The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตรวจงานแปลมัทธิว 13

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by P. Tads, 2021-06-06 09:20:29

13 มัทธิว 13:1-52

ตรวจงานแปลมัทธิว 13

มทั ธวิ 13:1-52 สอนเป็นอุปมา

ภาพรวม
อุปมา (Parable) คอื อะไร แมว้ ่าพระเยซูเจา้ ได้ใชค้ าเทศน์สอนเชงิ เปรยี บเทยี บบ่อยครงั้ (เช่น 5:13-16;

7:6, 24-27) แต่ในทน่ี ้ี ผอู้ ่านจะไดพ้ บสง่ิ ทน่ี กั บุญมทั ธวิ เรยี กวา่ “อุปมา” เป็นครงั้ แรก คาน้ใี นภาษากรกี (Parabole) มี
ความหมายในตวั มนั เองว่า “สง่ิ ทถ่ี ูกนามาวางเทยี บไวข้ า้ งๆ” (Something Cast Beside) หรอื เป็นสงิ่ หน่ึงทน่ี ามา
อธบิ ายหรอื ขยายความสงิ่ อ่นื กล่าวคอื “เปรยี บเทียบ” หรอื “เปรยี บเปรย” อย่างไรก็ดี พระวรสารสหทรรศน์
สะท้อนถงึ พระคมั ภีรฉ์ บบั เจด็ สบิ ซ่ึงใช้คาแปลกว้างๆ คอื “lvm” (mAsAl) “ภาษาภาพพจน์” (Figure) “สุภาษิต”
(Proverb) “คาพังเพย” (Aphorism) “ปรศิ นา” (Riddle) “บทเรยี น” (Lesson) “นิทานเปรยี บเทียบ” (Allegory)
หรอื สุนทรพจน์ประเภทใดๆ ทก่ี ล่าวทางออ้ มหรอื ใชส้ งิ่ อ่นื เปรยี บเทยี บ แต่ความหมายและหน้าทข่ี องอุปมาในคา
ประกาศของพระเยซูเจ้าและบทบรรยายเร่อื งของพระวรสารไม่อาจพิจารณาเพยี งยดึ หลกั ทางนิรุกติศาสตร์
(Etymology) หรอื ดจู ากถอ้ ยคาในงานเขยี นอ่นื เราจะตอ้ งเรยี นรจู้ ากหน้าทข่ี องอปุ มาทอ่ี ยใู่ นพระวรสารเทา่ นนั้

เป็นเวลาหลายศตวรรษทค่ี นเขา้ ใจว่าอุปมาในพระวรสารโดยหลกั ๆ แลว้ กค็ อื นิทานเปรยี บเทยี บ เป็นคา
สอนท่แี ฝงความหมายและสามารถตคี วามเป็นบทเรยี นสอนใจเก่ยี วกบั ชวี ติ ของชาวครสิ ต์ ดงั นัน้ แป้งสามถงั ท่ี
ผสมเชอ้ื แป้งลงไป (13:33) จงึ เป็นตวั แทนของ “ชาวกรกี ชาวยวิ และชาวสะมาเรยี ” (Theodore of Mopsuestia) หรอื
ถา้ มองในแงส่ ่วนบุคคลจะส่อื ถงึ “หวั ใจ จติ และวญิ ญาณ” (Heart, Soul, Spirit) (ออกุสตนิ ) การตคี วามเช่นน้ีเป็น
เหมอื นผนื ดนิ อนั อุดมสมบูรณ์ให้กบั จนิ ตนาการของนักเทศน์ แต่ไม่ค่อยเก่ยี วขอ้ งกบั เน้ือหาท่แี ท้จรงิ ของพระ
คมั ภรี ์ จุดเปลย่ี นสาคญั ในการศกึ ษาอุปมายุคใหม่เกดิ ขน้ึ จากผลงานของอดอลฟ์ จูลคิ เกอร์ (Adolf Julicher) ในปี
1888 ซง่ึ แสดงความแตกต่างทค่ี มชดั ระหวา่ ง “อปุ มา” กบั “นิทานเปรยี บเทยี บ” คอื นิทานเปรยี บเทยี บจะมหี ลาย
ประเดน็ แตอ่ ุปมาจะมเี พยี งประเดน็ เดยี ว ซง่ึ จลู คิ เกอรเ์ ขา้ ใจวา่ เป็นประเดน็ หลกั ของการสอนศลี ธรรมหรอื คาสอน
ทางศาสนา ซ.ี เอช.ดอดด์และโยอาคมิ เจเรไมอสั (C.H. Dodd and Joachim Jeremias) ก็ตคี วามในแนวทางน้ี
โดยเน้นย้าความสาคญั ว่า “ประเดน็ ” ของแต่ละอุปมาเป็นสงิ่ ท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั วนั อวสานโลก ไม่ใช่ศลี ธรรมทวั่ ไป
ดอดดม์ องว่าแต่ละอุปมาทอ่ี ย่ใู นตาแหน่งเดมิ ในสารของพระเยซูเจา้ เป็นสง่ิ ทส่ี อ่ื ถงึ อวสานตกาลทไ่ี ดเ้ ป็นจรงิ แลว้
ในพระองค์ กล่าวคอื พระอาณาจกั รเป็นปัจจุบนั เจเรไมอสั ไดป้ รบั เปลย่ี นสง่ิ น้ีใหเ้ ขา้ กบั ความเขา้ ใจในเร่อื งของ
“ศาสตร์แห่งอวสานตกาลในกระบวนการท่ีตระหนักรู้ว่าเป็ นอยู่จริง” (Eschatology in the Process of
Realization) ว่าพระอาณาจกั รทอ่ี ยใู่ นสารของพระเยซูเจา้ นนั้ มที งั้ สว่ นท่ี “เกดิ ขน้ึ แลว้ ” (Already) และสว่ นท่ี “ยงั
มาไม่ถงึ ” (Not Yet) คาจากดั ความแบบคลาสสกิ ของดอดด์ (Dodd) กลายเป็นจุดแยกจากงานศกึ ษาอุปมาร่วม
สมยั อ่นื ๆ “อุปมา คอื การเปรยี บเป็น (Metaphor) หรอื การเปรยี บเหมอื น (Simile) ท่ใี ช้ธรรมชาติหรอื ชวี ติ คน
ทวั่ ไปมาเทยี บ ทาใหผ้ ฟู้ ังประทบั ใจดว้ ยภาพพจน์ทช่ี ดั เจนหรอื แปลกประหลาด ทาใหเ้ รามคี วามสงสยั อยากรมู้ าก

319

พอเกย่ี วกบั ประโยชน์ทแ่ี ทจ้ รงิ ของเร่อื งราวนัน้ และต้องครุ่นคดิ อย่างเตม็ ท่ี อุปมาเหล่าน้ีมผี ศู้ กึ ษาคน้ ควา้ อย่าง
จรงิ จงั ในชว่ งปีหลงั ๆ แมว้ า่ จะมปี ระเดน็ ทถ่ี กเถยี งกนั อยู่ แต่มผี สู้ นบั สนุนขอ้ สรปุ และทรรศนะต่อไปน้ีเกย่ี วกบั การ
ตคี วามอุปมาในพระวรสารอย่างกวา้ งขวาง
(1) จลู คิ เกอร์ (Adolf Julicher) ไดน้ าแนวคดิ เปลย่ี นแปลง เกดิ การยกเลกิ วธิ ตี คี วามแบบนิทานเปรยี บเทยี บซ่งึ

เคยมอี ิทธพิ ลมาก เขาช้อี ธบิ ายความแตกต่างอย่างประณีตและหนักแน่นระหว่างอุปมา (Parable) กบั
นิทานเปรยี บเทยี บ (Allegory) แต่ความแตกต่างและความคลา้ ยคลงึ ทเ่ี ขาแสดงใหเ้ หน็ ระหวา่ งอุปมาแต่ละ
เรอ่ื ง และตวั อยา่ งเรอ่ื งเลา่ ของเขานนั้ มลี กั ษณะตายตวั มากเกนิ ไป
(2) อุปมา คอื วธิ กี ารเปิดเผยความจรงิ ท่ีเป็นสง่ิ ใหม่และไม่อาจถูกปรบั ลดลงมาเป็นภาษาพูดแบบอ้อมๆ
(Non-parabolic, Discursive Language) ได้ อุปมาไม่ได้เป็ นแค่เพียงการอธิบายให้เห็นความจริงซ่ึง
สามารถกล่าวถึงได้ด้วยวธิ อี ่นื ด้วย อุปมานัน้ ไม่ได้มหี ลายประเด็นท่ตี ้องการส่อื (ไม่เหมอื นกบั การตคี วาม
นิทานเปรยี บเทยี บ) ไม่มี “ประเดน็ ” ใดเลยทอ่ี าจกล่าวถงึ ไดโ้ ดยใชภ้ าษาธรรมดา อุปมาเป็นเหมอื นผลงาน
การประพนั ธด์ นตรี ภาพเขยี น หรอื บทกวี กล่าวคอื อปุ มาไมใ่ ช่การอธบิ ายประเดน็ ธรรมดาทวั่ ไป แต่ในตวั
ของมนั เองเป็นหน่วยแห่งรปู แบบและความหมายทไ่ี มอ่ าจแยกจากกนั ได้ การลดระดบั อปุ มาใหเ้ หลอื เพยี ง
“ประเดน็ ” นนั้ คอื การไม่ยอมรบั ความเป็นอุปมาของมนั และนาสาระของมนั มาปรบั ลดใหก้ ลายเป็นเพยี ง
สง่ิ ทเ่ี ราอา่ นแลว้ รสู้ กึ สบายใจและสามารถคดิ ตามได้
(3) อปุ มาสรา้ งความหมายใหม่ในสถานการณ์ใหม่ อุปมามหี ลายแง่มุมหรอื หลายหน้าท่ี ตวั อุปมาเองอาจไม่มี
“ความหมาย” ถงึ สงิ่ ใดเลย (ไม่ใช่แบบทดสอบทางจติ วทิ ยา) ไม่ได้มคี วามหมายเดยี วท่เี ราสามารถคน้ หาได้
ด้วยวิธีการท่ีเป็นรูปธรรม อุปมามีความหมายเพราะเน้ือเร่ืองบังคับให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านมีส่วนร่วมใน
โครงสรา้ งแห่งความหมาย กระบวนการเช่นน้ีจะเปลย่ี นกลบั ความหมายของผทู้ ไ่ี ดย้ นิ อุปมานนั้ และทาให้
เขาเปิดใจรบั ความเป็นจรงิ ในระดบั ใหม่ ดงั นัน้ บ่อยครงั้ อุปมาจงึ ทาหน้าท่ดี ้วยการเรม่ิ ต้นจากโลกท่ผี ูฟ้ ัง
คุ้นเคย ต่อจากนัน้ จะให้วิสยั ทศั น์ท่ีแตกต่างออกไปเก่ียวกบั โลก และท้าทายความคาดหวงั ท่ีมีอยู่ใน
ชวี ติ ประจาวนั ของผฟู้ ัง
(4) อปุ มาเป็นเรอ่ื ง “ทางโลก” (Secular) แมว้ ่าจะสอ่ื นาสาระทเ่ี ป็นวสิ ยั ทศั น์ทางศาสนา เน้ือหาของอุปมาจะไม่
ไดม้ าจากชวี ติ ทางศาสนา แต่มาจากชวี ติ ประจาวนั ของชาวโลก
(5) อุปมาเป็นมากกวา่ โวหารเปรยี บเทยี บแบบรวมๆ ทวั่ ไป คอื เป็นการบรรยายเรอ่ื งสนั้ ๆ หรอื ขอ้ ความสนั้ ๆ
อุปมาในพนั ธกิจและของพระเยซูเจ้าพระองค์จริงในประวตั ิศาสตร์ ไม่ต้องสงสยั เลยว่าภาพท่ี
ปรากฏอย่ใู นพระวรสารสหทรรศน์นนั้ เป็นความจรงิ ทางประวตั ศิ าสตร์ เป็นลกั ษณะเฉพาะของพระเยซูเจา้ ทท่ี รง
สอนโดยใชอ้ ุปมา เร่อื งเล่าอุปมาส่วนหน่ึงของรากฐานดงั้ เดมิ ทม่ี นั่ คงในธรรมประเพณีน้ี ความใหม่ของสารจาก
พระเยซูเจา้ เรยี กรอ้ งใหเ้ กดิ การสอ่ื สารรปู แบบใหม่ แมว้ ่าอาจารยช์ าวกรกี บางคนอาจใชร้ ปู แบบการสอนทค่ี ลา้ ย
กบั อุปมา แต่กไ็ ม่มสี งิ่ ใดเหมอื นกบั อุปมาท่อี ยู่ในพระคมั ภรี ไ์ ม่ว่าจะเป็นฉบบั ภาษาฮบี รูหรอื ฉบบั เจ็ดสบิ (LXX)
ถงึ แมว้ ่าอปุ มาบางประเภทจะเป็นสงิ่ ทพ่ี บบอ่ ยในคาสอนของรบั บีสมยั หลงั ๆ อย่างทเ่ี หน็ ในบนั ทกึ หนงั สอื มชิ นาห์
(Mishnah) และคมั ภรี ท์ ลั มุด (Talmud) แมว้ ่าในสมยั ของพระเยซูเจา้ จะมวี รรณกรรมทรงคุณค่าท่เี กบ็ รวบรวม
แนวคดิ และตวั ละครท่เี ป็นโวหารเปรยี บเทยี บไวแ้ ล้ว (เช่นการหว่าน หรอื กษตั รยิ ์) วธิ กี ารส่อื สารโดยใชอ้ ุปมาของ
พระเยซูเจา้ ไม่ใช่สงิ่ ทพ่ี บไดโ้ ดยทวั่ ไปในหม่รู บั บรี ่วมสมยั แต่เป็นสงิ่ ใหม่ทท่ี าให้ผูค้ นรสู้ กึ แปลก แตกต่างไปจาก

320

การส่ือสารคาสอนในศาสนาทัว่ ไป ตัวอย่างเช่น อุปมาของรบั บียุคหลังๆ จะเก่ียวกับการอธิบายความใน
หนงั สอื ปัญจบรรพ ซง่ึ เหน็ ไดช้ ดั วา่ ไมม่ เี ลยในอปุ มาของพระเยซูเจา้ ในพระวรสาร รวมถงึ พระวรสารนกั บุญมทั ธวิ
แมน้ กั บุญมทั ธวิ จะแสดงภาพของพระเยซูเจา้ ในฐานะผตู้ คี วามหนงั สอื ปัญจบรรพกต็ าม (5:17-48)

ในการเทศน์สอนของพระเยซูเจา้ อุปมาไมไ่ ดเ้ ป็นเพยี งสงิ่ ทน่ี ามาใชเ้ สรมิ แต่งใหป้ ระเดน็ การสอนศลี ธรรม
ชดั เจนขน้ึ แต่เป็นเร่อื งราวทร่ี บกวนจติ ใจและรุกเรา้ โลกแห่งจนิ ตนาการทม่ี นั่ คงปลอดภยั ของผฟู้ ัง โลกแห่งการ
สนั นิษฐานเอาเองท่คี ุน้ ชนิ จนเป็นนิสยั กรอบความคดิ ท่เี รามองไม่เห็น ซ่งึ เราใชต้ คี วามขอ้ มูลต่างๆ อย่างเช่น
ลทั ธทิ นุ นิยม ลทั ธคิ อมมวิ นิสต์ มมุ มองโลกแบบวทิ ยาศาสตร์ การแขง่ ขนั การยดึ ตนเองเป็นทพ่ี ง่ึ และปัจเจกนยิ ม
ทงั้ หมดน้ีสามารถสวมบทบาทฝังอยู่ในจนิ ตนาการในจติ ใต้สานึกของเราได้ ตราบใดท่ีกรอบความคิดท่ีเป็น
จนิ ตนาการน้ียงั คงอยู่โดยไม่มใี ครไปแตะต้อง เม่อื จะนาคาสอนของพระเยซูเจา้ ไปรวมกบั กรอบการสนั นิษฐาน
ของเราเอง และปรบั คาสอนของพระองค์ให้เขา้ กบั ตวั เรา หรอื นาเอาอุปมามาเป็นภาพสะท้อนค่านิยมของเรา
อุปมาอาจจะแอบทาลายกรอบโลกความคดิ ของเราอยา่ งลบั ๆ นนั่ คอื สาเหตุทว่ี า่ ทาไมมนั จงึ รบกวนจติ ใจของผคู้ น
มาตงั้ แต่สมยั ก่อนและคงเป็นเช่นนัน้ อยู่จนถึงสมยั น้ี ทาไมเราจงึ กระตือรอื รน้ อยากท่ีจะเขา้ ใจว่า มนั คอื การ
อธบิ ายประเดน็ ทเ่ี รารสู้ กึ สบายใจคุน้ เคย มากกวา่ ทจ่ี ะยอมใหม้ นั เป็นตน้ เหตุแห่งการนาพาเราไปส่วู สิ ยั ทศั น์ใหม่
วา่ ทจ่ี รงิ แลว้ สงิ่ ตา่ งๆ เหล่าน้ี เป็นวสิ ยั ทศั น์ทท่ี า้ ทายโลกอนั มนั่ คงปลอดภยั ของเราอยา่ งไร

อปุ มาทีอ่ ยู่ในชีวิตของพระศาสนจกั ร เม่อื มกี ารสง่ ต่อเร่อื งเล่าอุปมาเหล่าน้ีเขา้ ไปอย่ใู นคาสอนและคา
เทศน์สอนของครสิ ตจกั ร มนั ถูกตีความและปรบั เปล่ียนเพ่ือให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ ส่วนเพิ่มเติมและ
ปรบั เปลย่ี นน้ีเกดิ ขน้ึ หลงั การกลบั คนื พระชนมช์ พี ซง่ึ เราสามารถสงั เกตเหน็ ไดง้ า่ ย (ดตู วั อย่างใน 13:18-23, 36-43)
แต่กไ็ มจ่ าเป็นตอ้ งถอดถอนมนั ออกเพ่อื ทจ่ี ะเขา้ ใจอุปมาดงั้ เดมิ อุปมาแสดงภาพใหเ้ หน็ ว่าสารอนั ทรงอานาจของ
พระเยซูเจ้าท่ีถูกได้ยินและถูกตีความอย่างไร เม่ือชาวครสิ ต์ยุคแรกเรมิ่ พยายามจะนาไปปรบั ใช้ให้เข้ากับ
สถานการณ์ของตนในสมยั หลงั การกลบั คนื พระชนมช์ พี

อปุ มาทีอ่ ยู่ในพระวรสารนักบุญมทั ธิว นักบุญมทั ธวิ นาอุปมาจากแหล่งขอ้ มลู และธรรมประเพณีของ
ท่าน รวมถงึ การตคี วามใหม่ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในชวี ติ ของพระศาสนจกั ร และทาให้เร่อื งเล่าอุปมากลายเป็นเร่อื งราวส่วน
หน่ึงของพระเยซูเจา้ ผอู้ ่านพระวรสารนักบุญมทั ธวิ คงรูส้ กึ พศิ วงกบั อานาจอนั ทรงพลงั ของอุปมาดงั้ เดมิ เพราะ
เน้อื เรอ่ื งอุปมาแสดงตวั ตนออกมาชดั เจน แมว้ า่ จะถกู แวดลอ้ มดว้ ยบรบิ ทใหม่ แตใ่ นขอ้ คดิ เหน็ น้ี เรอ่ื งสาคญั กวา่ ท่ี
เราตอ้ งสนใจคอื การแยกแยะความหมายของเน้อื หาทถ่ี กู นาเสนอผ่านพระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ

นกั บุญมทั ธวิ นา “บทบรรยายอปุ มา” (Parable Discourse) มาใสไ่ วท้ า่ มกลางความเหน็ ต่างขดั แยง้ ทพ่ี ระ
เยซูเจา้ ถูกผูน้ าชาวยวิ ปฏเิ สธ และในชุมชนแห่งใหม่กาลงั ก่อตวั ข้นึ แสดงแนวโน้มของผู้คนส่วนใหญ่ยงั อยู่ใน
ภาวะก้ากง่ึ ทงั้ คาพดู (บทท่ี 5-7) การกระทา (บทท่ี 8-9) และพนั ธกจิ (บทท่ี 10) ของพระเมสสยิ าหไ์ ดก้ ่อใหเ้ กดิ ความเหน็
ใหม่ๆ ทเ่ี หน็ แตกต่างขดั แยง้ และการปฏเิ สธท่เี พมิ่ มากขน้ึ (บทท่ี 11-12) ส่วนน้ีมาหลงั จากทพ่ี ระเยซูเจา้ ถูกปฏเิ สธ
โดยชาวฟารสิ แี ละครอบครวั ในชุมชนของพระองค์เอง ส่งผลไปสู่จุดสูงสุดคอื การประกาศชุมชนใหม่ของผู้ท่ี
กระทาตามน้าพระทยั ของพระเป็นเจา้ และเป็น “ครอบครวั ของพระเยซูเจา้ ” (12:22-50) สง่ิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ตามมาหลงั จาก
บทบรรยายอุปมานัน้ คอื พระเยซูเจา้ ถูกปฏเิ สธอย่างประสงคร์ า้ ยจากผคู้ นในเมอื งของพระองคเ์ อง (13:53-58) นัก
บุญมทั ธวิ ไดท้ าโครงเร่อื งเชน่ น้ี และไดใ้ ชเ้ รอ่ื งราวจากพระวรสารนกั บญุ มาระโกแทรกตรงกลางในสว่ นทเ่ี ป็นเร่อื ง
เล่าเกย่ี วกบั การอศั จรรยต์ ่างๆ (มธ 4:24-5:53; 8:23-34) ผลกค็ อื อุปมาของพระเยซูเจา้ ใน 13:3ข-52 คอื ความคดิ เหน็

321

ของพระองคท์ ่มี ตี ่อการปฏเิ สธของชนชาตอิ สิ ราเอลและการก่อตงั้ ชุมชนใหม่ เม่อื พระเยซูเจา้ เสดจ็ ลงไปในเรอื
(13:2) ผู้อ่านพระวรสารจึงจาได้ถงึ ฉากเหตุการณ์ใน 8:18-27 ซ่งึ ในขณะท่ฝี งู ชนอยู่กบั พระองค์นัน้ พระองค์ได้
เรยี กใหบ้ รรดาศษิ ยต์ ดิ ตามพระองคไ์ ปบนเรอื ทถ่ี กู พายโุ หมกระหน่าและเดนิ ทางฝ่าอนั ตรายไปจนถงึ “อกี ฝัง่ หน่งึ ”
(ดนิ แดนของชนต่างศาสนา) ซ่งึ เป็นภาพสะท้อนของประสบการณ์แห่งการเปลย่ี นผ่าน (Transitional Experience)
ของผู้คนในครสิ ตจกั รสมยั นักบุญมทั ธวิ (ดู ขอ้ ศกึ ษาวพิ ากษ์ 8:18-27) ฝูงชนไม่ได้ติดตามพระองค์ มแี ต่คณะศษิ ย์ท่ี
ตดิ ตามพระองคไ์ ป การแยกชุมชนของพระเยซูเจา้ ออกจากฝงู ชนเป็นบรบิ ทและวตั ถุประสงคท์ เ่ี ฉพาะเจาะจงของ
อุปมาทงั้ หลายในสมยั ของนักบุญมทั ธวิ ส่วนในบรบิ ทปัจจุบนั อุปมาเหล่าน้ีเป็นการกล่าวถงึ ประสบการณ์และ
ประวตั ศิ าสตรข์ องชาวครสิ ต์ในครสิ ตจกั รของนักบุญมทั ธวิ โดยตรง แมว้ ่าสง่ิ น้ีอาจก่อใหเ้ กดิ ความยากลาบากใน
ระดบั ทเ่ี ป็นบทบรรยายในเรอ่ื งเล่ากอ่ นการกลบั คนื พระชนมช์ พี ในพระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ

ในขณะท่ี “พระอาณาจกั รของพระเป็นเจ้า” คอื แนวคดิ ท่เี ป็นศูนย์กลางของเอกสารแหล่ง Q แต่ “พระ
อาณาจกั ร” กไ็ ม่เก่ยี วขอ้ งกบั อุปมา เราไม่พบอุปมาใดๆ ในเอกสารแหล่ง Q “อุปมาเร่อื งพระอาณาจกั รสวรรค์”
ปรากฏครงั้ แรกในพระวรสารนักบุญมาระโก บทท่สี ่ี โดยเขา้ ใจตามแนวทางของพระวรสารนัน้ ว่าเป็นส่วนหน่ึง
ของ “ความลบั ของพระเมสสยิ าห”์ นกั บญุ มทั ธวิ รบั ความเชอ่ื มโยงระหวา่ งอุปมาและพระอาณาจกั รของพระเจา้ มา
จากพระวรสารนักบุญมาระโกและทาใหม้ นั กลายเป็นองคป์ ระกอบสาคญั ในวธิ กี ารท่ีท่านส่อื ถงึ สารของพระเยซู
เจา้ ใน 13:1-52 นกั บญุ มทั ธวิ วางโครงสรา้ งของหน่งึ ในบทบรรยายหลกั ทงั้ หา้ ดว้ ยแนวคดิ น้ี อุปมาทงั้ หมดใน มธ.
13 มกี ารอา้ งองิ อย่างชดั เจนถงึ พระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ หรอื อาณาจกั รสวรรค์ ทุกบทเรมิ่ ต้นเช่นน้ีในประโยค
แรก (ยกเวน้ เพยี งบทแรกเท่านนั้ ) ใน 13:16 เพมิ่ การอา้ งองิ ถงึ พระอาณาจกั รในการตคี วามอุปมาเร่อื งผหู้ วา่ น แสดง
ใหเ้ หน็ ว่าสาหรบั นักบุญมทั ธวิ แล้ว อุปมาน้ีกเ็ ก่ยี วขอ้ งกบั พระอาณาจกั ร เน่ืองจากสง่ิ ท่เี ป็นหวั ใจหลกั เร่อื งพระ
อาณาจกั รของนักบุญมทั ธวิ ในมุมมองของนกั บุญมทั ธวิ คอื การมาถงึ ของพพิ ากษาโลก ซ่งึ การรถู้ งึ แผนการของ
พระเป็นเจ้าท่ีประวตั ิศาสตร์บันทึกไว้ จะมาถึงจุดสูงสุด คือ การพิพากษาโดยบุตรแห่งมนุษย์ ถือเป็นการรู้
ความลบั แหง่ พระอาณาจกั ร

นกั บุญมาระโกจดั โครงสรา้ งบทบรรยายอปุ มาเป็นแบบไตรสมั พนั ธ์ (Triadic Pattern)
ก. อุปมา
ข. วตั ถปุ ระสงค:์ เพอ่ื ปิดบงั จากคนนอก
ค. การตคี วามสาหรบั คนใน

นักบุญมทั ธวิ ยดึ ตามพ้นื ฐานของรูปแบบท่ปี รากฏในพระวรสารนักบุญมาระโก และขยายบทบรรยาย
อุปมานัน้ ดว้ ยขอ้ มูลจากเอกสารแหล่ง Q และ M และการประพนั ธ์ของนักบุญมทั ธวิ เอง โดยวางโครงสรา้ งของ
องคป์ ระกอบทเ่ี พม่ิ เตมิ เขา้ มาใหเ้ ป็นกลุ่มละสามสว่ น สองกลุ่ม ผลคอื เป็นโครงสรา้ งแบบไตรสมั พนั ธส์ ามชนั้ (ดูรปู

ท่ี 8)

322

รปู ท่ี 8: โครงสรา้ งของ มธ. 13:1-52

1. โครงสรา้ งอปุ มาจากพระวรสารนกั บญุ มาระโกถกู นามาดดั แปลงและตคี วาม 13:1-23

ก. อุปมา ก

อุปมาที ่ 1 “ผหู้ วา่ น” 13:1-9

ข. ทาไมถงึ เลา่ อปุ มาน้ี 13:10-17

ค. อธบิ ายความหมายของอุปมา “ผหู้ วา่ น” 13:18-23

2. อปุ มาเพมิ่ เตมิ อกี 3 เรอ่ื งในรปู แบบของพระวรสารนกั บุญมาระโก 13:24-43

ก. อุปมาสามเรอื่ ง (เรมิ่ ตน้ ดว้ ยคาพดู วา่ “อุปมาอกี เรอื่ งหนงึ่ ” (Another Parable))

อปุ มาที่2 “วชั พชิ ” 13:24-30

อปุ มาที่3 “เมลด็ มสั ตารด์ ” 13:31-32

อปุ มาที่4 “เช้อื แป้ง” 13:33

ข. ทาไมถงึ เล่าอุปมาน้ี 13:34-35

ค. อธบิ ายความหมายของอปุ มา “วชั พชื ” 13:36-43

3. อปุ มาสามเรอ่ื งในรปู แบบของพระวรสารนักบุญมาระโก (ไดร้ บั การเปลย่ี นแปลงแลว้ )

ก. อุปมาสามเรอื่ ง (เรมิ่ ตน้ ดว้ ยประโยคทวี่ า่ “พระอาณาจกั รสวรรคน์ นั้ เปรยี บไดก้ บั ...”)

