The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตรวจงานแปลมัทธิว 23

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by P. Tads, 2021-06-08 08:53:51

22. มัทธิว 23:1-25:46

ตรวจงานแปลมัทธิว 23

มทั ธวิ 23:1-25:46 วาทกรรมการตดั สนิ ลงโทษ

ภาพรวม

วนั ทส่ี องหรอื วนั องั คารยงั คงดาเนินต่อไป บทท่ี 23 มกั ถูกมองว่าเป็นสุนทรพจน์ทแ่ี ยกออกมา หรอื
บททเ่ี รยี กว่า “คาประกาศความวบิ ตั ขิ องชาวฟารสิ ”ี (Woes Against the Pharisees) โดยมี 24:1-25:46
ซ่ึงประกอบข้ึนเป็ น “วาทกรรมวันพิพากษาโลก” (Eschatological Discourse) อย่างไรก็ตาม
ขอ้ พจิ ารณาต่อไปน้ีทาใหเ้ ราควรตคี วาม 23:1-25:46 ว่าเป็นส่วนหน่ึงของความเขา้ ใจของนักบุญมทั ธวิ
ในบทสนุ ทรพจน์ทม่ี คี วามเป็นหน่งึ เดยี วและเป็นวาทกรรมสดุ ทา้ ยของพระเยซูเจา้

(1)มธ. 22:46 เป็นตวั ช้ขี าดท่ที าให้การเผชญิ หน้าระหว่างพระเยซูเจ้ากบั กลุ่มผู้ต่อต้านพระองค์
สน้ิ สุดลง (ดูดา้ นบน) ดงั นนั้ ใน 23:1 พระเยซูเจา้ จงึ หนั ไปพดู กบั กลุ่มผตู้ ดิ ตามพระองค์ ซง่ึ มที งั้ ผทู้ เ่ี ป็นศษิ ย์
อยแู่ ลว้ และผทู้ ่กี าลงั จะมาเป็นศษิ ย์ คาวา่ “หลงั จากนนั้ ” (Then/tote) ใน 23:1 จงึ เป็นคาต่อประโยคทร่ี ะบุ
ถงึ การเรม่ิ ตน้ ใหม่

(2)โครงสรา้ งโดยรวมของพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ประกอบดว้ ยสุนทรพจน์ทงั้ หมด 5 บท (ดู บทนา)
หาก 23:1-39 ไม่ถูกนาไปรวมกับบทท่ี 24-25 มันก็คงจะเป็นหน่วยสุนทรพจน์ท่ียาวมากของ “บท
บรรยายเรอ่ื ง”

(3)ด้วยการเติมสุนทรพจน์ท่ีเป็ นการกล่าวโทษชาวฟาริสีในส่วนต้นและคาเตือนเก่ียวกับคา
พิพากษาโลกเพิ่มเติมในตอนท้าย นักบุญมทั ธวิ ได้ทาให้วาทกรรมท่ีเป็นบทพยากรณ์ (Apocalyptic
Discourse) ใน มก. 13 ใหก้ ลายเป็นวาทกรรมสรุปจบอย่างยง่ิ ใหญ่ ซ่งึ สอดคลอ้ งกับความยาวของวาท
กรรมทเ่ี ป็นส่วนเปิดเร่อื ง (5-7 = 23-25) และยงั สอดคลอ้ งกบั เร่อื งอ่นื ดว้ ย คอื บทเทศน์สอนบนภูเขาเรมิ่ ตน้
ด้วยคากล่าวถึงความเป็นสุขแท้จรงิ (Blessings) ส่วนสุนทรพจน์น้ีข้นึ ด้นด้วยการกล่าวถงึ ความวบิ ตั ิ
(Woes) (5: 1-12 = 23: 13-33) สนุ ทรพจน์ทงั้ สองมฉี ากเป็นภูเขาทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงประทบั นงั ่ สอน พรอ้ มดว้ ย
ฝงู ชนและบรรดาศษิ ยท์ เ่ี ป็นผฟู้ ัง (5: 1; 7: 29 = 23: 1; 24: 3) ในสว่ นทเ่ี ป็นฉากจบของแตล่ ะสุนทรพจน์ ศษิ ยท์ ่ี

495

ไม่แทจ้ รงิ จะกล่าววา่ “พระเจา้ ขา้ พระเจา้ ขา้ ” และจะไดร้ บั การตอบกลบั ไปว่า “เราไม่เคยรจู้ กั เจา้ ” (7:21-27

= 25:11)

(4)ไม่มสี ูตรการสรุปจบหลงั จาก 23: 39 การเปล่ยี นแปลงสถานท่ใี น 24: 1 ไม่ใช่บทสรุป แต่เป็น
ส่วนเช่อื มต่อเหมอื นกบั ใน 13: 36 ซง่ึ มกี ารเปลย่ี นผฟู้ ังจากฝงู ชนเป็นบรรดาศษิ ย์ ว. 36 ไม่ไดแ้ บ่งวาท
กรรมอุปมาออกเป็นสุนทรพจน์ 2 บท แมว้ ่าจะมกี ารเปลย่ี นสถานทแ่ี ละผู้ฟัง สว่ นเชอ่ี มต่อท่ี 24: 1-3ก ก็
เช่นกัน (เช่นเดียวกับ 15: 1-20) เราพบสูตรการสรุปจบ (Concluding Formula) เป็นครงั้ แรกใน 26: 1 ซ่ึง
เช่ือม 23-25 เข้าด้วยกันเป็ นหน่ึงวาทกรรม และทาให้มนั เช่ือมโยงกับวาทกรรมหลักอีก 4 บทใน
โครงสรา้ งของพระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ

(5)ถงึ แมว้ ่าในทน่ี ้ี นกั บุญมทั ธวิ จะดาเนินเรอ่ื งตามลาดบั แบบเดยี วกบั พระวรสารนกั บญุ มาระโก แต่
ทา่ นไดล้ ะเวน้ ไม่กล่าวถงึ เรอ่ื งเงนิ ทาบุญของหญงิ มา่ ย (มก. 12: 41-44) เพอ่ื ทจ่ี ะนาคาตดั สนิ ลงโทษชาวฟาร-ิ
สที งั้ หมดมารวมกนั และเชอ่ื มโยงคาพยากรณ์เกย่ี วกบั การทาลายพระวหิ ารใหเ้ ขา้ กบั 23: 38

(6)การนา 23: 37-39 ซ่ึงประกอบด้วยบทคร่าครวญเก่ียวกับการตัดสินลงโทษและคาสญั ญา
เก่ยี วกบั วนั พพิ ากษาโลก มาเพมิ่ เติมใส่ลงไป ทาให้คาตดั สนิ โทษก่อนหน้าน้ีผสานเป็นหน่ึงเดยี วกบั
เน้อื หาทเ่ี ป็นเรอ่ื งของวนั พพิ ากษาโลกซง่ึ อยถู่ ดั ไป

