The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตรวจงานแปลมัทธิว 25

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by P. Tads, 2021-06-08 08:55:09

24. มัทธิว 25:1-13

ตรวจงานแปลมัทธิว 25

มทั ธวิ 25:1-13 เพอ่ื นเจา้ สาว

อปุ มาเรือ่ งหญิงสาวสิบคน
1 “อาณาจกั รสวรรค์เปรยี บได้กบั หญิงสาวสบิ คนถือตะเกียงออกไปรอรบั เจ้าบ่าว 2 ห้าคนเป็นคนโง่ อกี ห้าคนเป็นคนฉลาด 3
“หญงิ โง่นาตะเกยี งไป แต่มไิ ดน้ าน้ามนั ไปดว้ ย 4 ส่วนหญงิ ฉลาด นาน้ามนั ใส่ขวดไปพรอ้ มกบั ตะเกยี ง 5 ทุกคนต่างงว่ งและหลบั
ไปเพราะเจา้ บ่าวมาชา้ 6 ครนั้ เวลาเทย่ี งคนื มเี สยี งตะโกนบอกวา่ ‘เจา้ บา่ วมาแลว้ จงออกไปรบั กนั เถดิ ’
7 “หญงิ สาวทุกคนจงึ ต่นื ขน้ึ แต่งตะเกยี ง 8 หญงิ โง่พดู กบั หญงิ ฉลาดว่า ‘ขอน้ามนั ใหเ้ ราบา้ ง เพราะตะเกยี งของเราจวนจะดบั แลว้ ’
9 “หญงิ ฉลาดจงึ ตอบวา่ ‘ไมไ่ ด้ เพราะน้ามนั อาจไมพ่ อสาหรบั เราและสาหรบั พวกเธอดว้ ย จงไปหาคนขายแลว้ ซอ้ื เอาเองดกี วา่ ’ 10
ขณะทห่ี ญงิ เหลา่ นนั้ กาลงั ไปซอ้ื น้ามนั เจา้ บา่ วกม็ าถงึ หญงิ สาวทเ่ี ตรยี มพรอ้ มจงึ เขา้ ไปในหอ้ งงานแต่งงานพรอ้ มกบั เจา้ บ่าว แลว้
ประตูกป็ ิด 11 ในทส่ี ุด พวกหญิงโง่กม็ าถงึ พูดว่า ‘นายเจา้ ขา นายเจา้ ขา เปิดรบั พวกเราดว้ ย’ 12 แต่เขาตอบว่า ‘เราบอกความ
จรงิ แก่ท่านทงั้ หลายวา่ เราไมร่ จู้ กั ทา่ น’ 13 เพราะฉะนนั้ จงตน่ื เฝ้าระวงั ไวเ้ ถดิ เพราะท่านไมร่ วู้ นั และเวลา

ข้อศึกษาวิพากษ์
ส่วนน้ีของบทมลี กั ษณะทร่ี บกวนจติ ใจมากเป็นพเิ ศษ เพราะเร่อื งราวน้ีเป็นความต่อเน่ืองของแนวคดิ ท่ี

เรม่ิ ตน้ ขน้ึ จากตอนทก่ี ล่าวมาดา้ นบน เช่นเดยี วกบั สว่ นอ่นื ๆ ทเ่ี หลอื ใน 23:1-25:46 และเป็นสว่ นสาคญั สว่ นหน่ึง
ของวาทกรรมเร่อื งการตดั สนิ พพิ ากษา (ดู ภาพรวมของ 23:1) ซ่ึงมปี ระเดน็ ท่เี ช่อื มโยงกบั มก. 13:35 และเอกสาร
แหล่ง Q (ลก. 13:25-28) แต่เรอ่ื งราวน้ีมเี ฉพาะในพระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ เทา่ นนั้

บางคนอาจโตแ้ ยง้ ว่าเร่อื งอุปมาดงั้ เดมิ ของพระเยซูเจา้ นัน้ คอื แก่นสาคญั (Julicher, Dodd, Jeremias) แต่
บางคนเหน็ ว่ามนั เป็นงานทป่ี ระพนั ธข์ น้ึ ในแบบของนิทานเปรยี บเทยี บโดยพระศาสนจกั รยุคแรกเรมิ่ ในสมยั ของ
นักบุญมัทธิว (Linnemann; Perkins) หรือเป็ นงานท่ีนักบุญมัทธิวประพันธ์ข้ึนเอง (Bultmann, Bornkamm,
Scott) ประเดน็ ปัญหาสาคญั คอื รายละเอยี ดนัน้ อยู่บนพ้นื ฐานของความเป็นจรงิ หรอื ไม่ (อุปมา) หรอื ถูกสรา้ งขน้ึ
เพ่อื ให้สอดคล้องกบั ความหมายทางเทวศาสตร์ (นิทานเปรยี บเทยี บ) น่าเสยี ดายท่ีไม่มหี ลกั ฐานร่องรอยทาให้รูจ้ กั
ธรรมเนียมการแต่งงานของชาวปาเลสไตน์ในสมยั ศตวรรษทห่ี น่ึงดพี อทจ่ี ะตดั สนิ ไดอ้ ย่างเดด็ ขาดจากฐานเหตุผล
น้ี และเร่อื งราวน้ีไม่ชดั เจนเก่ยี วกบั ขนั้ ตอนพธิ ฉี ลองแต่งงาน ใครคอื เจา้ สาวผไู้ ม่ได้รบั การเอ่ยถงึ ดูเหมอื นจะมี
ความขดั แยง้ เลก็ น้อยกบั ธรรมเนยี มทน่ี กั บญุ มทั ธวิ ไดบ้ รรยายไวใ้ นขอ้ ความอา้ งถงึ (Allusion) อ่นื ๆ ทเ่ี กย่ี วกบั พธิ ี
แต่งงาน ใน 22:1-2 ไม่มเี พ่อื นเจา้ สาวท่กี าลงั รอคอยการมาถงึ ของเจ้าบ่าว แต่ทุกคนไปท่บี ้านของเจ้าบ่าว ใน
9:15 มกี ารกล่าวถงึ สมาชกิ ทม่ี าร่วมงานแต่งงาน แต่ไม่ใช่ “หญงิ พรหมจาร”ี (Virgins) (ซง่ึ เป็นคาแปลตามตวั อกั ษรของคา
ทใ่ี นพระคมั ภรี ์ NRSV แปลวา่ “เพ่อื นเจา้ สาว”) นอกจากน้ี รายละเอยี ดทอ่ี ย่ใู นเร่อื งราวดูจะไม่เป็นความจรงิ ในตวั มนั เองอยู่
แล้ว ไม่ว่าธรรมเนียมของพิธีแต่งงานจะเป็ นอย่างไรก็ตาม (1) การท่ีเจ้าบ่าวมาถึงตอนเท่ียงคืนก็ดูแปลก
ประหลาด แต่สอดคล้องกบั ภาพของขโมยใน 24:43 (2) ความคดิ ท่ีว่าจะมีร้านค้าเปิดตอนเท่ียงคืนให้เพ่ือน
เจ้าสาวท่เี ป็นคนโง่ไปซ้ือน้ามนั ก็ดูไม่เป็นความจรงิ และเป็นการคดิ ข้นึ มาเอง แต่เม่อื เราพจิ ารณาว่ามีแนวคดิ
มากมายท่เี ป็นแบบของนักบุญมทั ธวิ (ดู ด้านล่าง) และมรี ายละเอยี ดหลายอย่างท่เี หน็ ไดช้ ดั ว่ามปี ระเดน็ ทางเทว-
ศาสตรท์ น่ี ักบุญมทั ธวิ ตอ้ งการจะแสดงออกมา ดงั นนั้ จงึ เป็นไปไดว้ ่าเร่อื งน้ีน่าจะเป็นนิทานเปรยี บเทยี บท่ีนักบุญ

523

มทั ธวิ ประพนั ธ์ขน้ึ เพ่อื อธบิ ายและเน้นความสาคญั ของแนวคดิ เร่อื งการเตรยี มพรอ้ มสาหรบั การเสดจ็ มาถงึ ของ
พระเป็นเจา้ (แมว้ า่ จะเหน็ ไดม้ คี วามลา่ ชา้ )

เจา้ บ่าว คอื พระเยซูเจา้ ทจ่ี ะเสดจ็ มาเพ่อื พพิ ากษาโลก เหน็ ไดช้ ดั เจนจากการท่ีนักบุญมทั ธวิ ใชจ้ นิ ตภาพ
ดงั กล่าวก่อนหน้าน้ี (9:15; 22:1-3) จากการทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงถูกเรยี กว่า “องคพ์ ระผเู้ ป็นเจา้ ” และการกล่าวดว้ ยคา
ประกาศทจ่ี รงิ จงั หนกั แน่น (amen)

เพอ่ื นเจา้ สาวเป็นตวั แทนของพระศาสนจกั ร หรอื “corpus mixtum” การทม่ี สี มาชกิ ทม่ี ที งั้ ดแี ละไม่ดซี ง่ึ จะถูก
คดั แยกในการเสดจ็ กลบั มาของพระครสิ ต์ พวกเขามตี ะเกยี งและมนี ้ามนั และทุกคนกห็ ลบั อยู่ แต่มเี พยี งบางคน
เท่านัน้ ท่ีเตรยี มพร้อมสาหรบั เวลาท่ีการพิพากษาครงั้ สุดท้ายมาถึง แม้ว่าภาพของพระยาเวห์ ในฐานะของ
เจ้าบ่าวและชาวอสิ ราเอลในฐานะของเจ้าสาวจะเหน็ ได้อย่างโดดเด่นในพระคมั ภีรภ์ าคพนั ธสญั ญาเดมิ และใน
ธรรมเนียมของชาวยวิ ส่วนการทช่ี ุมชนชาวครสิ ต์ยงั คงอยู่กบั เจา้ บ่าวต่อไป กห็ มายถงึ พระครสิ ต์และพระศาสน
จกั รซ่งึ เป็นเจา้ สาวของพระองค์ (ยน. 3:29; 2คร. 11:2; อฟ. 5:25-32; วว. 19:7; 21:2, 9, 17) แต่จนิ ตภาพนัน้ ไม่สอดคลอ้ งกบั
วตั ถุประสงคข์ องนักบุญมทั ธวิ และเจ้าสาวกไ็ ม่ไดป้ รากฏอย่ใู นท่นี ้ีเลย เพ่อื เป็นการแสดงถงึ พระศาสนจักร นัก
บุญมทั ธวิ ตอ้ งการกลุ่มคนทเ่ี ม่อื มองภายนอกแลว้ ดูเหมอื นๆ กนั แต่ต่อมาจะต้องถูกคดั แยกเม่อื พระครสิ ต์เสดจ็
กลบั มา ฉากน้ีมคี วามคลา้ ยคลงึ กบั 13:36-43 ซง่ึ เป็นนิทานเปรยี บเทยี บของนกั บุญมทั ธวิ อกี เร่อื งหน่ึงทน่ี าเสนอ
ความปะปนกนั ของศษิ ยแ์ ทก้ บั ศษิ ยเ์ ทยี ม ซง่ึ จะแยกไดเ้ ม่อื ถงึ การพพิ ากษาครงั้ สดุ ทา้ ยเทา่ นนั้ คาว่า “ฉลาด” และ
“โง่” สอดคลอ้ งกบั 7:24-27 ทช่ี ายสองคนสรา้ งบ้านทด่ี ูผวิ เผนิ แลว้ เหมอื นกนั แต่จะมเี พยี งหลงั เดยี วเท่านัน้ ทจ่ี ะ
ผา่ นการทดสอบในวนั พพิ ากษาโลก

