The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตรวจงานแปลมัทธิว 18

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by P. Tads, 2021-06-07 09:49:03

18. มัทธิว 18:1-35

ตรวจงานแปลมัทธิว 18

มทั ธวิ 18:1-35 การใชช้ วี ติ รว่ มกนั

ภาพรวม

ตอนน้ีเป็นวาทกรรมหลกั ส่วนท่สี ข่ี องพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ทก่ี ่อตวั เป็นโครงสรา้ งพ้นื ฐานของพระวร

สาร (ดูบทนา) เร่อื งราวตอนน้ีเป็นลกั ษณะเช่นเดยี วกบั ตอนอ่นื ๆ มนั ไม่ได้แยกเด่ยี วแต่เป็นส่วนเช่อื มโยง โดย

นักบุญมทั ธวิ ได้นาไปเช่อื มกบั ตอนอ่นื โดยเฉพาะกบั บทบรรยายเร่อื งในตอนท่ผี ่านมา ทาหน้าท่เี ป็นบทสรุป

สาหรบั ตอนนัน้ คาพูดเหล่าน้ีมบี รบิ ทอกี แบบหน่ึงในพระวรสารนักบุญมาระโก และอกี แบบหน่ึงในพระวรสาร

นกั บุญลูกา แสดงใหเ้ หน็ ว่าบรบิ ท(และความหมาย)โดยหลกั ๆ แลว้ อย่ใู นระดบั ของนักบุญมทั ธวิ (ดู บทนา) จาก 13:53

ถงึ 17:27 พระเยซูเจา้ ไดท้ รงรวบรวมและสงั่ สอนชุมชนใหม่ทอ่ี ย่ทู ่ามกลาง “คนยุคน้ี” ซง่ึ ปฏเิ สธพระองค์ ความ

เป็นสว่ นเชอ่ื มโยงน้ีถูกเน้นขน้ึ มาโดย 18:1 “ในขณะนนั้ ” (In That Same Hour) เชอ่ื มเน้ือหาสว่ นน้ีใหเ้ ขา้ กบั สว่ น

ก่อนหน้าน้ี รวมถงึ เร่อื งการใส่ใจท่จี ะไม่ทาให้ผู้อ่นื รูส้ กึ ขุ่นเคอื ง (Giving Offense / skandalizo) หรอื เป็นท่สี ะดุด

บนหนทางของผอู้ ่นื ซง่ึ อยใู่ น 17:27 และ 18:6-9

ในทน่ี ้ี นกั บุญมทั ธวิ ทาตามลาดบั ของคาสงั่ หา้ ม (Injunctions) ทอ่ี ยใู่ นเอกสารแหล่ง Q ซง่ึ ชุมชนของทา่ น

คนุ้ เคยมายาวนาน (ดู เทยี บ ลก 17:1-4 และบทนา) วาทกรรมน้ถี ูกแบง่ ออกเป็น 2 สว่ น แตล่ ะสว่ นสรุปจบดว้ ยเรอ่ื ง

อปุ มาและขอ้ ความทข่ี น้ึ ตน้ ดว้ ย “ดงั นนั้ ” หรอื “เพราะฉะนนั้ ” (houtos) ซง่ึ เป็นการอา้ งองิ ถงึ พระบดิ าเจา้ บนสวรรค์

และหวั ขอ้ ของตอนทผ่ี า่ นมา (ว. 14 “เดก็ เลก็ ๆ” ว. 35 “ใหอ้ ภยั แก่พน่ี ้องชายหญงิ ”) คาหลกั คอื “ผเู้ ลก็ น้อย” (Little Ones) เป็น

ปัจจยั ทก่ี ่อใหเ้ กดิ โครงสรา้ ง หน่วยเรม่ิ ตน้ และหน่วยจบอยทู่ ่ี ว. 6, 10 และ 14 แต่ละสว่ นหลกั มลี กั ษณะเฉพาะ

แบบของนกั บญุ มทั ธวิ คอื การแบง่ ออกเป็น 3 สว่ นยอ่ ย ทาใหเ้ กดิ เป็นโครงสรา้ งของวาทกรรมดงั ตอ่ ไปน้ี

1. การเหน็ แก่คนเลก็ น้อย 18: 1-14

A. คนใหญ่และคนเลก็ น้อย 18: 1-5

B. หา้ มดหู มนิ่ คนเลก็ น้อย 18: 6-10

C. การสรปุ จบแบบเป็นอุปมา “ความใสใ่ จต่อแกะทหี่ ลงทาง” 18: 12-14

2. ความมวี นิ ยั และการใหอ้ ภยั

A. ความมวี นิ ยั ของพระศาสนจกั รและการประทบั อยขู่ องพระครสิ ต์ 18: 15-20

B. “การใหอ้ ภยั ” ทปี่ ราศจากพระหรรษทาน 18: 21-22

C. การสรุปจบแบบเป็นอปุ มา “พระหรรษทานทมี่ ากลน้ เกนิ จนิ ตนาการ” 18: 23-35

สง่ิ ท่วี าทกรรมน้ีเรยี กรอ้ งนัน้ มคี วามสาคญั เท่ากบั สงิ่ ท่สี งั่ ใหท้ า ชวี ติ ความเป็นศษิ ย์ไม่ใช่ความสมั พนั ธ์

แบบเป็นส่วนบุคคลกบั พระครสิ ต์ แต่เป็นชวี ติ ทม่ี ี อย่รู ่วมกนั บรรดาศษิ ย์ควรมกี จิ ปฏบิ ตั ติ ่อกนั มคี วามสมั พนั ธ์

ตอ่ กนั อย่างไรภายในชุมชนชาวครสิ ต?์

425

มทั ธวิ 18:1-14 การเหน็ แก่ “คนเลก็ น้อย” (Little People)

ข. คาเทศน์เกย่ี วกบั พระศาสนจกั ร
ผยู้ ่ิงใหญ่ท่ีสดุ

1 ขณะนัน้ บรรดาศษิ ย์เขา้ มาเฝ้าพระเยซูเจา้ ทูลถามว่า “ผูใ้ ดยงิ่ ใหญ่ทส่ี ุดในอาณาจกั รสวรรค์” 2 พระเยซูเจา้ ทรงเรยี กเดก็
เลก็ ๆ คนหน่ึงใหม้ ายนื อยู่กลางกลุ่มพวกเขา 3 แลว้ ตรสั ว่า “เราบอกความจรงิ แก่ท่านทงั้ หลายว่า ถ้าท่านไม่กลบั เป็นเหมอื นเดก็
เลก็ ๆ ท่านจะเขา้ อาณาจกั รสวรรค์ไม่ไดเ้ ลย 4 เพราะฉะนัน้ ผูใ้ ดทถ่ี ่อมตนลงเป็นเหมอื นเดก็ เลก็ ๆ คนน้ี ผูน้ ัน้ จะยงิ่ ใหญ่ท่สี ุดใน
อาณาจกั รสวรรค์
การชกั นาผอู้ ื่นให้ทาบาป

5 “ผใู้ ดตอ้ นรบั เดก็ เลก็ ๆ เช่นน้ี ในนามของเรา ผนู้ ัน้ ตอ้ นรบั เรา 6 ผใู้ ดเป็นเหตุใหค้ นธรรมดาๆ ทม่ี คี วามเช่อื ในเราทาบาป ถา้
เขาจะถูกแขวนคอดว้ ยหนิ โมถ่ ่วงลงใตท้ ะเล กย็ งั ดกี วา่ สาหรบั เขา 7 น่าเสยี ดายทโ่ี ลกน้ียงั มผี ทู้ เ่ี ป็นเหตุใหม้ นุษยท์ าบาป ผเู้ ป็นเหตุ
ใหม้ นุษยท์ าบาปตอ้ งมอี ยา่ งแน่นอน แตว่ บิ ตั จิ งเกดิ แก่ผนู้ นั้ เถดิ

8 “ถา้ มอื หรอื เทา้ ของท่านเป็นเหตุใหท้ ่านทาบาป จงตดั มนั ทง้ิ เสยี ท่านเขา้ ส่ชู วี ติ โดยมมี อื หรอื เทา้ ขา้ งเดยี วยงั ดกี ว่ามมี อื หรอื
เทา่ ทงั้ สองขา้ ง แตถ่ กู ทง้ิ ลงในไฟนริ นั ดร

9 “ถา้ ตาขา้ งหน่ึงของท่านเป็นเหตุใหท้ ่านทาบาป จงควกั มนั ท้งิ เสยี ท่านจะเขา้ สู่ชวี ติ โดยมตี าขา้ งเดยี วยงั ดกี ว่ามตี าทงั้ สอง
ขา้ ง แต่ตอ้ งถกู ทง้ิ ลงในไฟนรก

10 “จงระวงั ใหด้ ี อย่าดูหมน่ิ คนธรรมดาๆ เหล่าน้ีคนใดเลย เราบอกท่านทงั้ หลายว่า ตลอดเวลาในสวรรค์ ทูตสวรรค์ของเขา
เฝ้าชมพระพกั ตรพ์ ระบดิ าของเราผสู้ ถติ ในสวรรค์ 11“เพราะวา่ บตุ รแหง่ มนุษยเ์ สดจ็ มาเพอื่ ชว่ ยสงิ่ ทเี่ สยี ไปใหร้ อดพน้ ”
แกะท่ีพลดั หลง

12 “ท่านทงั้ หลายคดิ อย่างไร ถา้ ชายคนหน่ึงมแี กะอยู่รอ้ ยตวั แลว้ แกะตวั หน่ึงบงั เอญิ หลงทาง เขาจะไม่ปล่อยแกะเกา้ สบิ เกา้
ตวั ไวบ้ นภเู ขา เพอ่ื คน้ หาแกะตวั ทห่ี ลงไปหรอื

13 “เราบอกความจรงิ แก่ท่านทงั้ หลายวา่ ถา้ เขาหาแกะตวั นนั้ พบแลว้ เขาจะรสู้ กึ ยนิ ดที พ่ี บมนั มากกว่ายนิ ดใี นแกะเกา้ สบิ เกา้
ตวั ทม่ี ไิ ดพ้ ลดั หลง

14 “พระบดิ าของทา่ นผสู้ ถติ ในสวรรคก์ เ็ ชน่ กนั ไมท่ รงปรารถนาใหค้ นธรรมดาๆ เหลา่ น้ีแมเ้ พยี งผเู้ ดยี วตอ้ งพนิ าศไป