อปุ มาที่5 “สมบตั ทิ ซี่ ่อนอย”ู่ 13:44

อปุ มาที่6 “ไขม่ กุ ” 13:45-46

อุปมาที ่ 7 “แหจบั ปลา” 13:47-48

ข. อธบิ ายความหมายของอุปมาเรอื่ ง “แหจบั ปลา” 13:49-50

ค. ทาความเขา้ ใจอปุ มา:

อปุ มาเรอื่ งที่ 8 (สรุปจบ) อุปมาทเี่ กยี่ วกบั อุปมา 13:51-52

มทั ธวิ 13:1-23 โครงสรา้ งอปุ มาจากพระวรสารนกั บุญมาระโกถกู นามาดดั แปลงและตคี วาม
ภาพรวม

ประเดน็ ตอ่ เน่อื งจากเรอ่ื งผหู้ วา่ น เรอ่ื งเล่าอปุ มามจี ดุ มงุ่ หมายใดในพระวาจาตรสั สอนของพระเยซเู จา้ ทท่ี รง
นามาใชส้ อนเรามนุษย์ หากเราหวนกลบั พจิ ารณาเทยี บกบั เร่อื งเล่าในหนังสอื ปฐมกาลนัน้ ในความเป็นจรงิ ของ
ชวี ติ ธรรมชาติและสงั คมโลก มนุษย์และสรรพสตั ว์ สรรพส่ิงทงั้ หลายนัน้ ได้รบั อานาจแห่งชวี ติ และธรรมชาติ
แตกต่างกนั ไปตามลกั ษณะชวี ติ ของตน เม่อื พระเป็นเจา้ ทรง “สรา้ ง” โลกและมนุษยน์ นั้ พระเป็นเจา้ “ตรสั ” อะไร
สรรพสงิ่ กเ็ กดิ ขน้ึ ตามพระวาจาของพระองค์ และเมอ่ื ทรงสรา้ งมนุษยน์ นั้

พระเป็นเจา้ ตรสั วา่ “เราจะสรา้ งมนุษยข์ น้ึ ตามภาพลกั ษณ์ของเรา ใหม้ คี วามคลา้ ยคลงึ กบั เรา ใหเ้ ป็น
นายปกครองปลาในทะเล นกในทอ้ งฟ้า สตั วเ์ ล้ยี ง สตั วป์ ่าและสตั วเ์ ลอ้ื ยคลานบนพ้นื ดนิ ”
27 พระเป็นเจา้ ทรงสรา้ งมนุษยต์ ามภาพลกั ษณ์ของพระองค์
พระองคท์ รงสรา้ งเขาตามภาพลกั ษณ์ของพระเป็นเจา้
พระองคท์ รงสรา้ งใหเ้ ป็นชายและหญงิ
พระเป็นเจ้าทรง “เหน็ ” ว่าทุกสงิ่ ดี มเี วลาค่าและเช้า แล้วสรรพสง่ิ ทงั้ ปวงดาเนินชวี ติ เจรญิ เตบิ โตด้วยอานาจ
สรา้ งสรรคท์ ท่ี รงมอบหมายแกม่ นุษย์ ทน่ี ่าสงั เกตคอื เมอ่ื ทรงสรา้ งสงิ่ ทงั้ ปวงและมนุษยแ์ ลว้ นนั้ ว. 31 พระเป็นเจา้
ทรงเหน็ ว่าทุกสง่ิ ทท่ี รงสรา้ งมานนั้ ดมี าก ดงั ทห่ี นงั สอื ปฐมกาล บนั ทกึ วา่ 28 พระเป็นเจา้ ทรงอวยพรเขาทงั้ สองว่า

323

“จงมลี ูกมาก และทวจี านวนข้นึ จนเตม็ แผ่นดนิ จงปกครองแผ่นดนิ จงเป็นนายเหนือปลาในทะเล นกในอากาศ
และสตั วท์ ุกชนดิ ทเี่ คลอื่ นไหวอย่บู นแผ่นดนิ ” 29 พระเป็นเจา้ ยงั ตรสั อกี วา่ “ดซู ิ เราใหข้ า้ วทกุ ชนดิ ซงึ่ อย่บู นแผน่ ดนิ
และผลไม้ทมี่ เี มล็ดเป็นอาหารสาหรบั เจ้า 30 ส่วนบรรดาสตั ว์ป่ า นกในท้องฟ้า และสตั ว์เล้อื ยคลานทุกชนิดบน
แผ่นดนิ เราให้หญ้าเขยี วเป็นอาหาร” และก็เป็นเช่นนัน้ 31 พระเป็นเจ้าทรงเหน็ ว่าทุกสงิ่ ทที่ รงสรา้ งนัน้ ดมี าก มี
เวลาคา่ มเี วลาเชา้ นับเป็นวนั ทหี่ ก ปฐก. 1 บนั ทกึ ขอ้ ความพระวาจาสน้ิ สุดตรงน้ี จงึ หมายความว่า พระเป็นเจา้
ทรงสรา้ ง ทรงตรสั และทรงเหน็ จากนัน้ สรรพสง่ิ ทงั้ หลายทท่ี รงสรา้ งมานัน้ โดยทางพระวาจาของพระองค์ และ
ทรงดารดิ ว้ ยพระปรชี าญาณวา่ ทุกสงิ่ ลว้ น ดี และเม่อื มมี นุษยเ์ กดิ ขน้ี แลว้ นนั้ ทรงเหน็ ว่า ดมี าก แสดงว่าพระเป็น
เจา้ ทรงประสงคม์ อบหมายอานาจและภารกจิ หน้าทร่ี บั ผดิ ชอบแก่มนุษย์ ทงั้ การสรา้ ง อวยพรและมอบหมาย พระ
เป็นเจา้ ทรงเหน็ ว่าดมี าก มเี วลาค่า มเี วลาเช้า สาหรบั ทุกสงิ่ ได้ดาเนินไปตามพระประสงคท์ ่ที รงมอบหมายแก่
มนุษย์

แลว้ ผเู้ ขยี นพระคมั ภรี ์ หนังสอื ปฐมกาลไดเ้ ล่าต่อไป ปฐก. 2 บนั ทกึ ว่า “1 ฟ้า แผ่นดนิ และสงิ่ ประดบั ทงั้
ปวงกส็ าเรจ็ บรบิ ูรณ์ 2 ในวนั ทเี่ จด็ พระเป็นเจา้ ทรงเสรจ็ ส้นิ จากงานทที่ รงกระทา พระองคท์ รงหยดุ พกั ในวนั ทเี่ จด็
จากงานทงั้ หมดทที่ รงกระทา 3 พระเป็นเจา้ ทรงอวยพรวนั ทเี่ จด็ และทรงทาใหว้ นั นนั้ เป็นวนั ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ เพราะในวนั
นนั้ พระองคท์ รงพกั จากงานทงั้ ปวงทที่ รงกระทาในการเนรมติ สรา้ ง

4 นีค่ อื ประวตั คิ วามเป็นมาของฟ้าและแผ่นดนิ เมอื่ พระเป็นเจา้ ทรงเนรมติ สรา้ ง แสดงว่า สรรพสงิ่ ทงั้ ปวงจะ
สาเรจ็ ครบบรบิ ูรณ์นัน้ พระเป็นเจา้ ไดท้ รง “หยุดพกั ” ในวนั ท่เี จด็ นอกเหนือจากงานทงั้ หมดท่ที รงกระทา และ
ทรงอวยพรวนั ทเ่ี จด็ และทรงทาใหว้ นั นัน้ เป็นวนั ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ ซ่งึ หมายถงึ เป็น “เวลา” และ “วนั ” ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ สาหรบั
มนุษย์ เป็นภารกจิ แบบอย่างแก่มนุษย์ ทท่ี รงกระทาเช่นน้ี พระเจา้ จงึ ไดใ้ หม้ ี “เวลา” พกั จากงานทงั้ ปวง พระเจา้
ทรงมเี วลาสาหรบั มนุษย์ และมนุษย์ต้องใชเ้ วลาน้ีถวายแด่พระเป็นเจา้ จงึ จะเป็นสง่ิ เหมาะสมและสมควร และ
เป็นสงิ่ ท่ที าให้การงานทงั้ ปวงสาเรจ็ บรบิ ูรณ์ตามพระฉบบั แบบท่ที รงกระทาในการเนรมติ สรา้ ง กส็ มควรเป็น
แบบอยา่ งแกม่ นุษยใ์ นการทางานทม่ี นุษยไ์ ดร้ บั มอบหมายจากพระเป็นเจา้

ปฐก. 2: 4ข ยงั บนั ทกึ ต่อไปอกี อยา่ งต่อเน่ืองวา่ พระเป็นเจา้ ยงั ทรงทางานเพอ่ื มนุษย์ รว่ มกบั มนุษย์ ทรง
เอาพระทยั ใสต่ ่อชวี ติ และความเป็นอย่ขู องมนุษยต์ ่อไป ทรงสรา้ งมนุษยห์ ญงิ “เอวา” แก่มนุษยช์ าย “อาดมั ” เป็น
จุดเรม่ิ ตน้ สาหรบั ครอบครวั ของมนุษย์ (ปฐก. 2: 4ข-25) ซง่ึ มนุษยส์ มควรตอบรบั ชวี ติ อย่รู ่วมกนั น้ีดว้ ยความพอใจใน
พระทยั ดี พระเมตตาของพระเป็นเจา้ ทท่ี รงมตี ่อตนและครอบครวั แสดงถงึ พระทยั ดแี ละเมตตายงิ่ ใหญ่ของพระ
เป็นเจา้ ทท่ี รงมตี ่อมนุษย์ ทรงประทานสงิ่ ดที ุกสงิ่ อยา่ งแก่มนุษย์ และกรอบแนวทางชวี ติ ทด่ี ดี ว้ ย กล่าวคอื มนุษย์
ต้องปฏบิ ตั ติ นต่อองค์พระเป็นเจ้าอย่างดแี ละอย่างเต็มความสามารถของตนตามแบบอย่างท่พี ระเป็นเจา้ ทรง
กระทาแก่มนุษย์ เท่าทช่ี วี ติ สามารถปฏบิ ตั ิไดจ้ นเกดิ ผลและถวายผลงานของตนแด่พระเป็นเจา้ ได้ รอ้ ยเท่าบา้ ง
หกสบิ เทา่ บา้ ง สามสบิ เทา่ บา้ ง หรอื ทวคี ณู เพมิ่ อกี เท่าตวั ตามสดั สว่ นพระพรทพ่ี ระเป็นเจา้ ทรงมอบให้ (มธ. 25: 14-

30)

324

ข. คาเทศนาเป็นอุปมา
บทนา

1 วนั เดยี วกนั นนั้ พระเยซูเจา้ เสดจ็ ออกจากบา้ นมาประทบั ทร่ี มิ ทะเลสาบ 2 ประชาชนจานวนมากมาเฝ้าพระองค์ พระองคจ์ งึ
เสดจ็ ไปประทบั อยใู่ นเรอื ส่วนประชาชนยนื อยบู่ นฝัง่ 3 พระองคต์ รสั สอนเขาหลายเรอ่ื งเป็นอุปมา
อปุ มาเรอื่ งผหู้ วา่ น

พระองคต์ รสั ว่า “จงฟังเถดิ ชายคนหน่ึงออกไปหวา่ นเมลด็ พชื 4 ขณะทเ่ี ขากาลงั หวา่ นอยนู่ นั้ บางเมลด็ ตกอยรู่ มิ ทางเดนิ
นกกจ็ กิ กนิ จนหมด 5 บางเมลด็ ตกบนพน้ื หนิ ทม่ี ดี นิ เลก็ น้อย กง็ อกขน้ึ ทนั ทเี พราะดนิ ไม่ลกึ 6 แต่เม่อื ดวงอาทติ ย์ขน้ึ กถ็ ูกเผาและ
เหย่ี วแหง้ ไปเพราะไม่มรี าก 7 บางเมลด็ ตกในพงหนาม ตน้ หนามกข็ น้ึ คลมุ ไว้ ทาใหเ้ หย่ี วเฉาตายไป 8 บางเมลด็ ตกในทด่ี นิ ดี จงึ
เกดิ ผลรอ้ ยเท่าบา้ ง หกสบิ เท่าบา้ ง สามสบิ เทา่ บา้ ง 9 ใครมหี ู กจ็ งฟังเถดิ ”
เหตผุ ลท่ีพระเยซูเจ้าตรสั เป็นอปุ มา

10 บรรดาศษิ ยเ์ ขา้ มาทูลถามพระเยซูเจา้ ว่า “ทาไมพระองค์ตรสั แก่พวกเขาเป็นอุปมาเล่า” 11 พระองคท์ รงตอบว่า “พระเจา้
ประทานธรรมล้าลกึ เร่อื งอาณาจกั รสวรรค์ให้ท่านทงั้ หลายรู้ แต่ไม่ไดป้ ระทานใหแ้ ก่ผูอ้ ่นื 12 เพราะผูท้ ม่ี มี ากจะไดร้ บั มากขน้ึ จน
เหลอื เฟือ ส่วนผูท้ ม่ี นี ้อย จะถูกรบิ สงิ่ เลก็ น้อยทม่ี ไี ปดว้ ย 13 เพราะฉะนนั้ เรากล่าวแก่คนเหล่าน้ีเป็นอุปมา ถงึ พวกเขามองดู กไ็ ม่
เหน็ ถงึ ฟังกไ็ มไ่ ดย้ นิ และไมเ่ ขา้ ใจ 14 สาหรบั คนเหล่าน้ี คาทานายของประกาศกอสิ ยาหก์ เ็ ป็นความจรงิ ทว่ี า่

ทา่ นทงั้ หลายจะฟังแลว้ ฟังเล่า แต่จะไมเ่ ขา้ ใจ
จะมองแลว้ มองเล่า แตจ่ ะไมเ่ หน็
15 เพราะจติ ใจของประชาชนนัน้ แขง็ กระดา้ ง
เขาทาหทู วนลม และปิดตาเสยี
เพอื่ ไมต่ อ้ งมองดว้ ยตา ไมต่ อ้ งฟังดว้ ยหู
จะไดไ้ มเ่ ขา้ ใจ
จะไดไ้ มต่ อ้ งกลบั ใจ เราจะไดไ้ มต่ อ้ งรกั ษาเขา
16 “สว่ นท่านทงั้ หลาย ตาของท่านเป็นสขุ ทม่ี องเหน็ หขู องทา่ นเป็นสุขทไ่ี ดฟ้ ัง 17 เราบอกความจรงิ แก่ท่านว่า ประกาศกและ
ผชู้ อบธรรมจานวนมากปรารถนาจะเหน็ สงิ่ ทท่ี า่ นไดเ้ หน็ อยู่ แตก่ ไ็ มไ่ ดเ้ หน็ ปรารถนาจะไดฟ้ ังสง่ิ ทท่ี า่ นฟังอยู่ แตก่ ไ็ มไ่ ดฟ้ ัง
คาอธิบายอปุ มาเรอ่ื งผ้หู ว่าน
18 “เพราะฉะนัน้ จงฟังความหมายของอุปมาเร่อื งผูห้ ว่านเถดิ 19 เม่อื คนหน่ึงฟังพระวาจาเร่อื งพระอาณาจกั รและไม่เขา้ ใจ
มารรา้ ยก็มาและถอนสงิ่ ท่หี ว่านลงในใจของเขาไปเสยี นัน่ ไดแ้ ก่ เมลด็ ท่ตี กรมิ ทาง 20 เมลด็ ท่ตี กบนหนิ คอื ผูฟ้ ังพระวาจาและมี
ความยนิ ดรี บั ไวท้ นั ที 21 แตเ่ ขาไม่มรี ากในตวั จงึ ไมม่ นั่ คง เมอ่ื เผชญิ ความยากลาบากหรอื ถูกเบยี ดเบยี นเพราะพระวาจานนั้ เขาก็
ยอมแพ้ทนั ที 22 เมลด็ ท่ตี กในพงหนามหมายถงึ บุคคลท่ฟี ังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรพั ย์สมบตั ิ
เขา้ มาบดบงั พระวาจาไว้ จงึ ไม่เกดิ ผล 23 ส่วนเมลด็ ทห่ี ว่านลงในดนิ ดี หมายถงึ บุคคลทฟ่ี ังพระวาจาและเขา้ ใจ จงึ เกดิ ผลรอ้ ยเท่า
บา้ ง หกสบิ เท่าบา้ ง สามสบิ เท่าบา้ ง”

325

ข้อศึกษาวิพากษ์
13:1-9 คอื อุปมาเรอ่ื งผหู้ วา่ น 13:1 แสดงใหเ้ หน็ ว่านกั บุญมทั ธวิ มองวา่ พระเยซูเจา้ และ “ฝงู ชน” กาลงั อยู่

ภายในบา้ น แมว้ า่ ทา่ นจะเวน้ ขอ้ ความจาก มก 3:20-21 ซง่ึ บอกอย่างชดั เจนว่าพวกเขาอย่ทู น่ี นั่ ภาพของฝงู ชนท่ี
อยใู่ นบา้ นนนั้ อาจดแู ลว้ ไมค่ อ่ ยเป็นธรรมชาติ แต่แสดงใหเ้ หน็ ถงึ มติ แิ หง่ สญั ลกั ษณ์ของบทบรรยายน้ี คาวา่ “ในวนั
เดยี วกนั นนั้ ” ทาใหบ้ ททส่ี บิ สามตอ่ เน่อื งกบั เน้อื หาสาระสว่ นกอ่ นหน้าน้ี

ผูอ้ ่านสมยั หลงั ๆ มโี อกาสน้อยมากท่จี ะได้ยนิ อุปมาโดยไม่ผ่านการตคี วามแบบนิทานเปรยี บเทยี บใน
13:18-23 ซง่ึ มปี ระเดน็ เกย่ี วขอ้ งกนั ตงั้ แต่กอ่ นสมยั พระวรสารนกั บุญมาระโก การตคี วามแบบนิทานเปรยี บเทยี บ
ในสมยั ต่อๆ มานัน้ ได้เน้นความสาคญั ของดิน 4 ประเภท ในรูปคาถามเชิงการศกึ ษาบทเทศน์ (Homiletical
Question) แฝงอยู่ว่า “ฉันเป็นดนิ ประเภทไหน” แต่อุปมาดงั้ เดมิ ของพระเยซูเจา้ มุ่งเน้นทก่ี ารเกบ็ เก่ยี วไดอ้ ย่าง
อุดมสมบูรณ์จนน่าแปลกใจ แมว้ า่ ในตอนแรกจะมสี ง่ิ ต่างๆ มาคุกคาม ทงั้ อุปมาน้ีและอุปมาอ่นื ๆ ทเ่ี กย่ี วกบั เมลด็
พชื ไม่มคี วามเกย่ี วขอ้ งกบั ความกา้ วหน้าตามธรรมชาตอิ ย่างค่อยเป็นค่อยไปของพระอาณาจกั รของพระเจา้ แต่
เป็นการแสดงใหเ้ หน็ ภาพของพระราชกจิ ของพระเจา้ ท่ปี ิดบงั ซ่อนเรน้ และลกึ ลบั พระองค์สามารถทาใหเ้ กดิ ผล
สาหรบั การเกบ็ เกย่ี วไดอ้ ย่างน่าอศั จรรย์

ในดนิ แดนปาเลสไตน์ช่วงศตวรรษทห่ี น่ึง ผคู้ นสามารถหว่านเมลด็ พชื ลงในไร่ไดต้ งั้ แต่ฤดูใบไมร้ ่วงหรอื
ฤดูใบไมผ้ ลิ บางครงั้ เตรยี มดนิ ไวก้ ่อนด้วยการไถ และบางครงั้ หว่านก่อนแลว้ ค่อยไถ แต่อุปมาน้ีไม่ไดม้ ุ่งเน้นท่ี
รายละเอยี ดของการทาการเกษตร จงึ ไมม่ กี ารกลา่ วอา้ งองิ ถงึ สง่ิ ทเ่ี กษตรกรสว่ นใหญ่กงั วล เชน่ การเปลย่ี นแปลง
ของสภาพอากาศ แต่ใหค้ วามสนใจทงั้ หมดมุ่งไปท่ีชะตาของเมลด็ พชื ทอ่ี ย่ใู นดนิ แต่ละประเภท “การหว่าน” เป็น
โวหารเปรยี บเทยี บทวั่ ไปทห่ี มายถงึ การสอนและเทศนา และไมไ่ ดเ้ น้นปรมิ าณเมลด็ พชื ในการหวา่ นแต่ละครงั้ กบั
จานวนครงั้ ทห่ี วา่ น สว่ น “การเกบ็ เกย่ี ว” สอ่ื ถงึ การรวบรวมผเู้ ชอ่ื ในอวสานกาลและการพพิ ากษาโลก

ประเดน็ หลกั ในการตคี วามอุปมาน้ี คอื อุปมาเร่อื งการเกบ็ เกย่ี วในฉากสุดทา้ ยตอ้ งการจะใหส้ ่อื ถงึ ความ
เป็นจรงิ หรอื ไม่ หลกั ฐานแสดงใหเ้ หน็ ว่าการเกบ็ เกย่ี วไดส้ ถ่ี งึ สบิ เท่านนั้ ถอื วา่ เป็นเรอ่ื งปกติ แต่ถา้ หากสงิ่ ทห่ี ว่าน
นนั้ มคี ุณภาพดเี ป็นพเิ ศษอาจเกบ็ เกย่ี วไดม้ ากถงึ สบิ หา้ เทา่ เมอ่ื พจิ ารณาตามความเขา้ ใจน้ี อุปมาดงั้ เดมิ ของพระ
เยซูเจา้ เป็นความจรงิ จนถงึ ฉากสุดทา้ ยจะเป็นการแสดงใหเ้ หน็ ถงึ การเกบ็ เกย่ี วทย่ี อดเยย่ี มอยา่ งน่าประหลาดใจ
เม่อื ไม่นานมาน้ี นกั วชิ าการบางคนเรม่ิ เช่อื ถอื หลกั ฐานทช่ี ใ้ี หเ้ หน็ ว่าการเก็บเกย่ี วไดเ้ ป็นรอ้ ยเท่าไม่ใชเ่ รอ่ื งพเิ ศษ
อะไร ซ่ึงถ้าเป็นเช่นนัน้ แนวคดิ หลกั ของอุปมาน้ีจะยงั คงอยู่ในโลกปกติทวั่ ไป แสดงให้เห็นว่าพระอาณาจกั ร
ปรากฏอยใู่ นสง่ิ ทธ่ี รรมดาเรยี บงา่ ย ไมใ่ ชภ่ าพของการพพิ ากษาโลกในวนั สน้ิ พภิ พ ผทู้ พ่ี ยายามจะทาใหภ้ าพของ
การเก็บเก่ียวน้ีตรงกับความเป็นจรงิ อาจอ้างถึงข้อมูลจากกรซี อิตาลี อฟั รกิ าและบาบิโลน แต่ก็ยงั คงขาด
หลกั ฐานน่าเช่อื ถอื แสดงว่าการเกบ็ เกย่ี วเช่นนนั้ เป็นเร่อื งปกตทิ อ่ี าจเกดิ ขน้ึ ในปาเลสไตน์ อุปมาน้ีอาจจงใจเสนอ
ลกั ษณะพเิ ศษเหนือธรรมดาเมอ่ื เทยี บกบั ความคาดหวงั ในชวี ติ ประจาวนั แต่ยงั ห่างไกลจากภาพอนั น่ามหศั จรรย์
ของความอุดมสมบูรณ์ทจ่ี ะมอี ย่ทู วั่ ไปเม่อื วนั พพิ ากษาโลกมาถงึ จุดชข้ี าดสาหรบั การตคี วามอุปมาเดมิ ของพระ
เยซูเจ้าอาจอยู่ท่กี ารนาเร่อื งจาก ปฐก. 26:12 มาเปรยี บเทยี บ เพราะถ้าเป็นเช่นนัน้ แหล่งขอ้ มูลเดยี วท่ชี าวไร่
ชาวนาในกาลลิ เี คยไดย้ นิ เกย่ี วกบั การเกบ็ เก่ยี วไดเ้ ป็นรอ้ ยเท่า คอื “โลกแห่งพระพร” ดงั ทไ่ี ดป้ ระทานแก่อสิ อคั
และอสิ อคั ได้ตงั้ แท่นถวายนมสั การแด่พระเป็นเจา้ ท่านไดข้ านพระนามของพระยาเวห์ หากยดึ ตามหลกั การน้ี

326

เร่อื งราวของพระเยซูเจา้ เรมิ่ ตน้ ในโลกทเ่ี ป็นปกตธิ รรมดาและสรุปจบลงในโลกแห่งพระพร ซง่ึ เกดิ จากความเช่อื
ศรทั ธาในพระเป็นเจา้ สบื ต่อจากอบั ราฮมั บดิ าของทา่ น และจติ ใจเตม็ ไปดว้ ยความหวงั ในพระสญั ญา