(7)ความเช่อื มโยงของแนวคดิ (Thematic Connections) ช่วยผสานใหส้ ่วน 23: 1-25: 46 เป็นวาท
กรรมเดยี วกนั (ก) แนวคดิ หลกั ของ 23: 1-25: 46 คอื เร่อื งการตดั สนิ (Judgement) หรอื การพพิ ากษา
ของพระเป็นเจา้ ในปัจจุบนั และทก่ี าลงั จะมาถงึ โดยบุตรแห่งมนุษย์ เช่นเดยี วกบั ทก่ี ารตดั สนิ นนั้ อย่ทู ส่ี ว่ น
สรุปจบของหน่วยสุนทรพจน์ขนาดใหญ่ทงั้ หา้ หน่วย (7: 24-27; 10: 32-42 [39, การช่วยใหร้ อดพน้ /การสญู เสยี ; 40-42,
รางวลั ตอบแทนในอนาคต); 13:47-50; 18:23-35) สุนทรพจน์สุดท้ายของพระเยซูเจ้าก็เป็นสุนทรพจน์การตดั สนิ
พพิ ากษาขนาดใหญ่ ซ่งึ นาไปส่ฉู ากการพพิ ากษาสุดท้ายใน 25: 31-46 ซ่งึ เป็นลกั ษณะเฉพาะและเป็น
หวั ใจสาคญั ของสุนทรพจน์ในพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ (ข) การทน่ี ักบุญมทั ธวิ เตมิ คาศพั ทเ์ กย่ี วกบั “พระ
อาณาจกั รของพระเป็นเจ้า” ลงไปท่ี 23: 13; 24: 14; 25: 1, 34, 40 ซ่ึงไม่มอี ยู่ในแหล่งท่มี าของขอ้ มูล
ของท่านเลย เป็นการทาใหว้ าทกรรมน้ีมคี วามเป็นหน่ึงเดยี วทางแนวคิด โดยเฉพาะอย่างยงิ่ เม่อื นาไป
ประกอบกับ 23: 13 (“การปิดประตูของพระอาณาจักร”) และ 25: 40 (“การเข้าสู่พระอาณาจักร”) (ค) บทท่ี 23 มี
สญั ลกั ษณ์ทส่ี มบูรณ์เกย่ี วกบั การพพิ ากษาโลกครงั้ สุดทา้ ยหลายอย่างอย่แู ลว้ ซง่ึ ประเดน็ น้ีไมไดเ้ รมิ่ ต้น
ในบทท่ี 24 แต่เร่ิมท่ี 23: 12 โดยคาว่ากล่าวตักเตือนในตอนต้นมีเหตุผลสนับสนุนท่ีเก่ียวกับการ
พพิ ากษาโลก และคาประกาศความวบิ ตั ใิ น ว. 13-36 เป็นรปู แบบของเหตุการณ์วนั พพิ ากษาโลกเชน่ กนั
สว่ นสญั ลกั ษณ์อน่ื ๆ เกย่ี วกบั เรอ่ื งน้พี บอยใู่ น 23: 13, 32, 34-39

ช่วงท่ีสนั นิษฐานว่าเป็นการหยุดพักใน 24: 1-3 ท่ีจริงแล้วเป็นส่วนท่ีผสานรวมกับส่วนถัดมา
กล่าวคอื “สงิ่ เหล่าน้ี” (These Things) ใน 24: 3 ส่อื ถึงการทาลายพระวหิ ารใน 24: 2 แต่พระวหิ ารใน
ฐานะทเ่ี ป็นองคป์ ระกอบทม่ี คี วามเดน่ หรอื อนุภาค (Motif) เชอ่ื มโยงกบั 23: 38 และ 24: 1-2

(8)การเรยี บเรยี งและการประพนั ธ์ของนักบุญมทั ธวิ ไดท้ าให้สุนทรพจน์น้ีเช่อื มโยงเป็นหน่ึงเดยี ว
แมแ้ ต่ในรายละเอียด การเตมิ คาว่า “พวกหน้าซ่ือใจคด” ลงใน 24: 51 นักบุญมทั ธวิ ได้ทาให้ส่วนน้ีให้
เชอ่ื มโยงกบั 23: 13-36 เช่นเดยี วกบั การเตมิ คาวา่ “พระครสิ ต”์ ลงไปใน 24: 5 ทาใหเ้ กดิ ความแตกต่าง

496

ทเ่ี หน็ ได้ชดั กบั 23: 10 การกล่าวซ้าๆ ถงึ ผูพ้ พิ ากษา “ท่กี าลงั จะมา” (Coming) ใน 24: 30, 42-45; 25:

10, 19, 27 สอดคล้องกบั 23: 35-39 กิจการความเมตตาท่ีมกี ารเรยี กหาใน 25: 31-46 สอดคล้องกบั

“ประเดน็ ท่มี นี ้าหนักมากกว่าในธรรมบญั ญตั ”ิ (Weightier Matters of the Law” ซ่งึ ถูกละเวน้ ใน 23: 23

อนั เป็นส่วนท่ีนักบุญมทั ธวิ เติมคาว่า “เมตตา” (Mercy) และ “ความสตั ย์ซ่ือ” (Faithfulness) ลงไปใน

ขอ้ มูลจากเอกสารแหล่ง Q ส่วน “สง่ิ ท่นี ่าสะอดิ สะเอยี น” (Desolating Sacrilege) ใน 24: 15 สอดคลอ้ ง

กบั 23: 38 ซง่ึ คาวา่ “น่าสะอดิ สะเอยี น” นนั้ เป็นคาทน่ี กั บุญมทั ธวิ เตมิ ลงไป

ส่วนท่ีนักบุญมัทธิวเขียนข้ึนมาเองส่งผลให้เกิดการนา “ภาพคาพยากรณ์ขนาดเล็ก” (Little

Apocalypse) ในพระวรสารนักบุญมาระโกไปรวมกบั วาทกรรมเก่ยี วกบั การตดั สนิ พพิ ากษาซ่งึ มขี นาด

ใหญ่กว่ามาก ทงั้ หมดเป็นการกล่าวกบั คนใน (Insiders)และผทู้ ม่ี โี อกาสจะเป็นผตู้ ดิ ตามพระองค์ แทนท่ี

จะแยกออกเป็นสองสุนทรพจน์ โดยมอี นั หน่ึงเป็นการตดั สนิ โทษคนนอก (Outsiders) และอกี อนั หน่งึ เป็น

การใหค้ าชแ้ี นะเก่ยี วกบั วนั พพิ ากษาโลก เราสามารถมองวาทกรรมทงั้ หมดน้ีว่าเป็นคาเตอื นให้ “คนใน”

ใชช้ วี ติ ท่อี ุทศิ แก่ความยุตธิ รรมและความเมตตาอย่างแท้จรงิ โดยพจิ ารณาถงึ ชยั ชนะในวนั กาลอวสาน

โลกของพระเป็นเจา้ และการตดั สนิ โทษทก่ี าลงั จะมาถงึ สาหรบั ความไมส่ ตั ยซ์ ่อื ในปัจจุบนั

เช่นเดยี วกบั บทเทศน์สอนบนภูเขา สุนทรพจน์ทย่ี ง่ิ ใหญ่น้ีเป็นส่วนท่ีนักบุญมทั ธวิ เขยี นขน้ึ เองโดย

ไดข้ อ้ มลู จากหลายแห่ง

รปู ท่ี 11: โครงสรา้ งของวาทกรรมการตดั สนิ พพิ ากษา

1. การพิพากษาตดั สินในปัจจบุ นั : ตรสั กบั ฝงู ชนและ 23:1-39

สาวก

ก. คาเตอื น (Warning) 23:1-12 = M + มก 12:37-40 + Q 11:39-52

ข. คาประกาศความวบิ ตั ิ (Woes) 23:13-36 = M + Q 11: 39-52

ค. บทคร่าครวญ (lament) 23:37-39 = Q 13:34-35

2. การพิพากษาตดั สินที่กาลงั จะมาถึง: ตรสั กบั บรรดาศิษย์ 24:1- 25:46

ก. คาพยากรณ์ของพระเยซูเจา คาถามของบรรดาศษิ ย์ 24:1-3 = มก 13:1-4

ข. “ภาพคาพยากรณ์ขนาดเลก็ ” (Little Apocalypse) 24:4-31 = มก 13:5-27

1.จดุ เรมิ่ ตน้ ของการเจบ็ ทอ้ งใกลค้ ลอด 24:4-8 = มก 13:5-8

2. มหาวปิ โยค (The Great Tribulation) 24:9-28 = มก 13:9, 13, 14-23; Q 17:23-24,37

3.การเสดจ็ กลบั มาของบุตรแหง่ มนุษย์ 24:29-31 = มก 13:24-27

ค. อุปมาและคาเตอื น 24:32-25:46

1. ตน้ มะเด่อื 24:32-35 = มก 13:28-32

2. สมยั ของโนอาห์ 24:36-42 = Q 17:26-35, 13:35

3. ขโมย 24:43-44 = Q 12:39-40

4. ขา้ รบั ใชท้ ด่ี กี บั ขา้ รบั ใชท้ เ่ี ลว 24:45-51 = Q 12: 42-46

5. วา่ ทเ่ี จา้ สาวสบิ คน 25:1-13/ 1-10 = M;11-13 = Q 13:25-8,มก 13:33

6. ความสามารถทพ่ี ระประทาน 25:14-30 = Q 19:12-27

7. การพพิ ากษาครงั้ สดุ ทา้ ย 25:31-46 = M

497. มก. 13:9-13 ถกู นาไปรวมเขา้ กบั วาทกรรมเกย่ี วกบั การมอบหมายภารกจิ ใน มธ. 10:17-22

