The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตรวจงานแปลมัทธิว 7

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by P. Tads, 2021-06-05 00:29:58

9. มธ 7: 1-12

ตรวจงานแปลมัทธิว 7

มธ 7: 1-12 มาตรฐานใหม่

อยา่ ตดั สินผอู้ ื่น
1 “อยา่ ตดั สนิ เขา และท่านจะไมถ่ กู พระเจา้ ตดั สนิ 2 ทา่ นตดั สนิ เขาอยา่ งไร พระเจา้ จะทรงตดั สนิ ทา่ นอยา่ งนนั้ ท่านใชท้ ะนาน

ใดตวงใหเ้ ขา พระเจา้ จะทรงใชท้ ะนานนนั้ ตวงใหท้ ่าน 3 ทาไมท่านจงึ มองดเู ศษฟางในดวงตาของพน่ี ้อง แตไ่ มส่ งั เกตเหน็ ทอ่ นซุง
ในดวงตาของตนเลย 4 ท่านจะกล่าวแก่พน่ี ้องไดอ้ ยา่ งไรวา่ ‘ปล่อยใหฉ้ นั เขย่ี เศษฟางออกจากดวงตาของทา่ นเถดิ ’ ขณะทม่ี ที ่อน
ซุงอยใู่ นดวงตาของทา่ น 5 เจา้ คนหน้าซอ่ื ใจคดเอ๋ย จงเอาทอ่ นซุงออกจากดวงตาของเจา้ กอ่ นเถดิ แลว้ จะไดเ้ หน็ ชดั กอ่ นไปเขย่ี
เศษฟางออกจากดวงตาของพน่ี ้อง
อยา่ เหยียดหยามสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิ

6 “อยา่ ใหข้ องศกั ดสิ์ ทิ ธ2ิ์ แก่สนุ ขั อยา่ โยนไขม่ กุ ใหส้ ุกรเพราะมนั จะเหยยี บย่าทาใหเ้ สยี ของ และหนั มากดั ทา่ นอกี ดว้ ย”
คาภาวนาที่ได้ผล

7 “จงขอเถดิ แลว้ ท่านจะไดร้ บั จงแสวงหาเถดิ แลว้ ท่านจะพบ จงเคาะประตเู ถดิ แลว้ เขาจะเปิดประตรู บั ท่าน”
8 “เพราะคนทข่ี อยอ่ มไดร้ บั คนทแ่ี สวงหายอ่ มพบ คนทเ่ี คาะประตยู อ่ มมผี มู้ าเปิดให้ 9 ทา่ นใดทล่ี กู ขออาหาร จะใหก้ อ้ นหนิ
หรอื 10 ถา้ ลกู ขอปลา จะใหง้ หู รอื 11 แมแ้ ต่ทา่ นทงั้ หลายทเ่ี ป็นคนชวั่ ยงั รจู้ กั ใหข้ องดๆี แก่ลกู แลว้ พระบดิ าของท่านผสู้ ถติ ใน
สวรรคจ์ ะไมป่ ระทานของดๆี แก่ผทู้ ท่ี ลู ขอพระองคม์ ากกวา่ นนั้ หรอื ”
กฎปฏิบตั ิ
12 “ทา่ นอยากใหเ้ ขาทากบั ท่านอยา่ งไร กจ็ งทากบั เขาอยา่ งนนั้ เถดิ น่ีคอื ธรรมบญั ญตั แิ ละคาสอนของบรรดาประกาศก”

ข้อศึกษาวิพากษ์
7:1-5 การตดั สนิ คาสงั่ เก่ยี วกบั ความสมั พนั ธต์ ่างๆ ของมนุษยย์ งั คงดาเนินไปอย่างต่อเน่ือง แต่เปลย่ี น

จากความสมั พนั ธ์กบั ทรพั ย์สงิ่ ของไปเป็นความสมั พนั ธ์ระหว่างผู้คน โดยเฉพาะสมาชิกในสงั คมชาวครสิ ต์
ขอ้ ความน้ีมสี ่วนประกอบสองอย่าง คอื คาสงั่ ห้ามเด็ดขาดของพระเยซูเจ้าเก่ียวกบั การตดั สนิ (ว. 1[-2]) ในรูป
พหูพจน์ และคุณสมบตั ทิ ท่ี าใหร้ วู้ ่าการตดั สนิ นัน้ ตอ้ งมอี ยู่ ในรปู เอกพจน์ ซ่งึ กระตุ้นใหร้ ะมดั ระวงั และมที ศั นคติ
แหง่ ความรกั และการไม่ตดั สนิ ผอู้ ่นื (ว. [2-]3-5) โครงสรา้ งและหน้าทม่ี คี วามคลา้ ยคลงึ กบั การใชถ้ อ้ ยคาขดั แยง้ กนั ท่ี
ทาให้คาสัง่ ของพระเยซูเจ้าเป็ นการเปล่ียนแปลงในระดับฐานราก เสริมด้วยคุณสมบัติด้านสถานการณ์
(Situational Qualifications) (ดู 5:21-48) ขอ้ หา้ มโดยเดด็ ขาด (ว. 1) อาจจะมาจากพระเยซูเจา้ ขณะทค่ี ุณสมบตั เิ สรมิ

191

(ว. 2-5) เป็นการตคี วามของครสิ ตจกั รยุคหลงั การกลบั คนื พระชนมช์ พี โดยการนาคากล่าวดงั้ เดมิ ของพระเยซูเจา้
มาใส่ในบรบิ ทน้ีหรอื โดยการขยายความระดบั รองลงมา (Secondary Expansion) เน้ือหาสว่ นทเ่ี ป็นคาสอนเชงิ
ปรชี าญาณในสว่ นทส่ี องไดร้ บั การตคี วามใสไ่ วใ้ นขอ้ เรยี กรอ้ งเชงิ พยากรณ์แห่งอนั ตกาลในสว่ นแรก ฉะนนั้ คาสอน
น้จี งึ ไม่ใชค่ าแนะนาเพอ่ื ชวี ติ อกี ต่อไป แต่เป็นคาสงั่ สอนทบ่ี รรดาศษิ ยจ์ ะตอ้ งนาไปปฏบิ ตั ใิ นชวี ติ ในความสวา่ งแหง่
กาลเวลารุ่งอรุณแห่งอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ คาว่า “พน่ี ้อง” (ajdelfo"v adelphos) มกี ล่าวซ้าถงึ สามครงั้ และมี
ประกอบใน ว. 3-5 ช้ีให้เห็นว่าคาพูดดงั้ เดิมได้เน้นย้าถึงความสมั พนั ธ์ในหมู่ชาวครสิ ต์ ซ่ึงคอื ศิษย์ทงั้ หลาย
เน่ืองจากคาเทศนาเจาะจงไปท่ีบรรดาศษิ ย์ แต่ประชาชนสามารถ “ไดย้ นิ ดว้ ย” ดงั น้ี ทศั นคตทิ ม่ี กี ารพร่าสอนใน
ทน่ี ้ไี มจ่ ากดั เฉพาะความสมั พนั ธใ์ นชุมชนชาวครสิ ตเ์ ทา่ นนั้ แตห่ มายความถงึ มนุษยท์ ุกคน

7.1 ถงึ แมธ้ รรมประเพณีของชาวยวิ ประกอบดว้ ยคาสอนเร่อื งความพอเพยี ง อดทนและเมตตาปราณี แต่
ข้อห้ามโดยเด็ดขาดเร่อื งการตัดสินผู้อ่ืนไม่มีข้อความคู่ขนาน คาภาษากรกี “krino” kri"nw (krino) แปลว่า
“ตดั สนิ ” ทงั้ ในภาษากรกี และองั กฤษ เป็นคาทวั่ ไปทค่ี วามหมายกวา้ งๆ ตงั้ แต่การตดั สนิ เร่อื งความงามจนถงึ การ
ตดั สนิ ความในศาล ในวรรคน้ีอาจหมายถงึ “การวพิ ากษ์วจิ ารณ์” หรอื “กล่าวโทษ” คาสงั่ หา้ มดงั้ เดมิ ของพระเยซู
เจ้าเป็นความเด็ดขาด แสดงถึงความเช่ือในแสงสว่างของพระอาณาจกั รพระเป็นเจ้าท่ีกาลงั เรม่ิ ข้นึ และการ
พพิ ากษาครงั้ สุดท้ายท่กี าลงั จะมาถงึ ในท่นี ้ี เช่นเดยี วกบั ส่วนอ่นื ๆ คาสอนของพระเยซูเจ้าไม่ใช่กลยุทธ์เพ่อื
ความสาเร็จในความสมั พนั ธ์ต่างๆ ท่ีเป็นของโลกน้ี แต่เป็นการเรยี กให้ดาเนินชีวิตอยู่ในแสงสว่างของพระ
อาณาจกั รทก่ี าลงั เรม่ิ ตน้ ขน้ึ

7:2-5 คอื การเรม่ิ ต้นของคุณสมบตั ิต่างๆ ท่ียงั คงรกั ษาเจตนารมณ์ดงั้ เดิมของพระเยซูเจ้า แต่มกี าร
ปรบั เปล่ยี นใหเ้ ขา้ กบั สภาพของโลกท่ีกาลงั ดาเนินไป ว. 2 สนั นิษฐานว่าการตดั สนิ จะเกดิ ขน้ึ จรงิ (แต่เป็นการ
วนิ ิจฉัยแยกกลุ่ม ไม่ใช่การพพิ ากษาลงโทษเสมอไป) แต่สง่ิ ท่พี วกเขาใส่ใจคอื การตดั สนิ นัน้ จะเกดิ ข้นึ อย่างไร
เพราะในการพพิ ากษาครงั้ สุดทา้ ย พระเป็นเจา้ จะวดั (พจิ ารณา)เราดว้ ยมาตรฐานเดยี วกบั ทเ่ี ราใชว้ ดั ผอู้ ่นื ดงั นนั้ ผทู้ ่ี
เมตตาตอ่ ผอู้ น่ื กจ็ ะไดร้ บั ความเมตตาดว้ ย (5:7 สอดคลอ้ งกบั 18:21-35) ภาพพจน์เปรยี บเทยี บอนั อปั ลกั ษณ์ของผทู้ ช่ี อบ
ตดั สนิ ผอู้ ่นื คอื ผทู้ พ่ี รอ้ มจะขจดั ฝ่นุ ผงออกจากตาของสมาชกิ คนอ่นื ในชุมชน แต่กลบั มที อ่ นซุงหอ้ ยออกมาจากตา
ของตนเอง เน้นยา้ ใหเ้ หน็ วา่ บรรดาศษิ ยจ์ ะลงั เลเพยี งใดในการระบุและขจดั ความผดิ ของผอู้ ่นื แต่กระนนั้ ว. 5 ซง่ึ
เป็นขอ้ สรุปแสดงใหเ้ หน็ วา่ นกั บญุ มทั ธวิ เชอ่ื วา่ ภายในชมุ ชนมบี างโอกาสทก่ี ารแยกแยะความถูกผดิ ทางจรยิ ธรรม
และการรกั ษาวนิ ัยของชุมชนคอื สง่ิ จาเป็น (ดู 7:15-20; 18:15-20) แต่การทาเช่นนัน้ จะตอ้ งกระทาโดยผทู้ ต่ี ระหนักถงึ
ความลม้ เหลวของตนเอง(ทเ่ี คยกระทา)และการใหอ้ ภยั ของพระเป็นเจา้

7:6 ไขม่ ุกตรงหน้าสุกร คากล่าวทย่ี ากจะเขา้ ใจน้ีบางครงั้ ถูกมองว่าเป็นสว่ นต่อเน่ืองเร่อื งคุณสมบตั แิ ห่ง
คาสงั่ อนั เดด็ ขาดของพระเยซูเจา้ เก่ยี วกบั การหา้ มตดั สนิ โดยส่อื ว่าอย่างน้อยศษิ ย์จะตอ้ งตดั สนิ ใจ (หรอื ตดั สนิ )
ว่าใครเป็น “สุนัข” และ “สุกร” คากล่าวน้ีไม่ได้อยู่ในกลุ่มเดยี วกนั กบั ว. 2-5 เน่ืองจากมนั เป็นการเรม่ิ ต้นหวั ขอ้
ใหม่ คอื ความศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ (Holiness) ว. 2-5 พูดถึงบาปของสมาชกิ ในชุมชนท่อี าจทาผดิ พลาดได้ ซ่ึง ว. 5 คอื
ขอ้ สรุปในเรอ่ื งน้ี สว่ น ว. 6 เป็นการเรมิ่ หวั ขอ้ ใหมโ่ ดยใชส้ ตู รเดมิ แบบทเ่ี คยใชใ้ น 6:19, 25; 7:1

แมว้ ่าจะมคี ากล่าวท่คี ล้ายคลงึ กนั ในงานเขยี นของคนต่างศาสนา แต่คากล่าวน้ีไม่มขี อ้ ความคู่ขนานใน
พระคมั ภรี พ์ นั ธสญั ญาใหม่เลย “ของศกั ดสิ ์ ทิ ธ”ิ ์ (What Is Holy) ไม่ใช่ถ้อยคาทางจรยิ ธรรม แต่เป็นความหมาย
ทางพระคมั ภรี ส์ ่อื ถงึ เน้ือท่ถี วายเป็นพลบี ูชาบนพระแท่น (อพย. 29:37; ลนต. 2:3) สาหรบั พระคมั ภรี พ์ นั ธสญั ญาเดมิ

192

และศาสนายูดาย “สุกร” คอื ตวั อย่างของความมมี ลทนิ ทางศาสนา (Ritual Impurity) “สุนัข” ไม่ใช่สตั ว์เล้ยี ง แต่
เป็นสตั วเ์ ร่ร่อนกง่ึ สตั วป์ ่าทอ่ี นั ตรายเหมอื นกบั สุนัขป่าใน 7:15 คากล่าวน้ีวางโครงสรา้ งแบบไขวป้ ระสานกนั คอื
สนุ ขั จะฉีกใหก้ ลายเป็นชน้ิ ๆ และสกุ รจะเหยยี บย่าไขม่ ุกในโคลนตม ดงั นนั้ ความหมายในเชงิ สภุ าษติ โดยทวั่ ไปจงึ
ชดั เจนเพยี งพอ คอื ความจรงิ ทเ่ี ถยี งไมไ่ ดว้ า่ สง่ิ ทศ่ี กั ดสิ ์ ทิ ธไิ ์ มค่ วรถูกดหู มน่ิ แต่ความหมายทเ่ี จาะจงของคากล่าวน้ี
ยงั คงไม่ชดั เจนนัก เปิดโอกาสให้มกี ารตีความแบบอุปมานิทศั น์หรอื นิทานเปรยี บเทียบอย่างหลากหลายใน
ประวตั ศิ าสตรท์ ผ่ี ่านมาของพระศาสนจกั ร (“สนุ ขั ” และ “สกุ ร” สอ่ื ถงึ คนนอกศาสนา หรอื คนนอกรตี หรอื ผลู้ ะทง้ิ ศาสนา) แต่ไม่ใชว่ ่า
“สนุ ขั ” เป็นคากล่าวทช่ี าวยวิ นิยมใชส้ อ่ื ถงึ คนตา่ งศาสนา ในหนงั สอื คาสอนดดี าเค (Dedache) ซง่ึ อยหู่ ลงั สมยั ของ
นักบุญมทั ธวิ เพยี งไม่ก่ปี ี มกี ารเขา้ ใจคากล่าวน้ีว่าผูท้ ย่ี งั ไม่ได้รบั ศลี ล้างบาปไม่ควรได้รบั อนุญาตใหร้ บั แผ่นศลี
มหาสนิท (ดดี าเค 9:5) แต่คากล่าวน้ีเป็นอุปลกั ษณ์เปรยี บเทยี บ (Metaphor) อยา่ งเหน็ ไดช้ ดั ไมใ่ ชอ่ ุปมานิทศั น์หรอื
นิทานเปรยี บเทยี บ (Allegory) ทต่ี อ้ งถอดรหสั ตคี วาม ดงั นนั้ การแสดงความเหน็ ว่าคากล่าวน้ีไมไ่ ดห้ มายถงึ อะไร
จงึ งา่ ยกว่าการพยายามอธบิ ายความหมายอยา่ งละเอยี ด ในกรณีน้ีเราควรยอมรบั ว่า มนั เป็นคากล่าวทค่ี ลุมเครอื
แบบทก่ี ระตุน้ ใหเ้ ราคดิ ทงั้ ในบรบิ ทดงั้ เดมิ (หากวา่ มาจากพระเยซูเจา้ ) และในบรบิ ทของนกั บุญมทั ธวิ

7:7-11 การวอนขอและการรบั นักบุญมทั ธวิ ได้ทาให้บทภาวนาขา้ แต่พระบดิ าเป็นศูนย์กลางของบท
เทศน์สอนในภาพองค์รวมทงั้ หมด และเม่อื ท่านเสร็จส้นิ การสอนบบญั ญัติทงั้ หมดท่ีบอกว่าศษิ ย์ต้องใช้ชีวติ
อยา่ งไรดี ทา่ นเพม่ิ ขอ้ ความทส่ี นบั สนุนใหส้ วดภาวนาลงไปดว้ ย การทน่ี กั บุญมทั ธวิ เน้นความสาคญั ของ “กจิ การ
ท่ีเราทา” (Works) ไม่ควรถูกนาไปตีความในทศั นะแบบนักบุญเปาโลว่าเป็นลกั ษณะการแสดงออกถึงความ
(ภาคภูมใิ จ)หยงิ่ ยโสของมนุษย์ ทต่ี รงขา้ มกบั การพง่ึ พาพระเป็นเจา้ แต่เป็นการแสดงออกถงึ พนั ธะทเ่ี รามตี ่อชวี ติ
การภาวนาอยา่ งไม่อาจหลกี พน้ ได้ และเป็นการยอมรบั อย่างปีตยิ นิ ดถี งึ การพง่ึ พาพระเป็นเจา้ อยา่ งมนั่ ใจเหมอื น
เดก็ ๆ (ไมใ่ ช่แบบเดก็ ๆ)

ตอนน้ีมสี องส่วน ว. 7-8 มปี ระโยคคาสงั่ สามประโยคท่ีมพี ้นื ฐานจากคาสญั ญาปราศจากเง่อื นไขสาม
ประการ สว่ น ว. 9-11 ซง่ึ ใหเ้ หน็ เหตุผลสาหรบั การภาวนาอยา่ งมคี วามมนั่ ใจ โดยใชก้ ารเทยี บเคยี งและการแสดง
ใหเ้ หน็ ความแตกต่างระหว่างพ่อทเ่ี ป็นมนุษยแ์ ละพ่อทเ่ี ป็นพระเป็นเจา้ ว. 7-8 อาจมตี น้ กาเนิดมาจาก “คตธิ รรม
ของขอทาน” (Beggars’ Wisdom) ทส่ี นบั สนุนการขอ(ต้อื )อย่างดงึ ดนั คอื ถา้ ขอไปเร่อื ยๆ หาไปเร่อื ยๆ และเคาะ
ประตูต่อไป ในท่สี ุดใครสกั คนต้องช่วยเหลอื พระเยซูเจา้ หรอื ครสิ ตจกั รปาเลสไตน์ยุคต้นๆ นาภาพน้ีมาใช้กบั
ความสมั พนั ธร์ ะหว่างบรรดาศษิ ย์กบั พระเป็นเจา้ และทาใหม้ คี วามหมายทส่ี ูงขน้ึ ไปกว่านัน้ ประเดน็ ไม่ไดอ้ ยู่ท่ี
การขออยา่ งดอ้ื รนั้ ของมนุษย์ แต่อยทู่ ค่ี วามดงี ามของพระเป็นเจา้

7:7-8 “การแสวงหา” (Seeking) บ่อยครงั้ มกั ใช้ในพระคมั ภรี ์พนั ธสญั ญาเดมิ และในธรรมประเพณีการ
สวดภาวนาของชาวยวิ โดยมพี ระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ เป็นเป้าหมาย (ต.ย. ฉธบ. 4:29; สดด. 105:4; อสย 65:1; เทยี บ
ยรม. 29:12-13) คาสอนน้ีเป็นลกั ษณะทเ่ี ฉพาะเจาะจงของธรรมประเพณีแห่งปรชี าญาณ (Wisdom Tradition) (สภษ.
1:28; 6:12; 8:17; ปญจ: 7:23-25) “การเคาะ” (Knocking) ประตูแห่งพระเมตตาเป็นการแสดงออกถึงการภาวนาแบบ
ชาวยวิ ดงั นนั้ “ขอ” “แสวงหา” และ “เคาะ” จงึ ไมใ่ ชส่ ามการกระทาทแ่ี ตกต่างกนั ไมม่ รี ะดบั ของประสบการณ์ทาง
จติ วญิ ญาณมาเก่ยี วขอ้ งในส่วนน้ี แต่เป็นการแสดงคาภาวนาของชาวยวิ สามครงั้ การอธบิ ายรายละเอยี ดของ
“การขอ” โดยเปรยี บกบั การ “แสวงหา” และการ “เคาะ” ทาใหค้ าภาวนาน้ีมลี กั ษณะเฉพาะเจาะจง ไม่ใช่เป็นแค่
คาสงั่ ซ้อื ของหรอื รายการสงิ่ ของทต่ี อ้ งการสงั่ ซอ้ื ทส่ี ่งใหก้ บั รา้ นขายยาของสวรรค์ การภาวนาเป็นการสารวจและ