ถึงแม้ว่าโดยดงั้ เดมิ แล้ว อุปมาน้ีจะมุ่งเน้นท่คี วามแตกต่างของดินและการเก็บเก่ยี วครงั้ สุดท้าย การ
ตคี วามของ มธ. 13:18 ไดเ้ ปลย่ี นแปลงขอ้ มลู จากพระวรสารนกั บุญมาระโกเพ่ือใหอ้ ุปมาน้ีมชี อ่ื เรยี กทไ่ี มธ่ รรมดา
คอื “ผหู้ ว่าน” ซง่ึ เป็นช่อื ทร่ี จู้ กั กนั ต่อมาในการตคี วามในยุคหลงั ๆ ว่า ผหู้ ว่านนนั้ มบี ทบาทเพยี งน้อยนิดในเร่อื ง
เลา่ น้ี และหายไปหลงั จากจบประโยคขน้ึ ตน้ แต่นกั บุญมทั ธวิ เขา้ ใจอุปมาน้ใี นเชงิ ครสิ ตศาสตร์ และมองวา่ ผหู้ วา่ น
คอื พระครสิ ต์ สาหรบั นักบุญมทั ธวิ พระเยซูเจ้ายงั คงอยู่กบั พระศาสนจกั รของพระองค์ตลอดทงั้ ประวตั ศิ าสตร์
(28:18) พระองคค์ อื ผทู้ ย่ี งั ทรงหว่านพระวาจาอยา่ งขยนั ขนั แขง็ อยใู่ นปัจจุบนั (13:37) พระองคย์ งั คงเป็นหน่ึงเดยี วกบั
ผู้ประกาศข่าวดีทงั้ หลาย (10:40) ทรงสรา้ งพระศาสนจกั รของพระองค์เอง (16:18) และทรงดูแลอบรมสงั่ สอนอยู่
ตลอด (18:18-20) และสุดท้ายพระองคจ์ ะทรงเป็นผูต้ ดั สนิ แยกแยะระหว่างศษิ ย์ผูม้ ใี จซ่อื ตรงและศษิ ย์ทไ่ี ม่ซ่อื ตรง
(13:41-43) นกั บญุ มทั ธวิ ตระหนกั ถงึ อปุ มาทงั้ หมดในบทน้ใี นมมุ มองของการแบ่งกล่มุ และประเมนิ คณุ ค่าทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ
ในวนั พพิ ากษาโลก การมุ่งเน้นเชงิ ครสิ ตศาสตรส์ ่อื เป็นนัยถงึ ความเป็นศษิ ย์ สาหรบั นักบุญมทั ธวิ สงิ่ ท่ที ่านเน้น
ความสาคญั คอื ความรบั ผดิ ชอบของผู้เช่อื แต่ละคน ในการ “ให้/เกิดผล” (Fruit) หรอื ผลแห่งความชอบธรรม
ดงั นัน้ ท่านจึงเปล่ียนจากเมล็ดพืชเมล็ดเดียว (Seed) ในพระวรสารนักบุญมาระโกให้กลายเป็นหลายเมล็ด
(Seeds) และแบ่งกลุ่มโดยดจู ากการตอบสนองต่อพระวาจาของพระเป็นเจา้ ของแต่ละคน ท่านนาการเพม่ิ จานวน
ขน้ึ สจู่ ุดสงู สดุ ในพระวรสารนกั บุญมาระโก (30/60/100) ยอ้ นถอยกลบั มาใหส้ อดคลอ้ งกบั เร่อื งราวการพพิ ากษาโลก
โดยเรมิ่ ตน้ จากการชน่ื ชมผทู้ อ่ี อกผลมากทส่ี ดุ และต่อดว้ ยการประณามตดั สนิ ลงโทษผทู้ อ่ี อกผลน้อยทส่ี ดุ (ดู เทยี บ
25:14-30) ในการตคี วามของนักบุญมทั ธวิ ภาพอนั น่าต่นื ตาต่นื ใจของผลติ ผลมากมายท่เี ก็บเก่ยี วได้เกนิ ความ
คาดหวงั ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั โลกแห่งพระพรในพระคมั ภรี ไ์ ดก้ ลายมาเป็นอปุ มาเกย่ี วกบั วนั พพิ ากษา และเป็นเช่นน้ี
มาตงั้ แตก่ ่อนมกี ารตคี วามแลว้

13:10-17 ตอนน้ีอธบิ ายว่าเหตุผลใดจงึ เล่าเป็นเร่อื งอุปมาน้ี ดูเหมอื นว่าฉากเหตุการณ์บนเรอื ในวรรค 2
ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไร จงึ เป็นเพียงฉากประกอบเหตุการณ์เท่านัน้ ในขณะท่ี ว. 10-23 เป็นการอธบิ าย
เหตุผลท่ีทรงสอนเป็นเร่อื งอุปมาท่ีกล่าวโดยตรงกบั บรรดาสาวกเท่านัน้ ส่วนคาว่า “พวกเขา” ในวรรค 24
หมายถงึ “ฝงู ชน” ทท่ี รงเทศน์สอนอย่างแน่นอน (ดเู ทยี บกบั ว. 34)

แหล่งขอ้ มลู ของนกั บญุ มทั ธวิ แสดงภาพของพระเยซูเจา้ วา่ ทรงใชอ้ ุปมาเพอ่ื นาพาพระพรแกม่ นุษยท์ ุกคน
ไดเ้ ขา้ ถงึ และนาชวี ติ เขา้ สอู่ าณาจกั รสวรรค์ ทงั้ แก่ “ทา่ นทงั้ หลาย” (ว. 11) และแก่ “ผอู้ ่นื ” (ว. 11ข) หมายถงึ พระเป็น
เจา้ ทรงประทานความสุขแท้จรงิ หรอื พระพรนาชวี ติ เขา้ ครอบครองอาณาจกั รสวรรค์แก่ทุกคน แต่บรรดาศษิ ย์ผู้
เปิดจติ ใจยอมรบั มากเท่าไร พวกเขากจ็ ะได้รบั มากข้นึ เท่านัน้ ส่วนผู้อ่นื ผู้ท่ไี ม่ยอมรบั หรือมพี ระพรแต่น้อย ก็
อาจจะสญู สน้ิ พระพรนนั้ ไปไมท่ างใดกท็ างหน่งึ เมอ่ื พวกเขาไดถ้ กู ประจญและนาตนพา่ ยแพส้ งิ่ ทม่ี าประจญลอ่ ลวง
พวกเขา ไม่ใช่หมายถึงการไม่ให้โอกาสหรอื ป้องกนั ไม่ให้ผู้อ่ืน ซ่ึงอาจหมายถึง “คนนอก” เข้าใจ (มก 4:10-12)
ลกั ษณะการเขยี นเช่นน้ีอาจเป็นวธิ กี ารหน่ึงในกรอบความคดิ ของ “ความลบั ของพระเมสสยิ าห์” ตามแนวคดิ ของ
นกั บุญมาระโก แต่นกั บญุ มทั ธวิ ไม่ไดเ้ ขา้ ใจเรอ่ื งความลบั ดงั กล่าวของนกั บุญมาระโกหรอื อาจเหน็ แตกต่างออกไป
รวมทงั้ คานึงถงึ ผลทต่ี ามมาของความลบั นนั้ วา่ อาจทาใหบ้ รรดาศษิ ยจ์ านวนหน่ึงเขา้ ใจผดิ หรอื ไมเ่ ขา้ ใจกลวธิ กี าร
เล่าเร่อื งแบบน้ี ท่านนักบุญมทั ธวิ ไดพ้ ยายามจะนาขอ้ ความทเ่ี ป็นโวหารกล่าวแบบเขา้ ใจยาก (Hard Saying) ใน

327

พระวรสารนักบุญมาระโกมาตีความใหม่ในกรอบความเข้าใจของท่านเก่ียวกบั พนั ธกิจของพระเยซูเจ้า นัก
บุญมทั ธวิ จงึ ขยายความเพม่ิ เตมิ หรอื นาเอาเน้ือหาสาระจากเอกสารแหล่ง Q หรอื แหล่งชุมชนคุมราน มาแทรก
อธิบายเพิ่มเติมเพ่ือสอนและปรับเปล่ียนเน้ือหาตอนน้ีจากเน้ือหาสาระเดิมในพระวรสารนักบุญมาระโก
ค่อนขา้ งมาก นบั จากการอธบิ ายขยายความคาถาม ในพระวรสารนักบุญมาระโก คนทอ่ี ย่ใู นวงกวา้ งคอื ผทู้ ถ่ี าม
ถงึ ความหมายของอุปมา แต่ในทน่ี ้ี ผทู้ เ่ี ขา้ ใจ (เฉพาะศษิ ยเ์ ท่านนั้ ) ถามเจาะจงถงึ เหตผุ ลทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงเลา่ อุปมา
น้ีใหก้ บั “พวกเขา” ฟัง คาตอบท่ไี ดร้ บั มลี กั ษณะเป็นหา้ ชนั้ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ เทวศาสตรข์ องนกั บุญมทั ธวิ และทา
ใหข้ อ้ ความทเ่ี ป็นปัญหาใน มก. 4:10-12 ลดความยงุ่ ยากลง

13:11 เราจะเหน็ ว่าความเขา้ ใจไม่ใช่ความสาเรจ็ ของมนุษย์ แต่เป็นของประทานจากพระเป็นเจา้ น่ีคอื
แนวคดิ หลกั ของนักบุญมทั ธวิ ท่ปี รากฏอยู่ในส่วนอ่นื ๆ ด้วยเช่นกนั (11:25-30; 16:17) สาหรบั นักบุญมทั ธวิ “ความ
เขา้ ใจ” ไม่ไดเ้ พยี งแค่แนวคดิ หรอื มโนทศั น์ แต่เป็นความเขา้ ใจตามพระคมั ภรี ท์ ร่ี วมถงึ การยอมน้อมรบั พระเป็น
เจา้ หรอื พระอานาจสงู สุดของพระเป็นเจา้ และน่คี อื ความเขา้ ใจของนกั บุญมทั ธวิ ในการตคี วามเทยี บเคยี งเกย่ี วกบั
อสย 6: 9-10 (ดู เทยี บ สดด. 119:34)

แหล่งขอ้ มลู ของนกั บุญมทั ธวิ ใชค้ าว่า “ความลกึ ลบั ” (Mystery) ทเ่ี ป็นเอกพจน์ ซง่ึ ส่อื ความหมายโดยนัย
ถึงความลบั ต่างๆ ในกลุ่มผู้นับถือลัทธิลึกลบั (Mystery Cults) สมยั เฮเลนนิสติก และความคิดของพวกเขา
เก่ยี วกบั คนนอก/คนในหรอื ผูม้ สี ทิ ธพิ เิ ศษเฉพาะกลุ่ม (มก. 4:11) แต่นักบุญมทั ธวิ เปลย่ี นไปใชค้ าว่า “ความลกึ ลบั
ต่างๆ” (Mysteries) ซง่ึ เป็นพหพู จน์ ทส่ี อดคลอ้ งกบั ความเขา้ ใจพระคมั ภรี ์ ภาคพนั ธสญั ญาเดมิ เกย่ี วกบั แผนการ
ของพระเป็นเจ้าท่ีซ่อนเร้นอยู่สาหรบั ประวตั ิศาสตร์โลกและการสถาปนาพระอาณาจกั รอย่างแท้จรงิ ในวาระ
สดุ ทา้ ย

13:12 การส่อื สารโดยการใช้โวหารเชงิ อุปมาคล้ายกบั ครูจะให้รางวลั นักเรยี นท่ปี ระพฤติดแี ละลงโทษ
นกั เรยี นทป่ี ระพฤตไิ มด่ ี พระเยซูเจา้ ทรงกล่าวเป็นเรอ่ื งอุปมา เพราะพระองคท์ รงเป็นนกั สอ่ื สารทด่ี แี ละตอ้ งการท่ี
จะทา้ ทายผทู้ ป่ี รารถนาจะเขา้ ใจ สว่ นผทู้ ไ่ี มเ่ ขา้ ใจนนั้ คอื นักเรยี นท่ีไม่ดี มนี ิสยั ดอ้ื รนั้ ไม่ใช่เพยี งแต่สตปิ ัญญาไม่ดี
ผูอ้ ่าน มก.4:10-12 แม้จะเขา้ ใจว่าครูไดส้ อนเน้ือหาบทเรยี นจากเร่อื งเล่าอุปมาแก่นักเรยี นทุกคน คนท่ใี ส่ใจฟัง
และมีข้อสงสยั อยากรู้อยากฟังคาอธิบายเพ่ิมเติม ก็จะถามครูเพ่ือขอให้ครูอธิบายเพิ่มเติมหรอื สอนเน้ือหา
บทเรยี นอย่างละเอยี ด และอาจมบี างคนตงั้ คาถามว่าครูประเภทไหนท่ีสอนเน้ือหาบทเรยี นแล้วช้นี าทางให้เกดิ
ความเขา้ ใจผดิ และทาโดยเจตนา หรอื นักเรยี นทไ่ี ม่ตงั้ ใจเรยี นย่อมไม่เขา้ ใจ หรอื เขา้ ใจเลก็ น้อย แลว้ ไม่ทบทวน
หรอื ไม่สนใจบทเรยี นอกี ด้วย ขอ้ สงั เกตน้ีอาจบอกว่ากลวธิ ที ่ที ้าทายยวั่ ยุให้นักเรยี นศกึ ษาคน้ หาความจรงิ และ
ความหมายของบทเรยี นอาจไม่ประสบผลสาเรจ็ อย่างทต่ี งั้ ใจไวห้ รอื เกดิ ผลเฉพาะแก่คนจานวนหน่ึงเท่านัน้ นัก
บุญมทั ธวิ ไดแ้ กไ้ ขเพม่ิ เตมิ ความหมายในประโยคตรงน้ีใหถ้ ูกตอ้ งตามมุมมองของทา่ นทเ่ี คารพและยอมรบั วา่ พระ
เยซูเจา้ คอื อาจารยท์ ด่ี ี ซง่ึ เป็นมติ หิ น่ึงในครสิ ตศาสตรข์ องท่าน มมุ มองของนกั บุญมทั ธวิ เกย่ี วกบั อุปมาต่างๆ นนั้
คล้ายกบั มุมมองของจซี สั เบน สริ าห์ (Jesus ben Sirach) ซ่งึ มองว่าวธิ เี ล่าเร่อื งแบบนักบุญมาระโกเป็นวธิ กี าร
สอนของครคู นหน่ึง ทจ่ี ะแยกนักเรยี นซง่ึ ผทู้ พ่ี รอ้ มจะเรยี นรอู้ อกจากนักเรยี นทเ่ี กยี จครา้ น (เทยี บ บสร. 3:29; 21:11-15;
38:31; 38:31-39-3) เพ่อื แสดงออกถงึ ความเขา้ ใจน้ี นักบุญมทั ธวิ ไดย้ า้ ย มก 4:25 ไปอยู่ท่ี มธ. 13:12 จดั ภาพบรบิ ท
ใหม่น้ีทาใหเ้ กดิ มุมมองใหม่ทงั้ หมดว่า ผทู้ ย่ี อมอุทศิ ตนตดิ ตามพระเยซูเจา้ ในฐานะศษิ ยเ์ ท่านัน้ จงึ จะไดร้ บั ความ
เขา้ ใจปรศิ นาธรรมล้าลกึ เกย่ี วกบั พระอาณาจกั รสวรรค์ พวกเขามพี ระเยซูเจา้ เป็นอาจารย์ (23:10) และจะสามารถ

328

เขา้ ใจความหมายของอุปมาต่างๆ ผูท้ ่ไี ม่ได้เป็นศษิ ย์ กจ็ ะไม่ได้รบั การอธบิ ายความหมายของเร่อื งอุปมา และ
เรอ่ื งอุปมาจะไมใ่ ชค่ าสอนหรอื สอ่ื นาพาพวกเขาใหเ้ ขา้ ถงึ หรอื เขา้ ใจคาสอนของพระเยซูเจา้ การไม่เขา้ ใจหมายถงึ
การไม่ยอมรบั เม่อื ไม่เปิดใจรบั สงิ่ ท่ไี ด้รบั ก็จะมไี ม่มากหรอื มนี ้อย ไม่เพยี งพอสาหรบั เสรมิ สร้างความเขา้ ใจ
(เหมอื นกบั เมลด็ พชื ทต่ี กในดนิ หนิ บนถนน ดนิ ปนหนิ หรอื ดนิ ทม่ี กี อหนามปกคลุม สงิ่ ทไ่ี ดร้ บั อาจเตบิ โตขน้ึ ใน
ระยะสนั้ ๆ แล้วเห่ยี วเฉาไป ดูเหมอื นว่ามี แต่ก็จะถูกรบิ ไป จงึ เท่ากบั ปฏิเสธในท่สี ุด ผลสุดท้ายเม่อื เวลาถงึ ท่ี
กาหนด กจ็ ะเป็นการตดั สนิ ลงโทษ

13:13 นักบุญมทั ธวิ เปล่ยี นคาว่า “เพ่อื ท่จี ะ” (In Order That) จากพระวรสารนักบุญมาระโกเป็นคาว่า
“เพราะว่า” (Because) และละเวน้ คาสาปแช่งทว่ี ่า “พวกเขาจงึ ไม่อาจหนั กลบั มาและไดร้ บั การอภยั ” ผลลพั ธค์ อื
คาอธบิ ายวา่ ฝงู ชนไมอ่ าจเขา้ ใจเพราะพวกเขาไม่ยอมรบั รู้ ซง่ึ แตกต่างจากในพระวรสารนกั บุญมาระโกทก่ี ารขาด
ความเขา้ ใจของพวกเขา เป็นเพราะเหตุผลจากการทพ่ี ระเยซูเจา้ จงใจสอนเป็นเรอ่ื งอปุ มา

13:14-15 อา้ งองิ ถงึ อสย 6: 9-10 (ซง่ึ มอี ยใู่ นเน้ือหาส่วนทแ่ี ลว้ ดว้ ย) มลี กั ษณะทเ่ี ฉพาะเจาะจงมากขน้ึ ในทน่ี ้ี
เพราะนกั บุญมทั ธวิ เตมิ ขอ้ ความทย่ี กมาอย่างสมบูรณ์ลงไปดว้ ย พระเยซูเจา้ ทาใหข้ อ้ ความในพระคมั ภรี เ์ ป็นจรงิ
ดว้ ยการสอนเป็นเรอ่ื งอปุ มา นกั ตคี วามพระคมั ภรี บ์ างคนมองว่าสองวรรคน้คี อื สว่ นทใ่ี สแ่ ทรกเขา้ ไปภายหลงั (ไม่มี
หลกั ฐานอยู่ในต้นฉบบั ) แต่มคี าอธบิ ายท่ดี ีกว่าเก่ียวกบั ความเหมาะสมของตาแหน่งตรงน้ีว่า มนั เกิดจากความไม่
รอบคอบของนกั บุญมทั ธวิ เมอ่ื ทา่ นจดั การกบั ขอ้ ความทเ่ี ป็นปัญหาใน มก. 4:10:12 คอื ยกขอ้ ความจาก อสย. 6:
9-10 มาประกอบแสดงถงึ ความหมายวา่ พระเจา้ คงจะทรงใหอ้ ภยั จะไดไ้ มต่ อ้ งกลบั ใจ เป็นเราจะไดไ้ ม่ตอ้ งรกั ษา

13:16-17 นกั บญุ มทั ธวิ นาถอ้ ยคาทช่ี ว่ ยคลายกงั วลมาจากบรบิ ทในเอกสาร (เทยี บ ลก 10:23-24) ซง่ึ ยนื ยนั ว่า
บรรดาศษิ ย์ไม่เพยี งแต่มองเหน็ และไดย้ นิ ความหมายระดบั ลกึ ของคาสอนท่เี กดิ ขน้ึ ตรงหน้าเขาเท่านัน้ แต่สงิ่ ท่ี
พวกเขาประสบนนั้ ยงั เป็นสง่ิ ทบ่ี รรดาประกาศกและบุคคลชอบธรรมทงั้ หลายปรารถนาทจ่ี ะมองเหน็ และไดย้ นิ อกี
ดว้ ย อาจหมายถงึ การอธบิ ายตคี วาม หรอื มผี สู้ ามารถเขา้ ใจเขา้ ถงึ คุณค่าแห่งคาสอนจากเร่อื งอุปมา หรอื ไดร้ บั
พระพรสามารถอธบิ ายตคี วามหมายอยา่ งเขา้ ใจถงึ พระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ ตามแบบอย่างทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรง
อธบิ ายเรอ่ื งอุปมาแก่บรรดาศษิ ย์ ในความหมายถงึ พระอาณาจกั รสวรรค์ ทม่ี คี าสอนคาอธบิ ายซ่อนอย่ใู นเรอ่ื งเล่า
หรอื สง่ิ สรา้ งธรรมชาตทิ ่พี ระเป็นเจา้ ทรงสรา้ งขน้ึ และประทานอานาจให้เตบิ โตอย่างสมบูรณ์ ผู้สอนและช้บี อก
หนทางสู่อาณาจกั รสวรรค์อย่างท่ีพระเยซูเจ้าทรงอธิบายสอน คอื บุคคลท่ีบรรดาประกาศกและผู้ชอบธรรม
ทงั้ หลาย(ผปู้ ฏบิ ตั ติ ามธรรมบญั ญตั อิ ย่างครบถว้ น) ประสงคจ์ ะไดพ้ บเหน็ และไดร้ บั คาสอน หรอื อาจมองไกลไปถงึ
การประสบพบเหตกุ ารณ์ตา่ งๆ ของการพพิ ากษาโลกทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ในเวลาทส่ี งิ่ ทงั้ หลายจะบรรลุผลสมบรู ณ์

13:18-23 เป็นการอธบิ ายความหมายของอุปมาเรอ่ื งผหู้ ว่าน การอธบิ ายความอปุ มาดงั กล่าว (ซง่ึ ในทนี ้ถี ูก
มองว่าเป็นนิทานเปรียบเทียบ) เป็นการบอกกบั บรรดาศษิ ย์ท่ี “มาหาพระองค์” พร้อมด้วยคาถามท่ีอยู่ใน ว. 10
เท่านัน้ เร่อื งอุปมาไม่ถึงกับมีลกั ษณะตรงข้ามกบั นิทานเปรยี บเทียบ และมกั จะถูกตีความในเชิงเป็นนิทาน
เปรยี บเทยี บอย่บู ่อยๆ เร่อื งอุปมาดงั้ เดมิ ของพระเยซูเจา้ ไม่ใช่นิทานเปรยี บเทยี บ แม้ว่าเสน้ แบ่งความแตกต่าง
ของทงั้ สองอย่างอาจจะไม่ไดช้ ดั เจนมากเหมอื นทเ่ี ราเคยคดิ โดยทวั่ ไปคนมกั มองว่าการตคี วามนนั้ เป็นสงิ่ ทพ่ี ระ
เยซูเจา้ ทรงปฏบิ ตั ใิ หบ้ รรดาศษิ ย์ไดเ้ รยี นรู้ และจดจาเป็นแบบอย่าง มอบเป็นหน้าทใ่ี หป้ ฏบิ ตั สิ บื ต่อจากพระองค์
เม่อื ทรงมอบอานาจใหบ้ รรดาอคั รสาวก เรยี กว่าทรงมอบอานาจน้ีแก่พระศาสนจกั ร การตคี วามจงึ เป็นสทิ ธแิ ์ ละ
อานาจทม่ี ที ม่ี าจากพระศาสนจกั ร (ซง่ึ กถ็ ูกตอ้ งแลว้ ) แต่เร่อื งอุปมาทป่ี ระกอบดว้ ยคาทม่ี หี น้าทท่ี างแปลความหมาย

329

ตีความได้หลายอย่าง (Polyvalent Parable) อาจเป็นเร่อื งสอนท่ีมคี วามถูกต้องสมบูรณ์ในแบบของมนั เองใน
ฐานะเน้ือหาตอนหน่ึงดว้ ย ในสถานการณ์ของครสิ ตจกั รสมยั นนั้ ผตู้ คี วามชาวครสิ ต์ไดค้ ดิ ไตร่ตรองความหมาย
ของเร่อื งเล่าทงั้ หมดเกย่ี วกบั พระอาณาจกั รสวรรค์ การเสดจ็ มายงั โลกของพระครสิ ต์ (Christ-Event) และการใช้
อธบิ ายสอนตามประสบการณ์ของครสิ ตจกั รเอง หรอื ในบรบิ ทของสงั คมตามภารกจิ แห่งการประกาศขา่ วดอี ย่าง
เหมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ มและอานาจความรคู้ วามเขา้ ใจของประชาชน กบั ศกั ยภาพของบรรดาศษิ ย์ในการเป็น
พยานชวี ติ ใหก้ บั พระวรสาร

โดยหลกั ๆ แลว้ นักบุญมทั ธวิ ไดป้ รบั เปลย่ี นการตคี วามเร่อื งอุปมาน้ีซง่ึ ไดร้ บั ถ่ายทอดมาจาก มก 4:13-
20 โดยการเปลย่ี นแปลงนัน้ เป็นลกั ษณะเฉพาะของครสิ ตศาสตรข์ องนักบุญมทั ธวิ ท่านระบุว่าเร่อื งอุปมาน้ีเป็น
เรอ่ื งของ “ผหู้ วา่ น” ทาใหเ้ รอ่ื งราวทงั้ หมดมุ่งเน้นไปทป่ี ระเดน็ ทางครสิ ตศาสตร์ ซง่ึ แต่กอ่ นยงั ไม่เคยมใี ครกล่าวถงึ
(มกี ารระบุอย่างเจาะจงยงิ่ ขน้ึ ใน 13:37) นอกจากน้ีนักบุญมทั ธวิ ยงั นา มก 4:14 มาปรบั เขยี นใหม่เลก็ น้อยเพ่อื หลกี เลย่ี ง
การปะทะกนั โดยตรงระหว่างความหมายของเมลด็ พชื ทส่ี ่อื ถงึ พระวาจาใน ว. 14 กบั ความหมายของเมลด็ พชื ท่ี
ส่อื ถงึ ผู้ฟังในวรรคท่ี 16, 18 และ 20 แต่เป็นความพยายามท่ียงั ต้องการคาอธบิ ายท่แี ฝงซ่อนอยู่ภายในบรบิ ท
เน้ือหาสาระและสภาพชีวติ ลกั ษณะของประชาชน(ผู้อ่าน)ในสมยั ของท่าน กบั ความประสงค์ในการอธิบาย
ตคี วามหมายของท่าน เพราะใน 13:19ข “สงิ่ ท่หี ว่านลงในหวั ใจ” (What Is Sown in the Heart) ย่อมหมายถึง
พระวาจา แต่ใน ว. 20 และคาว่า “สง่ิ ท่ถี ูกหว่าน” (What Was Sown) คอื “ผู้ท่ีได้ยนิ ” (the One Who Hears)
นอกจากน้ี นักบุญมทั ธวิ ยงั ระบุอย่างเจาะจงว่าพระวาจาท่ถี ูกหว่านนัน้ คอื “คาบอกเล่าเก่ยี วกบั พระอาณาจกั ร”
(Word of the Kingdom) (ดู บทเสริมเร่ือง “พระอาณาจักรสวรรค์ในพระวรสารนักบุญมัทธิว”) สิ่งท่ีนักบุญ มัทธิวมุ่งเน้น
ความสาคญั คอื การท่ีศษิ ย์เป็นผูท้ ่เี ขา้ ใจ (ดูดา้ นบน) ซ่งึ ปรากฏขน้ึ ตอนท่ีท่านกล่าวอย่างเจาะจงว่า ปัญหาท่เี กดิ
ขน้ึ กบั เมลด็ พชื และผนื ดนิ กลุ่มแรก คอื การขาดความเขา้ ใจ ทาใหม้ นั กลายเป็นวงเลบ็ ร่วมกบั สว่ นท่ีนกั บุญมทั ธวิ
เสรมิ ข้นึ มาในกลุ่มสุดท้ายท่รี ะบุว่า เมล็ดพชื และผนื ดนิ ดี คอื ผู้ท่ี “เขา้ ใจ” (ดู เทยี บ 13:13, 15, 51) นอกเหนือจากน้ี
นักบุญมทั ธวิ ได้เปล่ียนจากคานามท่ีบ่งบอกความเป็นกลุ่มหรอื หมวดหมู่ (Collective Nouns) ในพระวรสาร
นักบุญมาระโกใหก้ ลายเป็นคาเอกพจน์ โดยเน้นย้าท่คี วามรบั ผดิ ชอบของแต่ละบุคคล บทสรุปตอนจบท่ีแสดง
ภาพของเมลด็ พชื และดนิ ดเี ป็นการเติมแนวคดิ ท่ีโดดเด่นในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ เพ่อื ให้เกดิ การผสมผสาน
ระหวา่ งการไดย้ นิ และการกระทา (การยอมรบั ) ความเขา้ ใจ และการออกผล

ข้อคิดไตรต่ รอง
อุปมาเร่อื งน้ีของพระเยซูเจ้าในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ นาเสนอขอ้ ยนื ยนั ให้กบั ผู้อ่านในยุคปัจจุบนั

ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. ชยั ชนะของพระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ เป็นสงิ่ ท่เี กดิ ขน้ึ แน่นอนอย่างไม่ตอ้ งสงสยั สารของอุปมาน้ีไม่ใช่การ

เคย่ี วเขญ็ ใหต้ อ้ งทางานหนักเพอ่ื เกบ็ เกย่ี ว พระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ ทบ่ี รรดาศษิ ยว์ งิ วอนขอ (6: 10) จะ
มาถงึ แน่นอน เตบิ โตเป็นจรงิ อย่างเงยี บๆ (หรอื อย่างท่ตี นไม่ไดส้ งั เกตเห็น) เป็นไปตามจงั หวะขนั้ ตอนอย่างลกึ ลบั
และไมไ่ ดม้ ไี วส้ าหรบั ผทู้ ม่ี องเพยี งผวิ เผนิ เชน่ เดยี วกบั การงอกของเมลด็ พชื ในผนื ดนิ ดี เมลด็ พนั ธุเ์ หล่าน้ีถูก
หว่านโดยบุตรแห่งมนุษย์ พระเป็ นเจ้าผู้ท่ียังคงประทับอยู่กับพระศาสนจักรของพระองค์ตลอดทัง้
ประวตั ศิ าสตร์ การเกบ็ เกย่ี ว คอื การกระทาของพระเป็นเจา้ และพระองคท์ รงสตั ยซ์ ่อื อยา่ งแทจ้ รงิ แน่นอน