426

ข้อศึกษาวิพากษ์

18:1-5 คอื เร่อื งคนท่ใี หญ่และคนท่ีเล็ก ใน 18:1 นักบุญมทั ธวิ เช่อื มโยงฉากน้ีกบั ฉากท่ีผ่านมาโดยให้
บรรดาศษิ ย์มาถงึ “ในเวลานัน้ ” (At That Time) คอื ขณะท่พี ระเยซูเจ้าและนักบุญเปโตรกาลงั พูดคุยกนั ในบ้าน
หลงั หน่ึงในเมอื งคาเปอรน์ าอมุ นกั บุญมทั ธวิ นาพระวรสารนกั บญุ มาระโกมาเขยี นใหมใ่ น 9:33-34 เพอ่ื สะทอ้ นให้
เห็นภาพท่เี ป็นบวกมากข้นึ เก่ยี วกบั บรรดาศษิ ย์ ทาให้คาบรรยายของผู้เล่าเร่อื งในพระวรสารนักบุญมาระโก
กลายเป็นคาถามแบบตรงท่เี ปิดใหโ้ อกาสใหฉ้ ากเหตุการณ์น้ีเป็นการสงั่ สอน ซ่งึ สอดคลอ้ งกบั วาทกรรมในส่วน
ต่อไปน้ี การท่ีนักบุญมทั ธวิ ไม่ชอบความต้องการเป็นผู้ “ยง่ิ ใหญ่ท่สี ุด” ของบรรดาศษิ ย์ได้รบั การเน้นจากขอ้
โตแ้ ยง้ กบั ศาสนายดู ายทก่ี าลงั ฟ้ืนฟูก่อตวั ขน้ึ ซง่ึ เรอ่ื งช่อื ตาแหน่งของรบั บกี ลายเป็นสงิ่ ทโ่ี ดดเดน่ ขน้ึ มา เม่อื แปล
ตามตวั อกั ษรแลว้ คาน้หี มายถงึ “ผยู้ งิ่ ใหญ่ของเรา” (My Great One) (ดู ขอ้ ศกึ ษาวพิ ากษ์ เกย่ี วกบั 23:8-11)

ในท่ีน้ี ไม่มีข้อโต้แย้งเก่ียวกับความย่ิงใหญ่ เช่น ในแหล่งข้อมูลพระวรสารนักบุญมาระโก 9:33 มี
เพียงแต่คาถามจากบรรดาศษิ ย์เก่ยี วกบั พระอาณาจกั ร การนาภาษา “พระอาณาจกั ร” (basileia) ใส่เขา้ มาใน
คาถามแบบเปิด เป็นการทน่ี ักบุญมทั ธวิ นาวาทกรรมทงั้ หมดน้ีวางลงในกรอบโครงร่างเรอ่ื งความขดั แยง้ ระหวา่ ง
อาณาจกั ร (ดู ภาพรวมในส่วนท่ีหน่ึง 12:32-37 บทเสรมิ เร่อื ง “พระอาณาจกั รสวรรค์ในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ”) เร่อื งอุปมาเก่ียวกบั
กษตั รยิ ท์ ส่ี รุปตอนจบทาใหเ้ หน็ ความแตกต่างทช่ี ดั เจนระหว่างสองอาณาจกั รหรอื ความคดิ เหน็ ในการตคี วามใหม่
(Reinterpretation)ทแ่ี ตกตา่ งกนั น้ี (ดู 18:23)

18:2-3 การตอบสนองของพระเยซูเจา้ เป็นการกระทาแบบประกาศกทเ่ี ป็นสญั ลกั ษณ์ ซ่งึ ความหมายท่ี
เป็นระดบั รากฐานน้ีอาจเป็นสง่ิ ท่ผี ู้อ่าน(ชาวตะวนั ตกสมยั ปัจจุบนั )อาจไม่เขา้ ใจเพราะไม่ได้มมี ุมมองเก่ยี วกบั
เดก็ ๆ เหมอื นกบั ชาวตะวนั ออกใกลส้ มยั โบราณ แมแ้ ต่ในศาสนายดู ายในศตวรรษทห่ี น่ึง เดก็ ๆ มกั ถูกมองว่าเป็น
ผทู้ ด่ี อ้ ยกวา่ ผอู้ น่ื ไมม่ สี ถานภาพหรอื สทิ ธใิ ดๆ เป็นสง่ิ ทถ่ี ูก(ตรา)วา่ เป็นทรพั ยส์ นิ มากกว่าบคุ คล และไมเ่ คยถกู ยก
มาเป็นตวั อยา่ งทน่ี ่าปฏบิ ตั ติ ามในเร่อื งใดเลย นกั บุญมทั ธวิ นา มก. 9:35-36 มาเขยี นใหม่ โดยใหพ้ ระเยซูเจา้ ทรง
นาเดก็ ๆ มาเป็นสงิ่ ท่ใี ช้สอนบทเรยี นท่ีนักบุญมทั ธวิ นามาเขยี นใหม่จาก มก. 10:15 (หรอื รปู แบบเดมิ ของมนั ) ส่วนน้ี
เรม่ิ ตน้ ดว้ ยถอ้ ยคาว่า “อาเมน” ทห่ี นักแน่นแบบประกาศก (Amen เทยี บ 5:18) ในตอนแรกพระเยซูเจา้ ทรงจดั การ
กบั ขอ้ สนั นิษฐานของพวกเขากอ่ น บรรดาศษิ ยต์ า่ งคดิ วา่ ตนเอง “อยใู่ น” พระอาณาจกั รเรยี บรอ้ ยแลว้ และเพยี งแต่
ถามวา่ พวกเขามลี าดบั ตาแหน่งอยา่ งไร คาตอบของพระเยซูเจา้ ทม่ี ลี กั ษณะเป็นถอ้ ยคาแบบสดุ โต่งของประกาศก
ทา้ ทายขอ้ สนั นิษฐานของพวกเขา การทจ่ี ะ “เขา้ ส่”ู พระอาณาจกั ร บุคคลผูน้ ัน้ จะต้องกลบั ใจ ซง่ึ หมายความว่า
กลายเป็นเดก็ เลก็ ๆ ใหม่อกี ครงั้ สงิ่ น้ีทาใหส้ รุปสาระสาคญั ของพระวรสารนักบุญมทั ธวิ เทยี บเท่ากบั ยน. 3:3, 5
ซ่งึ มี “ของประทาน” และมขี อ้ เรยี กรอ้ งเช่นเดยี วกนั การตดิ ตามพระเยซูเจา้ ไม่ใช่การทาสงิ่ ทม่ี คี ุณค่าเพมิ่ ข้ึนอกี
หน่ึงอย่าง แต่เป็นการเรม่ิ ต้นทุกอย่างใหม่หมด ตลอดหลายศตวรรษท่ผี ่านมา คาเทศนาของชาวครสิ ต์ไดส้ รา้ ง
ความหมายหลายอยา่ งจากขอ้ ความทว่ี ่า “เป็นเหมอื นเดก็ เลก็ ๆ” (อ่อนน้อมถ่อมตน, ใสบรสิ ทุ ธ,ิ์ ปราศจากตณั หา, เปิดกวา้ งและ

ไวใ้ จ, เป็นธรรมชาต,ิ บอบบางและพง่ึ พา, ยอมรบั “ของขวญั ” โดยไมต่ อ้ งพยายามบงั คบั ใหต้ นเองตอ้ งรสู้ กึ วา่ “คคู่ วร” จะไดร้ บั , ฯลฯ)

แม้ว่าขอ้ ความ 18:4 อาจมคี วามหมายแฝงได้หลายอย่างดงั กล่าว นักบุญมทั ธวิ ทาให้ความหมายของ
ท่านชดั เจนดว้ ยการนาคาพดู จากเอกสารแหล่ง Q มาวางโครงสรา้ งใหม่ตามท่ที ่านเคยใชม้ าก่อนใน 23:12 (เทยี บ
ลก 14:11; 18:14) การเป็นเหมอื นเดก็ เลก็ ๆ คอื การถ่อมตน ละทง้ิ การเสแสรง้ ว่าตนเองมคี วามสาคญั เป็นอสิ ระเสรี
พ่งึ ตนเองแบบไวว้ างใจในผู้ใหญ่ แล้วหนั ไปเช่อื ใจพระบดิ าบนสวรรค์ (6:8,32) เร่อื งราวน้ีไม่ใช่การเรยี กรอ้ งให้
เลยี นแบบลกั ษณะ (ทเ่ี ช่อื กนั ว่า) ของเดก็ ๆ แต่เป็นการยอมรบั ความเขา้ ใจทต่ี ่างจากเดมิ อย่างสุดขวั้ เกย่ี วกบั สถานะ

427

กฎข้อแรกของการใช้ชีวิตร่วมกันในชุมชนใหม่ท่ีพระเยซูเจ้าทรงสร้างข้ึนและยอมรบั ท่ีทางของตนเองใน
ครอบครวั ของพระเป็นเจา้

18:5 เรอ่ื งราวสนั้ ๆ น้ีมตี อนจบทป่ี ระณีตดว้ ยคาพดู สดุ ทา้ ยจาก ว. 4 ซง่ึ ก่อตวั เป็นวงเลบ็ ทางวรรณกรรม
กบั คาถามของสาวกใน ว. 1 แต่ ว. 5 ไม่ใชท่ งั้ สว่ นผนวกทไ่ี มเ่ กย่ี วขอ้ งและไมไ่ ดม้ อี ยเู่ พยี งเพราะมนั มคี าวา่ “เดก็ ”
เป็นคานาทาง (Catchword) แต่ ว. 5 เป็นการแสดงภาพใหเ้ หน็ อย่างเป็นรปู ธรรมเกย่ี วกบั ความหมายของความ
ถ่อมตนท่ี ว. 4 เรยี กรอ้ ง การยอมรบั เด็กคอื การยอมลดตนลงมาอย่างแท้จรงิ เพราะเดก็ นัน้ อ่อนแอและต้อง
พง่ึ พาผอู้ ่นื ไม่อาจทาสงิ่ ใดเลยทจ่ี ะสนับสนุนความทะเยอทะยานของใครไดเ้ ลย การยอมรบั เดก็ ไม่อาจทาโดยมี
แรงผลกั ดนั ซ่อนเรน้ หรอื วาระซ่อนเรน้ ผทู้ ย่ี อมรบั เดก็ คือ คนทก่ี ลบั ใจไปสลู่ กั ษณะของผทู้ เ่ี ป็นของพระอาณาจกั ร
และไม่สนใจการเป็น “คนทย่ี งิ่ ใหญ่ทส่ี ุด” อกี ต่อไป ดงั นัน้ ในการยอมรบั เดก็ เลก็ ๆ เราจะพบว่าเราไดย้ อมรบั พระ
ครสิ ตน์ นั่ เอง

18:6-10 เป็นการหา้ มดหู มนิ่ คนเลก็ น้อย (Little People) ตอนน้ีสง่ิ ทถ่ี ูกกล่าวถงึ เปลย่ี นไป (แต่ไมม่ าก) จาก
ผทู้ อ่ี ายุน้อย (เดก็ ๆ) เป็นสมาชกิ ชุมชนชาวครสิ ตท์ ย่ี งั ไม่เขม้ แขง็ ในความเช่อื พวกเขายงั เป็น “ผเู้ ลก็ น้อย” (Little
Ones) ไม่มอิ ทิ ธพิ ลใดๆ ต่อชุมชน ดงั นนั้ จงึ เหมอื นกบั ในเรอ่ื งเล่าสนั้ ๆ ก่อนหน้าน้ี พวกเขาไม่สามารถกา้ วหน้า
ในอาชพี ทางศาสนาจนกลายเป็นผู้ท่ี “ยง่ิ ใหญ่” ท่สี ุดในอาณาจกั ร แล้วชาวคริสต์ท่ี “มวี ุฒภิ าวะแล้ว” ควรจะมี
ทศั นคตอิ ยา่ งไรต่อ “ผทู้ เ่ี พงิ่ เกดิ ในพระครสิ ต”์ (Babes in Christ) เหลา่ น้ี (เทยี บ 1คร. 3:1-3)?

