The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตรวจงานแปลมัทธิว 6

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by P. Tads, 2021-06-05 00:29:00

8. มัทธิว 6-1-18

ตรวจงานแปลมัทธิว 6

มทั ธิว 6-1-18: พิธีกรรมในพระวิหาร (The Temple Service)

Almsgiving: ใหท้ านคนยากจน Fasting & Prayer ถอื พรตอดอาหาร Praying ภาวนา

• The prayer service is built around Sukkot prayers at the Western Rosh Hashanah (Hebrew: ‫ר ֹאׁש‬
the Shema and Shemoneh Esrei Wallor Kotel ‫ ַה ָּׁש ָּׁנה‬, literally "head of the year")
prayers
• Torah reading is also an is the JewishNew Year.
important part of many services
• Knowing the organization of the The biblical name for this holiday
is Yom Teruah (Hebrew: ‫יֹום‬
prayer book will help you find your ‫) ְּתרּו ָּׁעה‬, literally "day [of]
place
shouting/blasting", sometimes
• There are a number of traditional
responses in prayer services translated as the Feast of

Trumpets.

ภาพรวม

ขอ้ ขดั แย้งเรอื่ งบทเทศน์สอนบนภูเขาอนั เป็นสถานทที่ พี่ ระเยซูเจ้าทรงตงั้ คาถามอนั เกยี่ วพนั กบั พระ

บญั ญตั เิ อกประการทสี่ องและก่อให้เกดิ การเปลยี่ นแปลงแบบถงึ รากถงึ โคนแบบใหม่ข้นึ มา ทสี่ ่งผลกระทบต่อ

บทบญั ญัติเก่าของธรรมบญั ญัติ ในความเขา้ ใจของพวกเขาเรอื่ งความยุติธรรมต่อพระพกั ตร์พระเจ้า มใิ ช่เรา

จะตอ้ งไมฆ่ า่ เทา่ นนั้ แต่เราจะตอ้ งใหเ้ กดิ การคนื ดกี นั ดว้ ย ตอ้ งไมม่ กี ารหยา่ รา้ งกนั อกี ต่อไป ใชเ่ พยี งแต่เราจะตอ้ ง

ยดึ ถอื ตามความยุตธิ รรม (แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน) เท่านัน้ แต่เราจะต้องยอมใหต้ วั เองถูกกระทาโดยไม่ตอบโต้

อะไรเลยดว้ ย เราตอ้ งรกั มใิ ช่เพยี งเพอื่ นบา้ นของเราเทา่ นนั้ แตต่ อ้ งรกั ศตั รขู องเราดว้ ย

จรยิ ธรรมสงู ส่งทบี่ ่งบอก ณ ทนี่ ้ีจะยงั คงทาใหผ้ คู้ นทุกภูมหิ ลงั ประหลาดใจอย่ตู ่อไปและประทบั ใจว่าช่าง

เป็นศลี ธรรมยงิ่ ใหญ่สงู สง่ ยงิ่ นกั เราเพยี งแต่หวนนึกถงึ ความสนใจทที่ ่านมหาตมะ คานธมี ตี ่อพระเยซเู จา้ ทมี่ าจาก

พระคมั ภรี ต์ อนเหล่าน้ี แต่สงิ่ ทพี่ ระเยซูเจา้ ตรสั ณ ทนี่ ้ีคอื สงิ่ ทเี่ ป็นความจรงิ หรอื ? มนั เป็นหน้าทขี่ องเรา คอื เป็นสงิ่

ทถี่ กู ตอ้ งตามกฎหมายหรอื ทเี่ ราจะประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ ชน่ น้?ี (ดงั ทมี่ ขี อ้ โตแ้ ยง้ เกยี่ วกบั พระเยซูเจา้ ทรงเป็นพระเมสสิ

ยาห์ ทรงอย่เู หนือธรรมบญั ญตั ิคอื เป็นอย่างไร) ศลี ธรรมบางอย่างจะไม่ทาลายระเบยี บสงั คมทเี่ ป็นอย่นู ัน้ หรอื ?

เป็นไปไดห้ รอื ทจี่ ะสรา้ งหมคู่ ณะประชากรกลุม่ หนงึ่ ขน้ึ มาบนพน้ื ฐานเชน่ น้?ี

การอธบิ ายความพระคมั ภรี เ์ ชงิ วชิ าการเมอื่ เรว็ ๆ น้ีไดร้ บั ความรูส้ าคญั ๆ หลายประการในปัญหาน้ี โดย

ทางการตรวจสอบเป็นพเิ ศษดโู ครงสรา้ งภายในของธรรมบญั ญตั แิ ละบทบญั ญตั ติ ่างๆ ของธรรมบญั ญตั ิ ทสี่ าคญั

เป็นอย่างยงิ่ สาหรบั ปัญหาของเรา คอื การวเิ คราะห์ส่วนทเี่ รยี กว่าหนังสอื แห่งพนั ธสญั ญา (อพย. 20 : 22 – 23:

167

19) บทบญั ญัตติ อนน้ีสามารถแยกแยะออกเป็นกฎหมายได้ 2 ชนิด คือทเี่ รยี กว่า กฎหมายพจิ ารณาโทษการ
กระทาผดิ (Casuistic Law) และกฎหมายสงั่ หรอื หา้ ม (Apodictic Law)

สงิ่ ทเี่ รยี กว่ากฎหมายพจิ ารณาโทษการกระทาผดิ กาหนดให้มกี ารจดั การทางกฎหมายในเรอื่ งสาคญั
พเิ ศษต่างๆ กล่าวคอื กฎหมายทกี่ ยี่ วกบั เรอื่ งการเป็นเจา้ ของกรรมสทิ ธแ์ิ ละเรอื่ งการพน้ จากความเป็นทาส เรอื่ ง
การถูกคนหรอื สตั วท์ ารา้ ยร่างกาย เรอื่ งการชดใชส้ งิ่ ทถี่ ูกขโมยไป และเรอื่ งอนื่ ๆ ไม่มคี าอธบิ ายทางเทววทิ ยาถูก
นาเสนอ ณ ทนี่ ้ี นอกจากขอ้ เสนอใหม้ กี ารพจิ ารณาโทษใหส้ าสมกบั ความผดิ ทไี่ ดก้ ระทา กฎบญั ญตั ทิ างกฎหมาย
ต่างๆ น้ี มาจากการถือปฏิบัติ และก่อให้เกิดเป็นตัวบทกฎหมาย (Legal Corpus) ทีม่ ุ่งปฏิบตั ิได้จรงิ ซึง่ ช่วย
เสรมิ สรา้ งระเบยี บทางสงั คมใหเ้ ป็นจรงิ ข้นึ มาสอดคลอ้ งกบั ความเป็นไปต่างๆ ของสงั คมในสภาพการณ์เฉพาะ
ทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละทางวฒั นธรรม

ในด้านน้ี ตัวบทกฎหมายทีเ่ ป็นปั ญหานั้นถูกกาหนดเงือ่ นไขทางประ วัติศาสตร์และเปิดสู่การ
วพิ ากษ์วจิ ารณ์ ซงึ่ บ่อยครงั้ เป็นสงิ่ จาเป็นทตี่ อ้ งทาดว้ ย อยา่ งน้อยกจ็ ากมมุ มองทางดา้ นจรยิ ธรรม แมแ้ ต่ในบรบิ ท
ของการออกกฎหมายในพระคัมภีร์พระธรรมเดิม ก็ยังมีการพัฒนาต่อไป บทบัญญัติใหม่กว่าขัดแย้งกับ
บทบญั ญตั เิ ก่าในเรอื่ งเดยี วกนั การมกี ฎหมายพจิ ารณาการกระทาผดิ เหลา่ น้ีทอี่ ยใู่ นบรบิ ทพน้ื ฐานของการมคี วาม
เชอื่ ในพระเป็นเจา้ ผเู้ ผยแสดงพระองคเ์ องบนภูเขาไซนาย หาใช่เป็นกฎหมายจากพระเป็นเจา้ โดยตรงไม่ แต่เป็น
กฎหมายทพี่ ฒั นามาจากการไดร้ บั บทบญั ญตั จิ ากพระเป็นเจา้ แลว้ ไดร้ บั การพฒั นาแกไ้ ขต่อมาเรอื่ ยๆ

ขอ้ เทจ็ จรงิ ของเรอื่ งน้ีกค็ อื ระเบยี บทางสงั คมตอ้ งสามารถพฒั นาไป ระเบยี บทางสงั คมน้ีจะต้องบ่งบอก
สภาพการณ์ทางประวตั ศิ าสตรท์ กี่ าลงั เปลยี่ นแปลงอยภู่ ายในขอบเขตจากดั ของสงิ่ ทเี่ ป็นไปได้ แต่กไ็ ม่สญู เสยี การ
มองจรยิ ธรรมเป็นมาตรฐานทที่ าใหก้ ฎหมายนนั้ มคี ณุ ลกั ษณะเป็นกฎหมายจรงิ ๆ โอลเิ วอร์ อารต์ สั (Oliver Artus)
และอีกหลายคนได้ช้ีให้เห็นว่า การทีป่ ระกาศกอิสยาห์ โฮเชยา อาโมส และมีคาห์ ต่างพากันกล่าววิจารณ์
กฎหมายพจิ ารณาโทษการกระทาผดิ (Casuistic Law) ถอื เป็นเรอื่ งทมี่ คี วามหมายยงิ่ แมว้ ่ากฎหมายนนั้ จะมอี ยู่
ในธรรมบญั ญตั กิ ต็ าม แต่ในทางปฏบิ ตั กิ ฎหมายนัน้ กลบั กลายเป็นรูปแบบของความอยุตธิ รรม สงิ่ น้ีเกดิ ข้นึ จรงิ
จากสภาพเศรษฐกจิ แบบเฉพาะของอสิ ราเอล เมอื่ กฎหมายน้ีมไิ ดช้ ่วยปกป้องคนยากจน หญงิ ม่ายและลูกกาพรา้
อกี ต่อไป แมว้ ่าบรรดาประกาศกอาจมองเหน็ การปกป้องคุม้ ครองนัน้ เป็นเจตจานงสูงสุดของพระเป็นเจา้ ผูท้ รง
ประทานกฎหมายนนั้ ใหพ้ วกเขากต็ าม

สงิ่ ทใี่ กลเ้ คยี งกบั คาวพิ ากษ์น้ีของบรรดาประกาศกมอี ย่ใู นสว่ นต่างๆ ของหนงั สอื พนั ธสญั ญา เป็นตน้ ใน
ส่วนทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ส่วนทเี่ รยี กว่ากฎหมายสงั่ หรอื หา้ ม (Apodictic Law) (อพย. 22: 20 – 23: 9-12) กฎหมายสงั่
หรอื หา้ มน้ีถูกประกาศออกมาในนามของพระเป็นเจา้ จรงิ ไม่มเี รอื่ งการลงโทษทเี่ ป็นรูปธรรมใดๆ บ่งช้ไี ว้: “ท่าน
จะตอ้ งไม่ขม่ เหงหรอื รงั แกคนต่างชาติ เพราะท่านทงั้ หลายกเ็ คยเป็นคนต่างชาตใิ นแผ่นดนิ อยี ปิ ต์ ท่านจะตอ้ งไม่
ขม่ เหงหญงิ หมา้ ย หรอื ลูกกาพรา้ ” (อพย. 22: 20-21) กฎเกณฑย์ งิ่ ใหญ่เหล่าน้ีก่อใหเ้ กดิ เป็นพ้ืนฐานสาหรบั การ
วพิ ากษ์ของบรรดาประกาศก โดยทาหน้าทเี่ ป็นกฎเกณฑ์มาตรฐานเพอื่ ทา้ ทายการออกกฎหมายทเี่ ป็นรปู ธรรม
ต่างๆ เพือ่ ว่าแก่นแท้สาคญั ของพระเป็นเจ้าในเรอื่ งกฎหมาย จะได้เป็นทีย่ อมรบั เป็นมาตรฐาน เป็นกฎของ
พฒั นาการทางกฎหมาย และเป็นกฎของระเบยี บทุกอย่างทางสงั คม เราเป็นหน้ีอย่างมากต่อ เอฟ กรูซมาน (F.
Crusemann) เรอื่ งสาระความรขู้ องเราในเรอื่ งทวี่ า่ น้ี ท่านผนู้ ้ีใชค้ าเรยี กกฎหมายสงั่ หรอื หา้ ม (Apodictic Law) ว่า
“กฎเกณฑส์ งู สดุ ” (Metanorms) ซงึ่ ใหเ้ วทรี องรบั การวพิ ากษ์วจิ ารณ์ขอ้ บญั ญตั ติ ่างๆ ของกฎหมายพจิ ารณาโทษ
การกระทาผดิ (Casuistic Law) กรูซมานอธบิ ายความสมั พนั ธ์ระหว่าง Casuistic Law (กฎหมายพจิ ารณาโทษ

168

การกระทาผดิ ) กบั Apodictic Law (กฎหมายสงั่ หรอื หา้ ม) โดยท่านแยกแยะใหเ้ หน็ ชดั ระหว่างคาว่า “Rules” (กฎ
หรอื กฎขอ้ บงั คบั ) อานาจในธรรมบญั ญตั อิ ย่ใู นระดบั ทแี่ ตกต่างกนั ไป อารต์ สั กล่าววา่ ในธรรมบญั ญตั มิ กี ารเสวนา
ต่อเนือ่ งกนั ระหวา่ งกฎขอ้ บงั คบั กบั กฎเกณฑส์ งู สดุ กฎเกณฑส์ งู สุดบ่งบอกถงึ ขอ้ เรยี กรอ้ งใหต้ อ้ งปฏบิ ตั ติ ามพนั ธ
สญั ญาเสมอไป โดยพ้นื ฐานแลว้ กฎเกณฑส์ งู สดุ นนั้ สะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ พระเป็นเจา้ ทรงเลอื กปกป้องผยู้ ากจนทมี่ กั จะ
ถกู ฉกชงิ ความยตุ ธิ รรมไปโดยงา่ ย และไมส่ ามารถรกั ษาความยตุ ธิ รรมสาหรบั ตนเองไวไ้ ด้

สิง่ ทีเ่ กีย่ วพันกับสิง่ สาคัญยิง่ คือ กฎเกณฑ์พ้ืนฐานในธรรมบัญญัติทีท่ ุกสิง่ ทุกอย่างต้องข้ึนอยู่กับ
กฎเกณฑ์น้ีกค็ อื การยนื ยนั ความเชอื่ ในองค์พระเป็นเจ้าหนึง่ เดยี ว (YHWH) กล่าวคอื พระเป็นเจา้ ผูเ้ ดยี วน้ีต้อง
ไดร้ บั การกราบนมสั การ แต่เมอื่ บรรดาประกาศกพฒั นาธรรมบญั ญตั ติ ่อๆ มา เวลาน้ีการมคี วามรบั ผดิ ชอบต่อคน
ยากจน หญงิ ม่ายและลกู กาพรา้ กค็ อ่ ยๆ ขน้ึ มาสรู่ ะดบั เดยี วกนั กบั การถวายนมสั การพระเป็นเจา้ ผเู้ ดยี วดว้ ย ความ
รบั ผดิ ชอบน้ผี สมผสานเขา้ กบั ภาพลกั ษณ์ของพระเป็นเจา้ อยา่ งพเิ ศษยงิ่ บทบญั ญตั ทิ างสงั คมเป็นบทบญั ญตั ทิ าง
เทววทิ ยา และบทบญั ญตั ทิ างเทววทิ ยากม็ ลี กั ษณะทางดา้ นสงั คมอย่ดู ว้ ย กล่าวคอื ความรกั ต่อพระเป็นเจา้ และ
ความรกั ต่อเพอื่ นมนุษยเ์ ป็นสงิ่ ทมี่ อิ าจแยกจากกนั ได้ และความรกั ต่อเพอื่ นมนุษยท์ ใี่ จในบรบิ ททเี่ ป็นการรบั รถู้ งึ
การประทบั อยเู่ วลาน้ขี องพระเป็นเจา้ ในผยู้ ากจนและออ่ นแอเหล่านนั้ กไ็ ดร้ บั การเน้นย้าชดั เจน ณ ทนี่ ้ี

ทุกสงิ่ เหล่าน้ีถอื เป็นสงิ่ สาคญั ยงิ่ หากเราจะเขา้ ใจบทเทศน์สอนบนภูเขาไดอ้ ย่างถูกต้อง ในธรรมบญั ญตั ิ
เองและในการเสวนาระหว่างธรรมบญั ญัตกิ บั บรรดาประกาศกต่อๆ มา เราก็เห็นแล้วถงึ ความขดั แย้งระหว่าง
กฎหมายพจิ ารณาโทษการกระทาผดิ ซงึ่ ก่อร่างโครงสรา้ งทางสงั คมของช่วงเวลาหนึง่ ข้นึ มา กบั กฎเกณฑส์ าคญั
แหง่ บทบญั ญตั ขิ องพระเป็นเจา้ ในแบบทกี่ ฎขอ้ บงั คบั ทปี่ ฏบิ ตั อิ ยจู่ าเป็นตอ้ งไดร้ บั การตรวจสอบ ไดร้ บั การพฒั นา
และไดร้ บั การปรบั ปรงุ แกไ้ ขอยเู่ สมอ (อา้ งแลว้ โยเซฟ รตั ซงิ เกอร,์ พระสนั ตะปาปาเบเนดกิ ต์ ที่16; หน้า 230-236)

การให้ทาน
1 “จงระวงั อยา่ ปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ของทา่ นตอ่ หน้ามนุษยเ์ พอ่ื อวดคนอ่นื มฉิ ะนนั้ ท่านจะไมไ่ ดร้ บั บาเหน็จจากพระบดิ าของท่าน

ผสู้ ถติ ในสวรรค์ 2 ดงั นนั้ เมอ่ื ทา่ นใหท้ าน จงอยา่ เป่าแตรขา้ งหน้าทา่ นเหมอื นทบ่ี รรดาคนหน้าซ่อื ใจคด มกั ทาในศาลาธรรมและ
ตามถนนเพอ่ื จะไดร้ บั คาสรรเสรญิ จากมนุษย์ เราบอกความจรงิ แก่ท่านทงั้ หลายวา่ เขาไดร้ บั บาเหน็จของเขาแลว้ 3 ส่วนทา่ น เมอ่ื
ใหท้ าน อยา่ ใหม้ อื ซา้ ยของทา่ นรวู้ า่ มอื ขวากาลงั ทาสงิ่ ใด เพอ่ื ทานของทา่ นจะไดเ้ ป็นทานทไ่ี มเ่ ปิดเผย 4 แลว้ พระบดิ าของท่านผู้
ทรงหยงั่ รทู้ ุกสง่ิ จะประทานบาเหน็จใหท้ ่าน
การอธิษฐานภาวนา

5 “เมอ่ื ทา่ นอธษิ ฐานภาวนา จงอยา่ เป็นเหมอื นบรรดาคนหน้าซ่อื ใจคด เขาชอบยนื อธษิ ฐานภาวนาในศาลาธรรม และตามมมุ
ลานเพอ่ื ใหใ้ ครๆ เหน็ เราบอกความจรงิ แก่ทา่ นวา่ เขาไดร้ บั บาเหน็จของเขาแลว้ 6 สว่ นท่าน เมอ่ื อธษิ ฐานภาวนา จงเขา้ ไปใน
หอ้ งสว่ นตวั ปิดประตู อธษิ ฐานตอ่ พระบดิ าของท่านผสู้ ถติ อยทู่ วั่ ทกุ แหง่ แลว้ พระบดิ าของท่านผทู้ รงหยงั่ รทู้ ุกสงิ่ จะประทาน
บาเหน็จใหท้ ่าน
วิธีอธิษฐานภาวนา บทภาวนาของพระเยซเู จ้า

7 “เมอ่ื ท่านอธษิ ฐานภาวนา จงอยา่ พดู ซ้าเหมอื นคนต่างศาสนา เขาคดิ วา่ ถา้ เขาพดู มาก พระเจา้ จะทรงสดบั ฟัง 8 อยา่ ทา
เหมอื นเขาเลย เพราะพระบดิ าของท่านทรงทราบแลว้ วา่ ท่านตอ้ งการอะไร ก่อนทท่ี า่ นจะขอเสยี อกี 9 เพราะฉะนนั้ ทา่ นทงั้ หลาย
จงอธษิ ฐานภาวนาดงั น้ี

“ขา้ แตพ่ ระบดิ าของขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย พระองคส์ ถติ ในสวรรค์
พระนามพระองคจ์ งเป็นทสี่ กั การะ

169

10 พระอาณาจกั รจงมาถงึ
พระประสงคจ์ งสาเรจ็ ในแผน่ ดนิ เหมอื นในสวรรค์
11 โปรดประทานอาหารประจาวนั แก่ขา้ พเจา้ ทงั้ หลายในวนั น้ี
12 โปรดประทานอภยั แก่ขา้ พเจา้
เหมอื นขา้ พเจา้ ใหอ้ ภยั แก่ผอู้ นื่
13 โปรดชว่ ยขา้ พเจา้ ไมใ่ หแ้ พก้ ารประจญ
แตโ่ ปรดชว่ ยใหพ้ น้ จากความชวั่ รา้ ยเทอญ
14 “เพราะถา้ ท่านใหอ้ ภยั ผทู้ าความผดิ พระบดิ าของท่านผสู้ ถติ ในสวรรค์ กจ็ ะประทานอภยั แก่ท่านดว้ ย 15 แต่ถา้ ทา่ นไมใ่ ห้
อภยั ผทู้ าความผดิ พระบดิ าของท่านกจ็ ะไมป่ ระทานอภยั แก่ท่านเชน่ เดยี วกนั ”
การจาศีลอดอาหาร