330

2. เสน้ แบ่งระหว่างการหว่านพระวาจากบั การเกบ็ เกย่ี วผล สาหรบั พระอาณาจกั รไม่ใช่เสน้ ทต่ี รงและปราศจาก
ปัญหา พระวาจาของพระองคต์ ้องเผชญิ ความยากลาบากหลายอย่างตงั้ แต่การหว่านครงั้ แรกไปจนถงึ การ
เกบ็ เกย่ี วครงั้ สดุ ทา้ ย (ซง่ึ แน่นอนว่าจะเกดิ ขน้ึ ) ผทู้ เ่ี ชอ่ื ไมค่ วรประหลาดใจหรอื ทอ้ แทใ้ จ หากสง่ิ น้เี กดิ ขน้ึ

3. แมว้ า่ การตอบสนองและการกระทาของผเู้ ช่อื จะไมก่ ระทบต่อผลลพั ธส์ ดุ ทา้ ยของพระอาณาจกั ร แต่สงิ่ ทพ่ี วก
เขาเลอื กจะมคี วามสาคญั ในทา้ ยทส่ี ุดอย่ดู ี เพราะการเลอื กหรอื ยอมรบั คอื สงิ่ ทต่ี ดั สนิ วา่ พวกเขาอยฝู่ ่ายไหน
เมอ่ื การเกบ็ เกย่ี วครงั้ สดุ ทา้ ยมาถงึ ผเู้ ชอ่ื ไม่ควรสนั นิษฐานอย่างหลงระเรงิ วา่ ตนคอื “ดนิ ด”ี

4. ภาพแห่งการมองโลกในแง่รา้ ยชวั่ คราว แต่มองโลกในแง่ดใี นท้ายท่สี ุด ยงั มวี ตั ถุประสงคท์ างเทวศาสตรท์ ่ี
คลา้ ยคลงึ กบั รม. 9:11 เร่อื งอุปมาและการตคี วามอุปมาน้ีเป็นการอธบิ ายใหผ้ อู้ ่านพระวรสารนักบุญมทั ธวิ
เขา้ ใจความหมายของประวตั ศิ าสตร์ของพวกเขา ซ่งึ พระเมสสยิ าห์ได้ถูกปฏเิ สธจากคนส่วนใหญ่ แต่พระ
ประสงคข์ องพระเป็นเจา้ (“ความลบั แหง่ พระอาณาจกั ร”) ยงั คงเป็นสง่ิ ทแ่ี น่นอนและจะเป็นจรงิ ในวนั หน่งึ ขา้ งหน้า
ทก่ี ล่าวมาน้ไี มเ่ พยี งแต่เป็นการบรรยายวา่ เน้อื หาสว่ นน้เี คยมคี วามหมายอยา่ งไรตอ่ ครสิ ตจกั รของนกั บุญ

มทั ธวิ เท่านนั้ หากเราอยใู่ นระยะทใ่ี กลพ้ อจะไดย้ นิ เน้อื หาสว่ นน้ใี นบรบิ ทดงั้ เดมิ ของมนั สารทม่ี นั สอ่ื กบั เราในวนั น้ี
กจ็ ะชดั เจนแจม่ แจง้ มากขน้ึ อยา่ งเป็นเงาตามตวั และเป็นไปอยา่ งเป็นขนั้ ตอนตามลาดบั ในตวั เอง

มทั ธิว 13:24-43 อปุ มาเพ่ิมเติมอีกสามเร่อื ง ในรปู แบบของพระวรสารนักบญุ มาระโก
หนงั สอื ปฐมกาลบนั ทกึ เรอ่ื งพระเป็นเจา้ ทรงสรา้ งโลกจกั รวาลและมนุษย์ พระองคท์ รงเหน็ ว่าดี และพระ

เป็นเจ้าทรงมนุษย์กบั มอบหมายภารกจิ ให้มนุษย์ปกครองดูแลสรรพส่ิงท่ที รงสร้าง พระองค์ทรงเหน็ ว่าดมี าก
มนุษยม์ เี อกลกั ษณ์ประจาชวี ติ คอื พระเป็นเจา้ ทรงสรา้ งมนุษยต์ ามภาพลกั ษณ์ของพระเป็นเจา้ (ปฐก. 1: 27) ต่อมา
มนุษยห์ ลงผดิ ไปเช่อื คาของงู ซง่ึ พระคมั ภรี บ์ นั ทกึ ไวว้ ่า 1 งูเป็นสตั วเ์ จา้ เล่ห์ทสี่ ุดในบรรดาสตั วป์ ่าทพี่ ระยาหเ์ วห์
พระเป็นเจ้าทรงสรา้ ง มนั ถามหญิงว่า “จรงิ หรอื ทพี่ ระเป็นเจา้ ตรสั ห้ามว่าอย่ากนิ ผลจากต้นไม้ใดๆ ในสวนน้ี” 2
หญิงจงึ ตอบงวู ่า “ผลของต้นไม้ต่างๆ ในสวนน้ี เรากนิ ได้ 3 แต่ผลของต้นไม้ทอี่ ยู่กลางสวนเท่านัน้ ” พระเป็นเจ้า
ตรสั หา้ มว่า “อย่ากนิ หรอื แตะตอ้ งเลย มฉิ ะนนั้ ท่านจะตอ้ งตาย” 4 งบู อกกบั หญงิ ว่า “ท่านจะไม่ตายดอก 5 พระเป็น
เจา้ ทรงทราบว่า ท่านกนิ ผลไมน้ นั้ วนั ใด ตาของท่านจะเปิดในวนั นนั้ ท่านจะเป็นเหมอื นพระเป็นเจา้ คอื รดู้ รี ชู้ วั่ ” 6
หญงิ เหน็ วา่ ตน้ ไมน้ นั้ มผี ลน่ากนิ งดงามชวนมอง ทงั้ ยงั น่าปรารถนาเพราะใหป้ ัญญา นางจงึ เดด็ ผลไมม้ ากนิ แลว้
ยงั ใหส้ ามซี งึ่ อย่กู บั นางกนิ ดว้ ย เขากก็ นิ 7 ทนั ใดนนั้ ตาของทงั้ สองคนกเ็ ปิดและเหน็ วา่ ตนเปลอื ยกายอยู่ จงึ เอาใบ
มะเดอื่ มาเยบ็ เป็นเครอื่ งปกปิดร่างไว้ (ปฐก. 3: 1-7) เหตุการณ์น้ีเปรยี บเป็นบทเรยี นทม่ี นุษยต์ อ้ งจดจา เมอ่ื เขาสงสยั
พระเป็นเจ้าแลว้ ไปฟังและเช่อื สง่ิ อ่นื อุปมาจงึ เป็นสงิ่ ท่เี หมาะสมท่จี ะให้คาสอนเตอื นสตใิ ห้มนุษย์ยดึ มนั่ อย่างดี
มนั่ คงหรอื เหมาะสมในองค์พระเป็นเจ้าและเป้าหมายแท้จรงิ ของชวี ติ ตนตามพระบญั ชาสงั่ สอน หรอื ตามพนั ธ
สญั ญาทพ่ี ระเป็นเจา้ ไดเ้ มตตาประทานแก่มนุษยแ์ ละมนุษยไ์ ดต้ อบรบั กบั พระองค์ (ปฐก. 1: 28; 2: 15-17) กบั เรอ่ื งราว
ของกาอนิ และอาแบล (ปฐก. 4: 1-8) เป็นบทเรยี นแห่งความซ่อื สตั ย์ สอนใหอ้ ย่าสงสยั ในพระเป็นเจา้ และคาสญั ญา
ของพระองค์ แต่จงเช่อื ฟังและปฏบิ ตั ติ าม อาจนามาใชไ้ ดใ้ นอุปมาเพ่อื การแก้ไขหรอื การตอบรบั การไถ่กู้ใหร้ อด
พน้ ของพระผไู้ ถ่

ในเรอ่ื งเล่าอุปมา 3 เรอ่ื งน้ี พระวรสารไดบ้ นั ทกึ ขา่ วดแี ห่งพระอาณาจกั รสวรรค์ เป็นเรอ่ื งของชวี ติ มนุษย์
และการมชี วี ติ เตบิ โตขน้ึ ของตน้ ขา้ ว เมลด็ พชื และสงิ่ มชี วี ติ ทอ่ี ย่ใู นเชอ้ื แป้งนัน้ เป็นขอ้ พจิ ารณาสาหรบั มนุษยใ์ น

331

พระดารขิ องพระเป็นเจ้าในการดาเนินการหรอื ตดั สนิ ใจทางานใดๆ ดงั พระวาจาท่ตี รสั ว่า “จงปกครองแผ่นดนิ
และจงเป็นนายเหนือ....” ซ่ึงทุกสงิ่ ท่ีพระเป็นเจ้าทรงสร้างนัน้ ต่างมี “เวลาค่าและเวลาเช้า” ของตน หรอื อาจ
เรยี กว่า มี “โอกาส” ของแต่ละสงิ่ แต่ละคน เร่อื งอุปมาจงึ เป็นแบบอย่างแห่งพระปรชี าญาณของพระเป็นเจ้าท่ี
มนุษยจ์ ะตอ้ งนามาพจิ ารณาแยกแยะ และกระทาตามทไ่ี ดท้ รงมอบหมายใหท้ ุกสงิ่ เกดิ ผลหรอื เป็นกจิ การทด่ี ี ตาม
แบบอยา่ งเรอ่ื งเลา่ ในหนงั สอื ปฐมกาล

อปุ มาเรือ่ งขา้ วละมาน
24 พระเยซูเจา้ ทรงเล่าเป็นอุปมาอกี เรอ่ื งหน่ึงใหพ้ วกเขาฟังว่า “อาณาจกั รสวรรค์เปรยี บไดก้ บั ชายคนหน่ึงทห่ี ว่านขา้ วพนั ธุ์ดี

ในนาของตน 25 ขณะทท่ี ุกคนนอนหลบั ศตั รกู ม็ าหวา่ นขา้ วละมานทบั ลงบนขา้ วสาลแี ลว้ จากไป 26 เม่อื ตน้ ขา้ วงอกขน้ึ จนออกรวง
ขา้ วละมานกป็ รากฏแซมอย่ดู ว้ ย 27 บรรดาผรู้ บั ใชจ้ งึ ไปหานายถามวา่ ‘นายครบั นายหว่านขา้ วพนั ธุด์ ใี นนามใิ ช่หรอื แลว้ ขา้ วละ
มานมาจากทใ่ี ดเล่า’ 28 นายตอบว่า ‘ศตั รูมาหว่านไว’้ ผูร้ บั ใชจ้ งึ ถามว่า ‘นายตอ้ งการใหเ้ ราไปถอนมนั ไหม’ 29 นายตอบว่า ‘อย่า
เลย เกรงว่าเม่อื ท่านถอนขา้ วละมาน ท่านจะถอนขา้ วสาลตี ดิ มาดว้ ย 30 จงปล่อยใหข้ า้ วสองชนิดงอกงามขน้ึ ดว้ ยกนั จนถงึ ฤดเู กบ็
เกย่ี ว แลว้ ฉนั จะบอกคนเกบ็ เกย่ี ววา่ จงเกบ็ ขา้ วละมานกอ่ น มดั เป็นฟ่อน เผาไฟเสยี สว่ นขา้ วสาลนี นั้ จงเกบ็ เขา้ ยงุ้ ของฉนั ’ ”
อปุ มาเรอ่ื งเมลด็ มสั ตารด์

31 พระองค์ตรสั เป็นอุปมาอกี เร่อื งหน่ึงว่า “อาณาจกั รสวรรค์เปรยี บได้กบั เมลด็ มสั ตารด์ ซ่งึ มผี ูน้ าไปหว่านในนา 32 มนั เป็น
เมลด็ เลก็ กว่าเมลด็ ทงั้ หลาย แต่เมอ่ื เมลด็ งอกขน้ึ เป็นตน้ แลว้ กลบั มขี นาดโตกว่าตน้ ผกั อ่นื ๆ และกลายเป็นตน้ ไมใ้ หญ่ จนกระทงั่
นกในอากาศมาทารงั อาศยั บนกงิ่ ได”้
อปุ มาเรอ่ื งเชื้อแป้ง

33 พระองคย์ งั ตรสั เป็นอุปมาอกี เร่อื งหน่ึงว่า “อาณาจกั รสวรรค์ยงั เปรยี บไดก้ บั เชอ้ื แป้งทห่ี ญงิ คนหน่ึงนามาเคลา้ ผสมกบั แป้ง
สามถงั จนแป้งทงั้ หมดฟูขน้ึ ”
เหตผุ ลที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเป็นอปุ มา

34 พระเยซูเจ้าตรสั เร่อื งทงั้ หมดน้ีแก่ประชาชนเป็นอุปมา พระองค์ไม่ตรสั สง่ิ ใดกบั เขาโดยไม่ใช้อุปมา 35 ทงั้ น้ี เพ่อื ให้พระ
ดารสั ทต่ี รสั ไวท้ างประกาศกเป็นความจรงิ วา่

เราจะเปิ ดปากกล่าวเป็นอปุ มา
เราจะกล่าวเรือ่ งทีย่ งั ไมเ่ คยเปิ ดเผยตงั้ แต่สรา้ งโลก
คาอธิบายอปุ มาเรื่องข้าวละมาน
36 หลงั จากนนั้ พระองคท์ รงแยกจากประชาชนเขา้ ไปในบา้ น บรรดาศษิ ยจ์ งึ เขา้ มาทลู ว่า “โปรดอธบิ ายอปุ มาเรอ่ื งขา้ วละมาน
ในนาเถดิ ” 37 พระองคต์ รสั ว่า “ผูห้ วา่ นเมลด็ พนั ธุด์ คี อื บุตรแห่งมนุษย์ 38 ทุ่งนาคอื โลก เมลด็ พนั ธุ์ดคี อื พลเมอื งแหง่ พระอาณาจกั ร
ขา้ วละมานคอื พลเมอื งของมารรา้ ย 39 ศตั รทู ห่ี วา่ นคอื ปีศาจ ฤดเู กบ็ เกย่ี วคอื เวลาอวสานแหง่ โลก ผเู้ กบ็ เกย่ี วคอื ทตู สวรรค์
40 “ขา้ วละมานถูกมดั เผาไฟฉนั ใด เวลาอวสานแหง่ โลกกจ็ ะเป็นฉนั นนั้ 41 บุตรแหง่ มนุษยจ์ ะทรงใชท้ ตู สวรรคข์ องพระองคม์ า
รวบรวมทุกสงิ่ ทท่ี าใหห้ ลงผดิ และทุกคนทป่ี ระกอบการอธรรม ใหอ้ อกจากพระอาณาจกั ร 42 แลว้ เอาไปทง้ิ ในกองไฟ ทน่ี นั่ จะมแี ต่
การร่าไหค้ ร่าครวญ และขบฟันดว้ ยความขนุ่ เคอื ง 43 สว่ นผชู้ อบธรรมจะส่องแสงเหมอื นดวงอาทติ ยใ์ นพระอาณาจกั รของพระบดิ า
11 ใครมหี กู จ็ งฟังเถดิ ”

332

ข้อศึกษาวิพากษ์
13:24-43 คอื เรอ่ื ง “วชั พชื ” 13:24 คอื สว่ นยอ่ ยใหม่ทเ่ี ป็นจุดเรม่ิ ตน้ ของสงิ่ ท่ีนกั บุญมทั ธวิ เขยี นเพม่ิ ขน้ึ มา

(ดดู า้ นบน) ท่านได้ประพนั ธข์ น้ึ จากแหล่งขอ้ มลู ในพระวรสารนักบุญมาระโก เอกสารแหล่ง Q และธรรมประเพณีท่ี
เป็นแบบของท่านเอง วลที ่วี ่า “พระอาณาจกั รสวรรค์ อาจเปรยี บได้กบั ...” ปรากฏขน้ึ เป็นครงั้ แรกในพระวรสาร
นกั บุญมทั ธวิ (ดู 13:31, 33, 44-45, 47; 18:23; 22:2) เน้ือหาทเ่ี ป็นภาษากรกี เป็นตวั แทนของภาษาดงั้ เดมิ คอื อราเม
อิก1 l (lu) ซ่ึงหมายความว่า “มันคือกรณีของ” (It Is the Case with) พระอาณาจกั ร เช่นเดียวกับการเป็ น
เรอ่ื งราวทส่ี มบรู ณ์โดยไมจ่ ากดั การเปรยี บเทยี บไวแ้ คป่ ระเดน็ เดยี ว ในฐานะทเ่ี ป็นโวหารเปรยี บเทยี บอยา่ งแทจ้ รงิ
อปุ มาทงั้ เรอ่ื งน้ีถูกนามาเชอ่ื มโยงกบั สาระสาคญั ท่เี น้ือเร่อื งชใ้ี หเ้ ราเหน็ ในทน่ี ้ีพระอาณาจกั รไม่ถูกเปรยี บเทยี บวา่
เหมอื นกบั บุคคล แตถ่ ูกอธบิ ายโดยใชเ้ รอ่ื งอปุ มาทเ่ี กย่ี วกบั วชั พชื ทงั้ เรอ่ื ง

เช่นเดยี วกบั ในตอนย่อยท่ผี ่านมา เป็นสง่ิ ยากท่ผี ู้อ่านจะไม่ตีความอุปมาน้ีในแบบนิทานเปรยี บเทยี บ
เหมอื นกบั เน้ือหาทต่ี ามมาใน ว. 37-43 ดงั นนั้ ประเดน็ ทส่ี าคญั ทส่ี ุดคอื เร่อื งอุปมาน้ีเคยเป็นเรอ่ื งทใ่ี ชเ้ ล่าสอนกนั
โดยปราศจากเน้ือหาตอนท่ีเป็ นการตีความแบบนิทานเปรียบเทียบหรือไม่ หรือว่ามันถูกมองเป็ นนิทาน
เปรยี บเทยี บอย่แู ลว้ ตงั้ แต่ตน้ โดยมเี น้ือหาตอนทเ่ี ป็นการตคี วามปรากฏอย่แู ลว้ มสี ามมุมมองเกย่ี วกบั การศกึ ษา
ประเด็นปัญหาน้ี ได้แก่ (1) อุปมาน้ีเป็นพระวาจาของพระเยซูเจ้า อย่างน้อยก็ในโครงสร้างดงั้ เดิม เป็นการ
ประกาศไม่ยอมรบั การสรา้ งพรมแดนแบ่งเขตและความพยายามทจ่ี ะมชี ุมชนท่ี “บรสิ ุทธ”ิ ์ (เพราะเป็นสงิ่ น้ีคอื หน้าท่ี

ของพระเป็นเจา้ และจะเกดิ ขน้ึ อยา่ งชดั เจนในการพพิ ากษาครงั้ สุดทา้ ย ถา้ เป็นในกรณีดงั กล่าว อุปมาน้ีกเ็ ป็นการต่อตา้ นแนวโน้ม

ของการก่อตงั้ ชุมชน “บรสิ ุทธ”ิ์ ) ทแ่ี ยกตวั จากสงั คมในอสิ ราเอลและในหมู่ผูท้ เ่ี คล่อื นไหวเพ่อื พระเยซูเจา้ ในยุคหลงั
การกลบั คนื พระชนมช์ พี เหมอื นกบั ทช่ี าวฟารสิ แี ละชาวเอสซนี ไดเ้ คยพยายามทา ในมุมมองน้ี การตคี วามแบบ
นิทานเปรียบเทียบน้ีน่าจะเป็ นส่วนท่ีคริสตจักรเขียนข้ึนเพ่ือปรับใช้กับปัญหาเก่ียวกับวินัยด้านศาสนา
(Ecclesiastical Discipline) ท่ีกาลงั ขยายวงกว้างมากข้นึ (2) อุปมาน้ีเป็นนิทานเปรยี บเทียบมาตงั้ แต่ต้น นัก
บุญมทั ธวิ หรอื ชาวครสิ ต์ในสมยั นักบุญมทั ธวิ ได้เขยี นไวพ้ รอ้ มกบั ตอนท่เี ป็นคาอธบิ ายความหมายโดยยดึ ตาม
พน้ื ฐานจาก มก. 4:26-29 และใสเ่ ขา้ มาเพอ่ื แทนทข่ี อ้ ความดงั กล่าว (3) เป็นมุมมองแบบกลางๆเกย่ี วกบั อุปมาน้ี
ว่าถูกประพนั ธข์ น้ึ โดยอาจารยช์ าวครสิ ต์ในสมยั ก่อนนักบุญมทั ธวิ โดยสว่ นทเ่ี ป็นการตคี วามนัน้ นักบุญมทั ธวิ ใส่
เพม่ิ ลงมาในภายหลงั

1 ภาษาพระคมั ภรี ์ อราเมอิก (Biblical Aramaic) เป็นรปู แบบของภาษาอราเมอกิ ทพ่ี บในหนงั สอื ของดาเนียล เอซรา และบางแหง่ ไบเบลิ ฉบบั ภาษา
ฮบี รู โดยทวั่ ไป ภาษาฮบี รเู ป็นภาษาหลกั ของไบเบลิ ฉบบั ภาษาฮบี รู ภาษาอราเมอกิ เป็นภาษาทพ่ี บเพยี งสบิ บทจากทงั้ ฉบบั ภาษาอราเมอกิ ไบเบลิ มี
ความใกลเ้ คยี งกบั ภาษาฮบี รู แมว้ า่ จะมลี กั ษณะคลา้ ยภาษาสเปนและภาษาโปรตเุ กสบา้ งเลก็ น้อย และเขยี นดว้ ยอกั ษรชนิดเดยี วกนั อกี นยั หน่งึ
(องั กฤษ: Aramaic language) เป็นภาษาตระกลู เซมติ กิ ทม่ี คี วามเป็นมายาวนานกว่า 3,000 ปืเป็นภาษากลางของบรเิ วณตะวนั ออกใกลใ้ นช่วง 157 ปี
กอ่ นพทุ ธศกั ราชถงึ พ.ศ. 1243 กอ่ นจะถกู แทนทด่ี ว้ ยภาษาอาหรบั ภาษาอราเมอกิ โบราณเป็นภาษาหลกั ของจกั รวรรดเิ ปอรเ์ ซยี บาบโิ ลเนยี และอสั
ซเี รยี แพรก่ ระจายไปจนถงึ กรซี และอนิ เดยี หลงั จากพระเจา้ อเลก็ ซานเดอรม์ หาราชทาลายจกั รวรรดเิ ปอรเ์ ซยี ภาษาอราเมอกิ กลายเป็นภาษาทางการ
ของรฐั สาคญั ๆในสมยั นนั้ เมอ่ื มกี ารใชพ้ ดู แพรห่ ลายจงึ เกดิ ความแตกตา่ งเป็นสาเนยี งตะวนั ตกและตะวนั ออก เป็นภาษาเรมิ่ ตน้ ของหนงั สอื เกย่ี วกบั
คมั ภรี ไ์ บเบลิ ของดาเนยี ลและเอซรา และเป็นภาษาหลกั ในทลั มุด เชอ่ื กนั ว่าภาษาอราเมอกิ เป็นภาษาแมข่ องพระเยซู ภาษาอราเมอกิ ใหมย่ งั คงใช้พดู
เป็นภาษาแม่ โดยเฉพาะในหมชู่ าวอสั ซเี รยี

ภาษาอราเมอกิ เป็นภาษาสาคญั ภาษาหน่งึ ของชาวยวิ ปรากฏในมว้ นหนงั สอื แหง่ ทะเลสาบเดดซี ยงั คงใชใ้ นพธิ สี วดของชมุ ชนชาวครสิ ต์ใน
ซเี รยี เลบานอน และอริ กั ยงั คงใชพ้ ดู โดยคนกล่มุ เลก็ ๆในอหิ รา่ น อารม์ เี นยี จอรเ์ จยี ซเี รยี และอริ กั โดยทวั่ ไปปัจจบุ นั เขยี นดว้ ยอกั ษรซเี รยี ค แต่
สามารถเขยี นดว้ ยอกั ษรละตนิ อกั ษรฮบี รู และอกั ษรซรี ลิ ลกิ ได้

333

ทจ่ี รงิ แลว้ มหี ลกั ฐานจานวนมากทส่ี นบั สนุนว่าทงั้ อุปมาและส่วนตคี วามอุปมาไดร้ บั การประพนั ธข์ น้ึ โดย
นักบุญมทั ธวิ หรอื ไม่ท่านได้นามาเขยี นข้นึ ใหม่เป็นส่วนใหญ่ โดยยดึ ตามพระวรสารนักบุญมาระโก บทท่ี 4
แงม่ ุมทด่ี ไู ม่เป็นความจรงิ ของเรอ่ื งราวในอุปมาน้ีอาจอธบิ ายตามความเป็นไปได้ ประการแรกว่า เรอ่ื งอปุ มาทเ่ี ล่า
น้ีเป็นความแปลกประหลาดทห่ี ยอกลอ้ จติ ใจของผอู้ ่าน ซง่ึ มกั พบไดบ้ ่อยๆ ในเร่อื งราวทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงเล่า สว่ น
ความเป็นไปไดท้ ส่ี องและสาม คอื เรอ่ื งราวน้ีไดร้ บั การประพนั ธข์ น้ึ เพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั สว่ นทเ่ี ป็นการตคี วามแบบ
นิทานเปรยี บเทยี บ แต่ไมว่ า่ จะในกรณใี ด ความเขา้ ใจเรอ่ื งราวน้ีในแบบของนกั บญุ มทั ธวิ คงเป็นสงิ่ ทม่ี ผี ศู้ กึ ษาและ
นาเสนอในการตคี วามดงั ต่อไปน้ี

ยงั ไม่มใี ครระบุได้อย่างชดั เจนว่า “วชั พชื ” (Weeds) หรอื “หญ้า” (Tares) นัน้ หมายถึงพชื สายพนั ธุ์ใด
ในทางพฤกษศาสตร์ แต่แน่นอนว่าตอ้ งเป็นวชั พชื ทม่ี ลี กั ษณะคลา้ ยกบั ตน้ ขา้ วสาลี ซ่งึ พบไดท้ วั่ ไปในตะวันออก
ใกล้ นักบุญมทั ธวิ ไม่ไดต้ อ้ งการจะส่อื สารอะไรเป็นพเิ ศษกบั การกล่าวว่าวชั พชื เหล่าน้ีมผี มู้ าหว่านไว้ “ขณะทท่ี ุก
คนกาลงั หลบั ” ในสว่ นอน่ื ๆ ของพระคมั ภรี ์ ภาคพนั ธสญั ญาใหมแ่ ละในพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ คาวา่ “หลบั ” เป็น
โวหารเปรยี บเทยี บถงึ ความเกยี จครา้ นหรอื ละเลยทางจติ วญิ ญาณ (มก 13:36; 1 ธส 5:6-8; ดเู ทยี บกบั 1ปต 5:8) แต่ในทน่ี ้ีดู
จะเป็นการสะทอ้ นถงึ คาว่า “หลบั ” ทใ่ี ชใ้ นทางบวกใน มก 4:27 และมนั หมายถงึ แค่การพกั ผ่อนนอหลบั ใน “ตอน
กลางคนื ”

องคป์ ระกอบทโ่ี ดดเดน่ ในเรอ่ื งอุปมาน้คี อื เป็นเรอ่ื งเลา่ เกย่ี วขอ้ งกบั การหวา่ นสองครงั้ ในอปุ มาเรอ่ื งผู้
หวา่ น ความหมายของเมลด็ พชื ในตวั มนั เองคอื สญั ลกั ษณ์ของพระวาจาของพระเป็นเจา้ (ดงี ามและทรงอานาจ) ซง่ึ มี
ศกั ยภาพกอ่ ใหเ้ กดิ ชวี ติ ใหมใ่ นตนหรอื ผเู้ ชอ่ื และประเดน็ กค็ อื “คุณเป็นดนิ ประเภทไหน” (แมว้ า่ จะมกี ารตคี วามทด่ี ู
ซอ้ นกนั อยรู่ ะหวา่ งเมลด็ พชื กบั ดนิ ) แต่ในอุปมาเรอ่ื งวชั พชื มกี ารหวา่ นสองครงั้ และคาถามคอื “คุณคอื เมลด็ พนั ธดุ์ ที ่ี
หวา่ นโดยบตุ รแหง่ มนุษย์ หรอื เมลด็ พนั ธชุ์ วั่ รา้ ยทห่ี วา่ นโดยซาตาน” มมุ มองเกย่ี วกบั สองอาณาจกั รในเรอ่ื งอปุ มา
น้ี อาจเป็นเจตนาทท่ี า่ นนกั บญุ มทั ธวิ แสดงออกมาอกี ครงั้ หน่งึ ในตอนน้ี (ดขู อ้ ศกึ ษาวพิ ากษ์เกย่ี วกบั 13:36-43 และขอ้ คดิ

ไตรต่ รองเกย่ี วกบั 13:51-52)

13:31-32 คอื อุปมาเร่อื ง “เมลด็ มสั ตารด์ ” อุปมาเร่อื งน้ีนักบุญมทั ธวิ ไดม้ าจากทงั้ พระวรสารนกั บุญมาระ
โก (4:30-32) และเอกสารแหล่ง Q (เทียบ ลก 13:18-19) รูปแบบท่ีมาจากเอกสารแหล่ง Q เป็นเร่อื งอุปมาท่ีเป็นบท
บรรยายอย่างแทจ้ รงิ เกย่ี วกบั เหตุการณ์ประหลาดทเ่ี กดิ ขน้ึ ครงั้ หน่ึง สว่ นในพระวรสารนกั บุญมาระโก เร่อื งราวน้ี
มลี กั ษณะเรอ่ื งเป็นการเปรยี บเทยี บทวั่ ๆ ไป (General Analogy) นอกจากน้ีในพระวรสารนักบุญโทมสั บทท่ี 20
ยงั มเี ร่อื งอุปมาน้ีในรปู แบบทแ่ี ตกต่างไปเลก็ น้อย นกั บญุ มทั ธวิ ใชร้ ปู แบบทม่ี าจากเอกสารแหลง่ Q มากทส่ี ุด การ
จะเขา้ ใจอุปมาเรอ่ื งน้ีเราจะตอ้ งรบั รวู้ า่ ตน้ มสั ตารด์ เป็นสมนุ ไพรทม่ี อี ายขุ ยั เพยี งแค่หน่ึงปีเท่านนั้ มนั มเี มลด็ ขนาด
เลก็ มากจนเป็นท่รี ูจ้ กั กนั โดยทวั่ ไป (ดู เทยี บ 17:20) แต่เมลด็ นัน้ กส็ ามารถงอกเป็นพชื ท่ปี กติมคี วามสงู ประมาณ 2
ถงึ 6 ฟุต (หรอื กรณีพเิ ศษอาจสูงถงึ 10 ฟุต) แต่ถงึ กระนัน้ มนั กไ็ ม่อาจเตบิ โตเป็นไม้ประเภทยนื ต้น สญั ลกั ษณ์ “ต้นไม้
ใหญ่” ในทน่ี ้ไี มไ่ ดม้ าจากการสงั เกตเมลด็ และตน้ ของมสั ตารด์ แต่สะทอ้ นถงึ สญั ลกั ษณ์ตน้ ไมข้ นาดใหญ่มากทเ่ี ป็น
ตวั แทนของอาณาจกั ร และภาพในคาพยากรณ์เกย่ี วกบั พระอาณาจกั รสวรรคท์ ก่ี าลงั มาถงึ (ดู เทยี บ สดด. 104:12; ดนล.