497

มทั ธวิ 23:1-39 การตดั สนิ พพิ ากษาในปัจจุบนั : ตรสั กบั ฝงู ชนและสาวก
มทั ธวิ 23:1-12 คาเตอื น

ความหน้าซื่อใจคดและความชอบโอ้อวดของธรรมาจารยแ์ ละชาวฟาริสี
1 ครงั้ นัน้ พระเยซูเจา้ ตรสั แก่ประชาชนและบรรดาศษิ ย์ว่า 2 “พวกธรรมาจารย์และชาวฟารสิ นี ัง่ บนธรรมาสน์ของ

โมเสส 3 ถา้ เขาสงั่ สอนเรอ่ื งใด ท่านจงปฏบิ ตั ติ ามเถดิ แต่อย่าปฏบิ ตั ติ ามพฤตกิ รรมของเขา เพราะเขาพูด แต่ไมป่ ฏบิ ตั ิ
4 เขามดั สมั ภาระหนักวางบนบ่าคนอ่นื แต่เขาเองไม่ปรารถนาแมแ้ ต่จะขยบั น้ิว 5 เขาทากจิ การทุกอย่างเพ่อื ใหค้ นเหน็
เช่น เขาขยายกลกั บรรจุพระวาจาใหใ้ หญ่ขน้ึ ผา้ คลุมของเขามพี ู่ยาวกว่าของคนอ่นื 6 เขาชอบทน่ี งั่ มเี กยี รตใิ นงานเลย้ี ง
ชอบนงั่ แถวหน้าในศาลาธรรม 7 ชอบใหผ้ คู้ นคานบั ตามลานสาธารณะ ชอบใหท้ ุกคนเรยี กวา่ ‘รบั บ’ี

8 “สว่ นท่านทงั้ หลาย อยา่ ใหผ้ ใู้ ดเรยี กวา่ ‘รบั บ’ี เพราะอาจารยข์ องท่านมเี พยี งผเู้ ดยี วและทุกคนเป็นพน่ี ้องกนั 9 ใน
โลกน้ีอย่าเรยี กผใู้ ดว่า ‘บดิ า’ เพราะว่าพระบดิ าของท่านมเี พยี งพระองค์เดยี วคอื พระบดิ าในสวรรค์ 10 อย่าใหผ้ ใู้ ดเรยี ก
ท่านวา่ ‘อาจารย’์ เพราะพระอาจารยข์ องท่านมเี พยี งพระองคเ์ ดยี วคอื พระครสิ ตเจา้ 11 ในกล่มุ ของท่าน ผใู้ ดเป็นใหญ่จะ
ตอ้ งเป็นผรู้ บั ใชผ้ อู้ ่นื 12 ผใู้ ดทย่ี กตนขน้ึ จะถกู กดใหต้ ่าลง ผใู้ ดถ่อมตนลง จะไดร้ บั การยกยอ่ งใหส้ งู ขน้ึ

ข้อศกึ ษาวิพากษ์
23:1-3 ก ในลาดบั เหตุการณ์ของพระวรสารนักบุญมทั ธวิ วนั น้ียงั คงเป็นวนั องั คาร พระเยซูเจา้ ยงั

ทรงประทบั อยู่ในเขตพระวหิ าร ซ่งึ พระองค์ทรงอยู่ท่นี ัน่ ตงั้ แต่ 21: 23 แต่กลุ่มผูฟ้ ังแตกต่างกนั เพราะ
พระเยซูเจา้ ทรงหนั ไปตรสั กบั บรรดาศษิ ยแ์ ละฝงู ชน (ดู เทยี บ 5:1) ฝงู ชนเป็นตวั แทนของผทู้ ม่ี โี อกาสจะเป็น
ศษิ ยแ์ ละมคี วามรสู้ กึ ทางบวกกบั พระเยซูเจา้ (21: 8-9, 11, 26, 46; 22: 33) ทงั้ สองกลุ่มเป็นผทู้ ช่ี าวครสิ ต์และผู้
ทเ่ี หน็ ดว้ ยกบั ชาวครสิ ตใ์ นสมยั ของนักบุญมทั ธวิ เขา้ ใจอย่างทะลุปรุโปร่ง “ธรรมาจารย”์ กบั “ชาวฟารสิ ”ี
อาจแตกต่างกนั แต่กเ็ ป็นกลุ่มทม่ี คี วามทบั ซอ้ นกนั ธรรมาจารยค์ อื ผทู้ อ่ี ย่ใู นชนชนั้ วชิ าชพี และไดร้ บั การ
ฝึกอบรมมาอย่างเป็นทางการ คลา้ ยกบั นักกฎหมายในสงั คมสมยั ใหม่ พวกเขาไดร้ บั การศกึ ษาเกย่ี วกบั
ธรรมประเพณีเหล่าน้ีและนามาประยุกต์ใชก้ บั ประเดน็ ปัญหาต่างๆ ในขณะนัน้ ส่วนชาวฟารสิ เี ป็นคน
กลุ่มหน่ึงในศาสนายดู ายทไ่ี ดร้ บั คาจากดั ความจากกฎเกณฑท์ างศาสนาทเ่ี คร่งครดั แต่ส่วนใหญ่เป็นกฎ
ทฆ่ี ราวาสกาหนดขน้ึ เองโดยปราศจากการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ (ดู บทนา) ธรรมาจารยบ์ างคนเป็น
ชาวฟารสิ ี แต่มชี าวฟารสิ ไี ม่ก่คี นท่เี ป็นธรรมาจารย์ เม่อื รวมกนั แล้วพวกเขาคอื ตวั แทนของกลุ่มผู้นา
ชาวยวิ ในสมยั ของนักบุญมทั ธวิ (แต่ไม่จาเป็นตอ้ งหมายถงึ ในสมยั พระเยซูเจา้ ) ความขดั แยง้ ระหวา่ งศาลาธรรมกบั
ครสิ ตจกั ร (Synagogue & Ecclesia:Church) ซง่ึ สะทอ้ นอย่ใู น 23: 1-19 ช้ใี หเ้ หน็ ความขดั แยง้ ทเ่ี พม่ิ ขน้ึ
ระหวา่ งชาวยวิ กบั ชาวครสิ ตใ์ นชว่ งหลงั ของศตวรรษทห่ี น่งึ

“ท่ีนัง่ ของโมเสส” (Moses’ Seat) เป็นสานวนเปรยี บเทียบท่ีส่อื ถึงคาสอนและอานาจในการ
บรหิ ารจดั การของกลุ่มผูน้ าในศาลาธรรม ซ่งึ คอื ธรรมาจารยก์ บั ชาวฟารสิ ี สงิ่ ทน่ี ่าประหลาดใจและตรง
ขา้ มกบั สว่ นก่อนหน้าน้ี (16: 6, 12) และสว่ นทต่ี ามหลงั (23: 4, 16: 22) พระเยซูเจา้ ทรงประณามเฉพาะ