18:6-7 ห่างไกลจากการเป็นคนทไ่ี รค้ วามสาคญั . “คนเลก็ น้อย” ในชุมชนของนักบุญมทั ธวิ จะต้องไดร้ บั
การใสใ่ จมากทส่ี ดุ โดยปราศจากการดแู คลน คาวา่ “คนเลก็ น้อย” กลายเป็นโครงสรา้ งหลกั ของวาทกรรมทงั้ หมด
สมาชกิ จะต้องใช้ชวี ติ ความเป็นศษิ ย์ในแบบท่ไี ม่เป็นท่สี ะดุดแก่สมาชกิ ท่อี ่อนแอกว่าในพระศาสนจกั ร ในท่นี ้ี
มุมมองเดิมเก่ียวกบั การใช้อิสรภาพอย่างมคี วามรบั ผดิ ชอบของชาวครสิ ต์ โดยอธบิ ายอ้างอิงถึงคนนอก ไม่
เพยี งแต่ถูกนามาใชก้ บั คนในชุมชนเท่านัน้ แต่กบั ผูท้ อ่ี ่อนแอทส่ี ุดในชุมชนดว้ ย ภาพทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงแสดงให้
เหน็ นัน้ เป็นลกั ษณะคาพูดเกนิ จรงิ จงึ ทาให้น่าจดจา คาว่า “หนิ โม่ขนาดใหญ่” (Great Millstone) นัน้ แปลตาม
ตวั อกั ษรคอื คาวา่ “หนิ โมผ่ กู ถ่วงคอลา” (Donkey Millstone) ซง่ึ เป็นหนิ โม่อนั บนทใ่ี ชล้ าลากของโรงโม่ขนาดใหญ่
มากกวา่ โรงโม่ขนาดเลก็ ขอ้ ความน้ีมคี วามเป็นสุภาษติ (ดู เทยี บ วว 18:21) แต่การนามาใชก้ บั โชคชะตาของคนทท่ี า
ตวั เป็นทส่ี ะดดุ บนหนทางของผอู้ ่นื ทเ่ี ป็นศษิ ยเ์ ป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะของพระเยซูเจา้ นกั บญุ มทั ธวิ ขยายความภาพ
น้ีเพมิ่ เตมิ ดว้ ยการแทรกคากล่าวจากเอกสารแหล่ง Q ทท่ี ่านไดน้ ามาปรบั เปลย่ี น (ดู เทยี บ ลก 17:1-2) เกย่ี วกบั ความ
จาเป็นของหนิ ทส่ี ะดดุ นนั้ แมว้ ่าเราไม่อาจหลกี เลย่ี งการมชี วี ติ อยใู่ นโลกทส่ี งิ่ เหล่าน้ีตอ้ งเกดิ ขน้ึ แต่สมาชกิ ทม่ี วี ุฒิ
ภาวะแลว้ ไมส่ ามารถนาสงิ่ น้ีมาเป็นเหตุผลในการไมใ่ สใ่ จกบั ผคู้ นเลก็ น้อยในชุมชน ความพนิ าศในภาพรวมทท่ี รง
ประกาศไวส้ าหรบั โลกทไ่ี มใ่ สใ่ จคนเลก็ น้อย ไม่จาเป็นและจะตอ้ งไมถ่ กู นามาตคี วามวา่ หมายถงึ ตวั คุณ

18:8-9 มคี าแบบเดยี วกนั กบั ทใ่ี ชใ้ น 5:29-30 ซ่งึ เป็นการเรยี กให้ใชม้ าตรการแบบสุดโต่งเพ่อื ป้องกนั กิ
เสสตณั หาในชวี ติ ของเรา แต่ในทน่ี ้ี แทนทจ่ี ะกล่าวถงึ การควบคุมความปรารถนาทางเพศ มนั ถูกนามาใชก้ บั การ
ควบคุมความปรารถนาในอานาจ เชน่ เดยี วกบั การเรยี กรอ้ งใหบ้ ุคคลหน่ึงใชม้ าตรการทเ่ี ขม้ งวดเฉียบขาดในการ
ป้องกนั ไม่ใหค้ วามปรารถนาทางเพศครอบงาชวี ติ ของตนและทาใหต้ นตอ้ งกลายเป็นผทู้ าลายชวี ติ คนอ่นื ความ
ตอ้ งการอานาจ (อยาก “ยงิ่ ใหญ่” ในชุมชน, ทะเยอทะยานทจ่ี ะทาเพ่อื ตนเองโดยไม่สนใจความเดอื ดรอ้ นของคนอ่นื ) มโี อกาสจะครอบงา
การดารงอยขู่ องคนเราได้ เป็นอนั ตรายทงั้ ต่อตนเอง ต่อความเชอ่ื ของผอู้ ่นื และต่อชวี ติ ของชุมชนดว้ ย ดงั นนั้ การ

428

ขาดความต่อเน่ืองระหว่าง ว. 6-7 และ ว. 8-9 เป็นเพยี งภาพท่เี ราเห็นเท่านัน้ เพราะทงั้ สองอย่างส่อื ถงึ ความ
จาเป็นทจ่ี ะตอ้ งปกป้องชวี ติ ของชมุ ชน

18:10 เป็นวรรคท่ไี ปพรอ้ มกบั ว. 6-9 คาว่า “ผูเ้ ลก็ น้อย” ไดก้ ่อใหเ้ กดิ วงเลบ็ กบั ว. 6 (ในฉบบั NIV ใชค้ าว่า
“Look Down On” ซ่ึงดีกว่าในฉบบั NRSV ท่ีใช้คาว่า “Despise” ซ่ึงอาจถูกเขา้ ใจผิดหมายถึง “ไม่ชอบ” หรอื “เกลยี ด”) คนท่ีใหญ่ในชุมชน
ไม่ไดม้ แี นวโน้มจะเกลยี ด “คนเลก็ น้อย” แต่มแี นวโน้มทจ่ี ะดูหมนิ่ พวกเขา มองพวกเขาว่าไรค้ วามสาคญั (เทยี บ รม
14:1-15:3) แมว้ ่าผูน้ าครสิ ตจกั รอาจมแี นวโน้มท่จี ะดูหมนิ่ พวกเขา แต่ทูตสวรรค์ท่สี ูงทส่ี ุดกลบั ไดร้ บั มอบหมายให้
ดูแลพวกเขา นักบุญมัทธิวสันนิษฐานว่าบุตรแห่งมนุษย์ผู้ประทับอยู่กับคริสตจักรของพระองค์ตลอด
ประวตั ศิ าสตรท์ ผ่ี ่านมาทรงมที ูตสวรรค์ ผชู้ ่วยทก่ี ระทาพนั ธกจิ ของพระองค์ (13:39, 41; 16:27; 24:31; 26:53) พวกเขา
ไม่เพยี งแต่รบั ใชพ้ ระเมสสยิ าห์เท่านัน้ (4:6, 11) แต่ยงั ดูแลคนของพระเมสสยิ าหด์ ว้ ย (18:10) ในศาสนายูดาย พระ
เจ้าทรงมอบหมายทูตสวรรค์ให้รบั ผดิ ชอบชนชาตติ ่างๆ บนโลก รวมถงึ ทูตสวรรค์ท่ดี ูแลชาวอสิ ราเอลโดยทา
หน้าทเ่ี ป็นคนกลางในสวรรค์ คอยชน้ี าทางและดแู ลโลก (ดนล. 10-:13, 21; เทยี บ ฉธบ. 32:8) แนวคดิ น้ีไดร้ บั การสบื ทอด
โดยศาสนาครสิ ต์ยุคต้นๆ บางสาย (เทยี บ กจ. 12:15; ฮบ. 1:5-14; วว. 1:20) นักบุญมทั ธวิ ได้นาภาพน้ีมาแล้วไปใช้กบั
สมาชกิ ท่ีอ่อนแอท่ีสุดของชุมชน กล่าวคอื สวรรค์ได้มอบหมายทูตสวรรค์ระดบั สูงสุดให้เป็นผู้ช่วยสมาชิกท่ี
อ่อนแอทส่ี ุดของชุมชน ประเด็นนัน้ ชดั เจนมาก สวรรคไ์ ม่ไดย้ อมแพก้ บั ผคู้ นทอ่ี ย่รู มิ ขอบ ผทู้ ล่ี ม้ ลงหรอื ตกต่าลง
หรอื หลงทาง สง่ิ ทส่ี วรรคใ์ หค้ ณุ คา่ สงู สุดจะตอ้ งไมถ่ กู ดหู มนิ่ โดย “คนทใ่ี หญ่” ในครสิ ตจกั รบนโลก

18:11 ข้อความน้ีได้หายไปจากต้นฉบบั ท่ีเก่าแก่ท่ีสุดและดีท่ีสุด ซ่ึงเป็นตวั แทนของงานเขียนหลาย
ตระกูลและตาแหน่งทต่ี งั้ ทางภูมศิ าสตรต์ ่างๆ คงแทบไม่ต้องสงสยั ว่าขอ้ ความน้ีท่านนักบุญมทั ธวิ ได้เตมิ เขา้ มา
จาก ลก 19:10 เพ่อื เสรมิ ส่วนเช่อื มโยงทด่ี ขู าดหายไปในเร่อื งอุปมาต่อจากนนั้ ความต่อเน่ืองจงึ ปรากฏอย่ตู ามท่ี
เหน็

18:12-14 คอื เร่อื งความใส่ใจต่อสมาชกิ ท่ีหลงทาง แทนทจ่ี ะดูหมน่ิ “คนเลก็ น้อย” “คนท่ใี หญ่” ในชุมชน
ควรเปลย่ี นทศั นคตกิ ารมอง “ผอู้ ่นื ” ดว้ ยการเหน็ คุณค่าและแสวงหาพวกเขาเวลาทพ่ี วกเขาหลงหายไป ใน ว. 6-
10 เน้นเร่อื งทว่ี ่าชาวครสิ ต์ท่ี “มวี ุฒภิ าวะแลว้ ” ควรใชช้ วี ติ โดยเหน็ แก่การสรู้ บทางจติ วญิ ญาณทผ่ี ูอ้ ่นื ตอ้ งเผชญิ
ดงั นนั้ เรอ่ื งอปุ มาทส่ี รุปจบตอนน้ีจงึ กล่าวถงึ การตงั้ ใจเสาะหาสมาชกิ ชุมชนทเ่ี ดนิ หลงทาง แมว้ ่าชุมชนจะมขี อ้ ควร
ใสใ่ จเกย่ี วกบั การไม่เป็นอุปสรรคขดั ขวางบนหนทางของผอู้ ่นื

