โดยนยั ครสิ ตศาสตร์
กบั ศาสตรแ์ ห่งพระศาสนจกั ร (Ecclesiology) ตา่ งสอ่ื ความหมายเกย่ี วเน่ืองกนั ดว้ ยเชน่ กนั

แนวคิดที่มีพระเป็นเจ้าเป็นศนู ยก์ ลาง (Theocentric)
ถึงแม้ว่าพระเยซูเจ้าจะปรากฏอยู่ในทุกฉากเร่อื งเล่าของพระวรสารนักบุญมทั ธิว แต่บทบรรยายท่ี

“เกย่ี วกบั ” พระเยซูเจา้ นนั้ เป็นไปในลกั ษณะทบ่ี อกวา่ พระเยซูเจา้ ทรงเป็นพระเมสสยิ าห์ เหมอื นทบ่ี ทบรรยายทงั้
เร่อื งและช่อื ของพระวรสาร (1:1) แสดงใหเ้ หน็ อย่างชดั เจน พระเมสสยิ าห์ คอื ผถู้ ูกเจมิ การใชค้ ากรยิ าแบบถูก
กระทา (Past Participle) น้ีแสดงใหเ้ หน็ ว่า เป็นกจิ การกระทาของอกี บุคคลหน่ึง พระเยซูเจา้ ทรงเป็นพระครสิ ต์
ไม่ใช่เพราะตวั ตนของพระองค์เอง แต่เป็นการกระทาของพระเป็นเจ้า พระองค์ทาให้พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระ
ครสิ ต์ พระวรสารคอื บทบรรยายทม่ี เี น้อื หาเกย่ี วกบั พระครสิ ต์ (หรอื เรยี กวา่ ครสิ ตศาสตรท์ บ่ี รรยายเป็นเรอ่ื งราวจะดกี วา่ ) และคา
จากดั ความของมนั แสดงใหเ้ หน็ ถงึ การมพี ระเป็นเจา้ เป็นศนู ยก์ ลาง ผกู้ ระทาการ ผทู้ าใหพ้ ระเยซูเจา้ ทรงเป็นพระ
ครสิ ต์ ไม่ใช่ตวั ของพระเยซูเจา้ เอง และไม่ใช่บรรดาศษิ ยข์ องพระองค์ พระเยซูเจา้ ไม่ได้ทรงถูกเลอื กใหเ้ ป็นพระ
ครสิ ต์โดยผู้คนท่ีช่ืนชมพระองค์ เหมือนกับว่าพระองค์เป็นตัวแทนอุดมคติของพวกเขาหรอื เป็นรูปธรรมท่ี
แสดงออกถงึ ค่านิยมของพวกเขา ความจรงิ นัน้ แตกต่างไปจากสง่ิ ทค่ี นส่วนใหญ่เช่อื พระเป็นเจา้ คอื ผู้ทเ่ี จมิ พระ
เยซูเจา้ ใหเ้ ป็นพระครสิ ต์ ดงั นัน้ การยนื ยนั ว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเมสสยิ าห์จงึ เป็นการยนื ยนั การกระทาท่ี
เด็ดขาดของพระเป็นเจ้า ครสิ ตศาสตร์ไม่ได้เรม่ิ ต้นท่ีบุคคลผู้เป็นพระเยซู เจ้าและไม่ใช่การสืบหาความจรงิ
เกย่ี วกบั อตั ลกั ษณ์ตวั ตนหรอื ความสาคญั ของพระองค์ แต่เป็นประเดน็ ทว่ี ่าพระเป็นเจา้ ไดก้ ระทาการใหพ้ ระองค์
เป็นพระครสิ ต์หรอื ไม่ สงิ่ ท่เี ราพนันกนั อยู่น้ี ไม่ใช่คาถามท่วี ่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นใคร แต่พระเจ้าทรงเป็นใคร
ต่างหาก ครสิ ตศาสตรค์ อื แง่มุมหน่ึงของสญั ลกั ษณ์ทค่ี รอบคลุมทุกสง่ิ และมพี ระเป็นเจา้ เป็นศูนยก์ ลาง คอื “พระ
อาณาจกั รสวรรค/์ พระอาณาจกั รของพระเจา้ ” นนั่ เอง

แนวคิดเชิงคริสตศาสตรก์ ่อนสมยั ของนักบญุ มทั ธิว
นักบุญมทั ธวิ มหี ลายวธิ ใี นการแสดงออกถงึ ความเช่อื มนั่ พน้ื ฐานของท่านทว่ี ่า พระเป็นเจา้ ไดก้ ระทาการ

อย่างเดด็ ขาดในพระครสิ ต์เพ่อื กอบกู้โลกน้ีให้รอด ความคาดหวังเก่ยี วกบั พระเมสสยิ าห์ในศาสนายูดายนัน้ มี

398

หลากหลายรปู แบบมาก ไม่ใช่วา่ ชาวยวิ ทุกคนจะคาดหวงั ว่าผทู้ เ่ี ป็นพระเมสสยิ าหจ์ ะมบี ทบาทในชยั ชนะสุดทา้ ย
ของพระเป็นเจา้ ในวนั สน้ิ พภิ พ ความหวงั เกย่ี วกบั พระเมสสยิ าหข์ องพวกเขานนั้ มอี ยจู่ รงิ แต่แสดงออกในรปู แบบ
ทห่ี ลากหลาย (ดงั นนั้ ชาวครสิ ตจ์ งึ ควรหลกี เลย่ี งทจ่ี ะคุยกบั ชาวยวิ ว่าความหวงั ของพวกเขาคอื พระครสิ ต์) ตวั อยา่ งเช่น “บุตรแหง่ ดาวดิ ”
ไม่ใช่สง่ิ ทเ่ี ป็นความเช่อื สากลหรอื แมแ้ ต่ความเช่อื ทวั่ ไปเก่ยี วกบั ความคาดหวงั ในพระเมสสยิ าห์ หลงั สน้ิ สุดการ
สบื ทอดทายาทของราชวงศด์ าวดิ และการขน้ึ ครองอานาจแบบนกั บวชของราชวงศฮ์ สั โมเนียน (Hasmonean) ใน
สมยั ของมคั คาบี (Maccabean Period) พระสญั ญาเก่ยี วกบั กษัตรยิ ์ดาวดิ ถูกคนบางกลุ่มนามาตีความใหม่ให้
หมายถงึ นกั บวช ดงั นนั้ พระเมสสยิ าหใ์ นความหมายของชาวเลวอี าจเป็นทค่ี าดหวงั ไดพ้ อๆ กบั หรอื แทนทพ่ี ระเม
สยิ าหท์ ม่ี าจากสายตระกลู ของกษตั รยิ ด์ าวดิ ของชาวคุมราน ในสมยั เรม่ิ แรกของศาสนายดู าย ผคู้ นมองวา่ พระเมส
สยิ าหม์ าจากสายตระกูลของยดู าห์ (ดาวดิ ) หรอื เลวี (อาโรน) หรอื เอเฟรม (โยเซฟ) และบางครงั้ แนวคดิ เหล่าน้ี
“ดจู ะไมไ่ ดเ้ ป็นของกลุ่มหน่งึ กลุ่มใดโดยเฉพาะ”

ในทางเดียวกัน ศาสนาครสิ ต์สมยั ก่อนนักบุญมทั ธิวได้พัฒนาวิธีการท่ีแตกต่างหลากหลายในการ
แสดงออกถงึ ความสาคญั ดา้ นการช่วยมนุษยชาตใิ หร้ อดพน้ (การกระทาของพระเป็นเจา้ ) ของพระเยซเู จา้

คริสตศาสตรข์ องชุมชนชาวคมุ รนั (Christology of Q)
การแสดงออกเก่ยี วกบั พระครสิ ต์ของชุมชนชาวคุมรนั มพี ฒั นาการมาเป็นเวลาหลายสบิ ปี ในรูปแบบ

(หลงั ๆ?) ของเอกสารแหล่ง Q ท่นี ักบุญมทั ธวิ นามาใช้ ส่วนท่เี ป็นคาพูดของพระเยซูเจา้ ได้ส่งผลต่อการแสดง
ภาพโดยหลกั ๆ ของพระเยซูเจา้ ออกมาในลกั ษณะของประกาศกและอาจารย์ยุคสุดทา้ ยผูม้ หี น้าทส่ี าคญั ในการ
ประกาศพระวาจาอนั เดด็ ขาดของพระเป็นเจ้า มกี ารใชต้ าแหน่งหรอื ช่อื เรียกทางครสิ ตศาสตร์ (Christological
Titles) ในปรมิ าณทน่ี ้อยมาก

• “ผู้ท่ีกาลังจะมาถึง” (the Coming One / ho erchomenos) ใน 3:11/ Q 3:16; 11:3/7:19; 23:39/13:35
ทงั้ หมดน้นี กั บุญมทั ธวิ รบั มาใช้

• “พระบุตรของพระเป็นเจา้ ” (Son of God / huios tou theou) พบเฉพาะใน 4:3; 4:6/4:3 และ 4:9 ตอนท่ี
คาทา้ ทายของปิศาจถูกพระเยซูเจา้ ทรงปฏเิ สธ เหน็ ไดช้ ดั ว่าไม่ใช่ช่อื เรยี กพระเยซูเจา้ ในชุมชนชาวคุม
รนั คาว่า “บุตร” นนั้ เป็นคาทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงยกมากล่าวอา้ งเองในแบบทไ่ี ม่เหมอื นทอ่ี ่นื ใน มธ 11:27/
ลก 10:22