498

การปฏบิ ตั ติ นของตวั ธรรมาจารย์ แต่ไมไ่ ดป้ ระณามคาสอนของพวกเขา (ดู ขอ้ คดิ ไตรต่ รอง ดา้ นล่าง) ความจรงิ
ก็คือพระเยซูเจ้าทรงปกป้ องสนับสนุนมุมมองท่ีเป็ นหลักคาสอนของชาวฟาริสี (22: 23-40) ในทาง
ประวตั ศิ าสตร์ ศาสนาครสิ ตย์ คุ แรกเรม่ิ กบั กลุ่มผนู้ าของชาวฟารสิ ที เ่ี กดิ ขน้ึ ในศาสนายดู ายทเ่ี ป็นทางการ
(Formative Judaism) มคี วามเหมอื นกนั มากกว่าท่ีข้อโต้แย้งของนักบุญมทั ธวิ นาเสนอ ความเหมอื น
ดงั กล่าวแสดงอย่ใู นองคป์ ระกอบต่างๆ ของธรรมประเพณี เช่นเดยี วกบั ในทน่ี ้ี นกั บุญมทั ธวิ น่าจะเจตนา
ใช้เน้ือความส่วนท่เี ป็นปัจจุบนั ส่อื ว่า ชาวฟารสิ แี ละธรรมาจารย์ถูกต้องแล้วในการใช้ชวี ติ โดยยดึ ตาม
หนังสือปัญจบรรพ ซ่ึงเป็นส่ิงท่ีชุมชนชาวครสิ ต์ของท่านยืนยนั ในความถูกต้อง (5:17-48) โดยไม่ได้
พจิ ารณาเรอ่ื งการตคี วามทแ่ี ตกต่างกนั (ดู ขอ้ ศกึ ษาวพิ ากษ์ เกย่ี วกบั 15:1-20)

ใน 23: 3ข-7 คาวพิ ากษ์วจิ ารณ์ของนกั บญุ มทั ธวิ แบ่งออกเป็น 3 สว่ นคอื
(1) พวกเขาพดู แต่ไม่ทา (23: 3ก) ในทน่ี ้ีและสว่ นอ่นื ๆ นกั บุญมทั ธวิ จะนาการพดู อย่างเดยี วมาเทยี บ
ให้เห็นความต่างกบั การลงมอื กระทาจรงิ (6: 1-18; 7: 21-23; 21: 28-32) ธรรมาจารย์และชาวฟารสิ ีต่อต้าน
ความหน้าซอ่ื ใจคดเชน่ นนั้ และเน้นวา่ การปฏบิ ตั จิ ะตอ้ งสอดคลอ้ งกบั สงิ่ ทต่ี นสอน แน่นอนวา่ ย่อมมคี รสิ ต
ชนท่ใี ช้ชวี ติ ตรงข้ามกบั สง่ิ ท่ีพวกเขาสอนด้วย และคาพูดของพระเยซูเจ้าในพระวรสารนักบุญมทั ธิว
แทจ้ รงิ แลว้ กเ็ ป็นการพดู กบั คนกลมุ่ น้ี
(2) พวกเขาสรา้ งภาระให้ผู้อ่นื แต่ตนเองก็ไม่อาจปฏิบตั ิเช่นนัน้ ได้ (23: 4) ชาวฟารสิ สี นับสนุนให้
ผู้คนทัง้ หมดประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นชนชาติท่ีเหมือนกับนักบวช (อพย. 19:6) โดยเฉพาะหลังจาก
เหตุการณ์ทพ่ี ระวหิ ารถูกทาลายและบทบาทหน้าทข่ี องนกั บวชจรงิ ๆ สน้ิ สดุ ลง กล่าวอกี แบบคอื พวกเขา
นากฎการรกั ษาความบรสิ ุทธแิ ์ บบนักบวชมาใชก้ บั ผู้คนทงั้ หมด นักบุญมทั ธวิ เขา้ ใจว่าความพยายาม
เช่นน้ีคอื การเอาขนบธรรมเนียมของมนุษยม์ าแทนทบ่ี ทบญั ญตั ขิ องพระเป็นเจา้ เป็นภาระทค่ี นธรรมดา
ทนไดย้ ากและเป็นการชกั นาในทางทผ่ี ดิ (15: 1-20) ทางเลอื กอ่นื ทจ่ี ะมาแทน “ภาระ” ทช่ี าวฟารสิ นี ามาใส่
บ่าประชาชนกค็ อื “แอก” ของพระเยซูเจา้ (11: 28-30) ซง่ึ “งา่ ย” แต่ไม่ใช่เพราะมนั เขม้ งวดน้อยกว่า (5: 17-
48) แต่เป็นเพราะมนั มุ่งเน้นไปในอกี ทศิ ทางหน่งึ
(3) พวกเขากระทาสงิ่ ต่างๆ ดว้ ยเหตุผลทผ่ี ดิ คอื ทาเพ่อื ใหค้ นอ่นื รูส้ กึ ประทบั ใจ (23: 5-7) หลงั จาก
เหตุการณ์ทาลายพระวหิ ารในครสิ ตศกั ราช 70 กลุ่มผู้นาท่เี ป็นนักบวชหรอื รบั บไี ด้มุ่งเน้นแต่ลกั ษณะ
ภายนอกของความเครง่ ศาสนา ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นคนหน้าซ่อื ใจคดทส่ี นใจเฉพาะลกั ษณะภายนอก
เพยี งอย่างเดยี ว แต่พวกเขาใช้มนั เป็นเคร่อื งมอื ระบุว่าใครคอื ประชากรผูศ้ กั ดสิ ์ ทิ ธขิ ์ องพระเป็นเจ้าใน
สงั คมท่มี คี วามแตกต่างหลากหลาย (Pluralistic Society) พวกเขาใส่ใจกบั การท่จี ะต้องไม่ให้ศาสนายู
ดายคลอ้ ยตามโลกรอบตวั หลงั จากเหตุการณ์ทพ่ี ระวหิ ารประจาชนชาตขิ องพวกเขาถูกทาลาย ครสิ ตจกั ร
ของนกั บุญมทั ธวิ ถูกล่อลวงใหถ้ อื ตามแนวปฏบิ ตั เิ หล่าน้ีและถูกกดดนั จากกลุ่มผนู้ าของศาลาธรรมใหท้ า
เช่นนัน้ ดงั นัน้ การวพิ ากษ์วจิ ารณ์ของนักบุญมทั ธวิ ถงึ แม้จะอยู่ในรูปของคาวจิ ารณ์ท่พี ระเยซูเจา้ ทรง
กล่าวถงึ ชาวฟารสิ ใี นสมยั ของพระองค์ แต่มนั กท็ าหน้าทเ่ี ป็นคาเตอื นกลุ่มผนู้ าในครสิ ตจกั รของนักบุญ
มทั ธวิ ไม่ให้ปฏิบัติตามแนวทางเช่นนัน้ คาว่า “Phylacteries” เป็นคาท่ีนักบุญมทั ธวิ ใช้ส่อื ถึงหีบพระ
บญั ญตั ิ (Tephillin) หรอื กลอ่ งหนงั สดี าเลก็ ๆ ทบ่ี รรจุบางสว่ นของหนงั สอื ปัญจบรรพ (อพย. 13: 1-16; ฉธบ. 6:.4-
9; 11:.13-32) ซง่ึ จะถูกนามาผกู ตดิ กบั หน้าผากและแขนขณะทท่ี ่องบทสวดภาวนา เพอ่ื เป็นการปฏบิ ตั ติ าม

499

ตวั อกั ษรใน ฉธบ. 6:8 ส่วน “Fringes” หมายถงึ สงิ่ ท่มี บี ญั ญตั ใิ หเ้ ป็นส่วนหน่ึงของการแต่งกายของชาว
อสิ ราเอลทุกคน ซง่ึ ต่อมาเป็นทเ่ี ขา้ ใจกนั ว่าหมายถงึ พหู่ อ้ ยทต่ี ดิ อยกู่ บั เสอ้ื คลุมทใ่ี สข่ ณะสวดภาวนา (กดว.
15: 38-39); ฉธบ. 22: 12) ส่วน “ทน่ี งั ่ ทด่ี ที ส่ี ุด” (Best Seat) ในศาลาธรรมหมายถงึ ทน่ี งั ่ ดา้ นหน้าสาหรบั แขกผู้
มเี กยี รติ ซ่งึ หนั เขา้ หาทป่ี ระชุมโดยตรง ส่วนใหญ่จะเป็นทน่ี ัง่ ของอาจารยแ์ ละผนู้ าทไ่ี ดร้ บั การเคารพนับ
ถือ คาว่า “รบั บี” ในสมยั ของพระเยซูเจ้าเป็นคานาหน้าช่ือเพ่ือให้เกียรติโดยทัว่ ไป แต่ในการวาง
โครงสร้างใหม่ของศาสนายูดายหลงั จากครสิ ตศกั ราชท่ี 70 มนั มแี นวโน้มท่ีจะเป็นคาเฉพาะสาหรบั
อาจารยผ์ สู้ อนคาสอนในศาสนายดู ายสมยั ทก่ี าลงั ก่อตวั (Formative Judaism)