193

คาดหวงั การใช้ประโยคเชงิ ถูกกระทาโดยละเว้นคาว่าพระเป็นเจ้า เช่น “จะถูกนามามอบให้ท่าน” (It Will Be
Given To You) และ “จะเปิดใหก้ บั ท่าน” (It Will Be Opened To You) ชใ้ี หเ้ หน็ ว่าพระเป็นเจา้ ทรงเป็นผกู้ ระทา
สว่ นคาวา่ “จะพบ” ยงั เป็นสว่ นทม่ี นุษยก์ ระทา การกระทาของพระเป็นเจา้ และความรบั ผดิ ชอบของมนุษยไ์ มใ่ ชส่ งิ่
ท่แี ทนท่กี นั ได้ การสนับสนุนให้นาความต้องการต่างๆ ของมนุษย์ไปถวายแด่พระเป็นเจ้าในการภาวนาไม่ใช่
เพ่อื ใหข้ อ้ มลู หรอื โน้มน้าวใจพระองค์ แต่เป็นการแสดงออกถงึ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างศษิ ยก์ บั พระเป็นเจา้ ในฐานะ
ลกู ๆ ทต่ี อ้ งพง่ึ พาพอ่ และเพราะสดุ ทา้ ยแลว้ พวกเขาไมส่ ามารถควบคมุ ชวี ติ ของตนเองไดเ้ ลย

แมว้ ่าจะกล่าวกบั บรรดาศษิ ย์โดยตรง แต่คาว่า “ทุกคน” เป็นคาแสดงลกั ษณะสากลในกรอบคดิ คอื “ฝงู
ชน” ทไ่ี ม่ได้มขี อ้ ผูกมดั ใดๆ และสงั คมในวงกวา้ งในความหมายว่าบทภาวนาน้ียงั คงเกดิ ขน้ึ ในคาเทศน์สอนบน
ภเู ขา

7:9-11 ขนมปังและปลาคอื อาหารหลกั ของชาวกาลลิ ี มนุษย์ผู้ท่เี ป็นพ่อท่ดี จี ะตอบสนองความต้องการ
และดแู ลใสใ่ จลกู ๆ ของตน จะไม่มวี นั ตอบสนองคาขอขนมปังจากลกู ดว้ ยการแกลง้ เอาหนิ มาใหแ้ ทน หรอื เอางมู า
ใหแ้ ทนปลาในสง่ิ ทล่ี กู คาดหวงั ขอ้ ความน้ีค่อนขา้ งเป็นมขุ ตลกฝืดรุนแรง เพราะแผน่ ปังกลมแบนและกอ้ นหนิ ของ
ชาวปาเลสไตน์มลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ กนั อยมู่ าก (ดู 4:3) และปลาประเภทปลาไหลกม็ ลี กั ษณะคลา้ ยกบั งู

ว. 11 ท่กี ล่าวว่า “แมแ้ ต่ท่านทงั้ หลายท่เี ป็นคนชวั่ ...” (You Then, Who Are Evil) เป็นรูปแบบคากรยิ า
ของภาษากรกี (แปลตรงตวั คอื You Then, Being Evil) ซง่ึ สนั นิษฐานวา่ สอ่ื ถงึ ความบาปของคนทงั้ โลก รวมถงึ ผู้
เป็นพ่อทงั้ หลายซ่งึ ได้กล่าวมาแลว้ และบรรดาศษิ ย์ท่เี ป็นผูฟ้ ังคาสอนน้ีโดยตรง ท่โี ดดเด่นอกี อย่างหน่ึงคอื พระ
เยซูเจา้ ไม่ไดร้ วมพระองคเ์ องไวใ้ นกลุ่มคนบาป เหมอื นทพ่ี ระองคก์ ลา่ วถงึ “บดิ าของเรา” และ “บดิ าของพวกทา่ น”
ไม่ว่าในส่วนน้ีหรอื ในส่วนใดของพระวรสารเราไม่พบพระเยซูเจ้าแสดงความรูส้ กึ ผดิ หรอื กระทาบาป ดูเหมอื น
พระองคจ์ ะมองดคู วามบาปของมนุษยจ์ ากมุมมองทอ่ี ย่สู งู กวา่ ในส่วนน้ีไม่มคี าสอนเร่อื งความปราศจากบาปของ
พระครสิ ตอ์ ยา่ งเตม็ ท่ี แต่องคป์ ระกอบตา่ งๆ ทป่ี รากฏอยใู่ นพระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ สามารถนามาขยายเรอ่ื งน้ีต่อ
ในภายหลงั ( 3:13-15 เช่อื มโยงกบั มก 1:4, 9 และ 19:16-17 เช่อื มโยงกบั มก 10:17-18) ในทน่ี ้ีไม่มคี าสอนทช่ี ดั เจนเกย่ี วกบั เร่อื ง
บาปกาเนิด แต่เร่อื งความบาปอนั เป็นสากลของมนุษยน์ ัน้ โดดเด่นยงิ่ ขน้ึ เพราะไดร้ บั การยอมรบั อย่างเรยี บง่าย
และกล่าวถึงเหมอื นกบั เป็นสง่ิ ท่เี ห็นได้ชดั เจนในตวั ของมนั เองอยู่แล้ว เป็นความเขา้ ใจผดิ อย่างร้ายแรงท่จี ะ
เปรยี บเทยี บวา่ พระเยซูเจา้ มองมนุษยชาติ “ในแงบ่ วก” ขณะทน่ี กั บุญเปาโลมอง “ในแงล่ บ” เพราะทงั้ พระเยซูเจา้
นักบุญเปาโล และนักบุญมทั ธวิ โดยเน้ือแท้แล้วต่างมมี ุมมองท่ีเหมอื นกนั เก่ียวกบั ธรรมชาติของมนุษย์ แบบ
เดยี วกบั มุมมองโดยองคร์ วมในพระคมั ภรี พ์ นั ธสญั ญาใหม่

7:12 กฎทอง (The Golden Rule) การสรุปคาสงั่ แบบกระชบั น้ีไมใ่ ช่สว่ นหน่ึงของย่อหน้าก่อน สาระสรุป
สอนไม่เก่ยี วขอ้ งกนั แต่เป็นหน่วยท่แี ยกออกมาต่างหาก ทาใหเ้ กดิ เป็นสองคู่ในสามหน่วยของส่วนน้ี กฎทอง
(ตามทน่ี ยิ มเรยี กกนั ตงั้ แต่ศตวรรษทส่ี บิ แปด) คอื สว่ นหน่ึงของบทเทศน์อนั ยงิ่ ใหญใ่ นเอกสารแหล่ง Q (ดู ลก. 6:31) ซง่ึ สว่ นน้ถี ูก
นาไปรวมไวก้ บั บญั ญตั ทิ ใ่ี หร้ กั ศตั รขู องตนเอง นกั บุญมทั ธวิ ไดน้ าคากล่าวน้ีมาวางไวอ้ กี ตาแหน่งหน่ึงเพอ่ื ใหม้ นั
เป็นจุดสาคญั สงู สุดและบทสรุปของคาสงั่ ในขณะเดยี วกนั ท่านไดแ้ กไ้ ขเปลย่ี นแปลงการเขยี นในระดบั ปลกี ย่อย
เสรมิ เพม่ิ ตามวตั ถปุ ระสงคท์ ก่ี าหนดไว้ ซง่ึ มคี วามสาคญั มาก (ดู มธ. 5: 17)

(1) นักบุญมทั ธวิ เพมิ่ คาว่า “ดงั นัน้ ” (So) ไวเ้ ป็นคาเรมิ่ ต้น (ou[n oun, ในฉบบั NRSV ไม่ไดแ้ ปลคาน้ี) มนั ไม่ไดเ้ ป็น
ตวั แทนของการอา้ งองิ เชงิ ตรรกะจาก ว. 11 หรอื ว. 7-11 ซ่งึ ไม่ได้เช่อื มโยงกนั แต่เป็นคาทใ่ี ชส้ รุปโดย

194

ส่อื ถงึ ทุกสง่ิ ทไ่ี ดก้ ล่าวไวก้ ่อนหน้าน้ี (เช่นเดยี วกบั ใน รม 12:1; กท 5:1 ซ่งึ คาน้ีทาหน้าท่แี บบเดยี วกนั ) ดงั นัน้ มนั จงึ เป็น
การดงึ ทุกอย่างมารวมกนั และประกาศผลของส่วนน้ีทงั้ หมด (5:17-7:11) และเราสามารถแปลคาน้ีไดว้ ่า
“ดงั นนั้ .. แลว้ ..” (So, Then)
(2) นักบุญมทั ธวิ เพม่ิ อนุประโยคท่กี ล่าวว่า “นีค่ อื ธรรมบญั ญตั แิ ละบรรดาประกาศก” ซ่งึ ทาใหร้ วมเป็นส่วน
เดยี วกบั วลที ม่ี ลี กั ษณะคลา้ ยกนั น้ีใน 5:17 ซง่ึ เป็นสว่ นทเ่ี ป็นคาสงั่ ของคาเทศน์สอน อนุประโยคยงั ทาให้
กฎทองมคี วามเชอ่ื มโยงกบั พระมหาบญั ญตั แิ หง่ การรกั พระเป็นเจา้ และรกั เพอ่ื นบา้ น ซง่ึ นกั บญุ มทั ธวิ ระบุ
ว่าคอื บทสรุปของธรรมบญั ญตั ิ (22:40) และเป็นกุญแจสาหรบั การ(ทบทวน)ตคี วาม ในความเขา้ ใจของ
นกั บุญมทั ธวิ เน้ือหาของกฎทองนนั้ เตม็ ไปดว้ ยพระมหาบญั ญตั ดิ งั กล่าว ซง่ึ ทงั้ สองขอ้ เทยี บเท่ากบั ธรรม
บญั ญตั แิ ละบรรดาประกาศก
(3) นกั บุญมทั ธวิ เตมิ ทุกสง่ิ ลงไปในสว่ นทเ่ี ป็นคานาเขา้ เรอ่ื ง ทาใหก้ ฎทองน้ีมลี กั ษณะเป็นการแสดงออกของ
จรยิ ธรรมระดบั รากฐานท่อี ยู่ใน 5:21-47 โดยเฉพาะอย่างยง่ิ การเช่อื ในความดคี รบสมบูรณ์พรอ้ มแบบ
นกั บญุ มทั ธวิ (Matthean Perfectionism) ใน 5:48

กฎทองน้ีมขี อ้ ความคู่ขนานมากมาย ทงั้ ทป่ี รากฏก่อนหน้าและท่คี ู่เคยี งไปกบั รูปแบบบญั ญตั นิ ้ี
บ่อยครงั้ มกั พบในลกั ษณะเป็นประโยคเชงิ ปฎเิ สธ เชน่ “สง่ิ ใดทท่ี า่ นเกลยี ด กจ็ งอยา่ กระทากบั ผอู้ น่ื ” (ทบต.
4:15 ฉบบั NRSV) ขอ้ ความคู่ขนานซ่งึ เป็นท่รี ูจ้ กั กนั มากท่สี ุดอยู่ในเร่อื งราวของรบั บแี ชมมยั กบั รบั บฮี ลิ เลล
(Rabbi Shammai and Rabbi Hillel)

คนต่างศาสนาคนหน่ึงมาหารบั บแี ชมมยั และกล่าวกบั เขาว่า “ช่วยเปล่ยี นศาสนาให้ขา้ ที แต่มี
ขอ้ แม้คอื ท่านจะต้องสอนหนังสอื ปัญจบรรพทงั้ หมดให้ขา้ ในขณะท่ขี า้ ยนื ขาเดยี ว” รบั บไี ล่ชายผูน้ ัน้ ไป
ดว้ ยเคร่อื งมอื วดั ของชา่ งก่อสรา้ งทอ่ี ย่ใู นมอื เมอ่ื ชายผนู้ นั้ ไปหารบั บฮี ลิ เลล ท่านกล่าวกบั เขาว่า “สง่ิ ใดท่ี
ท่านเกลยี ด จงอย่าทาสงิ่ นนั้ กบั เพ่อื นบ้านของท่าน น่ืคอื หนงั สอื ปัญจบรรพทงั้ หมด สว่ นอ่นื ๆ เป็นเพยี ง
ขอ้ ความแสดงความคดิ เหน็ จงไปและศกึ ษาดเู ถดิ ” (b. Sabb. 31 a)
เน้ือหาส่วนน้ียงั แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทว่ี ่าความเช่อื มโยงระหว่างกฎทองในฐานะขอ้ สรุปของธรรม
บญั ญตั มิ อี ย่ใู นธรรมประเพณีของรบั บอี ย่แู ลว้ อย่างไรกต็ าม ไม่ใช่วา่ พระเยซูเจา้ จะทรงเปลย่ี นแปลงรปู แบบทาง
ลบ (Negative Formulation) ของชาวยวิ ให้กลายเป็นรูปแบบทางบวก (Positive Formulation) ของชาวครสิ ต์
เพราะเราพบรูปแบบทางบวกในธรรมประเพณีร่วมสมยั ของชาวยวิ และของคนต่างศาสนาดว้ ย ส่วนรปู แบบทาง
ลบกม็ ปี รากฏอย่ใู นแหล่งขอ้ มลู ของชาวครสิ ต์ รวมถงึ ดดี าเค 1:2 ซง่ึ พบหลงั จากยุคสมยั ของนกั บุญมทั ธวิ ไม่นาน
นัก และต้นฉบบั ของหนังสอื กจิ การของอคั รสาวก 15: 20, 28 แสดงให้เห็นว่าศาสนาครสิ ต์ยุคแรกเรมิ่ มองว่า
รปู แบบทงั้ บวกและลบนนั้ ไม่มคี วามสาคญั เป็นพเิ ศษแตอ่ ยา่ งใด

ข้อคิดไตร่ตรอง
1. ในบรบิ ทพนั ธกิจของพระเยซูเจ้า ขอ้ ความใน 6:19-34 อาจเป็นการพูดกบั บรรดาศิษย์ผู้ท่ีใกล้ชิดกบั

พระองคซ์ ่งึ ไดส้ ละบา้ นและครอบครวั เพ่อื เป็นผปู้ ระกาศสอนศาสนาทต่ี อ้ งเดนิ ทางตลอดเวลาเหมอื นพระเยซูเจา้
ในพระวรสารของนักบุญมทั ธวิ คาพดู เหล่าน้ีไม่เพยี งแต่กล่าวกบั ศษิ ยด์ งั้ เดมิ เหล่าน้ีเท่านัน้ แต่ยงั เป็นการกล่าว
กบั ครสิ ตจกั รของนักบุญมทั ธวิ ท่อี ยู่ในยุคหลงั การกลบั คนื พระชนม์ชพี ซ่ึงผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ตดั สนิ ใจถงึ ขนั้

195

เปลย่ี นชวี ติ มารบั ความยากจนดว้ ยความสมคั รใจ ตลอดหลายศตวรรษ ครสิ ตจกั รประสบปัญหาในคาพูดเหล่าน้ี
แต่กไ็ ม่ยอมทาใหค้ วามหมายของมนั เบาบางลงเพ่อื ตอบสนองรสนิยมของคนรุ่นหลงั มนั เป็นขอ้ ความทไ่ี ม่ควร
ตคี วามแบบตามตวั อกั ษรหรอื ตคี วามแบบกฎหมายเชน่ เดยี วกบั สว่ นอ่นื ๆ อกี หลายสว่ นในบทเทศน์สอนน้ี แต่ถงึ
กระนัน้ คาสอนน้ีแสดงถึงเสียงเรยี กท่ีรุนแรงและชัดเจนให้ตัดสินใจก้าวเดินออกจากส่ิงท่ีผู้คนนิยมกันทาง
วฒั นธรรมและหนั เขา้ สชู่ วี ติ แหง่ ความเชอ่ื ฟังและไวว้ างใจพระเป็นเจา้

คาพูดเหล่าน้ีไม่ใช่คาแนะนากวา้ งๆ เก่ยี วกบั การดาเนินชวี ติ สาหรบั ผู้คนทวั่ ไป แต่เป็นการกล่าวสอน
โดยตรงกบั บรรดาศษิ ยผ์ ตู้ อ้ งเผชญิ กบั ขอ้ เรยี กรอ้ งในบทเทศน์และอาจมศี รทั ธาความเช่อื ทห่ี วนั่ ไหวได้ เป็นครงั้
แรกทน่ี ักบุญมทั ธวิ ใชค้ าวา่ ความเชอ่ื อนั น้อยนิด (ภาษากรกี (ojligo"pistoi oligopistoi)) ซง่ึ พบในแหล่งขอ้ มลู ของท่าน
(เอกสารแหล่ง Q, มธ. 6:30 = ลก. 12:28) และนามาใชเ้ ป็นขอ้ ความทบ่ี รรดาศษิ ยช์ ่นื ชอบโปรดปราน (8:26; 14:31; 16:8; 17:20)
เป็นการยนื ยนั ว่าพวกเขามคี วามเช่อื แต่เป็นความเช่อื ท่ียงั ลงั เลไม่แน่ใจและตอ้ งการการรบั รองยนื ยนั พวกเขา
ได้รบั การบอกกล่าวว่าไม่ต้องวติ กกงั วล เพราะผู้ท่เี รยี กพวกเขามาดาเนินชวี ติ แบบสุดโต่งน้ี คอื พระผู้สร้างท่ี
จดั หาทุกสงิ่ ใหก้ บั บรรดาสง่ิ สรา้ งทงั้ หมดของพระองค์ ผซู้ ง่ึ ในทส่ี ุดจะทรงนาสรรพสง่ิ ทงั้ หลายเขา้ สพู่ ระอาณาจกั ร
ของพระองค์ พระอาจารยผ์ เู้ ทศน์สอนบนภูเขาไม่ใช่ผสู้ นบั สนุนจนิ ตนิยมแบบไมอ่ ย่ใู นความเป็นจรงิ แบบงดงาม
ตามจนิ ตนาการแบบอตั วสิ ยั แต่เป็นผทู้ ร่ี วู้ ่า สกั วนั หน่ึงนกกระจอกตอ้ งตกสพู่ น้ื (10:29) และหวงั ไวใ้ จในพระญาณ
เออ้ื อาทรสอดสอ่ งของพระเป็นเจา้ (God’s providential care) ไมใ่ ช่กลยุทธท์ ศ่ี ษิ ยจ์ ะไดม้ างา่ ยๆ (5:10-12; 10:16-23)
แต่เป็นจรงิ สาหรบั ผเู้ ชอ่ื ศรทั ธาอยา่ งแน่นอน

2. มทั ธวิ 7:1-5 ไม่ไดเ้ รยี กรอ้ งการลบลา้ งความแตกตา่ งทางศลี ธรรม พระเยซูเจา้ ในพระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ
ไม่ได้ทาใหแ้ ต่ละบุคคลเป็นกฎหมายของตนเอง และไม่สนับสนุนเจตคตทิ ่วี ่า คนเราไม่ควรใส่ใจท่จี ะมองความ
ลม้ เหลวทางศลี ธรรมของสมาชกิ คนอ่นื ๆ ในชุมชนและช่วยเหลอื พวกเขาใหเ้ อาชนะความลม้ เหลวนัน้ แมแ้ ต่การ
ให้อภยั ยงั เกิดข้นึ หลงั จากคนผู้นัน้ มองเหน็ แล้วว่าอีกคนหน่ึงกระทาผดิ การให้อภยั ย่อมต้องมาพร้อมกบั การ
ตดั สนิ วนิ ยั ภายในชุมชนตอ้ งเกย่ี วขอ้ งกบั การตดั สนิ และการใหอ้ ภยั ซง่ึ อาจเป็นการแสดงออกถงึ ความรกั ทล่ี กึ ซง้ึ
ทส่ี ุด การไม่ตดั สนิ ผอู้ ่นื แลว้ ทง้ิ เขาเอาไวค้ นเดยี วนนั้ อาจเป็นทางออกงา่ ยๆ ทท่ี รยศต่อความรกั แบบชาวครสิ ต์ท่ี
แทจ้ รงิ แตก่ ารตดั สนิ เพอ่ื ประณามกเ็ ป็นสง่ิ ทถ่ี กู หา้ มตลอดมาเชน่ กนั

3. ในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ การภาวนาไม่ใช่ปัญหาเชงิ เทววทิ ยาทเ่ี ป็นนามธรรม แต่เป็นส่วนทท่ี รงพลงั
ในความสมั พนั ธก์ บั พระเป็นเจา้ เราไมค่ วรคดิ ว่า 7:7-11 เป็นสตู รสาเรจ็ ของการภาวนาทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ (หากท่าน
ขอ แสวงหา และเคาะ พระเป็นเจา้ จะตอบ) แตเ่ ราควรนกึ ภาพการภาวนาภายในบรบิ ทของความรกั ระหวา่ งพอ่ แม่กบั ลูก ใน
บรบิ ทน้ี คารอ้ งขออย่างกระตอื รอื รน้ หรอื แมแ้ ต่เร่งด่วนและเรยี กรอ้ ง จะไดร้ บั การตอบสนองด้วยของประทาน
ประเสรฐิ ทเ่ี ตม็ ไปดว้ ยความชน่ื ชมยนิ ดแี ละปัญญาปราดเปรอ่ื ง