16 “เมอ่ื ท่านทงั้ หลายจาศลี อดอาหาร จงอยา่ ทาหน้าเศรา้ หมองเหมอื นบรรดาคนหน้าซ่อื ใจคด เขาทาหน้าหมองคลา้ เพอ่ื
แสดงใหผ้ คู้ นรวู้ ่าเขากาลงั จาศลี อดอาหาร เราบอกความจรงิ แก่ท่านวา่ เขาไดร้ บั บาเหน็จของเขาแลว้ 17 ส่วนท่าน เมอ่ื จาศลี อด
อาหาร จงลา้ งหน้า ใชน้ ้ามนั หอมใสศ่ รี ษะ 18 เพอ่ื ไมแ่ สดงใหผ้ คู้ นรวู้ า่ ทา่ นกาลงั จาศลี อดอาหาร แตใ่ หพ้ ระบดิ าของท่าน ผสู้ ถติ อยู่
ทวั่ ทกุ แหง่ ทรงทราบ และพระบดิ าของท่านผทู้ รงหยงั่ รทู้ กุ สงิ่ กจ็ ะประทานบาเหน็จใหท้ า่ น”

ข้อศึกษาวิพากษ์

ในตอนน้ี เราตดิ ตามต่อไปสู่ส่วนสาคญั สว่ นทส่ี อง คอื คาสงั ่ สอน (The Instruction) (เทยี บ ส่วนก่อนหน้าน้ีเป็น
เร่อื งของโครงสรา้ งบทเทศน์สอนบนภูเขา) ธรรมประเพณีในส่วนน้ีมาจากเอกสารแหล่ง M โดยแทรกเน้ือหาจากเอกสาร
แหล่ง Q (6: 9-13) และพระวรสารนกั บุญมาระโก (6:14-15) สาระเน้ือหาตอนน้ีไม่แสดงจุดเช่อื มโยงกบั บทเทศน์สอน
ยิ่งใหญ่ (the Great Sermon) ในเอกสารแหล่ง Q ซ่ึงนักบุญมัทธิวได้ละข้ามไปและไม่ได้นากลับมาใช้อีก
จนกระทงั ่ ถงึ 7:1 (ลก. 6:37)

หากเราแยก 6: 7-15 ออกมา ส่วนทเ่ี หลอื จะประกอบดว้ ยสามหน่วยทป่ี ระพนั ธข์ น้ึ ในรูปแบบท่เี กอื บจะ
เรยี กไดว้ า่ คขู่ นานกนั ทกุ อย่าง แต่ละหน่วยมที งั้ สว่ นทเ่ี ป็นประโยคปฏเิ สธและบอกเลา่

1 “เมอื่ พวกท่าน…” (พหพู จน์) 2ก 5ก 16ก

“จงอย่า...” อยา่ ทาเหมอื นพวกคนหน้าซอื่ ใจคด (พหพู จน์) 2ข-ค 5ข-ค 16ข-ค

“เพอื่ พวกเขาจะไดม้ ผี คู้ นเหน็ /สรรเสรญิ โดยมนุษย”์ 2ง 5ง 16ง

“เราขอกล่าวแก่พวกท่านว่า (พหูพจน์) พวกเขาได้รบั รางวลั ของพวก 2จ 5จ 16จ

เขาแลว้ ”

2 คาสงั่ แบบบอกเล่าทกี่ ล่าวกบั ศษิ ย์ (เอกพจน์) 3 6ก-ข 17

“เพอื่ ทวี่ า่ ” + อนุประโยคแบบ Infinitive (เอกพจน์) 4ก 6ค 18ก

“และพระบดิ าผทู้ รงเหน็ ทุกสงิ่ ในทลี่ บั ตาจะตอบแทนทา่ น (เอกพจน์) 4ข 6ง 18ข

คากรยิ าท่ีกล่าวกบั บรรดาศิษย์เป็นประโยคบอกเล่า ในช่วงแรกเป็นพหูพจน์ ส่วนในช่วงท่ีสองเป็น
เอกพจน์ในรปู ปฏเิ สธ โครงสรา้ งทส่ี มดุลคขู่ นานน้ีท่านนกั บุญไดแ้ ทรกเร่อื งการสวดภาวนาและบทภาวนา “ขา้ แต่
พระบดิ า” (6:7-15) ซ่งึ ในสาระเน้ือหาตอนน้ีประกอบดว้ ยสามหน่วยทส่ี อดคลอ้ งกบั โครงสรา้ งแบบไตรลกั ษณ์ของ

170

สาระเน้ือหาทงั้ สามตอนทถ่ี ูกสอดแทรกเขา้ มา คอื 6: 2 – 4, 5 – 6 และ 16 - 18 เน่ืองจากนกั บญุ มทั ธวิ ตอ้ งเป็นผู้
เติมส่วนน้ีเข้ามา ทงั้ สามหน่วยจึงต้องเป็นสาระแห่งธรรมประเพณีของนักบุญมทั ธิว (Matthean Tradition)
เน้ือหาเหล่าน้ีได้เรมิ่ ก่อตวั ขน้ึ และใชส้ อนกนั ในศาสนาครสิ ต์ผเู้ ป็นชาวยวิ มาตงั้ แต่ก่อนหน้าสมยั ชุมชนมทั ธวิ แลว้
และอาจเป็นคาพูดแท้จรงิ ของพระเยซูเจา้ ในพระชนม์ชพี ในประวตั ศิ าสตร์ จากนัน้ กลายมาเป็นคาสอนในธรรม
ประเพณีศกั ดสิ ์ ทิ ธใิ ์ นพระศาสนจกั รของนักบุญมทั ธวิ และเป็นหลกั ท่ีมอี ิทธิพลต่อแนวคดิ ทางเทววทิ ยาและ
คาศพั ท์ในภาษาของท่าน ท่านนกั บุญมทั ธวิ ไดน้ ามานิพนธโ์ ดยแทบจะไม่เปลย่ี นอะไรเลย เพยี งแค่เตมิ 6:1 เขา้
มาเป็นสว่ นนาหน้าใหก้ บั ตอนน้เี ทา่ นนั้

6:1-4 การให้ทานเมตตาจิต (Giving to Charity) 6:1 เป็ นส่วนนาหัวข้อสู่เร่ืองการปฏิบัติศาสนกิจ
เกย่ี วกบั การใหท้ าน การภาวนา และถอื พรตอดอาหาร ซง่ึ พระศาสนจกั รรบั สบื ทอดมาจากศาสนายดู ายภายใต้
คาศพั ทท์ วั ่ ไป dikaiosu"nh (คาวา่ dikaiosyne แปลวา่ “ความชอบธรรม/ความเทย่ี งธรรม” ในเน้ือหาทผ่ี า่ นมา แต่ในเน้ือหาตอนน้ี จะแปลว่า
“ความมใี จศรทั ธา” หรอื piety) ไม่มบี ญั ญตั ใิ ดเรยี กรอ้ งเป็นขอ้ บงั คบั ใหต้ อ้ งปฏบิ ตั กิ จิ ศาสนาสามประการน้ี สนั นิษฐานว่า
ศษิ ยข์ องพระเยซูเจา้ จะสบื สานต่อ เป็นกจิ จากใจศรทั ธาทร่ี บั มาจากองคป์ ระกอบพน้ื ฐานของศาสนกจิ ยดู ายเพ่อื
เป็นคุณลกั ษณะสว่ นหน่งึ ในชวี ติ (ปฏบิ ตั คิ วามเช่อื ศรทั ธา)ของพวกเขา

จากความหมายของคาขน้ึ ต้นดงั น้ี นักบุญมทั ธวิ ผกู เน้ือหาตอนน้ีเช่อื มโยงกบั เน้ือหาตอนก่อนหน้าน้ีใน
หวั ขอ้ เหมอื นกนั (เทยี บ คานาหน้าทเ่ี ป็นหวั ขอ้ เหมอื นกนั 5:20 สาหรบั ตวั อยา่ งทงั้ 6 ของ “ความชอบธรรมทเ่ี หนือกวา่ ”) สง่ิ น้ีแสดงว่าทา่ น
ไมช่ ส้ี อนถงึ ความแตกต่างระหวา่ งการอุทศิ ตนแด่พระเป็นเจา้ ในพธิ ถี วายสกั การะบชู า (6: 1-18) กบั การปฏบิ ตั ชิ วี ติ
ทงั้ ครบของบุคคล กิจความยุติธรรม และกิจความรกั ต่อมนุษย์ (5:20-48) ซ่ึงทงั้ หมดเรยี กว่า dikaiosyne หรอื
ความชอบธรรม

ในตวั อยา่ งทงั้ สาม คาขน้ึ ตน้ น้ีทาใหเ้ หน็ ชดั เจนวา่ จดุ ทเ่ี ป็นความขดั แยง้ ระหว่างพฤตกิ รรมของ “คนหน้า
ซ่อื ใจคด” กบั พฤตกิ รรมท่ศี ษิ ย์จะต้องปฏบิ ตั ิ ไม่ใช่เร่อื งพธิ ถี วายบูชาพระเป็นเจา้ ในท่สี าธารณะหรอื กจิ ปฏบิ ตั ิ
สว่ นตวั (นกั บุญมทั ธวิ ยอมรบั ทงั้ สอง) และไมใ่ ช่ความขดั แยง้ เรอ่ื งพฤตกิ รรมปฏบิ ตั ภิ ายนอกหรอื ภายใน (นกั บุญมทั ธวิ ยอมรบั
ทงั้ สอง เช่นกนั ) แต่ความขดั แยง้ เร่อื งแรงจูงใจในการกระทา คอื ทาเพ่อื ความยอมรบั และยกยอ่ งของมนุษย์ หรอื เพ่อื
“รางวลั ” ทเ่ี ป็นการยอมรบั จากพระเป็นเจา้ เป็นสงิ่ ทท่ี า่ นแยกแยะและชส้ี อนอยา่ งชดั เจน

คาว่า “คนหน้าซ่อื ใจคด”(Hypocrites) เป็นคาศพั ท์ท่เี ป็นกลางในภาษากรกี ตามตวั อกั ษรแลว้ หมายถงึ
“นกั แสดงบนเวท”ี แต่ในทน่ี ้ีสอ่ื ถงึ ผกู้ ระทาศาสนกจิ โดยทค่ี อยสงั เกตผชู้ มอยเู่ สมอ เราไมค่ วรนามาใชอ้ ยา่ งกวา้ งๆ
วา่ หมายถงึ “ชาวยวิ ” และไม่ควรนาเน้อื หาสว่ นน้ีมาใชเ้ ทยี บความขด้ แยง้ ระหว่างพธิ สี กั การะบชู าพระเป็นเจา้ ของ
ชาวยวิ กบั ชาวครสิ ต์ คาวพิ ากษ์วจิ ารณ์ท่เี หน็บแนมเร่อื งการทาตวั เคร่งศาสนาอย่างโออ้ วดเพ่อื ใหผ้ ูอ้ ่นื ยอมรบั
ลกั ษณะคล้ายกนั น้ีพบอยู่ในงานเขยี นของชาวยวิ ร่วมสมยั รวมถงึ คาสรรเสรญิ ผู้ท่หี ลกี เล่ยี งการทาตวั โอ้อวด
เชน่ นนั้ และแสวงหาการยอมรบั เฉพาะจากพระเป็นเจา้ เท่านนั้ ตวั อย่าง “ผทู้ บ่ี รจิ าคทรพั ยเ์ ป็นทานแบบลบั เป็นผู้
ยงิ่ ใหญ่กวา่ ทา่ นโมเสส” (Baba Batra 6b)

6:2-3 ความขดั แยง้ ท่นี ามาอธบิ ายแบบคา(ภาพ)อุปมาท่เี ด่นชดั ไม่ใช่ในความหมายตามตวั อกั ษร ตรง
ขา้ มกบั คาอธบิ ายท่นี ิยมกนั ทวั่ ไป ไม่เคยมหี ลกั ฐานปรากฏว่าในศาลาธรรมมกี ารเป่ าแตรประกาศเพ่อื เรยี กให้
ผคู้ นหนั มาสนใจการนาเสนอของถวายใหญ่โต แต่ความหมายของภาพอุปมาอนั ชวนคดิ น้ี เราสามารถเขา้ ใจได้
อยา่ งชดั เจน นอกจากน้ียงั เป็นไปไม่ไดต้ ามตวั อกั ษรทม่ี อื ขา้ งหน่ึงจะไมร่ วู้ ่ามอื อกี ขา้ งหน่ึงทาสงิ่ ใดอยู่ สงิ่ ทอ่ี ุปมา

171

น้มี ุ่งเน้นการประกอบศาสนกจิ ถวายพระเป็นเจา้ (ซง่ึ ในทน่ี ้คี อื การช่วยเหลอื คนยากจน) ควรกระทาเพอ่ื ใหพ้ ระเป็นเจา้ ทรง
เหน็ เทา่ นนั้

ความตงึ เครยี ดระหว่างเน้ือหาทก่ี ล่าวซ้าๆ เกย่ี วกบั ความเป็นสว่ นตวั รวมถงึ การกระทาดอี ย่างลบั ๆ และ
บญั ญตั ทิ บ่ี อกใหก้ ระทาสงิ่ เหล่านัน้ “ต่อหน้ามนุษย”์ ใน 5:16 เป็นคาประกาศสอนเก่ียวกบั การทาภารกจิ หน้าท่ี
ต่อสาธารณะชน มรี ปู แบบและวธิ กี ารแตกต่างกนั เป้าหมายของการกระทากแ็ ตกต่างกนั ไม่สามารถนามารวม
หรอื ทาให้เป็นเร่อื งเดยี วกนั ได้ เราอาจพบว่าเป็นอาการท่ีช่วยบรรเทาความเครยี ดลงไปบ้าง เน่ืองจากความ
แตกต่างของแรงจูงใจทอ่ี ย่เู บ้อื งหลงั แต่ละกรณี ถงึ กระนัน้ ความขดั แยง้ กย็ งั มอี ยู่ หากไม่เขา้ ใจวเิ คราะหแ์ ก่นแท้
และเจตคติภายในตน ซ่ึงมจี ุดมุ่งหมายเพ่ือผลงานหวงั ผลคุณค่าผิวเผนิ ภายนอกหรอื รางวลั ตอบแทนเพียง
ชอ่ื เสยี งเกยี รตยิ ศแกช่ วี ติ ภายนอกชวั่ คราว หรอื เพอ่ื รางวลั อนั เป่ียมคณุ คา่ ทไ่ี ดร้ บั จากพระเป็นเจา้ หลอ่ หลอมเป็น
เลอื ดเน้ือภายในแทจ้ รงิ ไม่ใช่กจิ การเพ่อื ตนเองหรอื กจิ แห่งความหยงิ่ จองหอง อวดตนเพ่อื คาชมเชยเฉพาะหน้า
แต่เป็นกจิ การเพ่อื ผอู้ ่นื เป็นกจิ การแห่งความรกั เป็นการกระทาทม่ี อบใหเ้ พ่อื ประโยชน์แก่เพ่อื นมนุษย์ เป็นกจิ
กุศลแท้จรงิ และทาเพ่อื พระสริ มิ งคลของพระเป็นเจา้ แม้ว่าจะมรี ูปแบบและแรงจูงใจท่แี ตกต่างกนั แต่ใน 5:16
กล่าวไวว้ า่ ผคู้ นไดเ้ หน็ กจิ การดเี หล่านนั้ เป็นกจิ การทก่ี ระทาเพอ่ื ประโยชน์ของพวกเขา เพอ่ื ชวี ติ ทด่ี กี วา่ หรอื เพอ่ื
นาพาพวกเขาส่พู ระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ และพวกเขากค็ วรได้เหน็ ไดต้ ระหนักและรบั เป็นข่าวดแี ห่งชวี ติ
ส่วนใน 6:3-4 กจิ การดขี องบุคคล หรอื เป็นกจิ การสะสมความดี ปฏบิ ตั เิ พ่อื ชวี ติ ของตนใหก้ ้าวหน้าในคุณธรรม
ความดี จงึ เป็นกจิ การทไ่ี ม่ควรทาใหค้ นอ่นื เหน็ เพราะไม่มเี ป้าหมายเพอ่ื ผอู้ ่นื หรอื ไมม่ เี ป้าประสงคเ์ พอ่ื ประโยชน์
และคุณค่าของเพอ่ื นพน่ี ้อง แต่เป็นเจตคตทิ ม่ี เี ป้าหมายเพอ่ื คุณค่าชอ่ื เสยี งสว่ นตนในการตอ้ งการการยอมรบั หรอื
ต้องการคาชมเชย ยกย่องสรรเสรญิ จากมนุษย์ วธิ กี ารจงึ เปล่ยี นไปเน้นใหท้ ุกคนได้เหน็ และยกยอหรอื ยกย่อง
ชมเชย อันสอดคล้องเป็นรางวลั หรอื ผลท่ีคาดหมายไว้ ความหมายจึงเปล่ียนไปในลกั ษณะดังกล่าว ไม่ว่า
แรงจูงใจของเราจะเป็นอย่างไรก็ตาม ความขดั แย้งน้ีอาจเกิดข้นึ ได้ หากวเิ คราะห์แต่เพียงภายนอกไม่เขา้ ใจ
เจตนาของท่านนกั บุญมทั ธวิ ทน่ี าธรรมประเพณีสองอย่างทต่ี ่างกนั มาเขยี นไวใ้ กลก้ นั เช่นน้ี น่าจะเป็นลกั ษณะวธิ ี
ทน่ี ักบุญมทั ธวิ ไดศ้ กึ ษาวเิ คราะห์ และทบทวนตคี วามใหม่อย่างเขา้ ถงึ พระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ โดยทางพระ
เยซูเจา้ จงึ ทาใหเ้ ราไดส้ มั ผสั รปู แบบการทางานของปรชี าญาณแห่งพระคมั ภรี ์ (Scribal Wisdom) (ดู ขอ้ คดิ ไตร่ตรอง

5:16)

6:4 คาว่า “อย่างเปิดเผย” (Openly) ท่พี บในพระคมั ภีร์ฉบบั KJV เป็นคาท่เี ตมิ ขน้ึ โดยธรรมาจารย์ใน
ตน้ ฉบบั รุ่นหลงั ๆ และไดม้ กี ารอา่ นในฉบบั แปลสมยั ตน้ ๆ บางฉบบั โดยปิตาจารยข์ องพระศาสนจกั ร แต่ไม่พบใน
เอกสาร B, D, f1, f13 และไม่ใชเ่ น้ือหาดงั้ เดมิ รางวลั ตอบแทนทจ่ี ะไดร้ บั นนั้ เป็นรางวลั แหง่ อนั ตกาล พระเป็นเจา้
จะทรงตอบแทนโดยทรงยอมรบั เราเขา้ สู่พระอาณาจกั รของพระองคแ์ ละมอบชวี ติ นิรนั ดร์ใหแ้ ก่เรา รางวลั ตอบ
แทนทเ่ี ป็นสง่ิ ของในโลกน้ไี มเ่ ป็นประเดน็ ทอ่ี ยใู่ นมมุ มองของนกั บุญมทั ธวิ

6:5-15 การภาวนา ธรรมประเพณีทท่ี ่านนักบุญมทั ธวิ ไดถ้ ่ายทอดสอนมามบี ทสอนเร่อื งการสวดภาวนา
ซง่ึ อย่ใู นรูปแบบความสาคญั เดยี วกบั บทสอนเร่อื งการใหท้ านและการถอื พรตอดอาหาร ท่านนักบุญมทั ธวิ ขยาย
เพิ่มเติมเน้ือหาแกนกลางเก่ียวกบั เร่อื งการภาวนา (6:5-6) ซ่ึงท่านอาจเรยี บเรยี งใหม่โดยย้ายตาแหน่งให้เป็น
เน้ือหาแก่นกลาง โดยการเตมิ ส่วนทแ่ี ตกต่างระหวา่ งการสวดภาวนาของ “คนต่างศาสนา” และของการภาวนาท่ี
ถูกตอ้ ง(Authentic Prayer)ของบรรดาศษิ ยข์ องพระเยซูเจา้ (ว. 7-8) บทภาวนาขา้ แต่พระบดิ า (ว. 9-13) และเงอ่ื นไข

172

ของการให้อภยั (ว. 14-15) ทาให้เน้ือหาเร่อื งการสวดภาวนาตอนน้ีกลายเป็นแกนกลางทางโครงสร้างและเทว
ศาสตรข์ องบทเทศน์สอนบนภเู ขา โดยมบี ทภาวนา “ขา้ แตพ่ ระบดิ า” อยตู่ รงกลาง (ดู หวั ขอ้ “โครงสรา้ ง” ดา้ นบน)

A : มธ. 5: 3-12
B : มธ. 5: 13-16
C : มธ. 5: 17-48; 6: 1-8
D : มธ. 6: 7 - 15
C’ : มธ. 6: 16-34
B’ : มธ. 7: 1-14