การทเ่ี จ้าบ่าวมาถงึ ชา้ ไม่ได้บ่งช้วี ่านักบุญมทั ธวิ คาดหวงั ถงึ ความล่าชา้ ต่อไปอกี ในระยะยาว (ดู 24-48 และ
ขอ้ คดิ ไตร่ตรอง ดา้ นล่าง) ในสถานการณ์ของท่านกม็ คี วามล่าชา้ เกดิ ขน้ึ อย่แู ลว้ เร่อื งราวของท่านชใ้ี หเ้ หน็ ว่าผทู้ ค่ี ดิ ว่า
การเสดจ็ กลบั มาของพระครสิ ต์จะไม่มวี นั เกดิ ขน้ึ และผทู้ ช่ี ะล่าใจว่าจะมคี วามล่าชา้ ในระยาวดงั นัน้ พวกเขาจงึ คดิ
วา่ “ยงั มเี วลา” ลว้ นแต่เขา้ ใจผดิ อยา่ งน่าเศรา้

การมาถึงของเจ้าบ่าวคือการเสด็จกลบั มาของพระคริสต์ ด้วยวลีเดียวกันคือ “มาพบ” (to Meet / eis
apantesin) ซง่ึ ใชใ้ นทน่ี ้ีและใน 1ทธ. 4:17 ดงั นัน้ นกั บุญมทั ธวิ จงึ กาหนดเร่อื งราวน้ีว่า “เหมอื นกบั พระอาณาจกั ร
สวรรค์” ซ่งึ แสดงให้เหน็ ถงึ ว่าพระอาณาจกั รสวรรค์มแี ง่มุมท่เี ป็นอนาคต และการมาถงึ ของพระอาณาจกั ร ซ่ึง
พระศาสนจกั รเฝ้าภาวนานัน้ (6:10) คือ สิ่งเดียวกันกับการเสด็จมาครงั้ ท่ีสองของบุตรแห่งมนุษย์ และพระ
อาณาจกั รของพระเป็นเจา้ ซง่ึ มที งั้ ดา้ นทเ่ี ป็นปัจจุบนั และดา้ นทเ่ี ป็นอนาคต

น้ามนั หรอื การมนี ้ามนั เป็นตวั แทนของสง่ิ ท่ีจะนาไปพิจารณาตดั สนิ เม่อื พระครสิ ต์เสด็จกลบั มา ซ่ึงคือ
กจิ การแห่งความรกั และความเมตตาในการปฏบิ ตั ติ ามพระมหาบญั ญตั นิ ัน่ เอง (25:31-46) สงิ่ น้ีเช่อื มโยงกบั ธรรม
เนียมของชาวยวิ ท่ใี ชน้ ้ามนั เป็นสญั ลกั ษณ์ของกิจการดตี ่างๆ (กดว. Rab*. 13:15-16) ส่วนในระบบสญั ลกั ษณ์อ่นื ๆ
น้ามนั เป็นตวั แทนของหนังสอื ปัญจบรรพ (กดว. Rab. 7) ปัญหาไม่ใช่การไม่มี “น้ามนั ” หรอื การหลบั ไป เพราะทงั้
เพ่อื นเจ้าสาวผูท้ ่ี “ฉลาด” และผูท้ ่ี “โง่” ต่างก็หลบั ไป ในท่นี ้ี นักบุญมทั ธวิ ต้องการแสดงภาพการเตรยี มพรอ้ ม

* Rabbah (following abbreviation for biblical book; other rabbinic works)

524

สาหรบั การเสดจ็ กลบั มาของพระครสิ ต์วา่ เป็นสง่ิ ทเ่ี ป็นความรบั ผดิ ชอบของการเป็นศษิ ย์ ไม่ใชก่ าร “ตงั้ ตารอ” จุด
จบของโลกอยตู่ ลอดเวลา

ความพยายามทจ่ี ะหาซอ้ื น้ามนั หลงั จากทเ่ี จา้ บ่าวมาถงึ แลว้ แมว้ า่ จะไม่เป็นความจรงิ ทางประวตั ศิ าสตร์
แต่กเ็ ป็นการแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความเปล่าประโยชน์ทจ่ี ะเตรยี มพรอ้ มในเวลาทส่ี ายเกนิ ไป เช่นเดยี วกบั ในฉากอ่นื ๆ
ของพระวรสารนักบุญมทั ธวิ สุดท้ายแลว้ กจ็ ะเหลอื แค่ 2 กลุ่ม คอื ผูท้ ่พี รอ้ มกบั ผูท้ ่ไี ม่พรอ้ ม เช่นเดยี วกบั ในบท
เทศน์สอนบนภูเขา นักบุญมทั ธวิ ไม่กลวั ทจ่ี ะสรุปจบดว้ ยขอ้ ความทเ่ี ป็นไปในทางลบ โดยกล่าวว่าคนทร่ี อ้ งเรยี ก
“พระเจา้ ขา้ พระเจา้ ขา้ ” อาจจะไม่ถูกรวมอย่ใู นกลุ่ม หากพวกเขาไม่มกี จิ การแห่งความเป็นศษิ ยท์ ่สี อดคลอ้ งกบั
คาพูดนัน้ (เทียบ 7:21-27) บทเทศน์สอนบนภูเขามีส่วนท่ีคล้ายกับ “วาทกรรมเร่อื งการพิพากษาครงั้ สุดท้าย”
มากกว่าท่ผี ชู้ ่นื ชอบอนั ใดอนั หน่ึงเป็นพเิ ศษจะสงั เกตเหน็ ทัง้ สองมเี น้ือหาทเ่ี ป็นครสิ ตศาสตร์ เก่ยี วขอ้ งกบั กาล
อวสานโลก และยนื ยนั อย่างชดั เจนในความเช่ือท่ีว่าการประกาศความเช่ืออย่างถูกต้องแต่ไม่ยอมใช้ชีวติ ท่ี
สอดคลอ้ งกบั ความเชอ่ื นนั้ จะนามาซง่ึ หายนะในทา้ ยทส่ี ดุ

บทสรุปใน 25:13 นามาจาก มก. 13:35 แต่มเี น้ือหาใหม่และความหมายใหม่ ในพระวรสารนกั บุญมาระโก
ส่วนท่ีเป็นการสรุปจบของอีกอุปมาหน่ึง ถ้อยคาเดียวกันน้ีได้รบั การแปลว่า “ต่ืนอยู่เสมอ” (keep awake /
gregoreo) แต่ในเรอ่ื งราวของนกั บญุ มทั ธวิ ปัญหาของหญงิ สาวเหลา่ น้ีไมใ่ ชก่ ารนอนหลบั เพราะทงั้ คนดแี ละคนไม่
ดตี ่างกเ็ ป็นเช่นนนั้ เหมอื นกนั คาว่า “ต่นื อย่เู สมอ” (หรอื ทฉ่ี บบั NIV แปลว่า “เฝ้าระวงั ” [keep watch]) ในแง่ทห่ี มายถงึ การมี
สตคิ อยเฝ้าระวงั สญั ญาณของการกลบั มาของบุตรแห่งมนุษยอ์ ยเู่ สมอ ไมใ่ ชค่ วามเขา้ ใจของนกั บุญมทั ธวิ เกย่ี วกบั
ความเป็นศษิ ยอ์ ย่างมคี วามรบั ผดิ ชอบ นักบุญมทั ธวิ ต่อต้านการเสาะหาขอ้ มูลเกย่ี วกบั กาลอวสานโลก และมอง
ว่าศิษย์ผู้ท่ีซ่ือสตั ย์จงรกั ภักดี คอื คนท่ีทาหน้าท่ีของตนในเวลาท่ีเหมาะสม ดงั นัน้ จงึ พร้อมสาหรบั การเสด็จ
กลบั มาของพระครสิ ตไ์ ม่ว่าจะเกดิ ขน้ึ เมอ่ื ใด ศษิ ยเ์ ชน่ นนั้ สามารถลม้ ตวั ลงนอนหลบั ไดอ้ ยา่ งมนั่ ใจ ไม่ตอ้ งคอยเฝ้า
ระวงั ดว้ ยความกระวนกระวายในเวลานาทสี ุดท้าย ดงั นัน้ นความหมายของคาว่า gregoreo สาหรบั นักบุญมทั ธวิ
คอื “จงเตรยี มพรอ้ มอยเู่ สมอ” ไม่ใช่ “ตน่ื อยเู่ สมอ” หรอื “เฝ้าระวงั ” ความจรงิ ในบรบิ ทน้ีควรแปลเชน่ น้นี ่าจะดกี วา่

ข้อคิดไตร่ตรอง

ตงั้ แต่ตอนตน้ ของอุปมาเร่อื ง “เพ่อื นเจา้ สาวสบิ คน” พระเยซูเจา้ ตรสั บอกกบั เราว่าหา้ คนเป็นคนโง่ ส่วน
อกี หา้ คนเป็นคนฉลาด เหตุผลท่พี ระองค์บอกเราเช่นน้ีตงั้ แต่เรม่ิ แรกกเ็ พราะว่าเราไม่อาจรไู้ ดจ้ ากการมองพวก
เธอดว้ ยสายตาจากภายนอก ทงั้ สบิ คนมารว่ มงานแต่งงาน ทงั้ สบิ คนมตี ะเกยี งทส่ี อ่ งสวา่ งดว้ ยความคาดหวงั และ
สนั นษิ ฐานวา่ ทงั้ สบิ คนกส็ วมชุดเพอ่ื นเจา้ สาวดว้ ย เราไม่อาจคาดเดาไดจ้ ากลกั ษณะภายนอกวา่ ครง่ึ หน่งึ ของพวก
เธอเป็นคนฉลาด สว่ นอกี ครง่ึ หน่งึ เป็นคนโง่

ลกั ษณะภายนอก หรอื ตะเกยี ง หรอื ชุดกระโปรงยาวกไ็ ม่สามารถแยกคนฉลาดออกจากคนเขลา แต่สง่ิ ท่ี
แยกได้ คอื ความพรอ้ ม เพ่อื นเจ้าสาวห้าคนพรอ้ มอยู่แล้วว่าเจ้าบ่าวอาจจะมาสาย แต่อกี ห้าคนไม่พรอ้ ม คน
ฉลาดจะมนี ้ามนั เพยี งพอ เม่อื ใดกต็ ามทเ่ี จา้ บ่าวมาถงึ สว่ นคนโงน่ นั้ มเี พยี งพอตามตารางเวลาทต่ี นเองกาหนดไว้
เทา่ นนั้ หา้ คนมกี ารเตรยี มตวั และมคี วามพรอ้ ม แต่อกี หา้ คนไมเ่ ป็นเชน่ นนั้ แมว้ า่ เจา้ บ่าวจะมาถงึ ล่าชา้

แน่นอนว่าความพรอ้ มในพระวรสารของนักบุญมทั ธวิ คอื การใชช้ วี ติ แบบพระอาณาจกั ร ใชช้ วี ติ อย่างมี
คณุ ภาพแบบทบ่ี ทเทศน์สอนบนภเู ขาไดอ้ ธบิ ายไว้ หลายคนทาเชน่ นนั้ เพยี งระยะเวลาสนั้ ๆ แต่พอพระอาณาจกั ร