4. กฎทองคอื หลกั การอย่างเป็นทางการทส่ี ามารถทางานไดห้ ลายรปู แบบ ขน้ึ อย่กู บั วา่ จะเอาเน้ือหาอะไรใส่
ลงไป ไม่เพยี งแต่คนโรคจติ ประเภทชอบถูกผอู้ ่นื ทารา้ ยยงั สามารถหาหลกั การมาทาใหส้ ง่ิ โหดรา้ ยกลายเป็นเร่อื ง
ถกู ตอ้ งได้ ทศั นคตทิ พ่ี บไดท้ วั่ ไปอยา่ งความตอ้ งการทจ่ี ะอยคู่ นเดยี วไม่ยงุ่ เกย่ี วกบั ใคร เพอ่ื ใชช้ วี ติ แบบ “ปล่อยให้
มนั เป็นไป” โดยไม่ถกู รบกวนจากความพยายามทจ่ี ะ “ชว่ ยเหลอื ” คนอน่ื อาจนาหลกั การอยา่ งเป็นทางการเรอ่ื งน้ี
มาอา้ งเพ่อื ตนเองจะได้ไม่ต้องยุ่งเก่ยี วกบั เร่อื งของคนอ่ืนและไม่ต้องใส่ใจตอบสนองต่อผูท้ ่กี าลงั ต้องการความ
ช่วยเหลอื ดงั นัน้ ในตวั มนั เอง กฎทองไม่ไดม้ สี งิ่ ใดทเ่ี ป็นลกั ษณะของชาวครสิ ต์อย่างโดดเด่นเลย และไม่ใช่คู่มอื

196

สอนศลี ธรรมศาสนาครสิ ต์อย่างสมบูรณ์ ความหมายแบบชาวครสิ ต์ท่ชี ดั เจนมาจากเน้ือหาทเ่ี หมอื นกบั หนังสอื -
ปัญจบรรพของอสิ ราเอลและพระมหาบญั ญตั แิ ห่งความรกั (ดดู า้ นบน) รวมถงึ การนาไปไวใ้ นเน้อื หาโดยรวมทด่ี าเนิน
อย่างต่อเน่ืองในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ในฐานะบทสรุปคาสอนของพระเยซูเจา้ พระองคไ์ ม่ไดม้ อบคาสอนน้ีไว้
เน่ืองจากมคี วามชดั เจนในตวั มนั เองอยู่แล้ว แต่ให้ไวใ้ นฐานะคาสงั่ จากพระเป็นเจ้า ผู้ทรงถูกตรงึ กางเขนและ
กลบั คนื พระชนม์ชพี ซ่งึ ทรงตรสั จากพระราชอานาจของพระองค์เอง (28:18-20) ดงั นัน้ เม่อื พจิ ารณาจากบรบิ ทท่ี
เป็นรปู แบบบญั ญตั ิ กฎทองจงึ ไม่ใช่กฎหยาบๆ ทม่ี าจากความเหน็ แก่ตวั เพ่อื ใหไ้ ดส้ งิ่ ทต่ี นเองตอ้ งการ และไมใ่ ช่
กฎตามธรรมชาตทิ ม่ี คี วามชดั เจนในตวั มนั เอง หรอื ขอ้ ตกลงรว่ มกนั ระหวา่ งพระเยซูเจา้ กบั ผทู้ ส่ี นบั สนุนจรยิ ธรรม
จากสามญั สานึกของการเหน็ แก่ประโยชน์ส่วนตน สงิ่ ทม่ี ุ่งเน้นอย่ทู ก่ี ารกระทาใหผ้ อู้ ่นื ไม่ใช่สง่ิ ทต่ี นจะไดร้ บั ตอบ
แทน ขอ้ ความทว่ี ่า “อย่างทท่ี ่านอยากใหเ้ ขาทากบั ท่าน” (ว. 12) คอื แนวทางสาหรบั แยกแยะว่าสงิ่ ใดถูกต้อง เป็น
การเรยี กให้ศษิ ยใ์ ชก้ ารพจิ ารณาตดั สนิ อย่างสรา้ งสรรค์ กฎทองน้ีไม่เพยี งแต่เป็นคาสอนตรงขา้ มกนั อย่างสุดขวั้
กบั หลกั การ “จงทากบั ผูอ้ ่นื อย่างทเ่ี ขาทากบั ท่าน” (Retaliatory Modus Operandi) แต่มนั ไม่ใช่เป็นคาสอนแห่ง
การกระทา(ตอบแทน)ต่อกนั และกนั แต่เป็นการรเิ รม่ิ การกระทา (ดู 5:46-47) “อย่างทท่ี ่านอยากใหเ้ ขาทากบั ท่าน”
เป็นการกระทาแบบคดิ ล่วงหน้าในการแยกแยะสงิ่ ทท่ี าแลว้ เป็นความรกั โดยไม่ตอ้ งรอการกระทาของอกี ฝ่ายหน่งึ

ในคากล่าวสุดท้ายของคาสงั่ สอนชุดน้ี การกระทาของศิษย์ต้องเช่ือมโยงกับการกระทาของมนุษย์
โดยทวั ่ ไป หรอื “ผอู้ ่นื ” (oiJ a[nqrwpoi hoi anthropoi) แมว้ ่าในตอนแรกจะเป็นการกล่าวสอนกบั บรรดาศษิ ยแ์ ละ
บ่อยครงั้ จะมุ่งเน้นท่ีความสมั พนั ธ์ระหว่างชุมชน แต่ข้อความท่ีเป็นบทสรุปน้ีเป็น ได้ขยายผลออกไปอย่าง
กวา้ งขวางแก่ประชาชนอกี มากมาย สู่ขอบฟ้าสากลและขา้ มผ่านเขตพรมแดนทุกประเภท ทงั้ ยงั เช่อื มโยงกบั
ความชอบธรรมท่ีเหนือกว่า ซ่งึ ศษิ ยท์ ุกคนถูกเรยี กใหเ้ ป็นเช่นนัน้ ไม่เพยี งแต่กบั สมาชกิ คนอ่นื ในชุมชน แต่ใน
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมนุษยด์ ว้ ย (5:20; 5:21-7:11; สอดคลอ้ งกบั 25:31-46)
มทั ธิว 7:13-27 คาเตือนอนั ตกาลสามประการ
มทั ธวิ 7:13-14 ทางสองแพร่ง

ทางสองแพร่ง
13 “จงเขา้ ทางประตแู คบ เพราะประตแู ละทางทน่ี าไปสหู่ ายนะนนั้ กวา้ งขวาง คนทเ่ี ขา้ ทางน้ีมจี านวนมาก 14 แตป่ ระตแู ละทางซง่ึ
นาไปสชู่ วี ติ นนั้ คบั แคบ คนทพ่ี บทางน้ีมจี านวนน้อย”

ข้อศึกษาวิพากษ์
นักบุญมทั ธวิ นาขอ้ สรุปของบทเทศน์อนั ยง่ิ ใหญ่ในเอกสารแหล่ง Q มาปรบั เขยี นใหม่และขยายความ

เพอ่ื ใหอ้ ยใู่ นรปู โครงสรา้ งไตรสมั พนั ธ์ (Triadic Structure) แบบทท่ี า่ นมคี วามเชย่ี วชาญและโปรดปราน
ในคากล่าวดงั้ เดมิ นัน้ มปี ระตูเมอื ง (Gates) อย่สู องแห่ง (พระวรสารนักบุญลูกาใชค้ าว่า “ประตู” (Doors) ไม่มหี ลกั ฐาน

ชดั เจนว่าคาดงั้ เดิมคือคาใด) นักบุญมทั ธิว (หรอื ธรรมประเพณีของท่าน) เติมข้อความแรงบันดาลใจเร่อื งหนทางสองสาย
(Ways/Roads) ซ่ึงเป็ นแบบข้อความท่ีพบได้บ่อยๆ ในธรรมประเพณีของชาวยิวและคนต่างศาสนา การ
ผสมผสานกนั น้ีอาจทาใหเ้ ขา้ ใจแปลกๆ เกดิ ความสบั สนในตน้ ฉบบั พระคมั ภรี ์ เม่อื ธรรมาจารยผ์ บู้ นั ทกึ พยายาม
ทาใหภ้ าพน้ีมคี วามสอดคลอ้ งกนั มากขน้ึ (ประตูเมอื งทส่ี องใน ว. 13 หายไปจากตน้ ฉบบั ดๆี หลายฉบบั สว่ นบทอ่านทย่ี ากกวา่ น่าจะเป็น
แบบดงั้ เดมิ ทงั้ ฉบบั NRSV และNIV ต่างทาตามธรรมประเพณีตน้ ฉบบั อ่นื ๆ) ดงั นนั้ จงึ ไมช่ ดั เจนว่า “ประตรู วั้ ” และ “หนทาง” คอื คา
เปรยี บเทยี บ (Metaphor) สองคาทช่ี แ้ี สดงไปสคู่ วามเป็นจรงิ เดยี วกนั หรอื ไม่ หรอื “หนทาง” เป็นสง่ิ ทน่ี าไปสปู่ ระตู

197

เมอื งหรอื เรมิ่ ตน้ ทป่ี ระตูเมอื ง แต่ในทงั้ สองกรณี ประตูเมอื งทแ่ี คบนาไปสคู่ วามรอด (“ชวี ติ ” คอื คาเปรยี บเทยี บส่อื ถงึ พระ
อาณาจักรพระเจ้าและความรอด ดู 18:8; 19:16-17, 23-30; 25:46) ส่วนประตูกว้างนั้นนาไปสู่ความพินาศ (Damnation)
“หนทาง” (ถนน) ในทงั้ สองกรณี ทาให้ธรรมประเพณีมคี วามเป็นจรยิ ธรรม ในเทววทิ ยาของนกั บุญมทั ธวิ ชวี ติ ของ
ชาวครสิ ต์ไม่ไดม้ ลี กั ษณะคงอย่ทู เ่ี ดมิ แบบสภาวะหรอื การตดั สนิ ใจแบบครงั้ เดยี วจบ แต่เป็นถนนหรอื หนทางใน
การดาเนินชวี ติ อย่างชอบธรรมตงั้ แต่การถูกเรยี กเป็นศษิ ยค์ รงั้ แรก ไปจนถงึ เป้าหมายสุดทา้ ยคอื ความรอดพน้
ดงั นัน้ เขาจงึ เน้นย้าหลายครงั้ ว่าหลายคนไดร้ บั เรยี ก แต่น้อยคนจะไดร้ บั เลอื ก (9:13; 20:16; 22:14) คาว่า “หลายคน”
ในทน่ี ้ีไม่ไดห้ มายถงึ คนนอก คนไม่เช่อื หรอื ชาวยวิ ทว่ี างตวั เป็นปฏปิ ักษ์ แต่หมายถงึ คนใน คอื ชาวครสิ ต์เอง ท่ี
เรม่ิ ตน้ ตดิ ตามพระองค์ แต่ “ลม้ เลกิ กลางทาง”

“หลายคน” กบั “น้อยคน” ในทน่ี ้ีไม่ใช่คาบอกขอ้ มูล แต่เป็นการหนุนนา (Hortatory) มนั ไม่ไดท้ าหน้าท่ี
บอกว่าก่คี นจะไดร้ บั ความรอดพน้ แต่เป็นการกระตุ้นและตกั เตอื นศษิ ย์ทก่ี าลงั เฉ่ือยชาใหเ้ หน็ ถงึ ความเร่งด่วน
ของการตดั สนิ ใจ ท่จี ะต้องฟ้ืนฟูขน้ึ ใหม่ในทุกๆ วนั (12:30) ในส่วนอ่นื ของพระวรสาร นักบุญมทั ธวิ ใชภ้ าพพจน์
แบบอ่ืนท่ีส่อื ว่า “หลายคน” ได้รบั ความรอดพ้น (8:11; 20:28) คาเตือนแรกเป็นการวางพ้นื ฐานให้กบั ส่วนท่ีเป็น
บทสรุปของคาเทศน์ โดยแสดงให้เห็นแบบทวภิ าวะของการตดั สนิ ใจ (Dualism of Decision) ซ่ึงเป็นรูปแบบ
ลกั ษณะการเขยี นเฉพาะของนักบุญมทั ธวิ โดยมที ุกอย่างเป็นสอง คอื มเี พยี งสองประตู สองหนทาง ผลไมส้ อง
ชนิด และจดุ หมายปลายทางสองแห่ง

มทั ธวิ 7:15-23 การเกบ็ เกย่ี วสองชนดิ (ประกาศกเทจ็ เทยี ม)

ประกาศกเทียม
15 “จงระวงั ประกาศกเทยี ม ซง่ึ มาพบท่าน นุ่งหม่ เหมอื นแกะ แตภ่ ายในคอื สนุ ขั ป่าดุรา้ ย 16 ทา่ นจะรจู้ กั เขาไดจ้ ากผลงานของเขา
มใี ครบา้ งเกบ็ ผลองนุ่ จากตน้ หนาม หรอื เกบ็ ผลมะเดอ่ื เทศจากพงหนาม 17 ในทานองเดยี วกนั ตน้ ไมพ้ นั ธุด์ ยี อ่ มเกดิ ผลดี ตน้ ไม้
พนั ธุไ์ มด่ ยี อ่ มเกดิ ผลไมด่ ี 18 ตน้ ไมพ้ นั ธุด์ จี ะเกดิ ผลไมด่ มี ไิ ด้ และตน้ ไมพ้ นั ธุไ์ มด่ กี ไ็ มอ่ าจเกดิ ผลดไี ด้ 19 ตน้ ไมท้ ุกตน้ ทไ่ี มเ่ กดิ ผลดี
ยอ่ มถกู โคน่ ทง้ิ ในกองไฟ 20 เพราะฉะนนั้ ทา่ นจะรจู้ กั ประกาศกเทยี มไดจ้ ากผลงานของเขา”
ศิษยแ์ ท้
21 “คนทก่ี ลา่ วแก่เราวา่ ‘พระเจา้ ขา้ พระเจา้ ขา้ ’ นนั้ มใิ ชท่ ุกคนจะไดเ้ ขา้ สอู่ าณาจกั รสวรรค์ แต่ผทู้ ป่ี ฏบิ ตั ติ ามพระประสงคข์ องพระ
บดิ าของเรา ผสู้ ถติ ในสวรรคน์ นั่ แหละจะเขา้ ส่สู วรรคไ์ ด้ 22 ในวนั นนั้ 7 หลายคนจะกลา่ วแก่เราวา่ ‘พระเจา้ ขา้ พระเจา้ ขา้ ขา้ พเจา้ ทงั้
หลายไดป้ ระกาศพระวาจาในพระนามของพระองค์ ขบั ไลป่ ีศาจในพระนามของพระองค์ และไดก้ ระทาอศั จรรยห์ ลายประการใน
พระนามของพระองคม์ ใิ ชห่ รอื ’ 23 เมอ่ื นนั้ เราจะกลา่ วแก่เขาวา่ ‘เราไมเ่ คยรจู้ กั ทา่ นทงั้ หลายเลย ท่านผกู้ ระทาความชวั่ จงไปให้
พ้นหน้าเรา ’

ข้อศึกษาวิพากษ์
ก่อนจะถงึ บทสรุป คาเทศน์ทย่ี งิ่ ใหญ่ในเอกสารแหล่ง Q มชี ่วงสนั้ ๆ ท่ปี ระกาศว่าคาพูดและการกระทา

ของบุคคล คอื สง่ิ ท่เี ปิดเผยตวั ตนท่แี ท้จรงิ ของเขา เหมอื นผลของต้นไมเ้ ปิดเผยว่าต้นไมน้ ัน้ คอื ต้นอะไร (ดู ลก.
6:43-45) แนวคดิ จากเอกสารแหล่ง Q น้ี (ซ่ึงแสดงออกมาใน มธ. 3:7-10 = ลก. 3:7ข-9) มคี วามสาคญั ต่อนักบุญมทั ธวิ มาก

198

ท่านไม่ได้ใช้ในการนิพนธ์ของท่านแค่เพียงในท่ีน้ี กับใน 3:8 เท่านัน้ แต่ยังรวมเอาไว้ในรูปแบบเต็มอยู่ใน
ท้องเร่อื ง(ฉาก)หลกั ท่ที ่านนิพนธ์เป็นจุดสาคญั สูงสุดของเร่อื งเล่าในภาคหน่ึง (12:22-37) ในท่นี ้ี นักบุญมทั ธวิ นา
แนวคดิ หวั ขอ้ น้ีมาจดั รูปแบบใหม่ให้เป็นคาเตอื นโดยตรงต่อบรรดาศษิ ย์ แนวคดิ น้ีสาคญั ต่อท่านเพราะว่า (ก)
สอดคลอ้ งกบั สง่ิ ทท่ี า่ นเน้นความสาคญั คอื เรอ่ื งการกระทา (ไมใ่ ช่การไดย้ นิ หรอื พดู ) (ข) การกระทาทถ่ี ูกตอ้ งเพยี งอย่าง
เดยี วยงั ไม่เพยี งพอ ต้องเป็นการกระทาท่แี สดงออกถงึ ธรรมชาตภิ ายในตวั ตนของผูก้ ระทาดว้ ย มฉิ ะนัน้ จะเป็น
ความหน้าซ่อื ใจคด (6:1-18; 23:25-28) และ (ค) แนวคดิ แบบทวภิ าวะเป็นภาพท่ชี ่วยระบุความเป็นศษิ ยท์ แ่ี ท้จรงิ ใน
ปัจจุบนั (“รจู้ กั พวกเขาจากผลของพวกเขา”) และในอนาคตแห่งวนั พพิ ากษาแห่งอนั ตกาล เม่อื ผลผลติ ดจี ะถูกเก็บเก่ยี ว
และตน้ ไมท้ ไ่ี ม่ดจี ะถูกเผาทง้ิ (บทท่ี 18-19)

ว. 15 คอื หวั ขอ้ เร่อื งของตอนน้ีทงั้ หมด โดยประกาศว่าหวั ขอ้ คอื เร่อื งการเผยพระวจนะเทยี มเทจ็ ทซ่ี ง่ึ
ว. 22 ยอ้ นกลบั มาทค่ี วามหมายเดยี วกนั จงึ เป็นเหมอื นวา่ มวี งเลบ็ ปิดลอ้ มชว่ งน้ี ซง่ึ มแี นวคดิ เกย่ี วกบั เรอ่ื งกจิ การ
แห่งพระพรพเิ ศษ บทเทศน์ในท่นี ้ีส่อื แสดงอย่างชดั เจนถงึ สถานการณ์ในครสิ ตจกั รสมยั นักบุญมทั ธวิ หลงั การ
กลบั คนื พระชนมช์ พี ซง่ึ มกี ารใชพ้ ระพรพเิ ศษในคณะผนู้ าและสมาชกิ มชี าวครสิ ตบ์ างคนผซู้ ง่ึ ไดร้ บั พลงั จากพระ
จติ เจา้ ประกาศพระวาจาของพระเป็นเจา้ ผไู้ ดร้ บั เกยี รตขิ น้ึ สสู่ วรรค์ และแสดงปาฏหิ ารยิ ต์ ่างๆ (เช่น รกั ษาโรค ขบั ไล่ผ)ี

“ประกาศกเทจ็ เทยี ม” ไม่ใช่ช่อื รหสั ท่ใี ชเ้ รยี กชาวฟารสิ ี หรอื กลุ่มผู้รกั ชาต(ิ ท่ตี ้องการโค่นลม้ อานาจโรมนั ) หรอื
กลุ่มอ่นื ๆ ท่ตี ่อต้านชาวครสิ ต์ในชุมชนของนักบุญมทั ธวิ แต่ส่อื ถงึ ประกาศกชาวครสิ ต์ผู้ท่ีนักบุญมทั ธวิ มองว่า
กาลงั นาพาครสิ ตจกั รไปสู่หนทางท่ผี ดิ อย่างน่าอนั ตราย มบี างคนในชุมชนท่หี วงั จะเป็นผู้นาและปรากฎตนดู
เหมอื นเป็นคนซ่อื บรสิ ุทธิ ์ ( “สนุ ัขป่านุ่งหม่ เหมอื นแกะ” ดู ว. 15) และผทู้ พ่ี ดู ว่า “พระเจา้ ขา้ พระเจา้ ขา้ ” (ว. 22) กบั พระเยซู
เจา้ นกั บุญมทั ธวิ ยนื ยนั ว่าพระพรพเิ ศษดา้ นการประกาศพระวาจาและปาฏหิ ารยิ ต์ ่างๆ เป็นของประทานจากองค์
พระเป็นเจา้ สงู สดุ ต่อครสิ ตจกั รของพระองค์ (10:41; 23:34) การประกาศพระวาจาเชน่ นนั้ ไมไ่ ดถ้ ูกสงสยั วา่ มคี วามผดิ
แตป่ ระกาศกเทยี มตา่ งหาก สง่ิ ทน่ี กั บญุ มทั ธวิ กลา่ วคดั คา้ นคอื พวกเขาไมม่ ี “ผล” (Fruit) แห่งความเป็นชาวครสิ ต์
ซง่ึ เป็นคาเปรยี บเทยี บท่นี ักบุญมทั ธวิ ใชบ้ ่อยๆ ในการสอ่ื ถงึ การกลบั ใจอย่างแทจ้ รงิ ซง่ึ นาไปสคู่ วามชอบธรรมท่ี
ถูกตอ้ งอย่างทค่ี าเทศน์สอนบนภูเขาไดร้ ะบุไว้ (ดู 3:8-10; 12:33; 13:8, 26; 21:34, 41, 43) พวกเขาไม่ได้ “ปฏบิ ตั ติ ามพระ
ประสงค์ของพระบดิ าของเรา (ของพระเยซูเจ้า) บนสวรรค์” (ว. 21) แต่ปฏบิ ตั ติ าม “ความไรก้ ฎบญั ญตั ”ิ (“lawlessness”
ภาษากรกี ajnomi"a anomia ใน 7:23 แปลว่า “ผกู้ ระทาความชวั่ ” ในฉบบั NRSV และ NIV) พระเยซูเจา้ ทรงยก สดด. 6:9 มาเป็น
คาตดั สนิ เชงิ พพิ ากษาของพระองค์ เช่น 13:41; 23:28; 24:12 คาน้ีคอื คาทวั่ ไปท่ีนักบุญมทั ธวิ ใชเ้ รยี กความไม่
ชอบธรรม ไม่จาเป็นตอ้ งหมายถงึ กลุ่มคนทส่ี นบั สนุนการลม้ เลกิ กฎหมายของโมเสส หรอื กลุ่มผทู้ เ่ี ช่อื ในลทั ธิจนิ
ไตย1(Gnosticism) หรอื กลุ่มผู้ท่กี ระตอื รอื รน้ ฝ่ ายวญิ ญาณจนปฏิเสธแนวทางปฏิบตั ภิ ายนอกทงั้ หมด สาหรบั
นกั บุญมทั ธวิ “ความไรก้ ฎบญั ญตั ”ิ คอื การปฏเิ สธหรอื บดิ เบอื นการดาเนินชวี ติ อย่างชอบธรรมอย่ใู นพระบญั ญตั ิ
และอย่ใู นคาสอนของพระเยซูเจา้ และสรุปรวมคอื ดาเนินชวี ติ ในพระบญั ญตั แิ ห่งความรกั (24:12) ประเดน็ คอื ไม่ใช่
ทงั้ การประกาศตาแหน่งพระครสิ ตต์ ามความเชอ่ื อยา่ งชาวครสิ ต์ (“พระเจา้ ขา้ พระเจา้ ขา้ ”) หรอื ไมใ่ ชม่ คี วามสามารถใน
การแสดงปาฏหิ ารยิ อ์ นั น่าต่นื เต้น (ซ่งึ นักบุญมทั ธวิ ไม่ไดป้ ฏเิ สธ) จะเป็นกจิ การท่ไี ดร้ บั พจิ ารณาในการตดั สนิ พพิ ากษา