A’ : มธ. 7: 15-20, 21-28

6:5-6 ขอ้ ความตอนน้ีมสี าระคู่ขนานกบั ว. 1-4 และ 16-18 ส่อื ภาพอุปมาแสดงให้เลกิ ละท้งิ การสวด
ภาวนาแบบโอ้อวดเพ่ือต้องการให้มนุษย์ชมและกระตุ้นสอนให้ภาวนาต่อพระเป็นเจ้าโดยตรง ท่านนักบุญ
มทั ธวิ สอนใหเ้ หน็ ว่าการสวดภาวนาไม่ใช่กจิ กรรมเชงิ จติ วทิ ยา คานึงถงึ ผลต่อผสู้ วดและผู้รว่ มภาวนา แต่เป็นกจิ
ปฏิบตั ทิ ่ีมพี ระเจ้าเป็นศูนย์กลางเช่นเดยี วกบั พธิ บี ูชานมสั การอ่นื ๆ และเช่อื มนั่ ได้ว่าพระเป็นเจา้ ทรงรบั ฟังคา
ภาวนาตามทข่ี อของผนู้ มสั การสรรเสรญิ วงิ วอนอยา่ งแน่นอน

ตลอดหลายศตวรรษ นกั ตคี วามพระคมั ภรี ช์ าวครสิ ต์บางครงั้ อธบิ ายวา่ การภาวนาในลกั ษณะโออ้ วดและ
ไมจ่ รงิ ใจน้เี ป็นลกั ษณะธรรมดาทวั่ ไปของการสวดภาวนาของชาวยวิ ซง่ึ เป็นความเขา้ ใจผดิ พลาดอยา่ งมหนั ตแ์ ละ
เป็นการหมน่ิ ประมาท มงี านเขยี นของชาวยวิ ทานองน้ีทว่ี พิ ากษ์วจิ ารณ์การสวดภาวนาแบบเสแสรง้ แกลง้ ทาและ
โออ้ วด คนทห่ี น้าซ่อื ใจคดจะทาใหต้ นเองเป็นจดุ สนใจโดยการทาตวั เป็นคนเครง่ ศาสนาทส่ี วดภาวนาแบบโออ้ วด
อย่างโจ่งแจง้ ในศาลาธรรมหรอื หวั มุมถนน การสวดภาวนาต่อหน้าสาธารณะชนในศาลาธรรมถอื เป็นเร่อื งปกติ
เพราะศาลาธรรมเป็นสถานท่ีสาหรบั ภาวนา แต่การสวดภาวนาตามมุมถนนไม่ใช่เร่อื งปกติและไม่จาเป็น
เช่นเดยี วกบั ในสาระเน้ือหาตอนก่อนหน้าน้ีทห่ี า้ มการใหท้ านแบบโออ้ วดอยา่ งเปิดเผย สงิ่ ทไ่ี ดร้ บั การตดั สนิ วา่ ผดิ
ไม่ใช่ตวั การกระทา แต่เป็นเจตนาในการกระทาเพ่อื ให้มนุษย์ชมเชย พระเยซูเจ้าไม่ได้ออกกฎห้ามการสวด
ภาวนาในทช่ี ุมชนสาธารณะ พระองค์ทรงคาดหวงั ให้พระศาสนจกั รชุมนุมร่วมกนั ปฏบิ ตั กิ ารภาวนาในนามของ
พระองคต์ ่อพระบดิ าเจา้ สวรรค์ (18:19-20) ถา้ พระองคห์ า้ มการกระทาดงั กลา่ วกค็ งจะทรงเรยี กรอ้ งใหล้ ม้ เลกิ สถาบนั
วดั และศาลาธรรมทงั้ หมดแลว้ แต่สง่ิ ทพ่ี ระองคก์ ระทาคอื สงั่ ใหก้ ารสวดภาวนานัน้ กระทาต่อหน้าพระเป็นเจา้ เพยี ง
ผเู้ ดยี ว น่ีคอื ความหมายของขอ้ ความทว่ี ่าจงไปยงั หอ้ งดา้ นในหรอื หอ้ งทใ่ี ชเ้ กบ็ ของ (ในฉบบั KJV ใชค้ าว่า “Closet” หรอื
หอ้ งสว่ นตวั ขนาดเลก็ ) ใหพ้ น้ จากสายตาของผคู้ น เพอ่ื พดู คยุ กบั พระเป็นเจา้ โดยการสวดภาวนา การสวดภาวนานนั้ ไม่
จาเป็นตอ้ งอาศยั สถานทศ่ี กั ดสิ ์ ทิ ธิ ์แตจ่ ะไดร้ บั การอวยพรใหบ้ รสิ ุทธหิ ์ ากเป็นการพดู คยุ กบั พระเป็นเจา้ ในหอ้ งโล่ง
เลก็ ๆ ใดๆ เช่นเดยี วกบั ในสถานการณ์อ่นื ๆ ซ่งึ ไม่ใช่คาช้แี นะท่เี จตนาให้แปลตามตวั อกั ษร เพราะบางคนอาจ
เรยี กรอ้ งความสนใจจากผอู้ ่นื ดว้ ยการเขา้ ไปสวดภาวนาในหอ้ งชนั้ ในกไ็ ด้

ในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ มคี าสอนสนั้ ๆ เรอื่ งการอธษิ ฐานภาวนานาหน้าบทภาวนาของพระเยซูเจ้า
(บทขา้ แต่พระบดิ า) จุดหมายสาคญั ก็คอื เพอื่ เตือนเรอื่ งรูปแบบปลอมของการอธษิ ฐานภาวนา ซึง่ การภาวนา
จะตอ้ งไม่เป็นโอกาสโออ้ วดตวั เองต่อหน้าผอู้ นื่ การอธษิ ฐานภาวนาเรยี กรอ้ งใหม้ กี ารสารวมตน ซงึ่ เป็นสงิ่ สาคญั

173

ในเรอื่ งความรกั พระเป็นเจ้าทรงทกั ทายมนุษย์แต่ละคนโดยทรงเรยี กชอื่ ของเขา ซงึ่ คนอนื่ ไม่มวี นั รูไ้ ดเ้ ลยดงั ที่
พระคมั ภรี บ์ อกเรา (เทยี บ วว. 2: 17) ความรกั ของพระเป็นเจา้ ต่อมนุษยแ์ ต่ละคนเป็นเรอื่ งสว่ นบุคคลยงิ่ นกั และความ
รกั น้กี ร็ วมเอาธรรมล้าลกึ ของความเป็นบคุ คลหนงึ่ เดยี วไวด้ ว้ ย ซงึ่ ไมเ่ ป็นทเี่ ปิดเผยใหม้ นุษยผ์ อู้ นื่ รไู้ ดเ้ ลย

การสารวมตนเป็นสารตั ถะสาคญั ยงิ่ ของการอธษิ ฐานภาวนามิได้แยกการสวดภาวนาแบบส่วนรวม
ออกไป บทขา้ แต่พระบิดาเป็นบทสวดทกี่ ล่าวออกมาดว้ ยรปู บุรุษทหี่ นึง่ พหูพจน์ โดยเป็นสว่ นหนึง่ ของ “ขา้ พเจา้
ทงั้ หลาย” ผเู้ ป็นบุตรของพระเป็นเจา้ น้ีเท่านัน้ ทเี่ ราสามารถเขา้ ถงึ พระเป็นเจา้ เกนิ ขอบเขตจากดั ของโลกน้ีเป็น
ลาดบั แรก ถงึ กระนนั้ คาว่า “ขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย” น้ี กก็ ระตุน้ แก่นใจของบุคคลอนื่ ในการสวดภาวนา สงิ่ ทเี่ ป็นเรอื่ ง
ส่วนตวั โดยเฉพาะกบั สงิ่ ทเี่ ป็นเรอื่ งส่วนรวมกแ็ ผ่ซ่านเขา้ หากนั ((อา้ งแลว้ โยเซฟ รตั ซงิ เกอร,์ พระสนั ตะปาปาเบเนดกิ ต์ ที่16;

หน้า 239-240)

6:7-8 ส่วนน้ีเพ่ิมเติมเข้ามาในธรรมประเพณี (ดูด้านบน) การสวดภาวนาท่ีแท้จรงิ ผิดแผกแตกต่างไม่
เพยี งแต่การสวดของพวกคนหน้าซ่อื ใจคดในศาลาธรรมแต่เป็นการปฏบิ ตั แิ บบคนต่างศาสนาด้วย คาว่า “พูด
มาก” (Many Words) ในการสวดภาวนาของคนต่างศาสนา ไม่ได้ส่อื ถึงความยาวของถ้อยคาท่ีใช้เท่านัน้ คา
ภาษากรกี “Battalogeo” มคี วามหมายวา่ คลุมเครอื ไม่พบอย่ใู นพระคมั ภรี ฉ์ บบั เจด็ สบิ และมใี ชอ้ ยใู่ นพนั ธสญั ญา
ใหมเ่ ทา่ นนั้ อาจสอ่ื ถงึ การออ้ นวอนเทพเจา้ หลายองค์ หรอื การสวดซ้าไปซ้ามาแบบเป็นสตู ร หรอื ใชค้ าวนเวยี นไร้
สาระ ไม่สอ่ื ถงึ การวอนขออยา่ งจรงิ ใจ หรอื การเปล่งเสยี งทไ่ี มเ่ ป็นภาษา การพดู จาเหล่าน้ีทาไปโดยเชอ่ื ว่าคนเรา
ตอ้ งทาใหส้ งิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธนิ ์ ่าประทบั ใจหรอื น่าสนใจ หรอื ตอ้ งใชบ้ ทสวดภาวนาทถ่ี ูกตอ้ งเพอ่ื ใหแ้ น่ใจว่าการภาวนาจะ
ไดผ้ ลดี ดงั นนั้ พวกเขาจงึ เขา้ ใจว่าการสวดภาวนาทาหน้าทบ่ี งการควบคุมเพ่อื ประโยชน์สว่ นบุคคลของคนทส่ี วด
ในทางตรงขา้ ม นกั บุญมทั ธวิ แสดงภาพอุปมาใหเ้ หน็ วา่ การสวดภาวนาของชาวครสิ ตเ์ ป็นการแสดงออกถงึ ความ
ไวว้ างใจในพระเป็นเจา้ ผทู้ รงรคู้ วามปรารถนาวอนขอของเรากอ่ นทเ่ี ราจะขอเสยี อกี ดงั นนั้ การขอจงึ ไม่ใช่การแจง้
ขอ้ มลู หรอื บงการสงิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์แตเ่ ป็นการปรบั ตวั เราใหม้ คี วามไวว้ างใจและรบั รถู้ งึ ความตอ้ งการของตนเอง

และนีค่ อื อกี รปู แบบหนึง่ ทไี่ มถ่ กู ตอ้ งของการสวดภาวนาทพี่ ระเยซูเจา้ ทรงเตอื นเราไว้ กค็ อื การพดู พล่าม
อนั เป็นการใชค้ าพดู ฟุ่มเฟือยมากมายทปี่ ิดกนั้ จติ วญิ ญาณจนหายใจไมอ่ อก เราทุกคนคนุ้ เคยกบั อนั ตรายของการ
สวดไปเรอื่ ยๆ ตามสตู รของบทสวดต่างๆ ตามนิสยั เคยชนิ ของเราในขณะทใี่ จของเราลอยไปทอี่ นื่ เราตงั้ ใจสวด
เต็มทเี่ วลาทเี่ ราถูกผลกั ดนั ให้วอนขอบางสงิ่ ทีเ่ ราต้องการเป็นทสี่ ุดจากพระเป็นเจ้า หรอื ไม่ก็ถูกกระตุ้นข้นึ มา
ในทนั ทีด้วยใจปิติยินดีทีจ่ ะขอบพระคุณพระองค์สาหรบั สิง่ ดีงามต่างๆ ทีเ่ กิดข้นึ กับตัวเรา ทีส่ าคญั ทีส่ ุดคือ
ความสมั พนั ธข์ องเรากบั พระเป็นเจา้ ไม่ควรเป็นแบบสถานการณ์เพยี งชวั่ ครงั้ ชวั่ คราว แต่ความสมั พนั ธน์ ้ีควรจะ
เป็นอย่แู บบเป็นฐานรองรบั จติ วญิ ญาณของเรา เพอื่ ว่าความสมั พนั ธน์ ้ีควรจะตอ้ งไดร้ บั การฟ้ืนฟูใหม้ ชี วี ติ ชวี าอยู่
เสมอ และภารกจิ ต่างๆ ในชวี ติ ประจาวนั ของเรากค็ วรจะตอ้ งเชอื่ มโยงกลบั มาส่คู วามสมั พนั ธ์น้ีเสมอเช่นกนั ยงิ่
วญิ ญาณของเราถกู ชกั นาเขา้ สพู่ ระเจา้ ไดล้ กึ ซ้งึ มากขน้ึ เพยี งไร เรากย็ งิ่ จะสามารถอธษิ ฐานภาวนาไดด้ ยี งิ่ ขน้ึ เพยี ง
นนั้ ยงิ่ การสวดภาวนาเป็นพ้นื ฐานทชี่ ว่ ยค้าจุนความเป็นอยทู่ งั้ หมดของเราไดม้ ากขน้ึ เท่าไร เรากย็ งิ่ จะกลายเป็น
บุคคลผมู้ สี นั ตไิ ดม้ ากขน้ึ เท่านนั้ ยงิ่ เราสามารถอดทนความเจบ็ ปวดไดม้ ากเทา่ ไร เรากย็ งิ่ จะสามารถเขา้ ใจคนอนื่
และเปิดตวั เองแก่ผู้อืน่ ได้มากข้นึ เท่านัน้ การกาหนดทิศทางแบบน้ีก่อร่างสร้างรูปแผ่ซ่านไปทวั่ ความสานึก
ทงั้ หมดของเรา การประทบั อย่แู บบนิง่ เงยี บของพระเป็นเจา้ ในหว้ งแห่งความคดิ ของเรา การราพงึ ภาวนาของเรา
และการเป็นตวั ตนของเรา ทงั้ หมดน้ีเป็นสงิ่ ทีเ่ ราหมายถึง “การสวดภาวนาโดยไม่หยุดหย่อน” นีค่ ือสงิ่ ทีเ่ รา

174

หมายความถงึ ว่าเป็นความรกั ต่อพระเป็นเจา้ ซงึ่ ในเวลาเดยี วกนั กเ็ ป็นเงอื่ นไขและพลงั ผลกั ดนั เบอ้ื งหลงั ความรกั
ตอ่ พนี่ ้องเพอื่ นมนุษยข์ องเราดว้ ย

นีค่ อื สงิ่ ทกี่ ารอธษิ ฐานภาวนาเป็นจรงิ ๆ กล่าวคอื เป็นการสนิทสมั พนั ธอ์ ย่เู งยี บๆ ภายในกับพระเป็นเจา้
การอธษิ ฐานภาวนาน้ีต้องการการหล่อเล้ยี ง นีจ่ งึ เป็นเหตุผลว่าทาไมเราจงึ ต้องการการสวดภาวนาแบบเป็น
ถอ้ ยคา เป็นภาพ หรอื เป็นความคดิ ดว้ ย ยงิ่ พระเป็นเจา้ ทรงประทบั อย่ใู นตวั เรามากข้นึ เท่าไร เรากย็ งิ่ จะสามารถ
เป็นอย่กู บั พระองคม์ ากยงิ่ ข้นึ เพยี งนนั้ เมอื่ เรากล่าวอธษิ ฐานภาวนาออกมาเป็นถอ้ ยคา ทเี่ ป็นความจรงิ ดว้ ย การ
อธษิ ฐานภาวนานนั้ จะทาใหค้ วามสนิทสมั พนั ธข์ องเรากบั พระเป็นเจา้ นนั้ เป็นจรงิ และศกั ดส์ิ ทิ ธด์ิ ว้ ย การอธษิ ฐาน
ภาวนาของเราสามารถเกดิ ข้นึ และควรจะเกดิ ข้นึ มาเหนืออนื่ ใดจากหวั ใจทงั้ หมดของเรา จากความต้องการของ
เรา จากความหวงั ของเรา จากความละอายต่อบาปของเรา และจากความรสู้ กึ ขอบพระคุณพระเป็นเจา้ สาหรบั สงิ่
ดงี ามทเี่ ราได้รบั นัน้ ด้วย การสวดภาวนาสามารถเป็นและควรจะเป็นการอธษิ ฐานภาวนาของเราแบบส่วนตวั
ทงั้ หมด แต่เรายงั คงต้องการทจี่ ะใชค้ าภาวนาทแี่ สดงออกเป็นถ้อยคาให้เป็นการพบปะกบั พระเป็นเจ้า ตามที่
พระศาสนจกั รโดยรวมและสมาชกิ แต่ละคนของพระศาสนจกั รไดม้ ปี ระสบการณ์มาดว้ ย เพราะว่าหากปราศจาก
สงิ่ ช่วยเหลอื เหล่านนั้ สาหรบั การสวดภาวนาแลว้ การอธษิ ฐานภาวนาของเราเองและภาพลกั ษณ์ของพระเป็นเจา้
กจ็ ะกลายเป็นเพยี งเรอื่ งอตั วสิ ยั (Subjective) และจบลงด้วยการสะท้อนใหเ้ หน็ ตวั เราเอง มากกว่าจะสะทอ้ นให้
เหน็ พระเป็นเจา้ ผทู้ รงชวี ติ ในบทสวดภาวนาแบบเป็นสูตรทเี่ กดิ ข้นึ มาทแี รกจากความเชอื่ ของชนอสิ ราเอล แลว้
ต่อมากม็ าจากความเชอื่ ของสมาชกิ ของพระศาสนจกั รนนั้ เราไดม้ ารจู้ กั องคพ์ ระเจา้ และรจู้ กั ตวั เราเองดว้ ยเชน่ กนั
คาสวดภาวนาแบบเป็นสตู รเหล่านนั้ เป็น “โรงเรยี นแห่งการอธษิ ฐานภาวนา” ทแี่ ปรเปลยี่ นชวี ติ และเปิดชวี ติ ของ
เราใหก้ วา้ งขน้ึ (อา้ งแลว้ โยเซฟ รตั ซงิ เกอร,์ พระสนั ตะปาปาเบเนดกิ ต์ ที่16; หน้า 240- 243)

...พระสนั ตะปาปาเบเนดกิ ต์ ที่ 16 ได้ทบทวนและศกึ ษา..”ตอนทขี่ า้ พเจ้ากาลงั เจรญิ วยั ข้ืนมา ในช่วง
ทศวรรษ 1930-1940 ในตอนนัน้ มหี นังสอื ทเี่ ป็นแรงบนั ดาลใจใหข้ า้ พเจ้าเกยี่ วกบั พระเยซูเจา้ จานวนหนึง่ โดย
ผเู้ ขยี นหลายท่านทพี่ อจะเอ่ยนามได้ อาทิ คารล์ อาดมั , โรมาโน กวารด์ นิ ี, ฟรานซ์ มเิ กล วลิ ลมั , จโิ อวนั นี ปาปินี
และอองรี ดาเนียล ร็อปส์ เป็นต้น หนังสอื เหล่าน้ีให้เห็นภาพพระเยซูครสิ ตเจ้าโดยมีพระวรสารเป็นพ้ืนฐาน
หนังสือเหล่าน้ีนาเสนอพระเยซูเจ้าเป็นบุคคลผู้เจรญิ ชีวิตอยู่บนโลกน้ี ทรงเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ และใน
ขณะเดยี วกนั พระองคท์ รงนาพระเป็นเจา้ มาสมู่ นุษย์ โดยทรงเป็นพระบุตรผสู้ นิทเป็นหนงึ่ เดยี วกบั พระเป็นเจา้ ผทู้ ี่
เราสามารถมองเหน็ ไดโ้ ดยทางพระเยซูเจา้ ผทู้ รงเป็นมนุษยผ์ นู้ ้เี อง ดงั นนั้ ดวงตาของเราจงึ สามารถมองเหน็ ผเู้ ป็น
มนุษย์สมบูรณ์ได้..ต่อมา...รูดอล์ฟ ชเน็กเค้นเบอร์ก (Rudolf Schnackenburg) ได้ลงมือเขียนหนังสือทีเ่ ป็น
ผลงานสาคญั ยงิ่ ออกมาเล่มหนึง่ ชอื่ ว่า Jesus in the Gospels : A Biblical Christology (พระเยซูเจ้าในพระวร
สาร: ครสิ ตศาสตรต์ ามพระคมั ภรี )์ ...”หากปราศจากการปักหลกั ฝังแน่นอย่ใู นพระเป็นเจา้ แลว้ องคพ์ ระเยซูเจาก็
คงเป็นเพยี งเงาลางๆ ไม่ไดเ้ ป็นบุคคลจรงิ และเราไม่อาจช้แี จงอธบิ ายถงึ พระองคไ์ ดเ้ ลย” (ชเน็กเคน้ เบอรก์ , 1955 หน้า

322)

อนึง่ บรรดาประกาศกบ่งบอก...ในบรรดาเสน้ ทางเดนิ (การอพยพอนั แทจ้ รงิ )ของประวตั ศิ าสตร์ เสน้ ทาง
เดนิ ของพระเป็นเจา้ เป็นเสน้ ทางแทจ้ รงิ ทมี่ นุษยเ์ ราจะต้องแสวงหาให้พบ การเป็นประกาศกตามความหมายน้ี
เป็นเรอื่ งทคี่ วบค่กู นั ไปอย่างเคร่งครดั กบั การนบั ถอื พระเป็นเจา้ เพยี งหนึง่ เดยี วของชนอสิ ราเอล มนั เป็นการแปล
ความเชอื่ ลงสู่การดาเนินชวี ติ ประจาวนั ของหมู่คณะนัน้ ต่อพระพกั ตรพ์ ระเป็นเจา้ และเป็นการเดนิ ทางมุ่งไปสู่
พระองค์