• “พระเป็นเจ้า” (Lord / kyrios) ไม่มกี ารใชก้ ล่าวถงึ พระเยซูเจา้ ในเชงิ ครสิ ตศาสตร์ ยกเวน้ ใน มธ 7:21-
22/ ลก 6:46 และอาจจะใน มธ 8:8/ ลก 7:6, มธ 8:21/ลก 10:22

• คาว่า “พระครสิ ต์” “บุตรแห่งดาวดิ ” “กษตั รยิ ”์ และ “อาจารย”์ ไม่มกี ารใชใ้ นเอกสารของชุมชนชาวคุม-
รานเลย

• พระเยซูเจา้ และยอหน์ ผทู้ าพธิ ลี า้ งถูกนาเสนอในฐานะของผสู้ ง่ สารทเ่ี ดด็ ขาดจากพระองคใ์ น มธ 11:19
ข/ลก 7:35 และ มธ 23:34-35 (ดู เทยี บ ลก 11:49-51)

ตาแหน่งทางครสิ ตศาสตรท์ ส่ี าคญั ทส่ี ุดทช่ี าวคุมรานใชก้ ล่าวถงึ พระเยซูเจา้ คอื “บุตรแห่งมนุษย”์ ซง่ึ มกี าร
ใชท้ งั้ หมด 11 ครงั้ 3 ครงั้ จากทงั้ หมดน้ีเป็นการกล่าวถงึ พระเยซูเจ้า ผูเ้ ป็นบุตรแห่งมนุษยท์ ่ปี รากฏอยู่บนโลก
เป็นคนไม่มบี ้าน (มธ 8:20/ลก 9:58) และกนิ ด่มื (ไม่ได้ถอื พรต มธ 11:19/ลก 7:34) และถูกส่งมาเป็นสญั ญาณใหก้ บั “คนยุคน้ี”

399

ดว้ ยการเทศนาและการปรากฏตวั ของพระองค์ (มธ 12:40/ลก 11:30) สว่ นคาวา่ “บุตรแหง่ มนุษย์” อกี 8 ครงั้ ในคาพดู
ของพระเยซูเจา้ ในเอกสารแหลง่ Q เป็นการกล่าวถงึ ผทู้ ไ่ี ดร้ บั การเชดิ ชจู ากพระเป็นเจา้ และจะกลบั มาอกี ครงั้ หน่ึง
ในฐานะผพู้ พิ ากษาโลก (มธ 5:11/ลก 6:22; มธ 10:32/ลก 12:8; มธ 12:32/ลก 12:10; มธ 19:28/ลก 22:28-30; มธ 24:27, 37, 39/ ลก 17:24,

26, 30; มธ 24:44/ลก 12:40)

แมว้ ่าชุมชนชาวคุมรานจะตระหนกั ดถี งึ การถูกตรงึ กางเขนของพระเยซูเจา้ (มธ 10:38/ลก 14:27) แต่ความตาย
และความทุกขท์ รมานของพระองคไ์ ม่มคี วามหมายในทางครสิ ตศาสตร์ และไม่มคี าพดู ใดๆ กล่าวถงึ ความทุกข์
ทรมานและความตายของบุตรแห่งมนุษย์ ภาพท่โี ดดเด่นท่สี ุดคอื พระเยซูเจา้ ในฐานะบุตรแห่งมนุษยผ์ ูส้ ่งสาร
สดุ ทา้ ยจากพระเป็นเจา้ ใหก้ บั เราและจะกลบั มาอกี ครงั้ ในฐานะผพู้ พิ ากษาโลกในวนั สน้ิ พภิ พ เกณฑก์ ารพพิ ากษา
นนั้ อย่ทู ส่ี ารของพระเยซูเจา้ ว่าเรายอมรบั พระองคท์ งั้ ในวาจาและการกระทาหรอื ไม่ นักบุญมทั ธวิ ไดร้ บั อทิ ธพิ ล
อย่างลกึ ซ้งึ จากจนิ ตภาพทางครสิ ตศาสตรน์ ้ี ซง่ึ ท่านและชุมชนของท่านไดน้ ามาเป็นสงิ่ หลกั ทใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์
ตคี วามความสาคญั ของพระเยซูเจา้ ก่อนทพ่ี ระวรสารนกั บญุ มาระโกจะมาถงึ ชุมชนของพวกทา่ น (ดบู ทนา)

การปฏิวตั ิท่ีเกิดจากพระวรสารนักบญุ มาระโก
เอกสารแหล่ง Q เป็นการรวบรวมคาพดู ของพระเยซูเจา้ ในลกั ษณะทเ่ี ป็นคาสอนเป่ียมดว้ ยปรชี าญาณ

ของประกาศก มบี ทบรรยายเร่อื งแทรกอยู่เพยี งนิดเดยี วเท่านัน้ แต่พระวรสารนักบุญมาระโก โดยหลกั ๆ แล้ว
เป็นบทบรรยาย เน้ือหาท่ีเป็นคาพูดเป็นเพียงส่วนน้อย ดงั นัน้ การแสดงออกถึงความเช่อื ในพระเยซู เจ้าของ
นักบุญมาระโกจงึ แตกต่างอย่างมากกบั การแสดงออกของชาวคุมราน เป็นการบรรยายทางครสิ ตศาสตรร์ ูปแบบ
ใหม่ท่ผี สานบทบรรยายเร่อื งท่มี คี วามขดั แยง้ อยู่ในตวั มนั เอง คอื แสดงภาพพระเยซูเจา้ ในฐานะพระบุตรผทู้ รง
ฤทธานุภาพของพระเป็นเจา้ และในฐานะมนุษยผ์ อู้ ่อนแอและตกเป็นเหยอ่ื ของผอู้ ่นื นกั บุญมทั ธวิ รบั การประกาศ
ถงึ ความเช่อื ทางครสิ ตศาสตรใ์ นรูปแบบบทบรรยายจากพระวรสารนักบุญมาระโกมาใชใ้ นพระวรสารของท่าน
และทาให้เป็นพ้นื ฐานในการนาเสนอพระเยซูเจ้าของท่าน สงิ่ หลกั ๆ ท่พี ระวรสารนักบุญมาระโกส่งผลต่อการ
พฒั นาของครสิ ตศาสตร์ของนักบุญมทั ธวิ คอื การประกาศความเช่อื ทางบทบรรยายเร่อื ง แต่นักบุญมาระโก
เปล่ยี นจุดมุ่งเน้นไปท่ตี าแหน่งช่อื เรยี กทางครสิ ตศาสตร์ซ่ึงแต่เดมิ มบี ทบาทน้อยมากหรอื แทบไม่มเี ลยใน เทว
วทิ ยาของนกั บุญมทั ธวิ คอื คาวา่ “พระครสิ ต์” “พระบุตรของพระเป็นเจา้ ” “บุตรแห่งมนุษยผ์ ถู้ ูกนาไปทรมานและ
ถูกสงั หาร” “อาจารย”์ “ประกาศก” “กษตั รยิ ”์ “พระองค”์ (ปรากฏเพยี งคลุมเครอื ในพระวรสารนกั บุญมาระโก) “บุตรของดาวดิ ”
(ในพระวรสารนักบุญมาระโก มแี ต่การนาเสนอในทางลบเท่านัน้ ) ขอใหอ้ ่านเน้ือหาต่อไปน้ีเพ่อื สงั เกตการนาช่อื เรยี กเหล่าน้ีไป
ปรบั ใชแ้ ละตคี วามใหมข่ องนกั บุญมทั ธวิ

ส่ิงท่ีพระวรสารนักบญุ มาระโกม่งุ เน้น (M Emphases)
ธรรมประเพณีพเิ ศษของพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ เป็นการมุ่งเน้นพระเยซูเจา้ ในฐานะผทู้ าใหข้ อ้ ความใน

พระคมั ภรี เ์ ป็นจรงิ รวมถงึ เร่อื งราวการกาเนิดของพระเยซูเจ้าและรูปลกั ษณ์ของพระองค์หลงั การกลบั คนื พระ
ชนมช์ พี ซง่ึ ทงั้ สองอยา่ งเป็นสง่ิ ทข่ี าดไปในพระวรสารนกั บุญมาระโก

400

การใช้บทบรรยายเป็นวิธีการรวบรวมข้อความท่ีแสดงความเช่ือทางคริสตศาสตรท์ ี่หลากหลาย
ความเป็นอจั ฉรยิ ะของบทบรรยายเร่อื งคอื มนั สามารถนาภาพทข่ี ดั แยง้ ตรงขา้ มกนั และเป็นปัญหาความ