1 ลทั ธจิ นิ ไตยนิยม (Gnosticism) เป็นขบวนการอนั ซบั ซอ้ นดา้ นสตปิ ัญญาและดา้ นจติ ทเ่ี กดิ ขน้ึ มาในเวลาใกลเ้ คยี งกบั ศาสนาครสิ ต์ ลทั ธนิ ้บี ง่ ชว้ี า่
สสารหรอื วตั ถุ (Matter) เป็นสงิ่ ชวั่ รา้ ย (Evil) และสอนความรเู้ รน้ ลบั (Sacret Knowledge or Gnosis) ถงึ วธิ ปี ลดปล่อยแสงประกายของพระเจา้ ในตวั
มนุษยใ์ หเ้ ป็นอสิ ระจากสสาร

199

ครงั้ สุดทา้ ย แต่หากบุคคลใดไดป้ ฏบิ ตั ติ ามพระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ สง่ิ น้ีอาจไดร้ บั พจิ ารณาเป็นผลงานการ
กระทาแห่งความชอบธรรม (Works-Righteousness) ยกเว้นสาหรบั บรรดาศิษย์ผู้ซ่ึงได้สารภาพแล้วว่าตนมี
ความตอ้ งการพระหรรษทานและขอรบั การอภยั และไดภ้ าวนาขอใหพ้ ระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ สาเรจ็ ไป

คาเทศน์สอนบนภูเขาไม่ใช่คาสอนทางครสิ ตศาสตรเ์ ก่ยี วกบั พระเยซูเจา้ แต่เป็นลกั ษณะวถิ ชี วี ติ อนั เป็น
กระแสเรยี กของผูท้ ่เี ป็นศษิ ย์ กระนัน้ เราไม่ควรมองขา้ มครสิ ตศาสตรท์ ่แี ฝงเป็นนัยอยู่ในส่วนน้ี ในคาสอนเร่อื ง
ความสุขแท้และสภาวะขดั แยง้ ทงั้ หลายนนั้ พระเยซูเจา้ ไดย้ อมรบั ว่าพระองค์ทรงมอี านาจทเ่ี ป็นของพระเป็นเจา้
เพยี งผเู้ ดยี ว หรอื พระองค์เป็นตวั แทนหน่ึงเดยี วของพระเป็นเจา้ ในทน่ี ้ีพระเยซูเจา้ ไดแ้ สดงภาพวา่ พระองคก์ าลงั
กระทาการแทนพระเป็นเจา้ ในฐานะผพู้ พิ ากษาคนสุดทา้ ยทจ่ี ะตดั สนิ จุดหมายปลายทางของผทู้ เ่ี รยี กพระองคว์ ่า
“พระสวามเี จา้ ” อย่างไรกด็ ี เราไม่อาจละจากคาสอนของนักบุญเปาโลมาเลอื กคาสอนเกย่ี วกบั พระเยซูเจา้ แบบ
พระวรสารสหทรรศน์ หรอื ละความหมายจากครสิ ตศาสตรม์ าใชแ้ บบคาสอนของบทเทศน์สอนบนภูเขา ซง่ึ อาจ
ตคี วามเขา้ ใจในมุมมองต่างกนั หรอื ในวถิ ีทางต่างกนั แต่ทงั้ สองได้แสดงความหมายเก่ยี วกบั พระเยซูเจ้าองค์
เดยี วกนั (ดขู อ้ คดิ ไตร่ตรอง)

มทั ธวิ 7:24-27 ชา่ งสรา้ งบา้ นสองประเภท

24 “ผใู้ ดฟังถอ้ ยคาเหลา่ น้ีของเราและปฏบิ ตั ติ าม กเ็ ปรยี บเสมอื นคนมปี ัญญาทส่ี รา้ งบา้ นไวบ้ นหนิ 25 ฝนจะตก น้าจะไหลเชย่ี ว
ลมจะพดั โหมเขา้ ใสบ่ า้ นหลงั นนั้ บา้ นกไ็ มพ่ งั เพราะมรี ากฐานอยบู่ นหนิ 26 ผใู้ ดทฟ่ี ังถอ้ ยคาเหล่าน้ีของเรา และไมป่ ฏบิ ตั ติ ามก็
เปรยี บเสมอื นคนโงเ่ ขลาทส่ี รา้ งบา้ นไวบ้ นทราย 27 เมอ่ื ฝนตก น้าไหลเชย่ี ว ลมพดั โหมเขา้ ใส่บา้ นหลงั นนั้ มนั กพ็ งั ทลายลงและ
เสยี หายมาก”

ข้อศึกษาวิพากษ์
บทสรุปของคาเทศน์อนั ยง่ิ ใหญ่ในเอกสารแหลง่ Q เป็นอปุ มาสองเรอ่ื งเกย่ี วกบั เร่อื งผสู้ รา้ งบา้ นสองคน (ดู

ลก 6:47-49) นกั บุญมทั ธวิ ไดร้ กั ษารปู แบบเดมิ เอาไวอ้ ย่างละเอยี ด แม้ท่านจะปรบั เพมิ่ เตมิ ดา้ นรปู แบบการเขยี นลง
ไปบ้าง รูปแบบท่นี ักบุญมทั ธวิ ใชค้ อื ตวั แบบอนั ดเี ลศิ ของศลิ ปะท่เี รยี บง่ายไร้การตกแต่ง ไดส้ มมาตรอย่างวจิ ติ ร
งดงาม ตอนทส่ี องนัน้ เป็นการกล่าวซ้าขอ้ ความจากตอนแรกแทบจะคาต่อคา พลงั ของจนิ ตภาพไดร้ บั การเสรมิ
ดว้ ยการใชค้ าอย่างประหยดั ประโยคทก่ี ล่าวซ้า สนั้ กระชบั และปราศจากการเสรมิ แต่งคลา้ ยกบั เสยี งคอ้ นทุบท่ี
ขาดเป็นหว้ งๆ การเปล่ยี นแปลงเลก็ น้อยท่อี ยู่ในครง่ึ ท่สี องของอุปมาน้ี นาลกั ษณะการตดั สนิ ใจท่แี ยกเป็นสอง
(Dualism Decision) เข้าไปสู่โครงร่างอันเฉียบแหลม ซ่ึงเป็ นลักษณะเฉพาะของบทสรุปท่ีเป็ นคาเตือนน้ี
นบั ตงั้ แต่ “ทางสองแพร่งง” ใน 7:13

ฉลาด/ โงเ่ ขลา
หนิ / ทราย
ทา/ ไมท่ า
ไมล่ ม้ / ลม้
ลก. 6:47-49 ไดน้ าอุปมาไปปรบั ใชก้ บั เรอ่ื งการสรา้ งบา้ นในเมอื งของชาวกรีก แต่ฉบบั ของนกั บุญมทั ธวิ
สะทอ้ นถงึ แบบยุคปาเลสไตน์ดงั้ เดมิ มากกว่า เพราะบา้ นจะถูกสรา้ งขน้ึ ในฤดูแลง้ และแทบไม่มฝี นตกสกั หยดใน

200

ปาเลสไตน์ ทุกอย่างดูปลอดภยั จนกระทงั่ ถงึ พายุฤดูใบไม้ร่วง ซ่งึ จะมที งั้ ฝน ลมและน้าท่วมกระหน่าลงมาบน
พน้ื ทแ่ี หง้ แลง้ และบา้ นทส่ี รา้ งบนทรายจนไมอ่ าจตา้ นทานไหว สว่ นบา้ นทส่ี รา้ งบนหนิ จะสามารถยนื หยดั ไดอ้ ยา่ ง
ปลอดภยั แมว้ ่าผสู้ รา้ งบา้ นทงั้ สองคน ดสู บายดใี นปัจจุบนั แต่ผทู้ ส่ี รา้ งบา้ นโดยคานงึ ถงึ พายุเทา่ นนั้ ทจ่ี ะปลอดภยั
ความแตกต่างระหว่างผสู้ ร้างบา้ นท่ี “ฉลาด” (Wise) (ภาษากรกี fro"nimov phronimos) และผสู้ รา้ งบา้ นท่ี “โง่เขลา”
(foolish) (ภาษากรกี mwro"v moros) ไม่ใช่เร่อื งระดบั สตปิ ัญญา แต่เป็นสายตาแหลมคมท่มี องไปถงึ สถานการณ์
อนั ตกาล กล่าวคอื พวกเขาเตม็ ใจท่จี ะฟังถ้อยคาของพระเยซูเจา้ ในฐานะเป็นพระวาจาทพ่ี ระเจา้ ทรงเผยแสดง
และปฏบิ ตั ติ ามถอ้ ยคาเหล่านนั้ หรอื ไม่ ผตู้ คี วามไมค่ วรถอดรหสั อุปมาน้รี าวกบั วา่ คาสอนน้ีเป็นอปุ มาเปรยี บเทยี บ
(Pure Allegory) คอื ไม่ควรถามว่าหนิ บา้ น ฝน ลมและน้าท่วม “เป็นตวั แทน” ของอะไร เรอ่ื งน้ีเป็นการสรา้ งภาพ
ท่กี ระตุ้นให้เราคดิ มากกว่า แสดงให้เราเหน็ ความแตกต่างท่สี าคญั อย่างยง่ิ ระหว่างการทาและไม่ทาตามพระ
ประสงคข์ องพระเป็นเจา้ บทเทศน์น้ีรูเ้ ร่อื งของพระหรรษทาน แต่พระหรรษทานของพระเป็นเจา้ จะรบั รไู้ ด้ เม่อื
ชุมชนยดึ มนั่ ท่จี ะทาตามพระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ ทไ่ี ดท้ รงเผยแสดงไวใ้ นพระเยซูเจา้ เหตุผลแทจ้ รงิ ว่าไม่มี
“พระหรรษทานแบบ(ราคาถูก)คุณค่าต่า” ซ่งึ ทาใหเ้ ราคดิ แบบผดิ พลาด ปฏบิ ตั ติ นแสวงหาผลประโยชน์หรอื คุณค่า
ชวี ติ โดยไม่ใสใ่ จยดึ ถอื คาเทศน์สอนบนภูเขาอย่างเครง่ ครดั ในฐานะ(แสดงถงึ )พระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ อนั เป็น
แนวทางอนั ประเสรฐิ ใหเ้ รายดึ ปฏบิ ตั ใิ นการดาเนินชวี ติ

มเี รอ่ื งเลา่ ทค่ี ลา้ ยๆ กนั ในธรรมประเพณีของรบั บที เ่ี ปรยี บเทยี บความตา่ งระหวา่ งการรูธ้ รรมบญั ญตั ิ หรอื
หนงั สอื ปัญจบรรพ (Torah) อยา่ งเดยี วกบั การมปี ัญญาทจ่ี ะรแู้ ละนาไปปฏบิ ตั ดิ ว้ ย ในทน่ี ้ี เป็นขอ้ เน้นสอนอกี ครงั้
ทเ่ี ราเหน็ นัยยะทางครสิ ตศาสตรข์ องบทเทศน์สอนบนภูเขา กล่าวคอื ไม่มฐี านะตาแหน่งใดๆ ทจ่ี ะเหมาะสมกบั
สถานภาพของพระเยซูเจา้ แต่พระองคไ์ ดท้ รงทาใหก้ ารแสดงองคแ์ ละมอบคาสอนของพระองคเ์ ป็นการเผยแสดง
พระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ แทนทห่ี นงั สอื ปัญจบรรพ (ในพนั ธสญั ญาเดมิ )

มทั ธวิ 7:28-29 บทสรุปของคาเทศนา

ความพิศวงของประชาชน
28 เมอ่ื พระเยซูเจา้ ตรสั ถอ้ ยคาเหล่าน้ีจบแลว้ ประชาชนตา่ งพศิ วงในคาสงั่ สอนของพระองค์ 29 เพราะพระองคท์ รงสอนเขาอยา่ งผู้

มอี านาจ ไมใ่ ชส่ อนเหมอื นบรรดาธรรมาจารยข์ องเขา

ข้อศึกษาวิพากษ์
น่ีเป็นสูตรการสรุป/ส่งผ่าน 5 ครงั้ (Five Concluding/Transitional Formulae) ของพระวรสารนักบุญ

มทั ธวิ ทแ่ี สดงวาทกรรมหลกั 5 เร่อื ง (11:1; 13:53; 19:1; 26:1 เทยี บ บทนา) จากขอ้ ความเกย่ี วกบั พระราชอานาจของพระ
เยซูเจ้าและการตอบสนองต่อคาสอนของพระองค์ นักบุญมทั ธวิ นาเรากลบั เขา้ สู่เร่อื งราวท่มี าจากพระวรสาร
นักบุญมาระโก ซ่งึ ตอนแรกท่านได้ละ(เวน้ )ไวก้ ่อนเพ่อื นาบทเทศน์สอนบนภูเขาเขา้ มาแทรก (ดู มก. 1:22, 27) ท่าน
นกั บุญมทั ธวิ ไดล้ ะขอ้ ความทอ่ี ธบิ ายว่าคาสอนของพระเยซูเจา้ เป็น “ความใหม่” จากพระวรสารนกั บุญมาระโก (ดู
5:17-20) แตด่ ว้ ยการเตมิ คาวา่ “ของพวกเขา” (Their) ลงไปตรงคาวา่ ธรรมาจารย์ (Scribes) (ดู 4:23; 9:35: 10:17 และบท
นา) ทาใหพ้ ระฐานะของพระเยซูเจา้ เป็นสถานภาพทแ่ี ตกตา่ งหา่ งไกลจากบรรดาผนู้ าชาวยวิ

201

ข้อคิดไตร่ตรอง
ขอ้ คดิ ตอ่ ไปน้ไี ดม้ าจากบทเทศน์สอนบนภเู ขาทเ่ี ป็นขอ้ ความตอนทค่ี รบสมบรู ณ์ทงั้ หมดแลว้

1. ในบทสรุปของคาเทศน์ ฝงู ชนปรากฏขน้ึ มาในฉากนัน้ อกี ครงั้ (ดู 5:1-2) ฝงู ชนเหล่าน้ีเป็นประชาชนทวั่ ไป
ไม่ใช่ผูต้ ่อต้านพระเยซูเจา้ และไม่ใช่บรรดาศษิ ย์เช่นกนั พวกเขาเป็นตวั แทนของผูท้ ่อี าจจะมาเป็นศษิ ย์ แต่ยงั
ไม่ได้สมคั รผูกมดั ตนเอง พระเยซูเจ้าพยายามดึงความสนใจพวกเขาทุกคนตลอดทงั้ พระวรสาร คาสอนของ
พระองคไ์ ม่ใช่ขอ้ จากดั เฉพาะกลุ่มคนทเ่ี ขา้ มาในตอนเรม่ิ แรกเท่านนั้ แมว้ า่ พระองคจ์ ะตรสั กบั บรรดาศษิ ย์ แต่เป็น
การตรสั แบบ “เปิดเผยต่อสาธารณะ” ใหผ้ ทู้ อ่ี าจมาเป็นศษิ ยแ์ ต่ยงั ไม่ผกู มดั ตน หรอื “ฝงู ชน” ต่างไดย้ นิ และนาไป
ปฏบิ ตั ติ ามดว้ ย นกั บุญมทั ธวิ ไดใ้ หต้ วั แบบกบั คณะผแู้ พร่ธรรมของพระศาสนจกั รในการประกาศขา่ วดสี ชู่ าวโลก
ชุมชนของศษิ ยพ์ ูดภาษาของพวกเขาเอง รบั ศลี อภยั บาปในหม่พู วกเขาเอง และประกาศขอ้ บงั คบั ทางจรยิ ธรรม
ใหผ้ ทู้ ม่ี ุ่งมนั่ ตดิ ตามพระเยซูเจา้ ในฐานะพระครสิ ตแ์ ละพระเป็นเจา้ ผสู้ งู สง่ แต่พวกเขารวู้ า่ ตนไมใ่ ช่กลุ่มคนทจ่ี ากดั
เฉพาะสมาชกิ แต่มบี ทบาทหน้าทร่ี บั ผดิ ชอบเผยแผข่ า่ วดตี อ่ ชาวโลก (28:18-20) ดงั นนั้ แมก้ ารสนทนา “ภายใน”
กต็ อ้ งกระทาดว้ ยความรตู้ วั ว่าโลกกาลงั ฟังอยู่ เสน้ แบ่งระหว่างครสิ ตจกั รกบั โลกนัน้ ไม่ชดั เจนนักสาหรบั นักบุญ
มทั ธวิ เสน้ แบ่งน้ีไม่เพยี งแต่ตดั ผ่านภายในชุมชนเพ่อื ทจ่ี ะไดแ้ สดงความชดั เจนในวนั สน้ิ โลกเท่านัน้ (13:24-50)
แต่ยงั ตดั ผ่านแต่ละบุคคลในชุมชนด้วย ในการจดั การกบั ปัญหาทางจรยิ ธรรมในยุคสมยั ของเรา ครสิ ตจกั รท่ี
จรงิ จงั กบั ตวั แบบของนักบุญมทั ธวิ จะไม่พยายามบญั ญตั กิ ฎศลี ธรรมสาหรบั คนทุกศาสนา และไม่หลบเขา้ ไปอยู่
ในชุมชนท่ีเป็นเหมอื นกบั กลุ่มคนแยกตวั เป็นนิกายและใส่ใจกบั จรยิ ธรรมของคนในชุมชนเท่านัน้ เน้ือหาสาระ
ตอนน้ีสนบั สนุนใหค้ รสิ ตจกั รรวบรวมหลกั การทางจรยิ ธรรมของตนออกมา โดยยดึ ตามพน้ื ฐานของขอ้ คาสอนทร่ี ู้
แล้วจากความเช่อื และนาไปใช้ปฏิบตั ิโดยสงั เกตกลุ่มชนท่มี สี ่วนร่วมในจรยิ ธรรมนัน้ ด้วย แม้ว่าพวกเขาอาจ
แบ่งปันแลกเปลย่ี นประสบการณ์ความเชอ่ื ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง หรอื อาจไม่แบ่งปันแลกเปล่ยี นความเช่อื กต็ าม ความใสใ่ จ
กบั จรยิ ธรรมและการกระทาเช่นนัน้ คอื รูปแบบของการประกาศเผยแพร่ข่าวดี และเป็นรูปแบบท่เี รานามาใช้
อยา่ งจรงิ จงั ในโลกสมยั ใหม่