175

“ไม่เคยมีประกาศกคนใดเกิดข้นึ ในอิสราเอลเหมือนโมเสส” คาประกาศตัดสินน้ีให้บรรยากาศแบบ
อนั ตกาลแก่คาสญั ญานัน้ ทวี่ ่า “พระเป็นเจ้าของท่านจะทรงบนั ดาลใหป้ ระกาศกเหมอื นขา้ พเจ้าเกดิ ข้นึ สาหรบั
ท่าน” ชนอสิ ราเอลไดร้ บั อนุญาตใหห้ วงั รอคอยโมเสสใหม่ว่า เป็นผทู้ ยี่ งั ไม่ปรากฏมา แต่เป็นผทู้ จี่ ะเกดิ ข้นึ มา ณ
เวลาทถี่ ูกกาหนดไวแ้ ล้ว และคุณลกั ษณะสาคญั ของ “ประกาศกผู้น้ี” คอื การทเี่ ขาสนทนากบั พระเป็นเจ้าตาม
ลาพงั ดุจเพอื่ นพดู คุยกบั เพอื่ นของตน สงิ่ สาคญั ทชี่ ว่ ยแยกแยะเขาใหเ้ ดน่ ชดั คอื การทเี่ ขามสี ายสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กบั
พระเป็นเจา้ ซงึ่ ทาใหเ้ ขาสามารถตดิ ต่อสอื่ สารกบั พระประสงคแ์ ละพระวาจาของพระเป็นเจา้ ในแบบทมี่ าจากต้น
กาเนิด และไม่ถูกทาใหผ้ ดิ เพ้ยี นเลย นนั่ กค็ อื การเขา้ มาช่วยใหร้ อดซงึ่ ชนอสิ ราเอลและทจี่ รงิ แลว้ มนุษยชาตเิ องก็
กาลงั เฝ้ารอคอยอยู่

ถงึ ตรงน้ี เราจาเป็นตอ้ งหวนไปนึกถงึ เรอื่ งเด่นเรอื่ งหนึง่ ทหี่ นงั สอื อพยพเล่าไวเ้ กยี่ วกบั ความสมั พนั ธข์ อง
โมเสสกบั พระเป็นเจา้ ตอนหนึง่ ในเรอื่ งนัน้ บอกเราว่า โมเสสทูลขอพระเป็นเจา้ ว่า “ขอใหข้ า้ พเจ้าแลเหน็ พระสริ ิ
รงุ่ โรจน์ของพระองคเ์ ถดิ ” (อพย. 33: 18) พระเป็นเจา้ ทรงปฏเิ สธคารอ้ งขอของเขาวา่ “ทา่ นจะดหู น้าเราไมไ่ ด”้ (อพย. 33:
20) โมเสสอยู่กบั พระเป็นเจ้าใกล้หินก้อนใหญ่ และพระเป็นเจ้าทรงผ่านไปพร้อมพระสริ ริ ุ่งโรจน์ของพระองค์
ในขณะเสดจ็ ผา่ นไป พระเป็นเจา้ ทรงใชพ้ ระหตั ถข์ องพระองคบ์ งั โมเสสไว้ แลว้ เอาพระหตั ถอ์ อกเพอื่ เขาจะไดเ้ หน็
ดา้ นหลงั “ทา่ นจะไดเ้ หน็ ดา้ นหลงั ของเรา แตท่ า่ นจะไมเ่ หน็ หน้าของเรา” (อพย. 33: 23)

ถอ้ ยความอนั ลกึ ล้าตอนน้ีเป็นสว่ นสาคญั ยงิ่ ในประวตั ศิ าสตรข์ องการเพง่ ฌานแบบชาวยวิ และชาวครสิ ต์
ถอ้ ยความตอนน้ีทาหน้าทเี่ ป็นเสมอื นพน้ื ฐานสาหรบั การพยายามวนิ ิจฉัยถงึ ว่า การตดิ ตอ่ กบั พระเป็นเจา้ ในชวี ติ น้ี
นัน้ จะสามารถเป็นไปได้แค่ไหน และของเขตของการเห็นภาพนิมติ แบบเพ่งฌานนัน้ ไปได้ถงึ จุดไหน ในเรอื่ ง
ปัญหาทวี่ า่ จุดสาคญั อยทู่ วี่ า่ ถงึ แมก้ ารตดิ ต่อสมั พนั ธโ์ ดยตรงของโมเสสกบั พระเป็นเจา้ จะสามารถทาใหท้ า่ นเป็น
คนกลางคนสาคญั ของการเผยแสดงองคข์ องพระเป็นเจา้ เป็นคนกลางของพนั ธสญั ญานนั้ แต่กย็ งั มขี อบเขตจากดั
โมเสสมไิ ดเ้ หน็ พระพกั ตรข์ องพระเป็นเจา้ ถงึ แมท้ ่านจะไดร้ บั อนุญาตใหเ้ ขา้ ไปอย่ใู นเมฆแห่งการประทบั อย่ขู อง
พระเป็นเจ้า และพูดคุยกบั พระองค์ดุจเพอื่ นได้ก็ตาม คาสญั ญาแห่งการมี “ประกาศกเหมอื นขา้ พเจ้า” จงึ แฝง
ความหมายภายในถงึ ความหวงั รอคอยทยี่ งิ่ ใหญ่กว่า กล่าวคอื ประกาศกสุดทา้ ยคอื โมเสสใหม่จะไดร้ บั มอบสงิ่ ที่
ประกาศกคนแรกนัน้ ถูกปฏิเสธ นัน่ คือ การได้เห็นพระพักตร์ของพระ เป็นเจ้าจริงๆ แบบใกล้ชิด และมี
ความสามารถจะพูดคุยกบั พระองค์ได้ตลอดเวลาทีม่ องดูพระองค์อยู่ มใิ ช่เพียงแค่เห็นพระองค์จากด้านหลงั
เท่านนั้ สงิ่ น้ีโดยธรรมชาตจิ งึ บ่งบอกถงึ การหวงั รอคอยยงิ่ กว่านนั้ ว่า โมเสสใหมจ่ ะเป็นคนกลางแห่งพนั ธสญั ญาที่
ยงิ่ ใหญ่กวา่ พนั ธสญั ญาเดมิ ทโี่ มเสสสามารถนาลงมาจากภูเขาซนี ายนนั้ ดว้ ย (เทยี บ ฮบ. 9: 11-24)

นีค่ อื บรบิ ททเี่ ราจาเป็นต้องอ่านในตอนท้ายของอารมั ภบท (Prologue) ของพระวรสารตามคาเล่าของ
นักบุญยอห์น ทวี่ ่า “ไม่เคยมใี ครเหน็ พระเป็นเจา้ เลย พระบุตรเพยี งพระองคเ์ ดยี ว ผสู้ ถติ อยู่ในพระอุระของพระ
บดิ านนั้ ไดท้ รงเปิดเผยใหเ้ ราร”ู้ (ยน. 1: 18) เป็นพระเยซูเจา้ ทที่ าใหค้ าสญั ญาถงึ ประกาศกใหม่สาเรจ็ สมบูรณ์ไปใน
พระองค์ สงิ่ ทไี่ ดเ้ ป็นจรงิ ถงึ โมเสสกเ็ ป็นเพยี งรูปแบบเพยี งเศษเส้ยี วทบี่ ดั น้ีสาเรจ็ สมบูรณ์ ไปในองคพ์ ระเยซูเจ้า
แล้ว นัน่ คอื พระองค์ทรงเจรญิ ชพี อยู่ตามลาพงั กบั พระเป็นเจ้า มใิ ช่ในฐานะเป็นเพอื่ น แต่ในฐานะเป็นพระบุตร
พระองคท์ รงเจรญิ ชพี สนิทสมั พนั ธแ์ น่นแฟ้นอยกู่ บั พระบดิ าของพระองค์

เราตอ้ งเรมิ่ จากตรงน้ี หากเราตอ้ งการจะเขา้ ใจจรงิ ๆ ถงึ รปู ลกั ษณ์พระเยซูเจา้ ดงั ทนี่ าเสนอแก่เราในพระ
คมั ภรี พ์ นั ธสญั ญาใหม่ ทุกสงิ่ ทเี่ ราไดร้ บั การบอกเล่ามาในเรอื่ งพระวาจา กจิ การ การบั ทุกขท์ รมาน และพระสริ ิ
รุ่งโรจน์ของพระองคน์ ัน้ กต็ งั้ อย่บู นสงิ่ น้ี นีค่ อื ศูนยก์ ลาง และถ้าเราละท้งิ ศูนยก์ ลางสาคญั ยงิ่ น้ี เรากพ็ ลาดทจี่ ะได้

176

เหน็ รปู ลกั ษณ์พระเยซเู จา้ วา่ เป็นเชน่ ไร แลว้ กจ็ ะกลายเป็นสงิ่ ทขี่ ดั แยง้ ในตวั เอง จนทสี่ ดุ จะไม่สามารถเป็นทเี่ ขา้ ใจ
ไดเ้ ลย ปัญหาทผี่ อู้ ่านพระคมั ภรี พ์ นั ธสญั ญาใหม่แต่ละคนตอ้ งถามกค็ อื คาสงั่ สอนของพระเยซูเจา้ นนั้ มาจากไหน
จะอธบิ ายอย่างไรถงึ เรอื่ งทพี่ ระองคท์ รงมาอย่ใู นประวตั ศิ าสตร์ ปัญหาดงั กล่าวสามารถหาคาตอบไดจ้ ากมุมมอง
ทวี่ า่ น้ี ปฏกิ ริ ยิ าของผฟู้ ังพระองคน์ นั้ ชดั เจนยงิ่ กล่าวคอื คาสงั่ สอนน้ีมไิ ด้มาจากสถาบนั ใดทงั้ ส้นิ นีเ่ ป็นคาสงั่ สอน
ทแี่ ตกต่างอย่างถงึ รากถงึ โคนกบั สงิ่ ทจี่ ะเรยี นรไู้ ดจ้ ากสถาบนั ใดๆ คาสงั่ สอนน้ีมใิ ช่มลี กั ษณะเป็นคาอธบิ าย หรอื
การแปลความหมายทสี่ อนกนั อยตู่ ามสถาบนั แต่เป็นคาสงั่ สอนทมี่ ลี กั ษณะเป็นการแปลความหมาย “ดว้ ยอานาจ”
...คาสงั่ สอนของพระเยซูเจา้ มใิ ช่เป็นผลผลติ จากการเรยี นรแู้ บบมนุษยไ์ มว่ ่าแบบใดกต็ าม คาสงั่ สอนน้ีเกดิ มาจาก
การตดิ ต่อสมั พนั ธ์ใกลช้ ดิ ของพระองคก์ บั พระบดิ า มาจากการสนทนากนั ตามลาพงั กบั พระบดิ า เป็นภาพของผู้
สถติ อยใู่ นพระอรุ ะของพระบดิ านนั้ คาสงั่ สอนน้เี ป็นถอ้ ยคาของพระบตุ ร หากปราศจากมลู ฐานภายในน้ีแลว้ คาสงั่
สอนของพระองคเ์ ป็นสงิ่ ทีผ่ คู้ นทมี่ คี วามรใู้ นสมยั ของพระเยซูเจา้ ถูกตดั สนิ ว่าเป็นแบบนัน้ เพราะพวกเขาไม่อาจ
ยอมรบั มลู ฐานภายใน คอื การเหน็ และการรจู้ กั พระเป็นเจา้ แบบใกลช้ ดิ นนั้ ได้

ครงั้ แลว้ ครงั้ เล่า ทพี่ ระวรสารใหข้ อ้ สงั เกตว่า พระเยซูเจา้ ทรงปลกี พระองค์ “ไปยงั ภูเขา” เพอื่ ใชเ้ วลาทงั้
คนื อธษิ ฐานภาวนา “ตามลาพงั ” กบั พระบดิ าของพระองค์ ขอ้ ความสนั้ ๆ เหล่าน้ีเป็นพ้นื ฐานช่วยใหเ้ ราเขา้ ใจถงึ
พระเยซูเจ้า กล่าวคอื ขอ้ ความเหล่านัน้ ช่วยเผยสงิ่ ปิดบงั ออกใหเ้ หน็ พระธรรมล้าลกึ นัน้ ใหเ้ ราเหน็ แวบหนึง่ ของ
การเป็นอยดู่ ุจผเู้ ป็นบุตรของพระเยซูเจา้ ใหเ้ ราเหน็ แวบหนึง่ ถงึ แหล่งทมี่ าของกจิ การ คาสงั่ สอน และการรบั ทุกข์
ทรมานของพระเยซูเจา้ การ “อธษิ ฐานภาวนา” ของพระเยซูเจา้ คอื การทพี่ ระบุตรทรงสนทนากบั พระบดิ า ความ
สานึกและความปรารถนาแบบมนุษย์ของพระเยซูเจ้า จิตวิญญาณมนุษ ย์ของพระองค์ถูกนาเข้ามาสู่การ
แลกเปลยี่ นนัน้ และเช่นน้ีเองที่ “การอธษิ ฐานภาวนา” แบบมนุษยจ์ งึ สามารถกลายมาเป็นการเขา้ มสี ่วนร่วมใน
การสนิทสมั พนั ธฉ์ นั บตุ รกบั พระบดิ าได้ (อา้ งแลว้ โยเซฟ รตั ซงิ เกอร,์ พระสนั ตะปาปาเบเนดกิ ต์ ที่16; หน้า 11..- 45)

6: 9-13 คอื บทภาวนา “ขา้ แต่พระบิดา” เป็นจติ ใจศรทั ธาสตั ย์ซ่ือต่อบทภาวนาน้ี นักบุญมทั ธวิ ใช้บท
ภาวนาขา้ แต่พระบดิ าเป็นรูปแบบสาคญั สาหรบั บรรดาศษิ ย์อย่างมนี ัยยะสาคญั อย่างยง่ิ ท่านนักบุญมทั ธวิ ได้
ปรบั เปลย่ี นตาแหน่งบทภาวนาน้ีใหม้ าอยู่เป็นแก่นกลางสาคญั ของบทเทศน์สอนบนภูเขา ทงั้ ในโครงสรา้ งและ
ความหมายดา้ นเทวศาสตร์ (ดู “โครงสรา้ งครา่ วๆ”)

บทภาวนาขา้ แต่พระบดิ าเป็นสาระสาคญั ชน้ิ หน่ึงของเอกสารแหล่ง Q อย่างแน่นอนชดั เจน (ดู ลก. 11:2-4)
และเป็นสาระสาคญั สว่ นหน่ึงของธรรมประเพณีและพธิ กี รรมในชุมชนของนกั บุญมทั ธวิ มาตงั้ แตย่ คุ แรกๆ เป็นบท
ภาวนาท่ปี ระกอบด้วยคานมสั การสรรเสรญิ หน่ึงครงั้ และคาวอนขอสองชุด ชุดละสามขอ้ คาวอนขอชุดแรกมี
จงั หวะแน่นอนและคล้องจองกนั เพราะทุกประโยคเรมิ่ ต้นด้วยประโยคคาสงั่ ของบุคคลท่สี าม (Third Person
Imperative) และลงท้ายด้วยคาว่า “ของพระองค์” (Your(s) or Thy ภาษากรกี “sou”) ส่วนแต่ละคาวอนขอในชุดท่ี
สอง มรี ปู แบบต่างๆ ของคาวา่ “เรา” (We ภาษากรกี “hemeis”) ซง่ึ เป็นทร่ี จู้ กั กนั ในนามว่า “คาวอนขอทงั้ สามสาหรบั
เรา” (The Three ‘We’ Petitions) แมว้ า่ บรบิ ทแวดลอ้ มของบทภาวนาน้จี ะสอ่ื ถงึ การสวดภาวนาแบบเป็นสว่ นตวั
แต่คาสรรพนามท่ีใช้กล่าวถึงมนุษย์มลี กั ษณะเป็นพหูพจน์ทงั้ หมด ซ่ึงแสดงถึงการสวดภาวนาด้วยกนั แบบ
รวมกลุ่ม บทภาวนาน้ีมีความคล้ายคลึงอย่างเป็นทางการกบั บทภาวนาอ่ืนๆ ของชาวยิวในศตวรรษท่ีหน่ึง
โดยเฉพาะบทภาวนา “แคดดชิ ” (Kaddish Prayer, ซง่ึ ใช้ในพธิ ศี พ) และบทสวดภาวนาขอพรสบิ แปดบท (the Eighteen
Benedictions) แตร่ ปู แบบปัจจุบนั นนั้ มาจากทา่ นนกั บุญมทั ธวิ และชุมชนของทา่ นเอง

177

เราสามารถสบื หารอ่ งรอยประวตั ศิ าสตรข์ องธรรมประเพณีของการสวดภาวนาตงั้ แต่สมยั พระเยซูเจา้ มา
จนถงึ สมยั นกั บญุ มทั ธวิ และจนถงึ ยคุ สมยั ปัจจุบนั ของเรา

(1) บทภาวนาของชาวยวิ ในศตวรรษทห่ี น่ึงกล่าวถงึ พระเป็นเจา้ ว่าเป็น “พระบดิ าของเรา” ภาวนาสรรเสรญิ
ขอใหพ้ ระนามของพระเจ้าและพระอาณาจกั รท่กี าลงั จะมาถงึ เป็นท่เี คารพสกั การะ และมลี กั ษณะอ่นื ท่ี
บรรจบคลา้ ยบทภาวนาขา้ แตพ่ ระบดิ า

(2) ในการไตร่ตรองถงึ ความเช่อื และพ้นื ภูมหิ ลงั ของพระองค์ของศาสนายูดาย พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดา
ศษิ ยเ์ ป็นตน้ แบบบทภาวนาในภาษาอราเมอกิ ซง่ึ เป็นภาษาสามญั ของชาวบา้ นทวั่ ไป ไม่ใช่ภาษาฮบี รทู ่ี
ใชใ้ นพธิ กี รรมในศาลาธรรมอยา่ งเป็นทางการ ขอ้ เทจ็ จรงิ น้ีบ่งชไ้ี ดจ้ ากการใชค้ าว่า “Abba” aba ()AbbA))
ซง่ึ แทนคาดงั้ เดมิ ว่า “พระบดิ า” “Father” (pa"ter pater; ดู ขอ้ ศกึ ษาวพิ ากษ์ 6:9) และการใชค้ าว่า “หน้ี” (hbj
hobâ) แทนคาว่า “บาป” ซ่ึงใช้ได้เฉพาะในภาษาอราเมอกิ เท่านัน้ บทภาวนาดงั้ เดมิ ของพระเยซูเจา้ มี
ความต่อเน่ืองจากบทภาวนาของชาวยวิ และมคี วามแตกต่างดว้ ย เช่น การใชค้ าทส่ี นั้ กระชบั และคาว่า
“Abba” อยา่ งโดดเด่น ไมม่ คี วามเป็นครสิ ตศาสตร์ (ทเ่ี หน็ ไดช้ ดั ) หรอื สงิ่ ใดทไ่ี มเ่ ป็นลกั ษณะแบบยดู ายในบท
ภาวนาน้ี จงึ เป็นบทภาวนาแบบศาสนสมั พนั ธร์ ะหวา่ งชาวยวิ และชาวครสิ ต์

(3) บทภาวนาน้ีมผี แู้ ปลเป็นภาษากรกี และเกบ็ รกั ษาไวใ้ นเอกสารแหล่ง Q รปู แบบสนั้ ๆ ทป่ี รากฏในเอกสาร
แหลง่ Q ไดน้ ามาสรา้ งใหมจ่ ากองคป์ ระกอบรว่ มกนั ในพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ และพระวรสารนกั บุญลกู า
และมคี วามใกลเ้ คยี งกนั อยา่ งมากกบั บทภาวนาดงั้ เดมิ ของพระเยซูเจา้

(4) นักบุญลูกาไดป้ รบั บทภาวนาน้ีจากต้นฉบบั ในแหล่งขอ้ มูลเอกสารแหล่ง Q เลก็ น้อยสาหรบั ครสิ ตจกั รท่ี
เป็นคนตา่ งชาติ (Gentile Church) และนามาบนั ทกึ ไวใ้ นพระวรสารของทา่ น ใน 11: 2-4

(5) ครสิ ตจกั รของนักบุญมทั ธวิ ซ่งึ พบจากหลกั ฐานผสู้ ง่ สารของชุมชนแหล่ง Q ไดร้ บั บทภาวนาน้ีมาใช้เป็น
ส่วนหน่ึงของ Q ตงั้ แต่เรม่ิ แรก ในกระบวนการจดั การและประกอบพธิ กี รรม บทภาวนาน้ีไดป้ รบั ตวั และ
คอ่ นขา้ งสอดคลอ้ งกบั ของศาสนาครสิ ตก์ ลุ่มชาวยวิ สมยั นกั บุญมทั ธวิ

(6) ผนู้ ิพนธ์พระวรสารนักบุญมทั ธวิ ผกู พนั ตนอย่างล้าลกึ กบั บทภาวนาและแนวคดิ หลกั ทอ่ี ย่ใู นบทภาวนาน้ี

(เช่น พระเป็นเจา้ คอื บดิ า, พระอาณาจกั รกาลงั จะมาถงึ , กระทาตามพระประสงคพ์ ระเป็นเจา้ , ความตอ้ งการทจ่ี ะรบั การอภยั จากพระเป็นเจา้