4:9; 18; อสค. 17:23: 31:6)

ในเร่ืองเล่าแบบอุปมาดัง้ เดิมของพระเยซูเจ้า ความตึงเครียดท่ีทาให้เรารู้สึกประหลาดใจ กระตุ้น
จนิ ตนาการ และชวนใหต้ งั้ คาถามกบั สงิ่ ทเ่ี ราเคยสนั นิษฐานไว้ เกดิ จากการนาภาพของตน้ ไมข้ นาดใหญ่มากมา
วางเทียบกบั เมล็ดมสั ตาร์ดท่ตี ้อยต่าและมขี นาดเล็กมาก ในมุมมองซ่ึงกาลงั เป็นท่นี ิยมในหมู่นักวชิ าการพระ

334

คมั ภรี ์ ภาคพนั ธสญั ญาใหม่ พระเยซูเจา้ ทรงเหน็บแนมทรรศนะของผทู้ เ่ี ชอ่ื ในคาพยากรณ์เกย่ี วกบั พระอาณาจกั ร
โดยการนามนั ไปเทยี บกบั ตน้ มสั ตารด์ แทนทจ่ี ะเป็นตน้ ไม้ในคาพยากรณ์ แต่มุมมองดงั กล่าวไม่เหมาะสม ตน้ ไม้
ในโวหารภาพพจน์น้ีไมไ่ ดถ้ ูกปฏเิ สธหรอื นามาประชดประชนั ภาพทใ่ี ชใ้ นการเทยี บเคยี งยงั คงอยแู่ มว้ า่ มนั จะเป็น
ผลลพั ธส์ ุดทา้ ยของเมลด็ มสั ตารด์ กต็ าม การดารงอย่ขู องพระอาณาจกั รสวรรคท์ ผ่ี คู้ นวอนขอมอี ย่ใู นพระเยซูเจา้
กจิ การของพระองคแ์ ละบรรดาสาวกอาจจะไม่โดดเดน่ อะไรไปมากกว่าสมุนไพรในสวนตน้ หน่ึง แต่พระอาณาจกั ร
นนั้ จะมาถงึ ดว้ ยพระอานุภาพและพระสริ ริ ุ่งโรจน์ของพระเป็นเจา้ อย่างแน่นอน ภาพแสดงถงึ กษตั รยิ ผ์ ทู้ รงกระทา
กจิ การต่างๆ ดว้ ยความสุภาพถ่อมตน (11:25-30) ทรงขห่ี ลงั ลูกลาแทนทจ่ี ะเป็นมา้ ศกึ (21:1-9) สามารถนามาใชส้ อน
เหมอื นกบั พระอาณาจกั รทม่ี สี ญั ลกั ษณ์เป็นสมนุ ไพรในสวน แทนทจ่ี ะเป็นตน้ ไมใ้ หญ่ สาหรบั ผอู้ ่านของพระวรสาร
นกั บุญมทั ธวิ โวหารภาพพจน์น้ีไม่ไดแ้ ปลกประหลาดอะไร เพราะพวกเขา (เช่นเดยี วกบั ผอู้ ่านยุคใหม)่ คุน้ เคยกบั เร่อื ง
อุปมาน้ีมาตงั้ แต่พระวรสารของนักบุญมาระโก ซ่ึงเป็นธรรมประเพณีศกั ดสิ ์ ทิ ธขิ ์ องพวกเขาเอง สาหรบั ผู้อ่าน
เหล่านนั้ (และสาหรบั เราดว้ ย) อุปมาเรอ่ื งน้ีไม่ไดม้ าทาลายมโนภาพเกย่ี วกบั พระอาณาจกั ร แต่เป็นโวหารภาพพจน์ท่ี
ทงั้ สนับสนุนและข่มขู่ โดยนาเอาความต่าต้อยของพระอาณาจกั รในปัจจุบนั ไปเทยี บกบั ความยงิ่ ใหญ่ของพระ
อาณาจกั รของพระเป็นเจา้ ในวาระสดุ ทา้ ย

13:33 คอื เรอ่ื ง “เชอ้ื แป้ง” อปุ มาเรอ่ื งน้เี ป็นบทบรรยายเรอ่ื งเกย่ี วกบั ผหู้ ญงิ คนหน่งึ ไมใ่ ชก่ ารเปรยี บเทยี บ
รวมๆ ระหวา่ งเชอ้ื แป้งกบั พระอาณาจกั ร เรอ่ื งเล่าอปุ มาดงั้ เดมิ ของพระเยซูเจา้ จะมลี กั ษณะทน่ี ่าประหลาดใจสาม
อย่างคอื (1) การใชเ้ ชอ้ื แป้งในทางบวก แมค้ าน้มี กั ถูกใชส้ อ่ื ถงึ ความเสอ่ื มทรามเสมอในธรรมประเพณีของชาวยวิ
รวมถงึ ทอ่ี ่นื ๆ ในพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ ดว้ ย (ดู เทยี บ อพย. 12: 15-20; 23:18; 34:25; ลนต. 2:11; 6:10; มธ 16:6; 1คร
5:6-8; กท 5:9) เช่นเดยี วกบั ตน้ มสั ตารด์ ลกั ษณะและขนาดของมนั ดนู ่าตกใจทส่ี งิ่ น้ีถูกนามาเทยี บกบั ความหวงั ใน
พระอาณาจกั รของพระเจา้

(2) ปรมิ าณของแป้งท่ีฟูข้ึนมาก็น่าประหลาดใจเช่นกัน ปรมิ าณ “สามส่วน” (Three Measures) คือ
ประมาณ 10 แกลลอน สามารถทาขนมปังเลย้ี งคนไดป้ ระมาณ 100-150 คน อุปมาเร่อื งน้ีเป็นเช่นเดยี วกบั ตอน
จบของอุปมาเร่อื งผหู้ ว่าน เน้ือเร่อื งทเ่ี ล่าแสดงถงึ ภาพความอุดมสมบูรณ์ลน้ เหลอื อย่างน่าประหลาดใจ ขอ้ ความ
13:8 ดา้ นบนมคี วามคลา้ ยคลงึ กบั ปฐก 26:12 ส่วนในทน่ี ้ี มคี วามคลา้ ยคลงึ กบั ปฐก 18:6 ทน่ี างซาราย (Sarai)
เตรยี มแป้ง “สามสว่ น” (และลูกววั ทงั้ ตวั อกี หน่ึงตวั ) เพ่อื จดั งานเลย้ี งฉลองใหก้ บั แขกผมู้ าเยอื นจากสวรรค์ ตอน
จบของเร่อื งราวคอื ภาพการเฉลมิ ฉลองอยา่ งอุดมสมบรู ณ์มงั่ คงั่ ในโลกพระคมั ภรี ์ (โลกจนิ ตนาการ) ดงั นนั้ จุดทอ่ี ปุ มาน้ี
มุ่งเน้นจงึ ไม่ใช่กระบวนการตามธรรมชาตใิ นการพฒั นาศาสนาครสิ ต์ใหแ้ พร่ขยายไปทวั่ โลกเหมอื นกบั ทโ่ี ปรเตส
แตนทเ์ สรนี ยิ มยคุ เก่าตคี วามอุปมาน้ีและอปุ มาเรอ่ื งเมลด็ พชื แต่มุ่งเน้นทก่ี ารมาถงึ อย่างไม่คาดคดิ ของอาณาจกั ร
สวรรคท์ อ่ี ุดมมงั่ คงั่ อยา่ งน่าอศั จรรย์

(3) คากรยิ าของการใสเ่ ชอ้ื แป้งลงในแป้งเป็นคาทไ่ี มม่ ใี ครคาดคดิ คอื คาวา่ “ซ่อนอย”ู่ (Hid) (ถูกตอ้ งชดั เจนใน
ฉบบั KJV และ RSV แต่ถูกทาใหค้ ลุมเครอื ในฉบบั NIV และ NRSV ทาใหส้ ญู เสยี ความเช่อื มโยงกบั 13:35) ปกตเิ ราจะคาดหวงั คาว่า “ถูก
ใส่ลงไป” (Placed) หรอื “ถูกนวดลงไป” (Kneaded) แต่ไม่มีการกระทาใดของผู้หญิงคนน้ี ท่ีนาไปสู่ขนมปัง
ปรมิ าณมากมายเหลอื เฟือในตอนทา้ ย ปัจจุบนั อาณาจกั รสวรรคน์ นั้ ซ่อนอย่เู งยี บๆ พระพรแห่งอาณาจกั รสวรรค์
(ท่พี ระเยซูเจา้ ทรงนามาหรอื ช้แี สดงให้รู้จกั ) ทางานด้วยวธิ กี ารท่ไี ม่มใี ครคาดคดิ และสะดุดแปลกใจ แต่อนาคตกจ็ ะ
เปิดเผยความจรงิ เกย่ี วกบั พระอาณาจกั รนนั้ แงม่ ุมสุดทา้ ยของเรอ่ื งอปุ มามคี วามสาคญั สาหรบั นกั บุญมทั ธวิ เม่อื

335

ดจู ากบรบิ ทของเร่อื งเล่าในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ อุปมาน้ีดจู ะหมายถงึ ความเป็นจรงิ ทว่ี า่ พระอาณาจกั รสวรรค์
ถกู ซอ่ นจากผนู้ าศาสนาและผคู้ นในสงั คมโดยรวม แตม่ นั จะถกู เปิดเผยในภายหลงั (บรรดาศษิ ยม์ องเหน็ ความจรงิ ขอ้ น้แี ลว้ )
กษตั รยิ ผ์ ทู้ รงถูกเจมิ ในพระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ ท่กี าลงั มาถงึ ไดม้ าประทบั อยู่กบั ชุมชนของพระองคแ์ ล้ว
(1:23; 28:20 และอ่นื ๆ) แต่เป็นการประทบั อย่อู ยา่ งลบั ๆ ไม่ไดแ้ สดงออกโดดเดน่ ต่อหน้าสาธารณชน ในทส่ี ุดการเสดจ็
มาของพระองคใ์ นฐานะกษตั รยิ แ์ ละผพู้ พิ ากษาตดั สนิ จะเปิดเผยทกุ สง่ิ

13:34-35 อธบิ ายว่าเหตุใดจงึ เล่าอุปมาน้ี ถอ้ ยคาเหล่าน้ีเป็นบทสรุปจากเน้ือหาเร่อื งอุปมาในพระวรสาร
นกั บุญมาระโก (มก: 33-34) เมอ่ื เรอ่ื งอุปมาน้ีมาอยใู่ นพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ ไดถ้ ูกเปลย่ี นไปสตู่ อนถดั ไปโดยมผี ฟู้ ัง
ท่ตี ่างจากเดมิ เช่น ใน ว. 10-17 ในลกั ษณะเดยี วกนั นักบุญมทั ธวิ นา สดด 78:2 มาเป็น “ขอ้ ความอา้ งองิ ตาม
สตู ร” ครงั้ ทแ่ี ปด (ดูบทเสรมิ เร่อื ง “มทั ธวิ ในฐานะผตู้ คี วามพระคมั ภรี ”์ ) ท่านนักบุญมทั ธวิ ไม่ไดใ้ ส่ใจกบั บรบิ ทและความหมาย
ดงั้ เดิมของสดุดี 78 ซ่ึงไม่ได้เก่ียวข้องกบั ลกั ษณะการถูกเก็บซ่อนอยู่ของการเผยแสดงของพระเป็นเจ้า แต่
กล่าวถึงลกั ษณะอนั เปิดเผยของมนั ทาให้ดูเหมือนว่าในพระวรสารส่วนท่ีเหลือ พระเยซูเจ้าไม่ได้ยดึ มนั่ กบั
หลกั การท่ีทรงประกาศไว้ใน ว. 34 แสดงว่านักบุญมทั ธวิ รู้สกึ สนใจคากล่าวนัน้ เพราะมนั มีคาว่าอุปมา และ
ตอ้ งการทจ่ี ะแสดงใหผ้ อู้ ่านเหน็ ว่าการประสตู ิ พนั ธกจิ และการสน้ิ พระชนมข์ องพระเมสสยิ าหไ์ ม่เพยี งแต่เป็นเร่อื ง
ของคาพยากรณ์และสง่ิ ทเ่ี ป็นจรงิ ของคาพยากรณ์เทา่ นนั้ แตต่ อ้ งการบอกวา่ พระองคส์ อนเป็นอุปมาดว้ ย

โครงสรา้ งการปิดบงั /เปิดเผยน้สี อดคลอ้ งกบั ฉธบ 29:29 และ บสร 3:22 (ดูความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั “ความลกึ ลบั " ใน
3:11 ดา้ นบน) นักบุญมทั ธวิ เขา้ ใจพระคมั ภรี ภ์ าคพนั ธสญั ญาเดมิ ทงั้ โดยภาพรวมและในภาพย่อยต่างๆ ว่าเป็นคา
พยากรณ์ ดงั นนั้ ทา่ นจงึ อา้ งองิ บทสดุดใี นฐานะทก่ี ารสอนโดยใชเ้ รอ่ื งอุปมาเป็น “สงิ่ ทบ่ี รรดาประกาศกไดก้ ล่าวไว”้

13:36-43 เป็นเร่อื งอุปมาเร่อื งวชั พืช ซ่ึงได้รบั การตีความ เน่ืองจากภาษา สานวนและแนวคิดทาง
หลกั การเทววทิ ยาของการตคี วามน้ีเป็นแบบของนกั บุญมทั ธวิ ทงั้ หมด นกั วชิ าการสว่ นใหญ่จงึ มคี วามเหน็ วา่ เป็น
การประพนั ธ์ของท่านเอง แม้ว่าอุปมาเร่อื งวชั พชื (ในรูปแบบก่อนหน้าน้ี) อาจมาจากคาพูดของพระเยซูเจ้าเอง บท
อธบิ ายตคี วามน้ีเขา้ ใจถงึ เร่อื งราวของอุปมาในแบบนิทานเปรยี บเทยี บทงั้ หมด ซ่งึ แสดงภาพของการพพิ ากษา
โลกในวาระสุดทา้ ย เป็นภาพเลก็ ๆ ของคาพยากรณ์ ทไ่ี ม่ไดแ้ สดงออกในลกั ษณะของการคาดคะเน แต่มอี านาจ
กระตุน้ ใจใหผ้ เู้ ชอ่ื ในปัจจบุ นั ใหเ้ หน็ ภาพของพฤตกิ รรมอกี แบบหน่งึ

13:36 เปลย่ี นจากการตรสั กบั ฝงู ชนเป็นการตรสั กบั บรรดาศษิ ย์ ซง่ึ มคี วามหมายในทางเทววทิ ยา เพราะ
ความแตกต่างทส่ี าคญั ระหว่าง “โลก” กบั “ครสิ ตจกั ร” คอื บรรดาศษิ ย์ ผทู้ พ่ี ระเยซูทรงพาเขา้ ไปในบา้ นและทรง
อธบิ ายทุกสง่ิ ให้พวกเขาฟัง ดงั นัน้ ผู้อ่านจงึ ได้มีโอกาสท่ีจะติดตามพวกเขาเขา้ ไปในบ้านและ “พลอยได้ยนิ ”
คาอธบิ ายของพระเยซูเจา้ ดว้ ย ผอู้ ่านจะเขา้ ใจโดยนยั ไดว้ า่ พวกเขาไดอ้ ย่รู ว่ มภายในกลุ่มของบรรดาศษิ ยด์ ว้ ย ทงั้
บรรดาศษิ ย์ในเร่อื งเล่าน้ีและผอู้ ่านพระวรสาร (ไดร้ บั โอกาส) ทจ่ี ะเขา้ ใจความลกึ ลบั แห่งพระอาณาจกั รพระเป็น
เจา้ ความหมายทแ่ี ทจ้ รงิ ของโลกและจุดหมายปลายทาง ซง่ึ สง่ ผลกระทบกบั ทุกคน แต่ผทู้ ่ี “ร”ู้ มเี พยี งผทู้ ย่ี อมรบั
พระเยซูเจา้ เป็นอาจารย์ ในมุมมองของนกั บุญมทั ธวิ เร่อื งเล่าน้ีไม่ไดห้ มายถงึ เหตุการณ์แบบ “กาลครงั้ หน่ึงนาน
มาแลว้ ” ในชวี ติ ของพระเยซูเจา้ ผทู้ รงพระชนมช์ พี อยจู่ รงิ ในประวตั ศิ าสตร์ แตเ่ ป็นการแสดงภาพของสถานการณ์
ทค่ี รสิ ตจกั รกาลงั เผชญิ ในฐานะชุมชนทไ่ี ดร้ บั สทิ ธพิ เิ ศษในการตดิ ตามพระเป็นเจา้ ผสู้ งู สง่ ตลอดการเดนิ ทางของ
พวกเขาไปสกู่ ารมาถงึ ของพระอาณาจกั รในวนั สดุ ทา้ ย

336

การตคี วามแบบนิทานเปรยี บเทยี บเป็นการตคี วามแบบเลอื กเฟ้น (Selective) บางองคป์ ระกอบกไ็ ม่ถูก
ตคี วาม เชน่ การนอนหลบั ผรู้ บั ใชต้ อนตน้ เร่อื งและคาถามของพวกเขา และชะตาของเมลด็ พนั ธุท์ ด่ี ี ความสนใจ
ทงั้ หมดมุ่งไปทก่ี ารพพิ ากษาทก่ี าลงั จะมาถงึ เหน็ ไดจ้ าก “ช่อื ” (Title) ของอุปมาซง่ึ อย่ใู นคาถามของบรรดาศษิ ย์
(ว. 36) คอื “วชั พชื ” (ดูเทยี บกบั “ช่อื ” ท่นี าเอา 13:3-9 มาใส่ใน ว. 18 คอื “ผู้หว่าน”) เน่ืองจากบทตคี วามน้ีอยู่ในตาแหน่งสาคญั
ของโครงสรา้ ง จงึ เป็นการชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ความเขา้ ใจของนักบุญมทั ธวิ เก่ยี วกบั อุปมาอ่นื ๆ เช่นกนั โดยท่านเหน็ ว่า
เร่อื งเล่าทงั้ หมดเป็นอุปมาเกย่ี วกบั พระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ ทงั้ สน้ิ หรอื กล่าวไดอ้ กี อย่างว่าเป็นเร่อื งอุปมา
เกย่ี วกบั การพพิ ากษาทก่ี าลงั จะมาถงึ

13:37 บุตรแห่งมนุษย์ ผซู้ ง่ึ เป็นผหู้ วา่ นไมไ่ ดเ้ ป็นเพยี งพระเยซูเจา้ ทม่ี ชี วี ติ อยใู่ นประวตั ศิ าสตรเ์ ทา่ นนั้ แต่
ยงั หมายถงึ พระเป็นเจา้ ผสู้ งู ส่ง ผูท้ ป่ี ระทบั อย่กู บั ครสิ ตจกั รของพระองคต์ ลอดประวตั ศิ าสตร์ ผจู้ ะเสดจ็ มาตดั สนิ
พพิ ากษาทงั้ โลกและครสิ ตจกั รของผู้เช่ือศรทั ธาในวาระสุดท้าย “เมลด็ พนั ธุ์” คอื บุตร /เดก็ ๆ /สมาชกิ ของพระ
อาณาจกั ร หรอื ชาวครสิ ตน์ นั่ เอง ไม่ใช่ “พระวาจา” เหมอื นใน มก 4:14 และทไ่ี ดส้ ะทอ้ นออกมาเพยี งบางสว่ นใน
มธ 13:18-23

สง่ิ ท่เี ป็นกุญแจหลกั ไปสู่ความเขา้ ใจของนักบุญมทั ธวิ เก่ยี วกบั เร่อื งอุปมาน้ี คอื การหว่านครงั้ ท่สี อง ซ่งึ
กระทาโดย “ศตั ร”ู หรอื มารซาตานนนั่ เอง ชาวครสิ ตค์ อื ผลจาก “การหวา่ น” ครงั้ แรกของบุตรแห่งมนุษย์ ผไู้ มเ่ ชอ่ื
และผู้ท่ตี ่อต้านคอื ผลจากการกระทาของซาตาน มุมมองแบบทวนิ ิยมของนักบุญมทั ธวิ ปรากฎในท่นี ้ีอกี ครงั้
เช่นเดยี วกบั ในความขดั แย้งระหว่างอาณาจักร ซ่งึ แทรกซมึ อยู่ทวั ่ ไปในการนาเสนอของท่าน (13:38 “บุตรแห่งพระ
อาณาจกั ร”/ “บุตรแหง่ มารรา้ ย”; ดูเทยี บกบั 15:15 และคาอภปิ รายท่ี 12:22-37) ดงั นนั้ ประเดน็ สาคญั คอื ทุ่งนาแห่งนนั้ คอื โลก ไม่ใช่
แคค่ รสิ ตจกั ร (ว. 38) การตคี วามแบบดงั้ เดมิ ทก่ี ระตุน้ ใหช้ าวครสิ ตไ์ มป่ ระณามสมาชกิ รว่ มชมุ ชนจงึ ไม่ถงึ กบั ผดิ แต่
วา่ แคบเกนิ ไป ชาวครสิ ตค์ วรหลกี เลย่ี งการประณามทุกคน ไมใ่ ชแ่ คค่ นภายในชุมชนผเู้ ชอ่ื ศรทั ธาเทา่ นนั้ คาเตอื น
ใหย้ อมละเวน้ การถอน “วชั พชื ” สอดคลอ้ งกบั 15:12-14 โดยมคี วามเก่ยี วขอ้ งกบั ชาวฟารสิ ี พระบดิ าไม่ได้ทรง
“ปลูก” พวกเขา พระองคจ์ ะจดั การกบั พวกเขาในเวลาอนั เหมาะสม ศษิ ย์ของพระเยซูเจา้ จะต้องไม่ไปถอนราก
ถอนโคนพวกเขา แต่ควรปล่อยให้พวกเขาอยู่ไปเช่นนัน้ ทงั้ อุปมาและบทตีความอุปมาช้ีให้เห็นว่าการแยก
ระหว่างสมาชกิ ทแ่ี ทจ้ รงิ ของชุมชนแห่งพนั ธสญั ญาออกจากสมาชกิ หรอื ศษิ ยท์ ไ่ี ม่จรงิ แท้ เป็นหน้าทข่ี องพระเป็น
เจ้าและจะต้องรอคอยใหถ้ งึ วนั พพิ ากษาครงั้ สุดท้าย ความขดั แยง้ เลก็ น้อยระหว่างเน้ือหาน้ีและ 18:15-20 อาจ
สะทอ้ นถงึ การโตเ้ ถยี งภายในครสิ ตจกั รของนกั บุญมทั ธวิ และนกั บุญมทั ธวิ ไดย้ นื ยนั ทงั้ วนิ ยั ของครสิ ตจกั รในบทท่ี
18 และมุมมองของการอดทนและใจสงบนิ่งต่อผอู้ ่นื ในบทท่ี 13 โดยทไ่ี ม่ไดอ้ ธบิ ายในรายละเอยี ดวา่ จะทาเช่นนนั้
ไดอ้ ยา่ งไรในทางปฏบิ ตั ิ

13:42 “เสยี งรอ้ งไห้และขบฟันด้วยความขุ่นเคอื ง” เป็นสูตรภาพพจน์ท่ีนักบุญมทั ธวิ ได้มาจากเอกสาร
แหล่ง Q (มธ. 8:12ข = ลก. 13:28) และนามาใส่เป็นบทสรุปของเร่อื งอุปมาทงั้ หา้ เร่อื ง (13:42, 50; 22:13; 24:51: 25:30) โดย
เน้นความสาคญั ของการท่ีนักบุญมทั ธวิ ใชเ้ ร่อื งอุปมาแสดงภาพของการพพิ ากษาครงั้ สุดทา้ ย โดยมุ่งเน้นอย่าง
เฉพาะเจาะจงทโ่ี ชคชะตาของผทู้ ถ่ี ูกตดั สนิ ลงโทษ มนั ไม่ใช่การแสดงความดใี จว่าคนนอกจะตอ้ งมโี ชคชะตาแบบ
นนั้ แตเ่ ป็นการเตอื นคนในซง่ึ เป็นผเู้ ชอ่ื ศรทั ธา