525

มาถงึ ล่าชา้ ปัญหากเ็ กดิ ขน้ึ การเป็นผสู้ รา้ งสนั ตเิ พยี งวนั เดยี วไม่เหมอื นกบั การเป็นผสู้ รา้ งสนั ตปิ ีแลว้ ปีเล่า แมว้ ่า
ความโหดรา้ ยจะเกดิ ขน้ึ ซ้าแลว้ ซ้าอกี และเจา้ บ่าวกม็ าถงึ ชา้ การเป็นคนมเี มตตาเพยี งวนั เดยี วทาไดส้ บายๆ แต่
ความมเี มตตาทต่ี อ้ งทาตลอดชวี ติ แมแ้ ต่ในเวลาทเ่ี จา้ บา่ วมาถงึ ล่าชา้ จาเป็นตอ้ งมกี ารเตรยี มพรอ้ ม

ณ จุดเรมิ่ ตน้ ของชวี ติ แห่งความเชอ่ื เราไม่อาจแยกแยะผตู้ ดิ ตามพระครสิ ตไ์ ดโ้ ดยแทจ้ รงิ พวกเขาต่างกม็ ี
ตะเกยี งเหมอื นกนั พวกเขาต่างกต็ ่นื เตน้ กบั งานสมรสเหมอื นกนั พวกเขาต่างกร็ อ้ งเพลงวา่ “พระเจา้ ขา้ พระเจา้
ขา้ ” ไดเ้ หมอื นกนั พอตกดกึ แลว้ เราสงั เกตเหน็ บางคนพยายามพดั ไฟทก่ี าลงั มอดดบั ใหก้ ลบั ลุกขน้ึ มา แต่เปล่า
ประโยชน์ ทาใหเ้ ราสามารถแยกแยะความมปี ัญญากบั ความเขลาออกจากกนั ได้

มทั ธิว 25:14-30, ตะลนั ต์

อปุ มาเร่ืองเงินตะลนั ต์
14 “อาณาจกั รสวรรค์ยงั จะเปรยี บได้กบั บุรุษผูห้ น่ึงกาลงั จะเดนิ ทางไกล เรยี กผูร้ บั ใช้มามอบทรพั ย์สนิ ให้ 15 ให้คนท่หี น่ึงห้าตะ
ลนั ต์ ใหค้ นทส่ี องสองตะลนั ต์ ใหค้ นทส่ี ามหน่ึงตะลนั ต์ ตามความสามารถของแต่ละคน แลว้ จงึ ออกเดนิ ทางไป
16 “คนทร่ี บั หา้ ตะลนั ตร์ บี นาเงนิ นนั้ ไปลงทุน ไดก้ าไรมาอกี หา้ ตะลนั ต์ 17 คนทร่ี บั สองตะลนั ตก์ ไ็ ดก้ าไรมาอกี สองตะลนั ต์
เชน่ เดยี วกนั 18 แตค่ นทร่ี บั หน่ึงตะลนั ตไ์ ปขดุ หลุมซ่อนเงนิ ของนายไว้
19 “หลงั จากนนั้ อกี นาน นายของผรู้ บั ใชพ้ วกน้ีกก็ ลบั มาและตรวจบญั ชขี องพวกเขา 20 คนทร่ี บั หา้ ตะลนั ตเ์ ขา้ มา นากาไรอกี หา้ ตะ
ลนั ต์มาดว้ ย กล่าวว่า ‘นายขอรบั ท่านใหข้ า้ พเจา้ หา้ ตะลนั ต์ น่ีคอื เงนิ อกี หา้ ตะลนั ต์ทข่ี า้ พเจา้ ทากาไรได’้ 21 นายพูดว่า ‘ดมี าก ผู้
รบั ใชท้ ด่ี แี ละซ่อื สตั ย์ เจา้ ซ่อื สตั ย์ในสง่ิ เลก็ น้อย เราจะใหเ้ จา้ จดั การในเร่อื งใหญ่ๆ จงมาร่วมยนิ ดกี บั นายของเจา้ เถดิ ’ 22 คนทร่ี บั
สองตะลนั ต์เขา้ มารายงานว่า ‘นายขอรบั ท่านใหข้ า้ พเจา้ สองตะลนั ต์ น่ีคอื เงนิ อกี สองตะลนั ต์ทข่ี า้ พเจา้ ทากาไรได’้ 23 นายพูดว่า
‘ดมี าก ผรู้ บั ใชท้ ด่ี แี ละซ่อื สตั ย์ เจา้ ซ่อื สตั ยใ์ นสง่ิ เลก็ น้อย เราจะใหเ้ จา้ จดั การในเรอ่ื งใหญๆ่ จงมารว่ มยนิ ดกี บั นายของเจา้ เถดิ ’
24 “คนท่ีรบั หน่ึงตะลนั ต์เขา้ มารายงานว่า ‘นายขอรบั ขา้ พเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนเขม้ งวด เก็บเก่ยี วในท่ีท่ีท่านไม่ได้หว่าน เก็บ
รวบรวมในทท่ี ท่ี ่านไม่ไดโ้ ปรย 25 ขา้ พเจา้ มคี วามกลวั จงึ นาเงนิ ของท่านไปฝังดนิ ซ่อนไว้ น่ีคอื เงนิ ของท่าน’ 26 นายจงึ ตอบวา่ ‘ผู้
รบั ใชเ้ ลวและเกยี จครา้ น เจา้ รวู้ า่ ขา้ เกบ็ เกย่ี วในทท่ี ข่ี า้ มไิ ดห้ ว่าน เกบ็ รวบรวมในทท่ี ข่ี า้ มไิ ดโ้ ปรย 27 เจา้ กค็ วรนาเงนิ ของขา้ ไปฝาก
ธนาคารไว้ เม่อื ขา้ กลบั มาจะได้ถอนเงนิ ของขา้ พรอ้ มกบั ดอกเบ้ยี 28 จงนาเงนิ หน่ึงตะลนั ต์จากเขาไปให้แก่ผูท้ ่มี สี บิ ตะลนั ต์ 29
เพราะผู้ท่มี มี าก จะได้รบั มากขน้ึ และเขาจะมเี หลอื เฟือ แต่ผู้ท่มี นี ้อย สง่ิ เล็กน้อยท่เี ขามกี ็จะถูกรบิ ไปด้วย 30 ส่วนผู้รบั ใช้ท่ไี ร้
ประโยชน์น้ี จงนาไปทง้ิ ในทม่ี ดื ขา้ งนอก ทน่ี นั่ จะมแี ต่การร่าไหค้ ร่าครวญ และขบฟันดว้ ยความขนุ่ เคอื ง’

ข้อศึกษาวิพากษ์
ตะลนั ต์ คอื เงนิ ซง่ึ มจี านวนมาก เท่ากบั ค่าจา้ งของคนงานรายวนั 15 ปี (ดู 18:23) เพราะความแพร่หลาย

อย่างกว้างขวางของเร่ืองราวน้ีน่ีเอง “ตะลันต์” จึงกลายมาเป็ นคาในภาษาอังกฤษในยุคกลาง แปลว่า
ความสามารถทพ่ี ระเจา้ ประทานมาให้ คอื “ของประทานและพระหรรษทาน” ตะลนั ต์ ในเรอ่ื งน้หี มายถงึ เงนิ (25:18)
คาทใ่ี ชก้ ล่าวถงึ ความสามารถทต่ี ่างๆ กนั ไปของผทู้ ไ่ี ดร้ บั ตะลนั ตเ์ ป็นคาอน่ื (25:15)

526

เรอ่ื งราวน้ีไดผ้ า่ นการเปลย่ี นแปลงหลายครงั้ ในเสน้ ทางการเลา่ ต่อกนั มาเป็นทอดๆ จากคาอุปมาของพระ
เยซูเจา้ แต่ดงั้ เดมิ ทป่ี รากฏทางเอกสารแหล่ง Q (ซ่งึ เป็นแหล่งแรกทเ่ี ราสามารถเหน็ คาอุปมาน้ี; เทยี บ ลก. 19:11-27) และรปู แบบ
และการตคี วามทต่ี ่างๆ กนั ไปทป่ี รากฏอยู่ในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ นักบุญลูกา และพระวรสารของชาวนาซา
เรธ็ ในคาอุปมาของพระเยซูเจ้าแต่ดงั้ เดมิ นัน้ ชายคนหน่ึงฝากเงนิ ไว้กบั ทาส 3 คนเป็นคนละจานวนมาก พอ
นายกลบั มา ทาสสองคนแรกเอาเงนิ ทุนไปทากาไรและทาใหม้ จี านวนเพมิ่ ขน้ึ มาเป็นสองเทา่ จุดสนใจของเร่อื งอยู่
ทค่ี นทส่ี าม ซ่งึ ได้ปฏบิ ตั ติ นดว้ ยความระมดั ระวงั อย่างดีทส่ี ุดทจ่ี ะไม่ต้องเสยี สง่ิ ท่นี ายฝากไว้กบั เขาและสามารถ
เอาเงนิ มาคนื นายเตม็ จานวนได้ พอนายให้บอกว่าทาไมเขาถงึ ไม่นาเงนิ ท่ฝี ากไว้กบั เขาไปทาใหง้ อกเงยขน้ึ มา
เขาก็ตอบโดยพูดถงึ นายว่าเป็นคนแขง็ และไม่ยุตธิ รรม ทาให้เขาเกดิ ความกลวั และความระวงั ผูท้ ่ฟี ังคาอุปมา
ต้องประหลาดใจเป็นสองเท่าและคงนึกไม่ออกว่าจะให้คดิ อย่างไรดี ในแง่หน่ึง ผูฟ้ ังเพง่ิ จะได้เหน็ สงิ่ ท่แี สดงถงึ
ความเออ้ื อารขี องนายต่อทาสสองคนแรก แต่ในอกี แง่มมุ หน่ึง เร่อื งราวน้ีไดน้ าใหพ้ วกเขาเกดิ ความเหน็ อกเหน็ ใจ
ต่อการกระทาของคนทไ่ี ดร้ บั มาหน่ึงตะลนั ต์ คอื เอาเงนิ ไปซ่อนไวอ้ ย่างระมดั ระวงั คนทไ่ี ดร้ บั มาหน่ึงตะลนั ต์ (และ
ผฟู้ ัง) ตอ้ งประหลาดใจ ทเ่ี ขาถูกกลา่ วโทษเพราะการไมท่ าอะไรเน่ืองจากความกลวั และนายกใ็ หเ้ อาเงนิ ของเขาไป
ใหท้ าสคนแรก ซง่ึ มอี ย่แู ลว้ สบิ ตะลนั ต์ ผฟู้ ังต้องตดั สนิ ใจว่าจะมองว่านายเป็นคนแบบไหน คาอุปมาน้ีไดน้ าผู้ฟัง
ใหค้ ดิ ไปสองทาง และทาใหเ้ กดิ ปัญหาทางสองแพรง่ แทนทจ่ี ะคลค่ี ลายปัญหาของทางสองแพร่ง