และการใหอ้ ภยั ผอู้ ่นื ) และไดบ้ นั ทกึ บทภาวนาน้ีใหเ้ ป็นแกน่ สาคญั ของบทเทศน์สอนบนภเู ขา ซง่ึ ไดแ้ ต่งมาจาก
คากล่าวสอนตามธรรมประเพณขี องพระเยซูเจา้
(7) บทภาวนาขา้ แต่พระบดิ าในรปู แบบของนักบุญมทั ธวิ มคี วามโดดเดน่ ในประวตั ศิ าสตรข์ องพระศาสนจกั ร
ในพระคมั ภรี ภ์ าษาละตนิ (the Vulgate) และพธิ บี ูชาขอบพระคุณของโรมนั คาทอลกิ บทภาวนาน้ีเน้น
จดุ สาคญั ของพธิ บี ชู าและชวี ติ ภาวนาของพระศาสนจกั รมานานกวา่ พนั ปี
(8) เม่อื มกี ารแปลพระคมั ภรี เ์ ป็นภาษาองั กฤษ รปู แบบของบทภาวนาขา้ แต่พระบดิ าในบทแปลฉบบั หลกั ๆ
ไดว้ างโครงสรา้ งใหก้ บั พธิ กี รรมของพระศาสนจกั รและการภาวนาแบบสว่ นบุคคล หนงั สอื บทภาวนาฉบบั
ดงั้ เดมิ ของนิกายแองกลคิ นั ได้นาบทภาวนาในพระคมั ภรี ฉ์ บบั แปล ไวคลฟิ ฟ์ (Wycliffe, 1380) ทนิ เดล
(Tyndale, 1526) และโคเวอรเ์ ดล (Coverdale, 1535) มาใช้ “โปรดใหอ้ ภยั ต่อการละเมดิ ของเรา(ขา้ พเจ้า
ทงั้ หลาย) เหมอื นเรา(ขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย)ใหอ้ ภยั ต่อผทู้ ไ่ี ดล้ ะเมดิ ต่อขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย1” รปู แบบน้ีกลายเป็นทน่ี ิยม

1 Forgive us our trespasses, as we forgive those who trespass against us

178

โดยทวั่ ไป ในประเทศท่ใี ช้ภาษาองั กฤษเป็นภาษาหลกั ทงั้ ในศาสนาครสิ ต์โรมนั คาทอลกิ และโปรเตส
แตนท์ แม้ว่าจะมกี ารแปลอกี แบบหน่ึงคอื “โปรดยกโทษความผดิ บาปของเราเหมอื นท่เี รายกโทษให้
ผอู้ ่นื 2” ซง่ึ อย่ใู นพระคมั ภรี ฉ์ บบั กษตั รยิ เ์ จมส์ KJV ซง่ึ เป็นฉบบั แทนคาแปลสมยั ก่อนหน้าและกลายเป็น
ฉบบั คาแปลแรกๆ ทน่ี ยิ มใชข้ องนกิ ายโปรเตสแตนทใ์ นอเมรกิ า
(9) เม่อื ภาษาองั กฤษมวี วิ ฒั นาการ มกี ารปรบั เปล่ยี นเล็กน้อยในฉบบั แปลสมยั ใหม่เพ่อื ให้บทภาวนาน้ีส่อื
ความหมายดงั้ เดมิ ออกมาในภาษาองั กฤษร่วมสมยั เพราะไม่มรี ูปแบบมาตรฐานของฉบบั แปลภาษา
องั กฤษร่วมสมยั สาหรบั ใชใ้ นพธิ กี รรมและการภาวนาส่วนตวั หลายๆ คนจงึ ยงั นิยมใชฉ้ บบั แปลเดมิ ท่ี
พวกเขาคุ้นเคย (เช่น คาว่า “การละเมดิ ” (Trespasses) หรอื “โทษบาป” (Debts)) และผลคอื ถ้อยคาท่มี าจากการแปล
ดว้ ยภาษาองั กฤษโบราณจงึ ยงั คงใชต้ ่อไปในชวี ติ ของครสิ ตจกั ร
6:9 การร้องวอนดัง้ เดิมท่ีพระเยซูเจ้าทรงขอต่อ “พระบิดา” (เหมือนใน ลก: 11:2) คาว่า “ในสวรรค์” (In
Heaven) หมายถงึ สถานทเ่ี รยี กขานของครสิ ตจกั รของนักบุญมทั ธวิ ทใ่ี ชใ้ นพธิ กี รรม ในศตวรรษทห่ี น่ึง ทงั้ ชาว
ครสิ ต์และชาวยวิ เรยี กขานพระเป็นเจ้าว่าเป็น “พระบดิ า” (Father) คาภาวนาออ้ นวอนในศาลาธรรมทวั่ ไปจะ
กล่าวถงึ “พระบดิ าของเรา องคร์ าชนั ยข์ องเรา” (Our Father, Our King) พระเยซูเจา้ ไดส้ ะทอ้ นถงึ วถิ ปี ฏบิ ตั ขิ อง
ชาวยวิ ซง่ึ พระองคท์ รงนามาดดั แปลงเองอย่างโดดเด่น ลกั ษณะหน่ึงของพระเยซูเจา้ คอื พระองคจ์ ะภาวนาถงึ พระ
เป็นเจา้ อยา่ งเรยี บงา่ ยว่า “พอ่ ” (Abba) ซง่ึ เป็นตน้ กาเนิดของคาวา่ “Pater” หรอื พอ่ ในฉบบั แปลภาษากรกี ทเ่ี รยี บ
งา่ ยและบ่อยครงั้ คาเดมิ น้ีใชท้ บั ศพั ท์ (มก: 14:36; รม:8:15, กท: 4:6) คาวา่ “Abba” ไมเ่ พยี งแต่เป็นคาทเ่ี ดก็ เลก็ ๆ ใชเ้ รยี ก
พ่อดว้ ยความรกั เหมอื นกบั คาว่า “ป๊ ะป๋ า” (Papa) แต่ยงั เป็นคาทผ่ี ูใ้ หญ่ใชเ้ รยี กพ่อของตนดว้ ย ซ่งึ แสดงใหเ้ หน็
ความสมั พนั ธ์ใกลช้ ดิ ระหว่างพระเยซูเจา้ กบั พระเป็นเจา้ สาหรบั พระเยซูเจา้ และนักบุญมทั ธวิ คาว่าพ่อไม่ใช่คา
ทวั่ ไปท่ใี ช้สาหรบั ความเป็นองค์พระเป็นเจ้า แต่สาคญั ท่สี ุดคอื เป็นถ้อยคาท่พี ระเยซูเจ้าท่ใี ช้ในความสมั พนั ธ์
ระหว่างพระองค์กับพระเป็ นเจ้า จากนัน้ พระองค์ทรงนาพาบรรดาศิษย์และมนุษย์ทัง้ หลายมารวมอยู่ใน
ความสมั พนั ธน์ ้ีดว้ ย ในฐานะลกู ๆ ของพระเป็นเจา้ หน่ึงเดยี ว พวกเขาจงึ เป็น “พน่ี ้องชายหญงิ ” กนั และเป็นพน่ี ้อง
กบั พระเยซูเจา้ ดว้ ย โดยรว่ มอย่ใู นความสมั พนั ธอ์ นั เป็นสว่ นตวั ระหว่างพระองคก์ บั พระเป็นเจา้ คาวา่ พ่อสาหรบั
พระเยซูเจา้ หมายถงึ บุคคลท่รี กั ใหอ้ ภยั และรวู้ ่าจะใหส้ งิ่ ดๆี แก่ลูกอย่างไร (7:11; ลก 15:11-32) คาท่สี ่อื ถงึ พระเป็น
เจ้าและจินตภาพท่ีเก่ียวข้องกับคาน้ีมีความสาคัญอย่างย่ิงสาหรบั นักบุญมัทธิวและผู้แพร่ธรรมคนอ่ืนๆ
โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ผู้นิพนธ์พระวรสารฉบบั ทส่ี ่ี ดงั น้ีเม่อื เราสวดภาวนาเรยี กองคพ์ ระเป็นเจา้ ว่า “ขา้ แต่พระบดิ า
ของขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย” ไดเ้ พราะเราไดร้ บั สทิ ธพิ ์ เิ ศษน้ีรว่ มกบั พระเยซูเจา้ พระบุตรแต่พระองคเ์ ดยี ว สว่ นเราเป็น
บตุ รทไ่ี ดร้ บั สทิ ธมิ ์ าจากพระเยซูเจา้ โดยทางความเชอ่ื และศลี ลา้ งบาป ในฐานะบุตรบุญธรรมของพระเป็นเจา้ เป็น
คาเรยี กขานพระเป็นเจา้ ท่ผี กู โยงร่วมกบั การภาวนาของพระบุตรเยซูครสิ ตเจา้ พระบุตรองคแ์ รก ส่วนเราครสิ ต
ชนเป็นบุตรพระเจา้ ในลาดบั ต่อมา จงึ สามารถเรยี กพระเป็นเจา้ เป็นพระบดิ า กล่าวคอื มนุษยไ์ ดร้ บั สทิ ธนิ ์ ้ีแมเ้ ป็น
คนบาป ผตู้ ่าตอ้ ยยง่ิ กว่าไม่เหมาะสมอย่างยงิ่ ประดุจทาสและไม่มสี ถานะศกั ดศิ ์ รใี ดๆ จะกราบทูลหรอื เรยี กขาน
พระเป็นเจา้ ไดเ้ ชน่ น้ี ชาวอสิ ราเอลยงั ไมก่ ลา้ ออกพระนามโดยตรงของพระเป็นเจา้ แตช่ าวอสิ ราเอลใหมไ่ ดร้ บั สทิ ธิ ์
พเิ ศษยงิ่ กว่าประชากรแห่งพนั ธสญั ญาเดมิ โดยทางพระบุตรพระเยซูครสิ ตเจา้ เราจงึ สามารถเรยี กองคพ์ ระเป็น
เจา้ วา่ “พระบดิ า” หรอื “พอ่ ” ได้

2 Forgive us our debts as we forgive our debtors

179

ภาษาท่สี ่อื ถงึ พ่อไม่เพยี งโดดเด่นอยู่ในส่วนต่างๆ เหล่าน้ี (6:1, 4, 6, 8, 9, 14, 15, 18) แต่ยงั พบบ่อยมากใน
สว่ นบทเทศน์สอนบนภูเขา (5:16, 45, 48; 6:26, 32: 7:11, 21) และในส่วนทเ่ี หลอื ของพระวรสารดว้ ย นักบุญมทั ธวิ และ
พระเยซูเจา้ ตามแบบของนกั บุญมทั ธวิ ยงั ใชภ้ าพลกั ษณ์หรอื ถอ้ ยคาอ่นื สอ่ื ถงึ พระเป็นเจา้ ดว้ ย รวมถงึ จนิ ตภาพสอ่ื
ความเป็น(มารดา)หญงิ แต่ส่วนใหญ่สอ่ื ภาพลกั ษณ์ของบดิ าเป็นแก่นศูนยก์ ลางของเทวศาสตรข์ องนกั บุญมทั ธวิ
และเป็นพน้ื ฐานในคาสอนของพระเยซูเจา้ อยา่ งเด่นชดั และไม่ลดทอนความโดดเดน่ เลย

6:9b-10 คาวอนขอ”พระองค์ท่าน(Thou)”สามประการ บทภาวนาข้าแต่พระบิดาเป็นเหมือนกับพิธี
นมสั การพระเป็นเจ้าอย่างแท้จรงิ มีพระเป็นเจ้าเป็นแก่นสาคญั ไม่ได้เรม่ิ ต้นด้วยความปรารถนาหรอื ความ
ต้องการของมนุษย์ แต่เรม่ิ ด้วยการถวายเกยี รติสรรเสรญิ แด่พระเป็นเจา้ ในฐานะทพ่ี ระองค์เป็นพระเป็นเจา้ คา
วอนขอสามประการแรกไม่ไดเ้ ป็นคาขอสาหรบั สามสงิ่ แต่ขอเหตุการณ์อนั ตกาล เพอ่ื ใหพ้ ระนามของพระเป็นเจา้
ไดร้ บั การเคารพสกั การะ พระอาณาจกั รของพระองค์จงมาถงึ และพระประสงคข์ องพระองค์จงสาเรจ็ ไป ดงั นนั้ คา
วอนขอทงั้ สามจงึ เป็นแงม่ ุมของสงิ่ ทค่ี าประกาศของพระเยซูเจา้ มุ่งเน้น คอื การมาถงึ ของพระอาณาจกั รพระเป็น
เจ้านัน่ เอง (ดูบทเสรมิ เร่อื ง “พระอาณาจกั รสวรรค์ในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ”) แต่ละคารอ้ งขอมลี กั ษณะอนั ตกาล โดยมผี ลใน
ปัจจุบนั คอื เรยี กรอ้ งใหม้ กี ารกระทาทส่ี อดคลอ้ งกนั เกดิ ขน้ึ แมแ้ ต่คาทก่ี ล่าวเรยี กวา่ “พระบดิ า” กม็ ลี กั ษณะสอ่ื ถงึ
ลกั ษณะอนั ตกาล เพราะการประกาศว่าบรรดาศษิ ย์มสี ถานะแห่ง “ความเป็นบุตรของพระเป็นเจา้ ” เป็นสงิ่ ทจ่ี ะ
ไดร้ บั การเปิดเผยในอนาคตในการพพิ ากษาครงั้ สุดทา้ ย แมว้ ่าจะสามารถสมั ผสั ไดใ้ นปัจจุบนั (ดู 5:9 และเทวศาสตร์ท่ี

เหมอื นกนั ใน รม 8:18-20)

“พระนามพระองคจ์ งเป็นทสี่ กั การะ” - นามหรอื ช่อื ในโลกของพระคมั ภรี น์ นั้ ไม่ได้เป็นเพยี งป้ายบอกทใ่ี ช้
เรยี กขาน แต่หมายถงึ ความเป็นจรงิ และการดารงอยขู่ องบุคคลนนั้ คาว่า “สกั การะ” (Hallow) หมายถงึ การไดร้ บั
เกยี รตใิ นฐานะเป็นผศู้ กั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ ดงั นนั้ คาวอนขอแรก คอื ขอใหพ้ ระเป็นเจา้ ไดร้ บั การถวายเกยี รตใิ นฐานะพระเป็น
เจา้ ในฐานะผศู้ กั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ ภาวะน้ีไม่ใช่ความปรารถนาศรทั ธาเพอ่ื แสดงออกถงึ ความเคารพพระเป็นเจา้ แต่เป็นคา
ภาวนาขอเหตุการณ์อนั ตกาลท่ีเฉพาะเจาะจงซ่ึงเป็นการกระทาของพระเป็นเจ้า (ดู อสค 36:23-33) คาภาวนามี
ลกั ษณะความใกลช้ ดิ และตรงไปตรงมา แต่ไมใ่ ชแ่ บบสนิทสนมเป็นกนั เอง ยงั คงรกั ษาความศกั ดสิ ์ ทิ ธอิ ์ นั น่าเคารพ
ยาเกรงของพระเป็นเจา้ และขอใหบ้ รรดามนุษยท์ งั้ หลายรบั รถู้ งึ สงิ่ น้ี

“พระอาณาจกั รจงมาถงึ ” – ลกั ษณะธรรมชาตแิ บบอนั ตกาลของบทภาวนาทงั้ หมดรวมอย่ใู นคาวอนขอน้ี
ซ่งึ เป็นขอ้ สรุปทุกสงิ่ เช่นเดยี วกบั คารอ้ งวอนขออ่นื ๆ ซ่งึ มมี ติ ทิ ส่ี ่อื ถงึ เวลาปัจจุบนั ดว้ ย สาหรบั พระเยซูเจา้ และ
ศษิ ย์ของพระองค์ พระอาณาจกั รไม่ได้เป็นเพยี งความจรงิ ในอนาคตท่จี ะปรากฏเม่อื โลกถงึ กาลส้นิ สุด แต่เป็น
ประสบการณ์ท่เี ป็นปัจจุบนั (ดูบทเสรมิ เร่อื ง “พระอาณาจกั รสวรรค์ในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ”) ในคาภาวนาเราต้องยอมรบั ว่า
พระเป็นเจ้าทรงเป็นพระเป็นเจ้า และสุดท้ายพระองค์จะทรงนากฎบญั ญัติของพระองค์เขา้ มาสู่โลก เราจะไม่
สามารถสวดบทภาวนาน้ีโดยไม่ยอมอุทศิ ถวายเจตจานงและการกระทาของเราเพ่อื ทาใหพ้ ระประสงคข์ องพระ
เป็นเจา้ สาเรจ็ ไปในปัจจุบนั และภาวนาขอใหค้ นอน่ื ๆ ยอมปฏบิ ตั ติ ามกฎบญั ญตั ขิ องพระเป็นเจา้ ในทน่ี ้แี ละตอนน้ี
ด้วย (ดู 6:10b และ 26:41) สาหรบั ชาวครสิ ต์ การยอมมอบตนเองเพ่อื ปฏบิ ตั ติ ามกฎบญั ญตั ขิ องพระเป็นเจ้าหมาย
รวมถงึ การเป็นศษิ ยข์ ององคพ์ ระเยซูครสิ ต์

“พระประสงคจ์ งสาเรจ็ ” – คาภาวนาไม่ใช่ภาพในตานานทแ่ี สดงความหมายว่า “พระอาณาจกั รของพระ
เป็นเจ้า” เป็นอย่างไร แต่แสดงความหมายของเน้ือหาว่าเป็นการกระทาตามพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า ใน
สวรรคน์ นั้ พระประสงคข์ องพระองคไ์ ดส้ าเรจ็ ไปแลว้ และเม่อื ทุกสงิ่ สาเรจ็ บรบิ ูรณ์ สรรพสงิ่ ทงั้ หมดจะตระหนกั ถงึ

180

พระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ ภาพลกั ษณ์ของพระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ คอื การกลบั มารวมกนั เป็นหน่ึงเดยี ว (re-
uniting) การทาใหโ้ ลกทต่ี ่อตา้ นพระองคก์ ลบั คนื สภู่ ายใตก้ ารปกครองอนั ชอบธรรมของพระผสู้ รา้ ง ดงั นนั้ สวรรค/์
โลกจงึ สอดคลอ้ งกบั ความเป็นอยจู่ รงิ แลว้ /ยงั ไม่เสรจ็ สน้ิ (Already/Not Yet)ของพระอาณาจกั ร ประโยคทว่ี า่ “พระ
ประสงคจ์ งสาเรจ็ ” ทใ่ี ชใ้ นพธิ ีกรรมของครสิ ตจกั รสมยั นกั บุญมทั ธวิ กลายเป็นสงิ่ ทส่ี าคญั มากสาหรบั นักบุญมทั ธวิ
จนท่านใช้เป็นแนวคดิ หลกั ของพระวรสาร พระเยซูเจา้ ทรงกล่าวคาภาวนาน้ีในสวนเกธเสมนี (26:42 เฉพาะในพระวร

สารนักบญุ มทั ธวิ )

6:11-13 คาขอ(We)สามประการสาหรบั “เรา” และกล่าวถงึ “ขนมปัง” (Bread) คาภาวนาเรยี บง่ายเป็น
ธรรมชาตเิ พอ่ื ขอขนมปังหรอื อาหารประจาวนั น้ี มกี ารตคี วามอย่างหลากหลาย

(1) เน่ืองจากบทภาวนาทงั้ บทเป็นลกั ษณะอนั ตกาล และในโลกทห่ี วิ โหย ขนมปังเป็นสญั ลกั ษณ์ทน่ี ิยม
ใชเ้ ป็นส่อื ถงึ พระพรแห่งอนั ตกาล (ดู 22:16; ลก. 14:15) คาภาวนาเป็นการขอปังอนั ตกาลแห่งการมาถงึ
ครงั้ สุดท้ายของอาณาจกั รพระเป็นเจ้า มแี นวคดิ ว่ามานนาจากสวรรค์จะปรากฏข้นึ อกี ครงั้ ในยุค
อวสานตกาล พร้อมกับเป็ นปังจากสวรรค์สาหรบั มนุษย์ทุกคน (ดู ยน. 6:22-58) การตีความแบบ
อนั ตกาลถ่ายทอดสอนกนั อย่างแพร่หลายในพระศาสนจกั รยุคตน้ ๆ ทงั้ ภาคตะวนั ออกและตะวนั ตก
ในความเขา้ ใจเช่นน้ี คาภาวนาดงั กล่าวคอื การวอนขอพระพรแห่งงานเลย้ี งของพระเมสสยิ าห์ ทซ่ี ่งึ
คนของพระเป็นเจา้ จะนงั่ ลงอยา่ งพรอ้ มเพรยี งกนั และมอี าหารเพยี งพอสาหรบั ทุกคน

(2) ขนมปังหมายถงึ ความต้องการต่างๆ ทางโลกตามปกติ สาหรบั บรรดาคนยากจน ทพ่ี ระเยซูเจา้ ได้
เจรญิ ชวี ติ อยแู่ ละสงั่ สอนพวกเขา คงเป็นเรอ่ื งยากทจ่ี ะตดั ความหมายขอ้ น้อี อกไป คาภาวนาเป็นการ
แสดงถงึ ความเป็นน้าหน่ึงใจเดยี วกนั ระหว่างพระเยซูเจา้ กบั คนยากจน ท่พี ระองค์จะทรงใส่ใจต่อ
พวกเขาสาหรบั การดารงชพี เพ่อื ความอย่รู อดในระดบั ต่า การสวดบทภาวนาน้ี แสดงถงึ ครสิ ตจกั ร
เป็นหน่งึ เดยี วกบั คนยากจนและผหู้ วิ โหยแหง่ โลก และเป็นคาภาวนาทก่ี อ่ จติ ใจใหผ้ ทู้ ม่ี ขี นมปังพรอ้ ม
ทจ่ี ะแบ่งปันแกผ่ ทู้ ไ่ี ม่มี