23: 8-10 ทงั้ หมดเป็นการตรสั กบั บรรดาศษิ ยโ์ ดยทางออ้ ม ดว้ ยการใชค้ าว่า “พวกท่าน” ถงึ 8 ครงั้
นักบุญมทั ธวิ ไดเ้ ปลย่ี นมาพูดกบั พวกเขาโดยตรง กลุ่มผูน้ าในพระศาสนจกั รของนักบุญมทั ธวิ กาลงั ถูก
ล่อลวงใหเ้ ลยี นแบบลทั ธทิ ใ่ี หน้ กั บวชมอี านาจทางการเมอื ง (Clericalism) ทก่ี าลงั เกดิ ขน้ึ ในกลุ่มชาวยวิ ท่ี
ต่อต้านครสิ ตจกั ร นักบุญมทั ธวิ ไม่เหน็ ด้วยกบั แนวคดิ น้ี สงิ่ ท่เี ป็นลกั ษณะทวั่ ไปของกลุ่มใหม่ท่เี กดิ ข้นึ
จากกลุ่มทย่ี ดึ ตามธรรมประเพณี คอื ความนิยมความเสมอภาคอย่างรนุ แรงและความไมไ่ วใ้ จผนู้ า “ทเ่ี ป็น
ทางการ” แม้คาท่ีแปลว่า “รบั บี” (ybr rubbî) จะแปลตามตวั อกั ษรได้ว่า “ผู้ย่งิ ใหญ่ของข้า” (My Great
One) มนั กก็ ลายเป็นคาท่ใี ชต้ ามธรรมเนียมทไ่ี ม่ทาใหเ้ กดิ การรบั รถู้ งึ ความหมายตามตวั อกั ษรของคาน้ี
เหมอื นกบั คาว่า “Sir” ในภาษาองั กฤษ (คาว่า “Lord” มาจากคาภาษากรกี “kyrios”) อย่างไรก็ตาม นัก
บุญมทั ธวิ อาจมมี ุมมองเก่ยี วกบั ความหมายตามตวั อกั ษรในลกั ษณะทต่ี รงขา้ มกบั ชุมชนชาวครสิ ต์ทเ่ี ป็น
“ผเู้ ลก็ น้อย” (Little Ones) (เทยี บ 18: 1-10) นักบุญมทั ธวิ ใหพ้ ระเยซูเจา้ ทรงถูกเรยี กว่า “รบั บ”ี โดยคนนอก
และยดู าสเท่านนั้ (เทยี บ 26: 25, 49) ในทน่ี ้ีดวู ่านกั บุญมทั ธวิ จะหา้ มไม่ใหม้ กี ารใชค้ าน้ีกบั ผนู้ าชาวครสิ ต์ แต่
ยอมหรอื แมแ้ ต่สนบั สนุนใหม้ กี ารใช้คาน้ีกบั พระเยซูเจา้ คาวา่ พน่ี ้อง [ชายหญงิ ] (Brothers and Sisters) ใน
ฉบบั NIV เป็นคาภาษาองั กฤษทเ่ี หมาะสมกว่าสาหรบั การแปลคาภาษากรกี “adelphoi” แทนทจ่ี ะเป็นคา
ว่า “นักเรยี น/ลูกศษิ ย์” (Students) ในฉบบั NRSV ประเดน็ สาคญั กค็ อื สมาชกิ ของชุมชนชาวครสิ ต์คอื
สมาชกิ ของครอบครวั พระเป็นเจา้ (12: 46-50) ดงั นนั้ การเน้นใหเ้ หน็ ความต่างดว้ ยการใชย้ ศตาแหน่งจงึ เป็น
สงิ่ ทไ่ี ม่เหมาะสม

เหน็ ไดช้ ดั ว่าแนวคดิ เช่นน้ียงั คงสบื ทอดต่อมาในคาวา่ “Father” ซง่ึ เป็นชอ่ื ตาแหน่งทใ่ี ชเ้ รยี กเพอ่ื ให้
เกียรติทงั้ ในพระคมั ภีร์และในขนบธรรมเนียม (เช่น สาหรบั ประกาศเอลิยาห์และเอลีชา, 2พกษ 2: 12; 13:14 สาหรบั
อาจารยส์ อนศาสนายูดายท่ไี ดร้ บั ความเคารพนับถอื ในเอกสาร m. )Abot) และถูกนามาใชโ้ ดยศาสนายดู ายสมยั เรมิ่ ก่อตงั้
นกั บุญมทั ธวิ จากดั คาว่า “รบั บ”ี ใหเ้ ป็นคาทใ่ี ชเ้ ฉพาะกบั พระเยซูเจา้ และจากดั คาว่า “Father” ใหเ้ ป็นคา
ท่ใี ชเ้ รยี กพระเป็นเจา้ เท่านัน้ คาว่า “Father” เป็นคาท่ีนักบุญมทั ธวิ ชอบใชส้ ่อื ถงึ พระเป็นเจา้ บ่อยๆ ซ่งึ
เป็นการสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ แนวปฏบิ ตั ทิ แ่ี ตกตา่ งและโดดเด่นของพระเยซูเจา้ (ดู เทยี บ 6:9)

คาว่า “ผู้สอน” (Instructor) ในฉบบั NRSV กบั คาว่า “อาจารย์” (Teacher) ในฉบบั NIV แปลมา
จากภาษากรกี คาว่า “kathegetes” และมกี ารใชใ้ นภาคพนั ธสญั ญาใหม่เฉพาะตรงน้ีทเ่ี ดยี ว มนั สะทอ้ นให้
เห็นอย่างชดั เจนถึงช่อื ตาแหน่งอีกหน่ึงช่อื ท่ีนิยมใช้กนั ในกลุ่มชาวยวิ ผู้ต่อต้านครสิ ตจกั รในสมยั ของ
นักบุญมัทธิว ซ่ึงอาจมาจากคาว่า hrwm (môreh) ซ่ึงมีการใช้กับ “อาจารย์ผู้สอนความชอบธรรม”

500

(Teacher of Righteousness) ในเอกสารของชาวคุมราน สว่ นในกรณขี องคาวา่ “รบั บ”ี เป็นคาทจ่ี ากดั ให้
ใชเ้ ฉพาะกบั พระเยซูเจา้ เทา่ นนั้

แต่ครสิ ตจกั รของนักบุญมทั ธวิ กม็ ชี นชนั้ ท่เี ป็นกลุ่มผูน้ าเช่นกนั (ดู บทนา) แต่นักบุญมทั ธวิ กล่าวถงึ
พวกเขาในมุมมองท่วี ่าเป็นผูม้ พี ระพรพเิ ศษและมคี วามเท่าเทยี มเสมอภาคกนั คนอ่นื ๆ ครสิ ตจกั รของ
นกั บุญมทั ธวิ อาจเรมิ่ มแี นวโน้มของการวางโครงรา่ งระบบการปกครองครสิ ตจกั รบา้ งแลว้ (“การปกครองแบบ
มีสังฆนายก” หรือ “Monarchical Episcopate”) ซ่ึงจะได้รับการสนับสนุนโดยนักบุญอิกนาซีอุสแห่งอันติโอค
(Ignatius of Antioch) ในอกี ไม่กป่ี ีหลงั จากนนั้ ทแ่ี น่นอนกค็ อื คนทอ่ี า้ งว่าตนเป็น “แค่คนเลก็ น้อย” (Just
a Little One) สามารถเกดิ ความหยง่ิ ยโสแบบผดิ ๆ ไดม้ ากยงิ่ กวา่ รบั บที ส่ี อนธรรมบญั ญตั อิ ยา่ งจรงิ ใจเสยี
อกี ในทน่ี ้กี เ็ ชน่ เดยี วกบั ในสว่ นอ่นื ๆ สง่ิ ภายนอกอย่างชอ่ื ตาแหน่งเป็นเพยี งตวั ชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ทศั นคตภิ ายใน
ซง่ึ เป็นสง่ิ ทน่ี กั บุญมทั ธวิ ใหค้ วามใสใ่ จอย่างแทจ้ รงิ