นักบุญมทั ธวิ มองว่าอุปมาในเอกสารแหล่ง Q เป็นอุปมานิทศั น์เก่ยี วกบั ของการเสดจ็ มาครงั้ ทส่ี อง ท่าน
เขยี นคาอุปมาน้ีขน้ึ ใหม่โดยมจี ดุ ประสงคท์ จ่ี ะสอ่ื อย่างนนั้ และทา่ นไดแ้ ทรกคาอปุ มาน้ีเขา้ มาในบรบิ ทน้ี (เทยี บ อกี ท่ี
หน่ึงทม่ี คี าอุปมาน้ีอยู่ใน ลก. 19) นักบุญมทั ธวิ ใชเ้ ร่อื งราวน้ีเพ่อื ใหเ้ หน็ ลกั ษณะชวี ติ ของชาวครสิ ต์ว่าเป็นการ “รอคอย”
การเสดจ็ มาครงั้ ท่สี อง ความหมายของการเป็นคน “ดแี ละสตั ย์ซ่อื ” ไม่ได้มแี ค่ความถูกต้องตามหลกั เทววทิ ยา
การรอคอยโดยไมท่ าอะไร หรอื เชอ่ื ฟังคาสงั่ ทช่ี ดั แจง้ อย่างเครง่ ครดั แต่เป็นความรบั ผดิ ชอบทเ่ี ป็นการกระทาโดย
มกี ารรเิ รม่ิ และยอมรบั ความเสย่ี ง (ดู 5:21-48) ในเรอ่ื งราวน้ี นายไมไ่ ดใ้ หค้ าสงั่ ว่าใหเ้ อาเงนิ ไปทาอะไร ความสตั ยซ์ ่อื
จงึ ไมใ่ ชเ่ พยี งการเชอ่ื ฟังคาสงั่ ทาสแต่ละคนตอ้ งตดั สนิ ใจเองวา่ จะใชเ้ วลาของตนอย่างไรในระหวา่ งทน่ี ายไม่อยู่

การเปรยี บเทยี บกบั คาอุปมาในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ทม่ี คี วามเกย่ี วขอ้ งกนั ทาใหไ้ ดค้ วามกระจ่าง (1)
ใน 18:23-35 ทาสรบั ฝากทรพั ยท์ ม่ี มี ลู ค่ามากไวก้ บั ตนเอง และเขาตอ้ งใชก้ ารพจิ ารณา (คาวา่ “ตะลนั ต”์ และคดิ บญั ชมี ใี ห้
เหน็ ในคาอปุ มาสองเรอ่ื งน้ีเทา่ นนั้ ในพนั ธสญั ญาใหม)่ ใน 18:23-25 ทาสไดร้ บั การอภยั สาหรบั หน้อี นั น่าตกตะลงึ ทเ่ี กดิ จากการ
ทเ่ี ขาจดั การเงนิ ของนายอย่างไม่ถูกตอ้ ง ในกรณีน้ี ทาสถูกกล่าวโทษ แมว้ ่าเขาจะไม่ไดท้ าใหเ้ งนิ ของนายเสยี ไป
เลย (2) ใน 24:45-51 เชน่ เดยี วกบั ในกรณีน้ี ทาสถูกตดั สนิ ว่าชวั่ และไดร้ บั การลงโทษอย่างเลวรา้ ยแบบเดยี วกนั
เลย ในกรณีนัน้ เป็นเร่อื งของการใช้สทิ ธอิ านาจของตนในทางท่ผี ดิ โดยมกี ารกระทาและด้วยความสุรุ่ยสุร่าย
ขณะทใ่ี นกรณนี ้ี ทาส “ชาตชิ วั่ ” มคี วามรอบคอบระมดั ระวงั ความตรงกนั ขา้ มเชน่ น้ีในภาพของการพพิ ากษาและ
ผพู้ พิ ากษาสงู สดุ ในพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ ป้องกนั ผอู้ ่านไม่ใหด้ ่วนคดิ ไปวา่ ความหมายทน่ี าเสนอโดยเป็นอุปมา
นิทศั น์เป็นความหมายเชงิ วตั ถุวสิ ยั และขดั ขวางความพยายามของเราทจ่ี ะสรุปลกั ษณะการกระทาการของพระ
เป็นเจา้ เป็นระบบทม่ี สี มั พนั ธภาพและความเป็นระเบยี บ ภาพเหล่าน้ีสอ่ื ถงึ ความหมายทอ่ี ยนู่ อกเหนือตวั ภาพเอง
และต้านทานการทาใหเ้ ป็นระบบ แต่ในขณะเดยี วกนั ก็ยงั เป็นภาพท่พี ูดถงึ ความเป็นจรงิ ของการพพิ ากษาและ
ความจาเป็นทต่ี อ้ งมกี ารตดั สนิ ใจและการกระทาทม่ี คี วามรบั ผดิ ชอบ (ดู ขอ้ ศกึ ษาวพิ ากษ์ตรง 25: 31-46)

527

มทั ธิว 25:31-46, การพิพากษาสดุ ท้าย

การพิพากษาครงั้ สดุ ท้าย
31 “เม่อื บุตรแห่งมนุษยจ์ ะเสดจ็ มาในพระสริ ริ ุ่งโรจน์พรอ้ มกบั บรรดาทูตสวรรค์ทงั้ หลาย พระองค์จะประทบั เหนือพระบลั ลงั ก์อนั
รงุ่ โรจน์ 32 บรรดาประชาชาตจิ ะมาชมุ นุมกนั เฉพาะพระพกั ตร์ พระองคจ์ ะทรงแยกเขาออกเป็นสองพวก ดงั คนเลย้ี งแกะแยกแกะ
ออกจากแพะ 33 ให้แกะอยู่เบ้อื งขวา ส่วนแพะอยู่เบ้อื งซ้าย 34 แล้วพระมหากษตั รยิ ์จะตรสั แก่ผูท้ ่อี ยู่เบ้อื งขวาว่า ‘เชญิ มาเถิด
ท่านทงั้ หลายท่ีได้รบั พระพรจากพระบิดาของเรา เชิญมารบั อาณาจกั รท่ีเตรยี มไว้ให้ท่านแล้วตัง้ แต่สร้างโลกเป็นมรดก 35
เพราะวา่ เม่อื เราหวิ ท่านใหเ้ รากนิ เรากระหาย ท่านใหเ้ ราด่มื เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านกต็ อ้ นรบั 36 เราไม่มเี สอ้ื ผา้ ท่านกใ็ ห้
เสอ้ื ผา้ แก่เรา เราเจบ็ ป่วย ท่านกม็ าเยย่ี ม เราอยู่ในคุก ท่านก็มาหา’ 37 “บรรดาผูช้ อบธรรมจะทูลถามว่า ‘พระเจา้ ขา้ เม่อื ไรเล่า
ขา้ พเจา้ ทงั้ หลายเหน็ พระองค์ทรงหวิ แลว้ ถวายพระกระยาหาร หรอื ทรงกระหาย แลว้ ถวายให้ทรงด่มื 38 เม่อื ใดเล่าขา้ พเจา้ ทงั้
หลายเหน็ พระองคท์ รงเป็นแขกแปลกหน้า แลว้ ตอ้ นรบั หรอื ทรงไม่มเี สอ้ื ผา้ แลว้ ถวายให้ 39 เม่อื ใดเล่าขา้ พเจา้ ทงั้ หลายเหน็ พระ
องคป์ ระชวรหรอื ทรงอยใู่ นคุกแลว้ ไปเยย่ี ม’ 40 พระมหากษตั รยิ จ์ ะตรสั ตอบว่า ‘เราบอกความจรงิ แก่ท่านทงั้ หลายวา่ ท่านทาสง่ิ ใด
ต่อพน่ี ้องผูต้ ่าต้อยทส่ี ุดของเราคนหน่ึง ท่านกท็ าสงิ่ นัน้ ต่อเรา’ 41 “แลว้ พระองค์จะตรสั กบั พวกทอ่ี ยู่เบ้อื งซ้ายว่า ‘ท่านทงั้ หลายท่ี
ถูกสาปแช่ง จงไปใหพ้ น้ ลงไปในไฟนิรนั ดรทไ่ี ดเ้ ตรยี มไวใ้ หป้ ีศาจและพรรคพวกของมนั 42 เพราะว่า เม่อื เราหวิ ท่านไมใ่ หอ้ ะไร
เรากิน เรากระหาย ท่านไม่ให้อะไรเราด่มื 43 เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ต้อนรบั เราไม่มเี ส้อื ผ้า ท่านก็ไม่ให้เส้อื ผา้ เรา
เจบ็ ป่วยและอยู่ในคุก ท่านกไ็ ม่มาเยย่ี ม’ 44 พวกนัน้ จะทูลถามว่า ‘พระเจา้ ขา้ เม่อื ไรเล่าทข่ี า้ พเจา้ ทงั้ หลายเหน็ พระองค์ทรงหวิ
ทรงกระหาย ทรงเป็นแขกแปลกหน้า หรอื ไม่มเี สอ้ื ผา้ เจบ็ ป่วย หรอื อยใู่ นคกุ แลว้ ไมไ่ ดช้ ว่ ยเหลอื ’ 45 พระองคจ์ ะตรสั ตอบว่า ‘เรา
บอกความจรงิ แก่ท่านทงั้ หลายว่า ท่านไม่ไดท้ าสงิ่ ใดต่อผตู้ ่าตอ้ ยของเราคนหน่ึงท่านกไ็ มไ่ ดท้ าสง่ิ นนั้ ต่อเรา’ 46 แลว้ พวกน้ีกจ็ ะไป
รบั โทษนริ นั ดร สว่ นผชู้ อบธรรมจะไปรบั ชวี ติ นริ นั ดร”

ข้อศึกษาวิพากษ์
ถอ้ ยคาเหล่าน้ีเป็นพระวาจาตอนทา้ ยๆ ของเร่อื งทพ่ี ระเยซูเจา้ ตรสั สอนเป็นครงั้ สุดท้าย เป็นจุดสุดยอด

ของเร่อื งราวท่ีนักบุญมทั ธวิ ได้เรยี บเรยี งข้นึ มาอย่างพถิ ีพถิ นั ถดั จากเร่อื งอุปมาชุดยาว 6 เร่อื งและคาเตือน
เกย่ี วกบั การใชช้ วี ติ ดว้ ยความรบั ผดิ ชอบเพอ่ื จะไดพ้ รอ้ มสาหรบั การเสดจ็ มาของบุตรแห่งมนุษย์ (24: 32-25: 30) นกั
บุญมทั ธวิ กลบั ไปท่ีการเสดจ็ กลบั มาจรงิ ๆ ท่ไี ด้มกี ารให้ภาพไว้แล้วใน 24:29-31 น่ีเป็นฉากเหตุการณ์ท่มี อี ยู่
เฉพาะในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ไม่ใช่คาอุปมา แต่เป็นภาพอนั ระทกึ ขวญั ของกาลอวสานโลก คาอุปมาเรมิ่ ตน้
ด้วยฉากอนั คุน้ เคยของโลกน้ี ท่ตี ่อมาได้แปรเปลย่ี นเขา้ สู่ความหมายในมติ ใิ หม่ โดยตรงกนั ขา้ ม ฉากน้ีเรมิ่ ต้น
ดว้ ยการบรรยายภาพของอกี โลกหน่ึง เป็นภาพของการเสดจ็ มาครงั้ ทส่ี อง การเสดจ็ มาของบุตรมนุษยพ์ รอ้ มกบั
เหล่าเทวดาของพระองค์และการรวมตัวกนั ของนานาประชาชาติเบ้ืองหน้าของพระบัลลงั ก์พระองค์ แล้วก็
เปลย่ี นเป็นการยนื ยนั ความสาคญั ของการกระทาอนั ธรรมดาสามญั อย่างของโลกน้ี ขณะทก่ี ารลดทอนภาพพจน์ท่ี

528

ให้จนิ ตนาการลงมาเป็นหวั ขอ้ ท่เี ป็นไปไม่ได้ นักบุญมทั ธวิ ได้ประพนั ธ์และจดั วางตาแหน่งภาพพจน์ดงั กล่าว
เพอ่ื ใหแ้ นวคดิ ในพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ หลายแนวเขา้ มาบรรจบกนั ในฉากสดุ ทา้ ยน้ี

สองอาณาจกั ร. บุตรแหง่ มนุษย์ ผเู้ สดจ็ มาในบนั้ ปลาย เป็นทร่ี กู้ นั วา่ เป็นกษตั รยิ ์ (25: 34, 40) ผปู้ ระทบั อยู่