สบั สนทางตรรกะ (Discursive Logic) มารวมไวด้ ว้ ยกนั ได้ สามารถพดู ถงึ หลายสง่ิ โดยไม่ตอ้ งลดทอนสงิ่ เหล่านนั้
เพอ่ื ใหอ้ ยรู่ ว่ มกนั ไดแ้ ละไมต่ อ้ งจดั เรยี งออกเป็นหลกั การทม่ี ลี าดบั ชนั้ และเป็นระบบ ซง่ึ เป็นรปู แบบทางเทววทิ ยา
ทย่ี ากจะทาได้สาเรจ็ โดยใชต้ รรกะท่เี ป็นนามธรรม ดงั นัน้ ครสิ ตศาสตรข์ องนักบุญมทั ธวิ จงึ เป็นขวั้ ท่ตี รงขา้ มกบั
รายการตาแหน่งช่อื เรยี ก (List of Titles) หรอื การอภปิ รายหวั ขอ้ ทางครสิ ตศาสตร์ (เช่น บุคคลและการทางาน; ธรรมชาติ
และสสาร; ความเป็นพระเป็นเจา้ กบั ความเป็นมนุษย)์ ขณะทน่ี ักบุญมทั ธวิ เชอ่ื วา่ พระเยซูเจา้ คอื พระบุตรของพระเป็นเจา้ ทไ่ี ม่
มใี ครเหมอื นไดแ้ ละทรงมภี ารกจิ ทพ่ี ระเป็นเจา้ มอบหมายมาเป็นพเิ ศษ และเช่อื วา่ พระองคส์ น้ิ พระชนมเ์ หมอื นกบั
มนุษยค์ นหน่งึ และไดร้ บั การยกขน้ึ สสู่ ถานะทางสวรรค์ แตค่ วามคดิ เชงิ ครสิ ตศาสตรข์ องนกั บุญมทั ธวิ กไ็ ม่ไดม้ ่งุ ไป
ในเร่อื งของความเป็นพระเป็นเจา้ กบั ความเป็นมนุษย์ นักบุญมทั ธวิ เหมอื นกบั ผอู้ ่านพระคมั ภรี ภ์ าคพนั ธสญั ญา
ใหม่ในยุคหลงั คอื ยอมรบั การตดั สนิ ใจทเ่ี ดด็ ขาดของบทบรรยายในพระวรสารนักบุญมาระโกเกย่ี วกบั ปัญหาเชงิ
แนวคดิ น้ีโดยไม่ตอ้ งนามาใคร่ครวญพจิ ารณา ดงั นนั้ สาหรบั ท่าน “พระบุตรของพระเป็นเจา้ ” จงึ เกย่ี วขอ้ งกบั การ
จดั หมวดดา้ นความเป็นกษตั รยิ ม์ ากกวา่ ความสมั พนั ธแ์ นวอภปิ รชั ญาทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ความเป็นพระเป็นเจา้ เหน็ ได้
จากการทท่ี ่านเล่าเร่อื งราวการประสตู อิ ย่างปาฏหิ ารยิ ข์ องพระองค์ ในทางตรงขา้ ม ท่านยอมรบั ความเป็นมนุษย์
แทข้ องพระเยซูเจา้ อยา่ งงา่ ยๆ โดยไม่ตอ้ งนามาใครค่ รวญวา่ เรอ่ื งน้ีเป็นประเดน็ ปัญหา และไม่เหน็ ว่าการนาคาวา่
“มนุษย์” (Human Being / anthropos) ซ่ึงเป็นคาสาคญั จากพระวรสารนักบุญมาระโกมาใส่ลงไปในคาประกาศ
ความเช่อื ของทหารโรมนั ในเหตุการณ์ตรงึ กางเขนทจ่ี ุดสงู สุดของเร่อื ง จะเป็นปัญหาแต่อย่างใด (มก. 15:39 กนั . มธ

27:54)

ครสิ ตศาสตร์ของท่านทางานแบบเดียวกับบทบรรยายเร่อื ง มนั ไม่สามารถแยกออกจากการสมั ผสั
ประสบการณ์ของเร่อื งราว การวจิ ารณ์เชงิ วรรณกรรมจงึ เป็นหนทางสาคญั ไปสู่ความรูค้ วามเขา้ ใจด้านครสิ ต
ศาสตร์ ตวั อย่างเช่น ฉากแรกและฉากสดุ ทา้ ยมคี วามสาคญั ในฐานะบทบรรยายเรอ่ื ง แยกออกมาจากตาแหน่งชอ่ื
เรยี กและบทไตร่ตรองเชงิ ครสิ ตศาสตรท์ เ่ี หน็ ได้ชดั เจน ฉากจบเร่อื ง (28:16-20) ซ่งึ บทบรรยายทงั้ หมดรวมตวั กนั
ไปสู่จุดนัน้ เป็นการแสดงภาพของพระองค์ผูป้ ระกาศว่าได้รบั อานาจทงั้ ปวงจากพระเป็นเจ้า แต่ไม่มกี ารใชช้ ่อื
เรยี กใดๆ ส่วนฉากเปิดเร่อื งเหน็ ได้ชดั ว่าเป็นการยนื ยนั การปฏสิ นธนิ ิรมลและการประสูตขิ องพระเยซู เจ้า แต่
นักบุญมทั ธิวไม่ได้นาไปเช่ือมโยงโดยตรงกบั ความเข้าใจท่ีว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเป็นเจ้า
เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั ปาฏหิ ารยิ แ์ ห่งการประสตู ดิ ูเหมอื นจะเป็นองคป์ ระกอบหน่ึงในธรรมประเพณีทน่ี ักบุญมทั ธวิ ยนื
ยนั แต่ต้องอธบิ ายในแบบท่ีให้ความสาคญั กบั ครสิ ตศาสตร์เก่ียวกบั บุตรแห่งดาวดิ ซ่ึงมคี วามสาคญั สาหรบั
นกั บญุ มทั ธวิ (ดดู า้ นล่างและขอ้ คดิ เหน็ วพิ ากษ์เกย่ี วกบั 1:1-15)

ประเด็นเชิงคริสตศาสตรอ์ นั โดดเด่นอื่นๆ ของนักบุญมทั ธิว ท่นี ามารวมไวใ้ นบทบรรยายเร่อื งของท่าน
ไดแ้ ก่
พระเยซูเจ้า ในฐานะผทู้ ี่ทาให้ส่ิงท่ีกล่าวในพระคมั ภีรเ์ ป็นจริง

บทบรรยายเร่อื งของนักบุญมทั ธวิ ไม่ใช่เร่อื งเล่าเก่ยี วกบั พระเยซูเจ้าท่ไี ม่ขอ้ งเก่ยี วกบั เร่อื งอ่นื แต่เป็น
จดุ สงู สุดและเป็นการทาใหเ้ ร่อื งราวทใ่ี หญ่กว่านัน้ ครบสมบูรณ์ กล่าวคอื บนั ทกึ ในพระคมั ภรี เ์ กย่ี วกบั พระเจา้ และ
ชนชาตอิ สิ ราเอล ซง่ึ ชไ้ี ปส่สู ง่ิ ไกลกว่าตวั มนั เอง คอื การเป็นจรงิ ในระดบั ทส่ี มบูรณ์สงู สุด พระเยซูเจา้ คอื ผทู้ ท่ี าให้

401

เร่อื งราวน้ีเป็นจรงิ อย่างสมบูรณ์ เป็นตอนจบท่เี ดด็ ขาดของโครงเร่อื งทงั้ หมด เรม่ิ ตงั้ แต่การสรา้ งสรรพสง่ิ การ
ตกต่าของอาดมั และเอวา การเรยี กอบั ราฮมั และซาราห์ การรวมตวั ของชนชาตอิ สิ ราเอลในฐานะประชากรในพนั ธ
สญั ญาของพระเป็นเจา้ ความเป็นกษตั รยิ ข์ องดาวดิ ความเส่อื มและถูกเนรเทศ ไปจนถงึ เวลาแห่งการคาดหวงั
นกั บุญมทั ธวิ เขา้ ใจเรอ่ื งราวเหลา่ น้ที งั้ หมดในฐานะทเ่ี ป็นคาพยากรณ์ คาสญั ญาทเ่ี ป็นจรงิ ในพระเยซูเจา้ (ดู บทเสรมิ
เร่อื ง “มทั ธวิ ผตู้ คี วามพระคมั ภรี ”์ ) แนวคดิ เก่ยี วกบั คาพยากรณ์และการเป็นจรงิ ตามคาพยากรณ์มคี วามสาคญั ตลอดบท
บรรยายเร่อื งทงั้ หมด จนเราตอ้ งทาความเขา้ ใจว่าเร่อื งเล่าพระวรสารเป็นพาหนะท่นี ักบุญมทั ธวิ นามาใชส้ ่อื สาร
ความหมายทางครสิ ตศาสตรข์ องทา่ น พระเยซูเจา้ คอื ผเู้ ตมิ เตม็ ความหวงั และคาสญั ญาตา่ งๆ ทม่ี อี ยใู่ นพระคมั ภรี ์
และพระองคไ์ ดร้ บั การสรา้ งภาพดว้ ยสสี นั ทม่ี าจากพระคมั ภรี ์ แมว้ ่าจะไม่มกี ารแสดงขอ้ อา้ งองิ ทางครสิ ตศาสตร์
อย่างชดั เจนกต็ าม ภาพของพระเยซูเจา้ ทน่ี าเสนอในทน่ี ้ีกระตุ้นใหเ้ รานึกถงึ โมเสส ดาวดิ และขา้ รบั ใชผ้ ทู้ นทุกข์
ทรมานในอสิ ยาห์ 42-53
พระเยซูเจ้า ทรงกระทาการอยา่ งผมู้ ีอานาจ