เราไม่มรี ปู แบบหรอื บรบิ ทดงั้ เดมิ ของเรอ่ื งอปุ มาน้ี อุปมาทงั้ หลายของพระเยซูเจา้ เป็นแบบปลายเปิดและ
ตคี วามไดห้ ลายอย่าง ศกั ยภาพในการตคี วามไดข้ องอุปมาทาใหส้ ามารถนาไปปรบั ใชก้ บั สถานการณ์ใหม่ๆ ได้
(เทยี บ 13:1-52) เร่อื งอุปมาน้ีมอี ยู่ 3 รูปแบบ คอื พระวรสารนกั บุญโธมสั 107, มธ 18:12-14 และ ลก 15:3-7 ในแต่
ละกรณมี กี ารปรบั ความหมายใหเ้ ขา้ กบั บรบิ ท ในพระวรสารนกั บุญโธมสั แกะตวั ทใ่ี หญ่ทส่ี ุดหลงทาง แกะตวั อ่นื ๆ
ไม่ไดถ้ ูกทง้ิ ไวใ้ นทะเลทรายหรอื บนภูเขา ไมม่ สี ญั ลกั ษณ์ทบ่ี ่งบอกถงึ ความยนิ ดี และขอ้ สรุปนนั้ เป็นตรรกะเหตผุ ล
ทช่ี ุมพาบาลพูดกบั แกะท่เี คยหลงทาง “เราเป็นห่วงเจา้ มากกว่าแกะอกี เก้าสบิ เก้าตวั ” ใน ลก 15:3-7 กลุ่มผูฟ้ ัง
ประกอบด้วยคนท่วี พิ ากษ์วจิ ารณ์อย่างรุนแรง และหวั ขอ้ ท่กี ล่าวถงึ คอื การเผยแพร่พระวรสารใหก้ บั คนนอกท่ี
ยงั คงหลงทาง แต่ในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ กลุ่มผูฟ้ ังคอื บรรดาศษิ ย์ของพระเยซูเจ้า และหวั ขอ้ ท่พี ูดคอื การ
ตดิ ตามหาคนในชุมชนท่กี าลงั หลงหาย เป็นการดูแลฝงู แกะมากกว่าการประกาศพระวรสาร เป็นการชาระให้

429

บรสิ ุทธิ ์ (Sanctification) มากกว่าการอา้ งเหตุผล (Justification) รปู แบบทอ่ี ย่ใู นพระวรสารนักบุญมทั ธวิ สะทอ้ น
ถงึ อทิ ธพิ ลจาก อสค. 34:6-8 โดยมคี วามรสู้ กึ ยนิ ดสี ะทอ้ นอยใู่ นสารบบทงั้ สองฉบบั

18:12 นักบุญมทั ธวิ เรมิ่ ต้นคาถามเช่นเดยี วกบั ในพระวรสารนักบุญลูกา แต่เป็นคาถามท่แี ตกต่างไป
คาถามทม่ี ลี กั ษณะแบบงานเขยี น “ทา่ นเหน็ ว่าเป็นอยา่ งไร” (How does it seem to you? / ti hymin dokei) ซง่ึ พบ
เฉพาะในสรปุ สาระสาคญั ของพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ (18:12; 26:28; 22:42; 26:66) ใน ยน. 11:56 และไม่มที อ่ี ่นื อกี เลย
ในพระคมั ภรี ภ์ าคพนั ธสญั ญาใหม่ เร่อื งอุปมาดงั้ เดมิ ของพระเยซูเจา้ แสดงภาพการตดั สนิ ใจทเ่ี สย่ี งและน่าสงสยั
อย่างมาก คอื การละแกะเก้าสบิ เก้าตวั ไวใ้ นทะเลทราย (ลูกา) หรอื บนภูเขา (มทั ธวิ ) เพ่อื ไปหาแกะหน่ึงตวั ทห่ี ายไป
นักบุญมทั ธวิ หลกี เลย่ี งสว่ นทเ่ี ป็นปัญหาน้ีดว้ ยการสรา้ งคาถามท่ีเหน็ ไดช้ ดั เลยวา่ คาดหวงั คาตอบทเ่ี ป็นการตอบ
รบั เช่นเดยี วกบั ทไ่ี วยากรณ์ของภาษากรกี บ่งช้ี (เป็นคาถามทเ่ี รมิ่ ต้นดว้ ย “ouchi”) เช่นเดยี วกบั กรณีของผอู้ ่านสมยั ใหม่
หลายคน นกั บุญมทั ธวิ และชุมชนของท่านคุน้ เคยกบั รปู แบบดงั้ เดมิ ของเรอ่ื งอุปมาน้ี (ในเอกสารแหล่ง Q) จนพวกเขา
คาดเดาอยู่แล้วว่า “ชุมพาบาลท่ดี ”ี จะต้องตามหาแกะท่หี ายไปอย่างแน่นอน ในบรบิ ทของพระวรสารนักบุญ
มทั ธวิ คาถามน้จี งึ มุ่งเน้นความใสใ่ จไปทอ่ี นั ตรายซง่ึ แกะหลงอาจตอ้ งเผชญิ ไม่ใชเ่ ป็นเพราะวา่ มนั มคี า่ กวา่ แกะตวั
อน่ื แต่เป็นเพราะมนั หลงไปและจาเป็นตอ้ งไดร้ บั การชว่ ยเหลอื ฟ้ืนฟู สว่ นตวั อ่นื ๆ ไม่จาเป็นตอ้ งไดร้ บั สงิ่ เหลา่ นนั้
น่ีคอื ประเดน็ ท่ีนักบุญมทั ธวิ ต้องการบอกกบั ผูอ้ ่านของท่าน ซ่งึ มแี นวโน้มจะดูหมน่ิ “คนเลก็ น้อย” ของชุมชนท่ี
ตามคนอ่นื ๆ ไม่ทนั

ข้อคิดไตรต่ รอง
1. ในพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ ไม่มกี ารเปิดเผยตวั ตนของชุมพาบาล ผอู้ ่านอาจคดิ วา่ เป็นพระเป็นเจา้ และ

เป็นพระเยซูเจา้ ผเู้ ป็นตวั แทนของการดารงอยอู่ ยา่ งต่อเน่ืองของพระเป็นเจา้ ในขณะทค่ี รสิ ตจกั รกระทาภารกจิ (ดู
1:23 พระเยซูเจา้ คอื ผแู้ สวงหาผหู้ ลงทางใน 9:36; 15:24; 26:31) แต่พระเยซูเจา้ ไดท้ รงมอบหมายอานาจและภารกจิ ของพระองค์
ใหก้ บั บรรดาศษิ ย์ (ดู 10:1-5ก) พระเป็นเจา้ ผทู้ รงเหน็ คุณค่าของผทู้ ห่ี ลงทางหรอื ลม้ ลง และออกตามหาพวกเขาได้
ปรากฏอยใู่ นพระบุตร ผเู้ ป็นพระเมสสยิ าห์ สว่ นภารกจิ ทด่ี าเนนิ อยา่ งตอ่ เน่ืองของพระบตุ รไดป้ รากฏอยใู่ นบรรดา
ศษิ ยห์ รอื ครสิ ตจกั รของพระองค์ ในมุมมองของนักบุญมทั ธวิ การทค่ี รสิ ตจกั รใส่ใจอภบิ าลคนทไ่ี ม่มคี วามสาคญั
และคนทห่ี ลงทาง หรอื “คนเลก็ น้อย” เป็นตวั แทนของความเป็นชุมพาบาลของพระเป็นเจา้ ซ่งึ เป็นจรงิ ขน้ึ มาใน
พระเยซูเจา้ ผทู้ รงเป็นพระเป็นเจา้ ทป่ี ระทบั อย่ทู า่ มกลางพวกเรา ในพระศาสนจกั รทุกวนั น้ี ภารกจิ ของครสิ ตชน
ด้านการศกึ ษา การเล้ยี งดู การอภบิ าล กลุ่มสนับสนุนต่างๆ ผูใ้ ห้คาปรกึ ษาด้านวกิ ฤตต่างๆ โรงครวั บ้านพกั
ชวั่ คราวสาหรบั คนไรบ้ ้าน และโครงการให้ความช่วยเหลอื ทางการเงนิ ต่อผู้ขาดแคลนคอื หนทางท่ชี ุมชนแห่ง
ความเชอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการของ “ผทู้ ด่ี อ้ ยทส่ี ดุ ”

2. ภาพของชุมพาบาลกระตุน้ ใหเ้ รานกึ ถงึ ภาพหลายภาพในศาสนายดู ายศตวรรษทห่ี น่ึง (และศาสนาครสิ ต์ใน
สมยั ของนักบุญมทั ธวิ ) ภาพทด่ี ูจะไม่สอดคลอ้ งหรอื เขา้ กนั นัก ในทางหน่ึง มนั คอื มโนภาพดงั้ เดมิ ทม่ี าจากสมยั ท่ีชาว
อสิ ราเอลยงั เป็นชนเผ่าเร่ร่อน โดยมพี ระเป็นเจา้ เป็นชุมพาบาลท่ดี ี แต่เม่อื ถงึ ศตวรรษทห่ี น่ึง ชาวยวิ ในดนิ แดน
ปาเลสไตน์ไม่ไดเ้ ป็นชนเผ่าเรร่ อ่ นอกี ต่อไป คนทเ่ี ป็นชุมพาบาลถูกดหู มน่ิ ว่าเป็นชนชนั้ น่ารงั เกยี จ ไรค้ วามสาคญั
และถูกจดั ให้อยู่กลุ่มเดยี วกบั คนเก็บภาษีซ่ึงอยู่นอกศลี ธรรมจรรยาของศาสนายูดายท่เี ป็นทางการ ความตึง
เครยี ดด้านการตคี วามเก่ยี วกบั ชาวยวิ ถูกแก้ไขโดยคาอธบิ ายอย่างละเอียดว่าเหตุใดพระคมั ภรี จ์ งึ ใช้มโนภาพ

430

เช่นน้ีเป็นตวั แทนของพระเป็นเจา้ แต่นักบุญมทั ธวิ ไม่ไดใ้ หค้ าอธบิ ายดงั กล่าว ดงั นัน้ การนาเสนอของท่านจงึ มี
ความสดุ โต่งเป็นสองเทา่ นอกจากการ “คนเลก็ น้อย” หลงทางและไรค้ วามสาคญั ในครสิ ตจกั รของนกั บญุ มทั ธวิ จะ
ถกู มองว่ายงั มคี ุณค่าสงู สดุ แลว้ นายชุมพาบาลทต่ี ามหาพวกเขายงั ถูกนาเสนอในมโนภาพทว่ี ฒั นธรรมดงั กล่าวดู
หมน่ิ โดยปราศจากคาอธบิ ายใดๆ ผทู้ ต่ี ดิ ตามพระเยซูเจา้ ในการทาพนั ธกจิ ต่อ “คนเลก็ น้อย” จงึ สวมบทบาททใ่ี น
พระคมั ภรี ไ์ ดร้ ะบุไวแ้ ลว้ วา่ ไม่ไดม้ คี วามสงู สง่ ใดๆ เลยในทางวฒั นธรรม ครงั้ หน่งึ ศาสนจารยน์ กิ ายโปรเตสตนั ทใ์ น
วฒั นธรรมของชาวตะวนั ตก คาว่า “นกั เทศน์” (Parson) หมายถงึ “บุคคล” (Person) ในชุมชน แต่เวลาเชน่ นนั้ ได้
หมดไปแลว้ และการอภบิ าลจะต้องมแี รงผลกั ดนั อ่นื ทไ่ี ม่ใช่เพยี งการยนิ ยอมเหน็ ชอบทางวฒั นธรรม (Cultural
Approbation) นกั บญุ มทั ธวิ ไดพ้ ดู ถงึ ความจาเป็นดงั กลา่ วน้ี