บนพระบลั ลงั ก์อนั รุ่งเรอื งของพระเป็นเจ้า (25: 31) และผทู้ รงรบั ผูช้ อบธรรมเขา้ มาในพระราชอาณาจกั รแห่งกาล
สุดทา้ ยของพระเป็นเจา้ (25: 34) น่ีคอื ชยั ชนะของพระราชอาณาจกั รซง่ึ สาแดงอยู่ตลอดทงั้ พระวรสารโดยทางพระ
เยซูเจา้ ผทู้ รงเป็นอกี ทางเลอื กหน่ึงนอกจากอาณาจกั รปีศาจของโลกน้ีซง่ึ สาแดงโดยการเป็นปฏปิ ักษ์ต่อพระองค์
(ดบู ทเสรมิ เรอ่ื ง “พระอาณาจกั รสวรรคใ์ นพระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ ” 288-94 โดยเฉพาะขอ้ ศกึ ษาวพิ ากษ์ 12:22-37) อาณาจกั รตรงกนั ขา้ มทไ่ี ม่
ดนี ้ีสาแดงอยู่ในภาพพจน์ของการพพิ ากษาสุดท้ายเช่นกนั สง่ิ ท่เี ป็นคู่กนั กบั พระราชอาณาจกั รท่ไี ด้เตรยี มไว้
ตัง้ แต่แรกสร้างโลก (25: 34) คือไฟท่ีไหม้อยู่เป็ นนิตย์ซ่ึงเตรียมไว้สาหรบั มารและเหล่าเทวดาของมัน สอง
อาณาจกั รท่มี กี ารเอาไปสลบั กนั และสานเขา้ ด้วยกนั ในความกากวมของประวตั ศิ าสตร์ บดั น้ีเปิดเผยออกมาให้
เป็นทป่ี ระจกั ษ์ ณ จุดสน้ิ สุดของประวตั ศิ าสตร์ มอี าณาจกั รแต่เพยี งสองอาณาจกั รน้ีเท่านนั้ บุตรมนุษยแ์ ละเหล่า
เทวดาของพระองค์ ผชู้ อบธรรมทม่ี พี ระพร และพระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ ทเ่ี ตรยี มไวต้ งั้ แตก่ าลนริ นั ดร์อยฝู่ ัง่ หน่ึง
มารและเหล่าเทวดาของมนั ผูถ้ ูกสาปแช่ง และชะตากรรมท่เี ตรยี มไวส้ าหรบั มารและพวกของมนั อย่อู กี ฝัง่ หน่ึง
พระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ เปิดเผยออกมาวา่ เป็นอาณาจกั รอนั จรงิ เทย่ี งแทอ้ าณาจกั รเดยี ว ในฉากสดุ ทา้ ยน้ี คาท่ี
ใชก้ บั อาณาจกั รไม่ได้มกี ารนามาใชก้ บั ฝ่ ายของซาตาน (เทยี บ 12:26) วนั พพิ ากษาเปิดเผยออกมาว่าทวลิ กั ษณ์ท่ี
ปรากฏอยขู่ องการต่อสทู้ ก่ี าลงั ดาเนนิ ไปของสองอาณาจกั รน้เี ป็นเพยี งสง่ิ ทม่ี าก่อนสงิ่ สดุ ทา้ ย และในทา้ ยทส่ี ดุ แลว้
กม็ แี ต่พระเป็นเจา้ เทา่ นนั้ ทท่ี รงเป็นกษตั รยิ ์

พื้นฐานทางคริสตวิทยา. คาทใ่ี ชเ้ รยี กในทางครสิ ตวทิ ยาหลายคาท่มี คี วามสาคญั ตลอดทงั้ พระวรสาร

นักบุญมทั ธวิ ได้เขา้ มาบรรจบกนั ในฉากน้ี นักบุญมทั ธวิ ใหภ้ าพพระเยซูเจา้ ทรงเป็นบุตรแห่งมนุษย์ (25: 31) ท่มี ี
พระเป็นเจา้ เป็นพระบดิ า (25:34; ดงั นัน้ จงึ มคี รสิ ตวทิ ยาเก่ยี วกบั พระบุตรพระเจา้ โดยนัยอย่ทู น่ี ่ีดว้ ย) พระองคท์ รงไดร้ บั การขนาน
นามวา่ “กษตั รยิ ”์ ซง่ึ มนี ยั ของการเป็นพระเมสสยิ าหแ์ ละเชอ้ื สายของกษตั รยิ ด์ าวดิ ในพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ (1:1-
2:2; 21:4-9) และทรงไดร้ บั การขนานนามวา่ “พระเป็นเจา้ ” ดว้ ย (25:37, 44) พระองคท์ รงเป็นพระเมษบาล เมสสยิ าหผ์ ู้
อภบิ าลฝงู แกะ (2:6; 9:36; 18:12; 26:31) และผพู้ พิ ากษาทแ่ี ยกแกะกบั แพะออกจากกนั ในทา้ ยทส่ี ุด แมแ้ ต่ในฐานะ ”ผู้
จะทรงเสดจ็ มา” (25:31) พระเยซูเจา้ ทรงมาเตมิ เตม็ บทบาททางครสิ ตวทิ ยา (11:3; 23:39) ซง่ึ เป็นทค่ี าดหมายได้จาก
ตวั ละครหลายตวั ในเร่อื งคาอุปมาทม่ี าก่อนของ “ผู้ทจ่ี ะเสดจ็ มา” สาหรบั เหตุการณ์การพพิ ากษา (24:30, 42-44, 46;

25:10, 19, 27)

ดงั นัน้ ฉากเหตุการณ์น้ีจงึ มเี น้ือหาเชงิ ครสิ ตวทิ ยาทงั้ ส้นิ สาหรบั นักบุญมทั ธวิ ครสิ ตวทิ ยาน้ี และไม่ใช่
แนวคดิ เร่อื งมนุษยธรรมนิยมทวั่ ไป ซง่ึ ทาใหจ้ รยิ ธรรมเร่อื งความรกั และความเมตตาซง่ึ กลายมาเป็นบรรทดั ฐาน
ทางอนั ตกาลวทิ ยาของการพพิ ากษาท่ีมคี วามสมเหตุสมผล ตวั บทน้ีไม่อาจนามาใช้ในการเอาพระคมั ภีร์มา
“รบั รอง” จรยิ ธรรมทางมนุษยธรรมทวั่ ไปโดยถูกต้องได้ หากไม่ได้ใชโ้ ดยมคี วามสอดคล้องกบั ครสิ ตวทิ ยาและ
ความเชอ่ื เรอ่ื งคาทานายเกย่ี วกบั กาลอวสานของโลกซง่ึ มตี วั บทน้เี ป็นสว่ นหน่งึ อย่างแยกออกมาไมไ่ ด้

ความสาคญั อนั ดบั หนึ่งของจริยศาสตร.์ เช่นเดยี วกบั พนั ธสญั ญาใหม่โดยทวั่ ไป พระวรสารนักบุญ

มทั ธวิ มคี วามจากดั อยู่มาก แมว้ ่านักบุญมทั ธวิ จะมคี วามเช่อื ในกาลอวสานของโลก ในการใหภ้ าพว่าจะมอี ะไร
เกดิ ขน้ึ อย่างแท้จรงิ เม่อื บุตรแห่งมนุษย์จะเสดจ็ มา น่ีเป็นเพยี งฉากเหตุการณ์เดยี วทม่ี รี ายละเอยี ดทใ่ี หภ้ าพการ

529

พพิ ากษาสุดทา้ ยในพนั ธสญั ญาใหม่ ผอู้ ่านตอ้ งประหลาดใจ (ทงั้ ในสมยั โบราณและสมยั ใหม่) ทเ่ี กณฑก์ ารพพิ ากษาไม่ใช่
การแสดงออกถงึ การยอมรบั ว่าตนเองมคี วามศรทั ธาในพระครสิ ต์ ไม่มกี ารกล่าวถงึ พระหรรษทาน การพสิ จู น์ว่า
ชอบธรรม หรอื การอภยั บาปแต่อย่างใด สงิ่ ท่ีจะเป็น “เกณฑ์” หรอื ตวั ตดั สนิ คอื ตวั เราไดป้ ฏบิ ตั ติ ่อผูท้ ต่ี อ้ งการ
ความช่วยเหลอื ดว้ ยความรกั และเอาใจใส่หรอื ไม่ การกระทาเช่นนัน้ ไม่ใช่เร่อื งของ “คะแนนพเิ ศษ” แต่ประกอบ
กนั เป็นเกณฑ์ตดั สนิ ท่สี นั นิษฐานว่าใชใ้ นการพพิ ากษาตลอดทงั้ ขอ้ 23-25 คอื “ขอ้ สาคญั แห่งธรรมบญั ญตั ”ิ ใน
23:23

ความสาคญั สูงสุดของพระบญั ญตั ิเร่ืองความรกั พระเยซูเจา้ ไดท้ รงสอนว่าการเอาใจใส่ต่อผอู้ ่นื ดว้ ย

การอุทศิ ตนเป็นหวั ใจของพระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ ทเ่ี ปิดเผยออกมาในธรรมบญั ญตั ิ (Torah) และเป็นกุญแจ
สาหรบั การตคี วามพระคมั ภรี น์ ัน้ (5:17-48; 7:12; 22:34-40) กษตั รยิ ผ์ ูท้ รงเป็นพระเมสสยิ าห์ไดด้ าเนินพระชนม์อย่าง
ตรงตามคาสอนของพระองค์ท่วี ่าพระราชอาณาจกั รของพระองค์ประกอบไปด้วยการรบั ใช้ผู้อ่นื (20:28) คาคา
เดยี วกนั ซ่ึงแปลว่า “รบั ใช้” (“minister” ภาษากรกี diakone"w diakone) ปรากฏข้นึ อีกครงั้ ตรงน้ีโดยเป็นขอ้ สรุป
สดุ ทา้ ยของการกระทาทผ่ี ชู้ อบธรรมไดก้ ระทาและผทู้ ถ่ี ูกกลา่ วโทษไดล้ ะเลย (25:44)

เหน็ ไดช้ ดั ว่าทงั้ หมดน้ีเป็นประเดน็ หลกั ของฉากเหตุการณ์น้ี อย่างไรกด็ ี ความหมายโดยเฉพาะเจาะจง
ของพระวรสารนักบุญมทั ธวิ เป็นเร่อื งท่มี กี ารถกเถยี งกนั มาตงั้ แต่สมยั แรกๆ แลว้ การตคี วามซง่ึ มอี ยู่จานวนมาก
สามารถลดทอนลงมาเป็น 2 ประเดน็ และรปู แบบทต่ี ่างๆ กนั ไป (1) ใครคอื “นานาประชาชาต”ิ (ภาษากรกี pa"nta
ta; e[qnh panta ta ethne) และ (2) ใครคือ “พวกพ่ีน้องของเราน้ี ถึงแม้จะต่าต้อยเพียงไร” (ภาษากรีก ajdelfoi"
adelphoi)