2. ฝงู ชนไม่เพยี งแต่ประทบั ใจเท่านนั้ แต่ถงึ กบั อศั จรรยใ์ จเลยทเี ดยี ว คาว่า “อศั จรรยใ์ จ” (Amazed) ในพระ
คมั ภีร์ฉบบั NIV (ภาษากรกี ejkplh"ssomai ekplessomai) มีความหมายแรง เหมือนกล่าวว่า “พวกเขารู้สกึ ตะลึง
(ช็อค)” ฝูงชนรู้สึก “ประหลาดใจ” (ในฉบับ NIV ใช้คาว่า “Astounded”) กับอานาจของพระเยซูเจ้า คาว่า “อานาจ”
(Authority ภาษากรีก ejxousi"a exousia) เป็นคาสาคญั ในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ (ดู 8:8; 9:6, 8; 10:1; 21:23-27; 28:18) ใน
เชงิ นิรุกตศิ าสตร์ ถอ้ ยคาน้ีสอ่ื เป็นนยั ๆ ว่าอานาจนนั้ “มาจากตวั ตนของบุคคลหน่ึง” และเป็นตวั แทนของรปู แบบ
และเน้ือหาคาสอนของพระเยซูเจา้ ในทางตรงขา้ มกบั คาสอนของธรรมาจารย์ คาสอนของพระเยซูเจา้ ไม่ใช่การ
แสดงออกของอานาจภายนอก ไม่ใช่หนังสอื ปัญจบรรพหรอื ธรรมประเพณีบอกเล่า พระเยซูเจ้าทรงกาหนด
สถานภาพพระองค์เองอยู่ในตาแหน่งผู้ส่งสารจากพระเป็นเจ้าโดยตรง พระองค์ตรสั “เราบอกกบั ท่านว่า” ซ่ึง
แสดงให้เห็นว่าอานาจของพระองค์นัน้ สูงส่งย่ิงกว่าของประกาศกท่ีพูดว่า “พระเป็นเจ้าทรงตรสั ดังน้ี” นัก
บุญมทั ธวิ สนับสนุนการเปลย่ี นตาแหน่งของอานาจโดยมเี หตุจากการเสดจ็ มาของพระผูไ้ ถ่ คาสอนของพระเยซู
เจา้ ท่ที รงอานาจไม่เป็นเพยี งการพูดดว้ ยเสยี งอนั ดงั และมคี วามมนั่ ใจ ไม่ใช่ลกั ษณะของน้าเสยี ง แต่เป็นการส่อื
อานาจของพระเป็นเจา้ มาถงึ พวกเรา โครงสรา้ งเดมิ ซง่ึ ประกอบดว้ ยหนงั สอื /ธรรมประเพณี/ผตู้ คี วาม ถูกเปลย่ี น
ใหเ้ หลอื เพยี งแค่บุคคลเดยี ว แน่นอนว่าทุกวนั น้ีถ้อยคาของพระองค์ไดร้ บั การส่อื ถงึ ชนรุ่นหลงั ผ่านทางหนังสอื

202

ธรรมประเพณี และผตู้ คี วาม แตพ่ ระครสิ ตผ์ ทู้ รงกลบั คนื พระชนมช์ พี คงดาเนนิ กระบวนการน้ีดว้ ยพระองคเ์ อง มติ ิ
แห่งความเป็นพระบุคคลเดยี วไม่เคยถูกลดทอนลงจนเหลอื แค่หนงั สอื กบั ธรรมประเพณี เรอ่ื งน้ีสอดคลอ้ งกบั การ
ผสมผสานคาสอนของพระเยซูเจ้า อานาจทงั้ หมด และการประทบั อยู่ของพระองค์ในบทสรุปท่สี าคญั สูงสุดใน
28:16-20

3. เป็นครงั้ แรกนบั ตงั้ แต่ 5:2 เสยี งของผบู้ รรยายกลบั มาอกี ครงั้ (7:28) สามบททผ่ี า่ นมา ผอู้ า่ นหรอื ผฟู้ ังจะได้
ยนิ เพยี งเสยี งเดยี ว คอื เสยี งของพระเยซูเจ้า โดยปราศจากการแทรกแซงจาก คาถาม บทสนทนา หรอื ความ
คดิ เหน็ ของผบู้ รรยาย เมอ่ื ถงึ บทสรปุ ของคาเทศน์ ไมม่ เี สยี งตอบรบั ใดๆ บรรดาศษิ ยต์ า่ งเงยี บงนั มกี ารเลา่ ถงึ การ
ตอบสนองของฝงู ชน แต่ไม่ใช่คาพูดของพวกเขา ความสนใจทงั้ หมดมุ่งไปท่คี าพูดของพระเยซูเจ้า ผู้ฟังหรอื
ผอู้ ่านเกอื บลมื ไปว่าพวกเขากาลงั ฟัง “คาเทศน์” ทอ่ี ยู่ในเร่อื งเล่า เพราะคาสงั่ อนั ทรงอานาจนัน้ ไดส้ ่อื ใหเ้ หน็ ถงึ
สถานการณ์ของพวกเขาเอง มนั ทาหน้าท่เี หมอื นการพูดคุยมากกว่าการรายงานสงิ่ ท่เี กดิ ขน้ึ เทคนิคการเขยี น
เช่นน้ีทาใหผ้ อู้ ่านหรอื ผฟู้ ังเป็นฝ่ายรบั การสนทนาโดยตรง สามารถมองผา่ นบรรดาศษิ ยท์ อ่ี ย่ใู นทอ้ งเร่อื งและเหน็
ถงึ ยุคสมยั หลงั การกลบั คนื พระชนมช์ พี ของผอู้ า่ นเอง น่ีคอื เทคนิควธิ กี ารหน่ึงในหลายแบบทแ่ี สดงการประทบั อยู่
อยา่ งตอ่ เน่อื งของพระครสิ ต์ (18:20; 28:20) สามารถสมั ผสั รบั รไู้ ดโ้ ดยชมุ ชนของนกั บญุ มทั ธวิ และผอู้ ่านรุน่ หลงั ดว้ ย

4. ครสิ ตจกั รหลายแห่งประสบปัญหาเก่ยี วกบั คาเทศน์สอนบนภูเขา เพราะสงสยั ว่าใครจะสามารถดาเนิน
ชวี ติ เช่นนัน้ ไดจ้ รงิ คาถามท่อี ย่ใู นระดบั พ้นื ฐานมากกว่าและเก่ยี วขอ้ งกบั มุมมองร่วมสมยั ดา้ นจรยิ ธรรมในพระ
คมั ภรี ์ คอื ใครจะต้องการใชช้ วี ติ เช่นนัน้ คาตอบแบบผวิ เผนิ นนั้ มมี ากมาย เช่น คาเทศน์สอนบนภูเขาเป็นเพยี ง
เรอ่ื งของสามญั สานึก ชว่ ยใหค้ นมคี วามสขุ และประสบความสาเรจ็ เป็นวธิ ที จ่ี ะไดร้ บั สวรรคแ์ ละหลกี เลย่ี งนรก แต่
คาตอบเหล่าน้ีไม่ชว่ ยอะไรเลย และยงั ไมใ่ ชส่ งิ่ ทน่ี กั บญุ มทั ธวิ ตอ้ งการสอ่ื อกี ดว้ ย ทา่ นนกั บุญมทั ธวิ แสดงใหเ้ หน็ วา่
คาเทศน์สอนน้ีมคี วามเช่อื มโยงกบั ผทู้ ่เี ทศนาอย่างแยกจากกนั ไม่ได้เลย และยงั เช่อื มโยงกบั จรยิ ธรรมท่ไี ม่อาจ
แยกจากครสิ ตศาสตรไ์ ด้ แน่นอนว่าไม่มหี ลกั การครสิ ตศาสตร์ปรากฏใหเ้ หน็ ได้ชดั อยู่ในคาเทศน์สอนบนภูเขา
หวั ขอ้ การเทศน์ไม่ใช่เร่อื งของบุคคลทเ่ี ป็นพระครสิ ต์ แต่เป็นลกั ษณะการดาเนินชวี ติ ทผ่ี เู้ ป็นศษิ ยถ์ ูกเรยี กรอ้ งให้
ปฏบิ ตั ิ ซ่งึ เราไม่อาจเขา้ ใจคาสงั ่ ในบทเทศน์น้ีไดเ้ ลย หากปราศจากนัยยะทางครสิ ตศาสตร์ (ดู 5:1-12, 17-20, 21-48;
7:21-27) เราไม่สามารถหลกี เลย่ี งครสิ ตศาสตรแ์ ละหนั ไปสนใจแต่คาสอนหรอื หลกั การอนั ยงิ่ ใหญ่ของพระเยซูเจา้
เพราะสาระเหล่าน้ีไม่อาจแยกขาดจากความเป็นพระบุคคลของพระองค์ แต่สาหรบั นกั บุญมทั ธวิ สาระทต่ี รงขา้ ม
กบั สาระน้ีเป็นจรงิ ด้วยเช่นกนั ความเขา้ ใจทางครสิ ตศาสตร์ “ท่ถี ูกต้อง” ไม่อาจใช้แทนท่กี ารดารงชวี ติ อย่างมี
จรยิ ธรรมซง่ึ พระเยซูเจา้ ทรงเรยี กใหบ้ รรดาศษิ ยป์ ฏเิ สธ ครสิ ตศาสตรก์ บั จรยิ ธรรม เชน่ เดยี วกบั ครสิ ตศาสตรแ์ ละ
ความเป็นศษิ ย์ เป็นขอ้ คาสอนเชงิ ปฏบิ ตั ทิ แ่ี ยกจากกนั ไม่ไดส้ าหรบั นกั บญุ มทั ธวิ

5. หวั ขอ้ ดงั้ เดิมของงานเขยี นตอนน้ีคอื “บทเทศน์สอนบนภูเขา” ซ่ึงนักบุญออกุสตินได้นิยามไว้เช่นนัน้
ตงั้ แต่ในศตวรรษท่ี 5 แต่เน้ือหาสาระเป็นคาสอนของพระเยซูเจา้ มากกวา่ เป็นคาเทศน์ เป็น Didache (คาสอนดงั้ เดมิ
ทเ่ี ล่าสบื ต่อกนั มาแบบปากเปล่า) มากกว่าเป็น Kerygma (การประกาศข่าวด)ี นักบุญมทั ธวิ ไม่ได้เรยี กสาระตอนน้ีว่าเป็นบท
เทศน์ แต่เรยี กว่า “คาสอน” ของพระเยซูเจ้า (5:2: 7:22-29) แก่นหลกั ของการประกาศข่าวดใี นพระวรสารนักบุญ
มทั ธวิ ทน่ี กั บุญยอหน์ ผทู้ าพธิ ลี า้ งและพระเยซูเจา้ เป็นผแู้ บ่งปัน คอื การมาถงึ ของพระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ และ
การตอบสนองของมนุษยโ์ ดยการสานึกผดิ ถงึ บาปและกลบั ใจ (3:1; 4:17, 23; 9:35; 10:7; 24:14;26:13) แต่แนวคดิ ทงั้ สอง
น้ีไม่มอี ยู่ในบทเทศน์บนภูเขา ซ่งึ ไม่ใช่สงิ่ ท่บี อกกล่าวแก่สาธารณะชน แต่เป็นการบอกแก่ชุมชนของศษิ ย์ท่ไี ด้

203

ตอบสนองต่อคาเทศน์ของพระเยซูเจ้าด้วยศรทั ธา แล้วสวดภาวนาถงึ พระเป็นเจ้าในฐานะท่เี ป็นพระบดิ า และ
เรยี กกนั และกนั ว่า “พ่ีน้อง” เราควรระลกึ ว่ามรี ากฐานของการประกาศข่าวดีน้ีอยู่ก่อนแล้ว หรอื มิฉะนัน้ ควร
ระมดั ระวงั อยา่ ดว่ นตดั สนิ วา่ เน้อื หาสาระตอนนน้ี คอื บทสรปุ ของสารทงั้ หมดจากพระเยซูเจา้

6. ความเช่อื มนั่ ในทางครสิ ตศาสตรข์ องนกั บุญมทั ธวิ ไม่ไดส้ อ่ื สารออกมาในรปู ของบทเรยี งความ แต่วา่ เป็น
หน่งึ เดยี วกนั กบั บทบรรยายทท่ี า่ นประพนั ธไ์ วอ้ ย่างแยกไมอ่ อก บทเทศน์น้คี วรไดร้ บั การตคี วามในฐานะสว่ นหน่ึง
ของบทบรรยายของนักบุญมทั ธวิ คอื เป็นบทพูดของตวั ละครหลกั ในเร่อื งราวท่ีนักบุญมทั ธวิ ได้สรา้ งข้นึ อย่าง
ระมดั ระวงั ขอ้ ความทอ่ี ยใู่ นบทเทศน์บนภูเขาไม่ใชห่ ลกั จรยิ ธรรมทวั่ ไปหรอื คาแนะนาจากอจั ฉรยิ ะหรอื นกั ปราชญ์
ทางศาสนาทม่ี คี วามหมายในตวั มนั เอง ความหมายและความน่าเช่อื ถอื ของขอ้ ความเหล่านนั้ มาจากเรอ่ื งราวของ
สง่ิ ทพ่ี ระเป็นเจา้ ทรงกระทาผ่านทางพระเยซูเจา้ หากปราศจากบรบิ ททก่ี ล่าวถงึ ความสาคญั ลาดบั แรกของพระ
หรรษทาน บทเทศน์น้ีอาจถูกเขา้ ใจผดิ ในทางเทวศาสตรว์ ่ามลี กั ษณะเป็นนิตนิ ิยม (Legalism) ระดบั สงู สุด แมว้ ่า
คาสอนจะมปี ระโยคคาสงั่ หลายประโยค แต่คาเทศน์สอนน้ีกไ็ ม่ใช่รายการสง่ิ ท่เี ราพงึ ปฏบิ ตั ิ การตอบสนองจาก
มนุษยเ์ ป็นสงิ่ จาเป็นและมาก่อนสงิ่ บ่งช้ถี งึ การกระทาของพระเป็นเจา้ เช่นเดยี วกบั ในส่วนอ่นื ๆ ของพระวรสาร
นกั บุญมทั ธวิ

7. ไม่ใช่เร่อื งง่าย หากครสิ ตจกั รใดต้องการจะนาเน้ือหาสาระตอนน้ีไปปฏบิ ตั อิ ย่างจรงิ จงั ตลอดช่วงเวลา
หลายศตวรรษ โครงรา่ งของปัญหาทค่ี รสิ ตจกั รตอ้ งประสบในการทาความเขา้ ใจและปฏบิ ตั ติ ามคาสอนน้ีสามารถ
แยกออกเป็นประเดน็ วา่ คาสงั่ ใดกล่าวกบั คนกลุม่ ใดและเมอ่ื ใดควรนาไปใชป้ ฏบิ ตั ิ หากเน้อื หาสาระดเู ป็นไปไมไ่ ด้
ว่าคาเทศน์สอนน้ีมไี วส้ าหรบั ทุกคนในทุกโอกาส เราจะเขา้ ใจเจตนาของสารได้ดขี น้ึ หรอื ไม่ หากจากดั ผูร้ บั สาร
และโอกาสในการนาไปใช้ แนวทางเชน่ น้กี อ่ ใหเ้ กดิ การตคี วามรปู แบบต่างๆดงั ต่อไปน้ี

“คาเทศนาน้ีมไี วส้ าหรบั ทุกคน หรอื เฉพาะชาวครสิ ตท์ ุกคนและตลอดทกุ เวลา”
(ก) งานเขยี นของชาวครสิ ต์ยุคแรกเรม่ิ ตคี วามว่าหลกั การทอ่ี ย่ใู นบทเทศน์สอนน้ีมไี วใ้ หช้ าวครสิ ต์ทุกคน
นาไปปฏบิ ตั ิ โดยมเี พยี งสามญั สานึกของแต่ละคนคอยชแ้ี นะแนวทาง แมว้ ่าการปฏบิ ตั ติ ามตวั อกั ษร
จะมี “ปัญหา” ทเ่ี หน็ ไดช้ ดั เจนเกย่ี วกบั การหนั แก้มอกี ขา้ งหน่ึงใหค้ นอ่นื ตบหรอื การสละทรพั ยส์ มบตั ิ
ทงั้ หมด แต่มบี างคนหรอื บางกลุ่ม เช่น ลโี อ ตอลสตอย (Leo Tolstoy) และชาวครสิ ตจกั รอนาบปั
ตสิ ต์ (the Anabaptists) เช่อื ว่าคาเทศน์สอนเหล่าน้ีมไี วป้ ฏบิ ตั ติ ามตวั อกั ษร และบ่อยครงั้ หมายถงึ
การแยกตวั ออกจากสงั คมปกติ
(ข) วธิ ที ส่ี องในการนาบทเทศน์สอนน้ีไปใชส้ าหรบั ทกุ คน คอื การตคี วามแบบอุดมคติ ไม่ใช่ตามตวั อกั ษร
พระเยซูเจ้าและนักบุญมทั ธวิ คอื นักอุดมคติผู้ให้เป้าหมายสูงสุดกบั เรา แม้ว่าเราจะไม่อาจไปถึง
เป้าหมายนัน้ ไดจ้ รงิ แต่ยงั ใหแ้ นวทางเพ่อื ใหเ้ ราพยายามปฏบิ ตั ใิ นเชงิ จรยิ ธรรม ศาสนาครสิ ต์ นิกาย
โปรเตสแตนท์ แบบเสรนี ิยมค่อนขา้ งมแี นวทางเช่นน้ี คอื ลดระดบั คาเทศน์สอนลงมาเป็นแค่หลกั การ
และทศั นคตทิ ม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อการกระทาของเรา จุดศูนยก์ ลางของคาเทศนาอย่ทู ่ี 6:1-8 ซ่งึ ถูกนามาใช้
เป็นแกนหลกั สาหรบั ส่วนทเ่ี หลอื ส่วนความนิยมกฎหมายและนิยมการปฏบิ ตั แิ ต่เพยี งภายนอกของ
ชาวยวิ เป็นเหมอื นกระดาษทห่ี อ่ หมุ้ จรยิ ธรรม “ภายใน” ทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงสอน

204

(ค) อกี แนวทางหน่ึงพฒั นาขน้ึ โดยนิกายลูเธอรนั เสนอว่าคาสอนน้ีมไี วใ้ หท้ ุกคนปฏบิ ตั ิ แต่หน้าทข่ี องบท
เทศน์สอนบนภูเขาเป็นลบ คอื เป็นบทเทศน์ทท่ี าหน้าทเ่ี หมอื นกฎหมายหรอื บทบญั ญตั ิ แบบเดยี วกบั
ธรรมบญั ญตั ทิ พ่ี ระเป็นเจา้ ประทานแก่มนุษย์ เพ่อื ใหเ้ รารบั รวู้ ่าตวั เราเองไรค้ วามสามารถทจ่ี ะปฏบิ ตั ิ
ตาม และเราต้องพ่ึงพระหรรษทาน ดงั นัน้ จึงเป็นบทเทศน์ท่ีเหมือนกบั การเตรยี มทางไว้สาหรบั
ประกาศข่าวดี โดยเผยใหเ้ ราเหน็ ถงึ ความไรส้ มรรถภาพของตนเองและทาให้เรารูส้ กึ ท้อแท้ใจ เพ่อื
บงั คบั ใหเ้ ราหยดุ การยกยอตนเองวา่ เป็นผชู้ อบธรรม แนวทางทเ่ี ป็นลกั ษณะคาสอนของนักบุญเปาโล
น้ีอาจนาไปส่มู ุมมองท่บี ิดเบอื นว่าเป็น พระหรรษทานมคี ุณค่าต่า หรอื ตคี วามในเชงิ ครสิ ตศาสตรว์ ่า
พระเยซูเจา้ คอื อดมั คนทส่ี อง ผมู้ าทาใหธ้ รรมบญั ญตั เิ ป็นจรงิ สมบรู ณ์

“บทเทศน์สอนน้มี ไี วส้ าหรบั บางคนเทา่ นนั้ ”
แนวทางการตีความหลกั แบบท่สี องจดั การกบั ความยากของขอ้ เรยี กรอ้ งโดยให้เหตุผลแตกต่างจาก

แนวทางอ่นื ๆ ทก่ี ล่าวไวข้ า้ งตน้ ว่าบทเทศน์สอนน้ีไม่ไดม้ ไี วส้ าหรบั ทุกคน แต่มไี วส้ าหรบั บางคนเท่านัน้ มุมมอง
ของสมยั ยุคกลาง ซง่ึ โดยรวมแลว้ ไดอ้ ทิ ธพิ ลหลกั ๆ มาจากนักบุญโทมสั อไควนสั เหน็ ว่าคาสอนหลกั ของศาสนา
ครสิ ต์มไี วส้ าหรบั ทุกคน แต่ “คาแนะนาเพอ่ื ไปส่คู วามครบครนั ” (Counsels of Perfection) มไี วส้ าหรบั พระสงฆ์
และนกั บวชชายหญงิ เท่านนั้ ซง่ึ ดเู หมอื นวา่ ประเดน็ น้จี ะไดร้ บั การสนบั สนุนจากวธิ ที ่ีนกั บุญมทั ธวิ นาขอ้ ความจาก
พระวรสารนกั บุญมาระโกมาเรยี บเรยี งใหม่ โดยเตมิ ขอ้ ความว่า “แต่หากท่านปรารถนาเป็นผทู้ ด่ี พี รอ้ ม” ลงไปใน
บญั ญตั สิ บิ ประการซง่ึ เป็นขอ้ เรยี กรอ้ งใหท้ ุกคนปฏบิ ตั ิ (มธ. 19:21 ค่ขู นานกบั มก. 10:19) เราไม่ควรมองว่าการทาเช่นน้ี
เป็นการผอ่ นผนั แต่เป็นมมุ มองทเ่ี หน็ วา่ หากการเรยี กรอ้ งใหค้ นสว่ นใหญ่ดาเนินชวี ติ อย่างเคร่งครดั เหมอื นในคา
เทศน์สอนบนภูเขาเป็นสงิ่ ทไ่ี ม่อาจเกดิ ขน้ึ จรงิ อย่างน้อยคนบางคนควรจะทาได้ ไม่ใช่ดว้ ยการทาใหต้ นเองเป็นผู้
ชอบธรรมหรอื ดสี งู สง่ กว่าผอู้ ่นื แต่เพ่อื เป็นพยานและเป็นการทาใหพ้ ระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ สาหรบั พวกเรา
ทกุ คนปรากฏเป็นรปู เป็นรา่ งขน้ึ

“คาเทศนาน้มี ไี วส้ าหรบั บางยคุ สมยั เทา่ นนั้ ”
แนวทางสาคญั แบบท่สี ามมขี อ้ โต้แยง้ ว่าคาเทศน์สอนน้ีมไี วส้ าหรบั บางยุคสมยั เช่น มลี กั ษณะส่อื แบบ