มทั ธวิ 18:15-35 วนิ ยั และการใหอ้ ภยั

การตกั เตือนกนั ฉันพ่ีน้อง
15 “ถา้ พน่ี ้องของท่านทาผดิ 7 จงไปตกั เตอื นเขาตามลาพงั ถา้ เขาเช่อื ฟัง ท่านจะไดพ้ น่ี ้องกลบั คนื มา 16 ถา้ เขาไมเ่ ชอ่ื ฟัง จงพา

อกี คนหน่ึงหรอื สองคนไปดว้ ย คำพดู ของพยำนสองคนหรือสำมคนจะได้จดั เรอื่ งรำวให้เรียบร้อย 17 ถา้ เขาไมย่ อมฟังพยาน
จงแจง้ ใหห้ มคู่ ณะทราบ8 ถา้ เขาไมย่ อมฟังหมคู่ ณะอกี จงปฏบิ ตั ติ อ่ เขาเหมอื นเขาเป็นคนตา่ งศาสนา หรอื คนเกบ็ ภาษเี ถดิ

18 “เราบอกความจรงิ แก่ท่านทงั้ หลายวา่ ทุกสงิ่ ทท่ี ่านจะผกู ในโลก จะผกู ไวใ้ นสวรรค์ และทุกสง่ิ ทท่ี ่านจะแกใ้ นโลก กจ็ ะแกใ้ น
สวรรคด์ ว้ ย”
การอธิษฐานภาวนาร่วมกนั

19 “เราบอกความจรงิ แก่ท่านอกี ว่า ถ้าท่านสองคนในโลกน้ีพรอ้ มใจกนั อ้อนวอนขอสงิ่ หน่ึงสงิ่ ใด พระบดิ าของเราผูส้ ถติ ใน
สวรรคจ์ ะประทานให้ 20 เพราะวา่ ทใ่ี ดมสี องหรอื สามคนชุมนุมกนั ในนามของเรา เราอยทู่ น่ี นั่ ในหมพู่ วกเขา”
การให้อภยั ความผิด

21 เปโตรเขา้ มาทูลถามพระเยซูเจา้ วา่ “พระเจา้ ขา้ ถา้ พน่ี ้องทาผดิ ต่อขา้ พเจา้ ขา้ พเจา้ ตอ้ งยกโทษใหเ้ ขาสกั กค่ี รงั้ ถงึ เจด็ ครงั้
หรอื ไม”่ 22 พระเยซเู จา้ ตรสั ตอบวา่ “เราไมไ่ ดบ้ อกท่านวา่ ตอ้ งยกโทษใหเ้ จด็ ครงั้ แตต่ อ้ งยกโทษใหเ้ จด็ คณู เจด็ สบิ ครงั้ ”
อปุ มาเรอ่ื งลกู หนี้ไร้เมตตา

23 อาณาจกั รสวรรคเ์ ปรยี บไดก้ บั กษตั รยิ พ์ ระองคห์ น่ึง ทรงประสงคจ์ ะตรวจบญั ชหี น้ีสนิ ของผรู้ บั ใช้ 24 ขณะทท่ี รงเรมิ่ ตรวจ
บญั ชนี นั้ มผี นู้ าชายผหู้ น่ึงเขา้ มา ชายผนู้ ้ีเป็นหน้ีอยเู่ ป็นพนั ลา้ นบาท 25 เขาไมม่ สี งิ่ ใดจะชาระหน้ีได้ กษตั รยิ จ์ งึ ตรสั สงั่ ใหข้ ายทงั้ ตวั
เขา บุตรภรรยาและทรพั ยส์ นิ ทงั้ หมดเพอ่ื ใชห้ น้ี 26 ผรู้ บั ใชก้ ราบพระบาททลู ออ้ นวอนวา่ ‘ขอทรงพระกรณุ าผลดั หน้ีไวก้ อ่ นเถดิ
แลว้ ขา้ พเจา้ จะชาระหน้ีใหท้ งั้ หมด’ 27 กษตั รยิ ท์ รงสงสารจงึ ทรงปลอ่ ยเขาไปและทรงยกหน้ีให้ 28 ขณะทผ่ี รู้ บั ใชอ้ อกไป กพ็ บเพอ่ื น
ผรู้ บั ใชด้ ว้ ยกนั ซง่ึ เป็นหน้ีเขาอยไู่ มก่ พ่ี นั บาท14 เขาเขา้ ไปควา้ คอบบี ไวแ้ น่น พดู วา่ ‘เจา้ เป็นหน้ีขา้ อยเู่ ทา่ ไร จงจา่ ยใหห้ มด’

431

29 “เพอ่ื นคนนนั้ คุกเขา่ ลงออ้ นวอนวา่ ‘กรณุ าผลดั หน้ีไวก้ ่อนเถดิ แลว้ ขา้ พเจา้ จะชาระหน้ีให’้ 30 แตเ่ ขาไมย่ อมฟัง นาลกู หน้ีไป
ขงั ไวจ้ นกวา่ จะชาระหน้ีใหห้ มด 31 เพอ่ื นผรู้ บั ใชอ้ ่นื ๆ เหน็ ดงั นนั้ ต่างสลดใจมาก จงึ นาความทงั้ หมดไปทลู กษตั รยิ ์ 32 พระองคจ์ งึ
ทรงเรยี กชายผนู้ นั้ มา ตรสั วา่ ‘เจา้ คนสารเลว ขา้ ยกหน้ีสนิ ของเจา้ ทงั้ หมดเพราะเจา้ ขอรอ้ ง 33 เจา้ ตอ้ งเมตตาเพอ่ื นผรู้ บั ใชด้ ว้ ยกนั
เหมอื นกบั ทข่ี า้ ไดเ้ มตตาเจา้ มใิ ชห่ รอื ’ 34 กษตั รยิ ก์ รว้ิ มาก ตรสั สงั่ ใหน้ าผรู้ บั ใชน้ นั้ ไปทรมานจนกวา่ จะชาระหน้ีหมดสน้ิ 35 พระบดิ า
ของเราผสู้ ถติ ในสวรรคจ์ ะทรงกระทาตอ่ ทา่ นทานองเดยี วกนั ถา้ ทา่ นแต่ละคนไมย่ อมยกโทษใหพ้ น่ี ้องจากใจจรงิ ”

ข้อศกึ ษาวิพากษ์
สง่ิ เหล่าน้ีไม่ใช่กฎทวั่ ๆ ไปของความสมั พนั ธภาพระหว่างบุคคล แต่เหมอื นกับกฎขอ้ อ่นื ๆ ทผ่ี ่านมา คอื

เป็นกฎเกณฑข์ องชาวครสิ ต์ในการใชช้ วี ติ อย่รู ่วมกนั ในครสิ ตจกั ร (ดู ขอ้ คดิ ไตร่ตรอง ดา้ นล่าง) เม่อื ว. 6-14 เก่ยี วขอ้ ง
กบั สมาชกิ ครสิ ตชนทม่ี คี วามสาคญั น้อยทส่ี ุดและเสย่ี งต่อการสะดุดในชวี ติ ความเป็นครสิ ตชนของเขาหรอื ความ
เป็นแกะท่เี ดนิ หลงไปจากฝูงแล้ว ว. 15-20 จงึ เก่ยี วขอ้ งกบั สมาชกิ ท่กี ระทาบาปหนักและยงั คงไม่สานึกเสยี ใจ
รวมถงึ สมาชกิ ทช่ี อบก่อกวนการร่วมชุมนุมของครสิ ตจกั ร ถงึ แมน้ ักบุญมทั ธวิ ไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั การนาหลกั ศลี ธรรม
มาใชต้ ดั สนิ ในทางทผ่ี ดิ แบบผสู้ อนศาสนาของชาวยวิ (ดู 5:21-28; 23:16-22) แต่ในทน่ี ้ีท่านยงั คงนาเสนอการนาหลกั
ศลี ธรรมมาใชต้ ดั สนิ การอยรู่ ว่ มกนั ของชาวครสิ ตชน (มี 9 วลที เ่ี รม่ิ ตน้ แบบหลกั ธรรมจรยิ ะ [ean + aorist Subjunctive])

สาหรบั 18:15 เม่อื เราพิจารณาจาก ว. 17 คาว่า “adelphos” มคี วามหมายว่า “สมาชกิ ของครสิ ตจกั ร”
จรงิ ๆ แต่คาแปลของคาน้ีบดบงั ธรรมชาตคิ วามเป็นครอบครวั ของครสิ ตจกั รในแนวคดิ ของนักบุญมทั ธวิ (เทยี บ
12:46:50) และขอ้ เทจ็ จรงิ ทว่ี า่ คาทห่ี มายถงึ “ครสิ ตจกั ร” (Church / ekklesia) ปรากฏอย่ใู นพระวรสารแคไ่ หน 16:17
และ 17:18 เท่านัน้ (ในส่วนอ่ืนๆ และในส่วนหลงั ของบรบิ ทน้ี พระคมั ภีร์ฉบบั NRSV มกั จะแปลคาว่า adelphos ว่า “พ่นี ้องชายหญิง” ซ่ึง

ถกู ตอ้ งเหมาะสม ตวั อยา่ งเชน่ ใน มธ. 5:22-24; 18:35)

คาว่า “ต่อต้านกบั ท่าน” (Against You) ไม่ไดป้ รากฏอย่ใู น B , 1 และตน้ ฉบบั อ่นื ๆ บางอนั รวมทงั้ ขาด
หายไปจากการอ้างอิงข้อพระคมั ภีร์ของผู้นาในศาสนาครสิ ต์สมยั ปิตาจารย์ (Patristic Quotations) มเี หตุผล
โต้แย้งท่ีดีสาหรบั การรวมคาน้ีเขา้ ไปและการละเว้น หากไม่มีคาน้ี วรรคน้ีจะหมายถึงบาปทวั่ ๆ ไปและการ
แทรกแซงของชาวครสิ ตท์ ต่ี อ้ งการจะเขา้ ไปมสี ว่ นเกย่ี วขอ้ ง (เช่นเดยี วกบั ขอ้ ความคขู่ นานใน ลก 17:3 ดงั นนั้ จงึ มแี นวโน้มวา่ จะเป็น
เช่นน้ใี นเอกสารแหล่ง Q) ดงั นนั้ กจ็ ะคลา้ ยกบั กรณขี อง กท. 6:1 หากคาวา่ “ตอ่ ตา้ นกบั ทา่ น” ไดร้ บั การยอมรบั วา่ เป็นสงิ่
ทน่ี กั บุญมทั ธวิ เขยี นขน้ึ กเ็ ท่ากบั วา่ ผทู้ เ่ี ป็นฝ่ายเสยี หายไปพบผทู้ ก่ี ระทาผดิ เกย่ี วกบั ความผดิ ทบ่ี ุคคลหน่ึงกระทา
ต่ออีกบุคคลหน่ึง (Personal Offense) นักบุญมทั ธวิ ไม่ได้ให้รายการตวั อย่างของบาปท่ีควรมกี ารตอบสนอง
เช่นนัน้ แต่คงจะไม่ใช่เร่อื งเลก็ น้อยเพราะดูจากความรุนแรงของบทลงโทษใน ว. 17 (ดูรายการใน 1คร 5:11) แม้ว่า
บาปนนั้ จะเป็นเร่อื งทช่ี ุมชนควรใสใ่ จ แต่การสนทนากนั อย่างเป็นสว่ นตวั ระหว่างผลู้ ะเมดิ กบั ผถู้ ูกละเมดิ เป็นการ
หลกี เลย่ี งความอบั อาย การยอมอุทศิ ตนใหก้ ารใชช้ วี ติ ร่วมกนั ในชุมชนมคี วามสาคญั สงู สุด ไม่ไดห้ มายความว่า
เราตอ้ งไมไ่ วต่อความรสู้ กึ ของแต่ละบุคคล แต่จรงิ ๆ แลว้ ควรเป็นตรงกนั ขา้ ม การไวต่อความรสู้ กึ ของผอู้ ่นื และใส่
ใจผอู้ ่นื เทา่ นนั้ ถงึ จะทาใหผ้ คู้ นอยรู่ ว่ มกนั ไดใ้ นครอบครวั แห่งใหม่ของพระเป็นเจา้ ทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงสรา้ งขน้ึ