(1) ประเดน็ หลกั เกย่ี วกบั “นานาประชาชาต”ิ คอื (ก) แทนประชาชนทกุ ชนชาตบิ นแผน่ ดนิ โลก เพอ่ื จะได้
เป็นภาพของการพพิ ากษาสากล หรอื (ข) เฉพาะกลุ่มคนทเ่ี ลก็ กว่านัน้ (คนต่างชาติ ครสิ ตชน) เน่ืองจาก ethne (เอธเน)
เป็นคาไม่มเี พศ การเปล่ยี นมาเป็นสรรพนามเพศชายท่ีแปลว่า “พวกเขา” (aujtou"v autous ออโทอุส) ใน 25:32
แสดงใหเ้ หน็ ว่ามนุษยท์ เ่ี ป็นปัจเจกบุคคล และไม่ใช่ชาตใิ นฐานะโครงสรา้ งทางการเมอื งของหม่คู ณะ เป็นผูท้ ่มี า
รบั การพพิ ากษา

(2) ประเด็นหลกั ท่ีเก่ียวกบั “พวกพ่นี ้องของเราน้ี ถึงแม้จะต่าต้อยเพียงไร” แต่พวกเขาคอื (ก) คนท่ี
ต้องการความช่วยเหลือทวั่ ไปในโลกน้ีหรอื (ข) เฉพาะชาวครสิ ต์หรอื ธรรมทูต(มชิ ชนั นาร)ี ชาวครสิ ต์เท่านัน้ ดู
เหมอื นวา่ หลกั ฐานทงั้ หมดจะอธบิ ายไดด้ ที ส่ี ดุ ดงั น้ี

ประเด็นพ้ืนฐานของฉากเหตุการณ์น้ี คอื เวลาคนเรา(ประชาชน)ตอบสนองหรอื ไม่ตอบสนองต่อความ
ต้องการของมนุษย์ แท้จรงิ แลว้ พวกเขากาลงั ตอบสนองหรอื ไม่ตอบสนองต่อพระครสิ ต์ แต่กลายเป็นว่าทงั้ สอง
กลุม่ จะตอ้ งประหลาดใจเกย่ี วกบั เรอ่ื งน้ี (25:37, 44) ผทู้ ใ่ี หอ้ าหาร เครอ่ื งด่มื เครอ่ื งนุ่งหม่ ทอ่ี ยอู่ าศยั แกค่ นทต่ี อ้ งการ
ความช่วยเหลอื และไปเยย่ี มคนป่วยและคนทต่ี ดิ คุก นบั วา่ ตอบสนองโดยสมบรู ณ์ตามหลกั การเรอ่ื งความตอ้ งการ
ของ “พวกพนี่ ้องของเราน้ี ถงึ แมจ้ ะตา่ ตอ้ ยเพยี งไร” และจะต้องประหลาดใจเม่อื การพพิ ากษามาถงึ และพวกเขา
พบว่าการกระทาด้วยความเหน็ ใจต่อมนุษย์ของพวกเขานัน้ มมี ติ ทิ ่ลี กึ ล้ากว่าท่ปี รากฏ ดงั นัน้ พน่ี ้องท่ตี ้องการ
ความช่วยเหลือจงึ ไม่ได้จากดั อยู่แต่เพียงธรรมทูตครสิ ตชน เพราะไม่ได้มีการใช้คาว่า adelphoi (อาเดลโฟอิ) ใน
25:45 และบางทกี ็มกี ารใช้ในส่วนอ่นื ในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ โดยหมายถงึ ใครก็ตามท่มี คี วามต้องการท่พี งึ
ตอบสนอง (5: 22-24, 47; 7:3-5) แบบน้ีโดยยอ้ นกลบั ไปหาพระเยซูเจา้ น่ีคอื ความหมายดงั้ เดมิ ท่นี ักบุญมทั ธวิ ประ

530

พนั ธ์ ความหมาย “สากล” น้ีเป็นระดบั พน้ื ฐานของเร่อื ง ซ่งึ ไม่ไดถ้ ูกทาใหส้ ญู หายไปโดยการนาไปใชใ้ นรูปแบบ
อน่ื ๆ

อย่างไรกด็ ี นักบุญมทั ธวิ ทาใหป้ ระเดน็ น้ี มจี ุดสนใจอย่ทู ก่ี ารตอ้ นรบั ธรรมทูตชาวครสิ ต์ ดงั นัน้ รปู แบบท่ี
เป็นรูปธรรมประการหน่ึงของเกณฑ์ในการพพิ ากษากจ็ ะเป็นการทค่ี นต่างชาตทิ พ่ี ระศาสนจกั รของนักบุญมทั ธวิ
ทาพนั ธกจิ ให้ ไดส้ นบั สนุนหรอื ขดั ขวางพนั ธกจิ น่ีเป็นสงิ่ ท่เี ขา้ กนั กบั คากล่าวของนกั บุญมทั ธวิ โดยแทจ้ รงิ ทว่ี ่า
เราพบพระครสิ ต์ใน “ผเู้ ลก็ น้อย” ทพ่ี ระองคท์ รงส่งออกไปโดยเป็นธรรมทูต และผทู้ เ่ี อาน้าเยน็ เพยี งแก้วเดยี วให้
คนเหล่าน้ีกต็ อบสนองต่อพระครสิ ต์นัน้ เอง (10:40-42) ในบรบิ ททางสงั คมของนักบุญมทั ธวิ คาทใ่ี ชก้ บั อวสานของ
โลกเหล่าน้ี เป็นคาทก่ี ล่าวต่อผทู้ ไ่ี ดส้ มั ผสั การเป็นคนนอกและถูกผมู้ อี านาจของโลกน้ีปฏเิ สธ และคากล่าวน้ีไดใ้ ห้
กาลงั ใจพวกเขาดว้ ยภาพของการพลกิ กลบั อนั ใหญ่หลวง ณ วนั พพิ ากษา นกั บุญมทั ธวิ ทาใหค้ วามหมายน้ีสอ่ื ถงึ
คนทวั่ ไป มจี ุดสนใจทเ่ี ขา้ กนั ในสถานการณ์ของชมุ ชนของทา่ นโดยเฉพาะ

กระนัน้ ก็ดี แม้แต่อรรถกถาท่เี ป็นเชงิ ประวตั ศิ าสตร์โดยเคร่งครดั ได้แสดงออกอย่างกระจ่างชดั ว่าการ
พพิ ากษาน้ี (23:1-25:46) ไม่ไดม้ จี ดุ มงุ่ หมายเป็นการให้ความรูเ้ กย่ี วกบั แนวคดิ เชงิ นามธรรม แต่เป็นคากล่าวต่อผทู้ ่ี
เป็นผอู้ ่าน ณ ทน่ี ้ี เช่นเดยี วกบั ทอ่ี ่นื ๆ ในคากลา่ ว(วาทกรรม)ทงั้ หา้ ทพ่ี ระเยซูเจา้ ตรสั โดยมคี วามหมายครอบคลุม
เกนิ ตวั ละครในเร่อื ง ซง่ึ ครสิ ตชนในพระศาสนจกั รของนกั บุญมทั ธวิ เขา้ ใจไดอ้ ยา่ งกระจ่างชดั เช่นเดยี วกบั 6 สว่ น
ทม่ี าก่อนหน้า ฉากเหตุการณ์น้ีใหก้ าลงั ใจและเตอื นผอู้ ่านชาวครสิ ต์ว่าสง่ิ ท่ีจะเป็นตวั ตดั สนิ ในการพพิ ากษา คอื
การกระทาด้วยความรกั และความเมตตาต่อผู้ท่ีต้องการความช่วยเหลอื แม้ว่าฉากอวสานของโลกจะให้ภาพ
“นานาประชาชาต”ิ และการปฏบิ ตั ิของพวกเขาต่อธรรมทูตชาวครสิ ต์ ซ่งึ ไม่ได้เป็นการกล่าวต่อประชาชาติ แต่
กล่าวต่อชาวครสิ ต์นัน้ เอง ฉากน้ีไม่ได้ใหภ้ าพคนต่างชาตทิ ่ถี ูกลงโทษเพราะไม่ได้รบั ใชช้ าวครสิ ต์หรอื ธรรมทูต
ชาวครสิ ต์ (ดู 7:12) สาหรบั ผทู้ ค่ี ากล่าวน้มี นี ยั บ่งบอกวา่ เป็นผอู้ ่าน “ปัญหา ณ ทนี่ ้ไี ม่ใชก่ ารต่อตา้ นพนั ธกจิ หากเป็น
ปัญหาทมี่ ลี กั ษณะเป็นปัญหาทวั่ ไปมากกวา่ คอื ปัญหาเรอื่ งการอดทนจนถงึ ทสี่ ดุ ... ชาวครสิ ตน์ นั้ เองเป็นผทู้ ไี่ ดร้ บั
มอบหมายใหร้ บั ใชผ้ อู้ นื่ ดว้ ยมนุษยธรรม”

ข้อคิดไตร่ตรอง

ขอ้ คดิ ไตรต่ รองต่อไปน้เี ป็นคากลา่ วเกย่ี วกบั การพพิ ากษาทบ่ี ่งบอกไว้ โดยทงั้ หมดเป็นหน่งึ เดยี วกนั
เช่นเดยี วกนั กบั คากล่าวอ่นื ๆ ท่มี คี วามขดั แยง้ ในตวั เองและขดั แยง้ กบั คาสอนอ่นื ๆ ของพระเยซูเจา้ ใน
พระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ การเสดจ็ มาครงั้ ทส่ี องจะมเี ครอ่ื งหมายสาคญั อนั ชดั แจง้ (24:3, 5-33) และหรอื อาจจะมาโดย
ไม่มกี ารแจ้งเตอื นก็ได้ (24:37-44) คาสตั ย์สาบาน รวมถงึ การสาบานโดย “อ้างสวรรค์” เป็นสงิ่ ท่ีสนั นิษฐานได้ว่า
ถูกตอ้ ง แมจ้ ะมคี าสอนทม่ี าก่อนหน้าซง่ึ ขดั แยง้ กนั (23:22 กบั 5:34) พระเยซูเจา้ เองทรงเรยี กคนกลุ่มอ่นื ว่า “คนโฉด
เขลา” (23:17) แมจ้ ะมขี อ้ หา้ มอย่างเคร่งครดั ใน 5:22 ว่าคาสอนของชาวฟารสิ ี (แต่ไมใ่ ช่การกระทา) เป็นสง่ิ ทพ่ี งึ ยอมรบั
(23:1-3) แม้ว่าจะมี 16:11 ความขดั แย้งแบบน้ีบางประการอาจทาให้เขา้ ใจได้มากขน้ึ (แมจ้ ะไม่ได้ทาให้สอดคล้องกนั ได้)
โดยการตระหนกั ว่านกั บุญมทั ธวิ นาธรรมประเพณีจากหลายทม่ี ามารวมเขา้ ไวด้ ว้ ยกนั ในพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ
ของท่าน ท่านต้องการจะคงไวท้ งั้ กาลอวสานของโลกแบบหลกั ฐานจากเอกสารแหล่ง Q (ลก. 17:20-36) และแบบ
พระวรสารนักบุญมาระโก (13:5-37) แม้ว่าแบบแรกจะมนี ัยท่ีเขา้ ใจได้ว่าการเสด็จมาครงั้ ท่สี องจะมาถงึ โดยไม่มี
เคร่อื งหมายสาคญั และแบบหลงั จะมเี คร่อื งหมายสาคญั ใหเ้ หน็ โดยชดั แจง้ ทท่ี าใหต้ ระหนักไดว้ ่าวาระนนั้ ใกลเ้ ขา้