23: 11-12 ผู้นาในชุมชนชาวคริสต์จะต้องเป็ นผู้นาแบบผู้รับใช้ (Servant Leadership) คาว่า
“Minister” กค็ อื คาวา่ “ผรู้ บั ใช”้ หรอื “diakonos” (Deacon/ผชู้ ว่ ยนกั บวช)

ข้อคิดไตรต่ รอง
1. ผอู้ ่านสมยั ใหม่อาจเคยไดย้ นิ ขอ้ ความเกย่ี วกบั “ขยายกลกั บรรจพุ ระวาจาใหใ้ หญ่ขน้ึ และผา้ คลุม

มพี ู่ยาวกว่าของคนอนื่ ” ว่าเป็นหลกั ฐานท่ชี ้ใี ห้เห็นถงึ ความขาดประเดน็ สาคญั (Irrelevance) ของพระ
คมั ภรี ์ เพราะบาปเลก็ น้อยเหล่าน้ีดูห่างไกลจากโลกความเป็นจรงิ ทเ่ี ตม็ ไปดว้ ยความบาปมากมายทเ่ี รา
ถูกเรยี กใหเ้ ผชญิ ซง่ึ อาจดูเป็นการพดู กบั คนทอ่ี ย่ใู นสถานทห่ี ่างไกลในอดตี อนั ไกลโพน้ หรอื อยา่ งน้อยก็
พูดกบั ผู้โอ้อวดความเคร่งศาสนาในสมยั ของเรา จากมุมมองทงั้ สองแบบน้ี ขอ้ ความดงั กล่าวดูแทบไม่
เกย่ี วขอ้ งอะไรกบั เราเลย แต่ถ้าเราอ่านอย่างลกึ ซ้งึ ขน้ึ อาจทาใหเ้ รามองเหน็ ว่าขอ้ ความน้ีกาลงั กล่าวถงึ
บางสง่ิ ทอ่ี ย่ใู กลก้ บั ศูนยก์ ลางชวี ติ ของเรา ซง่ึ เป็นสงิ่ ทด่ี แู ลว้ ถูกตอ้ งและเป็นธรรมดาของมนุษย์ เราทกุ คน
ชอบทจ่ี ะเป็นทร่ี จู้ กั ในงานสงั คม เราชอบท่จี ะถูกทกั ทายทต่ี ลาด มนั ไม่ใชเ่ รอ่ื งความหน้าซอ่ื ใจคด แต่เป็น
เร่อื งธรรมดาของการเป็นมนุษย์ เราเป็นสตั วส์ งั คม เราย่อมพอใจทจ่ี ะเป็นทร่ี จู้ กั และมคี นช่นื ชอบ เราจะ
รสู้ กึ เหมอื นตนเองไมม่ คี า่ หากถูกเมนิ เฉยหรอื ถูกทาใหต้ กต่าทางสงั คมดว้ ยวธิ กี ารทล่ี ะเอยี ดอ่อน เราทุก
คนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ข้อจากัดท่ีบังคับเราอยู่จากภายในอย่างแรงกดดันจากคนรอบข้างและความ
ปรารถนาท่ีจะเป็นท่ียอมรบั ของคนอ่ืน ความปรารถนาท่ีจะเป็นคนในกลุ่มหรอื เป็นของกลุ่ม (Social
Need or Needs of Belongingness) ผูอ้ ่านในปัจจุบนั อาจอ่านขอ้ ความน้ีอย่างระมดั ระวงั เพราะเร่อื งน้ี
เป็นการวพิ ากษ์วจิ ารณ์ความโออ้ วดยม้ิ เยาะชาวยวิ ในสมยั ศตวรรษทห่ี น่ึง และเป็นสงิ่ ลอ้ เลยี นไดง้ า่ ยเม่อื
เราอยหู่ ่างไกลและขาดความรเู้ กย่ี วกบั ศาสนายดู าย หรอื เราอาจเลอื กทจ่ี ะพยายามนาขอ้ ความน้มี าใชก้ บั
ความปรารถนาของเราเองทจ่ี ะเขา้ กบั ผอู้ ่นื ในสงั คม ไดร้ บั การมองเหน็ คุณค่า และไดร้ บั ความช่นื ชม (การ
เล่อื นตาแหน่ง, ความก้าวหน้า) เราควรพยายามทาเช่นน้ีหรอื ไม่? ลกั ษณะพฤตกิ รรมน้ีมผี ลกระทบกบั ค่านิยม
ความนับถอื ตนเอง (Self-Esteem) ซ่งึ เป็นความต้องการพ้นื ฐานของชวี ติ ผูค้ นสมยั ปัจจุบนั เราสมควร
ประพฤติเช่นน้ีได้หรอื ไม่ หรอื เราอยู่ในกระแสท่ีต้องใชช้ วี ติ ในแบบท่ตี อบสนองต่อแรงกดดนั ให้ต้องมี
ตาแหน่งและมผี เู้ หน็ คุณค่าตามกระแสสงั คมโลก นักบุญมทั ธวิ ไดน้ าเสนอโลกทเ่ี ป็นทางเลอื ก โลกทม่ี อง

501

ผา่ นมุมมองของพระอาณาจกั รพระเจา้ มงุ่ เน้นคุณค่าจติ ใจในพระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ มคี วามจรงิ ใจ
และแสวงหาความชอบธรรม มใิ ชเ่ พยี งแต่ผวิ เผนิ หรอื เป็นเปลอื กภายนอกของชวี ติ ใฝ่หาลาภยศสรรเสรญิ
ในสงั คมท่ไี ม่จรี งั ยงั ่ ยนื ขอ้ คาสอนน้ีจงึ เป็นขอ้ คดิ นาเสนอครอบครวั พจิ ารณาทางเลอื กซ่ึงเป็นท่ที ่กี าร
ยอมรบั จากพระเจา้ ช่วยขจดั แอกแสนหนักแห่งการพยายามแสดงว่าตนเองถูกต้องชอบธรรมภายนอก
เพยี งเพ่อื คาชมเชยไม่เท่ยี งแท้ยงั ่ ยนื เน้ือหาตรงน้ีเป็นมากกว่าการใชค้ าพูดโจมตที ารา้ ยผูเ้ คร่งศาสนา
แบบหลอกๆ ในชุดเสอ้ื คลมุ ยาว

2. ความขดั แยง้ ท่นี ่าขนั ในประวตั ศิ าสตรข์ องชาวครสิ ต์ คอื บ่อยครงั้ มนั แทบไม่มคี วามเช่อื มโยง
ระหว่างการใชต้ าแหน่งนาหน้าช่อื กบั ทศั นคตทิ ค่ี วรจะมตี ่อคานัน้ ถงึ แมข้ อ้ ความตรงน้ีจะเตอื นไม่ใหท้ า
แต่ผทู้ ถ่ี อื ตามธรรมประเพณีชาวครสิ ต์ และนาคาว่า “Father” ไปใชก้ บั ผนู้ ามกั จะเป็นผทู้ ป่ี ฏบิ ตั ติ นแบบ
คนรบั ใชท้ ใ่ี จสภุ าพอย่างแทจ้ รงิ สว่ นผทู้ ย่ี นื ยนั ว่าจะใชเ้ ฉพาะคาวา่ “Minister” เทา่ นนั้ กลบั หยง่ิ ยะโสและ
เผดจ็ การเป็นครงั้ คราว บทสรุปของสว่ นน้ีชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ การตดั สนิ พพิ ากษาโลกครงั้ สุดทา้ ย ซง่ึ จะเป็นตอน
ทค่ี วามยงิ่ ใหญ่และความใจสุภาพอย่างแทจ้ รงิ ถูกเปิดเผยและไดร้ บั รางวลั ตอบแทน ซง่ึ ดจู ะแตกต่างจาก
การนาชอ่ื ตาแหน่งเหลา่ น้มี าใช้