ภาพคาพยากรณ์วนั ส้นิ พภิ พท่ยี งิ่ ใหญ่จากประกาศกดาเนียล บทท่ี 7 มอี ทิ ธพิ ลอย่างลกึ ซ้ึงต่อนักบุญ
มทั ธวิ และอาจเหน็ ไดโ้ ดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในฉากปิดเร่อื งคอื 28:16-20 แมว้ ่าจะไม่ไดย้ กขอ้ ความมาอา้ งองิ อย่าง
เปิดเผยและไม่มกี ารใชค้ าว่า “บุตรแห่งมนุษย”์ อย่างเปิดเผยดว้ ย แต่พระเยซูเจา้ ได้รบั การนาเสนอในฐานะผูท้ ่ี
ได้รับมอบอานาจอย่างเบ็ดเสร็จทัง้ ส้ิน ดังนัน้ มุมมองแบบพระเป็ นเจ้าเป็ นศูนย์กลางจึงเป็ นท่ีสังเกตได้
เช่นเดยี วกบั คาว่า “ไดร้ บั เจมิ ” (Anointed) ในแต่ละกรณี ผอู้ ่านจะตอ้ งถามว่า “ใครเป็นผกู้ ระทา” ทาใหภ้ าพของ
พระเยซูเจา้ ในระดบั ผวิ เผนิ ถกู เปลย่ี นใหเ้ ป็นภาพความลา้ ลกึ ของการกระทาของพระเป็นเจา้ แนวคดิ ทว่ี า่ พระเยซู
เจา้ คอื ผกู้ ระทาการอยา่ งผมู้ อี านาจ จงึ แทรกอยตู่ ลอดทงั้ เรอ่ื งและมาถงึ จดุ สงู สดุ ในฉากน้ี
การระบวุ า่ พระเยซูเจา้ คือปรีชาญาณ

แมว้ ่าจะไม่ใชอ่ งคป์ ระกอบหลกั ของครสิ ตศาสตรข์ องนกั บุญมทั ธวิ แต่การแสดงภาพพระเยซูเจา้ ในฐานะ
ปรชี าญาณในร่างของบุคคล (Personified Wisdom) กเ็ ป็นแง่มุมสาคญั ในมุมมองของท่าน เหน็ ไดจ้ ากการเน้น
สญั ลกั ษณ์น้ีแบบเดยี วกบั ทพ่ี บในเอกสารแหลง่ Q ดเู หมอื นวา่ พระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ ระบุวา่ พระเยซูเจา้ ทรงเป็น
ปรชี าญาณจรงิ ๆ แตไ่ มไ่ ดม้ คี าสอนเกย่ี วกบั การดารงอยขู่ องพระองคก์ อ่ นสรรพสง่ิ ทงั้ ปวง
ความลบั และความโปรง่ ใสในพระวรสารของนักบญุ มาระโกและนักบญุ มทั ธิว

นกั บุญมาระโกไดน้ าองคป์ ระกอบแรกเรมิ่ ทม่ี อี ย่ใู นธรรมประเพณีก่อนหน้าพระวรสารมาทาใหก้ ลายเป็น
เร่อื งความลบั ของผเู้ ป็นพระเมสสยิ าหอ์ ย่างเตม็ รปู แบบ ซ่งึ ตามแนวคิดน้ีไม่มมี นุษยค์ นใดเลยเขา้ ใจถงึ ความลบั
เก่ยี วกบั ตวั ตนของพระเยซูเจา้ ระหว่างท่พี ระองคท์ าพนั ธกจิ อย่บู นโลก ในพระวรสารนักบุญมาระโก ความลบั
ของผเู้ ป็นพระเมสสยิ าหเ์ ป็นเคร่อื งมอื ทางวรรณกรรมอนั ประณีตทช่ี ่วยใหม้ กี ารบอกเล่าเร่อื งราวเกย่ี วกบั อานาจ
ทม่ี าจากของพระเยซูเจา้ ในแบบทผ่ี อู้ ่านทม่ี มี ุมมองของผทู้ อ่ี ย่ยู ุคหลงั การกลบั คนื พระชนมช์ พี จะสามารถรบั รถู้ งึ
การกระทาของพระเจา้ ในพระครสิ ต์ แต่ตวั ละครต่างๆ ในเร่อื งราวจะมองไม่เหน็ ตวั ตนทแ่ี ท้จรงิ ของพระองค์ไป
จนกระทงั่ เรอ่ื งจบ เพอ่ื รกั ษาความเชอ่ื ทแ่ี ทจ้ รงิ ของชาวครสิ ตเ์ กย่ี วกบั กางเขน/การกลบั คนื พระชนมช์ พี ซง่ึ เป็นสง่ิ
ทข่ี าดไม่ได้ “ทฤษฎเี ร่อื งความลบั เป็นการสนั นิษฐานเชงิ ตคี วามของพระวรสารประเภทน้ี” แต่นักบุญมทั ธวิ ไมไ่ ด้
ตอ้ งการแนวคดิ “เร่อื งความลบั ของผูเ้ ป็นพระเมสสยิ าห์” ในลกั ษณะดงั กล่าว ท่านยอมรบั บทบรรยายเร่อื งของ
นกั บุญมาระโก ทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ภาพของพระเยซูเจา้ ในสองรูปแบบ แต่กเ็ ขา้ ใจว่าบทบรรยายนัน้ จะทางานในสอง

402

ระดบั คอื แสดงภาพเรอ่ื งราวกอ่ นการกลบั คนื พระชนมช์ พี แต่ยงั คงมองเหน็ สถานการณ์หลงั การกลบั คนื พระชนม์
ชพี ไดอ้ ย่างโปรง่ ใสชดั เจน ดงั นนั้ จงึ มคี าพดู ทก่ี ล่าวกบั บรรดาศษิ ยใ์ นเร่อื งราวเหมอื นกบั ว่าพวกเขาอยู่ในยุคหลงั
การกลบั คืนพระชนม์ชีพ และพระเยซูเจ้าในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ สามารถเปิดเผยตัวตนของพระองค์ได้
มากกว่าพระเยซูเจา้ ในพระวรสารนกั บุญมาระโก สว่ นบรรดาศษิ ยข์ องนกั บุญมทั ธวิ สามารถรบั รถู้ งึ การเปิดเผยน้ี
ในระดบั ของเรอ่ื งราวก่อนการกลบั คนื พระชนมช์ พี (ดู ตวั อยา่ งจากการทน่ี ักบุญมทั ธวิ นา มก. 6:51 มาเขยี นใหมใ่ น มธ 14:33) สว่ น
องคป์ ระกอบเกย่ี วกบั ความลบั ทย่ี งั คงรกั ษาไวใ้ นพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ สว่ นใหญ่คอื ร่องรอยทย่ี งั คงเหลอื อยใู่ น
การเลา่ เรอ่ื งแบบพระวรสารนกั บุญมาระโก
ธรรมประเพณีและการตีความใหม่; ภาพของพระเยซูเจ้า

การกล่าวว่าพระครสิ ต์คอื พระเยซูเจ้า ไม่เพยี งแต่เป็นการตคี วามความหมายของคาว่า “พระเยซูเจ้า”
เทา่ นนั้ แต่ยงั เป็นการตคี วามความหมายของคาวา่ “พระครสิ ต”์ ในแบบใหม่อกี ดว้ ย โดยดจู ากตวั ตนแทจ้ รงิ ทพ่ี ระ
เยซูเจา้ ทรงเป็นสงิ่ ทท่ี รงพลงั และเป็นรากฐานสาคญั ของครสิ ตศาสตร์ ทงั้ หมดน้ีไดร้ บั การมงุ่ เน้นเป็นพเิ ศษในการ
บรรยายเร่อื งของนักบุญมทั ธวิ พระครสิ ต์ผทู้ จ่ี ะต้องสรา้ งความยุตธิ รรมขน้ึ บนโลกน้ีและสถาปนาพระอาณาจกั ร
ของพระเป็นเจา้ ตามมุมมองเดิมนัน้ เป็นบุคคลท่ใี ชค้ วามรุนแรง พระองค์จะทรงโค่นลม้ อานาจของมารรา้ ยด้วย
ฤทธานุภาพแห่งความชอบธรรม โดยมกี ษตั ริยด์ าวดิ เป็นตวั อย่าง เม่อื บทบรรยายเร่อื งค่อยๆ เปิดเผยภาพของ
พระเยซูเจ้า ในฐานะของกษัตรยิ ์ท่แี ท้จรงิ และตวั แทนของพระเป็นเจ้า ตวั แทนท่จี ะมาทาหน้าท่สี ถาปนาพระ
อาณาจกั รของพระเป็นเจา้ แนวคดิ ซง่ึ สบื ทอดกนั มาไดถ้ ูกทาใหก้ ลบั ตาลปัตร และภาพนนั้ ไดถ้ ูกตคี วามใหม่โดย
สน้ิ เชงิ พระเยซูเจา้ คอื กษตั รยิ ผ์ อู้ ่อนโยนผทู้ รงไดร้ บั ชยั ชนะโดยการยอมทนทกุ ขท์ รมาน และไดแ้ สดงใหเ้ หน็ ผา่ น
ชวี ติ ของพระองคเ์ องเกย่ี วกบั การรกั ศตั รแู ละการหนั อกี แกม้ หน่งึ ใหผ้ อู้ น่ื ตบ

สาระสาคญั ในโครงเร่อื งของพระวรสารนักบุญมทั ธวิ คอื หน้าท่ขี องบทบรรยายเร่อื ง ไม่ใช่การอ้างยศ
ตาแหน่งหรอื การอภิปรายเชงิ ปรชั ญาเก่ยี วกบั ธรรมชาตหิ รอื ตวั ตนของพระเยซูเจ้า ประเด็นสาคญั ได้รบั การ
แสดงออกผ่านเรอ่ื งราวอยแู่ ลว้ มนั เป็นเรอ่ื งราวอนั น่าอดสู เรอ่ื งราวทท่ี าใหส้ ามญั สานึกปกตทิ วั่ ไปของคนเราตอ้ ง
สะดดุ (ดู การนาคาวา่ “skandalizo” และ “skandalon” ไปใชใ้ นทางครสิ ตศาสตรท์ ่ี 11:6; 13:21, 57; 15:12; 16:23; 26:31)