(3) เน่ืองจากบทภาวนาน้ีไดก้ ลบั กลายมาเป็นองคป์ ระกอบหน่ึงของพธิ บี ูชาขอบพระคุณ(ศลี มหาสนิท)
มาตงั้ แต่สมยั ต้นๆ “ขนมปัง” ในท่นี ้ีจงึ หมายถงึ ปังศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ แต่คงยากท่สี งิ่ น้ีจะเป็นส่วนหน่ึงของ
ความหมายดงั้ เดมิ ทพ่ี ระเยซูเจา้ ไดท้ รงบอกไว้ และไม่มสี งิ่ บ่งชใ้ี ดๆ บอกว่านักบุญมทั ธวิ ตคี วามคา
ภาวนาน้ีว่าหมายถงึ การขอบพระคุณ การตคี วามทด่ี ที ่สี ุดคอื การนาขอ้ (1) และขอ้ (2) มารวมกนั
คาภาวนาเป็นการรอคอยการมาถงึ ของพระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ ทจ่ี ะมขี นมปังสาหรบั ทุกคน และ
ภาวนาเป็นพเิ ศษสาหรบั สงิ่ จาเป็นฝ่ายรา่ งกายในชวี ติ ปัจจบุ นั

“ประจาวนั ” (Daily)- เป็นคาแปลดงั้ เดมิ จากคาภาษากรกี “epiousios” ทไ่ี ม่ใช่คาสามญั ธรรมดาทวั่ ไป ไม่
มใี ครรคู้ วามหมายของคาน้ีเพราะไม่พบในวรรณกรรมใดๆ ของชาวกรกี เลย นอกจากในงานเขยี นทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั
เน้ือหาน้ีเท่านัน้ ตามหลกั การของนิรุตศิ าสตร์ (วชิ าเกย่ี วกบั ประวตั แิ ละความหมายของคา) และคาแปลในสมยั โบราณ คาน้ี
อาจหมายถงึ “จาเป็น” “ต่อเน่ือง” “สาหรบั วนั น้ี” หรอื “สาหรบั พรุ่งน้ี” หลกั ฐานทางภาษาศาสตรท์ ด่ี ที ่สี ุดช้ไี ปท่ี
ความหมาย “สาหรบั พรุง่ น้ี” ซง่ึ ไดจ้ ากงานเขยี นภาษาอราเมอกิ ในพระวรสารของชาวนาซารนี แต่ดเู หมอื นว่าการ
ขอในวนั น้ีเพอ่ื ขนมปังของวนั พรุ่งน้ี ดจู ะขดั แยง้ กบั ขอ้ ความใน 6:31, 34 แต่สงิ่ ทข่ี อ้ ความเหล่าน้ีสงั่ หา้ ม ไมใ่ ชก่ าร
ขอสงิ่ จาเป็นสาหรบั พรงุ่ น้ี แต่เป็นความวติ กกงั วลเกย่ี วกบั วนั พรุ่งน้ี คนทท่ี างานใชแ้ รงงาน ตอ้ งหากนิ แบบวนั ต่อ

181

วนั สามารถอธษิ ฐานขอขนมปังสาหรบั วนั พรุ่งน้ีได้ (โดยเฉพาะในการภาวนาตอนเยน็ ) โดยไม่ต้องรู้สกึ ผิดว่าตนเอง
ละโมบหรอื ปรารถนาทจ่ี ะกกั ตุนสง่ิ ตา่ งๆ

“หน้ีสนิ ” (Debts) – ในตอนแรก อาจสงั เกตว่า นักบุญยอหน์ ผูท้ าพธิ ลี า้ ง นักบุญเปาโล และเทวศาสตร์
พระคมั ภรี โ์ ดยทวั่ ไป ตดั สนิ ว่าความบาปโดยรวมของมนุษย์ (Universal Sinfulness) มอี ยู่ พระเยซูเจา้ ทรงสอน
โดยไม่ไดใ้ หเ้ หตุผลว่าคนทุกคนทม่ี าอย่ตู ่อหน้าองคพ์ ระเป็นเจา้ ผศู้ กั ดสิ ์ ทิ ธอิ ์ ย่ใู นฐานะของคนบาปทต่ี ้องการการ
อภยั จากพระเป็นเจา้ ความบาปในท่นี ้ี ถูกมองว่าเป็นหน้ีท่มี นุษย์คา้ งชาระต่อพระเป็นเจา้ หน้ีท่เี ราไม่อาจจ่าย
ชดเชยหรอื คนื ไดห้ มด (ดู 18:21-35) บรรดาศษิ ย์ไดร้ บั การสอนใหข้ อการอภยั จากพระเป็นเจา้ ดว้ ยความมนั่ ใจโดย
ปราศจากการสนั นิษฐาน เช่นเดยี วกบั ส่วนท่ีเหลอื ของบทภาวนาน้ี โดยหลกั ๆ แล้วคาวอนขอข้อน้ีเป็นแบบ
อนั ตกาล (“โปรดให้อภยั ขา้ พเจ้าในการพพิ ากษาครงั้ สุดท้าย”) แต่ก็เป็นคาวอนขอท่เี ก่ยี วกบั ความต้องการในปัจจุบนั ด้วย

(“โปรดใหอ้ ภยั ขา้ พเจา้ ในทน่ี ้แี ละขณะน้ี”)

การนาการให้อภยั ของมนุษย์ไปรวมกบั ของพระเป็นเจ้าในบทภาวนาของพระเยซูเจ้าและในเอกสาร
แหล่ง Q แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความเขา้ ใจเชงิ เหตผุ ลเกย่ี วกบั การใหอ้ ภยั ของนกั บุญมทั ธวิ การใหอ้ ภยั ของพระเป็นเจา้
นัน้ ไม่มเี ง่อื นไข และเกดิ ขน้ึ ก่อนท่มี นุษย์จะให้อภยั มนุษย์คนอ่นื ๆ รวมทงั้ เป็นพ้นื ฐานและเหตุผลท่เี ราให้อภยั
ผอู้ ่นื ดว้ ย แต่การภาวนาของการอภยั จากพระเป็นเจา้ คงเป็นสง่ิ ทไ่ี ม่อาจจนิ ตนาการไดส้ าหรบั คนทไ่ี ม่รจู้ กั การให้
อภยั ผอู้ ่นื (ดู 18:21-35) ทงั้ ในทน่ี ้แี ละสว่ นอ่นื ๆ ของบทภาวนา การกระทาของพระเป็นเจา้ และการกระทาของมนุษย์
เป็ นส่ิงท่ีไม่อาจแทนท่ีกันได้ เม่ือนามาจดั อยู่ในกรอบของการเรียงตามลาดับเวลา (Linear Chronological
Framework) การให้อภัยของพระเป็นเจ้าสอดคล้องกับเร่อื งการกระทาท่ีเสร็จเรยี บร้อยและยังไม่เสร็จครบ
สมบรู ณ์ (already/not-yet) ในศาสตรเ์ ร่อื งอวสานตกาลของนกั บุญมทั ธวิ มนุษยเ์ ราไดร้ บั การใหอ้ ภยั จากพระเป็น
เจา้ อย่างไม่มเี งอ่ื นไขและไมไ่ ดเ้ ป็นเพราะคุณความดขี องเราเอง ใครกต็ ามทไ่ี ดร้ บั สง่ิ น้ีจะตอ้ งอย่ใู นความสมั พนั ธ์
ใหม่ท่จี าเป็นต้องและสามารถให้อภยั ผูอ้ ่นื ดว้ ย การไดร้ บั การใหอ้ ภยั แบบน้ียงั ไม่เสรจ็ สมบูรณ์ และจะยงั ไม่สูญ
หายไป เมอ่ื ถงึ การพพิ ากษาครงั้ สดุ ทา้ ย การใช้ขนั้ ตอนแบบตรรกะน้ีหวนกลบั ไปยงั องคพ์ ระเยซูครสิ ต์(ผทู้ รงสอนให้
อภยั แก่ผทู้ ท่ี าผดิ ต่อตนในทุกครงั้ ทเ่ี ขาสานึกและขอคนื ดี มใิ ช่ 7 ครงั้ แต่ 7 ครงั้ 70 หน มธ. 18: 21-25)และเป็นวธิ กี ารทไ่ี ดร้ บั การรกั ษาไว้
ในบทภาวนาในเอกสารแหลง่ Q ซง่ึ ไดร้ บั การสบื ต่อมาจนถงึ นกั บญุ มทั ธวิ ในธรรมประเพณีเรอ่ื งพระเยซูเจา้ ทา่ น
นกั บุญมทั ธวิ นาสว่ นสาคญั น้มี าขยายใหเ้ หน็ ถงึ อนั ตรายของการถอื สทิ ธเิ ์อาเองวา่ ตนมพี ระหรรษทานของพระเป็น
เจ้าและกลายเป็ นคนไม่รู้จกั ให้อภัยผู้อ่ืน สารน้ีได้รบั การขยายความในข้อสรุปของบทภาวนาใน 6:14-15
โดยเฉพาะใน 18:21-35

“โปรดอย่านาเราไปส่กู ารผจญ แต่โปรดช่วยใหพ้ น้ จากความชวั่ รา้ ย” – ตงั้ แต่ยุคแรกเรม่ิ พระศาสนจกั ร
รสู้ กึ ไม่สบายใจจากคาขม่ ขทู่ เ่ี หน็ ไดช้ ดั เจนวา่ พระเป็นเจา้ อาจนาศษิ ยข์ องพระเยซูเจา้ เขา้ สกู่ ารประจญทดลอง จงึ
วงิ วอนไม่ให้เป็นเช่นนัน้ นับตงั้ แต่ภาษาละตนิ โบราณ มบี ทแปลมากมายท่พี ยายามหลกี เล่ยี งขอ้ สงสยั น้ี เพ่อื
สอดคลอ้ งกบั บทภาวนาน้ีโดยรวม วธิ ที ด่ี ที ส่ี ุดคอื ตคี วามหมายคาวอนขอน้ีวา่ ความหมายดงั้ เดมิ โดยหลกั ๆ แลว้
ส่อื ถงึ อนั ตกาล ในแนวคดิ เชงิ พยากรณ์ ก่อนทจ่ี ะถงึ ชยั ชนะครงั้ สุดทา้ ยของพระผเู้ ป็นเจา้ และพระอาณาจกั รของ
พระองค์ อานาจของมารรา้ ยจะเขม้ ขน้ ขน้ึ และประชากรของพระเป็นเจา้ จะตอ้ งสอู้ ดทนกบั ความยากลาบากและ
การถูกเบยี ดเบยี นขม่ เหง บรรดาศษิ ยข์ องพระองคไ์ ดร้ บั การสอนให้อธษิ ฐานภาวนาต่อพระเป็นเจา้ ผจู้ ะทรงนา
ทางประชากรของพระองค์ เพ่อื จะไม่ทรงนาพวกเขาเขา้ สู่ช่วงเวลาแห่งการทดลองนัน้ เพราะอาจมแี รงกดดนั
หนักมากจนความเช่อื ของพวกเขาตอ้ งพ่ายแพ้ (ดู 26:42 ประโยคลกั ษณะเดยี วกนั ) ดงั นัน้ “มารรา้ ย” (Evil One) จงึ เป็น

182

คาแปลทถ่ี ูกต้องของคาสุดทา้ ยในบทภาวนาน้ี (เช่นในพระคมั ภรี ฉ์ บบั NIV และ NRSV) ไม่ใช่คาว่า “ความชวั ่ รา้ ย” ทเ่ี ป็น
นามธรรม (KJV, RSV) แต่ถึงแม้จะมคี วามหมายดงั้ เดมิ ท่ีส่อื ถงึ อวสานตกาล คาอธษิ ฐานวอนขอให้พ้นจากการ
ทดลองและมารรา้ ยกม็ มี ติ ทิ เ่ี ป็นปัจจุบนั ดว้ ย ไม่ไดม้ องว่าการผจญล่อลวงและการทดลอง ทเ่ี ป็น “ปกตธิ รรมดา”
นนั้ คอื ความผดิ บาปเลก็ น้อย แต่มนั คอื การแสดงออกของอานาจของมารรา้ ยระดบั สงู สดุ ดว้ ย ศษิ ยไ์ ดร้ บั การอบรม
สงั่ สอนไม่ใหม้ องเร่อื งเหล่าน้ีเป็นสงิ่ ไมส่ าคญั แตค่ วรเหน็ วา่ มนั เป็นการคุกคามต่อ(การยนื ยนั เสรมิ พลงั จติ )ความ
ศรทั ธาและตระหนกั ตนในชวี ติ อธษิ ฐาน สวดภาวนาขอพระเป็นเจา้ ชว่ ยพวกเขาใหพ้ น้ จากความชวั่ รา้ ย

ธรรมประเพณีของตน้ ฉบบั ทเ่ี ขยี นดว้ ยลายมอื มคี าลงทา้ ยของบทภาวนาขา้ แต่พระบดิ าถงึ สบิ รปู แบบ ซง่ึ
เป็นพยานใหเ้ ห็นถงึ การนาไปประยุกตแ์ ละใชบ้ ่อยๆ ในชวี ติ ของครสิ ตจกั ร ตน้ ฉบบั ทเ่ี ก่าแก่ทส่ี ุดและดที ส่ี ุดไม่มี
คาลงทา้ ยเป็นเพลงสรรเสรญิ พระเป็นเจา้ สว่ นตน้ ฉบบั หลงั ๆ จานวนมากจะลงทา้ ยดว้ ยคาพดู ทก่ี ล่าวว่า “เพราะ
พระอาณาจกั ร พระอานุภาพ และพระสริ ริ ุ่งโรจน์เป็นของพระองค์ตลอดนิรนั ดร อาแมน” ในรูปแบบใดรูปแบบ
หน่ึง ซง่ึ ขอ้ ความน้ีมาจาก 1พศด. 29:11-13 ฉบบั แปลภาษาองั กฤษยุคแรกๆ (เช่น KJV) ไม่ได้สบื สานถงึ ตน้ ฉบบั
ภาษากรกี ทเ่ี ก่าแก่ทส่ี ุด เพราะตอนนนั้ ยงั ไม่มกี ารคน้ พบ ผลคอื รปู แบบภาษาองั กฤษโดยทวั่ ไปของบทภาวนาขา้
แต่พระบดิ าทใ่ี ชป้ ระกอบพธิ ีนมสั การสาธารณะ มกี ารลงทา้ ยเป็นบทสรรเสรญิ เพ่อื ความเหมาะสม แต่อย่างไรก็
ตาม ไม่น่าสงสยั เลยวา่ มนั เป็นการเสรมิ เตมิ ขน้ึ มาหลงั จากผา่ นยคุ สมยั ของนกั บุญมทั ธวิ ไปนานแลว้

6:14-15 เร่อื งความเช่อื มโยงระหว่างมนุษยแ์ ละการใหอ้ ภยั ของพระผเู้ ป็นเจา้ ดูความคดิ เหน็ เร่อื ง “หน้ี”
ใน 6:11-13 ทงั้ สองขอ้ ความน้ีคู่ขนานกบั มก. 11:25-26 ดงั นัน้ อาจเป็นคาอธบิ ายขอ้ พระคมั ภีร์ในพระวรสาร
นักบุญมาระโก ถ้าเป็นเช่นนัน้ ว. 14-15 กไ็ ม่ไดย้ กมาจากพระวรสารนักบุญมาระโกท่นี ามาใส่ไวต้ รงน้ี แต่เป็น
เน้ือหาทม่ี าจากแหล่ง M ทงั้ หมด หรอื มาจากธรรมประเพณีเฉพาะของนกั บุญมทั ธวิ หรอื ทเ่ี ป็นไปไดม้ ากกวา่ นนั้
คอื เป็นการปรบั แต่งของนักบุญมทั ธวิ เอง ในกรณีน้ี นกั บุญมทั ธวิ ไดเ้ ขยี นขอ้ ความขนานคู่หน่ึงทเ่ี ป็น “ประโยค
แห่งกฎศกั ดสิ ์ ทิ ธ”ิ ์ (Sentences of Holy Law) ซง่ึ มลี กั ษณะการสอนในรปู แบบของประกาศกชาวครสิ ต์ท่ีอภบิ าล
เตอื นสอนอยู่ในชุมชนของท่าน เพ่อื กระตุ้น(Drive Home)สู่ขอ้ สอนหลกั ของท่านท่วี ่า ผู้ท่วี อนขอการอภยั จาก
พระเป็นเจา้ กต็ อ้ งใหอ้ ภยั แกผ่ อู้ ่นื ดว้ ย

6:16-18 การอดอาหาร น่ีเป็นหน่วยท่ีสามของ “คาสอนศาสนา” (Cultic Catechism) ท่ีนักบุญมทั ธิว
รบั มา และท่านนามาใชส้ อนหลงั จากไดแ้ ทรกเพม่ิ ในคาสอนเร่อื งภาวนา การอดอาหารหมายถงึ การงดหรอื เวน้
รบั ประทานอาหารดว้ ยความสมคั รใจตามระยะเวลาทก่ี าหนดเพอ่ื เป็นสญั ลกั ษณ์ของการอทุ ศิ ตนทางศาสนา สว่ น
ใหญ่แลว้ มกั กระทาควบคู่กบั การสวมใส่ผ้ากระสอบและนาเถ้ามาโรยบนศรี ษะ รวมทงั้ งดการชาระลา้ งร่างกาย
พระคมั ภีร์พนั ธสญั ญาเดมิ กาหนดให้มวี นั อดอาหารร่วมกนั เพยี งหน่ึงครงั้ คอื วนั แห่งการชดเชยบาป (Day of
Atonement) (ลนต. 16) จากนนั้ ธรรมประเพณีของชาวยวิ กาหนดใหม้ เี พม่ิ อกี สองครงั้ คอื วนั ฉลองปีใหม่ (Rosh Ha-
Shanah) และวนั คร่าครวญ(Lamentation)ราลกึ ถงึ การท่กี รุงเยรซู าเลม็ ถูกทาลายโดยกษตั รยิ เ์ นบูคดั เนสซารเ์ ม่อื
586 ปีก่อนครสิ ตศกั ราชและโดยกษัตรยิ ์ติตัสในสากลศกั ราชท่ี 70 (Ninth of Ab) แต่เราไม่มผี ู้ใดรู้ว่าการอด
อาหารเหลา่ นนั้ มกี ารปฏบิ ตั อิ ย่างเป็นทางการในสมยั ของนกั บุญมทั ธวิ หรอื ไม่ อยา่ งไรกต็ าม มกี ารอดอาหารแบบ
สมคั รใจซง่ึ ชาวยวิ ทเ่ี ครง่ ครดั สามารถกระทาเพอ่ื เป็นสญั ลกั ษณ์แห่งการแสดงความเสยี ใจ การโศกเศรา้ คร่าครวญ
และการอุทศิ ตนใหก้ บั การภาวนา โดยกาหนดใหว้ นั จนั ทรแ์ ละวนั พฤหสั เป็นวนั ทเ่ี หมาะต่อการอดอาหารลกั ษณะ
น้ี สงิ่ ทเ่ี ราเหน็ คอื การอดอาหารอย่างสมคั รใจเป็นรายบุคคล สนั นิษฐานไดว้ า่ บรรดาศษิ ยไ์ ดก้ ระทาเชน่ น้ี (ดู เพม่ิ เตมิ

ใน 9:14:15)

183

ในคาสงั่ สอนกอ่ นหน้าน้ีเกย่ี วกบั การใหท้ านและการภาวนา ประเดน็ สาคญั คอื การกระทาดว้ ยความสมคั ร
ใจ มเี ป้าหมายเพ่อื ทาใหม้ นุษย์ท่พี บเหน็ ประทบั ใจหรอื ทาเพ่อื ถวายแด่พระเป็นเจา้ ดงั นัน้ บรรดาศษิ ย์จงึ ไดร้ บั
คาสงั ่ ไม่ใหก้ ระทาในสงิ่ ทด่ี งึ ดดู ความสนใจของผอู้ ่นื (เช่นสวมผา้ กระสอบ เอาขเ้ี ถา้ มาโรยศรี ษะ หรอื ไม่อาบน้าหวผี ม) ซง่ึ แสดงให้
เห็นชดั ว่ากาลงั อดอาหาร แต่ให้มกี ารล้างให้สะอาดและเจมิ น้ามนั ตามปกตปิ ระจาวนั เพ่อื ให้มแี ต่พระเป็นเจ้า
เท่านัน้ ท่รี บั รูถ้ งึ การอุทศิ ตนของพวกเขา แมว้ ่าสงิ่ น้ีจะไม่เหมอื นในตวั อย่างอ่นื ๆ ท่เี ป็นคาสงั่ เชงิ อุปมาทด่ี ูเกนิ
จรงิ (Metaphorical Hyperbolic Command) คอื ต้องการใหก้ ระทาตามตวั อกั ษร ถงึ กระนัน้ กไ็ ม่ใช่เป็นเพยี งการ
บญั ญตั กิ ฎหมาย แต่เป็นตวั อย่างของการอุทศิ ตนใหก้ บั พระเป็นเจา้ เพยี งผเู้ ดยี ว ซง่ึ ศษิ ยต์ อ้ งนามาปรบั ใชอ้ ย่าง
สรา้ งสรรคเ์ อง ทงั้ น้ีเพราะเป็นไปไดท้ บ่ี างคนจะปฏบิ ตั ติ ามคาสงั่ น้ีตามตวั อกั ษรแต่กส็ ามารถหาวธิ ีอวดใหต้ นเอง
เป็นทช่ี น่ื ชอบพอใจของผอู้ ่นื ในกจิ ศรทั ธาอยยา่ งเครง่ ครดั ของตน