337

ข้อคิดไตร่ตรอง
1. อุปมาเร่อื งวชั พชื มหี ลายแงม่ ุม แต่สง่ิ ทเ่ี ราเหน็ ว่าสาระของอุปมาเร่อื งน้ีท่สี ่องประกายอย่เู บอ้ื งหลงั คอื

ประสบการณ์ของครสิ ตจกั รสมยั นักบุญมทั ธวิ และสมยั ของเราดว้ ย มนั ค่อยๆ ทาใหเ้ ราต้องพศิ วงใจเม่อื ไดร้ ูว้ ่า
โลกของเรา ครอบครวั ทเ่ี ราเตบิ โตข้นึ มา หรอื แมแ้ ต่ครสิ ตจกั รทเ่ี ราอยู่ มสี ง่ิ ต่างๆ ทต่ี ่างกนั และเหมอื นกนั ซง่ึ ตอ้ ง
พจิ ารณาแยกแยะในความแตกต่างและความเหมอื นของแต่ละสงิ่ เหล่านนั้ ทุกสงิ่ มคี ุณค่าและความดขี องตนตาม
ลกั ษณะชนิดของสงิ่ นัน้ ๆ โดยเฉพาะมนุษย์ ซ่งึ พระเป็นเจา้ ทรงเห็นว่า “ด”ี โลกมสี ถานท่มี หศั จรรย์หลายแห่ง
พระวรสารไม่ไดร้ ะบุว่า พนั ธุข์ า้ วละมานหรอื วชั พชื นนั้ ไม่ดี เพยี งบอกว่าศตั รูเอามาหวา่ นไว้ ชวี ติ กเ็ ช่นกนั ชวี ติ
มนุษย์เป็นสง่ิ สรา้ งท่ีมใิ ช่เพียงทรงเห็นว่าดี แต่ทรงเห็นว่า “ดีมาก” (ปฐก. 1: 31) ดงั น้ี มนุษย์อาจยงั ไม่สามารถ
แยกแยะและเหน็ วา่ ดี หรอื มบี างสง่ิ ทศ่ี ตั รไู ดม้ าหวา่ นไว้ ทาใหม้ องไมเ่ หน็ หรอื มองแตกตา่ งออกไป จงึ ทาใหเ้ หน็ วา่
สง่ิ ทแ่ี ตกต่างออกไป ไม่เหมอื นกบั ตนเป็นสงิ่ ไม่ดี จงึ อยากไปถอนหรอื เอาออกไป จากเหตุการณ์ทเ่ี ราเหน็ ชวี ติ
อาจมซี อกซอยแห่งความโหดรา้ ยอยู่เช่นกนั ครอบครวั สามารถก่อความทุกข์ท่บี าดลกึ ให้กับเราเช่นเดยี วกบั
ความสขุ อนั ยงิ่ ใหญ่ ครสิ ตจกั รอาจดกู ลา้ หาญจนกลายเป็นแรงบนั ดาลใจในช่วงหน่ึง แต่กอ็ าจจะมลี กั ษณะมมุ มอง
แบบคบั แคบและทาใหค้ นเราขาดความเช่อื ไดใ้ นเวลาต่อมาเชน่ กนั สง่ิ ดงี ามผสมปนเปไปกบั สงิ่ เลวทราม “วชั พชื
เหล่าน้มี าจากทใ่ี ด” คอื เสยี งรอ้ งถามของมนุษยชาตติ ลอดมา

การท่ีเจ้าของสวนในเร่อื งอุปมาห้ามผู้รบั ใช้ของเขาไม่ให้ถอนวชั พืชออกจากทุ่งนา ไม่ใช่เป็นเสียง
เรยี กรอ้ งใหอ้ ย่เู ฉยๆ เมอ่ื เผชญิ กบั ความชวั่ รา้ ย ไม่ใช่คาสงั่ ของพระเป็นเจา้ ทใ่ี หเ้ ราเมนิ เฉยต่อความอยุตธิ รรมใน
โลก ความรุนแรงในสงั คม หรอื ความผดิ ในครสิ ตจกั ร แต่เป็นการเตอื นถงึ ความเป็นจรงิ ว่าผรู้ บั ใช้ต้องหวนราลกึ
ถงึ สรรพสง่ิ ต่างๆ ตามธรรมชาตขิ องมนั ตามท่พี ระเป็นเจ้าทรงสรา้ ง พระเป็นเจา้ ทรงเหน็ ว่าดี และทรงเหน็ ว่า
มนุษย์ท่ีทรงสร้างนัน้ ดมี าก และตามความเป็นจรงิ ผู้รบั ใช้หรอื มนุษย์อาจไม่มีความสามารถท่ีจะขจดั วชั พืช
ทงั้ หมดแต่เพยี งอย่างเดยี วออกไปได้ และพระเป็นเจา้ หรอื เจ้าของนาทรงเตอื นใหห้ ยุดพจิ ารณา หรอื แยกแยะ
เลอื กรปู แบบวธิ กี ระทาทเ่ี หมาะสม เม่อื พจิ ารณาจากประสบการณ์ของตนกบั ประสบการณ์หรอื ความรสู้ ตปิ ัญญา
ของตนกบั เจา้ ของนา กบั ชวี ติ ในความเป็นจรงิ ของแต่ละชวิ ติ แต่ละสงิ่ ตามลกั ษณะชวี ติ ต่างๆ ทก่ี าลงั เตบิ โตและ
ดาเนินไปนัน้ ดงั เช่นในรปู แบบเหตุการณ์หรอื สถานการณ์ทท่ี งั้ วชั พชื และขา้ วพนั ธุ์ดกี าลงั เตบิ โตอย่ดู ว้ ยกนั ต้น
กลา้ ทค่ี ลา้ ยกนั หรอื แบบใกลเ้ คยี งกนั อาจยงั เป็นสง่ิ แยกแยะไดย้ ากหรอื ยงั แยกไม่ได้ ตอ้ งรอใหว้ นั เวลาไดด้ าเนิน
ไป จนมนั เตบิ โตขน้ึ อยา่ งใหเ้ หน็ ผลชดั เจนพอสมควร บางตน้ แอบบงั ซ่อนปะปนกนั อยู่ ขอ้ สงั เกตทพ่ี บเหน็ ไดห้ รอื
ประสบการณ์ทม่ี อี ย่เู ป็นทุนชวี ติ เตอื นวา่ บางครงั้ ความพยายามกาจดั วชั พชื กอ็ าจก่อใหเ้ กดิ ผลเสยี ต่อขา้ วพนั ธุด์ ี
หรอื อาจก่อใหเ้ กดิ ผลเสยี มากกว่าผลดี เม่อื ผปู้ ฏบิ ตั ไิ ม่เขา้ ใจจงั หวะ ขนั้ ตอนความเป็ นจรงิ ของสง่ิ ทเ่ี ตบิ โตอย่ใู น
ผนื นา เรอ่ื งราวของชวี ติ มนุษยก์ อ็ าจเป็นเชน่ เดยี วกนั

เราอาจจะหลงทางตลอดชวั่ นิรนั ดรใ์ นโลกทย่ี อมคลอ้ ยตามความชวั่ อย่างสน้ิ หวงั เช่นน้ีหรอื ไม่ใช่แน่นอน
เร่อื งอุปมาน้ีได้ให้และมคี วามหวงั อยู่ด้วย คอื ด้วยอาศยั พ่งึ พาพระปรชี าญาณของพระเจ้า สุดท้ายแล้ววชั พืช
ทงั้ หมดจะถูกทาลาย ความชวั่ รา้ ยเป็นสงิ่ ชวั่ คราวเท่านัน้ มแี ต่สงิ่ ดงี ามทจ่ี ะคงอย่ตู ลอดไป อุปมาน้ีในทา้ ยทส่ี ุดก็
นาไปสสู่ ถานทแ่ี ห่งความสุขและความหวงั เราอาศยั อย่ใู นโลกท่ีมคี วามบกพรอ่ ง ไมส่ มบรู ณ์แบบซง่ึ เป็นสงิ่ ทเ่ี ป็น
จรงิ ในสถานการณ์นนั้ ๆ หรอื ในปัจจุบนั เม่อื ไม่มมี นุษยค์ นใดจะสามารถขจดั ขอ้ เทจ็ จรงิ นนั้ ออกไปได้ แต่ภารกจิ
หน้าท่ตี ่างมกี าละ เวลาหรอื ช่วงจงั หวะของมนั ภารกจิ หว่านพชื ต้องดาเนินการในลกั ษณะ รูปแบบและวธิ กี าร

338

อย่างหน่ึง ถงึ เวลากาหนดทา ต้องลงมอื ทา ภารกจิ การดูแลรกั ษา กต็ อ้ งรูแ้ ละลงมอื ทาตามจงั หวะของการดูแล
รกั ษาและใหโ้ อกาสแต่ละคน แต่ละสงิ่ ดาเนินการไปดว้ ยตนเอง อานาจแห่งชวี ติ และความเป็นอย่ตู ่างมบี ทบาท
และอานาจในตน และความอสิ ระ ความรบั ผดิ ชอบต่อตนเอง ต่อหน้าท่ี ไม่ใช่คนงานต้องไปทาหน้าท่แี ทนขา้ ว
พนั ธุด์ ที ก่ี าลงั เตบิ โตในนา ไม่ใช่หน้าทข่ี องคนงาน แต่เป็นหน้าท่ีของเมลด็ ขา้ วพนั ธุด์ นี ัน้ หน้าทข่ี องคนงานต้อง
ดาเนินการอย่างเหมาะสมและอย่างรูจ้ งั หวะผลทต่ี ้องรอคอย ไม่ใช่ทาแทนหรอื ทาทุกเร่อื งท่ผี อู้ ่นื ต้องทาอย่หู รอื
ตอ้ งทาก่อนในทกุ สง่ิ ในขอบขา่ ยความรบั ผดิ ชอบของเขา ผอู้ ่นื ทต่ี า่ งรบั ผดิ ชอบตามบทบาทหน้าทข่ี องตน คนงาน
ไม่สามารถเดนิ ย่าเขา้ ไปในทอ้ งนาโดยไม่พลงั้ พลาด และเมอ่ื ไปเหยยี บย่าขา้ วพนั ธุด์ อี ยา่ งไมต่ งั้ ใจ ผลทไ่ี ดอ้ าจไม่
คมุ้ กบั ผลเสยี น่ีเป็นเรอ่ื งของประสบการณ์ทท่ี ุกคนหรอื หลายคนเขา้ ใจได้ ดงั นนั้ หน้าทข่ี องเราคอื ลงมอื ทาอยา่ งดี
รวู้ ธิ แี ละปฏบิ ตั อิ ยา่ งถูกตอ้ ง ใชช้ วี ติ อยา่ งสตั ยซ์ ่อื พจิ ารณาไตร่ตรองอยา่ งดตี ามพระปรชี าญาณทพ่ี ระเป็นเจา้ ทรง
มอบแก่มนุษย์ และเช่อื ฟังพระเจ้าให้มากท่สี ุดเท่าท่จี ะเป็นไปได้ เช่นเดยี วกบั ท่ตี ระหนักตนอย่างดวี ่า ผู้อ่นื ก็
ตอ้ งการทาหน้าทข่ี องตนอย่างดเี ช่นเดยี วกนั ตอ้ งใหโ้ อกาสกนั ไวว้ างใจกนั และเช่อื มนั่ ว่าการเกบ็ เก่ยี วจะต้อง
มาถงึ อยา่ งแน่นอน เม่อื สมควรช่วยหรอื ตอ้ งช่วย เรากย็ นิ ดรี บั ใชแ้ ละช่วยเหลอื เม่อื สมควรเรยี นรเู้ พ่อื เขา้ ใจ หรอื
ทาความเขา้ ใจและเรยี นรู้ กต็ อ้ งมเี วลาทใ่ี ชส้ าหรบั ศกึ ษาเรยี นรหู้ รอื ทดลองปฏบิ ตั ิ เม่อื เขา้ ใจกพ็ งึ ใหโ้ อกาสแก่ตน
และผอู้ ่นื

ในอุปมาเร่อื งเมลด็ มสั ตารด์ และอุปมาเร่อื งเชอ้ื แป้ง เราไม่ไดพ้ บสง่ิ ปกตธิ รรมดาหรอื สงิ่ ท่เี ราคาดเดาได้
แต่กลบั เป็นสง่ิ เหนือความคาดเดาปกตติ ามธรรมชาตแิ ละเป็นเร่อื งน่าประหลาดใจ ตน้ ไมข้ นาดใหญ่งอกออกมา
จากเมลด็ มสั ตารด์ ทเ่ี ลก็ จวิ๋ เหมอื นกบั ภาพการต์ ูนเรอ่ื ง ชาวไร่กบั แตงโมยกั ษ์ หรอื ผลฟักทองยกั ษ์ทช่ี าวไร่ไดเ้ กบ็
ผลบรรทุกบนรถท่ไี ม่มหี ลงั คาไปขายท่ตี ลาด ส่วนอุปมาอกี เร่อื งหน่ึง ผู้หญิงแม่บ้านคนหน่ึงท่ที างานนวดแป้ง
ปรมิ าณมหาศาล 3 ถัง เพ่ือทาขนมปังมากมายขนาดนัน้ สาหรบั เล้ียงคนจานวนมากเกินกว่าครอบครวั ใด
ครอบครว้ หน่ึงสามารถรบั ประทานไดห้ มด หญงิ แม่บา้ นทท่ี าขนมปังจานวนมากเชน่ น้ี อาจเสยี สตไิ ปแลว้ หรอื ไม่ก็
เป็นโวหารเปรยี บเทยี บพระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ ซ่งึ เปรยี บว่าพระเมตตา หรอื พระพรของพระเป็นเจา้ ได้
ทรงจดั เตรยี มไวส้ าหรบั มนุษยอ์ ย่างมากมาย เกนิ ขอบเขตหรอื มมี ากมายเกนิ กว่าทม่ี นุษยค์ าดคะเนได้ หรอื ตอ้ ง
เกดิ ขน้ึ อย่างมขี อบเขตจากดั หรอื อาจเป็นขอ้ คดิ ในการทางานประกาศขา่ วดแี ก่ประชาชนดงั ทท่ี รงตรสั สงั่ บรรดา
ศษิ ยว์ ่า จงออกไปประกาศข่าวดสี งั่ สอนนานาชาตใิ หม้ าเป็นศษิ ยข์ องเรา ...ทาพธิ ลี ้างบาปใหเ้ ขาเดชะพระนาม
พระบดิ า พระบุตร และพระจติ จงสอนเขาใหป้ ฏบิ ตั ติ ามคาสงั่ ทุกขอ้ ทเี่ ราใหแ้ ก่ท่าน แลว้ จงรเู้ ถดิ ว่าเราอย่กู บั ท่าน
ทุกวนั ตลอดไปตราบจนส้นิ พภิ พ” (มธ. 28: 19-20) ซ่ึงเป็นพระบญั ชาท่ยี ง่ิ ใหญ่และมอี าณาเขตกวา้ งใหญ่ไพศาล
ทวั่ ไปทวั่ ทุกคนทุกชาตทิ ุกภาษา กลา่ วคอื พระประสงคแ์ ละสงิ่ ทพ่ี ระเป็นเจา้ ทรงกระทานนั้ ยง่ิ ใหญ่เกนิ กวา่ มนุษย์
อาจคดิ ได้ หรอื มมี โนภาพไดใ้ นขอบเขตความเป็นสง่ิ สรา้ งของพระเป็นเจา้ หรอื อาจเป็นขอ้ คดิ พจิ ารณาสาหรบั
บรรดาศษิ ยข์ องพระเยซูเจา้ ในยุคสมยั ใหม่ของเราว่า การประกาศข่าวดแี ห่งพระอาณาจกั รสวรรค์ ศษิ ยพ์ งึ ต้อง
ประกาศขา่ วดแี ละเป็นประจกั ษ์พยานอย่างเตม็ กาลงั อานาจตนท่ีพระเจา้ ทรงประทานมาใหอ้ าจมนี ้อยเหมอื นดงั
เมล็ดมสั ตาร์ดตามท่มี นุษย์เห็นหรอื เขา้ ใจ แต่อานาจท่ีพระเป็นเจ้าทรงกระทาและแฝงอยู่ภายในนัน้ สามารถ
บนั ดาลใหเ้ กดิ ผลเป็นกจิ การทย่ี ง่ิ ใหญ่หรอื สงิ่ ใหญ่โตไดเ้ กนิ กว่าคาบรรยายทม่ี นุษย์คาดเดา หรอื ศษิ ยแ์ ละมนุษย์
จะทาสง่ิ ใดเพ่อื ผู้อ่นื เหมอื นดงั หญิงแม่บา้ นนวดแป้งทาขนมปังสาหรบั ลูกๆ และสมาชกิ ในครอบครวั เธอไดท้ า
อย่างเตม็ ทแ่ี ม้จะดูว่ามากเกนิ ไปกว่าทต่ี ้องทาเพ่อื ครอบครวั ของตน แต่เธอลงมอื ทาโดยไม่เหน็ แก่เหน็ดเหน่ือย

339

จนแป้งทงั้ หมดฟูขน้ึ คาสอนแห่งอุปมาน้ี น่าจะเป็น “อาณาจกั รสวรรคท์ เ่ี หมอื นกบั นกั เทศน์ทเ่ี ทศน์ทุกวนั อาทติ ย์
ในโบสถท์ ม่ี คี นยส่ี บิ หา้ คนในเมอื งทม่ี ปี ระชากรอาศยั อยู่มากถงึ สองลา้ นคน และนกั เทศน์คนนนั้ ไดเ้ ทศน์สอน เป็น
ประจกั ษ์พยานต่อไปจนกระทงั่ คนทงั้ เมอื งเชอ่ื ศรทั ธาในพระวรสาร”

2. อุปมาดงั้ เดมิ ของพระเยซูเจา้ ค่อยๆ เปลย่ี นโฉมหน้าหรอื เปลย่ี นกรอบแนวคดิ ทผ่ี คู้ นเคยเขา้ ใจว่าพระ
เป็นเจา้ ทางานอยา่ งไรเพอ่ื ทาใหอ้ าณาจกั รของพระองคม์ าถงึ ตอนน้เี ทา่ ทเ่ี ราพอจะสงั เกตเหน็ ได้ รปู แบบปัจจบุ นั
ของพระอาณาจกั รคอื สวนผกั สมุนไพร ภาพของต้นไมใ้ นอนาคตทน่ี กมาทารงั อย่นู ัน้ ดูอย่เู หนือความจรงิ และไม่
น่าเป็นธรรมชาติ แต่กเ็ ป็นจรงิ เมลด็ มสั ตารด์ เลก็ ๆ ไดเ้ ตบิ โตกลายเป็นตน้ ไมใ้ หญ่เพยี งพอสาหรบั นกในอากาศ
มาอาศยั อยู่ได้ อุปมาน้ีไม่ไดก้ ล่าวถงึ พฒั นาการ “ตามธรรมชาต”ิ ของพระอาณาจกั รจากความเลก็ ต้อยต่าไปสู่
พระสริ ริ ุ่งโรจน์ในอนาคต ทงั้ เมลด็ มสั ตารด์ สวนและเช้อื แป้งซง่ึ เป็นสง่ิ ธรรมดา อาจไม่สะอาด อาจเป็นสง่ิ เจอื ปน
และทาใหข้ องเสยี ถูกนาใชม้ าเป็นสญั ลกั ษณ์ของพระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ จงึ เป็นเรอ่ื งทน่ี ่าตกใจเหมอื นกบั การ
ทก่ี ษตั รยิ ผ์ ถู้ ูกเจมิ ใหป้ กครองพระอาณาจกั รนนั้ มตี วั แทนเป็นนกั โทษผถู้ ูกตรงึ กางเขนอยา่ งถอ่ มตนถ่อมใจ แมว้ า่
นกั บุญมทั ธวิ จะตคี วามพระวรสารจากสถานการณ์สมยั ของทา่ นเอง แต่ท่านกเ็ ขา้ ใจเร่อื งการใชอ้ ปุ มาเป็นตวั แทน
ของพระอาณาจกั รและยงั คงนามาใชต้ ่อไป ผอู้ ่านสมยั ใหม่ซง่ึ อาจตอบสนองอยา่ งยม้ิ เยาะตอ่ การปฏเิ สธพระครสิ ต์
ของชาวยวิ สมยั โบราณ เพยี งเพราะว่าพระเยซูเจา้ ไม่ไดเ้ หมอื นกบั พระครสิ ตใ์ นความคดิ ของพวกเขา(ตามธรรมเนียม
ความเช่ือและตามพระคมั ภีร์) อาจมาเรยี นรู้จากเร่อื งอุปมาน้ีได้ว่าไม่ควรมีภาพท่ีเจาะจงชัดเจนอย่างจากัดกรอบ
ความคดิ เกย่ี วกบั พระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ ตอ้ งเป็นอยา่ งไร อยา่ งไม่ยอมรบั ผอู้ ่นื หรอื ความคดิ ทม่ี อี ย่ภู ายใน
ทต่ี นคน้ ไมพ่ บ คาดไมถ่ งึ และไม่รวู้ า่ มอี ยู่จรงิ จนจากดั ทงั้ ตนและผอู้ ่นื ในการยอมรบั เม่อื พระเยซเู จา้ ทรงนามาเล่า
สอนถงึ การดารงอยขู่ องพระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ ในโลกของเราอาจทาใหแ้ นวคดิ ของเรา (ตามธรรมเนียมความเช่อื และ
ตามพระคมั ภรี )์ ทว่ี ่าพระอาณาจกั รนนั้ อย่ทู ใ่ี ดและดารงอย่อู ย่างไรในปัจจุบนั ตอ้ งสญู เสยี กรอบความคดิ ความเป็นไป
ไดไ้ ป แต่เม่อื เกดิ หรอื มสี งิ่ ใหม่ท่ดี กี ว่า มคี ุณค่าและประโยชน์มากกว่าซ่งึ ออกมาจากภายในมนุษย์นัน้ เอง องค์
พระเป็นเจา้ เพยี งแต่ทรงเสดจ็ มาเปิดเผยสง่ิ ทถ่ี ูกบงั หรอื ซ่อนไว้ เม่อื เราไดย้ นิ และไดฟ้ ัง หรอื ไดเ้ หน็ ประจกั ษ์แก่
ตนกพ็ งึ ตอ้ งพจิ ารณา เขา้ ใจ ยอมรบั และปรบั เปล่ยี นวธิ ใี หม่ใหค้ วามเชอ่ื คาสอนนนั้ ไดเ้ ตบิ โตขน้ึ ในชวี ติ ของตนเอง
และแผอ่ อกไปยงั เพอ่ื นมนุษยท์ งั้ ปวงต่อไป

3. ตลอดเวลาหลายศตวรรษ พระศาสนจกั รมกั จะมองว่าตนเองคอื ผูช้ นะในเร่อื งอุปมา เป็นเมลด็ พนั ธุ์
ขนาดเลก็ ทเ่ี ตบิ โตขน้ึ มาเป็นตน้ ไมข้ นาดใหญ่ยกั ษ์ เป็นเชอ้ื แป้งทส่ี ดุ ทา้ ยกแ็ ทรกซมึ ไปทวั่ ทงั้ กอ้ นขนมปัง ทงุ่ นาท่ี
มที งั้ พชื ดแี ละไม่ดี สกั วนั หน่ึงกจ็ ะถูกชาระแยกแยะใหเ้ หลอื แต่พชื ทด่ี ี แต่คาสอนเร่อื งอุปมาเหล่าน้ีลว้ นเกย่ี วกบั
พระอาณาจกั ร ไม่ใช่หมายถงึ ครสิ ตจกั ร ซง่ึ กรอบความคดิ น้ีอาจทรยศต่อความเขา้ ใจของตนเองดว้ ยการมองว่า
ตนเองชอบธรรมและเป็นองคป์ ระกอบท่ี “ด”ี ในคาสอนเรอ่ื งอุปมาทถ่ี ูกเขา้ ใจผดิ วา่ เป็นนทิ านเปรยี บเทยี บทงั้ หมด
อปุ มาเหล่าน้ีกล่าวถงึ ชยั ชนะครงั้ สดุ ทา้ ยของพระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ แมว้ ่าภายนอกมนั จะดเู ป็นอย่างไรกต็ าม
ทงั้ ยงั ทา้ ทายครสิ ตจกั รใหต้ อบสนองต่อสารน้ีแทนท่จี ะมองว่ามนั เป็นเคร่อื งรับรองความสาเรจ็ ขอ้ คดิ ไตร่ตรอง
อย่างเหมาะสมและถูกตอ้ งพงึ ไมจ่ ากดั อยเู่ พยี งเพ่อื ตวั เอง หรอื ตวั ตนของตนเอง แต่พระประสงคแ์ หง่ คาสอนของ
พระเป็นเจา้ มไี วส้ าหรบั มนุษยท์ ุกคน ทงั้ ตนเองและผอู้ ่นื ในกรอบแห่งความรกั อนั ยง่ิ ใหญ่มหาศาลและบญั ญตั แิ หง่
ความรกั ของพระอาจารยเ์ จา้ ทท่ี รงสอนและมอบไวแ้ ก่เรามนุษย์

340

มทั ธวิ 13:44-46 สามอปุ มาเพม่ิ เตมิ ในรปู แบบของพระวรสารนกั บญุ มาระโก

อปุ มาเร่อื งขมุ ทรพั ย์ และเรอื่ งไข่มกุ 12
44 “อาณาจกั รสวรรคเ์ ปรยี บไดก้ บั ขมุ ทรพั ยท์ ซ่ี ่อนอย่ใู นทุ่งนา คนทพ่ี บกฝ็ ังซ่อนสมบตั นิ นั้ และยนิ ดกี ลบั ไปขายทุกสง่ิ ทม่ี ี นา

เงนิ มาซอ้ื ทน่ี าแปลงนนั้
45 “อาณาจกั รสวรรค์ยงั เปรยี บไดอ้ กี กบั พ่อคา้ ทแ่ี สวงหาไข่มุกเมด็ งาม 46 เม่อื ไดพ้ บไข่มุกท่มี คี ่าสูง เขาจะไปขายทุกสงิ่ ท่มี ี

นาเงนิ มาซอ้ื ไขม่ กุ เมด็ นนั้

ข้อศึกษาวิพากษ์
เร่อื งอุปมา ขุมทรพั ย์และไข่มุก กบั เร่อื งอวน อีก 3 เร่อื งน้ี เป็นบทสรุปท่ีมีลกั ษณะแตกต่างไปจาก

รูปแบบท่ีนักบุญมทั ธิวใช้ โดยการนาองค์ประกอบ B และ C มาย้อนกลบั เพ่ือจบด้วยถ้อยคาท่ีเป็นบทสรุป
เก่ยี วกบั ความเขา้ ใจอุปมาทงั้ หมด แทนทจ่ี ะเป็นการตคี วามอุปมาหน่ึงโดยเจาะจง แต่การท่ี ว. 44-52 ถูกทาให้
เป็นหน่ึงหน่วยกเ็ หน็ ได้ชดั เจนจากบทแนะนาเขา้ สู่สามเร่อื งอุปมาในตอนน้ีซ่งึ มลี กั ษณะเหมอื นกนั ทาให้เร่อื ง
อปุ มาทงั้ สามแยกออกจากตอนทผ่ี า่ นมา และเหน็ ไดจ้ ากคาวา่ “สมบตั ”ิ ซง่ึ พบซ้ากนั ในวรรคทน่ี าเขา้ สู่เรอ่ื งอุปมา
(ว. 44) และในวรรคทเ่ี ป็นบทสรปุ (ว. 52) กอ่ ตวั เป็นวงเลบ็ ทางวรรณกรรมสาหรบั ตอนยอ่ ยน้ี