อนั ตกาล มมุ มองเชน่ น้มี อี ยสู่ ามรปู แบบคอื
(ก) ทฤษฎกี ารแบ่งยคุ สมยั น้ีไดร้ บั ความนิยมโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในอเมรกิ า โดยพระคมั ภรี ฉ์ บบั อา้ งองิ ของ
ซี.ไอ. สโกฟี ลด์ (C. I. Scofield Reference Bible) ให้เหตุผลว่าคาเทศน์สอนบนภูเขาไม่ได้มีไว้
สาหรบั ผู้ท่มี าฟังพระเยซูเจ้าสอนหรอื คนในยุคสมยั ของเรา แต่เป็นศลี ธรรมจรรยาของผูค้ นในพระ
อาณาจกั รของพระเป็นเจ้าท่กี าลงั จะมาถงึ หรอื อาณาจกั รพนั ปี (Millennial Kingdom) หลงั จากการ
เสดจ็ มาครงั้ ทส่ี องของพระเยซูครสิ ต์
(ข) การค้นพบแนวคดิ เก่ยี วกบั อวสานตกาลในคาสอนของพระเยซูเจ้าอีกครงั้ เป็นสงิ่ ท่ีสาคญั อย่างยงิ่
เน่ืองจากประเดน็ น้ีถูกลดทอนความสาคญั ในนิกายโปรเตสแตนท์ แบบเสรนี ิยม “พระอาณาจกั รของ
พระเป็นเจ้า” เป็นเร่อื ง “จติ ใจ” ในความเช่อื แบบเสรนี ิยม แต่โยฮนั ส์ ไวส์และอลั เบิร์ต ชไวส์เซอร์
(Johannes Weiss and Albert Schweitzer) แสดงให้เห็นว่าในพระวรสารสหทรรศน์ (Synoptic

205

Gospels) คาน้มี คี วามหมายถงึ อวสานตกาล และโตแ้ ยง้ วา่ พระเยซูเจา้ ทรงคาดหมายวา่ จดุ จบของโลก
กาลงั จะมาถงึ ในไม่ชา้ และคาสอนของพระองคค์ วรไดร้ บั การปฏบิ ตั แิ บบตามตวั อกั ษร เพราะว่าเป็น
การปฏบิ ตั ใิ นชว่ งเวลาสนั้ ๆ ก่อนกาลอวสานจะมาถงึ (จรยิ ศาสตรร์ ะหวา่ งเวลา หรอื Interim Ethic)
(ค) มมุ มองของชไวซเ์ ซอรไ์ มไ่ ดร้ บั การสนบั สนุนจากนกั วชิ าการพระคมั ภรี ภ์ าคพนั ธสญั ญาใหมใ่ นปัจจุบนั
แต่การคน้ พบแง่มุมทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั อวสานกาลในจรยิ ธรรมท่อี ยู่ในพระวรสารเป็นรากฐานให้กบั การ
พฒั นามุมมองท่มี อี ทิ ธพิ ลสูง แง่มุมน้ีทาใหพ้ ระเยซูเจา้ (และนักบุญมทั ธวิ ) รบั รูแ้ ละประกาศพระประสงค์
อนั ปราศจากเงอ่ื นไขของพระผเู้ ป็นเจา้ ซง่ึ เป็นจรงิ ในทุกยุคทุกสมยั ไม่ใช่เป็นเร่อื งเรง่ ดว่ นทต่ี อ้ งรบี ทา
ในช่วงระหว่างเวลา พระเยซูเจา้ ทอ่ี ย่ใู นพระวรสารของนักบุญมทั ธวิ คอื ผทู้ ม่ี องโลกและดาเนินชวี ติ
โดยคานึงถงึ พระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ ทก่ี าลงั จะมาถงึ (อนาคต/ปัจจุบนั ) ดงั นัน้ พระองคจ์ งึ สามารถ
เปิดเผยรูปแบบชวี ติ ท่พี ระเป็นเจ้าต้องการโดยไม่มขี อ้ ยกเวน้ แนวทางน้ีจรงิ จงั กบั สถานการณ์ทาง
ประวตั ศิ าสตรแ์ ละความมเี งอ่ื นไขทางประวตั ศิ าสตรข์ องบทเทศน์สอนน้ี โดยไมท่ าใหบ้ ทเทศน์สอนบน
ภเู ขากลายเป็นเหมอื นโบราณสถานทอ่ี ยแู่ ยกห่างจากยุคสมยั และการตดั สนิ ใจตา่ งๆ ของเรา
พระสนั ตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 ให้คาอธิบายตีความใน “พระเยซูเจ้าแห่งนาซาเร็ธ” ผสานมุมมอง
ต่อเนือ่ งและเพมิ่ เตมิ จากรบั บชี าวยวิ ชอื่ ยาโคบ นูสเนอร์ (ดู ขอ้ ศกึ ษาวพิ ากษ์ มธ. 5: 18-48 ตอนทา้ ย หน้า 156-158 หรอื จากอา้ ง
แลว้ โยเซฟ รตั ซงิ เกอร,์ หน้า 193-203) วา่ นูสเนอร์ สมมตุ ติ วั เองเป็นคนหนงึ่ ทอี่ ยทู่ า่ มกลางบรรดาศษิ ยข์ องพระเยซเู จา้ บน
“ภูเขา” ในแควน้ กาลลิ ี ท่านเฝ้าฟังพระเยซูเจา้ และเปรยี บเทยี บพระวาจาของพระองค์กบั ถ้อยคาของพระคมั ภรี ์
พนั ธสญั ญาเดมิ รวมทงั้ เปรยี บเทยี บกบั ธรรมประเพณีแบบรบั บดี งั ทมี่ บี ญั ญตั ไิ วใ้ นหนังสอื มชิ นาห์ (Mishnah)
และหนังสอื ทลั มุด (Talmud) ดว้ ย ท่านเหน็ ในผลงานเหล่านนั้ ถงึ ธรรมประเพณีแบบปากเปล่าทยี่ อ้ นกลบั ไปส่ยู ุค
เรมิ่ ตน้ ซงึ่ ช่วยใหท้ า่ นมกี ุญแจสาหรบั ไขความหมายของธรรมบญั ญตั ิ ท่านฟังพระเยซูเจา้ ท่านเปรยี บเทยี บ และ
ท่านพดู คุยกบั พระองค์ ท่านรสู้ กึ ประทบั ใจกบั ความยงิ่ ใหญ่และความบรสิ ุทธข์ิ องสงิ่ ทพี่ ระเยซูเจา้ ตรสั นนั้ และใน
ขณะเดยี วกนั ท่านรสู้ กึ ลาบากใจกบั การไมล่ งรอยกนั เป็นอยา่ งยงิ่ ทีท่ า่ นพบอยู่ ณ หวั ใจของบทเทศน์สอนบนภเู ขา
ท่านจงึ ร่วมเดนิ ทางกบั พระเยซูเจ้าไปกรุงเยรูซาเล็มด้วย และเฝ้าฟังพระวาจาของพระเยซูเจ้าหวนกลบั มาสู่
แนวคดิ เดมิ ๆ และพฒั นาข้นึ เรอื่ ยๆ ท่านพยายามอย่เู สมอทจี่ ะทาความเขา้ ใจกบั พระวาจาของพระองค์ ท่านมกั
รูส้ กึ ถูกกระตุ้นโดยความยิง่ ใหญ่ของพระเยซูเจ้า ท่านพูดคุยกบั พระองค์ครงั้ แลว้ ครงั้ เล่า และพระเยซูเจา้ กท็ รง
พดู คุยกบั ท่านดว้ ย แต่สุดทา้ ยท่านกต็ ดั สนิ ใจวา่ ท่านจะไม่ตดิ ตามพระเยซูเจา้ ทา่ นตดั สนิ ใจตามทที่ ่านบอกเองวา่
ทา่ นยงั คงอยกู่ บั “อสิ ราเอลนิรนั ดร” นนั้ ตามเดมิ
การสนทนาการของรบั บผี นู้ ้ีกบั พระเยซูเจา้ แสดงใหเ้ หน็ ว่าความเชอื่ ต่อพระวาจาของพระเป็นเจา้ ในพระ
คมั ภรี ก์ อ่ ใหเ้ กดิ สายสมั พนั ธร์ ว่ มสมยั ขา้ มกาลเวลา กลา่ วคอื โดยเรมิ่ จากพระคมั ภรี ์ รบั บผี นู้ ้กี ส็ ามารถเขา้ สู่ “วนั น้ี”
ของพระเยซูเจา้ ดงั เชน่ ทพี่ ระเยซูเจา้ เมอื่ เรมิ่ จากพระคมั ภรี ์ กท็ รงสามารถเขา้ มาสู่ “วนั น้ี” ของเราได้ การสนทนา
น้ีเป็นไปดว้ ยความซอื่ สตั ยย์ งิ่ ช่วยใหเ้ หน็ ถงึ ความแตกต่างไดอ้ ย่างเด่นชดั ทสี่ ุด แต่มนั กเ็ กดิ ข้นึ มาในความรกั ที่
ยงิ่ ใหญด่ ว้ ยเชน่ กนั รบั บผี นู้ ้ียอมรบั สารอกี แบบหนึง่ ของพระเยซูเจา้ แลว้ เขากจ็ ากไปอย่างอสิ ระโดยไมม่ คี วามคบั
แคน้ ใจใดๆ การจากไปน้สี าเรจ็ แลว้ ในการถอื เครง่ ตอ่ ความจรงิ เป็นสงิ่ ทเี่ ตอื นใจเราใหร้ ะลกึ ถงึ อานาจคนื ดกี นั ของ
ความรกั ...
พระบญั ญตั พิ ระเป็นเจา้ ประการที่ 4 “จงนับถอื บดิ ามารดา เพอื่ ท่านจะได้มอี ายุยนื อยู่ในแผ่นดนิ ทพี่ ระ
เจา้ ของท่านประทานใหท้ ่าน” (อพย. 20: 12) พระบญั ญตั ปิ ระการน้ีกล่าวกบั ผเู้ ป็นบุตรและกล่าวถงึ ผเู้ ป็นบดิ ามารดา

206

และช่วยเสรมิ สรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหว่างคนรุ่นต่างกนั กบั สถาบนั ครอบครวั ใหเ้ ขม้ แขง็ เป็นไปตามระเบยี บแบบ
แผนทพี่ ระเป็นเจา้ ทรงมพี ระประสงคแ์ ละทรงปกป้องไว้ พระบญั ญตั นิ ้ีกล่าวถงึ แผ่นดนิ และการดารงชวี ติ ยนื ยาว
อย่บู นแผ่นดนิ กล่าวอกี อย่างหนึง่ คอื พระบญั ญตั นิ ้ีเชอื่ มโยงแผ่นดนิ ในฐานะทเี่ ป็นสถานทใี่ หผ้ คู้ นทงั้ หลายเจรญิ
ชวี ติ เขา้ กบั ระเบยี บพ้นื ฐานของครอบครวั พระบญั ญตั นิ ้ีผกู พนั การเป็นอย่แู บบต่อเนือ่ งของผคู้ นและแผ่นดนิ เขา้
กบั การเป็นอยรู่ ว่ มกนั ของคนรุ่นตา่ งๆ ทถี่ กู สรา้ งขน้ึ มาภายในโครงสรา้ งของครอบครวั

เวลาน้ีรบั บนี ูสเนอรม์ องเหน็ อย่างถูกต้องว่าพระบญั ญตั ปิ ระการน้ี เป็นการทาใหห้ วั ใจของระเบยี บทาง
สงั คมปักหลกั มนั่ คง ทาให้ “อสิ ราเอลนิรนั ดร” เกาะยดึ ตดิ กนั แน่นมากข้นึ เป็นครอบครวั จรงิ ทเี่ จรญิ ชวี ติ สบื ทอด
จากท่านอบั ราฮมั กบั นางซาราห์ ท่านอสิ อคั กบั นางเรเบคคา ท่านยาโคบกบั นางเลอาห์และนางราเคล (pp. 58,70)
ตามทนี่ ูสเนอร์กล่าวไวน้ นั้ ครอบครวั ของอสิ ราเอลน้ีถูกคุกคามโดยสารของพระเยซูเจา้ และรากฐานระเบยี บทาง
สงั คมของอสิ ราเอลกถ็ กู ลดความสาคญั ลงไปจากการถอื เอาพระเยซูเจา้ เป็นความสาคญั อนั ดบั แรก “เราภาวนาต่อ
พระเป็นเจา้ ทเี่ รารจู้ กั นับแต่แรกเรมิ่ โดยทางการเป็นประจกั ษ์พยานของครอบครวั ของเรา เราภาวนาต่อพระเป็น
เจ้าของท่านอบั ราฮมั กบั นางซาราห์ ต่อพระเป็นเจ้าของท่านอิสอคั กบั นางเรเบคคา ต่อพระเป็นเจ้าของท่าน
ยาโคบกบั นางเลอาห์และนางราเคล ฉะนัน้ เพอื่ ช้แี จงว่าเราเป็นใคร เป็นเป็นอสิ ราเอลนิรนั ดร บรรดาผอู้ าวุโสจงึ
กล่าวท้าวความเป็นเชิงอุปมาถึงลาดบั เช้อื สาย...ถงึ ความเกีย่ วพนั กนั ทางสายโลหติ คอื ครอบครวั เป็นหลกั
เหตุผลของการเป็นอยทู่ างสงั คมของชนอสิ ราเอล” (p. 58)

แต่เป็นความเกยี่ วพนั เช่นน้ีเองทพี่ ระเยซูเจา้ ทรงนามาตงั้ คาถาม มคี นบอกพระเยซูเจา้ ว่ามารดาและพี่
น้องของพระองค์รออยู่ขา้ งนอกต้องการพูดกบั พระองค์ พระเยซูเจา้ ทรงตอบว่า “ใครเป็นมารดา ใครเป็นพนี่ ้อง
ของเรา"”แล้วทรงยนื่ พระหตั ถ์ช้บี รรดาศษิ ย์ ตรสั ว่า “นีค่ อื มารดาและพีน่ ้องของเรา เพราะผู้ทปี่ ฏิบตั ิตามพระ
ประสงคข์ องพระบดิ าของเราผสู้ ถติ ในสวรรค์ ผนู้ นั้ เป็นพนี่ ้องชายหญงิ และเป็นมารดาของเรา” (มธ. 12: 46-50)

เมอื่ พบกบั ขอ้ ความพระคมั ภรี ด์ งั กล่าว นูสเนอรก์ ต็ งั้ คาถามว่า “พระเยซูเจา้ มทิ รงสอนขา้ พเจา้ ใหล้ ะเมดิ
พระบญั ญตั สิ าคญั สองประการ ทเี่ กยี่ วกบั เรอื่ งระเบยี บทางสงั คมหรอื ?” (p. 59) การกล่าวหา ณ ทนี่ ้ี มลี กั ษณะเป็น
สองดา้ น ปัญหาประการแรกดูเหมอื นเป็นปัญหาเรอื่ งทสี่ ารของพระเยซูเจา้ เป็นเรอื่ งของปัจเจกบุคคล ในขณะที่
ธรรมบญั ญตั นิ นั้ นาเสนอระเบยี บทกี่ าหนดไวแ้ น่นอนทางสงั คม โดยใหป้ ระชาชนมกี รอบทางกฎหมายและกรอบ
ทางสงั คมสาหรบั ยามสงครามและยามสงบ สาหรบั การเมอื งทยี่ ตุ ธิ รรมและสาหรบั การดาเนินชวี ติ ประจาวนั แตไ่ ม่
มสี งิ่ แบบนนั้ ในคาสอนของพระเยซูเจา้ เลย การเป็นศษิ ยข์ องพระเยซูเจา้ มไิ ดเ้ สนอโครงการตามทเี่ ป็นอย่จู รงิ ใดๆ
ทางด้านการเมอื งเพอื่ สรา้ งเสรมิ สงั คมเลย บทเทศน์สอนบนภูเขาไม่อาจทาหน้าทเี่ ป็นฐานรากใหแ้ ก่รฐั และแก่
ระเบยี บทางสงั คมได้ ดงั ทมี่ กั จะถกู ตงั้ ขอ้ สงั เกตไวอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง สารของบทเทศน์บนภเู ขาดเู หมอื นจะถูกวางไว้ ณ
อกี ระดบั หนึง่ กฎบญั ญตั ติ ่างๆ ของชนอสิ ราเอลเป็นประกนั ถงึ การเป็นอยตู่ ่อเนือ่ งยืนยาวมาหลายสหสั วรรษ และ
ผา่ นการพลกิ ผนั มากมายของประวตั ศิ าสตร์ ถงึ กระนนั้ ณ ทนี่ ้ี กฎบญั ญตั เิ หล่านนั้ กลบั ถูกเมนิ เฉย การทพี่ ระเยซู
เจ้าทรงตคี วามพระบญั ญัตปิ ระการทสี่ นี่ ้ีใหม่ ส่งผลกระทบมใิ ช่ต่อสายสมั พนั ธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกเท่านัน้ แต่ยงั
สง่ ผลกระทบต่อขอบขา่ ยทงั้ หมดของโครงสรา้ งสงั คมของประชากรอสิ ราเอลดว้ ย

การปรบั โครงสรา้ งระเบยี บสงั คมใหม่บนพ้นื ฐานและเหตุผลสนับสนุนจากคากล่าวอา้ งสทิ ธขิ์ องพระเยซู
เจา้ ทวี่ า่ พระองคพ์ รอ้ มกบั หม่คู ณะศษิ ยข์ องพระองค์ เป็นตน้ กาเนดิ และศนู ยก์ ลางของอสิ ราเอลใหม่ อกี ครงั้ หนงึ่ ที่
เราอยตู่ อ่ หน้าตวั “เรา” ของพระเยซูเจา้ ผตู้ รสั ณ ระดบั เดยี วกนั กบั ธรรมบญั ญตั ิ (Torah) ณ ระดบั เดยี วกนั กบั พระ

207

เป็นเจา้ เอง ขอบขา่ ยทงั้ สองนัน้ เกยี่ วขอ้ งกนั โดยตรง กล่าวคอื ดา้ นหนึง่ เป็นการปรบั เปลยี่ นโครงสรา้ งทางสงั คม
เปิดใหเ้ ป็น “อสิ ราเอลนิรนั ดร” เขา้ สกู่ ารเป็นหมคู่ ณะใหม่ สว่ นอกี ดา้ นหนงึ่ เป็นการอา้ งสทิ ธข์ิ องพระเยซเู จา้

เราควรจะช้ชี ดั ดว้ ยว่า นูสเนอรม์ ไิ ดพ้ ยายามทจี่ ะเอาชนะง่ายๆ ดว้ ยการวพิ ากษ์วจิ ารณ์มนุษยผ์ อู้ ่อนแอ
เขาเตอื นผอู้ ่านวา่ ผทู้ ศี่ กึ ษาธรรมบญั ญตั กิ ถ็ ูกเรยี กรอ้ งจากอาจารยใ์ หล้ ะท้งิ บา้ นและครอบครวั หนั หลงั ใหภ้ รรยา
และบุตรของตน เพอื่ ใชเ้ วลายาวนานอทุ ศิ ตวั ทุ่มเทศึกษาธรรมบญั ญตั ดิ ว้ ย (p. 60) “ธรรมบญั ญตั จิ งึ เขา้ มาแทนที่
การเกยี่ วพนั กนั ทางเช้อื สาย และการเป็นผรู้ ธู้ รรมบญั ญตั กิ ไ็ ดร้ บั เช้อื สายเผา่ พนั ธุใ์ หม”่ (p. 63) ตามความหมายน้ี
ดูเหมอื นว่าคากล่าวอ้างของพระเยซูเจา้ ทที่ รงตงั้ ครอบครวั ใหม่ข้นึ มายงั คงอยู่ในกรอบของสงิ่ ทโี่ รง เรยี นศกึ ษา
ธรรมบญั ญตั คิ อื “อสิ ราเอลนิรนั ดร” ใหอ้ นุญาต

ถงึ กระนนั้ กย็ งั มขี อ้ แตกต่างกนั เป็นพน้ื ฐานอยู่ ในกรณขี องพระเยซูเจา้ มใิ ชเ่ ป็นการผกู พนั ยดึ ตดิ กบั ธรรม
บญั ญัตไิ ปทวั่ โลกทกี่ ่อให้เกดิ เป็นครอบครวั ใหม่ข้นึ แต่เป็นการผูกพนั แน่นแฟ้นของพระเยซูเจ้าเอง กบั ธรรม
บญั ญตั ขิ องพระองคน์ ัน้ มากกว่าทกี่ ่อเกดิ เป็นครอบครวั ใหม่ข้นึ มา สาหรบั พวกรบั บแี ลว้ มนุษยท์ ุกคนถูกผูกมดั
ดว้ ยสายสมั พนั ธเ์ ดยี วกนั กบั ระเบยี บถาวรทางสงั คม ทกุ คนตอ้ งอยใู่ ตธ้ รรมบญั ญตั ิ และเชน่ น้ที กุ คนกเ็ ทา่ เทยี มกนั
ภายในครอบครวั ทใี่ หญ่กว่าของชนอสิ ราเอลทงั้ หมดรวมกนั นูสเนอร์สรุปว่า “เวลาน้ีขา้ พเจา้ สานึกรแู้ ลว้ ว่า พระ
เจา้ เทา่ นนั้ ทรงสามารถเรยี กรอ้ งจากขา้ พเจา้ ในสงิ่ ทพี่ ระเยซูเจา้ กาลงั ขอรอ้ งขา้ พเจา้ นนั้ ” (p. 68)