มทั ธวิ 23:13-36 ความวบิ ตั ิ

พระเยซเู จา้ ทรงประณามบรรดาธรรมาจารยแ์ ละชาวฟาริสี
13 “วบิ ตั จิ งเกดิ แก่ท่านทงั้ หลาย ธรรมาจารยแ์ ละฟารสิ หี น้าซ่อื ใจคด ท่านปิดประตูอาณาจกั รใส่หน้ามนุษย์ ท่านไม่เขา้
ไปและไมป่ ล่อยคนทอ่ี ยากเขา้ ใหเ้ ขา้ ไปได้ 14 “วบิ ตั จิ งเกดิ แก่ท่าน ธรรมาจารยแ์ ละฟารสิ หี น้าซอื่ ใจคด ท่านกนิ บา้ นของ
หญงิ มา่ ย อธษิ ฐานภาวนายดื ยาวเพอื่ ใหค้ นมอง ทา่ นจะรบั โทษหนกั กวา่ ผอู้ นื่ ”
15 “วบิ ตั จิ งเกดิ แก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟารสิ หี น้าซ่อื ใจคด ท่านเดนิ ทางขา้ มน้าขา้ มทะเลเพ่อื ทาให้คนเพยี งคนเดยี ว
กลบั ใจ และเมอ่ื เขากลบั ใจแลว้ ท่านกท็ าใหเ้ ขาสมควรจะไปนรกมากกวา่ ท่านสองเทา่
16 “วบิ ตั จิ งเกดิ แก่ท่าน ผนู้ าทางทต่ี าบอด ท่านกล่าวว่า ‘ถา้ ใครสาบานอา้ งถงึ พระวหิ าร กเ็ ป็นโมฆะ แต่ถา้ ใครสาบาน
อา้ งถงึ ทองคาในพระวหิ าร กต็ อ้ งปฏบิ ตั ติ ามคาสาบาน’ 17 คนโงเ่ ขลาและตาบอดเอ๋ย สง่ิ ใดสาคญั ยง่ิ กว่ากนั ทองคาหรอื
พระวหิ ารท่ีทาให้ทองคานัน้ ศกั ดิส์ ิทธิ์18 ท่านยงั กล่าวอีกว่า ‘ถ้าใครสาบานอ้างถึงพระแท่น ก็เป็นโมฆะ แต่ถ้าใคร
สาบานอา้ งถงึ เคร่อื งบูชาบนพระแท่น กต็ อ้ งปฏบิ ตั ติ ามคาสาบาน’ 19 คนตาบอดเอ๋ย สง่ิ ใดสาคญั ยง่ิ กว่ากนั เคร่อื งบูชา
หรอื พระแท่นทท่ี าใหเ้ คร่อื งบูชานัน้ ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์20 เพราะฉะนัน้ ผูท้ ส่ี าบานอา้ งถงึ พระแท่น กส็ าบานอา้ งถงึ พระแท่นรวม
ทงั้ ทุกสงิ่ ท่อี ยู่บนพระแท่นนัน้ ด้วย 21 และผูท้ ่สี าบานอา้ งถงึ พระวหิ าร ก็สาบานอา้ งถงึ พระวหิ าร รวมทงั้ พระผูส้ ถติ ใน
พระวหิ ารนนั้ ดว้ ย 22 ผทู้ ส่ี าบานอา้ งถงึ สวรรค์ กส็ าบานอา้ งถงึ พระทน่ี งั่ ของพระเจา้ รวมทงั้ พระผปู้ ระทบั อย่บู นพระทน่ี ัง่
นัน้ ดว้ ย 23 “วบิ ตั จิ งเกดิ แก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟารสิ หี น้าซ่อื ใจคด ท่านถวายหน่ึงในสบิ ของสะระแหน่ ผกั ชี ยห่ี รา่ 11
แต่ไดล้ ะเลยธรรมบญั ญตั ใิ นเร่อื งทส่ี าคญั เช่น ความยุตธิ รรม ความเมตตากรุณา และความซ่อื สตั ย์ บทบญั ญตั เิ หล่าน้ี
จาเป็นตอ้ งปฏบิ ตั โิ ดยไมล่ ะเวน้ บทบญั ญตั อิ ่นื ๆ

502

24 “ผนู้ าทางตาบอดเอ๋ย ทา่ นกรองลูกน้า แตก่ ลบั กลนื อูฐทงั้ ตวั 25 “วบิ ตั จิ งเกดิ แก่ท่าน ธรรมาจารยแ์ ละฟารสิ หี น้า
ซ่อื ใจคด ท่านลา้ งถว้ ยชามดา้ นนอก ดา้ นในมแี ต่ความสกปรกคอื การขม่ ขแู่ ยง่ ชงิ และราคะตณั หา 26 ฟารสิ ตี าบอดเอ๋ย
จงลา้ งดา้ นในของถว้ ยชามใหส้ ะอาดเสยี กอ่ น แลว้ ดา้ นนอกกจ็ ะสะอาดดว้ ย 27 “วบิ ตั จิ งเกดิ แก่ทา่ น ธรรมาจารยแ์ ละฟา
รสิ หี น้าซ่อื ใจคด ทา่ นเป็นเหมอื นหลมุ ศพทาสขี าว ภายนอกดงู ดงามแตภ่ ายในเตม็ ไปดว้ ยกระดกู คนตายและสงิ่ สกปรก
ทกุ อยา่ ง 28 ท่านกเ็ ป็นเชน่ เดยี วกนั ภายนอกปรากฏแก่มนุษยว์ า่ เป็นคนชอบธรรม แตภ่ ายในเตม็ ไปดว้ ยความหน้าซอ่ื
ใจคด และความอธรรม
29 “วบิ ตั จิ งเกดิ แก่ท่าน ธรรมาจารยแ์ ละฟารสิ หี น้าซ่อื ใจคด ท่านสรา้ งหลุมศพใหบ้ รรดาประกาศก ประดบั อนุสาวรยี ข์ อง
ผชู้ อบธรรม 30 ท่านกลา่ ววา่ ‘ถา้ เราอยใู่ นสมยั บรรพบรุ ุษ เราคงจะไมร่ ว่ มมอื ในการหลงั่ เลอื ดบรรดาประกาศกเหลา่ น้ี’ 31
ดงั น้ี ทา่ นกเ็ ป็นพยานปรกั ปราตนเองวา่ เป็นลูกหลานของผทู้ ไ่ี ดฆ้ า่ บรรดาประกาศก 32 ฉะนนั้ ท่านทงั้ หลายจงทางานท่ี
บรรพบรุ ษุ ของทา่ นไดเ้ รม่ิ ไวใ้ หส้ าเรจ็ ไปเถดิ ”
ความผิดและโทษท่ีกาลงั มาถึง
33 “บรรดางพู ษิ สญั ชาติงูรา้ ยเอ๋ย ท่านจะหลกี เล่ยี งโทษนรกได้อย่างไรเล่า 34 เราส่งประกาศก และผูป้ รชี ากบั ธรรมา
จารย์มาพบท่าน14 ท่านจะฆา่ บางคน จะนาบางคนไปตรงึ กางเขน จะเฆย่ี นบางคนในศาลาธรรมของท่าน จะเบยี ดเบยี น
เขาตามเมอื งต่างๆ 35 เม่อื เป็นดงั น้ี โลหติ ของผูช้ อบธรรมทุกคนทห่ี ลงั่ ลงบนแผน่ ดนิ จะตกลงเหนือท่าน นบั ตงั้ แต่โลหติ
ของอาแบลผูช้ อบธรรม จนถงึ โลหติ ของเศคารยิ าห์15 บุตรของบาราคยิ าห์ ซ่งึ ท่านไดป้ ระหารระหว่างพระวหิ ารกบั แท่น
บชู า 36 เรากล่าวแก่ทา่ นทงั้ หลายวา่ เหตุการณ์เหล่าน้ีจะเกดิ ขน้ึ แก่คนรนุ่ น้ี”