อุปมาเร่อื งอวนจบั ปลา (ว. 47-48) และส่วนท่เี ป็นการตคี วามนัน้ มคี วามคู่ขนานกบั อุปมาเร่อื งวชั พชื และ
สว่ นทเ่ี ป็นการอธบิ ายความหมาย ซง่ึ อยใู่ นตอนยอ่ ยก่อนหน้าน้ี ปัญหาหลกั ดา้ นการตคี วามในตอนน้ีเกดิ จากเรอ่ื ง
อุปมาคู่ท่กี ล่าวถึงสมบตั ิและไข่มุก ซ่ึงไม่มกี ารอธบิ ายตคี วามและดูเหมอื นไม่ค่อยเขา้ กบั บรบิ ทท่อี ยู่โดยรอบ
นอกจากน้ียงั ไม่ชดั เจนว่าเร่อื งอุปมาสองอนั น้ีเป็นคู่กนั และต้องทาความเขา้ ใจแบบคู่ขนาน (เช่นในกรณีทอ่ี ย่ใู นพระวร
สารนกั บญุ มทั ธวิ ) หรอื จรงิ ๆ แลว้ โดยดงั้ เดมิ นนั้ เรอ่ื งทงั้ สองแยกจากกนั และไม่จาเป็นตอ้ งตคี วามโดยอาศยั กนั และกนั
(เช่นในพระวรสารนักบุญโทมสั ) เรอ่ื งอปุ มาเหล่าน้ีไม่พบในสว่ นอน่ื ๆ ของพระวรสารในสารบบเลย

13:44-46 คอื อุปมาเร่อื งสมบตั ทิ ถ่ี ูกซ่อนอยู่และเร่อื งไข่มุก ผูอ้ ่านเหน็ ไดช้ ดั ว่านักบุญมทั ธวิ เจตนาจะให้
อุปมาเร่อื งสมบตั ิได้รบั การตคี วามร่วมกบั อุปมาเร่อื งไข่มุกซ่งึ ตามหลงั มาทนั ที ทงั้ สองอุปมามลี กั ษณะร่วมกนั
ไดแ้ ก่ (1) ในแต่ละอุปมาจะมกี ารใหภ้ าพสถานการณ์สว่ นทส่ี าคญั เพียงสนั้ ๆ ไม่มรี ายละเอยี ดมากพอจะประเมนิ
ไดว้ ่าเป็นเร่อื งราวท่เี ป็นไปได้จรงิ ดงั นัน้ ผูต้ คี วามจงึ ควรระวงั อย่าเตมิ ช่องว่างดว้ ยจนิ ตนาการท่เี กดิ จากความ
ศรทั ธาของตนเอง แต่ใหจ้ ดจ่ออย่ทู ก่ี ารกระทาของอุปมาหรอื ภาพทอ่ี ุปมาน้ีแสดงใหเ้ หน็ (2) แน่นอนว่าลกั ษณะ
สาคญั ทพ่ี บไดใ้ นทงั้ สองเรอ่ื งอุปมาคอื สงิ่ ทเ่ี ป็นศนู ยก์ ลางของความหมาย ตวั ละครเอกในเรอ่ื งไปขายทุกสงิ่ ทเ่ี ขามี
เพ่อื สงิ่ ๆ เดยี ว น่ีคอื การกระทาของชาวนาและพ่อคา้ โดยภาพรวมแลว้ การเคล่อื นไหวในเร่อื งราวน้ีควรจะถูก
นาไปเปรยี บเทยี บกบั พระอาณาจกั รของพระเป็นเจ้า (ดูคาอภปิ รายเก่ียวกบั l [lu] ด้านบน) เพราะพระอาณาจกั รไม่ได้
“เหมอื น” ทงั้ “สมบตั ”ิ ใน ว. 44 หรอื “พอ่ คา้ ” ใน ว. 45 แต่ในทงั้ สองกรณี เราตอ้ งดจู ากภาพรวมทงั้ หมดของเรอ่ื ง
อุปมา เพราะตวั ละครเอกทงั้ สองต่างกต็ อบสนองอย่างเดด็ เดย่ี วอย่างผทู้ ่ี “มใี จบรสิ ุทธ”ิ ์ (Pure in the Heart) (ดขู อ้

341

ศกึ ษาวพิ ากษ์เกย่ี วกบั 5:8 ไขม่ ุก “หน่ึงเดยี ว”) จากเร่อื งราวใน มก. 10:17-31 นกั บุญมทั ธวิ และชุมชนของทา่ นต่างรมู้ านาน

แลว้ วา่ พระอาณาจกั รนนั้ เรยี กรอ้ ง “ทุกสงิ่ ” และเรยี กรอ้ งผทู้ ย่ี อมลม้ เหลว (ดู เทยี บ มก. 10:21 ซง่ึ การขายทุกสง่ิ แลว้ นาเงนิ ไป

ใหค้ นยากจนนัน้ เช่อื มโยงกบั “สมบตั ”ิ ทแ่ี ทจ้ รงิ ) เร่อื งอุปมาเหล่าน้ีเป็นการโจมตลี ่วงหน้าของนักบุญมทั ธวิ เกย่ี วกบั ประเดน็

เรอ่ื งความเป็นศษิ ยท์ จ่ี ะไดร้ บั การนาเสนอในภายหลงั

เรอ่ื งอปุ มาทงั้ สองน้มี คี วามแตกตา่ งกนั ดว้ ย

ชาวไร่ พอ่ คา้

(1) ชาวไร่ท างาน ต ามป กติของเขา ไม่ได้ สว่ นพ่อคา้ นนั้ กาลงั แสวงหาอย่างแขง็ ขนั เขารวู้ ่า

คาดหวงั จะพบสงิ่ ใดเป็นพเิ ศษ แต่เขากไ็ ดม้ าพบ ตนเองกาลงั หาอะไร แต่ก็ยงั พบสงิ่ ท่เี หนือความ

สมบตั โิ ดยบงั เอญิ คาดหมายของเขาอยดู่ ี

พระอาณาจกั รสามารถเป็นจรงิ ไดใ้ นสองรปู แบบทก่ี ลา่ วมาน้ี (ดู 9: 2, 22)

(2) มีการเน้นภาพความเบิกบานใจอนั ย่ิงใหญ่ แต่ไม่ได้เอ่ยถึงประเด็นน้ีเลยในเร่อื งของพ่อค้า

ของชาวไรค่ นนนั้ แต่นนั่ ไม่ไดห้ มายความว่าพ่อคา้ ทย่ี อมขายทุกสง่ิ

เพอ่ื ใหไ้ ดไ้ ขม่ กุ เมด็ นนั้ จะไม่มคี วามสขุ

เรอ่ื งของความสขุ (สว่ นบุคคล) หมายความวา่ ไม่ใชป่ ระเดน็ สาคญั ของทงั้ สองอุปมา

(3) เราไม่อาจกล่าวถึงชาวไร่คนนั้นในแบบ สงิ่ ทพ่ี ่อคา้ ทา แมว้ ่าจะเป็นสงิ่ ทไ่ี ม่อาจคาดเดาได้

เดยี วกบั พอ่ คา้ เพราะการกระทาของเขาสามารถ ตามสามัญสานึกของคนทัว่ ไป ก็ยังเป็ นสิ่งท่ี

ทาให้เราตัง้ คาถามได้ ทงั้ ในทางกฎหมายและ ถูกตอ้ งตามกฎหมายและศลี ธรรม

ทางศลี ธรรม (แต่เรากไ็ มม่ รี ายละเอยี ดมากพอจะ

รไู้ ดแ้ น่ชดั )

การพบสมบตั ฝิ ังอยู่ในท่ดี นิ ของคนอ่นื เป็นประเดน็ ท่อี ภปิ รายกนั อย่างกวา้ งขวางในกฎหมายโรมนั

ผอู้ า่ นพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ บางคนอาจคาดหวงั ว่าชาวไรท่ เ่ี คารพกฎหมายควรรายงานสง่ิ ทเ่ี ขาพบ

ใหเ้ จา้ ของไร่ทราบ แทนทจ่ี ะเกบ็ ไวเ้ ป็นทรพั ยส์ นิ ของตนเอง ผอู้ ่านสมยั ใหม่ทค่ี วามรสู้ กึ ละเอยี ดอ่อน

อาจสงสยั ในประเดน็ จรยิ ธรรมของการโกงเอาสมบตั จิ ากทด่ี นิ ของเจา้ ของไรม่ าเป็นของตน แมว้ ่ามนั

จะเป็นสง่ิ ทท่ี าไดใ้ นทางกฎหมาย เรอ่ื งราวน้ีไม่ไดท้ าใหก้ ารกระทาของชายผนู้ ้ถี ูกตอ้ งตามจรยิ ธรรม

แน่นอน พระเยซูเจา้ ทรงใชภ้ าพของการกระทาทช่ี ดั เจนอย่างไม่มขี อ้ สงสยั ของชายในอุปมาผนู้ ้ีมาแสดง

ใหเ้ หน็ ถงึ ความเร่งด่วนในการแสวงหาพระอาณาจกั รในขณะทย่ี งั มโี อกาส (ดูการใชโ้ วหารภาพพจน์ของการ(บุก)รุกเขา้ ไปใน

มธ 12:29 และภาพพจน์ทลี่ กึ ซ้งึ เขา้ ใจยากกวา่ ใน ลก 16:1-13)

ในเร่อื งเก่ียวกบั ไข่มุก ไม่มคี าถามด้านศีลธรรมหรอื กฎหมายมาเก่ียวข้อง แต่ก็เป็นการกระทาท่ีน่า

ประหลาดใจและกระตุ้นให้เราคิด ในโลกของชาวเมดิเตอร์เรเนียนในศตวรรษท่ีหน่ึง ไข่มุกมักถูกใช้เป็ น

สญั ลกั ษณ์สอ่ื ถงึ สง่ิ ทด่ี ที ส่ี ุด (เหมอื นเพชรในวฒั นธรรมยุคปัจจุบนั ) ดงั นัน้ ความรอดจงึ ถูกนามาแสดงภาพไวใ้ น “บทเพลง

สรรเสรญิ แห่งไข่มุก” (Hymn of the Pearl) ซ่ึงมาจากเร่อื งเล่าของผู้ท่เี ช่อื ในลทั ธิอจนิ ไตย (Gnostic) เก่ยี วกบั

ไขม่ ุกทส่ี ญู หายในเกาะต่างแดนและไดร้ บั กลบั คนื มาอยา่ งปลอดภยั ครอสแซน (Crossan) ไดส้ งั เกตเหน็ ถงึ ความ

เคล่อื นไหวในอุปมาเร่อื งสมบตั แิ ละอุปมาเร่อื งไข่มุกว่าเป็นการบงั เกดิ /การพลกิ ผัน/การกระทา ท่แี สดงออกใน

วรรคทค่ี ่ขู นานกนั คอื ว. ท่ี 44 และ 45-46 คอื การพบ/การขาย/การซอ้ื การมาถงึ ของพระอาณาจกั ร ไม่ว่าเราจะ

342

แสวงหาหรอื ไมก่ ต็ าม จะทาใหค้ ุณค่าของหลายสงิ่ ตอ้ งพลกิ ผนั กลบั ตาลปัตร นาไปสกู่ ารกระทาสาคญั ทท่ี าใหเ้ กดิ
สงิ่ ใหม่ขน้ึ มา การกระทาน้ีจะทาใหผ้ ู้ท่ใี ชช้ วี ติ แบบยดึ มนั่ ในค่านิยมเดมิ ๆ รูส้ กึ สบั สนงุนงงและทาตวั ไม่ถูก สงิ่ ท่ี
คน้ พบหรอื ไดพ้ บโดยไม่คาดคดิ หรอื เป็นพระพรทไ่ี ดร้ บั ประทานจากพระเป็นเจา้ ในการกระทาหรอื พบเหน็ โดย
สายตาความเชย่ี วชาญในภารกจิ หน้าทข่ี องตน แต่น่าจะเป็นพระพรทพ่ี ระเป็นเจา้ ประทานใหโ้ ดยพระทยั เมตตา
ของพระองคม์ ากกวา่ เป็นการกระทาทเ่ี ป็นศนู ยก์ ลางของเรอ่ื งอุปมาสองเรอ่ื งน้ี

อปุ มาเร่ืองอวน
47 “อาณาจกั รสวรรค์ยงั เปรยี บไดอ้ กี กบั อวนทห่ี ย่อนลงในทะเล ตดิ ปลาทุกชนิด 48 เม่อื อวนเตม็ แลว้ ชาวประมงจะลากขน้ึ ฝัง่

นงั่ ลงเลอื กปลาดใี ส่ตะกรา้ ส่วนปลาเลวกโ็ ยนทง้ิ ไป 49 เม่อื ถงึ เวลาสน้ิ โลกกจ็ ะเป็นเชน่ น้ี เม่อื ถงึ คราวสน้ิ โลก ทูตสวรรค์จะมาแยก
คนชวั่ ออกจากคนชอบธรรม 50 ทง้ิ คนชวั่ ลงในขมุ ไฟ ทน่ี นั่ จะมแี ต่การร่าไหค้ ร่าครวญและขบฟันดว้ ยความขนุ่ เคอื ง”
สรปุ

51 “ท่านทงั้ หลายเขา้ ใจเรอ่ื งทงั้ หมดน้ีหรอื ไม”่ บรรดาศษิ ยท์ ลู ตอบวา่ “เขา้ ใจแลว้ ”
52 พระองค์จงึ ตรสั ว่า “ดงั นัน้ ธรรมาจารยท์ ุกคนทม่ี าเป็นศษิ ยแ์ ห่งอาณาจกั รสวรรค์กเ็ หมอื นกบั เจา้ บา้ นทน่ี าทงั้ ของใหม่และ
ของเก่าออกจากคลงั ของตน”

13:47-48 คอื เร่อื งของอวนจบั ปลา อวนในท่นี ้ีคอื อวนลากขนาดใหญ่ ปกตลิ กึ ประมาณหกฟุตและกวา้ ง
หลายรอ้ ยฟุต มนั ถูกนาไปหย่อนในทะเลสาบโดยชาวประมงในเรอื หาปลา และต้องใชผ้ ูช้ ายหลายคนในการจบั
ปลาเช่นน้ี (ดงั นัน้ จงึ มกี ารใชค้ าพหพู จน์ใน ว. 48) ภาพน้ีแสดงถงึ ความเป็นจรงิ เป็นภาพเหตุการณ์ปกตทิ ไ่ี ม่มกี ารหกั มุม
ใดๆ อวนนนั้ จบั ไดป้ ลามา “ทกุ ประเภท” ทงั้ ปลาดแี ละปลาเสยี จากนนั้ ปลาทจ่ี บั ไดก้ ถ็ ูกคดั แยก เกบ็ ปลาดไี ว้ สว่ น
ปลาเลวก็โยนท้งิ ไป ซ่งึ เป็นเร่อื งเล่าของอุปมาน้ีอยู่แล้ว ปลาเลวนัน้ ถูกเรยี กว่า “เน่า” (Sapra” sapra) ซ่งึ ไม่ค่อย
เหมาะสมกบั ปลาท่ีเพ่ิงถูกจบั มาสดๆ เดีย๋ วนัน้ แต่คาน้ีถูกใช้ถึงส่คี รงั้ เวลาท่ีนักบุญมทั ธวิ อธบิ ายถึง “ผลไม้”
(ผลงาน) ทไ่ี ม่ดขี องชาวครสิ ต์ ซง่ึ เป็นลกั ษณะการใชท้ เ่ี หมาะสม (7:17-18; 12:33 สองครงั้ คานัน้ ไดม้ าจากเอกสารแหล่ง Q [ดู
ลก 6:43] และถูกปรบั ให้เขา้ กบั แนวคดิ ของนักบุญมทั ธวิ ) คนจบั ปลา “นัง่ ” คดั แยกปลาเช่นเดยี วกบั บุตรแห่งมนุษย์ในวาระ
สดุ ทา้ ยของโลก

13:49-50 คอื การตคี วามอุปมาเรอ่ื งอวนจบั ปลา บทตคี วามน้ีเหมอื นกบั บทตคี วามของอุปมาเร่อื งวชั พชื
จาก ว. 36-43 (45ก-50 เป็นการความสอดคลอ้ งทางวาจากบั 40ข, 42 ส่วน 49ข คลา้ ยกบั 41 มาก) เช่นเดยี วกบั ในบทตคี วามก่อน
หน้าน้ี สงิ่ ท่มี ุ่งเน้นคอื ชะตาของคนชวั่ จุดหมายปลายทางของพวกเขาคอื การถูกโยนลงไปในกองไฟท่มี เี สยี ง
รอ้ งไหแ้ ละขบฟันดว้ ยความขุ่นเคอื ง ซง่ึ ลว้ นเป็นภาษาตามปกตทิ ่ีนักบุญมทั ธวิ ใชก้ ล่าวถงึ การพพิ ากษาโลก แต่
ไม่คอ่ ยเหมาะสมทจ่ี ะมาใชก้ บั ปลา ซง่ึ ปกตจิ ะเอาไปฝังหรอื โยนทง้ิ กลบั ลงไปในน้า ไมใ่ ชเ่ ผา แต่ถงึ แมก้ ารตคี วาม
น้ีจะเป็นแบบนิทานเปรยี บเทยี บ แต่สาระเน้ือความไม่ไดห้ มายความว่าอวนจบั ปลานัน้ คอื ครสิ ตจกั ร และผูจ้ บั

343

ปลาคอื ผปู้ ระกาศขา่ วดี ดเู หมอื นนกั บุญมทั ธวิ จะเจตนาละเวน้ โอกาสทจ่ี ะนาอปุ มาน้ไี ปเชอ่ื มโยงกบั เรอ่ื งราวทพ่ี ระ
เยซูเจา้ ทรงเรยี กชาวประมงใน 4:18-22 อปุ มาน้ไี มใ่ ชก่ ารทาพนั ธกจิ แพรธ่ รรม “จบั ปลาทเ่ี ป็นคน” แต่เป็นอุปมาท่ี
สอ่ื ถงึ การคดั แยกวญิ ญาณมนุษยค์ รงั้ สดุ ทา้ ย

13:51-52 คอื การทาความเขา้ ใจอุปมาเหล่าน้ี บทบรรยายตอนตน้ ใน 13:3 และบทสรุปทเ่ี ป็นการสง่ ผ่าน
ใน 13:53 ชใ้ี หเ้ หน็ ว่านักบุญมทั ธวิ พจิ ารณาทุกสง่ิ ท่อี ย่รู ะหว่างเร่อื งอุปมาเหล่านัน้ รวมถงึ วรรค 52 ดงั นัน้ แมว้ ่า
นกั วจิ ารณ์จะตอ้ งการพบเร่อื งอปุ มาจานวนทงั้ หมดเจด็ เรอ่ื งอุปมาพอดใี นบทน้ี แต่นกั บุญมทั ธวิ กม็ องวา่ ภาพของ
ธรรมาจารยใ์ นตอนสรุปจบ กถ็ อื เป็นอุปมาดว้ ยเชน่ กนั และมนั เป็นขอ้ สรุปเชงิ อุปมาเกย่ี วกบั การใชอ้ ุปมาเอง

ภาพน้ีจงึ เป็นการแสดงใหเ้ หน็ ภาพของการตอบอย่างมนั่ คงของบรรดาศษิ ย์ต่อคาถามของพระเยซูเจา้
พวกเขายนื ยนั ว่าตนเองเขา้ ใจ คาพูดเหล่าน้ีเป็นสง่ิ ท่เี พมิ่ เตมิ ลงไปในเน้ือหาจากพระวรสารนักบุญมาระโกเพ่อื
แสดงออกอย่างชดั เจนว่า สาหรบั นกั บุญมทั ธวิ ความเขา้ ใจไม่ใช่องคป์ ระกอบทเ่ี ราจะเลอื กมหี รอื ไม่มกี ไ็ ดใ้ นการ
เป็นศษิ ย์ (ดู ขอ้ ศกึ ษาวพิ ากษ์เกย่ี วกบั 13:10-17)

นักบุญมทั ธวิ เขา้ ใจว่าเร่อื งอุปมาเหล่าน้ีสรา้ งขน้ึ จาก “คลงั สมบตั ”ิ (Treasure) ของโวหารเปรยี บเทยี บ
ตามธรรมประเพณี ตวั อยา่ งเชน่ คาวา่ “กษตั รยิ ”์ หรอื “บดิ า” ตามธรรมประเพณีแลว้ สอ่ื ถงึ พระเป็นเจา้ สว่ นคาว่า
“เกบ็ เกย่ี ว” หรอื “รายงานตวั ” (Accounting) มกั ส่อื ถงึ การพพิ ากษาโลกในวาระสุดทา้ ย เป็นต้น ทงั้ พระเยซูเจ้า
และธรรมาจารยต์ ่างใชโ้ วหารเปรยี บเทยี บเชน่ น้ี ความเป็นเอกลกั ษณ์ของพระเยซูเจา้ หรอื นกั บญุ มทั ธวิ ไม่ไดอ้ ย่ทู ่ี
การคิดค้นภาพพจน์ใหม่ๆ แต่อยู่ท่ีการทาให้เกิดภาพในมุมมองใหม่โดยนาภาพพจน์ท่ีคนคุ้นเคยเหล่าน้ีมา
จดั เรยี งกนั ใหม่ เม่อื ดูจากคาศพั ท์และลลี าการเขยี น เร่อื งอุปมาท่เี ป็นบทสรุปจบน้ีน่าจะเป็นการเขยี นข้นึ โดย
นักบุญมทั ธวิ เอง โดยจดั ให้ธรรมาจารย์ (ชาวยวิ ) ท่ไี ดร้ บั การอบรมฝึกฝน (แปลตามตวั อกั ษรว่า “เป็นศษิ ย์”) สาหรบั พระ
อาณาจกั รแห่งสวรรคใ์ หเ้ ป็นเหมอื นภาพวาดของตวั ท่านเอง (ดเู รอ่ื งเกย่ี วกบั ธรรมาจารยท์ เ่ี ป็นชาวครสิ ตใ์ น 8:19-22, 23-34) นกั
บุญมทั ธวิ ยนื ยนั ทงั้ สง่ิ เก่าและสง่ิ ใหม่ (ดู 9:17) ดว้ ยความเป็นธรรมาจารยท์ เ่ี ชย่ี วชาญ ทา่ นนาสง่ิ ทส่ี ะสมมาจากอดตี
ของความเป็นชาวยวิ (ขอ้ ความอ้างองิ จากพระคมั ภรี ,์ โวหารภาพพจน์ท่นี ิยมใช้กนั ตามธรรมเนียม, มุมมอง, และความห่วงใยกงั วลต่างๆ)
และสง่ิ ทเ่ี ป็นธรรมประเพณีของชาวครสิ ต์แต่ดงั้ เดมิ (พระวรสารนักบุญมาระโก, เอกสารแหล่ง Q) แต่ท่านไม่ไดเ้ พยี งแต่นา
อดตี มาเล่าซ้า นอกจากสง่ิ เก่าแลว้ ท่านยงั นาสงิ่ ใหม่มาใหผ้ อู้ ่านรจู้ กั โดยนาสง่ิ เก่ามานาเสนอในมุมมองแบบใหม่
และอา้ งองิ ถงึ ความเป็นเจา้ ของสง่ิ เก่านนั้ ในสถานการณ์ใหมท่ ่ีทา่ นประสบอยู่ โดยมองทุกสง่ิ ผา่ นเหตุการณ์ทพ่ี ระ
ครสิ ตไ์ ดเ้ สดจ็ มายงั โลกและการทพ่ี ระอาณาจกั รกาลงั จะมาถงึ แมแ้ ต่ลาดบั ของ “สงิ่ ใหม่ สงิ่ เก่า” ทเ่ี ป็นแบบทเ่ี รา
ไมไ่ ดค้ าดคดิ กเ็ ป็นเรอ่ื งสาคญั ดว้ ย สง่ิ ใหม่คอื กญุ แจไปสกู่ ารอา้ งองิ ความเป็นเจา้ ของสงิ่ เก่า ไมใ่ ชใ่ นทางตรงขา้ ม

ข้อคิดไตร่ตรอง
1. อุปมาเร่อื งอวนจบั ปลาและบทตคี วามหมาย(ใหม่)ทาให้แนวคดิ กลบั มาเป็นเร่อื งของการพพิ ากษาโลกท่ี

กาลงั จะมาถึง ซ่ึงเป็นประเด็นท่ีมีอิทธพิ ลต่อบทน้ีโดยรวม ลีลาการเขยี นและจดั วางเร่อื งเล่าเช่นน้ียงั
ก่อใหเ้ กดิ วงเลบ็ ทางวรรณกรรมกบั สว่ นเรมิ่ ตน้ ของบท ซง่ึ มพี ระเยซูเจา้ นงั่ อยบู่ นเรอื และฝงู ชนยนื อยู่บนฝัง่
(13:2) การตดั สนิ พพิ ากษาท่กี าลงั จะมาถงึ ได้รบั การคาดการณ์ไวล้ ่วงหน้าในฉากเหตุการณ์ท่กี ล่าวถงึ การ
จดั เรยี งและคดั แยกปลาในบทท่ี 13 ซ่งึ เป็นลกั ษณะการแยกระหว่างมนุษย์ทวั่ ไปกบั บรรดาศษิ ย์ผู้เขา้ ใจ
และผู้ตดิ ตามพระองค์ เป็นคุณค่าสาระท่ีออกผลทางจติ วญิ ญาณ ไม่ใช่เพยี งแยกออกจากกลุ่มชาวฟารสิ ี

344

และธรรมาจารยซ์ ง่ึ ต่อตา้ นพวกเขาอยตู่ ลอด (12:22-45) และแยกออกจากครอบครวั และประชาชนในบา้ นเกดิ
ของพระองคท์ ป่ี ฏเิ สธพระองคเ์ ทา่ นนั้ (12:46-50; 13:53-58, ซง่ึ เป็นกรอบใหก้ บั สว่ นเน้อื หาทเ่ี ป็นอปุ มา) แตย่ งั เป็นการแยก
ออกจากฝงู ชน “ท่เี ป็นกลาง” ท่ไี ดย้ นิ แต่ไม่ได้ลงมอื ปฏบิ ตั ิ (13:2; เทยี บกบั 7:24-27) การแบ่งแยกท่เี กดิ ขน้ึ ใน
การพพิ ากษาโลกซ่งึ ไดร้ บั การบรรยายไวใ้ นเร่อื งอุปมานัน้ เกดิ ขน้ึ ในขณะท่พี ระเยซูเจา้ ตรสั และและผูค้ น
ตอบสนองหรอื ไม่ตอบสนอง ดงั นัน้ อวนจบั ปลาหรอื คนจบั ปลาจงึ ไม่ไดห้ มายถงึ ครสิ ตจกั ร ทุ่งนาและเช้อื
แป้งทอ่ี ยู่ในอุปมาอ่นื ๆ หลงั จากนัน้ กไ็ ม่ได้ส่อื ถงึ ครสิ ตจกั รเช่นกนั ครสิ ตจกั รควรมองว่าตนสะทอ้ นอย่ใู น
ฉากเหตุการณ์ของบทน้ีในภาพรวม ไม่ใช่ในองคป์ ระกอบใดองคป์ ระกอบหน่ึง พวกเขาคอื บรรดาศษิ ย์ท่ี
ตอบสนองต่อพระวาจาของพระเยซูเจา้ และกลายเป็นชุมชนใหม่ ซง่ึ กค็ อื ครอบครวั ของพระเป็นเจา้ นนั่ เอง

(12:49)