531

มาแลว้ แต่ละวธิ ใี นการใหม้ โนทศั น์ของวนั เวลาสุดทา้ ยทต่ี ่างกม็ คี ุณค่า และนักบุญมทั ธวิ กเ็ คารพทงั้ สองแบบใน
ฐานะส่วนหน่ึงของธรรมประเพณีศกั ดสิ ์ ทิ ธขิ ์ องท่าน และในฐานะหลกั ฐานท่แี สดงถงึ ความหมายในคาสอนของ
พระเยซูเจา้ แมว้ า่ ทงั้ สองแบบจะไม่มคี วามสอดคลอ้ งกนั ในฐานะผสู้ อนปรชี าญาณแหง่ พระคมั ภรี ใ์ นครสิ ตศาสนา
นักบุญมทั ธิวมีความเคารพต่อความสอดคล้องกนั ทางตรรกศาสตร์น้อยกว่าและเห็นคุณค่าของคากล่าวท่ีมี
จนิ ตนาการและกระตุ้นใหค้ ดิ มากกว่าผตู้ คี วามในสมยั ใหม่ทต่ี คี วามงานเขยี นของท่านหลายคน (ดู ขอ้ ศกึ ษาวพิ ากษ์
5:14-16) ความฉลาดในการตคี วามไม่ควรถูกยงั้ ไวเ้ พอ่ื ทาใหน้ กั บุญมทั ธวิ มคี วามเสมอตน้ เสมอปลายเกนิ กวา่ ทท่ี า่ น
สนใจทจ่ี ะเป็นหรอื เป็นจรงิ ๆ

1. มธ. 24 ไม่ใช่ “คากล่าวเกย่ี วกบั อนั ตกาลวทิ ยา” ทน่ี าเสนอหลกั การของนกั บุญมทั ธวิ หรอื พระเยซูเจา้
เก่ียวกบั อวสานตกาล แต่เป็นส่วนหน่ึงของบทท่ี 23-25 ซ่ึงมเี ป้าหมายเป็นการดูแลและการให้กาลงั ใจของผู้
อภิบาล เน้ือความโดยย่อจะแสดงให้เหน็ โดยการรวมเอา “อวสานของโลกแบบเลก็ ” ของ มก. 13 เขา้ มาไวใ้ น
กรอบทใ่ี หญ่กว่าน้ี นกั บุญมทั ธวิ (รบั รอง แต่) ลดทอนความสาคญั ของเร่อื งอวสานของโลกเอง โดยใหม้ คี วามสาคญั
เป็นรองคากล่าวรูปแบบอ่นื ๆ ทม่ี คี วามเกย่ี วขอ้ งกบั การอภบิ าลโดยตรงมากกว่า สง่ิ ทน่ี ักบุญมทั ธวิ นาเสนอ และ
สง่ิ ทพ่ี งึ นามาสอนจากตวั บทเหล่าน้ี คอื การพพิ ากษาและคาเตอื นเร่อื งการเป็นศษิ ยข์ องพระครสิ ต์ ซง่ึ มจี ุดสนใจ
เป็นชยั ชนะของพระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ ในอวสานตกาล ทไ่ี ดส้ าแดงอยใู่ นพระครสิ ต์

2. น่เี ป็นสงิ่ ทท่ี าไดโ้ ดยการใชภ้ าพหลายแบบทไ่ี ม่ควรนามาทาใหส้ อดคลอ้ งกนั ในทางมโนทศั น์ ไม่มภี าพ
ใดภาพหน่ึงเพยี งภาพเดยี วทจ่ี ะสามารถสอ่ื ใหเ้ หน็ โดยสมบรู ณ์ถงึ ความเป็นจรงิ ทอ่ี ยนู่ อกเหนือการรบั รทู้ วั่ ไป โดย
หลกั ๆ แลว้ มภี าพอยสู่ องประเภท (1) ในประเภทแรก เป็นการนาเสนอภาพของพระเยซูเจา้ ผซู้ ง่ึ ไดท้ รงกลบั คนื
พระชนม์ชพี ร่วมกบั พระศาสนจกั รของพระองค์ตลอดเส้นทางการแสวงบุญและพนั ธกจิ ของพระศาสนจกั รใน
ประวตั ศิ าสตร์ นกั บุญมทั ธวิ ยนื ยนั ถงึ ความเป็นพระเป็นเจา้ อนั อยเู่ หนือเงอ่ื นไขของโลกกายภาพของพระครสิ ต์ ผู้
ทรงพระชนม์ ผู้ซ่ึงพระวาจามไิ ด้เป็นเพยี งคาสอนของอาจารย์ท่ตี ายแล้วท่ีผู้คนจดจากนั มา น่ีเป็นสงิ่ ท่ีแสดง
ออกมาในภาพของพระครสิ ต์ท่อี ยู่กบั พระศาสนจกั รของพระองค์อย่างต่อเน่ืองตลอดยุคสมยั ต่างๆ เป็นแนวคดิ
หลกั ของเทววทิ ยาของพระวรสารนักบุญมทั ธวิ (ดู 1:23; 28:20) ในภาพดงั กล่าว ไม่มคี วามจาเป็นต้องมี และไม่มที ่ี
ให้ การเสดจ็ ขน้ึ สวรรค์ ซง่ึ เป็นการทรงจากไปของพระครสิ ต์ ชว่ งเวลาทพ่ี ระครสิ ต์ “ทรงหายไป” แลว้ ก็ “การเสดจ็
กลบั มา” ของพระครสิ ต์ เพราะพระครสิ ต์ผู้กลบั คนื พระชนมไ์ ม่เคยทรงจากไป (เทยี บ ขอ้ ความสุดทา้ ยของพระวรสาร) (2)
ในภาพประเภททส่ี อง การใหภ้ าพสภาวะเหนือเง่อื นไขของโลกกายภาพของพระครสิ ต์ ผทู้ รงพระชนม์ในแบบท่ี
ตา่ งออกไปซง่ึ ไดก้ ลายมาเป็นธรรมประเพณีในครสิ ตศาสนายุคแรกไปแลว้ เป็นภาพของการเสดจ็ จากไปของพระ
ครสิ ต์ เมอ่ื ทรงกลบั คนื พระชนม/์ เสดจ็ ขน้ึ สวรรคแ์ ละการเสดจ็ กลบั มาครงั้ ทส่ี องของพระองค์ ในภาพแรก สามารถ
พูดถงึ “การอยู่กบั พระศาสนาจกั รของพระองคอ์ ย่างต่อเนือ่ งตลอดทุกยุคทุกสมยั ” ในภาพทส่ี อง สามารถพดู ถงึ
“การเสดจ็ ส่สู วรรค์ เมอื่ ทรงกลบั คนื พระชนมชพี และการเสดจ็ กลบั มาครงั้ ทสี่ อง” แต่ละภาพมปี ระเดน็ ทางเทว-
วทิ ยาท่ยี อมรบั ได้ แต่ความขดั แยง้ ทางมโนทศั น์ของทงั้ สองภาพกไ็ ม่อาจคล่คี ลายได้ นักบุญมทั ธวิ ได้รบั มาทงั้
สองภาพ ท่านรบั รองทงั้ สองภาพ ความสมั พนั ธ์แบบขดั แยง้ ของภาพทม่ี คี วามหมายพน้ื ฐานสองภาพน้ีไม่ควรถูก
ลดทอนลงมาให้เป็นมโนทศั น์อนั เป็นระเบยี บและจดั การได้เพ่อื ให้ได้ความว่า อาทิ บดั น้ีพระครสิ ต์ทรงอยู่กบั
พระศาสนจกั ร “ทางจิตวญิ ญาณ” แต่จะเสด็จกลบั มา “ทางกาย” ณ การเสด็จกลบั มาครงั้ ท่ีสอง ซ่ึงเป็นการ
พยายามอธบิ ายทท่ี าใหธ้ รรมล้าลกึ ของความเป็นจรงิ แต่ละแบบเป็นวตั ถุวสิ ยั อนั เป็นเทจ็ เป็นความเป็นจรงิ ทเ่ี หน็

532

เป็นมโนทศั น์ได้และกล่าวถึงได้แต่โดยเพียงเป็นภาพ ดงั นัน้ พหุลกั ษณ์(ความหลากหลาย)ของภาพท่ีขาดความ
สอดคลอ้ งกนั จงึ เป็นขอ้ ดีทางเทววทิ ยา นาความสนใจไปไกลกว่าการทาใหเ้ หน็ มโนทศั น์ของความเป็นพระเป็น
เจา้ อย่เู หนือเงอ่ื นไขของโลกกายภาพของพระครสิ ต์ในแต่ละแบบโดยปราศจากความกากวมได้ นกั บุญมทั ธวิ ให้
ความสาคัญอย่างจรงิ จงั เป็นท่ีสุดกับการพูดถึงความเป็นพระเป็นเจ้าของพระครสิ ต์(Transcendent of the
Lordship of Christ) แต่ละแบบในฐานะสงิ่ ทแ่ี สดงถงึ ความเป็นจรงิ ของอวสานตกาลของโลก พระครสิ ตท์ รงอยทู่ น่ี ่ี
แลว้ /พระครสิ ต์จะเสดจ็ กลบั มาอกี ครงั้ ฉากสุดทา้ ยนาสองอย่างน้ีเขา้ มาไวด้ ว้ ยกนั แต่ไม่ใช่ในแบบทม่ี คี วามเป็น
ระเบยี บในทางมโนทศั น์ บุตรแห่งมนุษย์ผเู้ สดจ็ มาในพระสริ ริ ุ่งโรจน์ในตอนทา้ ย (25:31) ทรงอย่ทู น่ี ่ีแลว้ ไม่ใช่แต่
เพยี งในวาระ(High Moment)อนั สูงส่งของชวี ติ ภายในพระศาสนจกั ร แต่ในฐานะผูท้ ่ีเราพบได้ในผูย้ ากจนและผู้
ตอ้ งการความชว่ ยเหลอื เป็นสาคญั (25:40, 45)

3. นกั บุญมทั ธวิ คาดวา่ การเสดจ็ มาครงั้ ทส่ี องจะเกดิ ขน้ึ ในเวลาอนั ใกลห้ รอื เปลา่ คาถามน้เี ป็นคาถามท่ี
ไมอ่ าจตอบจากทศั นะของคนหลายศตวรรษทผ่ี า่ นมาน้ไี ด้ โดยเป็นการใหก้ าลงั ใจชมุ ชนทถ่ี กู ขม่ เหงของทา่ น นกั
บญุ มทั ธวิ แจง้ สารของชาวครสิ ตร์ นุ่ แรกซ้าโดยเป็นสง่ิ ทต่ี วั ทา่ นเองมนั่ ใจวา่ อวสานตกาลจะมาในยคุ ของพวกเขา
เอง (16:28; 24:34; เทยี บ 1คร. 15:51-52; 1ธส. 4:15; วว. 1:3) สาหรบั นกั บุญมทั ธวิ แลว้ น่ไี มไ่ ดห้ มายความวา่ ทา่ นไดส้ รา้ ง
ภาพทางประวตั ศิ าสตรท์ เ่ี ผอ่ื “ความลา่ ชา้ ของการเสดจ็ มาครงั้ ทส่ี อง” อนั ขาดความชดั เจน ในสมยั ของทา่ นกไ็ ดม้ ี
ความลา่ ชา้ แลว้ ซง่ึ หมายความวา่ วาระของกาลอวสานใกลเ้ ขา้ มากวา่ ทเ่ี คย โดยการกลา่ วซ้าสองครงั้ วา่ ผทู้ ม่ี ชี วี ติ
อยรู่ ว่ มสมยั กนั กบั พระเยซูเจา้ จะยงั คงมชี วี ติ อย่ใู นตอนทก่ี ารเสดจ็ กลบั มาครงั้ ท่ี 2 มาถงึ (16:28; 24:34) กระทงั่ ตอน
ทศ่ี ตวรรษทห่ี น่งึ ใกลจ้ ะสน้ิ สดุ ลง นกั บญุ มทั ธวิ กย็ นื ยนั วา่ อวสานตกาลใกลเ้ ขา้ มายง่ิ กวา่ ทค่ี ดิ กนั ไวแ้ ตแ่ รก