ดงั นนั้ ถงึ แมเ้ ราไม่อาจลดทอนครสิ ตศาสตรข์ องนกั บุญมทั ธวิ ใหก้ ลายเป็นการอภปิ รายเรอ่ื งชอ่ื เรยี กตา่ งๆ
แต่วธิ กี ารทน่ี กั บุญมทั ธวิ นาช่อื เรยี กเหล่านนั้ มาใชใ้ นบทบรรยายกถ็ อื วา่ มคี วามสาคญั และเราสามารถสรุปการใช้
ชอ่ื ยศตาแหน่งทเ่ี ฉพาะเจาะจงบางคาได้

ชื่อเรียกของพระเยซูเจา้ ในพระวรสารนักบญุ มทั ธิว

“พระคริสต”์ “พระเมสสิยาห”์ (17 ครงั้ )
แม้ในศาสนาครสิ ต์ของกลุ่มผู้ท่ีไม่ใช่ชาวยิว คาแปลกๆ ในภาษาของชาวยิวท่ีแปลว่า “พระครสิ ต์”

(Christos) ไดก้ ลายมาเป็นช่อื เรยี กอย่างเป็นทางการของพระเยซูเจา้ อย่างรวดเรว็ (แต่เดมิ คาว่า “พระองค”์ [Lord] จะเป็น
ยศตาแหน่งทถ่ี ูกนามาใชบ้ ่อยๆ) แต่นกั บุญมทั ธวิ คงรกั ษาความหมายดงั้ เดมิ ทเ่ี ป็นการกาหนดตาแหน่ง (เช่นใน 11:2) คาว่า
“พระครสิ ต์” เป็นช่อื แรกท่มี กี ารใชเ้ รยี กพระเยซูเจา้ โดยอยู่ในช่อื ของหนังสอื เล่มน้ี (1:1) และมกี ารปรากฏซ้าใน
ฉากหลกั ๆ (16:16; 26:63) สว่ นคาตอบของพระเยซูเจา้ ต่อการประกาศของนกั บญุ เปโตร ไดม้ คี าวา่ “บตุ รแหง่ มนุษย”์
อยใู่ นคาวา่ “พระครสิ ต”์ ทม่ี คี วามหมายครอบคลมุ ยงิ่ กวา่ (16:16, 20)

403

ความหมายในตวั มนั เองของคาน้ีหมายถงึ “การถกู เจิม” ซง่ึ สะทอ้ นถงึ ประเพณีโบราณของชาวอสิ ราเอล
ทน่ี าน้ามนั มาเทลงบนศรี ษะของผูท้ ไ่ี ดร้ บั การสถาปนาเป็นประกาศก (ดู 1พกษ 19:16; อสย 61:1) นักบวช (อพย 28:41;
สดด 133:2) หรอื กษตั รยิ ์ (1ซมอ 16:1-13; สดด 89:19-20) ดงั นนั้ ถงึ แมว้ ่าคาอธบิ ายแบบดงั้ เดมิ จะถูกตอ้ งในการสอ่ื ว่าคาน้ี
บ่งบอกถงึ สามตาแหน่งของพระเมสสยิ าห์ (ประกาศก นกั บวช กษตั รยิ )์ ในปาเลสไตน์สมยั ศตวรรษทห่ี น่ึง ความหมายท่ี
ส่อื ถึงกษัตรยิ ์มคี วามสาคญั โดดเด่นท่สี ุด พระเมสสยิ าห์หมายถึง “กษัตรยิ ์” ตวั แทนท่พี ระเป็นเจ้าส่งเลอื กให้
สถาปนาพระอาณาจกั รของพระองค์ คาวา่ “พระครสิ ต”์ “พระบตุ รของพระเป็นเจา้ ” และ “กษตั รยิ ”์ ลว้ นแตก่ ระตุน้
ถงึ ภาพในตานานของการฟ้ืนฟูสรรพสง่ิ ในวนั สน้ิ พภิ พขององคพ์ ระผสู้ รา้ งสงู สดุ

“กษตั ริย์ (แห่งชาวยิว/แห่งอิสราเอล)” (8 ครงั้ )
พระเยซูเจา้ ในฐานะกษตั รยิ ์ เป็นแนวคดิ ทางครสิ ตศาสตรท์ ส่ี าคญั สาหรบั นักบุญมทั ธวิ ผซู้ ่งึ นามุมมอง

เก่ยี วกบั พระเยซูเจา้ ไปเช่อื มโยงอย่างใกลช้ ดิ กบั ศาสนศาสตรเ์ กย่ี วกบั พระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ ของเขา (ดู

บทเสรมิ เรอ่ื ง “พระอาณาจกั รสวรรคใ์ นพระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ )

“ผทู้ ่ีกาลงั จะมา” [the Coming One] (7 ครงั้ )
แมว้ ่าคาน้ีจะดูไม่ใช่ยศตาแหน่งสาหรบั พระเมสสยิ าห์ในศาสนายูดาย แต่นักบุญมทั ธวิ พบการใชค้ าว่า

“ho erchomenos” ในเชงิ ครสิ ตศาสตรใ์ นเอกสารแหล่ง Q ทา่ นจงึ นามาใชแ้ ละนามาเป็นชอ่ื เรยี กเฉพาะสาหรบั พระ
เยซูเจา้ โดยมี 3 ครงั้ มกี ารใชอ้ ย่างเชอ่ื มโยงใกลช้ ดิ กบั คาวา่ บุตรแหง่ มนุษย์

“พระเจา้ ขา้ ” [Lord] (34 ครงั้ )
คาภาษากรกี ท่พี บได้ทวั่ ไปน้ี (kyrios) สามารถนามาใช้เป็นคาพูดสุภาพท่ใี ชเ้ รยี กบุคคลท่อี ยู่สูงกว่าตน

(27:63 ผนู้ าชาวยวิ ใชพ้ ดู กบั ปิลาต) หรอื ใชเ้ รยี กเจา้ นายทเ่ี ป็นมนุษยโ์ ดยไม่มคี วามหมายโดยออ้ มถงึ สถานะความเป็นพระ
เป็นเจา้ (6:24; 10:24; 18:25-34 ทงั้ หมดอย่ใู นพระวาจาของพระเยซูเจา้ ) แต่การใชใ้ นพระคมั ภรี ใ์ นบรบิ ทของชาวยวิ คาน้ีเป็นคา
ทแ่ี ปลมาจากนามพระผเู้ ป็นเจา้ คอื “พระยาเวห”์ ดงั นนั้ จงึ มคี วามหมายถงึ “พระองค”์ ทเ่ี ป็นองคพ์ ระผเู้ ป็นเจา้ ใน
เอกสารแหลง่ Q มกี ารใชค้ าวา่ “kyrios” กบั พระเยซูเจา้ อย่างจากดั มาก และในพระวรสารนกั บุญมาระโกกไ็ ม่มกี าร
ใชอ้ ย่างชดั เจนนกั แต่นกั บุญมทั ธวิ ไดน้ าคาน้ีมาใชก้ ล่าวถงึ พระเยซูเจา้ ถงึ 34 ครงั้ ทงั้ ในสว่ นท่ที ่านประพนั ธข์ น้ึ
และสว่ นทเ่ี ตมิ เขา้ ไปในบรบิ ทจากเอกสารแหล่ง Q และพระวรสารนกั บุญมาระโก บางคาจาเป็นตอ้ งอ่านตคี วาม
ในสองระดบั ตวั ละครในเร่อื งทเ่ี รยี กพระองคว์ ่า “kyrios” ต้องการสอ่ื สารเพยี งคาว่า “ท่าน” (Sir) แต่ผอู้ ่านจะรอู้ ยู่
แลว้ ผทู้ ท่ี า่ นพดู อยนู่ นั้ คอื พระองคผ์ ทู้ รงไดร้ บั การเชดิ ชสู งู สุดในความเชอ่ื ของครสิ ตจกั ร

“บตุ ร”
นกั บุญมทั ธวิ นากรณีหน่งึ ในเอกสารแหล่ง Q ทม่ี กี ารใชค้ าวา่ “บุตร” ในทางครสิ ตศาสตรอ์ ยา่ งสมบรู ณ์มา

ใชใ้ นพระวรสารของทา่ น (มธ 11:27/ลก 10:22) รวมถงึ ใชว้ ลี “พระบตุ รของพระเป็นเจา้ ” (9 ครงั้ ) “บุตรของเรา” (พระเป็น
เจา้ เป็นผูต้ รสั 3 ครงั้ ) และมกี ารนาเสนอพระเยซูเจา้ ในฐานะบุตรของพระเป็นเจา้ ในเชงิ อุปมา (21:37; 22:25-31 [เทยี บ ว.
34]) เพราะคาว่า “บุตร” ท่เี อามาใชร้ วมกบั คาอ่นื ๆ หลายรูปแบบถอื เป็นคาสาคญั ในครสิ ตศาสตรข์ องพระคมั ภรี ์

404

พนั ธสญั ญาใหม่ และเน่อื งจากการใชค้ าน้ีในพระคมั ภรี แ์ ตกต่างจากการใชใ้ นภาษาองั กฤษสมยั ใหม่อยา่ งมาก เรา
จงึ จาเป็นตอ้ งมกี ารอธบิ ายถงึ เรอ่ื งน้อี ยา่ งสนั้ ๆ