ข้อคิดไตรต่ รอง
1. การภาวนาคอื เทววทิ ยา3 (ขอ้ คาสอนเก่ยี วกบั พระเป็นเจา้ ) และเทววทิ ยาหรอื เทวศาสตร์คอื การภาวนา คารล์

บารธ์ (Karl Barth) ยนื ยนั ไวอ้ ย่างถูกต้องว่า “สง่ิ แรกและสงิ่ ท่เี ป็นพ้นื ฐานของการปฏบิ ตั ติ นเชงิ ศาสนาคอื การ
ภาวนา” การภาวนา4คอื การกระทาเชงิ เทวศาสตร์ และเป็นกจิ การพน้ื ฐานเชงิ เทวศาสตร์ สงิ่ ทผ่ี ใู้ ดภาวนาขอ สงิ่
นนั้ จะสง่ ผลและแสดงออกถงึ เทววทิ ยาของผนู้ นั้ การใชบ้ ทภาวนาขา้ แตพ่ ระบดิ าในครสิ ตจกั รของนกั บุญมทั ธวิ สง่
ผลต่อเทววทิ ยาของท่าน การท่นี ักบุญมทั ธวิ ตดั สนิ ใจนาบทภาวนาข้าแต่พระบิดามาไวต้ รงแก่นกลางของคา
สอนเร่อื งบทเทศน์สอนบนภูเขาเป็นการสลายเส้นแบ่งระหว่างการบูชาพระเป็นเจ้าและเทววทิ ยา เพราะการ
ภาวนาคอื เทววทิ ยา แต่ไม่บ่อยนกั ทเ่ี ขา้ ใจเช่นนนั้ ดงั นนั้ ถอ้ ยคาของบารธ์ ทก่ี ล่าวไวด้ า้ นบน หลายครงั้ ถูกเขา้ ใจ
ผดิ ว่าเป็นการแนะนาแบบผู้เคร่งศรทั ธาว่าควรใช้เวลาภาวนาสกั ชวั่ ขณะหน่ึงก่อนท่จี ะทางานด้านเทวศาสตร์
(Theological Work) ประเดน็ ของบารธ์ (ซง่ึ คดิ วา่ ท่านนักบุญมทั ธวิ เหน็ ดว้ ย) คอื งานดา้ นเทวศาสตรโ์ ดยตวั มนั เองนนั้ คอื
ความพยายามท่จี ะเขา้ ใจความหมายปัจจุบนั ของคุณลกั ษณะของพระเป็นเจา้ ทม่ี าจากการเปิดเผยของพระองค์
แมใ้ นเวลาท่กี ารทางานดา้ นเทวศาสตรป์ ระสบปัญหาในการยนื ยนั ว่ามกี ารเปิดเผยจากพระผูเ้ ป็นเจา้ หรอื การท่ี
พระผูเ้ ป็นเจา้ ทรงตงั้ ใจท่จี ะกระทาสง่ิ ต่างๆ ผ่านทางพระครสิ ต์คอื ความจรงิ แท้ แต่การประสบปัญหาเช่นนัน้ คอื
การภาวนาในตวั ของมนั เอง เปรยี บเหมอื นการทย่ี าโคบปลุกปล้าต่อสูก้ บั ทตู สวรรคจ์ นกว่าจะไดร้ บั พระพร แมว้ ่า
จะตอ้ งเดนิ ขาเขยกกลบั ไปกต็ าม (ปฐก. 32) นกั บุญมทั ธวิ ตามพระคมั ภรี เ์ ป็นคนหน่ึงในทา่ มกลางสงั คมรบั บี ซง่ึ มคี า
คตวิ ่า “ผูท้ ่อี ่านศกึ ษาหน่ึงชวั่ โมงในสายพระเนตรของพระองค์ผูศ้ กั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ เท่ากบั หน่ึงชวั่ โมงแห่งการอธษิ ฐาน
ภาวนา ขอถวายพระพรแด่พระองค”์

2. ท่านสามารถบอกว่าคาพูดทค่ี นหน่ึงกล่าวสอนในวดั ไม่อาจทาใหเ้ รารไู้ ด้ว่าเขาเช่อื ในสงิ่ ใดเท่ากบั สง่ิ ท่ี
เขากระทาจนเป็นนิสยั บทภาวนาขา้ แต่พระบดิ าเป็นกิจการแสดงออกถงึ ความเช่อื ไม่ใช่ด้วยสง่ิ ท่ีบทภาวนา
กลา่ วถงึ เพยี งอย่างเดยี ว แตด่ ว้ ยสง่ิ ทบ่ี ทภาวนาหมายถงึ มกี ารคดิ สนั นิษฐานเชงิ มานุษยวทิ ยาวา่ บรรดาศษิ ยข์ อง

3 เทววิทยาหรอื เทวศาสตร์ (theology) ในความหมายอย่างแคบคอื วชิ าวา่ ดว้ ยพระเจา้ และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพระเจา้ กบั มนุษย์ ความหมายอยา่ ง
กวา้ งคอื การศกึ ษาเรอ่ื งศาสนา อทิ ธพิ ลของศาสนา ธรรมชาตขิ องความจรงิ ทางศาสนา อยา่ งเป็นระบบและมเี หตผุ ล จาก https://th.wikipedia.org/wiki
4 การภาวนา หรอื การสวดมนต์ การอธษิ ฐาน การอธษิ ฐานภาวนา (Prayer ภาษาองั กฤษ) รวมหมายถงึ การท่องจาพระคมั ภรี ท์ างศาสนา หรอื อ่าน
อ่านท่องจาพระคมั ภรี ์ และการสรรเสรญิ พระเจา้ ดว้ ยการรอ้ งเพลงสดุดี เพลงสรรเสรญิ (Hymn) การภาวนาวอนขอ อาจรวมความถงึ การแบ่งปันจาก
พระคมั ภรี ์ การราพงึ ไตรต่ รองทบทวนพระธรรมหรอื พระคมั ภรี ์ (Biblical Reflection or Reintepretation) เป็นตน้

184

พระเยซูเจา้ (และมนุษย์ทงั้ หลาย) จะต้องจรงิ ใจต่อตนเองเวลาท่สี วดภาวนา เน้ือหาส่วนน้ีไม่ใช่คาสงั ่ ใหส้ วดภาวนา
หรอื คาตเิ ตยี นในการไม่สวดภาวนา เพราะมกี ารยอมรบั อยแู่ ลว้ วา่ ผคู้ นโดยทวั่ ไปสวดภาวนา รวมทงั้ มกี ารยอมรบั
ว่ามนุษยเ์ องนัน้ ไม่สามารถอย่ไู ดด้ ว้ ยตนเอง แต่เป็นสงิ่ สรา้ งของพระผสู้ รา้ งท่ีแสดงองคเ์ ป็นพระบดิ าผูศ้ กั ดสิ ์ ทิ ธิ ์
การสวดภาวนาไมใ่ ชส่ ญั ญาณของความอ่อนแอ แตเ่ ป็นสญั ญาณของมนุษยธรรมทแ่ี ทจ้ รงิ การสวดภาวนาไม่ไดม้ ี
ไวเ้ ฉพาะเวลาทม่ี เี หตฉุ ุกเฉินเท่านนั้ แต่เป็นการสรรเสรญิ ดว้ ยความขอบคุณและยอมรบั วา่ เราตอ้ งพง่ึ พาพระองค์
อย่างแทจ้ รงิ

3. มคี นช่างคดิ มากมายไตรต่ รองวา่ เวลาทเ่ี ราภาวนานนั้ จรงิ ๆ แลว้ เราทาอะไร พระเป็นเจา้ มจี รงิ ไหม และ
พระเป็นเจา้ พระองคน์ ้ีทรงรอู้ ย่แู ลว้ ว่าเราจะขออะไรในการสวดภาวนาใช่หรอื ไม่ หากมพี ระเป็นเจา้ จรงิ พระองค์
จะทรงเป็นความดงี ามหรอื หากพระองคร์ อทจ่ี ะตอบคาภาวนาเฉพาะผทู้ ข่ี ออย่างถูกตอ้ ง การภาวนาจะสาคญั ได้
อย่างไร หากในเร่อื งเดยี วกนั มผี ภู้ าวนาขอผลลพั ธ์คนละอยา่ งหรอื เป็นผลลพั ธท์ ต่ี รงขา้ มกนั (ไม่คดิ ถงึ แต่เพยี งเร่อื งกฬี า

เท่านัน้ แมว้ ่าในการแข่งขนั ต่างๆ จะมกี ารอธษิ ฐานภาวนามากมาย ต่างฝ่ ายต่างขอให้ชนะ เร่อื งงานอาชพี ทุกคนขอให้กิจการงานของตนประสบ
ผลสาเรจ็ มากกว่าหรอื ดกี ว่าอกี คนหน่ึง และมกี ารขอบคุณพระเป็นเจา้ หลงั ไดร้ บั ชยั ชนะ แต่ยงั มเี ร่อื งการต่อสูท้ างการเมอื งระดบั ลกึ และสงครามต่างๆ
ดว้ ย)

สง่ิ ทพ่ี อจะช่วยไดบ้ า้ ง คอื เราตระหนกั วา่ คาภาวนาคอื ภาษาชนิดหน่ึง ไม่ไดม้ ลี กั ษณะเหมอื นกนั ทุกชนิด
คาศพั ทท์ ใ่ี ชใ้ นบทภาวนาไม่เหมอื นกบั คาศพั ทท์ เ่ี ราใชส้ มคั รขอเงนิ ทุนสนบั สนุนหรอื สมคั รงาน เน่ืองจากนักบุญ
มทั ธวิ ไดก้ ล่าวสอนว่า บทภาวนาขา้ แต่พระบดิ า ไม่ใช่การสาธยายใหข้ อ้ มลู (6:8) ทา่ นตระหนกั ดวี ่าภาษาของการ
ภาวนาอย่ใู นอกี หมวดหม่หู น่ึงของการเรยี นภาษา แตกต่างจากภาษาประเภทอ่นื ๆ แมก้ ระทงั่ ภาษาทางศาสนา
อ่นื ๆ คาภาวนาคอื ภาษาแห่งการสารภาพยอมรบั (Confession) คาว่า “ภาษาแห่งการสารภาพยอมรบั ” น้ี ไม่ได้
หมายถงึ แคก่ ารยอมรบั วา่ เรากระทาผดิ แตเ่ ป็นการกล่าวยอมรบั ความเชอ่ื ของตน เป็นภาษาทใ่ี หเ้ ราแสดงถงึ สง่ิ ท่ี
เราเช่อื มนั่ อย่างลึกซ้ึงท่ีสุดออกมา ภาษาเช่นน้ีไม่เพียงแต่แสดงอารมณ์ความรู้สกึ ออกมาเท่านัน้ แต่ยงั เป็น
ตวั แทนของความเป็นจรงิ ของชวี ติ มนุษย์ แมว้ ่ามนั จะแตกต่างจากภาษาทใ่ี ชแ้ สดงความเป็นจรงิ อ่นื ๆ คาภาวนา
เป็นภาษาทไ่ี ม่สามารถอนุมานได้ (Non-Inferential) กล่าวคอื คาภาวนาไม่สามารถแสดงออกมาเป็นการอนุมาน
เชงิ ตรรกะท่ตี ่อเน่ืองกนั ได้ คาอธษิ ฐานกล่าวในสง่ิ ท่ีผูภ้ าวนาต้องการกล่าวออกมา ไม่ได้กล่าวสง่ิ ท่ตี ้องการส่อื
ทางอ้อม เป็นภาษาภายในของชุมชนทม่ี คี วามเช่อื และคนภายนอกไม่อาจเขา้ ใจได้ ผูเ้ ช่อื ขอขนมปัง แต่ไม่ใช่
เพอ่ื เป็นการบอกความตอ้ งการของตนกบั สงิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธหิ ์ รอื เป็นการโน้มน้าวสงิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธทิ ์ ไ่ี ม่เตม็ ใจจดั หาสงิ่ นนั้ ให้
แต่เป็นการสารภาพความต้องการของเขาต่อหน้าพระเป็นเจ้าและประกาศว่าตวั เขานัน้ ต้องพง่ึ พาพระองค์ บท
ภาวนาสว่ นทข่ี อการอภยั บาปและขอการมาถงึ ของพระอาณาจกั รกเ็ ชน่ กนั เมอ่ื เราตระหนกั ถงึ ธรรมชาตบิ างอย่าง
ทม่ี อี ย่ใู นภาษาของการสวดภาวนา เราจะเป็นอสิ ระจากขอ้ จากดั และความลงั เลใจเกย่ี วกบั การภาวนา เช่น ฉัน
ต้องบอกสงิ่ น้ีกบั พระเป็นเจ้าไหมนะ? คาภาวนาของฉันจะเปล่ยี นใจพระเป็นเจ้าได้ไหมนะ? ฉันต้องการท่จี ะ
ภาวนาถงึ พระเป็นเจา้ ทย่ี อมปฏบิ ตั ติ ามสงิ่ ทผ่ี คู้ นเสนอแนะจรงิ หรอื เปล่า? เราเพยี งแค่สารภาพความตอ้ งการของ
เราและยกคาร้องขอและคาวอนขอของเราข้นึ หาพระองค์โดยไม่ต้องสงวนท่าที บทภาวนาขา้ แต่พระบดิ าคอื
ตน้ แบบของการทาเช่นนัน้ เน้ือหาสาระทน่ี ักบุญมทั ธวิ เขยี นจงึ ใหโ้ อกาสเราทาความเขา้ ใจธรรมชาตขิ องภาษา
แหง่ การภาวนาอยา่ งลกึ ซง้ึ

4. พระเยซูเจา้ ทรงใหต้ น้ แบบคาภาวนาแก่บรรดาศษิ ย์ ซ่งึ มลี กั ษณะคลา้ ยกบั ท่ีมอี ย่ใู นพระคมั ภรี ภ์ าคพนั ธ
สญั ญาใหม่ฉบบั ทเ่ี ก่าแก่ทส่ี ุดของเรา (ดูด้านบน) เราสามารถไตร่ตรองและนาบทภาวนาน้ีไปเทศนาสงั่ สอนใน

185

ฐานะเป็นบทภาวนาของพระเยซูเจา้ เน่อื งจากมบี างสง่ิ ในบทภาวนาทอ่ี ย่เู หนอื บรบิ ททางวรรณกรรมทงั้ หมดของ
พระคมั ภรี ภ์ าคพนั ธสญั ญาใหม่และนาพาเราเขา้ สพู่ ระสุรเสยี งของพระเยซูเจา้ สง่ิ น้ีแตกต่างจากการสอนเน้ือหา
ในพระคมั ภรี ์ เน่ืองจากบทภาวนาขา้ แต่พระบดิ าในภาคพนั ธสญั ญาใหม่เป็นการผสมผสานระหว่างงานเขยี นและ
หลกั การทางเทวศาสตรข์ องผนู้ ิพนธพ์ ระวรสารสองคน จากมมุ มองน้ี การเทศน์สอนจากบทภาวนาขา้ แตพ่ ระบดิ า
ทม่ี อี ย่ใู นพระวรสารนักบุญมทั ธวิ กบั ทม่ี อี ย่ใู นพระวรสารนักบุญลูกาจงึ น่าจะแตกต่างกนั และไม่เพยี งแค่ถ้อยคา
ไมก่ ค่ี าเท่านนั้ ในแต่ละพระวรสาร บทภาวนาคอื การแสดงออกถงึ หลกั การทางเทวศาสตรข์ องพระวรสารนนั้ เชน่
“พระอาณาจกั รจงมาถงึ ” ในทางคาพดู แลว้ ทงั้ สองพระวรสารเหมอื นกนั แต่ควรมกี ารใชบ้ ทเทศน์ บทเรยี น และ
บทไตร่ตรองทแ่ี ตกต่างกนั เพ่อื ใหเ้ หมาะสมกบั บรบิ ทของทงั้ สองกรณีน้ี เราควรตงั้ คาถามกบั แต่ละกรณีว่า “พระ
อาณาจกั รของพระเป็นเจา้ ” มคี วามหมายอย่างไรสาหรบั นกั บุญมทั ธวิ และนกั บุญลูกา ซง่ึ แตกต่างจากการถามว่า
พระเยซูเจ้าทรงหมายถงึ อะไร และสามารถตอบได้ง่ายกว่า เพราะเราสามารถยดึ พระวรสารนักบุญมทั ธวิ และ
พระวรสารนกั บุญลกู าเป็นหลกั ในการใหค้ วามหมายได้ แตเ่ ราไมร่ บู้ รบิ ทของการปฏบิ ตั พิ นั ธกจิ ของพระเยซูเจา้ ท่ี
จะบอกแก่เราไดว้ า่ “พระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ ” หมายถงึ อะไรสาหรบั พระองค์ การอธบิ ายและตคี วามหมาย
ในพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ (หรอื นกั บุญลูกา) ไม่อาจทาใหเ้ รารคู้ วามหมายในมุมมองของพระเยซูเจา้ ผ่านทางเน้ือหา
ดา้ นเทวศาสตร์ ธรรมประเพณี หรอื อคติ ถงึ กระนนั้ เน้อื หาสว่ นทธ่ี รรมดาอยา่ งบทภาวนาขา้ แตพ่ ระบดิ าไมไ่ ดเ้ ป็น
เพยี งการเรยี กใหค้ นหนั มาภาวนา แตเ่ ป็นการเรยี กใหเ้ ขา้ มาศกึ ษาดว้ ย ซง่ึ ทงั้ สองอยา่ งน้บี อ่ ยครงั้ เป็นสงิ่ เดยี วกนั

5. บทขา้ แต่พระบดิ าเหมอื นกบั พระบญั ญตั สิ บิ ประการ คอื เรมิ่ ตน้ โดยเน้นถงึ ความเป็นเอก (Primacy) ของ
พระเป็นเจา้ ซงึ่ โดยธรรมชาตจิ ะนาไปสกู่ ารคานงึ ถงึ หนทางอนั ถกู ตอ้ งของการเป็นมนุษย์ ณ ทนี่ ้ีดว้ ยทคี่ วามสนใจ
แรกสุดกค็ อื เสน้ ทางของความรกั ซงึ่ ในเวลาเดยี วกนั กเ็ ป็นเสน้ ทางแห่งการกลบั ใจดว้ ย ถา้ มนุษยจ์ ะตอ้ งวอนขอ
พระเป็นเจ้าในทางทถี่ ูกต้อง เขาจะต้องตงั้ มนั่ ในความจรงิ ซงึ่ กค็ อื พระเป็นเจา้ และพระอาณาจกั รของพระองค์
ตอ้ งมาก่อน (เทยี บ มธ. 6: 33) สงิ่ แรกทเี่ ราตอ้ งทากค็ อื เราตอ้ งออกจากตวั เอง และเปิดตวั เราใหพ้ ระเป็นเจา้ ไมม่ อี ะไร
สามารถออกมาถูกตอ้ งได้ ถา้ ความสมั พนั ธข์ องเรากบั พระเจา้ มไิ ดถ้ ูกจดั ลาดบั ใหถ้ ูกตอ้ ง เพราะเหตุผลน้ีเอง บท
ขา้ แต่พระบดิ าจงึ เรมิ่ ตน้ ดว้ ยพระเป็นเจา้ แลว้ จากจุดเรมิ่ ต้นน้ี แสดงใหเ้ ราเหน็ ถงึ วถิ ที างสู่การเป็นมนุษย์ ส่กู าร
คุกคามทรี่ ุมเรา้ มนุษย์ และเจา้ ความชวั่ ช้ารอคอยอยู่ กล่าวคอื เราอาจหวนนึกถงึ ภาพมงั กรในหนังสอื ววิ รณ์ที่
กาลงั ทาสงครามกบั “ผทู้ ปี่ ฏบิ ตั ติ ามบทบญั ญตั ขิ องพระเป็นเจา้ และยดึ มนั่ ในคาพยานถงึ พระเยซูเจา้ ” (วว. 12:17)

(อา้ งแลว้ โยเซฟ รตั ซงิ เกอร,์ พระสนั ตะปาปาเบเนดกิ ต์ ที่16; หน้า 249)

มทั ธวิ 6:19-7:12 คาสงั่ เพมิ่ เตมิ ในความชอบธรรมทแ่ี ทจ้ รงิ

สมบตั ิแท้
19 “ทา่ นทงั้ หลายจงอยา่ สะสมทรพั ยส์ มบตั บิ นแผน่ ดนิ น้ีเลย ทน่ี ่ีทรพั ยส์ มบตั ทิ งั้ หลายถูกสนมิ และขมวนกดั กนิ และถูกขโมย

เจาะชอ่ งเขา้ มาขโมยไปได้ 20 แต่จงสะสมทรพั ยส์ มบตั ใิ นสวรรคเ์ ถดิ ทน่ี นั่ ไมม่ สี นิมหรอื ขมวนกดั กนิ และขโมยกเ็ จาะชอ่ งเขา้ มา
ขโมยไปไมไ่ ด้ 21 เพราะทรพั ยส์ มบตั ขิ องทา่ นอยทู่ ใ่ี ด ใจของท่านกจ็ ะอยทู่ น่ี นั่ ดว้ ย”
ประทีปของร่างกาย