2. ภาษาหรอื ลลี าการเขยี นเล่าเร่อื งอย่างไรคอื ภาษาเกย่ี วกบั “ชะตาทถ่ี ูกกาหนดล่วงหน้า” (Predestination
language) ในอุปมาน้ี สงิ่ ทเ่ี รารูแ้ น่นอนคอื ไม่มกี ารใชภ้ าษาลกั ษณะน้ีในพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ โดยรวม
(แต่มอี ยใู่ นงานเขยี นของคนอ่นื ในพระคมั ภรี พ์ นั ธสญั ญาใหม่ เช่น กจ. 4: 28; รม. 8: 28-30; อฟ. 1: 4-5; 1 ปต. 1: 2; วว. 13: 8) แต่ภาษา
แบบทวนิ ิยมของนักบุญมทั ธวิ แสดงใหเ้ หน็ ชดั เจนวา่ ผทู้ ต่ี อบสนองต่อพระวาจาในอุปมาเร่อื งผหู้ ว่านมลี ลี า
การเขยี นเช่นนัน้ เพราะบรรดาศษิ ย์มธี รรมชาตลิ กั ษณะหน่ึงอยู่แล้ว ส่วนผูท้ ่ีไม่ยอมตอบสนองได้แสดง
ธรรมชาตขิ องตนออกมาดว้ ยการปฏเิ สธพระวาจานนั้ ทเ่ี หน็ ไดช้ ดั เจนยง่ิ กว่ากค็ อื อุปมาเรอ่ื งวชั พชื ซง่ึ เป็น
การแสดงภาพวา่ ผทู้ ต่ี ดิ ตามพระเยซูเจา้ คอื ผลงานของพระเป็นเจา้ สว่ นผทู้ ป่ี ฏเิ สธพระองคเ์ ป็นผลงานของ
มารซาตาน แต่เราต้องเข้าใจสามส่ิงเก่ียวกับการใช้ภาษาเช่นน้ี คือ (1) มนั เป็นสิ่งท่ีขาดไม่ได้เวลาท่ี
กล่าวถงึ เร่อื งราวของพระเป็นเจา้ ในพระคมั ภรี ์ ตวั อย่างทก่ี ล่าวถงึ ไวด้ า้ นบน ซง่ึ จรงิ ๆ แลว้ มอี ย่มู ากกว่าน้ี
หลายเทา่ แสดงใหเ้ หน็ ว่าภาษาและมโนทศั น์เกย่ี วกบั ชะตาทก่ี าหนดไวล้ ่วงหน้าไมไ่ ดเ้ ป็นแค่องค์ประกอบ
เลก็ ๆ ในความเขา้ ใจเกย่ี วกบั พระเป็นเจา้ ในภาคพนั ธสญั ญาใหม่ และไม่ไดจ้ ากดั อยใู่ นงานเขยี นของคนใด
คนหน่ึง แต่อย่ใู กลช้ ดิ กบั หลกั การดา้ นเทววทิ ยากระแสหลกั ในภาคพนั ธสญั ญาใหม่ หากเราเมนิ เฉยกบั มนั
กเ็ ทา่ กบั เราเมนิ เฉยต่อสงิ่ ทส่ี าคญั และเป็นแก่นกลาง (2) ภาษาเกย่ี วกบั ชะตาทก่ี าหนดไวล้ ว่ งหน้าเป็นการ
พดู ถงึ บางสง่ิ เก่ยี วกบั พระเป็นเจา้ ไม่ใช่เป็นทฤษฎีท่แี ยกมนุษยอ์ อกเป็นสองหรอื สามระดบั มนั เป็นเร่อื ง
เทวศาสตร์เก่ยี วกบั พระเป็นเจ้า (Theology) ล้วนๆ ไม่ใช่มานุษยวทิ ยา (Anthropology) หรอื เทววทิ ยา
การศกึ ษาเก่ยี วกบั ความรอด (Soteriology) สง่ิ ท่สี าระการเขยี นน้ียนื ยนั คอื พระเป็นเจ้าทรงเป็นผู้ครอง
อานาจสงู สุด ภาษาเกย่ี วกบั ชะตาทก่ี าหนดไวล้ ่วงหน้าไม่ไดม้ ไี วเ้ พ่อื ยนื ยนั เกย่ี วกบั หน้าทห่ี รอื การละเลย
หน้าทข่ี องมนุษย์ แต่ช้ใี หเ้ หน็ ว่าพระเป็นเจา้ คอื พระผสู้ รา้ งและพระผไู้ ถ่ แต่ภาษาน้ีไม่อาจถูกนามาใชเ้ ป็น
ขอ้ อ้างให้เราหลกี เล่ยี งความรบั ผดิ ชอบต่อการกระทาของเราเอง โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในงานเขยี นของ
นกั บุญมทั ธวิ ผซู้ ง่ึ เน้นเรอ่ื งความรบั ผดิ ชอบของมนุษย์ (3) ภาษาเกย่ี วกบั ชะตาทถ่ี กู กาหนดไวล้ ่วงหน้าเป็น
ภาษาท่ีใช้กนั ภายในกลุ่มผู้เช่อื ในการกล่าวแสดงความเช่อื และสรรเสรญิ พระเป็นเจ้า ไม่ใช่ภาษาแบบ
รูปธรรมท่ีนาสถานะสภาพความเป็นจรงิ (Ontological Status) ไปใส่ให้กับระบบท่ีเป็นนามธรรม มนั
แสดงออกถงึ คาสรรเสรญิ พระเป็นเจา้ ของผเู้ ช่อื มากกว่าทจ่ี ะกล่าวอา้ งอย่างเป็นรปู ธรรมเก่ยี วกบั ผูไ้ ม่เช่อื
มนั เป็นรูปแบบหน่ึงท่ผี ูเ้ ช่อื แสดงออกว่าความรอดของพวกเขาไม่ไดเ้ กดิ จากตวั ของพวกเขาเอง แต่เป็น
การยกย่องเชดิ ชูองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ซ่งึ ถ้าเป็นเช่นน้ีเรากค็ วรจะเตมิ ขอ้ (4) ลงไปดว้ ย คอื การพูดถงึ พระ
เป็นเจา้ เชน่ นนั้ จะดที ส่ี ดุ ถา้ เป็นการกล่าวโดยการเลา่ นิทาน แทนทจ่ี ะใชข้ อ้ ความทภ่ี าษาแสดงความคดิ เหน็

345

อยา่ งออ้ มๆ (แบบทเ่ี ราใชอ้ ยนู่ ้ี) ดงั นนั้ ผทู้ เ่ี ทศน์หรอื สอนผอู้ ่นื จงึ ควรเรยี นรจู้ ากประเดน็ น้ี ควรปล่อยใหเ้ ร่อื งเล่า
หรอื นิทานส่งอิทธิพลของมนั ออกไปเองแทนท่ีจะนาทุกสิ่งมาอดั แน่นอยู่ในความเคร่งครดั ของภาษา
“อธบิ าย” ท่ที าทุกสง่ิ ใหเ้ ป็นรูปธรรม เหมอื นท่แี ฮมเลต็ เคยกล่าวไวว้ ่า “ทีน้ีจงปล่อยให้มนั ทางานของมนั
เถดิ ”
3. นกั บุญมทั ธวิ แสดงใหเ้ หน็ อย่างชดั เจนวา่ มเี พยี งศษิ ยเ์ ท่านนั้ ทจ่ี ะสามารถเขา้ ใจอุปมาไดเ้ พราะไดร้ บั กุญแจ
ไขความลบั จากพระเยซูเจา้ แต่มนั กไ็ ม่ใช่เป็นเพยี งคาตอบเชงิ แนวคดิ ของปรศิ นาเท่านนั้ ความเขา้ ใจตอ้ ง
อาศัยความเช่ือและความเช่ือฟัง (Faith and Obedience) ความหวังท่ีเห็นได้จากเร่ืองอุปมาต่างๆ
เกย่ี วกบั พระอาณาจกั รเป็นความหวงั ทเ่ี หนอื ความคาดหวงั ทงั้ ปวงสาหรบั ผทู้ ถ่ี กู ทอดทง้ิ และถกู กดขข่ี ม่ เหง
ชุมชนของนกั บุญมทั ธวิ เขา้ ใจเรอ่ื งอปุ มาเหล่าน้ี เพราะทอ้ งเรอ่ื งอุปมากลา่ วถงึ สถานการณ์ของพวกเขา ซง่ึ
มีแต่ความหวงั ท่ีเป็นของประทานจากพระเป็นเจ้าเท่านัน้ ในยุคสมยั ปัจจุบันท่ีศาสนาครสิ ต์ท่ีอยู่ใน
วฒั นธรรมอนั รุ่งเรอื ง เราจะสามารถเขา้ ใจสง่ิ น้ีได้ กต็ ่อเม่อื เป็นน้าหน่ึงใจเดยี วกนั กบั ผทู้ เ่ี ขา้ ใจความหมาย
ของคาว่าความหวงั ผู้ท่มี องเหน็ ขดี จากดั ในพลงั อานาจของตนเอง เหมือนท่ยี ูรคิ ลูซ (Ulrich Luz) เคย
กล่าวไว้ ซง่ึ สรุปไดว้ า่ “ในหอ้ งนงั่ เล่นหรหู รา เราไม่อาจเขา้ ใจความหวงั เกย่ี วกบั พระอาณาจกั รของพระเจา้
บนโซฟาแสนสบาย เราไม่อาจเข้าใจความหวงั เก่ียวกบั พระอาณาจกั รของพระเป็นเจ้า การวเิ คราะห์
ตคี วามทางภาษาเพยี งอย่างเดยี ว กไ็ ม่อาจทาให้เราเขา้ ใจความหวงั เก่ยี วกบั พระอาณาจกั รของพระเป็น
เจา้ ได”้

มทั ธวิ 13:53 – 17:27 การกอ่ ตวั ของชมุ ชนใหมก่ บั ความขดั แยง้ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ไดด้ าเนนิ ไปอยา่ งตอ่ เน่ือง

ภาพรวม
หลงั จากจบเน้ือหาส่วนท่เี ป็นเร่อื งอุปมา บทบรรยายเร่อื งตอนใหม่ไดเ้ รมิ่ ตน้ ขน้ึ และครอบคลุมไปจนถงึ

บทวาทกรรมหลกั ตอนต่อไป (18:1-35 ดูบทนา) นอกจาก 16:21 แล้ว ไม่มกี ารแบ่งโครงสร้างทช่ี ดั เจนในตอนน้ี นัก
บุญมทั ธวิ ใชล้ าดบั เน้ือหาตามพระวรสารนกั บุญมาระโก ทกุ เรอ่ื งเล่าสนั้ ๆ ในตอนน้ยี ดึ ตามพระวรสารนกั บุญมาระ
โกทงั้ หมด ยกเวน้ ตอนสรุปจบ คอื 17:24-27 อย่างไรก็ตาม ไม่ไดห้ มายความว่าการจดั เรยี งเร่อื งราวในแต่ละ
เหตุการณ์จะเป็นการทาตามอาเภอใจ เพราะในพระวรสารนักบุญมาระโกมตี รรกะในการบรรยายเร่อื งอยแู่ ลว้ ซง่ึ
นกั บุญมทั ธวิ รบั มาใชใ้ นพระวรสารของตน เรอ่ื งเล่าจงึ ดาเนินไปตามลาดบั เชน่ นนั้ ความเป็นศษิ ยพ์ ฒั นาลกึ ซง้ึ ขน้ึ
กระแสต่อตา้ นกร็ ุนแรงข้นึ ดว้ ยเช่นกนั ฝงู ชนยงั คงไดร้ บั การกระตุน้ จากพระเยซูเจา้ แต่พวกเขาไม่ไดป้ ฏเิ สธและ
ไม่ไดเ้ ขา้ มาเป็นศษิ ย์ การเผชญิ หน้ากบั อสิ ราเอลยงั คงดาเนินต่อไปจนถงึ 16:12 บทสนทนาระหว่างพระเยซูเจา้
และบรรดาศษิ ย/์ เปโตร ท่ี 16:13-20 ก่อตวั เป็นจุดสาคญั ของเรอ่ื ง โดยมคี าประกาศของผู้บรรยาย (16:21) บอกถงึ
จุดพลกิ ผนั สาคญั ในตอนน้ี นับตงั้ แต่ 16:21 เป็นต้นไป พระเยซูเจ้าทรงหนั มาใส่ใจกบั การสอนบรรดาศษิ ย์ถงึ
จุดหมายปลายทางของพระองคแ์ ละความหมายทส่ี งิ่ นนั้ จะมตี อ่ ชมุ ชนทก่ี าลงั กอ่ ตวั ขน้ึ ใหม่

346

มทั ธวิ 13:53-16:12 การต่อตา้ นจากชมุ ชนเดมิ

มทั ธวิ 13:53-58 พระเยซูเจา้ ทรงถกู ปฏเิ สธทน่ี าซาเรธ็

V. พระศาสนจกั รเป็นผลแรกแห่งอาณาจกั รสวรรค์
ก. เรอ่ื งเลา่
พระเยซูเจา้ เสดจ็ เย่ียมเมืองนาซาเรธ็

53 เม่อื พระเยซูเจา้ ตรสั เรอ่ื งอุปมาเหล่าน้ีจบแลว้ พระองค์เสดจ็ ออกจากทน่ี ัน่ 54 มายงั ถน่ิ กาเนิดของพระองค1์ 4 ทรงสงั ่ สอนใน
ศาลาธรรมของชาวยวิ ประชาชนต่างประหลาดใจและพดู ว่า “คนน้ีเอาปรชี าญาณและอานาจทาอศั จรรยม์ าจากทใ่ี ด 55 เขาเป็นลูก
ช่างไมม้ ใิ ช่หรอื แม่ของเขาช่อื มารยี ์ พช่ี ายน้องชายของเขามใิ ช่ยากอบ โยเซฟ ซโี มน และยดู าหรอื 56 พส่ี าวน้องสาวทุกคนของ
เขากอ็ ยกู่ บั เรามใิ ชห่ รอื เขาไปไดส้ งิ่ เหล่าน้ีมาจากทใ่ี ด” 57 คนเหลา่ น้ีรสู้ กึ สะดุดใจและไมย่ อมรบั พระองค์ พระเยซูเจา้ จงึ ตรสั กบั เขา
วา่ “ประกาศกยอ่ มไมถ่ ูกเหยยี ดหยามนอกจากในถนิ่ กาเนิดและในบา้ นของตน” 58 พระองคท์ รงทาอศั จรรยท์ น่ี นั่ ไม่มากนัก เพราะ
เขาเหลา่ นนั้ ไมม่ คี วามเชอ่ื

ข้อศกึ ษาวิพากษ์
ใน 13:53 พระเยซูเจา้ ทรงกลบั มาเทศนาสงั่ สอนอกี ครงั้ “ความใจแขง็ ” (Hardening) ของฝงู ชนทเ่ี ขา้ ใจ

พระองค์ผดิ ในบทท่แี ล้วไม่ได้ทาให้พระองค์ท้อถอยจากการดาเนินพนั ธกจิ ต่อสาธารณชนชาวยวิ พระองค์ไม่
ทอดทง้ิ พวกเขา ยงั ทรงเทศนาสงั่ สอนและรกั ษาคนป่วยต่อไป น่ีเป็นอกี จุดหน่ึงทช่ี ้ีใหเ้ หน็ วา่ วาทกรรมสว่ นทเ่ี ป็น
เร่อื งอุปมาสะท้อนถงึ ประสบการณ์ของครสิ ตจกั รในสมยั ของนักบุญมทั ธวิ มากกว่าท่จี ะเป็นบทบรรยายท่ไี ด้รบั
การวางโครงเร่อื งไวใ้ นระดบั ของเรอ่ื งเล่า บรรดาศษิ ยท์ ป่ี รากฏอย่อู ยา่ งแน่นอนในฉากน้ีไม่มบี ทบาทใดๆ และไม่
มกี ารกล่าวถงึ อกี จนกระทงั่ 14:15

นักบุญมทั ธวิ ดาเนินเร่อื งต่อไปตามลาดบั เร่อื งราวในพระวรสารนักบุญมาระโก เน่ืองจากท่านเคยใช้
เร่อื งราวปาฏหิ ารยิ ์จากพระวรสารนักบุญมาระโกมาก่อนใน 4:35-5:43 ท่านจงึ ไม่ไดน้ ามากล่าวถงึ อกี ในตอนน้ี
ทาให้ 13:53-58 ก่อตวั เป็นวงเลบ็ ทางวรรณกรรมค่กู บั 12:46-50 การทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงถูกปฏเิ สธจากครอบครวั
และผคู้ นในบา้ นเกดิ ของพระองค์ เป็นวงเลบ็ ทล่ี อ้ มวาทกรรมส่วนทเ่ี ป็นเร่อื งอปุ มาเกย่ี วกบั การพพิ ากษาโลก นกั
บุญมทั ธิวใช้ถ้อยคาท่ีบอกเล่าเร่อื งราวน้ีในแบบท่ีใกล้เคียงกบั มก. 6:1-6 มาก แต่เน้นให้ความสมั พนั ธ์ทาง
ครอบครวั โดดเดน่ ขน้ึ กว่าเดิม ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั 12:46-50 ท่านทาเชน่ น้ีดว้ ยการกระชบั โครงสรา้ งแน่นขน้ึ เพ่อื ให้
เหน็ ความไขวป้ ระสานอยา่ งชดั เจนและทาใหส้ ว่ นแก่นกลางมคี วามเป็นตรลี กั ษณ์ คาวา่ “บา้ นเกดิ ” (“Hometown”
ว. 54) และ “ถน่ิ กาเนิด” (“Own Country” ว. 57) เป็นคาท่มี คี วามหมายเดยี วกนั ในภาษากรกี ส่วนคาถามท่เี ป็น
บทสรปุ ในวรรค 56ข กเ็ หมอื นกบั คาถามในประโยคเรม่ิ ตน้ ใน ว. 54ข ผลลพั ธก์ ค็ อื การไขวป้ ระสานแบบตรลี กั ษณ์
อยา่ งงดงาม

347

ก. “บา้ นเกดิ ” (patri”v patris) วรรค 54ก A “hometown” (patri"v patris) v. 54a

ข. “ชายผนู้ ้ไี ดร้ บั ....จากทไี่ หน?” B “Where did this man get . . ?”

(po”qen tou”tw/ pothen touto) วรรค 54 (po"qen tou"tw/ pothen touto) v. 54

มใิ ชห่ รอื ? “Is not . . ?” (oujc ouch) v. 55a

ค. “.มใิ ชห่ รอื ?” (oujc ouch) วรรค 55ข C “Is not . . ?” (oujc ouch) v. 55b

“.มใิ ชห่ รอื ?” วรรค 56 “Are not . . ?” (oujci" ouchi) v. 56

ข. “ชายผนู้ ้ไี ดร้ บั ....จากทไี่ หน?” B´ “Where did this man get . . ?”

(po”qen tou”tw/ pothen touto) วรรค 56ข (po"qen tou"tw/ pothen touto) v. 56b

ก. “ถนิ่ กาเนิด” (patri”v patris) วรรค 57 A´ “own country” (patri"v patris) v. 57

ลกั ษณะเฉพาะของครอบครวั พระเยซูเจ้ามีความสาคญั ต่อความเข้าใจของพระวรสารนักบุญมทั ธิว

เก่ยี วกบั ชุมชนใหม่ท่กี าลงั ก่อตวั ขน้ึ แต่ผูค้ นในบ้านเกดิ ของพระองค์ไม่เขา้ ใจ การท่พี วกเขา “ถอื โกรธ” (Take

Offense) พระองค์ ไดร้ บั การแปลเป็นภาษากรกี ว่า “Skandalizo” ซง่ึ ในพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ คาน้ีสอ่ื ถงึ ความ

ผดิ พลาดทางเทววทิ ยาและศาสนา โดยมคี วามหมายถงึ สงิ่ ทล่ี กึ กวา่ ความขนุ่ เคอื งหรอื น้อยใจเป็นการสว่ นตวั

13:54 ทงั้ พระวรสารนักบุญมาระโกและพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ต่างไม่เอ่ยถงึ ช่อื ของบ้านเกดิ ของพระ

เยซูเจ้า แต่การอ้างองิ ถงึ ครอบครวั ของพระเยซูเจ้า ซ่งึ เราคุ้นเคยกนั ดเี ป็นการบ่งช้วี ่าท่นี ัน่ น่าจะเป็นนาซาเรธ็

เมอื งทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงเจรญิ วยั เตบิ โตขน้ึ มา (2:22; เทยี บ 21:11; 26:71) มากกว่าเมอื งคาเปอรน์ าอมุ ซง่ึ เป็นศูนยก์ ลาง

ในการทาพนั ธกจิ ของพระองค์ (4:12-16; ดู เทยี บ 9:1)

คาถามเก่ยี วกบั ต้นกาเนิดของพระราชอานาจของพระเยซูเจ้าเป็นคาถามท่ไี ม่ไดค้ าดหวงั คาตอบ และ

ไมใ่ ชเ่ ป็นการบอกขอ้ มลู แต่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าถงึ 21: 23-27 และมองยอ้ นกลบั ไปท่ี 12:22-37 คาถามน้ี

เก่ียวข้องกบั การสอนอนั ทรงอานาจของพระเยซูเจ้า (“ปรชี าญาณ”) และพระราชกิจอนั ยงิ่ ใหญ่ของพระองค์ ซ่ึง

สอดคลอ้ งกบั “ถอ้ ยคาและการกระทาของพระเมสสยิ าห”์ ในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ บทท่ี 5-7 และ 8-9 (ดู บทนา

และขอ้ ศกึ ษาวพิ ากษ์ เก่ยี วกบั 4:23-5:2) ผูค้ นในศาลาธรรมไม่สงสยั ในการพูดและการกระทาอนั ทรงอานาจของพระเยซู

เจา้ แต่ปัญหาอย่ทู ว่ี ่าอานาจนนั้ พระองคไ์ ดม้ าจากทใ่ี ด เหมอื นกบั ในกรณีของชาวฟารสิ ใี น 12:22-37 ประชาชน

ในบ้านเกดิ ของพระเยซูเจา้ เขา้ ขา้ งฝ่ ายต่อต้าน ดงั นัน้ ครอบครวั ของพระเยซูเจ้าจงึ เกดิ จากพ้นื ฐานอ่นื มากกว่า

ความสมั พนั ธท์ างกายภาพ

13:55-56 นักบุญมทั ธวิ อาจเปลย่ี นจากคาว่า “ช่างไม”้ ในเน้ือหาจากพระวรสารนักบุญมาระโกเป็น “ลูก

ชายของช่างไม”้ เพราะมนั สาคญั ทจ่ี ะตอ้ งนาเสนอพระเยซูเจา้ ในฐานะบุตรของดาวดิ ผู้ทรงถูกนาไปร่วมกบั สาย

ตระกลู ทส่ี บื ทอดจากกษตั รยิ ด์ าวดิ โดยมโี ยเซฟเป็นพอ่ ทถ่ี ูกตอ้ งตามกฎหมาย (เทยี บ 1:2-25) นอกจากน้ียงั เป็นการ

เลย่ี งทจ่ี ะใชค้ าว่า “ช่างไม”้ และ “บุตรของมารยี ”์ ตามแบบพระวรสารนกั บุญมาระโกเพราะทงั้ สองคาอาจเป็นการ

ไม่ใหเ้ กยี รตพิ ระองค์ (ดู ยน. 8:41) ไม่มสี งิ่ ใดในเน้ือหาของพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ท่จี ะระบุว่าพน่ี ้องชายหญงิ ของ

พระเยซูเจา้ จะเป็นใครอ่นื นอกจากลูกๆ คนอ่นื ของมารยี แ์ ละโยเซฟ ซ่งึ มุมมองน้ีไดร้ บั การสนับสนุนจากแตรท์ ู

เลยี น (Tertullian) ในช่วงปลายศตวรรษทส่ี อง โดยเขาไม่เหน็ วา่ เป็นมุมมองนอกรตี แต่อยา่ งใด แต่หลกั คาสอนท่ี

เกดิ ขน้ึ ภายหลงั เกย่ี วกบั ความเป็นพรหมจรรยต์ ลอดชวี ติ ของพระนางมารียก์ ่อใหเ้ กดิ คาอธบิ ายแบบอ่นื โดยมอง

ว่าพวกเขาเป็นพ่นี ้องบุญธรรม หรอื เป็นลูกๆ ของโยเซฟท่เี กดิ จากการแต่งงานครงั้ ก่อนของเขา ซ่งึ แนวคดิ น้ี

ไดร้ บั การสนบั สนุนในปลายศตวรรษทส่ี องหรอื ตน้ ศตวรรษทส่ี ามโดยหนงั สอื พระวรสาร(ประกาศปฐมขา่ วด)ี ของ

348

นกั บุญยากอบ (Protevangelium of James) ต่อมาไดก้ ลายเป็นมุมมองทม่ี อี ทิ ธพิ ลมากทส่ี ุดในศาสนาครสิ ตก์ รกี
ออร์โธดอกซ์ และได้รับการสนับสนุนจากบางกลุ่มในพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก เช่น เอพิฟานิอุส
(Epiphanius) ในศตวรรษทส่ี ่ี นักบุญเยโรม ในศตวรรษทห่ี า้ คอื ผทู้ เ่ี รมิ่ ขอ้ โต้แยง้ ว่าพวกเขาคอื ลูกพล่ี ูกน้องของ
พระเยซูเจ้า ไม่ใช่ลูกของมารีย์และโยเซฟ ซ่ึงต่อมามุมมองน้ีก็กลายเป็ นมุมมองหลักของพระศาสนจักร
โรมนั คาทอลกิ แต่นกั บญุ มทั ธวิ ไมไ่ ดป้ ระสบปัญหาใดๆ กบั ปัญหาดา้ นหลกั การทเ่ี กดิ ขน้ึ ในภายหลงั น้ี

13:57 ถงึ แม้ “ประกาศก” จะไมใ่ ชห่ มวดหมทู่ างครสิ ตศาสตรท์ ส่ี าคญั สาหรบั นกั บุญมทั ธวิ นกั แต่พระเยซู
เจา้ ในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ มองว่าพระองคเ์ องเป็นหน่ึงในประกาศกแทจ้ รงิ ของชนชาตอิ สิ ราเอล (ดู เทยี บ 17:5;

21:11, 26, 46; 23:37)

13:58 เช่นเดยี วกบั ท่นี ักบุญมทั ธวิ ไดน้ า 4:12 มาเขยี นใหม่ใน 13:10-17 โดยทาใหผ้ เู้ ช่อื เป็นสาเหตุของ
การกระทาของพระองค์ แทนทจ่ี ะเป็นผลลพั ธ์ ในทน่ี ้ีนกั บุญมทั ธวิ ไดน้ าพระวรสารนกั บุญมาระโกมาเขยี นขน้ึ ใหม่
เพ่ือ ห ลีก เล่ีย งก ารน าเส น อ ว่าพ ระเย ซู เจ้า ไม่ อ าจ ท าป าฏิห าริย์ท่ีน าซ าเร็ธ ได้ม าก นั ก เพ ราะพ ระอ งค์ข าด
ความสามารถ (ดู บทเสรมิ เร่อื ง “การตคี วามเร่อื งราวปาฏหิ ารยิ ใ์ นพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ”) เม่อื นักบุญมทั ธวิ เตมิ ขอ้ กล่าวหาของ
การไม่เชอ่ื (Unbelief) ลงในเรอ่ื งราวจากพระวรสารนกั บุญมาระโก ไดท้ าใหส้ าระเน้ือหาตอนน้ีมคี วามหมายทล่ี กึ
และเหนือกว่าระดบั ของเร่อื งเล่า คนในตาบลบ้านเกดิ ของพระองค์ไม่เพยี งแต่สงสยั ในความสามารถในการทา
ปาฏิหาริย์ของพระองค์ แต่ความไม่เช่ือของพวกเขายังทาให้พวกเขาถูกจดั อยู่ในกลุ่มของ ผู้ท่ีปฏิเสธพระ
อาณาจกั รของพระเป็นเจา้ ทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงเป็นตวั แทน เน่ืองจากในการต่อสรู้ ะดบั จกั รวาลครงั้ น้ีมเี พยี งสองฝ่าย
(12:30) พวกเขาจงึ เขา้ รว่ มกบั ฝ่ายตรงขา้ ม

หลงั จากถูกปฏเิ สธในธรรมศาลา “ของพวกเขา” (ดู เทยี บ 4:23) ทน่ี าซาเรธ็ พระเยซูเจา้ ไมเ่ สดจ็ กลบั ไปทน่ี ัน่
อกี และพระองคไ์ ม่ไดเ้ สดจ็ เขา้ ไปในศาลาธรรมอกี เลย

349

350


Click to View FlipBook Version