นักบุญมทั ธวิ ใชค้ าว่า “บุตร” (huios) 89 ครงั้ และบ่อยครงั้ ไม่สอดคลอ้ งกบั การใชใ้ นภาษาองั กฤษ (ดงั นัน้
บอ่ ยครงั้ ภาษาองั กฤษกไ็ มไ่ ดแ้ ปลคาน้วี า่ “Son”) ในพระคมั ภรี พ์ นั ธสญั ญาเกา่ คาวา่ “บุตร” มคี วามหมายดงั ต่อไปน้ี

(1) บุตรชายทางสายเลอื ดหรอื ลูกชาย (เช่นใน ปฐก 21:2 อสิ อคั เป็นบุตรของอบั ราฮมั และซาราห)์ การใชแ้ บบ “ปกต”ิ น้ี
พบในพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ (เช่น 1:21; 10:37; 13:55; 17:15) แต่ใชไ้ ม่บ่อยเท่ากบั การใชแ้ บบพเิ ศษในเชงิ
เทววทิ ยา ซง่ึ เป็นอทิ ธพิ ลมาจากภมู หิ ลงั ศาสนายดู ายของทา่ น

(2) ลูก หมายถงึ ชายหรอื หญิง (เช่น ปฐก 21:2 เจ้าจะต้องคลอดบุตรด้วยความเจบ็ ปวด [ถ้าแปลตามตวั อกั ษรหมายถงึ sons])
ดงั นนั้ ลกู ทเ่ี ป็นผชู้ ายจงึ อาจถูกเรยี กอย่างเจาะจงว่า “บุตรชาย” (Male Son) เชน่ ใน ยรม 20:15 พระ
คมั ภรี ์ฉบบั ท่ี 80 แปลคาว่า “บุตร” (Son) ว่า “ลูก” (Child / tekhon) 134 ครงั้ เม่อื แปลตามตวั อกั ษร
นักบุญมทั ธวิ ใชค้ าว่า “บุตรชายหรอื บุตรสาว” (Sons or Daughters) ในความหมายเช่นน้ีโดยเฉพาะ
(10:37; 7:9?) มากกว่าคาว่า “บุตร” (Son) เพียงอย่างเดียว แต่สามารถนาคาว่า “บุตร” ไปใช้
เฉพาะเจาะจงในความหมายเปรยี บเทยี บทส่ี ่อื ถงึ “ลูกๆ” (Children) ของพระเป็นเจา้ (เช่น 5:9, 45 เทยี บ

กับคาว่า “การรบั เป็นบุตร” (Adoption) หรือแปลตามตัวอักษรว่า “ความเป็นลูก” (Sonship) รม 8:15; กท. 4:5 ซ่ึงเห็นได้ชดั ว่ามี

ความหมายรวมทงั้ ชายและหญงิ ) เม่อื มกี ารใชเ้ ช่นนัน้ แมว้ ่าจะหมายรวมถงึ ลูกชายและลูกหญงิ คาว่า “บุตร”
ยงั คงมกี ลุ่มความหมายทางออ้ มอย่างอ่นื และไม่ไดเ้ ป็นแค่คาอกี คาหน่ึงทม่ี คี วามหมายเหมอื นกบั คา
วา่ “ลกู ”
(3) ผสู้ บื เชอ้ื สาย (เช่น ยชว 22:27 ลูกๆ [แปลตามตวั อกั ษรว่า “Son”] ทอ่ี ย่ใู นยุคสมยั หลงั จากเรา) ใน มธ 1:20 ยอแซฟเป็น
“บุตรของดาวดิ ” ในความหมายเชน่ น้ี ซง่ึ แตกตา่ งจากความหมายทใ่ี ชก้ บั พระเยซูเจา้
(4) “บุตร” อาจหมายถงึ ลกู ของสตั วก์ ไ็ ด้ (มธ 21:5 ใชก้ ลา่ วถงึ ลกู ของลา แตเ่ ป็นการยกขอ้ ความมาจาก ศคย 9:9) รวมถงึ ผล
ของพชื และลกู ของสงิ่ ทไ่ี ม่มชี วี ติ (เช่น โยบ 5:7 “บตุ รแหง่ ประกายเพลงิ ” [Sons of Fire / sparks])
(5) ผทู้ อ่ี าศยั อย่ใู นประเทศหน่ึง (เช่น ปฐก 23:3 “ชาวฮติ ไทต์” [แปลตามตวั อกั ษรวา่ “บุตรแห่งอาณาจกั รเฮธ”]) หรอื สมาชกิ
ของชาตหิ น่ึงหรอื ครอบครวั หน่ึง (เช่น อพย 1:7; 3:10 “ชาวอสิ ราเอล” [แปลตามตวั อกั ษรว่า “บุตรแห่งอสิ ราเอล” หรอื “ลูก
ทงั้ หลายของอสิ ราเอล”]) นกั บุญมทั ธวิ ใชค้ วามหมายน้ีใน 17:25; 27:9; 8:12 อาจเป็นความหมายในหมวดน้ี
เชน่ กนั
(6) การเป็นของหมวดใดหมวดหน่ึง (ปฐก 6:2; โยบ 1;6 ในฉบบั RSV คาวา่ “บุตรของพระเจา้ ” หมายถงึ “อย่ใู นหมวดของพระ
เป็นเจ้า” (Belonging to the Divine Category) ในฉบับ NRSV จึงใช้คาว่า “ชาวสวรรค์” (Heavenly Beings)
ส่วนสดุดี 8:4 ในฉบบั RSV “บุตรแห่งมนุษย”์ หมายถงึ “อย่ใู นหมวดของมนุษย”์ ดงั นนั้ ฉบบั NRSV
จึงใช้คาว่า “มนุษย์” (Human Being) 2พกษ 10:30 “บุตรทัง้ หลายของชนรุ่นท่ีส่ี” (Sons of the
Fourth Generation) หมายถึงเป็นของชนรุ่นท่ีส่ี ดงั นัน้ คาว่า “พระบุตรของพระเป็นเจ้า” ท่ีนักบุญ
มทั ธวิ ใชเ้ รยี กพระเยซูเจา้ อาจอย่ใู นความหมายหมวดน้ีและหมวดอ่นื ๆ ดว้ ย คาถามคอื 13:38 อย่ใู น
หมวดน้ดี ว้ ยหรอื ไม่
(7) สมาชกิ ของกลุ่มอาชพี คณะนักบวช หรอื ชนชนั้ (1พกษ 20:35 “บุตรทงั้ หลายแห่งประกาศก” [Sons of the Prophets]

ในฉบับ NRV มธ 9:15 แปลตามตัวอักษรได้ว่า “บุตรทัง้ หลายแห่งห้องโถงงานพิธีสมรส” [Sons of the Wedding Chamber] ซ่ึง
หมายถงึ สมาชกิ ผเู้ ขา้ รว่ มพธิ แี ตง่ งาน ส่วนใน มธ 12:27 มี “บุตรทงั้ หลาย” แหง่ ชาวฟารสิ ี [เชน่ เดยี วกบั ใน RSV])

405

(8) คาทใ่ี ชเ้ รยี กเพอ่ื แสดงความรกั ใคร่เอน็ ดู (เช่น 1ซมอ 3:6 เอลใี ชเ้ รยี กซามเู อล, อพย 4:22; ฮชย 11:1 ตอนทพ่ี ระเป็นเจา้

เรยี กอสิ ราเอลวา่ “บุตรหวั ปีของเรา” เทยี บไดก้ บั มธ 2:15)

(9) บง่ บอกบคุ ลกิ หรอื ลกั ษณะบางอย่าง (เชน่ 1ซมอ 14:52 “บุตรแหง่ ความกลา้ หาญ”; 2ซมอ 3:34 “บุตรทงั้ หลายแห่งความชวั่

รา้ ย” [คนชวั่ ] มธ 23:15 “บุตรแหง่ นรก” [“Child of Hell” แปลตามตวั อกั ษรว่า “Son of Gehenna”] ส่วน มธ 23:31 นามาใชใ้ นลกั ษณะ
ประชดประชันสองระดับคือ “บุตรทัง้ หลายแห่งผู้ท่ีสังหารบรรดาประกาศก” (Sons of Those Who Murdered the Prophets)
หมายความว่าพวกเขาเป็นลูกหลาน (ซ่ึงพวกเขารบั รู้อยู่แล้ว) และเป็นคนประเภทเดียวกัน (ในฉบับ NRSV ใช้คาว่าลูกหลาน
[Descendants] จงึ ไมเ่ หน็ น้าเสยี งประชดประชนั น้)ี

(10) ทายาททถ่ี ูกตอ้ งตามกฎหมาย (2พศด 13:9-10 “บุตรทงั้ หลายแห่งอาโรน” [หมายถงึ นักบวชทถ่ี ูกตอ้ งตามกฎหมายและสบื

ทอดจากสายของอาโรน ไม่ใช่ผู้สบื ทอดทางสายเลอื ดเท่านัน้ ] คาว่าบุตรแห่งดาวดิ และบุตรแห่งอบั ราฮมั ก็อาจสะท้อนความหมาย
ทางออ้ มน้ดี ว้ ย รว่ มกบั ความหมายอ่นื )

(11) กษัตรยิ ์แห่งอิสราเอล (2ซมอ 7:14; สดด 2:7; 89:26-27) แน่นอนว่าไม่มคี วามหมายในทางสายเลอื ดหรอื
อภปิ รชั ญาในการตคี วามคาว่า “บุตร” ในทน่ี ้ี เพราะมนั เป็นเรอ่ื งของเกยี รติ ยศตาแหน่ง และ “การรบั
เป็นของตนเอง” (Adoption) ในพระคมั ภีร์ภาษาฮบี รู การเปล่ยี นจาก “กษัตรยิ ์” (พระเมสสยิ าห์ ผู้
ไดร้ บั การเจมิ ) ไปเป็น “พระบุตรของพระเป็นเจา้ ” (Son of God) เป็นเพยี งเรอ่ื งเลก็ น้อย