22 “ประทปี ของรา่ งกายคอื ดวงตา ดงั นนั้ ถา้ ดวงตาของทา่ นเป็นปรกตดิ ี สรรพางคก์ ายของท่านกจ็ ะสวา่ งไปดว้ ย 23 แตถ่ า้
ดวงตาของท่านไมด่ ี สรรพางคก์ ายของทา่ นกจ็ ะมดื ไปดว้ ย ฉะนนั้ ถา้ ความสว่างในทา่ นมดื ไปแลว้ ความมดื จะยงิ่ มดื มดิ สกั
เพยี งใด”

186

พระเจ้าและเงินทอง

24 “ไมม่ ใี ครเป็นขา้ สองเจา้ บ่าวสองนายได้ เขาจะชงั นายคนหน่ึงและจะรกั นายอกี คนหน่ึง เขาจะจงรกั ภกั ดตี อ่ นายคนหน่ึงและ

จะดหู มนิ่ นายอกี คนหน่ึง ทา่ นทงั้ หลายจะปรนนบิ ตั ริ บั ใชพ้ ระเจา้ และเงนิ ทองพรอ้ มกนั ไมไ่ ด”้

ความวางใจในพระเจา้

25 “ฉะนนั้ เราบอกทา่ นทงั้ หลายวา่ อยา่ กงั วลถงึ ชวี ติ ของทา่ นวา่ จะกนิ อะไร อยา่ กงั วลถงึ รา่ งกายของทา่ นวา่ จะนุ่งหม่ อะไร

ชวี ติ ยอ่ มสาคญั กวา่ อาหาร และรา่ งกายสาคญั กวา่ เครอ่ื งนุ่งหม่ มใิ ชห่ รอื 26 จงดนู กในอากาศเถดิ มนั มไิ ดห้ วา่ น มไิ ดเ้ กบ็ เกย่ี ว มไิ ด้

สะสมไวใ้ นยงุ้ ฉาง แตพ่ ระบดิ าของทา่ นผสู้ ถติ ในสวรรคท์ รงเลย้ี งมนั ท่านทงั้ หลายมไิ ดม้ คี า่ มากกวา่ นกหรอื 27 ท่านใดบา้ งทก่ี งั วล

แลว้ ตอ่ อายขุ องตนใหย้ าวออกไปอกี สกั หน่ึงวนั ได้ 28 ทา่ นจะกงั วลถงึ เครอ่ื งนุ่งหม่ ทาไม จงพจิ ารณาดอกไมใ้ นทุ่งนาเถดิ มนั เจรญิ

งอกงามขน้ึ ไดอ้ ยา่ งไร มนั ไมท่ างาน มนั ไมป่ ัน่ ดา้ ย 29 แตเ่ ราบอกท่านทงั้ หลายวา่ กษตั รยิ ซ์ าโลมอนเมอ่ื ทรงเครอ่ื งอยา่ งหรหู รา ก็

ยงั ไมง่ ดงามเท่าดอกไมน้ ้ีดอกหน่ึง 30 แมแ้ ต่หญา้ ในทงุ่ นา ซง่ึ มชี วี ติ อยวู่ นั น้ี รุ่งขน้ึ จะถกู โยนทง้ิ ในเตาไฟ พระเจา้ ยงั ทรงตกแต่ง

เชน่ น้ี พระองคจ์ ะไมส่ นพระทยั ท่านมากกวา่ นนั้ หรอื ท่านชา่ งมคี วามเชอ่ื น้อยจรงิ 31 ดงั นนั้ อยา่ กงั วลและกล่าววา่ ‘เราจะกนิ อะไร

หรอื จะด่มื อะไร หรอื เราจะนุ่งหม่ อะไร’ 32 เพราะสงิ่ ต่างๆ เหล่าน้ีคนตา่ งศาสนาแสวงหา พระบดิ าของท่านผสู้ ถติ ในสวรรคท์ รง

ทราบแลว้ วา่ ทา่ นตอ้ งการทุกสงิ่ เหลา่ น้ี 33 จงแสวงหาพระอาณาจกั รของพระเจา้ และความชอบธรรมของพระองคก์ อ่ น แลว้ พระ

องคจ์ ะทรงเพม่ิ ทกุ สงิ่ เหลา่ น้ีให”้

34 “เพราะฉะนนั้ ท่านทงั้ หลายอยา่ กงั วลถงึ วนั พรงุ่ น้ี เพราะวนั พรงุ่ น้ีจะกงั วลสาหรบั ตนเอง แต่ละวนั มที ุกขพ์ ออยแู่ ลว้ ”

ข้อศึกษาวิพากษ์

พระคมั ภีร์ตอนน้ีสอดคล้องกบั หลกั ข้อท่ีสามของสามเสาหลกั แห่งความเช่ือในศาสนายูดาย (Three

Pillars of Judaism) “การกระทาแห่งความรกั เมตตาปราณี” เรมิ่ ต้นด้วยความเช่อื และรบั ใชพ้ ระเจ้าดว้ ยทรพั ย์

สมบตั ขิ องตน (6:19-34) และการทาตาม “กฎทอง” (7:12) เน้ือหาส่วนใหญ่ใน 6:19-7:12 คล้ายคลงึ กบั ปรชี าญาณ

จากคาสอนสุภาษิตและอาจมบี รบิ ทเช่นน้ีมาแต่เดมิ เน้ือหาส่วนน้ีตรงขา้ มกบั ส่วนท่หี น่ึงและสอง แต่คล้ายกบั

เน้ือหาส่วนทเ่ี ป็นปรชี าญาณขอ้ คดิ อ่นื ๆ สว่ นน้ีไม่ไดเ้ ขยี นแบบวางโครงสรา้ งอย่างเคร่งครดั อรรถาธบิ ายเฉพาะ

ในบรบิ ทของนกั บุญมทั ธวิ และนาคาสงั่ เหลา่ น้ไี ปสมั พนั ธก์ บั การประกาศพยากรณ์เรอ่ื งอาณาจกั รสวรรคข์ องพระ

เยซูเจา้ เปลย่ี นคาสอนตอนน้ีจากคาแนะนาอนั ฉลาดสุขมุ รอบคอบถูกเปลย่ี นเป็นขอ้ เรยี กรอ้ งรากฐานสาคญั ของ

การเป็นศษิ ย์

6:19-24 การรบั ใชพ้ ระเจา้ หรอื เงนิ ทอง ตอนน้มี ลี กั ษณะแบบทวภิ าวะคอื สงิ่ น้หี รอื สง่ิ นนั้ แผค่ ลุมไปทวั่

สมบตั บิ นโลก / สมบตั ใิ นสวรรค์

ปัจจุบนั / อนาคตแหง่ อนั ตกาล

สงิ่ ของชวั่ คราวทอี่ าจสญู หายได้ / สงิ่ ของทคี่ งทนถาวร

ตาและชวี ติ ทกี่ ระจา่ งในความสวา่ ง / ตาทมี่ ดื มวั ชวี ติ ทสี่ บั สนในความมดื

รบั ใชท้ รพั ยส์ งิ่ ของ / รบั ใชพ้ ระเจา้

เมอ่ื เปรยี บเทยี บเน้ือหาสว่ นน้ีกบั รปู แบบทป่ี รากฏในพระวรสารนกั บุญลกู า จะเหน็ วา่ การใชถ้ อ้ ยคาขดั แยง้

เชน่ น้ีไม่ไดม้ ใี นเอกสารแหล่ง Q แต่กาหนดขน้ึ โดยนกั บุญมทั ธวิ สอดคลอ้ งกบั การใชถ้ อ้ ยคาขดั แยง้ กนั ในตอนท่ี

หน่งึ (5: 21-48) สง่ิ ทด่ี เู หมอื นจะเป็นคาแนะนาทช่ี าญฉลาดในการลงทุนระยะยาว กลบั กลายเป็นเสยี งเรยี กทท่ี า้ ทาย

ใหเ้ ปล่ยี นทศิ ทางชวี ติ ของตนเอง การระบุตาแหน่งของ “สง่ิ ของ/ทรพั ย์สมบตั ”ิ กลบั กลายเป็นตวั ตนของคนคน

187

หน่ึง (น่ีคอื ความหมายของ “หวั ใจ” ในบทท่ี 21) วธิ กี ารจดั การกบั ทรพั ยส์ มบตั กิ ลบั ไม่ใช่เรอ่ื งนอกกาย แต่เป็นเรอ่ื งของการ
คงอยหู่ รอื การสญู เสยี ความเป็นคนหน่งึ

6:19-21 “สมบัติในสวรรค์” ภาพของรางวลั แห่งอันตกาลท่ีชาวยิวคุ้นเคย นักบุญมทั ธิวไม่ได้พูดถึง
รายละเอยี ดว่าบรรดาศษิ ย์จะสะสมสมบตั ใิ นสวรรค์ได้อย่างไร ในท่นี ้ีกเ็ ช่นกนั ท่านท้งิ ช่องว่างไวใ้ ห้ศษิ ย์ได้ใช้
ความคดิ สรา้ งสรรคใ์ นการตอบตามสถานการณ์ของแตล่ ะคน

“สนิม” เป็นคาแปลดงั้ เดมิ ของคาว่า “กนิ ” (brosis) เน่ืองจากมคี าเฉพาะสาหรบั “สนิม” (ยก. 5:3) คาทใ่ี ชใ้ น
ทน่ี ้อี าจหมายถงึ แมลงหรอื หนอนทก่ี นิ เสอ้ื ผา้ คลา้ ย “มอด”

6:22-23 ตรงขา้ มกบั ความเขา้ ใจสมยั ปัจจุบนั ว่า ตา เป็นหน้าต่างทใ่ี หแ้ สงเขา้ ไปในร่างกาย ความเขา้ ใจ
โดยทัว่ ไปของโลกยุคโบราณนัน้ ตาเป็ นเหมือนตะเกียง (สภษ. 15:30; 2 ซมอ. 12:11, ดนล. 10:6, ทบต. 10:15) ซ่ึงเป็ น
เคร่อื งมอื ทส่ี ่องแสงจากภายในไปยงั วตั ถุเพ่อื จะมองเหน็ วตั ถุนัน้ ๆ ในทงั้ สองกรณี หากตามวั ความสบั สนและ
ความมดื จะปกคลุมคนๆ นนั้ ทงั้ ลทั ธติ ่างศาสนาและศาสนายดู ายพดู คลา้ ยกนั ขอ้ ความน้ีอาจมหี ลายความหมาย
ในตวั มนั เอง เมอ่ื นามายงั บรบิ ทน้ี นกั บุญมทั ธวิ พดู ถงึ เจตคตขิ องศษิ ยท์ ม่ี ตี ่อเงนิ ทองและสมบตั ิ วา่ หากตามองไม่
ชดั เจนในเรอ่ื งน้ี ชวี ติ ทงั้ ชวี ติ จะดาเนินไป(บดิ เบอื น)ในทางทผ่ี ดิ

6:24 เป็นขอ้ ความท่สี นั นิษฐานว่ายงั มรี ะบบทาสอยู่ ซ่งึ เหน็ ไดอ้ ย่างเจาะจงในเอกสารแหล่ง Q (ยงั คงเกบ็
รกั ษาไวใ้ น ลก 16:13) นักบุญมทั ธวิ ละเวน้ การใชค้ าว่าทาส จงึ ทาใหเ้ ป็นการส่อื ถงึ บรรดาศษิ ย์โดยตรง รกั หรอื เกลยี ด
ไม่ไดห้ มายความถงึ อารมณ์ แตเ่ ป็นสานวนในพระคมั ภรี ท์ แ่ี สดงถงึ “เลอื ก” / “ไมเ่ ลอื ก” (ดู 5:43) ประเดน็ คอื การรบั
ใชอ้ ย่างไม่แบ่งแยกจะตอ้ งมใี หก้ บั เจา้ นายเพยี งคนเดยี วเท่านนั้ หากมมี ากกว่าหน่ึง ทุกทางเลอื กหมายถงึ ความ
โปรดปรานคนหน่ึงและการปฏเิ สธอกี คนหน่ึง ซ่งึ เป็นการแบ่งแยกความจงรกั ภกั ดขี องบรรดาศษิ ย์ เหมอื นใน
บทความสขุ แท้ (โดยเฉพาะ 5:8) และ ว. 24 ขา้ งลา่ ง ขอ้ ความน้ีเรยี กรอ้ งความเป็นเอกภาพของคนๆ นนั้ (ความหวนั่ ไหว
แสดงออกมาในรูปแบบของ “ความสงสยั ” ใน 14:31; 28:17) อกี ครงั้ ท่เี ราเหน็ ความเขา้ ใจท่เี ป็นรากฐานของการเป็นศษิ ย์ของ
นกั บญุ มทั ธวิ ทไ่ี มใ่ หม้ คี วามก้ากง่ึ ตรงกลาง (12:30)

แมมมอน (Mammon) เป็นคาภาษาอราเมอิกของคาว่า “ทรพั ย์สมบัติ” รวมทงั้ เงนิ ทอง แต่ไม่จากดั
เฉพาะ และในตวั มนั เองไม่มคี วามหมายท่นี ่ากลวั แฝงอยู่ เป็นเร่อื งประหลาดใจทเ่ี หน็ พระเยซูเจา้ วางทรพั ยส์ นิ
ของโลกอย่รู ะดบั เสมอกบั พระเป็นเจา้ ในเชงิ เป็นสง่ิ ทเ่ี ราปรนนิบตั ิ เป็นค่แู ขง่ ทน่ี ่าเคารพนับถอื เสมอกบั พระเป็น
เจ้า ขอ้ สนั นิษฐานท่อี ยู่เบ้อื งหลงั ขอ้ ความเหล่าน้ีคอื การสบประมาทความเขา้ ใจความหมายของชวี ติ มนุษย์ใน
วฒั นธรรมโดยทวั่ ไป ทงั้ ในอดีตและในปัจจุบนั ข้อสรุปใน ว. 24 แสดงให้เห็นถึงขอ้ สนั นิษฐานของข้อความ
โดยรวม คอื ชวี ติ มนุษยน์ นั้ ไม่เพยี งพอในตวั ของมนั เอง เราพบความหมายของชวี ติ อย่ภู ายนอกตวั เรา และชวี ติ
มนุษยจ์ ะตอ้ ง “รบั ใช”้ บางสง่ิ ทใ่ี หค้ วามหมายกบั มนั อย่างหลกี เลย่ี งไม่ได้ ทางเลอื กไมใ่ ช่ทเ่ี ราจะปรนนิบตั หิ รอื ไม่
แต่อะไรหรอื ใครท่เี ราควรจะปรนนิบตั ิ ขอ้ สนั นิษฐานท่วี ่าเราเป็นใครน้ีทาให้เราต้องเผชญิ หน้ากบั ความเขา้ ใจ
ตนเองดว้ ยความทา้ ทายอย่างสดุ โต่ง

มทั ธวิ 6:25-34 ความกระวนกระวาย ขอ้ หา้ มทร่ี ะบุว่า “อย่ากระวนกระวาย” (RSV) เป็นสญั ญาณบอกการ
เรมิ่ ตน้ ตอนท่ี 2 ของส่วนน้ี (6: 19) และไดร้ บั การกล่าวซ้าตลอดเสมอื นเป็นนัยสาคญั (25, 27, 28, 31, 34) แต่ยงั มกี าร
เช่ือมต่อกับ ว. 24 ซ่ึงแสดงให้เห็นว่าเน้ือหาส่วนน้ีไม่ได้เป็นการกล่าวโดยตรงกบั คนรวย หรอื บุคคลท่ีหย่ิง
จองหองเน่อื งจากความร่ารวย คนจนสามารถทาสงิ่ ทพ่ี วกเขาไมม่ ใี หก้ ลายเป็นรปู เคารพไดเ้ ชน่ กนั

188

อกี ครงั้ ทเ่ี น้ือหาสว่ นน้ีดจู ะมตี น้ กาเนิดจากธรรมประเพณีแห่งปรชี าญาณ เรยี กรอ้ งใหใ้ ชส้ ามญั สานึกและ
การสงั เกตตามธรรมชาตมิ ากกวา่ การเปิดเผยแบบประกาศก แสดงใหเ้ หน็ ความแตกต่างของชวี ติ ทม่ี คี วามเชอ่ื ใน
พระเป็นเจา้ องคเ์ ดยี วกบั ชวี ติ ของคนต่างศาสนา พวกทอ่ี ยนู่ อกกลุ่มของผทู้ ไ่ี ดร้ บั เลอื กสรรจากพระเป็นเจา้ (ดู 5:47)
แต่บรบิ ทของนักบุญมทั ธวิ ในปัจจุบนั ทาใหว้ ถิ ชี วี ติ แบบน้ีผูกมดั อย่กู บั พระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ ทป่ี ระกาศ
โดยพระเยซเู จา้ (6:33)

6:26-29 ความทา้ ทายของการหวงั ไวใ้ จในพระญาณเอ้อื อาทรของพระเป็นเจา้ ไม่ไดย้ กเวน้ การทางาน
และการมที รพั ยส์ มบตั ิ คาพดู น้ีเป็นการกล่าวโดยตรงกบั ผคู้ นทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การหว่าน เกบ็ เกย่ี ว เกบ็ เขา้ ยุง้ ฉาง
การทางานหนกั และการปัน่ ดา้ ย แต่ผคู้ นเหล่าน้ีไดร้ บั การทรงเรยี กใหเ้ หน็ ว่าชวี ติ นัน้ ไม่ไดอ้ ย่บู นพน้ื ฐานของสง่ิ
เหล่าน้ี พวกเขาไม่ได้รบั การเรยี กใหเ้ ป็นนกหรอื ดอกไม้ แต่ใหพ้ จิ ารณาถงึ พระญาณเอ้อื อาทรของพระเป็นเจ้า
สาหรบั ทุกสรรพสง่ิ รวมทงั้ นก ดอกไม้ และมนุษย์

6:33 ต้นฉบบั ภาษากรกี ฉบบั แปลต่างๆ และขอ้ ความทย่ี กมาจากปิตาจารย์แห่งครสิ ตจกั รมกี ารอ่านท่ี
แตกต่างกนั ถงึ 5 อย่างสาหรบั “พระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ ” และ “พระอาณาจกั รของพระองค์ พระบดิ าเจา้ ”
ขณะทค่ี วามหมายโดยรวมเหมอื นกนั แต่การเปลย่ี นแปลงในตน้ ฉบบั สรา้ งความแตกตา่ งในบางขอ้ ความท่นี กั บุญ
มทั ธวิ ไดเ้ พมิ่ เตมิ คอื “และความชอบธรรมของพระองค”์ (หรอื “และความชอบธรรมแห่งพระอาณาจกั ร”) เหน็ ไดช้ ดั ว่า นัก
บญุ มทั ธวิ ตอ้ งการเกย่ี วโยงคาสาคญั (“ความชอบธรรม”/”ความยุตธิ รรม”) ทงั้ สองคาเขา้ กบั พระอาณาจกั รทก่ี าลงั มาถงึ และ
ความไวว้ างใจในการดแู ลสรรพสง่ิ ของพระบดิ าเจา้ ขณะทค่ี าน้ีไดเ้ น้นพนั ธกจิ การไถ่กูแ้ ห่งอนั ตกาล ความหมาย
โดยพน้ื ฐานน้ี ไมใ่ ช่กจิ การของพระเป็นเจา้ แต่เป็นกจิ การของบรรดาศษิ ยใ์ นการทาตามพระประสงคข์ องพระเป็น
เจา้ (ภาคผนวก “แผ่นดนิ สวรรคใ์ นมทั ธวิ ” 288-94 และคาอธบิ ายใน 6:10) พระบญั ชาทใ่ี หแ้ สวงหาพระอาณาจกั รก่อน ไม่ไดต้ งั้ ใจ
จะเน้นความหมายเร่อื งสง่ิ ใดก่อนหลงั หรอื หมายความว่าบรรดาศษิ ย์สามารถแสวงหาทรพั ย์สมบตั ไิ ด้หลงั จาก
แสวงหาพระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ แลว้ แต่หมายความวา่ พวกเขาจะแสวงหาพระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้
เหนือสงิ่ อ่นื ใด บรรดาศษิ ยส์ ามารถมสี งิ่ สาคญั สงู สดุ ไดเ้ พยี งหน่ึงเดยี วคอื พระอาณาจกั รหรอื พระประสงคข์ องพระ
เป็นเจา้

6:34 คอื ขอ้ สรปุ เป็นสว่ นทข่ี าดหายจากเอกสารแหล่ง Q อาจมาจากธรรมประเพณีหรอื เป็นการประพนั ธ์
ของนกั บุญมทั ธวิ เอง หากกล่าวแยกออกมาต่างหาก อาจถูกเขา้ ใจไปในทางแงล่ บหรอื มองว่าเป็นการถากถางได้
ในบรบิ ทปัจจุบนั ขอ้ ความน้ีไม่ไดห้ า้ มเรอ่ื งการวางแผนสาหรบั อนาคต (25:1-13) แต่ตอ้ งการใหร้ สู้ กึ มนั่ ใจและสบาย
ใจ ในการแกไ้ ขปัญหาวนั ต่อวนั เม่อื มนั มาถงึ มนั่ ใจวา่ ชวี ติ อย่ใู นพระหตั ถข์ องพระบดิ าผเู้ ป่ียมดว้ ยความรกั ผทู้ รง
ประคองโลกน้ไี วใ้ นพระหตั ถแ์ ละจะทรงนาเราไปสบู่ ทสรปุ ของชวี ติ ทค่ี มุ้ คา่

189

190


Click to View FlipBook Version