การกล่าวซ้าๆ ถงึ “ความลา่ ชา้ ” (เชน่ 24:48; 25:5) แสดงถงึ มุมมองทต่ี รงกนั ขา้ ม ซง่ึ เหน็ ไดว้ า่ มอี ยทู่ วั ่ ไปใน
พระศาสนจกั รของนกั บุญมทั ธวิ แตผ่ ทู้ แ่ี สดงออกมาวา่ มมี มุ มองน้เี ป็นตวั ละครทไ่ี มส่ ตั ยซ์ ่อื ในเรอ่ื งเสมอ ไมใ่ ชเ่ ป็น
ผเู้ ลา่ เรอ่ื ง สงิ่ ทน่ี กั บญุ มทั ธวิ เองใสใ่ จคอื การคดั คา้ นมุมมองน้ี เน่อื งจากมุมมองน้ที าใหเ้ กดิ ความประมาทลาพอง
(เทยี บ 2 ปต. 3: 3-13) ตรงกนั ขา้ ม ประเดน็ ของนกั บุญมทั ธวิ คอื ทา่ นและชุมชนของทา่ นมชี วี ติ อยใู่ นชว่ งเวลาของ
ความทกุ ขเ์ ขญ็ สดุ ทา้ ยแลว้ วนั เวลาไดย้ น่ ระยะสนั้ หรอื เขา้ มาใกลแ้ ลว้ (24:22) ดงั นนั้ อวสานตกาลกจ็ ะมาถงึ ในไมช่ า้
หรอื อาจจะมาเมอ่ื ไหร่กไ็ ด้

ความคาดหมายทใ่ี กลเ้ ขา้ มาไม่ใชว่ า่ จะเขา้ กนั ไม่ไดก้ บั การเน้นของทา่ นเรอ่ื งวนิ ยั และโครงสรา้ งในชุมชน
อยา่ งทค่ี มุ รานอธบิ ายไวอ้ ยา่ งเกนิ พอ ความแน่ใจของนกั บุญมทั ธวิ ในความใกลข้ องการเสดจ็ มาครงั้ ทส่ี องไมใ่ ช่
ความสนใจทจ่ี ะคานวณเวลาของอวสานตกาลดว้ ยการคาดเดา แต่เป็นความใสใ่ จในเรอ่ื งการอภบิ าล ทา่ น
ตอ้ งการใหช้ าวครสิ ตเ์ ตรยี มพรอ้ มโดยใชช้ ว่ งเวลาระหวา่ งนนั้ ดว้ ยความรบั ผดิ ชอบ (24:39, 42, 50; 25:13)

4. นกั บุญมทั ธวิ คาดหมายวา่ การเสดจ็ มาครงั้ ทส่ี องจะเกดิ ขน้ึ ในเวลาอนั ใกล้ แตเ่ หตกุ ารณ์ดงั กล่าวไม่ได้
เป็นอย่างนนั้ แมว้ า่ พระศาสนจกั รตลอดหลายศตวรรษจะไดค้ ดิ คน้ วธิ กี ารมากมายในการจะชว่ ยเหลอื แกไ้ ขขอ้ มลู
ของนกั บุญมทั ธวิ จากความผดิ พลาดน้ี และอธบิ ายตวั บททด่ี จู ะยนื ยนั ถงึ การเสดจ็ มาทท่ี า่ นกล่าวถงึ ในแบบทเ่ี ขา้
กนั กบั ทศั นะทม่ี าในภายหลงั มากกวา่ ความคาดหมายน้ีมคี วามสอดคลอ้ งมากกวา่ ลกั ษณะของพระคมั ภรี แ์ ละ
ความสตั ยซ์ ่อื ทผ่ี ตู้ คี วามพงึ ใหค้ วามใสใ่ จโดยใหน้ กั บญุ มทั ธวิ แสดงออกถงึ ความเชอ่ื ของทา่ นในการกล่าวถงึ
อวสานกาลดว้ ยคาของทา่ นเอง ซง่ึ รวมถงึ องคป์ ระกอบทางเวลาทม่ี าจากการเขา้ ใจผดิ ดว้ ย นกั บญุ มทั ธวิ จะไม่

533

ยอมถกู บงั คบั ใหก้ ลายมาเป็นคนสมยั ใหม่ แต่กระนนั้ ผอู้ ่านรว่ มสมยั กย็ งั เชอ่ื สารเกย่ี วกบั อวสานตกาลน้ซี ง่ึ มคี วาม
เรง่ ดว่ นเป็นพลงั อนั มอี ทิ ธพิ ลอยา่ งมาก

เมอ่ื เขา้ ใจดงั น้ีแลว้ ฉากเหตกุ ารณ์อวสานของพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ น่าจะบอกอะไรกบั ผอู้ า่ นร่วมสมยั
(ก) ภาพของอวสานกาลเป็นสง่ิ ทส่ี ามารถรบั ฟังได้ โดยมองวา่ เป็นการยนื ยนั ถงึ ความเชอ่ื ในพระเป็นเจา้
องคเ์ ดยี ว ผซู้ ง่ึ พระอาณาจกั ร (ความเป็นผปู้ กครอง) จะมลี กั ษณะซ่อนเรน้ อยใู่ นปัจจบุ นั กาล แต่ในทา้ ยทส่ี ดุ กจ็ ะมชี ยั
ลทั ธคิ วามเชอ่ื แบบอเทวนิยมและพหเุ ทวนยิ มบางครงั้ กเ็ ป็นมโนทศั น์ทย่ี อมรบั ไดง้ า่ ยกวา่ โดยเฉพาะสาหรบั ผทู้ ่ี
ความคดิ เป็นไปตามพระคมั ภรี ์ คนทเ่ี ป็นเชน่ น้มี แี นวโน้มทจ่ี ะคลอ้ ยตามไปกบั แนวคดิ แบบทวลิ กั ษณ์ทเ่ี ชอ่ื ในพหุ
เทวนิยม แตก่ ารแสดงออกในบทภาวนาแบบเชมา(Shema*) ซง่ึ เป็นกจิ กรรมความเชอ่ื ทม่ี กี ารแสดงออกถงึ การ
ยอมรบั วา่ มพี ระเป็นเจา้ องคเ์ ดยี วของอสิ ราเอล ซง่ึ มเี น้อื หาเกย่ี วกบั กาลอวสาน และภาพของกาลอวสานเหลา่ น้ี
ไดส้ อ่ื สารกบั เราวา่ ควรใสใ่ จในความซอ่ื ตรงตอ่ พระเป็นเจา้ องคเ์ ดยี วพระองคน์ ้ีตามพระสญั ญา
(ข) ยคุ สดุ ทา้ ยไดเ้ รม่ิ ขน้ึ แลว้ การแสดงออกถงึ การยอมรบั วา่ พระครสิ ตไ์ ดเ้ สดจ็ มาแลว้ พระองค์ คอื พระ
เยซูเจา้ แห่งนาซาเรธ็ ผทู้ รงเปิดเผยออกมาอยา่ งแน่ชดั ในความถ่อมตน สภุ าพและทรงรกั มนุษยอ์ ย่างมาก
มหาศาลจนยอมทนทุกขท์ รมาน ทรงเป็นพระเป็นเจา้ แตเ่ พยี งพระองคเ์ ดยี ว สารของนกั บุญมทั ธวิ ไมไ่ ดเ้ พย้ี นไป
จากประเดน็ หลกั เมอ่ื ทา่ นเชอ่ื มโยงภาพของอวสานตกาลของทา่ นเขา้ กบั การแสดงออกถงึ การยอมรบั ของทา่ นวา่
พระเยซูเจา้ ทรงเป็นพระครสิ ต์ ภาพหลอกลวงของพระเมสสยิ าหเ์ ทจ็ เทยี มทจ่ี ะมาถงึ เมอ่ื กาลสดุ ทา้ ยทน่ี กั บญุ
มทั ธวิ แสดงใหเ้ หน็ และรบั รใู้ กลเ้ ขา้ มา เป็นสง่ิ ทร่ี บั ฟังและพจิ ารณาอยา่ งรอบคอบมเี หตุผล หรอื เฝ้าระวงั ในสมยั
ของเรา โดยถอื เป็นคาพยากรณ์อนั เจาะจงวา่ จะมผี หู้ ลอกหลวงปรากฏตวั ขน้ึ ซง่ึ ภาพดงั กลา่ วกไ็ มใ่ ชส่ งิ่ ทค่ี วร
ละเลยไมใ่ สใ่ จโดยถอื วา่ เป็นความรอู้ นั ลา้ สมยั เกย่ี วกบั อวสานตกาลเชน่ กนั ภาพเหลา่ น้ยี งั คงสามารถพดู กบั สมยั
ของเราถงึ อนั ตรายทต่ี อ้ งการความใสใ่ จอย่างเรง่ ดว่ นของการยอมรบั หลกั การอ่นื ๆ วา่ เป็นทส่ี ดุ และเป็นการไถ่
ชวี ติ ของเราและโลกของเราในแบบอ่นื ๆ นอกเหนอื ไปจากแบบทเ่ี ปิดเผยออกมาในพระเยซูเจา้ ผทู้ รงเป็นพระเมส
สยิ าห์

* เชมา Shema Yisrael (or Sh'ma Yisrael; Hebrew: ‫" ; ְׂש ַמע ִי ְׂש ָר ֵאל‬Hear, [O] Israel") เป็นถอ้ ยคาสองคาของสว่ นหน่งึ แหง่ ธรรมบญั ญตั ิ และ

เป็นช่อื ของบทภาวนาเชา้ และเยน็ ของชาวยวิ วรรคแรกกล่าวถงึ แก่นสาระของการนบั ถอื พระเจา้ องคเ์ ดยี วของศาสนายดู าย คอื จงฟังเถดิ โอ้ ลกู หลาน
ของอสิ ราเอล พระสวามพี ระเป็นเจา้ ของเรา เป็นพระเป็นเจา้ พระองคเ์ ดยี ว (ภาษาฮบี ร:ู ‫) ְׁש ַמע ִי ְׁש ָר ֵאל ה' ֱאֹל ֵהינּו ה' ֶא ָחד‬, ซง่ึ บนั ทกึ ใน ฉธบ. 6:
4 ชาวยวิ เน้นคุณคา่ ของบทภาวนา เชมา เป็นคาภาวนาทส่ี าคญั มากทส่ี ดุ ในการปฏบิ ตั ศาสนกจิ ของศาสนายดู าย และกาหนดสวดภาวนาวนั ละ 2 ครงั้
ในฐานะเป็น ขอ้ คาสงั่ ศาสนกจิ ตามธรรมเนียมของชาวยวิ นิยมกลา่ วคาภาวนา เชมา เป็นคาสดุ ทา้ ยของการสนทนาหรอื อาลา และพอ่ แมส่ อนให้
ลกู หลานสวดภาวนากอ่ นนอน คาวา่ “เชมา” เป็นคายอ่ ของ เชมา ยสิ ราเอล! จาก ฉธบ. 6: 4-9, 11: 13-21 และ กดว. 15: 37-41 ซง่ึ เป็นบทอา่ น
ภาวนาสรรเสรญิ แหง่ ธรรมบญั ญตั ิ (Torah) ประจาสปั ดาห์ เรยี กวา่ Va'etchanan, Eikev, และ Shlach,ตามลาดบั

534


Click to View FlipBook Version