ดงั นัน้ จงึ เหน็ ไดช้ ดั เจนว่าในบรบิ ทของภาษาฮบิ รูและศาสนายูดายซง่ึ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากในพระคมั ภรี ์ คาว่า
“บุตร” สามารถนามาใช้ได้หลากหลายแบบ นอกจากความหมายท่มี ุ่งเน้นความสมั พนั ธ์ทางสายเลอื ด แม้ว่า
โดยทวั่ ไปแล้วคาน้ีมีความหมายรวมถึงทงั้ หญิงและชาย แต่ก็ไม่เทียบเท่ากับคาว่า “ลูก/เด็ก” (Child) ซ่ึงมี
ความหมายแฝงในทางอ่นื

“บตุ รแห่งดาวิด” (10 ครงั้ )
คาน้ีพบเฉพาะพระวรสารท่อี ยู่ในสารบบ (แต่เทยี บได้กบั รม. 1:3; 2 ทธ. 2:8; วว 3:7; 5:5; 22:16) มนั ไม่ได้เป็นช่อื

เรยี กท่อี ยู่ในพระคมั ภีร์พนั ธสญั ญาเดมิ แต่มอี ยู่ในหนังสอื เพลงสดุดแี ละเพลงของซาโลมอน ใน 17:21 คาน้ีมี
ความหมายเดยี วกบั คาว่า “กษตั รยิ ์” ผพู้ ระเป็นเจา้ จะทรงเชดิ ชูขน้ึ ในยุคสมยั แห่งวนั พพิ ากษาโลก เป็นช่อื เรยี ก
พระเมสสยิ าหท์ พ่ี บบ่อยทส่ี ุดในคมั ภรี ท์ ลั หมุดและหนงั สอื มดิ ราช (Talmud and Midrash) กล่าวคอื เป็นความเชอ่ื
ของชาวฟารสิ ี (Pharisaic) ซง่ึ เป็นสายศาสนาดงั้ เดมิ ของนกั บุญมทั ธวิ และทา่ นสอ่ื สารอยา่ งเขม้ ขน้ ทส่ี ดุ

พระวรสารนักบุญมาระโกใช้คาน้ีเพียงสามครงั้ (12:47-48; 12:35) แต่ละครงั้ เป็นความเขา้ ใจผดิ เก่ียวกบั
ธรรมชาตคิ วามเป็นศษิ ยข์ องพระเยซูเจา้ นักบุญลูกาคงรกั ษาส่วนทอ่ี า้ งองิ จากนักบุญมาระโกและเพม่ิ เตมิ เพยี ง
ขอ้ อา้ งองิ เรอ่ื งสายตระกลู (ลก 3:31) คาน้ไี ม่มอี ยใู่ นพระวรสารของนกั บญุ ยอหน์ เลย

แต่สาหรบั นกั บุญมทั ธวิ คาวา่ “บุตรแห่งดาวดิ ” เป็นยศตาแหน่งสาคญั ทางครสิ ตศาสตร์ เพราะในศาสนา
ยูดาย มนั คอื คาท่ีมคี วามหมายเท่ากบั “พระเมสสยิ าห์” ท่านได้นามนั มารวมไว้ในช่อื ของพระวรสาร (1:1) และ
เรม่ิ ตน้ บทบรรยายเรอ่ื งของทา่ นดว้ ยการลาดบั วงศต์ ระกูลและ “เรอ่ื งราวการประสตู ”ิ ซง่ึ มไี วเ้ พอ่ื นาเสนอพระเยซู
เจา้ ในฐานะ “บุตรแห่งดาวดิ ” ทแ่ี ทจ้ รงิ (1:2-25) ท่านใชค้ าน้ีมากกวา่ ในสว่ นอ่นื ๆ ของพระคมั ภรี ภ์ าคพนั ธสญั ญา
ใหม่

406

“พระบตุ รของพระเป็นเจา้ ” (9 ครงั้ )
ในบรบิ ทของชนต่างศาสนา “พระบุตรของพระเป็นเจา้ ” ตามปกตแิ ลว้ ย่อมหมายถงึ ผูท้ ่เี ป็นเทพหรอื ก่งึ

เทพ มาจากพอ่ หรอื แม่ทเ่ี ป็นมนุษยเ์ พยี งคนเดยี ว หรอื ไม่มพี อ่ แม่เป็นมนุษยเ์ ลย เมอ่ื มกี ารใชค้ าน้ีนอกพระคมั ภรี ์
มนั ส่อื ถึงบุคคลท่มี คี วามโดดเด่น มสี ถานะหรอื บรรลุความสาเรจ็ ในระดบั ยอดมนุษย์ อย่างเช่นซีซาร์ ส่วนใน
บริบทของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมและศาสนายูดาย “พระบุตรของพระเป็ นเจ้า” มีความหมายท่ี
หลากหลาย โดยเป็นผลมาจากความหลากหลายของความหมายของคาภาษาฮบี รู @b ben ดงั นนั้ เมอ่ื อย่ใู นบรบิ ท
ของชาวยวิ “พระบุตรของพระเป็นเจา้ ” จงึ ไม่อาจมคี วามหมายตามตวั อกั ษรวา่ เป็นผู้รบั การสบื ทอดทางสายเลอื ด
มีพระเจ้าเป็นบิดา อย่างความเช่ือของชนต่างศาสนาท่ีบูชาพระเจ้าหลายองค์ (Paganism) คาน้ีครอบคลุม
ความหมายทก่ี วา้ งขวางและเคยมกี ารใชใ้ นรปู แบบตอ่ ไปน้ี

(1) แหง่ อสิ ราเอล (อพย 4:22; ฮชย 11:1)
(2) แหง่ ชาวชาวอสิ ราเอลทม่ี คี วามชอบธรรม (ปชญ 2:12-20)
(3) แหง่ ทตู สวรรคห์ รอื ชาวสวรรค์ (ปฐก 6:1-4, ฉธบ32:8; โยบ 1:6; 2:1; 38:7)
(4) แห่งกษตั รยิ อ์ สิ ราเอลหรอื กษตั รยิ ช์ าวยวิ (2ซมอ 7:14; สดด 2:7)
(5) แหง่ พระเมสสยิ าหผ์ กู้ าลงั จะมาถงึ (เทยี บ สดด 2:7 ในบทตคี วามของรบั บ;ี อสร 7:28-29)
แม้ว่านักบุญมทั ธวิ และผู้เขยี นพระคมั ภีร์ภาคพนั ธสญั ญาใหม่คนอ่ืนๆ เคยกล่าวถึงชาวครสิ ต์ว่าเป็น
“บุตรทงั้ หลายของพระเป็นเจา้ ” (Sons of God) (5:9, 45; เทยี บ ลก 20:36; โรม 8:14, 19; กท 4:6 ฮบ. 12:7; วว 12:7) แต่ท่านใช้
คาว่า “พระบุตรของพระเป็นเจา้ ” (Son of God) ส่อื ถงึ พระเยซูเจา้ โดยมคี วามหมายทเ่ี ป็นเอกลกั ษณ์ทางคริสต
ศาสตร์ ท่านยนื ยนั การประสูตแิ ละสถานะทเ่ี หนือธรรมชาตขิ องพระเยซูเจา้ แต่คาว่า “พระบุตรของพระเป็นเจา้ ”
ในท่นี ้ีโดยหลกั แล้วต้องการจะส่อื ถงึ ความเป็นกษัตรยิ ์ ไม่ใช่ความเป็นพระเป็นเจ้า กล่าวคอื พระเยซูเจ้า คอื
กษตั รยิ ท์ พ่ี ระเป็นเจา้ ทรงแต่งตงั้ ใหม้ าปกครองพระอาณาจักรของพระองค์ (ดคู วามหมายในขอ้ ท่ี 4 ดา้ นบนและบทเสรมิ เรอ่ื ง
“พระอาณาจกั รสวรรคใ์ นพระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ ”) ดงั นนั้ นกั บุญมทั ธวิ จงึ ใชช้ อ่ื เรยี กน้ีมาอธบิ ายความหมายของพระเมสสยิ าห์
หรอื พระครสิ ต์ (16:16 ตอนทว่ี ลี “พระบุตรของพระเจา้ ผทู้ รงชวี ติ ” ถูกนามาเตมิ ลงในคาว่า “พระครสิ ต์” ซ่งึ ยกมาจากพระวรสารนักบุญมาระโก)
ดงั นัน้ ถงึ แมค้ าว่า “พระบุตรของพระเป็นเจา้ ” จะเป็นช่อื เรยี กทม่ี คี วามสาคญั ต่อนักบุญมทั ธวิ อย่างไม่ต้องสงสยั
แต่มนั กไ็ ม่ใช่ช่อื เรยี กท่อี ย่เู หนือช่อื อ่นื ๆ เพราะนักบุญมทั ธวิ ไม่ได้จดั ลาดบั ฐานะหรอื ฐานันดรเร่อื งช่อื เรยี กหรอื
ตาแหน่งทางครสิ ตศาสตรใ์ นลกั ษณะของลาดบั สงู ต่า