เราไดข้ อ้ สรปุ แบบเดยี วกนั กบั ทเี่ ราไดท้ าการวเิ คราะหม์ ากอ่ นหน้าน้ีถงึ เรอื่ งการถอื วนั สบั บาโต ขอ้ โตแ้ ยง้
ทางครสิ ตศาสตร์(ทางเทววทิ ยา) และขอ้ โต้แยง้ ทางสงั คมมอิ าจแยกจากกนั โดยเดด็ ขาดได้ ถ้าพระเยซูเจา้ ทรงเป็น
พระเป็นเจา้ พระองคก์ ย็ อ่ มเหมาะสมทจี่ ะไดช้ อื่ วา่ เป็นผทู้ รงอานาจควบคุมธรรมบญั ญตั อิ ยา่ งทพี่ ระองคท์ รงทาอยู่
ตามเงอื่ นไขนนั้ อย่างเดยี วกบั ทพี่ ระองคท์ รงมสี ทิ ธแ์ิ ปลความหมายของกฎระเบยี บของโมเสสตามพระบญั ชาของ
พระเป็นเจา้ ในแบบใหม่อยา่ งแทจ้ รงิ อยา่ งทผี่ ปู้ ระทานกฎหมาย (Law-giver) คอื พระเป็นเจา้ เท่านนั้ ทรงสามารถ
อา้ งสทิ ธท์ิ จี่ ะกระทาเชน่ นนั้ ได้

แต่ ณ ทนี่ ้ี เกดิ คาถามขน้ึ มาว่า “เป็นสงิ่ ถกู ตอ้ งเหมาะสมหรอื ทจี่ ะสรา้ งหมคู่ ณะศษิ ยใ์ หมข่ น้ึ มาทมี่ รี ากฐาน
ทงั้ ส้นิ อย่ทู อี่ งค์พระเยซูเจา้ ? เป็นสงิ่ ดแี ลว้ หรอื ทจี่ ะเพกิ เฉยต่อระเบยี บทางสงั คมของ “อสิ ราเอลนิรนั ดร” ทสี่ รา้ ง
ข้นึ มาและดารงอยู่เรอื่ ยมาผ่านทางท่านอบั ราฮมั และยาโคบตามสภาพเน้ือหนัง เพือ่ ประกาศตนตามคาของ
นกั บญุ เปาโลวา่ เป็น "อสิ ราเอลตามเน้อื หนงั ” หรอื ? มสี งิ่ ใดบา้ งทเี่ ราสามารถคน้ พบไดจ้ ากเรอื่ งทงั้ หมดน้ี

บดั น้ี เราอ่านธรรมบญั ญตั ริ ่วมกบั หนังสอื พระคมั ภรี พ์ นั ธสญั ญาเดมิ อนื่ ๆ ทงั้ หนังสอื ประกาศก บทเพลง
สดุดี และวรรณกรรมปรชี าญาณทงั้ หมด เรากต็ ระหนกั ไดช้ ดั เจนยงิ่ ถงึ สงิ่ หนึง่ ซงึ่ มอี ย่เู ป็นแก่นแทใ้ นธรรมบญั ญตั ิ
เอง คอื อสิ ราเอลเป็นอยมู่ ใิ ช่เพอื่ ตนเอง เพยี งเพอื่ ดารงชวี ติ ถอื ปฏบิ ตั ิ “แบบนิรนั ดร” ตามธรรมบญั ญตั เิ ทา่ นนั้ แต่
อสิ ราเอลเป็นอยู่เพอื่ เป็นแสงสว่างแก่ประชาชาติทงั้ หลาย ในบทเพลงสดุดแี ละในหนังสอื ประกาศก เราได้ยนิ
ชดั เจนยงิ่ ขน้ึ เรอื่ ยๆ ถงึ คาสญั ญาทวี่ ่า ความรอดของพระเป็นเจา้ จะมาสชู่ นชาตทิ งั้ หลาย เราไดย้ นิ ชดั เจนยงิ่ ขน้ึ วา่
พระเป็นเจา้ แห่งอสิ ราเอล ทรงเป็นพระเป็นเจา้ แทแ้ ตพ่ ระองคเ์ ดยี ว องคพ์ ระผเู้ นรมติ สรา้ งฟ้าและแผน่ ดนิ พระเป็น
เจา้ ของประชาชาตทิ งั้ หลายและของมนุษยท์ ุกคน ผทู้ รงกุมชะตากรรมของมวลมนุษยไ์ วใ้ นพระหตั ถข์ องพระองค์
มทิ รงตอ้ งการปล่อยปละละเลยชนชาตทิ งั้ หลายเลย เราไดย้ นิ ว่าทุกคนจะมารจู้ กั พระองค์ อยี ปิ ต์และบาบโิ ลนอนั
เป็นสองอานาจทางโลกทขี่ ดั สกู้ บั อสิ ราเอลจะร่วมมอื กบั อสิ ราเอล และร่วมกนั ถวายคารวกจิ แด่พระเป็นเจา้ หนึง่
เดยี วน้ี เราไดย้ นิ ว่าจะไม่มขี อบเขตขวางกนั้ ใดๆ อกี ต่อไป และพระเป็นเจา้ แห่งอสิ ราเอลจะไดร้ บั การยอมรบั และ
ไดร้ บั การเคารพนบั ถอื จากชนทกุ ชาตเิ ป็นพระเป็นเจา้ หนงึ่ เดยี วของพวกเขา

208

คสู่ นทนาชาวยวิ ทงั้ หลายถามครงั้ แลว้ ครงั้ เล่าอย่างถูกตอ้ งทเี ดยี วว่า “แลว้ พระเยซูเจา้ พระเมสสยิ าหผ์ นู้ ้ี
นาอะไรมาใหเ้ ราเล่า? พระองคม์ ไิ ดท้ รงนาสนั ตมิ าใหโ้ ลกและพระองคม์ ไิ ดม้ ชี ยั ชนะเหนอื ความทุกขย์ ากน่าสงสาร
ของโลกน้ี ดงั้ นนั พระองคจ์ งึ ยากทจี่ ะเป็นพระเมสสยิ าหแ์ ทจ้ รงิ ได้ ตอ้ งเป็นผทู้ ถี่ ูกคาดหวงั ว่าจะตอ้ งกระทาเช่นน้ี
เท่านนั้ ถา้ เช่นนนั้ แลว้ พระเยซูเจา้ ทรงนาอะไรมาใหเ้ ราเล่า? เราไดพ้ บกบั คาถามน้ีมาแลว้ และเราทราบคาตอบ
แล้วเช่นกนั พระเยซูเจ้าทรงนาพระเป็นเจ้าแห่งอสิ ราเอลมาสู่ชนชาตทิ งั้ หลาย เพอื่ ว่าเวลาน้ีทุกชาตจิ ะได้สวด
อธษิ ฐานต่อพระองค์ และรบั รพู้ ระคมั ภรี ข์ องชนอสิ ราเอลวา่ เป็นพระวาจาของพระองค์ เป็นพระวาจาของพระเป็น
เจา้ ผทู้ รงชวี ติ พระองคไ์ ดท้ รงนาพระพรแห่งการเป็นสกลโลก ซงึ่ เป็นคาสญั ญายงิ่ ใหญ่มาใหอ้ สิ ราเอลและสากล
โลก การเป็นสากลโลกน้คี อื ความเชอื่ ในพระเป็นเจา้ เพยี งพระองคเ์ ดยี วของท่านอบั ราฮมั อสิ อคั และยาโคบ เวลาน้ี
แผ่ขยายจากในครอบครวั ใหม่ของพระเยซูเจา้ ไปสู่ชนชาตทิ วั่ โลกและอย่นู อกเหนือสายสัมพนั ธข์ องการสบื เช้อื
สายตามเลอื ดเน้ือ เป็นผลแห่งกจิ การของพระเยซูเจา้ นีเ่ ป็นขอ้ พสิ จู น์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสยิ าห์ สงิ่ น้ีให้
สญั ญาณการแปลความหมายคาสญั ญาถงึ พระเมสสยิ าห์ ซงึ่ มพี น้ื ฐานจากท่านโมเสสและบรรดาประกาศกนนั้ ใหม่
ดว้ ย

พาหนะทนี่ าไปสู่การเป็นสากลโลกน้ี (Universalization) คอื ครอบครวั ใหม่ทกี่ ฎขอ้ บงั คบั ของการเขา้ สู่
ครอบครวั น้ีคอื การมคี วามสมั พนั ธเ์ ป็นหนงึ่ เดยี วกบั พระเยซเู จา้ การสนิทสมั พนั ธก์ บั พระประสงคข์ องพระเป็นเจา้
ตวั “เรา” สาหรบั พระเยซูเจา้ นนั้ ตอ้ งมใิ ช่เป็นผทู้ ที่ าตามใจปรารถนาของตนเองเลย “ผใู้ ดทาตามพระประสงคข์ อง
พระเป็นเจ้า ผูน้ ัน้ เป็นพนี่ ้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา” (มก. 3: 34 ต่อเนือ่ ง) นัน่ คอื “ตวั เรา” ของพระเยซูเจ้า
ก่อกาเนิดเป็นการสนิทสมั พนั ธ์ของพระบุตรกบั พระประสงค์ของพระบดิ า เป็น “ตวั เรา” ของพระองคน์ ้ีเองทฟี่ ัง
และนอบน้อมตาม การมสี มั พนั ธเ์ ป็นหนึง่ เดยี วกบั พระบดิ าเป็นการสนิทสมั พนั ธด์ จุ บุตรกบั บดิ า กล่าวคอื เป็นการ
ตอบรบั พระบญั ญตั ปิ ระการทสี่ ี่ ณ ระดบั ใหม่ทสี่ ูงส่งทสี่ ุด เป็นการเขา้ ครอบครวั ของบรรดาผูท้ เี่ รยี กพระเป็นเจา้
เป็นบดิ า และผทู้ สี่ ามารถเรยี กเช่นน้ีไดก้ เ็ พราะพวกเขาเป็นกลุ่ม “พวกเรา” คอื เป็นพวกทถี่ ูกสร้างข้นึ มาจากผทู้ ี่
รวมเป็นหนึง่ เดยี วกบั พระเยซูเจา้ และโดยการเชอื่ ฟังพระองค์ พวกเขากร็ วมเป็นหนึง่ เดยี วกบั พระประสงคข์ อง
พระบดิ า และเชน่ น้เี อง กจ็ ะบรรลุถงึ การมใี จนอบน้อมเชอื่ ฟังตามทธี่ รรมบญั ญตั มิ งุ่ หมายใหม้ นี นั้ ดว้ ย

การเป็นหนงึ่ เดยี วกบั พระประสงคข์ องพระบดิ าเจา้ โดยทางการสนิทสมั พนั ธก์ บั พระเยซูเจา้ ที่“อาหารของ
พระองค์ คอื การทาตามพระประสงคข์ องพระบดิ า” (เทยี บ ยน. 6: 34) บดั น้ี ไดใ้ หม้ มุ มองใหมแ่ ก่เราในเรอื่ งกฎบญั ญตั ิ
แต่ละประการของธรรมบญั ญัตดิ ว้ ยเชน่ กนั ธรรมบญั ญตั มิ ภี ารกิจแทจ้ รงิ ในการจดั ใหม้ รี ะเบยี บทางกฎหมายและ
ระเบยี บทางสงั คมสาหรบั ประชากรกลุ่มเฉพาะคอื ชาวอสิ ราเอล แต่ในขณะทีอ่ กี ดา้ นหนึง่ อสิ ราเอลเป็นชนชาตทิ ี่
สมาชกิ ผกู พนั กนั ตามเช้อื สายชาตพิ นั ธุ์ของตน นับแต่แรกเรมิ่ และโดยธรรมชาตกิ ย็ งั คงเป็นผถู้ อื คาสญั ญาแบบ
สกลโลกนนั้ อย่ดู ว้ ย ในครอบครวั ใหมข่ องพระเยซูเจา้ ซงึ่ ต่อมาถูกขนานนามวา่ “พระศาสนจกั ร” ทขี่ อ้ บญั ญตั ทิ าง
กฎหมายและขอ้ บญั ญตั ทิ างสงั คมแต่ละขอ้ นัน้ ไม่อาจนามาประยุกตใ์ ชก้ บั รปู แบบทางประวตั ศิ าสตรต์ ามตวั อกั ษร
ไปทวั่ โลกได้ นีเ่ ป็นเรอื่ งสาคญั นบั แต่แรกเรมิ่ ทมี่ ี “พระศาสนจกั รของชนต่างชาต”ิ แลว้ และเป็นเรอื่ งโตแ้ ยง้ สาคญั
ยงิ่ ระหว่างนักบุญเปาโลกบั พวกทยี่ งั เชอื่ ว่าชาวยูเดวพวกนัน้ การนาเอาระเบยี บทางสงั คมของชนอสิ ราเอลมา
ประยุกต์ใชต้ ามตวั อกั ษรทวั่ โลกอาจเป็นเหตุใหค้ นพวกนัน้ ส่วนมากปฏเิ สธไม่ยอมรบั ความเป็นสกลโลกของหมู่
คณะของพระเป็นเจา้ ทกี่ าลงั เตบิ โตข้นึ มา นักบุญเปาโลมองเหน็ สงิ่ น้ีไดช้ ดั เจนยงิ่ นัก ธรรมบญั ญตั ขิ องพระเมสสิ
ยาหไ์ ม่อาจเป็นเช่นนนั้ ได้ ดงั ทบี่ ทเทศน์บนภเู ขาแสดงใหเ้ หน็ และคาสนทนาทงั้ หมดกบั รบั บี นูสเนอร์ ชาวยวิ ผมู้ ี
ความเชอื่ และผสู้ นใจฟังจรงิ ๆ ผนู้ ้กี แ็ สดงใหเ้ หน็ เชน่ เดยี วกนั นนั้ ดว้ ย

209

ทกี่ ล่าวเช่นนนั้ เพราะว่าสงิ่ ทกี่ าลงั เกดิ ขน้ึ ณ ทนี่ ้ี เป็นกระบวนการทมี่ คี วามสาคญั ยงิ่ ทขี่ อบเขตทงั้ หมด
ของกระบวนการน้ีมไิ ดเ้ ป็นทเี่ ขา้ ใจจนกระทงั่ ถงึ ยคุ ใหม่น้ี ถงึ แมว้ า่ ผคู้ นยุคใหมท่ แี รกกเ็ ขา้ ใจเรอื่ งน้ีแบบดา้ นเดยี ว
และยงั เข้าใจผิดๆ ด้วย รูปแบบต่างๆ ทีเ่ ป็นรูปธรรมทางด้านกฎหมายและด้านสงั คม และการจดั การต่างๆ
ทางด้านการเมอื งนัน้ มไิ ด้ถูกกล่าวอกี ต่อไปว่าเป็นกฎหมายศกั ดส์ิ ทิ ธทิ์ ถี่ ูกกาหนดไว้ให้ถือตามตวั อกั ษร (Ad
Litteram) สาหรบั ทุกยุคสมยั และสาหรบั คนทงั้ หลาย สงิ่ สาคญั คอื เรอื่ งการสนิทสมั พนั ธท์ มี่ อี ย่อู ย่างลกึ ซ้งึ กบั พระ
ประสงคข์ องพระเป็นเจา้ ทพี่ ระเยซูเจา้ ทรงประทานไวใ้ ห้ การเป็นหนึง่ เดยี วกบั พระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ ช่วย
ให้มนุษย์และชนชาติทัง้ หลายเป็นอิสระทีจ่ ะค้นพบว่า มิติด้านใดของระเบียบทางการเมืองและด้านสงั คม
สอดคลอ้ งกบั พระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ แลว้ จะจดั การใหม้ กี ฎหมายของพวกตนออกมาตามนัน้ การขาดมติ ิ
ดา้ นสงั คมทงั้ หมดในคาเทศน์สอนของพระเยซูเจา้ ซงึ่ นูสเนอรว์ จิ ารณ์แยกแยะไวอ้ ย่างชดั เจนยงิ่ จากมุมมองของ
ชาวยิว ก็ถูกปกปิดเอาไว้ด้วย ซึง่ เหตุการณ์สาคญั โดดเด่นในปะวตั ิศาสตร์โลก ซึง่ ไม่เคยเกิด มาเช่นนัน้ ใน
วฒั นธรรมอนื่ ใดเลย กล่าวคอื ระเบยี บทีเ่ ป็นรปู ธรรมทางดา้ นการเมอื งและดา้ นสงั คมถูกปลดปล่อยจากขอบเขต
ศกั ดส์ิ ทิ ธโ์ิ ดยตรง คอื จากการออกกฎหมายแบบทยี่ ดึ เอาพระเป็นเจา้ เป็นศูนยก์ ลาง และถูกส่งผ่านไปส่อู สิ รภาพ
ของมนุษย์ ทพี่ ระเยซูเจา้ ไดท้ รงสถาปนาขน้ึ มาตามพระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ และดว้ ยเหตุนนั้ พระองคจ์ งึ ทรง
สอนมนุษยใ์ หม้ องดสู งิ่ ทถี่ กู ตอ้ งดงี าม

สงิ่ น้ีนาเรากลบั มายงั ธรรมบญั ญตั ขิ องพระเมสสยิ าห์ กลบั มายงั จดหมายของนักบุญเปาโลถงึ ชาวกาลา
เทยี ทวี่ า่ “พระเป็นเจา้ ทรงเรยี กทา่ นใหม้ ารบั อสิ รภาพ” (กท. 5: 13) นนั่ คอื มใิ ชเ่ ป็นอสิ รภาพแบบตาบอดและแบบทา
ตามใจตนเอง แบบทีน่ ักบุญเปาโลอาจใช้คาว่าเป็นอิสรภาพ “แบบทีเ่ ข้าใจตามเน้ือหนัง” แต่อิสรภาพน้ีเป็น
อสิ รภาพ “ทมี่ องเหน็ ” ซงึ่ ฝังรากอย่ใู นการสนิทสมั พนั ธก์ บั พระประสงคข์ องพระเยซูเจ้า และเช่นน้ีเป็นอสิ รภาพที่
สามารถสรา้ งสงิ่ สาคญั นนั้ อนั เป็นหวั ใจของธรรมบญั ญตั ขิ น้ึ มา เป็นผลของวธิ ใี หมแ่ ห่งการมองเหน็ พรอ้ มกบั พระ
เยซูเจา้ โดยการทาใหเ้ น้ือหาสาคญั ของธรรมบญั ญตั คิ รอบคลุมไปทวั่ สกลโลก และเช่นน้ีกท็ าใหธ้ รรมบญั ญตั ินัน้
“สมบรู ณ์ไป”

แน่นอน ในยุคของเราน้ี อสิ รภาพได้ถูกหนั เหไปจากมุมมองแบบพระเป็นเจา้ ถูกหนั เหไปจากการสนิท
สมั พนั ธ์กบั พระเยซูเจ้า อสิ รภาพเพอื่ ความเป็นสากลหรอื อิสรภาพเพอื่ ความเป็นโลกทีถ่ ูกต้องตามกฎหมาย
(Legitimate Secularity) ของรัฐ ก็ถูกแปรเปลีย่ นไปเป็ นเรือ่ งโลกานุ วัตรนิยมแบบเด็ดขาด ( Absolute
Secularism) ทดี่ เู หมอื นว่าการหลงลมื พระเป็นเจา้ และการมงุ่ สนใจแต่เรอื่ งความสาเรจ็ จะกลายเป็นหลกั การช้นี า
สาคญั ของโลกานุวตั รนิยมน้ี สาหรบั ครสิ ตชนผู้มีความเชือ่ บทบัญญัติต่างๆ ของธรรมบัญญัติก็ยังคงเป็น
จดุ อา้ งองิ สาคญั ทตี่ อ้ งคานงึ ถงึ อยเู่ สมอ การแสวงหาพระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ โดยการสนทิ สมั พนั ธก์ บั พระเยซู
เจา้ นนั้ เป็นป้ายช้ที างสาหรบั เหตุผลของตน ซงึ่ หากขาดไปแลว้ ไซร้ การแสวงหาน้ีกย็ ่อมตกอยใู่ นอนั ตราย ทาให้
เขาตาพรา่ มวั และตาบอดมองไม่เหน็

ยงั มขี อ้ สงั เกตสาคญั ยงิ่ ประการหนึง่ คอื การทาใหค้ วามเชอื่ และความหวงั ของอสิ ราเอลเป็นสากล และ
การทาใหเ้ ป็นอสิ ระจากการถอื ธรรมบญั ญตั ติ ามตวั อกั ษรเพอื่ ใหเ้ กดิ มกี ารสนิทสมั พนั ธใ์ หมก่ บั พระเยซูเจา้ นนั้ ถกู
ผูกพนั ไว้กบั อานาจของพระเยซูเจ้าและการอ้างสทิ ธก์ิ ารเป็นบุตรของพระองค์ การทาให้เป็นสากลน้ีสูญเสยี
น้าหนกั ทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละรากฐานทงั้ หมดของมนั ถา้ หากพระเยซูเจา้ ถูกตคี วามหมายว่าเป็นเพยี งรบั บอี สิ ระ
ผู้มาช่วยฟ้ืนฟูผู้หนึง่ เท่านัน้ การแปลความธรรมบญั ญตั แิ บบเสรอี าจจะไม่เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นแค่เพยี ง
ความคดิ เหน็ ของอาจารยค์ นหนึง่ เทา่ นนั้ คอื มนั อาจไมม่ พี ลงั พอทจี่ ะก่อรา่ งสรา้ งประวตั ศิ าสตรข์ น้ึ มาไดเ้ ลย ความ