18:16 ผทู้ ถ่ี ูกละเมดิ หรอื ฝ่ายทถ่ี ูกละเมดิ จะตอ้ งเรม่ิ ตน้ ก่อน ในบางกรณีผลู้ ะเมดิ อาจไม่รตู้ วั ว่าทาผดิ แต่
ถา้ หากการเผชญิ หน้ากนั แบบหน่ึงต่อหน่งึ ไม่สามารถทาใหผ้ กู้ ระทาผดิ ยอมสานึกผดิ ผเู้ สยี หายสามารถพยายาม
แกป้ ัญหาดว้ ยการนาสมาชกิ ครสิ ตจกั รอกี หน่ึงหรอื สองคนไปเป็น “พยาน” ดว้ ย (ฉธบ. 19:15) กล่าวคอื เพ่อื ป้องกนั
ไม่ใหม้ กี ารตคี วามผดิ ทงั้ ฝ่ายผลู้ ะเมดิ และฝ่ายทอ่ี า้ งวา่ ถูกละเมดิ นกั บุญมทั ธวิ ไดน้ าธรรมประเพณีทม่ี มี ายาวนาน

432

ของชาวยวิ เกย่ี วกบั การคนื ดใี นนามของชุมชนมาใชก้ บั ชาวครสิ ต์ (ดู เทยี บ ลนต. 19:17-18; ฉธบ. 19:15; 1คร. 5:14, 11-13;

กท. 6:1; 2 ธศ 3:14-15; y. Yoma 45c; T.Gad 6.3-5; 1QS 5.24-6.1)

18:17 คาว่า “ครสิ ตจกั ร” (Church) หมายถงึ การชมุ นุมของกลุ่มผเู้ ชอ่ื ในทอ้ งถนิ่ ไมเ่ หมอื นกบั 16:17 ซง่ึ
หมายถงึ ผเู้ ช่อื ทงั้ หมดโดยรวม คาสงั่ หา้ มน้ีแสดงใหเ้ หน็ ว่าชุมชนชาวครสิ ตใ์ นสมยั ของนกั บุญมทั ธวิ มกี ารชุมนุม
กนั โดยแยกจากศาลาธรรมและมบี ทบญั ญตั ทิ างวนิ ยั ของตนเอง แตไ่ ม่ไดแ้ สดงใหเ้ หน็ ชดั เจนวา่ มสี มาชกิ ในชุมชน
ชาวครสิ ต์(อย่างน้อยกบ็ างคน) ทย่ี งั คงเขา้ ร่วมศาลาธรรมอย่หู รอื ไม่ กรณีของสมาชกิ หวั ดอ้ื ทต่ี ่อต้านไม่ยอมรบั
ความพยายามอยา่ งเป็นสว่ นตวั ของผทู้ ต่ี อ้ งการใหเ้ ขาสานึกผดิ จะถูกนาเสนอตอ่ ทป่ี ระชุมของครสิ ตจกั ร และหาก
บคุ คลน้ยี งั คงไม่ใสใ่ จรบั ฟังการขอรอ้ งของครสิ ตจกั ร เขาจะถูกขบั ออกจากกลุ่ม (ดู เทยี บ 1คร 5:1-4, 11-13; 2 ธส. 3:14-15)

ภาษาท่ใี ชใ้ นตอนน้ี ดูรุนแรงอย่างน่าแปลกใจ เพราะพระเยซูเจ้า(และชุมชนของพระองค์)ถูกกล่าวหาว่าเป็น
เพอ่ื นกบั คนเกบ็ ภาษแี ละคนบาป รวมถงึ คนต่างศาสนา (9:11; 11:19) ดงั นนั้ แนวปฏบิ ตั เิ รอ่ื งการไมค่ บหาสมาคมกบั
คนผดิ ตามท่ไี ด้กล่าวไวใ้ น 7:1-5 และ 13:37-43 จงึ ดูแปลกประหลาด ความตงึ เครยี ดท่เี กดิ จากความแตกต่าง
เลก็ น้อยน้ีอาจเป็นเพราะมกี ารนาธรรมประเพณีทข่ี ดั แยง้ กนั ในประวตั ศิ าสตรก์ ารสรา้ งชุมชนชาวครสิ ต์ใสร่ วมเขา้
มา หรอื การนาธรรมประเพณีเหล่านัน้ ไปใชใ้ นกรณีทต่ี ่างจากเดมิ อย่างไรกต็ าม เหน็ ได้ชดั ว่าถ้าหากครสิ ตจกั ร
ของนักบุญมัทธิวยังไม่มีกระบวนการทางวินัยสาหรบั สมาชิกท่ีมีความประพฤติเลวร้ายอย่างรุนแรง ก็มี
กระบวนการน้รี ะบไุ วเ้ อาไว้ โดยกลา่ วในนามของพระเยซูเจา้ ถงึ แมก้ ระบวนการน้ีจะมกี ารตดั สนิ คดโี ดย “ทช่ี มุ นุม
ของครสิ ตจกั ร” (Congregation) แต่ก็ไม่ชดั เจนว่ามผี ูน้ าครสิ ตจกั รท่เี ป็นตวั แทนการกระทาของครสิ ตจกั รด้วย
หรอื ไม่ หรอื ท่ชี ุมนุมนัน้ โดยรวมทาหน้าท่เี ป็นคณะกรรมการอย่แู ลว้ (ดูบทนา) แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ชุมชนชาว
ครสิ ต์โดยรวมนัน้ เก่ยี วขอ้ งกบั ศลี ธรรมจรรยาของสมาชกิ แต่ละคน และเขา้ แทรกแซงดว้ ยท่าทแี ห่งความรกั และ
การให้อภัย ดาเนินการด้วยการกระทาท่มี ากกว่าแค่ให้คาแนะนา โดยมเี ป้าหมายท่ไี ม่ใช่แค่ก ารรกั ษาความ
ศกั ดสิ ์ ทิ ธขิ ์ องผูท้ ่อี ยู่ในชุมชนเท่านัน้ แต่ยงั ช่วยใหส้ มาชกิ ท่หี ลงทางไปใหร้ บั รูถ้ งึ บาปของตน สานึกผดิ และใน
ทส่ี ดุ ไดฟ้ ้ืนฟูสภาพของตนไดเ้ ชน่ กนั (เทยี บ 18:15 คาวา่ “ไดค้ นื มา” [gain])

18:18-20 ด้วยคากล่าวว่า “อาเมน” อย่างหนักแน่นสองครงั้ (ดู เก่ียวกับ 5:18) พระเยซูเจ้าในพระวรสาร
นักบุญมทั ธวิ ยนื ยนั กบั ครสิ ตจกั รถงึ ความศกั ดสิ ์ ทิ ธใิ ์ นการตดั สนิ ใจของทช่ี ุมนุม อานาจทไ่ี ดม้ อบไวแ้ ก่นักบุญเป
โตร ในฐานะผู้ทาการตดั สนิ ใจด้านกฎหมายถูกมอบให้กบั ท่ชี ุมนุมของครสิ ตจกั รในเร่อื งทางวนิ ัยของสมาชกิ
ครสิ ตจกั ร เม่อื นกั บุญมทั ธวิ นา ว. 19 ใสไ่ วใ้ นบรบิ ทน้ีกเ็ ท่ากบั นาคากล่าวทโ่ี ดยดงั้ เดมิ แลว้ ไม่เช่อื มโยงกบั สงิ่ อ่นื
และสนับสนุนการสวดภาวนาร่วมกนั มาใช้กบั เร่อื งทางวนิ ัย ในทางเดยี วกนั ว. 20 แต่เดมิ ก็เป็นคากล่าวท่ไี ม่
เช่อื มโยงกบั ส่วนใดๆ ท่ยี นื ยนั ถึงการประทบั อยู่ของพระครสิ ต์ในครสิ ตจกั รของพระองค์ระหว่างท่คี รสิ ตจกั ร
กระทาภารกจิ ซง่ึ เป็นแนวคดิ หลกั ในเทววทิ ยาของนกั บุญมทั ธวิ (เทยี บ 1:23; 28:20) ซง่ึ ถกู นามาใชก้ บั กรณีเฉพาะคอื
การตดั สนิ ใจทางวนิ ยั ของครสิ ตจกั ร เม่อื ศาสนายดู ายในสมยั เดยี วกนั นัน้ สบื ทอดคาพดู ทก่ี ล่าวว่า เม่อื มสี องหรอื
สามคนอภปิ รายถ้อยคาในหนังสือปัญจบรรพ พระเป็นเจา้ ทรงประทบั อย่กู บั พวกเขาด้วย ดงั นัน้ ครสิ ตจกั รของ
นักบุญมทั ธวิ จงึ ประกาศว่าเม่อื พวกเขารวมตวั กนั ในนามของพระครสิ ต์ พระครสิ ต์ก็ทรงประทบั อยู่ด้วย เพราะ
ครสิ ตจกั รมพี ระครสิ ตเ์ ป็นศนู ยก์ ลาง ไมไ่ ดม้ หี นงั สอื ปัญจบรรพเป็นศนู ยก์ ลาง

433

ข้อคิดไตร่ตรอง
1. คาสงั่ ต่างๆ ในเน้ือหาส่วนน้ีไม่ไดเ้ กย่ี วขอ้ งแต่เพยี งความสมั พนั ธร์ ะหว่างบุคคลเท่านนั้ แต่เกย่ี วกบั การ

ถนอมรกั ษาและคนื ดกี บั สมาชกิ ทห่ี ลงไปจากชุมชน โดยปกป้องศกั ดศิ ์ รขี องชุมชนในฐานะประชากรของพระเจา้
ภายใตพ้ นั ธสญั ญาศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์แนวทางการกระทาของชุมชนนกั บุญมทั ธวิ กบั แนวทางของเราในฐานะปัจเจกบคุ คล
กลายเป็นสงิ่ ทข่ี ดั แยง้ กนั อยา่ งชดั เจน นกั บุญมทั ธวิ ใหแ้ นวทางแกป้ ัญหาในสงิ่ ทเ่ี ราไมไ่ ดม้ องวา่ เป็นปัญหา เพราะ
เรามกั จะมองว่าบาปคอื เร่อื งระหว่างตนเองกบั พระเป็นเจา้ หรอื อย่างมากทส่ี ุดคอื ระหว่างตนเองกบั คนทท่ี าผดิ
ต่อเรา การทส่ี งิ่ น้ีเกย่ี วขอ้ งกบั ชุมชนชาวครสิ ตท์ เ่ี ราอาศยั อย่แู ละอาจทาลายชวี ติ ของชุมชนนนั้ เป็นสง่ิ ทท่ี าใหเ้ รา
และพวกเขาต่างประหลาดใจ (หากพวกเขาเน้นความเป็นปัจเจกบคุ คลเหมอื นเรา) แต่ไม่วา่ เราจะคดิ ถงึ แนวทางแกป้ ัญหาของ
นกั บุญมทั ธวิ ว่าอยา่ งไร เราตอ้ งรกู้ ่อนวา่ ธรรมชาตขิ องชวี ติ ครสิ ตชนเป็นอยา่ งไร หลกั ความเชอ่ื ทว่ี า่ ครสิ ตจกั รคอื
ประชากรของพระเป็นเจา้ จะตอ้ งมกี ่อนอย่แู ลว้ การเป็นชาวครสิ ต์คอื การผกู มดั ตนเขา้ กบั ชุมชน การสวดภาวนา
คอื การกล่าวบท “ขา้ แต่พระบดิ า” แมแ้ ตใ่ นหอ้ งสว่ นตวั ของเราเอง