407

“บตุ รแห่งมนุษย”์ (30 ครงั้ )
คาน้ีเป็นช่อื เรยี กทางครสิ ตศาสตรท์ ย่ี ากทส่ี ุดและมกี ารโตเ้ ถยี งกนั มากทส่ี ุด คาว่า “บุตรแห่งมนุษย”์ (ho

huios tou anthropou) เป็นคาท่ฟี ังดูประหลาดในภาษากรกี เช่นเดยี วกบั ในภาษาองั กฤษ เน่ืองจากว่าแต่เดมิ แล้ว
มนั ไม่ใช่คาภาษากรกี แต่เป็นการแปลแบบตามตวั อกั ษรมาจากภาษาฮบี รู “! Da @b 9ben ) (ben )AdAm)” หรอื
ภาษาอราเมอกิ “vna rb (bar enosh)” ทงั้ สองคามคี วามหมายง่ายๆ คอื แปลว่า “มนุษย์” เช่นเดยี วกบั ในหนังสอื
ประกาศกเอเสเคยี ล (93 ครงั้ ) ซ่งึ นามาใชเ้ ปรยี บเทยี บใหเ้ หน็ ว่าประกาศกเป็นเพยี งมนุษย์เม่อื เปรยี บเทยี บกบั
พระเจา้ (ดู ความหมายของคาวา่ “บุตร” ในขอ้ 6-7 ดา้ นบน)

พระคมั ภรี ภ์ าคพนั ธสญั ญาใหม่ใชว้ ลนี ้ีกาหนดใหพ้ ระเยซูเจา้ มตี าแหน่งทางครสิ ตศาสตรท์ เ่ี ฉพาะเจาะจง
ลกั ษณะของการใชค้ าน้ใี นพระคมั ภรี ภ์ าคพนั ธสญั ญาใหม่คอื

(1) ระบคุ วามเป็นเอกพจน์ทเ่ี จาะจง (Articular Singular) โดยใชก้ บั พระเยซูเจา้ เทา่ นนั้
(2) หากไม่นับ กจ. 7:56 วลนี ้ีพบไดเ้ ฉพาะในพระวรสารเท่านัน้ (ส่วนอา้ งองิ อ่นื ๆ ทอ่ี ย่ใู นภาคพนั ธสญั ญาใหม่มเี พยี ง

มก 3:28 และอฟ 3:5 ซ่ึงมกี ารใช้เป็นคาพหูพจน์ส่อื ถึงมนุษย์ทวั่ ไป ส่วน สดด 8:7 ท่ถี ูกยกมาอ้างองิ ใน ฮบ 2:6 และ วว 1:13 และ
14:14 ไมม่ คี านาหน้านามอยรู่ ว่ มกบั วลนี ้แี ละมคี วามหมายวา่ “เหมอื นรปู รา่ งของมนุษย”์ (Like a Human Figure))

(3) ในพระวรสารต่างๆ วลนี ้พี บอยา่ งเฉพาะเจาะจงในคาพดู ของพระเยซูเจา้ เป็นคาประกาศตาแหน่งของ
พระองคเ์ อง (ใน ยน. 12:34 ฝงู ชนนาการใชค้ าน้ีของพระเยซูเจา้ มาตงั้ คาถามดว้ ยความสงสยั ) ผบู้ รรยายไม่เคยเรยี กพระ
เยซูเจา้ วา่ “บุตรแหง่ มนุษย”์ ตวั ละครอ่นื ๆ ในบทบรรยายกไ็ ม่เคยเรยี กพระองคเ์ ช่นนนั้ แมจ้ ะมกี ารใช้
ชอ่ื เรยี กตาแหน่งทางครสิ ตศาสตรอ์ ่นื ๆ อกี หลายชอ่ื

(4) ตวั อย่างการใช้ 13 ครงั้ ในพระวรสารนักบุญยอหน์ ก่อใหเ้ กดิ หมวดพเิ ศษขน้ึ มา แต่การใช้ 69 ครงั้ ใน
พระวรสารสหทรรศน์ทงั้ หมดสามารถแบ่งอย่างละเอยี ดออกเป็นสามกลุ่ม คอื (1) การกล่าวถงึ การ
ปรากฏของบุตรแห่งมนุษย์ (2) การกล่าวถงึ ความทุกขท์ รมาน ความตาย และการกลบั คนื พระชนม์
ชพี ของพระองค์ (3) การกล่าวถึงการเสด็จกลบั มาของพระองค์ในวนั พพิ ากษาโลก ทงั้ สามกลุ่มน้ี
แยกกนั อย่างชดั เจน ไม่มคี าพดู ใดกล่าวถงึ บุตรแห่งมนุษยท์ ก่ี าลงั ปรากฏอย่ใู นขณะนัน้ ว่าจะต้องทน
ทุกขท์ รมานและตาย ไม่มคี าพูดใดกล่าวถงึ บุตรแห่งมนุษย์ผูส้ น้ิ พระชนมแ์ ละกลบั คนื ชพี ว่าจะเสดจ็
กลบั มาอกี ครงั้

(5) คาพดู ถงึ บตุ รแห่งมนุษยพ์ บไดใ้ นทุกระดบั ชนั้ (Strata) ของธรรมประเพณีพระวรสารสหทรรศน์ (มก.,
Q, M, L) คาพูดท่ีกล่าวถึงพระองค์ “ท่ีปรากฏในปัจจุบัน” และ “กาลังจะเสด็จมา” พบได้ในทุก
ระดบั ชนั้ แต่ “การทุกขท์ รมาน สน้ิ พระชนม์ และกลบั คนื พระชนมช์ พี ” พบเฉพาะในพระวรสารนกั บุญ
มาระโกและในงานเขยี นอน่ื ทพ่ี ง่ึ พาพระวรสารน้ี

ดว้ ยอทิ ธพิ ลของหนงั สอื ประกาศกดาเนียล บทท่ี 7 คนบางกลุ่มในศาสนายดู ายยุคเรมิ่ แรกเขา้ ใจว่าบุตร
แห่งมนุษยค์ อื ผูป้ ลดปล่อยท่อี ยู่ในคาพยากรณ์และจะมาเป็นผูพ้ พิ ากษาในวนั สน้ิ พภิ พ นักบุญมทั ธวิ และชุมชน
ของทา่ นรบั ความเป็นแกน่ กลางของคาวา่ “บตุ รแหง่ มนุษย”์ ใหม้ าเป็นชอ่ื เรยี กทางครสิ ตศาสตรจ์ ากเอกสารแหล่ง
Q (ดดู า้ นบน)

408

“อาจารย”์ / “รบั บี” (14 ครงั้ )
นักบุญมทั ธวิ ดูจะมคี วามก้ากง่ึ ไม่แน่ใจเกย่ี วกบั การนาช่อื ตาแหน่ง “อาจารย”์ (Teacher) “พระอาจารย”์

(Master) หรอื “รบั บี” มาใช้เรยี กพระเยซูเจ้า ในทางหน่ึงท่านไม่ยอมให้บรรดาศิษย์นาตาแหน่งน้ีมาใช้เรยี ก
ตนเอง ทา่ นเกบ็ เอาไวใ้ ชก้ บั พระเยซูเจา้ โดยเฉพาะ และนาเสนอพระองคใ์ นฐานะพระอาจารยผ์ ไู้ ดร้ บั มอบอานาจ
จากพระเจา้ ตลอดทงั้ เร่อื ง (5:2-7:29; 28:16-20) แต่ในอกี ทางหน่งึ มแี ต่คนนอกหรอื ผทู้ เ่ี ขา้ ใจผดิ เทา่ นนั้ ท่เี รยี กพระเยซู
เจา้ วา่ “พระอาจารย”์ หรอื “อาจารย”์ (รวมถงึ ยดู าส ใน 26:25, 49)
“ประกาศก”

สาหรบั นักบุญมทั ธวิ การเรยี กพระเยซูเจา้ ดว้ ยช่อื ตาแหน่งท่บี ่งบอกความเป็นพระเมสสยิ าหต์ ามธรรม
เนียมสบื ทอดกนั มาน้ีเป็นสง่ิ ทถ่ี ูกตอ้ ง แต่ไม่เพยี งพอ (ดู 21:11, 46) แมแ้ ต่นักบุญยอหน์ กย็ งั เป็นมากกวา่ ประกาศก
(11:9) นักบุญมทั ธวิ ไม่มกี ารใช้คาท่ีแสดงความคาดหวงั อย่างชดั เจนถึง “ประกาศกอย่างโมเสส” ท่จี ะมาในวนั
พพิ ากษาโลก (ฉธบ 18:15-18; เทยี บ ลก 24:19; กจ. 3:22; 7:37)
“ข้ารบั ใช้”

นักบุญมทั ธวิ ไม่มคี รสิ ตศาสตร์เก่ียวกบั ผู้รบั ใช้ (Servant Christology) ท่เี ฉพาะเจาะจง แต่ท่านได้รบั
อทิ ธพิ ลจากภาพผรู้ บั ใชข้ องพระเป็นเจา้ (Servant of the Lord) ผถู้ ่อมตนและกระทาตามน้าพระทยั ของพระเจา้
ใหส้ าเรจ็ ไปดว้ ยการยอมทนทุกขท์ รมาน การยกขอ้ ความทย่ี าวท่สี ุดในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ มาจากบทเพลง
ของผรู้ บั ใช้ (Servant Song) เพลงทห่ี น่งึ ซง่ึ กลายมาเป็นจุดเชอ่ื มต่อทส่ี าคญั มากในบทบรรยายของนกั บุญมทั ธวิ

(12:18-20 อสย 42:1-4)

409

410


Click to View FlipBook Version