210

คดิ เหน็ แบบนัน้ อาจเชอื่ มโยงธรรมบญั ญตั กิ บั ตน้ กาเนิดธรรมบญั ญตั นิ ้ีเขา้ ดว้ ยกนั ตามพระประสงคข์ องพระเป็น
เจา้ สาหรบั แต่ละขอ้ ความของธรรมบญั ญตั ิ กค็ งจะเป็นเพยี งอานาจของมนุษย์ ทเี่ ป็นอาจารยค์ นหนึง่ เท่านนั้ คง
ไม่สามารถมหี มู่คณะใหม่ตงั้ ข้นึ มาบนธรรมบญั ญัตนิ ัน้ ได้ การเข้าสู่ความเป็นสากลอนั เป็นอสิ รภาพใหม่ทถี่ ูก
เรยี กรอ้ งนนั้ จะเป็นไปไดเ้ พยี งบนพ้นื ฐานความนอบน้อมเชอื่ ฟังทยี่ งิ่ ใหญ่กวา่ เทา่ นนั้ พลงั อานาจของธรรมบญั ญตั ิ
ทจี่ ะก่อรา่ งสรา้ งประวตั ศิ าสตรข์ น้ึ มาจะเป็นไปไดก้ ต็ ่อเรอื่ งอานาจการแปลความหมายแบบใหม่น้ีมไี มน่ ้อยไปกว่า
อานาจของตน้ กาเนิดดงั้ เดมิ ของธรรมบญั ญตั ิ นนั่ คอื ตอ้ งเป็นอานาจของพระเป็นเจา้ เท่านัน้ ครอบครวั ใหม่แบบ
สากลน้ีเป็นจุดประสงคแ์ ห่งงานพนั ธกจิ ของพระเยซูเจา้ แต่อานาจพระเป็นเจา้ ของพระองค์ คอื ความเป็นพระบุตร
ในความสนิทสมั พนั ธก์ บั พระบดิ า เป็นเงอื่ นไขแรกสุดทกี่ ่อใหเ้ กดิ ความเป็นจรงิ ใหมท่ ีก่ วา้ งใหญ่กว่าข้นึ มาไดโ้ ดย
ปราศจากการทรยศหรอื การใชอ้ านาจบาตรใหญใ่ ดๆ

เราได้ยนิ นูสเนอรถ์ ามพระเยซูเจา้ ว่าพระองคก์ าลงั พยายามหลอกล่อใหเ้ ขาละเมดิ พระบญั ญตั สิ องสาม
ประการของพระเป็นเจ้าหรอื ถ้าพระเยซูเจา้ มไิ ด้ตรสั ด้วยอานาจเตม็ ของพระบุตร ถ้าการแปลความหมายพระ
คมั ภรี ข์ องพระองคม์ ไิ ดเ้ ป็นการเรมิ่ ต้นของการมคี วามสนิทสมั พนั ธ์อสิ ระเสรแี บบใหม่นัน้ แลว้ กค็ งมอี กี เพยี งสงิ่
เดยี วเทา่ นนั้ คอื พระเยซเู จา้ กาลงั ชกั จงู เราไมใ่ หเ้ ชอื่ ฟังพระบญั ญตั ขิ องพระเป็นเจา้

เป็นสงิ่ สาคญั พ้ืนฐานสาหรบั โลกครสิ ตชนในทุกยุคสมยั ทีจ่ ะต้องเอาใจใส่ถึงเรอื่ งความเกีย่ วพนั กัน
ระหวา่ งสงิ่ โพน้ ธรรมชาติ (Transcendence) กบั การสาเรจ็ สมบูรณ์ไป (Fulfillment) เราไดเ้ หน็ แลว้ ว่า แมน้ ูสเนอร์
จะใหค้ วามเคารพนับถอื พระเยซูเจา้ เขากว็ พิ ากษ์วจิ ารณ์อย่างรุนแรงเรอื่ งการแบ่งแยกครอบครวั ว่า สาหรบั ตวั
เขาแลว้ เหน็ ว่า มนั แฝงความหมายเป็นนัยว่า พระเยซูเจา้ กาลงั เชญิ ชวนใหเ้ ขา “ทาผดิ ละเมดิ ” พระบญั ญตั พิ ระ
เป็นเจา้ ประการทสี่ ี่นูสเนอรก์ ล่าววจิ ารณ์แบบเดยี วกนั ในเรอื่ งการคุกคามของพระเยซูเจา้ ต่อวนั สบั บาโตอนั เป็น
หวั ใจสาคญั แหง่ ระเบยี บสงั คมของชนอสิ ราเอล เวลาน้ีความตงั้ ใจของพระเยซูเจา้ มใิ ช่เพยี งเพอื่ ลบลา้ งครอบครวั
หรอื วนั สบั บาโตทเี่ ป็นการฉลองการเนรมติ สรา้ งโลกเท่านัน้ แต่พระองคท์ รงตอ้ งการสร้างบรบิ ทใหม่ทกี่ วา้ งกว่า
สาหรบั ทงั้ ครอบครวั และวนั สบั บาโต เป็นความจรงิ ทวี่ ่า คาเช้อื เชญิ ของพระเยซูเจา้ ใหเ้ ขา้ มารว่ มกบั พระองคเ์ ป็น
สมาชกิ ครอบครวั ใหม่สากล โดยทางการเขา้ ร่วมส่วนกบั ความนอบน้อมเชอื่ ฟังของพระองค์ต่อพระบดิ า ทาให้
ระเบยี บสงั คมของอสิ ราเอลต้องแตกแยก นับแต่แรกเรมิ่ แล้ว พระศาสนจกั รทเี่ กดิ ข้นึ มาและยงั คงเกดิ ข้นึ มาอยู่
เรอื่ ยๆ ได้เชอื่ มโยงความสาคญั พ้นื ฐานน้ีเขา้ กบั การปกครองครอบครวั ในฐานเป็นหวั ใจของระเบยี บทางสงั คม
และยนื ยนั พระบญั ญัติประการทีส่ นี่ ้ีในความหมายทีก่ ว้างทีส่ ุดด้วย เราเห็นว่าพระศาสนจกั รได้ต่อสู้หนักสกั
เพียงไรเพือ่ ปกป้องสงิ่ เหล่าน้ีในทุกวนั น้ีเช่นเดียวกนั เป็นทีเ่ ห็นชดั ว่าเน้ือหาสาคญั ของวนั สบั บาโ ตถูกแปล
ความหมายเป็นวนั ของพระเป็นเจา้ (the Lord’s Day) การต่อสยู้ นื ยนั ความสาคญั ของวนั อาทติ ยเ์ ป็นความเอาใจ
ใสห่ ลกั ประการหนึง่ ของพระศาสนจกั รในยุคปัจจุบนั เมอื่ มหี ลายสงิ่ หลายอย่างเขา้ มาทาใหจ้ งั หวะเวลาทชี่ ่วยค้า
จนุ หมคู่ ณะนนั้ ผดิ เพ้ยื นไป

การเกีย่ วสอดคล้องกันระหว่างพระคมั ภีร์พันธสญั ญาเดิมกับพันธสญั ญาใหม่ได้เป็นและยงั คงเป็น
องคป์ ระกอบสาคญั ของพระศาสนจกั ร ในคาตรสั ของพระองคห์ ลงั การกลบั คนื พระชนม์ชพี พระเยซูเจา้ ทรงยนื ยนั
ว่าพระองค์สามารถเป็นทเี่ ขา้ ใจได้ในบรบิ ทของ “ธรรมบญั ญตั แิ ละบรรดาประกาศก” และทรงยนื ยนั ดว้ ยว่าหมู่
คณะของพระองคส์ ามารถเจรญิ ชวี ติ อยู่ได้ในบรบิ ททเี่ ขา้ ใจอย่างถูกต้องน้ีเท่านัน้ นับแต่แรกเรมิ่ พระศาสนจกั ร
ยงั คงเผชญิ กบั อนั ตรายสองดา้ นทตี่ รงขา้ มกนั อย่เู สมอ กล่าวคอื ดา้ นหนึง่ เป็นเรอื่ งของการถอื เคร่งครดั ตามกฎ
แบบผดิ ๆ ชนิดทนี่ ักบุญเปาโลไดต้ ่อสกู้ บั เรอื่ งน้ีตลอดทงั้ ประวตั ิศาสตรก์ ใ็ หช้ อื่ แบบไม่น่ารนื่ หูว่าเป็น “การทาให้

211

เป็นลทั ธยิ ูเดว” (Judizing) ส่วนอกี ดา้ นหนึง่ กเ็ ป็นเรอื่ งของการปฏเิ สธไม่ยอมรบั โมเสสและบรรดาประกาศก คอื
เป็นการไม่ยอมรบั พระคมั ภรี พ์ นั ธสญั ญาเดมิ นนั่ เอง สงิ่ น้ีถกู นาเสนอโดย มารค์ อิ อน (Marcion) ในศตวรรษทสี่ อง
และมนั เป็นการประจญยงิ่ ใหญ่ประการหนึง่ ของยุคสมยั ใหม่น้ี มใิ ช่เป็นเรอื่ งบงั เอญิ ทฮี่ ารแ์ น็ก (Harnack, Adolf
von) ซงึ่ เป็นผนู้ าต่อตา้ นเทววทิ ยาแบบเสรี ไดย้ นื ยนั ว่ามนั เป็นวาระสาคญั ยงิ่ ทตี่ อ้ งทาใหส้ งิ่ ทไี่ ดร้ บั มาจากมารค์ ิ
ออนนัน้ สาเรจ็ ไป และช่วยปลดปล่อยศาสนาครสิ ต์ ใหเ้ ป็นอสิ ระจากภาระหนักของพระคมั ภรี พ์ นั ธสญั ญาเดมิ ให้
จบส้นิ ตลอดไป การประจญอนั กระจายไปทวั่ ในยุคปัจจุบนั ทจี่ ะใหพ้ ระคมั ภรี พ์ นั ธสญั ญาใหม่เป็นเพยี งการแปล
ความหมายแบบฝ่ายจติ ลว้ นๆ โดยแยกโดดเดยี่ วออกจากความเดน่ ชดั ทางสงั คมและการเมอื งนนั้ มุง่ ไปในทศิ ทาง
เดยี วกนั

ในทางกลบั กนั เทววทิ ยาดา้ นการเมอื งไม่วา่ จะเป็นชนิดใดกต็ าม ทาใหส้ ตู รทางการเมอื งสตู รหนึง่ เฉพาะ
เป็นเทววทิ ยาในแบบทขี่ ดั แย้งตรงกนั ขา้ มกบั เรอื่ งราวและสารของพระเยซูเจ้า อย่างไรก็ตาม คงเป็นสงิ่ ทีไ่ ม่
ถกู ตอ้ งทจี่ ะบง่ ชว้ี า่ แนวโน้มเชน่ นนั้ เป็นการทาใหศ้ าสนาครสิ ตเ์ ป็นแบบลทั ธยิ เู ดว เพราะวา่ อสิ ราเอลนาเสนอการมี
ความนบนอบต่อกฏบญั ญัติจรงิ แท้ทางสงั คมของธรรมบญั ญัติ เพอื่ เห็นแก่หมู่คณะแห่งความเป็น “อสิ ราเอล
นิรนั ดร” และไม่ยดึ เอาความนอบน้อมน้เี ป็นตารบั สากลทางการเมอื ง ทงั หมดน้ีอาจเป็นสงิ่ ดสี าหรบั โลกครสิ ตชนที่
จะมองดูดว้ ยความเคารพต่อความนบนอบน้ีของอสิ ราเอล แลว้ ชนื่ ชมมากขน้ึ ต่อพระบญั ญตั สิ บิ ประการของพระ
เป็นเจา้ ซงึ่ ครสิ ตชนต้องส่งผ่านไปสู่บรบิ ทครอบครวั สากลของพระเจา้ และทพี่ ระเยซูเจา้ ในฐานะ “โมเสสใหม่”
ทรงมอบไว้ให้แก่เรา ในพระเยซูเจ้า เราเห็นพระสญั ญาทีใ่ ห้ไว้แก่โมเสสนัน้ สาเรจ็ สมบูรณ์ไป ทีว่ ่า “พระ เป็น
เจา้ ของท่านจะทรงบนั ดาลใหป้ ระกาศกเหมอื นขา้ พเจา้ เกดิ ข้นึ สาหรบั ทา่ นจากบรรดาพนี่ ้องของท่าน ท่านจะตอ้ ง
เชอื่ ฟังเขา” (ฉธบ. 18: 15) (อา้ งแลว้ โยเซฟ รตั ซงิ เกอร,์ หน้า 214-230)

ดงั ทท่ี ราบแลว้ พระเยซูเจา้ ตรสั เน้นวา่ พระองคม์ ไิ ดม้ าลบลา้ งธรรมบญั ญตั ิ แตม่ าทาใหส้ มบรู ณ์ และทรง
กระทาดงั น้โี ดยทรงกาหนดใหเ้ หตุผลเขา้ มาร่วมรบั ผดิ ชอบตอ่ การกระทาในประวตั ศิ าสตร์ ผลทต่ี ามมาคอื ศาสนา
ครสิ ตจ์ าเป็นตอ้ งปรบั ปรุงแกไ้ ขอยเู่ สมอทงั้ เรอ่ื งโครงสรา้ งทางสงั คมและเรอ่ื “คาสอนแบบครสิ ตว์ า่ ดว้ ยเรอ่ื งสงั คม”
(Christian Social Teaching) จาเป็นต้องมีพฒั นาการของโครงสร้างภายในของธรรมบัญญัติให้ใหม่อยู่เสมอ
ภายใตก้ ารวพิ ากษ์วจิ ารณ์ของบรรดาประกาศก และในสารของพระเยซูเจา้ ทพ่ี ระองคท์ รงรบั เอาองคป์ ระกอบทงั้
สองนนั้ มา ศาสนาครสิ ตเ์ ปิดกวา้ งเพอ่ื ใหเ้ กดิ ววิ ฒั นาการอนั จาเป็นทางประวตั ศิ าสตร์ รวมทงั้ พน้ื ฐานอนั หนกั แน่น
ทเ่ี ป็นประกนั ใหแ้ กศ่ กั ดศิ ์ รขี องมนุษยโ์ ดยการวางรากศกั ดศิ ์ รขี องมนุษยใ์ หล้ กึ ลงไปในศกั ดศิ ์ รขี องพระเป็นเจา้ ทงั้
ส่วนบุคคลและสงั คมสู่ความสมบูรณ์ในอนั ตกาล และทาใหส้ าเรจ็ สมบูรณ์ในปัจจุบนั ด้วย (To be Fulfilled and
Being Fulfilled)

และบทสรุปของนกั บุญมทั ธวิ ว. 28 ทวี่ ่า “เมอื่ พระเยซูเจา้ ตรสั ถอ้ ยคาเหล่าน้ีจบแลว้ ประชาชนต่างพศิ วง
ในคาสงั่ สอนของพระองค”์ เป็นการประกาศยนื ยนั อย่างหนกั แน่นและเป็นทป่ี ระทบั ใจ สง่ ผลใหเ้ ป็นแรงบนั ดาลใจ
อนั ยง่ิ ใหญ่น่าพศิ วงในจติ ใจประชาชนอยา่ งมาก เป็นคาสอนแบบใหม่ เปิดเผยใหเ้ หน็ ความรอดพน้ อยา่ งแทจ้ รงิ ท่ี
มนุษยส์ ามารถคน้ พบไดใ้ นพระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ และสาเรจ็ สมบูรณ์ไดใ้ นเสน้ ทางแห่งชวี ติ ทพ่ี ระเยซูเจา้
ทรงชแ้ี สดงแก่มนุษยท์ งั้ หลาย ในการปฏบิ ัตติ นดว้ ยจติ ใจใหม่ เป็นจติ ใจทเ่ี ช่อื ฟัง นอบน้อมต่อพระประสงคข์ อง
พระเป็นเจา้ ตามแบบอย่างของพระเยซูเจา้ ผทู้ รงเป็นพระครสิ ตเจา้ หรอื “โมเสสใหม่” ผมู้ ชี วี ติ สนิทสมั พนั ธเ์ ป็น
หน่ึงเดยี วกบั พระเจา้ ผสู้ ามารถสนทนากบั พระเป็นเจา้ ไดแ้ บบอย่ตู ่อหน้าพระพกั ตรข์ องพระเป็นเจา้ ในฐานะพระ

212

บตุ รของพระเป็นเจา้ และยงั ทรงมชี วี ติ อยู่ และเหตุผลทต่ี ามมาใน ว. 29 ทว่ี า่ “เพราะพระองคท์ รงสอนเขาอย่างผู้
มอี านาจ ไมใ่ ช่สอนเหมอื นบรรดาธรรมาจารยข์ องเขา” ซง่ึ ประชาชนผเู้ ฝ้าฟังหรอื ไดฟ้ ังพระดารสั สอนของพระองค์
ณ บนภูเขานัน้ ต่างสมั ผสั ไดถ้ งึ พระพลงั อานาจในถอ้ ยคาทต่ี รสั และหนทางเดนิ แห่งชวี ติ ทท่ี รงเปิดเผย ชแ้ี สดง
อย่างเป็นหลกั เกณฑท์ ว่ี างอยใู่ นพระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ ใครเล่าจะหยงั่ รแู้ ละเขา้ ใจพระประสงคข์ องพระเป็น
เจา้ อย่างแทจ้ รงิ อย่างชดั เจนและทรงสามารถประกาศยนื ยนั อย่างเปิดเผย ถา้ ไม่ใช่ องคพ์ ระเยซูเจา้ ผทู้ น่ี ักบุญ
ยอหน์ กล่าวถงึ ว่า คอื พระบุตร พระเยซูเจา้ ท่พี ระบดิ าเจา้ ทรงส่งมาเพ่อื ไถ่กู้มนุษยใ์ หร้ อดพน้ ใน ยน. 1: 17-18
ว่า “เพราะพระเป็นเจา้ ได้ประทานธรรมบญั ญตั ผิ ่านทางโมเสส แต่พระหรรษทานและความจรงิ มาทางพระเยซู
ครสิ ตเจา้ ไม่มใี ครเคยเหน็ พระเป็นเจา้ เลย พระบุตรเพยี งพระองคเ์ ดยี ว ผูส้ ถติ อยู่ในพระอุระของพระบดิ านัน้ ได้
ทรงเปิดเผยใหเ้ ราร”ู้ กล่าวคอื คาสอนของพระองคส์ ะทอ้ นถงึ ความมอี านาจแทจ้ รงิ อานาจสอนทม่ี าจากพระเป็น
เจา้ และทรงเป็นพระเป็นเจา้ ผทู้ รงประทานบญั ญตั แิ ห่งชวี ติ เพราะผทู้ เ่ี ช่อื ในพระองค์ จะไดร้ บั ชวี ติ นิรนั ดร (ยน. 3:
15, 16, 36; 4: 14, 36; 5: 24, 29, 39; 6: 27, 40, 54, 68; 10: 28; 12: 25, 50; 17: 2, 3) และ ผูท้ ่ปี ฏบิ ตั ติ าม(ธรรมบญั ญตั ิ) จะได้รบั ชวี ติ
นิรนั ดร (มธ. 16: 25, 19: 16, 17, 29; 25: 46 เทยี บ มก. 9: 43, 45; 10: 17, 30; ลก. 10: 25, 18: 18, 30) และพระราชอานาจน้ีแผ่คลุม
ถงึ ทุกคนทเ่ี ชอ่ื ยอมรบั พระองค์ ปฏบิ ตั ติ ามคาสอนและตดิ ตามพระองคโ์ ดยไมเ่ วน้ ใครเลย ทงั้ ในอดตี ปัจจบุ นั และ
อนาคต ซง่ึ พระองคไ์ ดท้ รงตรสั เฉลยแก่บรรดาอคั รสาวก ผ่านทางนักบุญฟิลปิ และนกั บุญโทมสั แมก้ ระทงั่ ตรสั
แก่ยดู าสดว้ ย ใน ยน. 14: 5 – 31 ว่า พระองคท์ รงดารงอย่ใู นพระบดิ า ผใู้ ดเหน็ พระองคก์ เ็ หน็ พระบิดาดว้ ย และ
พระองคท์ รงเป็นหนทาง ความจรงิ และชวี ติ ...โดยเฉพาะ ยน. 14: 9 – 11

“พระเยซูเจา้ ตรสั วา่ 9 “ฟิลปิ เอ๋ย เราอยกู่ บั ทา่ นมานานเพยี งน้ีแลว้ ทา่ นยงั ไม่รจู้ กั เราอกี หรอื ”
‘ผทู้ เี่ หน็ เรา กเ็ หน็ พระบดิ าดว้ ย
ทา่ นพดู ไดอ้ ยา่ งไรวา่ “โปรดทาใหพ้ วกเราไดเ้ หน็ พระบดิ าเถดิ ”
10 ทา่ นไมเ่ ชอื่ หรอื วา่
เราดารงอยใู่ นพระบดิ า และพระบดิ าทรงดารงอยใู่ นเรา
วาจาทเี่ ราบอกกบั ทา่ นทงั้ หลายน้ี เรามไิ ดพ้ ดู ตามใจของเรา
แต่พระบดิ า ผสู้ ถติ ในเรา
ทรงกระทากจิ การของพระองค์
11 ทา่ นทงั้ หลายจงเชอื่ เราเถดิ วา่
เราดารงอยใู่ นพระบดิ า และพระบดิ ากท็ รงดารงอยใู่ นเรา
หรอื อยา่ งน้อยทา่ นทงั้ หลายจงเชอื่ เพราะกจิ การเหลา่ น้เี ถดิ ”

213

214


Click to View FlipBook Version