2. ในทางเดยี วกนั สง่ิ แวดลอ้ มทอ่ี ย่รู อบคาสงั่ เหล่าน้ีทาให้การตกั เตอื นกลายเป็นเร่อื งจาเป็นและเป็นไปได้
แม้ว่ากระบวนการขนั้ ตอนเราน้ีจะดูจรงิ จงั และเขม้ งวด แต่มนั ไมได้อยู่ในบรบิ ทของการพยาบาทอาฆาตจาก
ความรู้สึกว่าตนเองเป็ นผู้ชอบธรรม การตักเตือนอยู่ในบริบทของความใส่ใจเป็ นห่วงผู้ท่ีหลงทางและไร้
ความสาคญั รวมถงึ พระหรรษทานและการใหอ้ ภยั ทม่ี ากลน้ เหนอื จนิ ตนาการ

3. ในสว่ นน้ีเราจะเหน็ ไดถ้ งึ การพฒั นากระบวนการทางกฎหมายยุคเรม่ิ แรกเกย่ี วกบั การตดั ขาดจากศาสนา
(Excommunication) ทไ่ี ดร้ บั การออกแบบมาเพอ่ื ปกป้องบุคคลและชุมชน ผกู้ ระทาผดิ ไดร้ บั การปกป้องจากการ
ทาตามอาเภอใจและการกระทาทข่ี าดความยงั้ คดิ ของบุคคลเพยี งคนเดยี วหรอื ผนู้ าเพยี งสองสามคน ส่วนผนู้ าก็
ไดร้ บั การปกป้องจากการด่วนตดั สนิ และการกระทาทไ่ี ม่ทนั ยงั้ คดิ ของตนเอง ส่วนครสิ ตจกั รกไ็ ด้รบั การปกป้อง
จากการก่อกวนทร่ี นุ แรงและจากความรสู้ กึ บาดหมางทไ่ี ม่ไดร้ บั การคลค่ี ลายทก่ี ดั กรอ่ นจติ ใจอยา่ งชา้ ๆ

มทั ธวิ 18:21-22 “การใหอ้ ภยั ” โดยปราศจากพระหรรษทาน

ข้อศึกษาวิพากษ์
จากการใส่ ว. 15ข-20 เขา้ มา จะเหน็ ได้ว่านักบุญมทั ธวิ หนั ไปหาแหล่งขอ้ มูลท่เี ป็นเอกสารแหล่ง Q (ดู

เทยี บ ลก 17:4) นาคาประกาศของพระเยซูเจา้ ในเอกสารแหล่ง Q มาทาเป็นคาถามสาหรบั นกั บุญเปโตรและคาตอบ
จากพระเยซูเจา้ ทาใหส้ องวรรคน้ีกลายเป็นเร่อื งราวการประกาศ (ดงั นัน้ จงึ ไม่ใช่เป็นเพยี งแค่บทท่นี าเขา้ สู่เร่อื งอุปมาถดั ไป ดู
เทยี บกบั การปรบั โครงสรา้ งลกั ษณะเดยี วกนั จาก มก. 9:34 ใหก้ ลายเป็นคาถามใน มธ 18:1) ใน ลนต 19:17 บญั ญตั ทิ ใ่ี หใ้ ชก้ ารอธบิ าย
เหตผุ ลกบั เพอ่ื นบา้ นทห่ี วั ดอ้ื (สมาชกิ ของชมุ ชนแหง่ พนั ธสญั ญา) มสี ว่ นทต่ี ามมาตดิ ๆ คอื บญั ญตั ทิ ใ่ี หร้ กั เพอ่ื นบา้ นเหมอื น

434

รกั ตนเอง ดงั นัน้ ทนั ทหี ลงั จากจบ ว. 15-20 นักบุญมทั ธวิ ได้ใส่เร่อื งราวการประกาศน้ี เพ่อื ป้องกนั ไม่ให้มกี าร
นาไปใช้อย่างอาฆาตพยาบาทหรอื ไม่ยดื หยุ่นผ่อนผนั ครสิ ตจกั รท่ที างานด้วยจติ วญิ ญาณเช่นน้ีเท่านัน้ ถงึ จะ
สามารถกระทาการตาม ว. 15-20 ได้

ขอ้ เสนอของนกั บุญเปโตรในการใหอ้ ภยั 7 ครงั้ ฟังดใู จกวา้ งอย่างลน้ เหลอื โดยเฉพาะทไ่ี มม่ กี ารกล่าวถงึ
การสานึกเสยี ใจของฝ่ายทก่ี ระทาผดิ (ดู เทยี บ ลก. 17:4) มนั เป็นการยอ้ นกลบั ของการประกาศใหแ้ กแ้ คน้ เป็นเจด็ เท่า
ใน ปฐก. 4:15 คาตอบของพระเยซูเจา้ นนั้ ยงิ่ ไปไกลกวา่ ขอ้ เสนอของนกั บุญเปโตรอย่างมาก และไม่ไดอ้ ย่แู คก่ าร
เพมิ่ จานวนครงั้ ของการใหอ้ ภยั เท่านัน้ ตวั เลขดงั กล่าวในภาษากรกี (hebdomekontakis hepta) สามารถแปลตาม
ธรรมเนียมทวั ่ ไปไดว้ ่าหมายถงึ “เจด็ สบิ เจด็ ครงั้ ” (เช่นเดยี วกบั ใน ปฐก. 4:24 ซง่ึ เป็นการยอ้ นกลบั คาประกาศเรอ่ื งการแกแ้ คน้ ของลา
เมค) หรอื “สร่ี อ้ ยเกา้ สบิ ครงั้ ” (ตามการแปลพระคมั ภรี ภ์ าคพนั ธสญั ญาใหม่แบบโบราณ) ความแตกต่างระหว่างสง่ิ ทน่ี กั บุญเปโตร
เสนอกบั คาประกาศของพระเยซูเจา้ ไม่ไดเ้ ป็นเพยี งแค่เร่อื งตวั เลขหรอื ภาษา แต่เป็นเร่อื งธรรมชาตขิ องการให้
อภยั ใครกต็ ามทน่ี ับความผดิ กแ็ สดงว่าไม่ไดใ้ หอ้ ภยั เลย เพยี งแต่รอคอยโอกาสของตนอย่างอดทนเท่านัน้ (1คร
13:5) การให้อภยั แบบท่พี ระองค์เรยี กรอ้ งน้ี อยู่เหนือการคดิ คานวณทงั้ ปวง เหมอื นท่เี ร่อื งราวต่อไปน้ีได้ส่อื สาร
ออกมา

มทั ธวิ 18:23-35 พระหรรษทานทม่ี ากลน้ เกนิ จนิ ตนาการ
ข้อศึกษาวิพากษ์

เช่นเดยี วกบั การตคี วามเรอ่ื งอปุ มาทงั้ หมด ผอู้ า่ นจะตอ้ งแยกแยะระหว่างเร่อื งราวทเ่ี ป็นตน้ กาเนิดดงั้ เดมิ
ทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงเล่าเพ่อื ประกาศถงึ พระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ กบั การตคี วามของนักบุญมทั ธวิ ซ่งึ เกดิ ขน้ึ
ภายหลงั เพ่อื นาไปปรบั ใชก้ บั ครสิ ตจกั ร บ่อยครงั้ (และตรงน้ีก็เช่นกนั )การตคี วามท่เี กดิ ขน้ึ ภายหลงั เป็นการเขา้ ใจว่า
อุปมานนั้ เป็นนิทานเปรยี บเทยี บ (Allegory) (ดู ขอ้ ศกึ ษาวพิ ากษ์ เกย่ี วกบั 13:1) ส่วนทน่ี ักบุญมทั ธวิ เตมิ เขา้ มา (ว. 34 และ
35) เปล่ียนเร่อื งอุปมาน้ีให้เป็นบทเรยี นเก่ียวกบั การให้อภัยท่ีเห็นภาพได้ชดั เจน อุปมาน้ีกลายเป็นเร่อื งราว
ตวั อย่างทถ่ี ูกทาใหเ้ ป็นนิทานเปรยี บเทยี บในเชงิ ลบทแ่ี สดงให้เหน็ ว่า “จงอย่าเป็นอย่างผรู้ บั ใชท้ ไี่ ม่ยอมใหอ้ ภยั ”
การตคี วามโดยนกั บุญมทั ธวิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายหลงั เป็นเป้าหมายหลกั ของความเขา้ ใจ แตพ่ ลงั ของเรอ่ื งราวดงั้ เดมิ ของ
พระเยซูเจา้ ทน่ี ่าสบั สนยงั คงแทรกซมึ อยบู่ นเรอ่ื งทน่ี กั บญุ มทั ธวิ ไดว้ างทบั ลงไป

18:23 ทงั้ ในเร่อื งเล่าดงั้ เดมิ ของพระเยซูเจา้ และเร่อื งเล่าท่สี องท่เี ป็นการปรบั ใชข้ องนักบุญมทั ธวิ พระ
อาณาจกั รของพระเป็นเจา้ นนั้ ดเู หมอื นกบั เรอ่ื งต่อไปน้ีในทางใดทางหน่งึ สาหรบั พระเยซูเจา้ เรอ่ื งเล่านนั้ เกย่ี วกบั
กษตั รยิ ์ของคนต่างศาสนาและคนรบั ใชข้ องพระองค์ การช้ไี ปถงึ พระเป็นเจา้ เป็นเพยี งจุดมุ่งหมายรอง สาหรบั
นักบุญมทั ธิว การเติมสิ่งท่ีเป็นนิทานเปรียบเทียบทาให้เร่อื งเล่าน้ีเห็นได้ชดั เจนตัง้ แต่ต้น ว่าเก่ียวข้องกับ
ความสมั พนั ธร์ ะหว่างพระเป็นเจา้ และครสิ ตชน สาหรบั พระเยซูเจา้ กษตั รยิ ผ์ นู้ ้ีคอื เผดจ็ การต่างศาสนา สาหรบั
นกั บุญมทั ธวิ กษตั รยิ ค์ อื ตวั แทนของพระเป็นเจา้ และ “หน้”ี คอื ตวั แทนของบาป (ดู เทยี บ 6:12:15) เรอ่ื งราวน้ีดาเนิน
ไป 3 ฉาก:

18:24-27 คอื เร่อื งระหว่างกษตั รยิ ก์ บั ขา้ รบั ใช้ ขา้ รบั ใชผ้ นู้ ้ีไม่ใช่ทาสในครวั เรอื น แต่เป็นเจา้ หน้าทร่ี ะดบั
รอง (ส่วนน้ใี นฉบบั NIV ดกี วา่ ในฉบบั NRSV) หน้ีนนั้ เกดิ จากการบรหิ ารจดั การทรพั ยากรของกษตั รยิ ใ์ นทางทผ่ี ดิ และ/หรอื
การทาสญั ญาเพ่อื เกบ็ ภาษจี ากประเทศทต่ี อ้ งจ่าย ไม่ไดเ้ กดิ จากการใชจ้ ่ายส่วนบุคคล แต่ถงึ กระนัน้ ตวั เลขทเ่ี รา

435

เหน็ ไม่อาจเกดิ ขน้ึ ไดใ้ นความเป็นจรงิ ตะลนั ต์เป็นหน่วยการเงนิ ท่ใี หญ่ทส่ี ุด (เงนิ หนัก 20.4 กรมั ) ซ่งึ เท่ากบั 6,000
ดรกั มา หรอื ค่าจา้ งผใู้ ชแ้ รงงานเป็นเวลาสบิ หา้ ปี “หน่ึงหม่นื ” (“myrias” หรอื myriad) คอื ตวั เลขทส่ี งู ทส่ี ุดเท่าทจ่ี ะ
เป็นไปได้ ดงั นัน้ เม่อื นามารวมกนั คอื จานวนเงนิ ท่สี ูงท่สี ุดเท่าท่จี ะเป็นได้ รายได้จากภาษีในแต่ละปีท่เี กบ็ จาก
อาณาเขตทเ่ี ป็นของกษตั รยิ เ์ ฮโรดทงั้ หมดรวมกนั คอื 900 ตะลนั ตต์ ่อปี จานวนเงนิ หน่ึงหมน่ื ตะลนั ตเ์ ป็นจานวนท่ี
สูงยงิ่ กว่าภาษีทงั้ หมดจากซีเรยี ฟีนิเซีย ยูเดยี และสะมาเรยี มนั เป็นจานวนท่ยี อดเย่ยี มมาก ไม่อาจนาไปคดิ
คานวณไดเ้ ลย

หน้ีนนั้ เป็นหน้ีทไ่ี มม่ ใี ครจา่ ยได้ การนาขา้ รบั ใชไ้ ปขงั คุกถอื เป็นการลงโทษ คอื ใหเ้ ขาตอ้ งชดใชส้ าหรบั สงิ่
ทต่ี นบรหิ ารจดั การผดิ พลาดไป แต่แน่นอนวา่ มนั เป็นไปไม่ไดเ้ ลยทข่ี า้ รบั ใชผ้ นู้ นั้ จะจา่ ยหน้ีของตนเอง ไม่วา่ จะใช้
เวลายาวนานเท่าใดกต็ าม ทงั้ ขา้ รบั ใชแ้ ละพระราชาต่างกร็ ดู้ ี ดงั นนั้ ถงึ แมจ้ ะมี ว. 25-26 สถานการณ์ของขา้ รบั ใช้
ผนู้ ัน้ กย็ งั สน้ิ หวงั เขาขอความเมตตา และสง่ิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ กเ็ หนือความคาดหมาย กษตั รยิ ท์ รงตอบสนองดว้ ยความ
เมตตา

18:28-31 คอื เร่อื งระหว่างขา้ รบั ใชก้ บั ขา้ รบั ใช้ หน้ีของขา้ รบั ใชผ้ นู้ นั้ เลก็ จวิ๋ มากเม่อื เทยี บกบั หน้ีทข่ี า้ รบั
ใชค้ นแรกไดร้ บั การยกให้ (หากจะแปลตามตวั อกั ษรแลว้ กค็ อื 1 ตอ่ 600,000 แต่จรงิ ๆ แลว้ ตวั เลขน้ีเพยี งตอ้ งการจะเสนอความแตกต่างอยา่ ง
มหาศาล) แต่มนั ไม่ถงึ กบั เป็นจานวนเงนิ ทไ่ี รค้ ่า มนั เท่ากบั ค่าจา้ ง 100 วนั ของคนงานหน่ึงคน (ดู เทยี บ 20:2) เม่อื คน
รบั ใช้คนแรกยนื กรานให้เขาต้องจ่ายคืน มนั ไม่ใช่จานวนท่ีน้อยนิด ความแตกต่างอย่างรุน แรงระหว่างวธิ ีท่ี
กษตั รยิ ป์ ฏบิ ตั ติ ่อขา้ รบั ใชค้ นแรกกบั วธิ ที ข่ี า้ รบั ใช้คนแรกปฏบิ ตั ติ ่อขา้ รบั ใชอ้ กี คนหน่ึงไม่ได้เป็นเพยี งเร่อื งของ
จานวนเงนิ ท่เี ป็นหน้ี ในฉากแรก ไม่มวี ธิ กี ารท่สี มเหตุสมผลใดๆ เลยท่จี ะสามารถใช้หน้ีนัน้ ได้ เขาจะต้องถูก
ตัดสินโทษหรอื ไม่ก็ได้รบั ความเมตตา ความคู่ขนานและความแตกต่างระหว่างฉากทงั้ สองน้ีคือ ฉากหน่ึง
“สมเหตสุ มผล” (ฉากทส่ี อง) และอกี ฉากหน่ึงไมส่ มเหตสุ มผล (ฉากแรก) การตคี วามฉากแรกในแบบเดยี วกบั ฉากทส่ี อง
นัน้ เป็นความผิดพลาด แก่นแนวคิดสาคญั ของอุปมาน้ี คือ การทาให้ฉากท่ีสองเท่าเทียมเสมอกบั ฉากแรก
อย่างไรกต็ ามสง่ิ นัน้ ไม่ได้เกิดข้นึ ขา้ รบั ใช้ไม่ได้ตอบสนองต่อขา้ รบั ใช้อกี คนหน่ึงแบบเดยี วกบั ท่เี ขาได้รบั การ
ปฏิบัติจากกษัตรยิ ์ ซ่ึงทาให้ข้ารบั ใช้อีกคนหน่ึงโกรธมาก ผู้อ่านสามารถเข้าใจความโกรธของเขาได้และจะ
เหน็ ชอบเมอ่ื ขา้ รบั ใชค้ นนนั้ รายงานการกระทาของเขาต่อกษตั รยิ ์

18:32-35 คอื เร่อื งระหว่างกษตั รยิ ก์ บั ขา้ รบั ใช้ สง่ิ ทไ่ี ม่คาดคดิ เกดิ ขน้ึ อกี ครงั้ กษตั รยิ ท์ รงถอนการใหอ้ ภยั
และขา้ รบั ใชผ้ นู้ นั้ ถูกตดั สนิ ลงโทษใหโ้ ดนทรมานตลอดกาล นกั วชิ าการบางคนคดิ ว่าอปุ มาดงั้ เดมิ ของพระเยซูเจา้
ทรงจบลงดว้ ยคาถามใน 18:33 (ดู เทยี บกบั ตอนจบของโยนาห์ 4:11) บางคนบอกวา่ ว. 34 คอื บทสรุปจบดงั้ เดมิ แต่ไม่วา่
จะเป็นกรณีใด นักบุญมทั ธวิ ไดเ้ ตมิ ว. 35 ลงไปเพ่อื ใหป้ ระเดน็ ของอุปมาน้ีชดั เจนอย่างไม่อาจผดิ พลาดไดต้ าม
บรบิ ทปัจจุบนั (ดู เทยี บ 6:14-15)

ข้อคิดไตร่ตรอง
นกั บุญมทั ธวิ ไดน้ าอุปมาน้ีไปทาเป็นนิทานเปรยี บเทยี บอยา่ งเหน็ ไดช้ ดั กษตั รยิ ์ = พระเจา้ ; หน้ี = บาป;

ขา้ รบั ใชค้ นแรก = ผูท้ ่พี ระเป็นเจ้าทรงยกโทษบาปใหอ้ ย่างมหาศาล; ขา้ รบั ใชค้ นทส่ี อง = ผูท้ ก่ี ระทาความบาป
“ธรรมดาทวั่ ไป” ต่อมนุษยอ์ กี คนหน่ึงหรอื ครสิ ตชนอกี คนหน่ึง เมอ่ื ชาวครสิ ตค์ นหน่ึงไมย่ อมใหอ้ ภยั ผอู้ ่นื เหมอื นท่ี
ตนได้รบั การอภยั จากพระเป็นเจ้า การให้อภยั จากพระเป็นเจ้าจะไม่ส่งผล อุปมาน้ีจงึ เป็นภาพท่แี สดงให้เห็น

436

ชดั เจนถงึ ประเดน็ ท่ีนักบุญมทั ธวิ เคยกล่าวไวท้ ่อี ่นื แลว้ (6:14-15) “ขอ้ คดิ สอนใจจากนิทาน” น้ีอาจถูกตคี วามทาง
จติ วทิ ยาไดว้ า่ ผทู้ ไ่ี มใ่ หอ้ ภยั ผอู้ ่นื อาจะไม่เคยไดร้ บั การอภยั จากพระเป็นเจา้ เลยตงั้ แต่ตน้ กไ็ ด้ ดงั นนั้ มนั จงึ ไมใ่ ช่ถูก
“เอากลบั คนื ” น่ีอาจเป็นความคดิ เหน็ แบบสน้ิ หวงั ในการพยายามจะทาใหอ้ ุปมาท่ดี ูน่าสบั สนมึนงงใหก้ ลายเป็น
เสน้ ตรงเดยี วกนั และมคี วามหมายท่ไี ม่ใช่เป็นเชงิ เปรยี บเทยี บ ในเร่อื งราวของนักบุญมทั ธวิ ปัญหายงั คงอยู่ท่ี
กษตั รยิ ์ (พระเป็นเจา้ ) ยกเลกิ การใหอ้ ภยั ของพระองค์ จะดกี ว่าถ้าปล่อยใหเ้ ร่อื งราวน้ีคงรูปแบบเดมิ ทไ่ี ม่ใช่นิทาน
เปรยี บเทยี บ กล่าวคอื เป็นกษตั รยิ ช์ าวโลกทล่ี ะเมดิ สญั ญาเกย่ี วกบั การใหอ้ ภยั อยา่ งงดงามทพ่ี ระองคก์ ระทาไวแ้ ต่
เดมิ หมายความวา่ อปุ มาควรถูกนาไปเทศนาแบบอปุ มาจะดที ่ีสุด แมว้ า่ นกั บุญมทั ธวิ จะทาใหม้ นั กลายเป็นนิทาน
เปรยี บเทยี บไปแลว้ กต็ าม เราสามารถมองประเดน็ เปรยี บเทยี บทถ่ี ูกตอ้ งตามหลกั การของนกั บุญมทั ธวิ แยกจาก
อุปมาน้ไี ด้ โดยอยบู่ นพน้ื ฐานของเทววทิ ยาของนกั บญุ มทั ธวิ ทส่ี ะทอ้ นอยใู่ นพระวรสารฉบบั น้โี ดยรวม

437

438


Click to View FlipBook Version