ข้อศกึ ษาวิพากษ์

ถึงแม้ว่าตรงส่วนน้ีจะเปล่ียนผู้ฟังเป็นบุคคลท่ีสอง แต่บทบรรยายเร่อื งก็ไม่ได้แสดงภาพว่า
ชาวฟารสิ ปี รากฏตวั อยู่ตรงนัน้ ดว้ ย มนั เป็นการกล่าวกบั ฝงู ชนและบรรดาศษิ ย์เท่านัน้ เช่นเดยี วกบั ใน
11: 21-24 ความวบิ ตั อิ ย่ใู นรูปของเคร่อื งหมายทางวรรณกรรมท่แี สดงความเป็นเจา้ ของ (Apostrophe หรอื
ถ้อยคาท่กี ล่าวถงึ บุคคลท่ไี ม่ไดอ้ ยู่ตรงนัน้ ) ในความเขา้ ใจระดบั ของนักบุญมทั ธวิ เก่ยี วกบั วาทกรรมน้ี ความวบิ ตั ิ
เป็ นตัวแทนของความขัดแย้งระหว่างขบวนการเคล่ือนไหวของนักบวชศาสนายูดาย (Rabbinic
Movement) และชาวครสิ ตส์ มยั ของนักบุญมทั ธวิ ไม่ใช่การระเบดิ ถอ้ ยคาของพระเยซูเจา้ พระองคจ์ รงิ ใน
ประวตั ศิ าสตรเ์ กย่ี วกบั ชาวฟารสิ ใี นครสิ ตศกั ราชท่ี 30 จรงิ ๆ แลว้ ขอ้ ความน้ีตอ้ งการพดู กบั ผอู้ ่านพระวร
สารนกั บญุ มทั ธวิ โดยตรง

รูปแบบของวบิ ตั ินัน้ มาจากประกาศกในภาคพนั ธสญั ญาเดิม (อสย. 45: 9-10; ยรม. 13: 27; 48: 46; อสค.
16:23) แต่กอ็ าจเป็นรปู แบบหน่ึงของสุนทรพจน์เชงิ คาพยากรณ์ของพระเยซูเจา้ ดว้ ย หลงั จากการกลบั คนื
พระชนม์ชพี ประกาศกชาวคริสต์รบั รูปแบบของการประกาศวบิ ตั ิไปใช้ต่อ (วว. 8: 13; 9: 12; 11: 14; 12:12)
เอกสารแหล่ง Q มคี าประกาศวบิ ตั ิ 7 แห่งท่กี ล่าวในนามของพระเยซูเจ้า ซ่ึงสะท้อนให้เห็นถึงความ
ขดั แยง้ ระหว่างผูต้ ดิ ตามพระเยซูเจา้ กบั กลุ่มผูน้ าชาวยวิ (ดู เทยี บ ลก. 11: 39-52) นักบุญมทั ธวิ รบั เอาสุนทร
พจน์จากเอกสารแหล่ง Q น้ีไปใชพ้ ูดกบั กลุ่มผู้ต่อต้านของท่านเอง ซ่งึ มตี วั แทนเป็น “ธรรมาจารยแ์ ละ
ชาวฟารสิ ”ี ในสมยั ของทา่ น

ถึงแม้ว่าในจุดน้ีและในส่วนอ่ืนๆ นักบุญมัทธิวจะต่อต้านความไม่จริงใจ แต่นัน่ ก็อาจไม่ใช่
ความหมายหลกั ของคาวา่ “hyporkrisis” ในทน่ี ้ี เชน่ เดยี วกบั ใน กท. 2: 11-14 ความไม่สอดคลอ้ งระหว่าง
ความเชอ่ื กบั การกระทาของบุคคลหน่ึง ไม่ว่าเขาจะรตู้ วั หรอื ไม่กต็ าม คอื แก่นแทส้ าคญั ของเน้ือหาสว่ นน้ี
ในเทวศาตรข์ องหนงั สอื เฉลยธรรมบญั ญตั ิ ทน่ี กั บญุ มทั ธวิ รบั มาใชจ้ ากเอกสารแหลง่ Q คาวา่ “ความหน้า
ซ่อื ใจคด” (Hypocrisy) หมายถงึ การไม่มพี ระเป็นเจา้ (Godlessness) ไม่ใช่แค่การแกลง้ ทาหรอื เสแสรง้

503

(Phoniness) ขอ้ โตแ้ ยง้ น้ีเป็นการต่อตา้ นการใหค้ วามสาคญั กบั ภาพลกั ษณ์ทป่ี รากฏต่อสายตาของผอู้ ่นื
มากเกนิ ไป ซ่ึงอาจเป็นการบูชารูปเคารพอย่างหน่ึง ตามความเขา้ ใจน้ี ความหน้าซ่ือใจคดไม่ได้เป็ น
เพยี งแต่การละเมดิ บญั ญตั ิ แต่ยงั แสดงใหเ้ หน็ ถงึ การขาดความไวว้ างใจในพระเป็นเจา้ และหนั จากพระ
เป็นเจา้ ไปใหค้ วามสาคญั กบั สงิ่ ทค่ี นอ่นื คดิ เกย่ี วกบั ตนอนั เป็นหลกั เป้าหมายสาคญั ของชวี ติ

23:13 คือวิบัติประการท่ีหน่ึง “การปิดประตูพระอาณาจกั ร” นักบุญมัทธิวเปล่ียนวิบัติจาก
เอกสารแหล่ง Q ใหก้ ลายเป็นคาพดู เกย่ี วกบั พระอาณาจกั ร (เทยี บ ลก. 11: 52) ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั มุมมองของ
ท่านทม่ี อี ย่ตู ลอดทงั้ พระวรสารว่าในความขดั แยง้ ระหว่างผนู้ าชาวยวิ และขบวนการเคล่อื นไหวของพระ
เยซูเจา้ (the Jesus Movement) คอื การเผชญิ หน้ากนั ระหว่างการตคี วามทแ่ี ตกต่างหรอื สองอาณาจกั ร
(ดู 12: 22-37) นอกจากน้ี นกั บุญมทั ธวิ ยงั นาลาดบั เร่อื งในเอกสารแหล่ง Q มาเรยี งใหม่ โดยทาใหว้ บิ ตั ขิ อ้ น้ี
เป็นขอ้ ทห่ี น่ึง เพอ่ื ใหค้ วามขดั แยง้ ระหวา่ งการตคี วามหรอื สองอาณาจกั รเป็นสงิ่ ทถ่ี กู กาหนดใหอ้ ยใู่ นวบิ ตั ิ
ทุกขอ้ การประกาศถงึ วบิ ตั เิ หล่าน้ไี มใ่ ชแ่ คก่ ารระเบดิ อารมณ์เลก็ น้อย แต่เป็นการประกาศล่วงหน้าถงึ ผทู้ ่ี
จะมาพพิ ากษาโลกในวาระสุดท้าย (ดู เทยี บ 25: 31-46) ชาวฟารสิ ถี ูกตดั สนิ โทษเพราะพวกเขาไม่ยอมเขา้
พระอาณาจกั รและไม่ยอมใหผ้ อู้ ่นื เขา้ ดว้ ย ซ่งึ อาจเป็นการส่อื ถงึ การขบั ไล่ชาวครสิ ต์ออกจากศาลาธรรม
ในขณะท่ีมกี ารพฒั นาศาสนายูดายท่เี มอื งแจมเนีย (Jamnia) (เทยี บ ยน. 9: 34-35; 16: 2-4) และตรงขา้ มกบั
บทบาทของนกั บญุ เปโตร ใน 16:19

23:15 คอื วบิ ตั ปิ ระการทส่ี อง “ภารกจิ ของอาณาจกั รฝ่ายตรงขา้ ม” ครสิ ตจกั รของนกั บุญมทั ธวิ ทา
ภารกจิ ธรรมทตู เผยแพรพ่ ระวรสารใหช้ นตา่ งศาสนา (28: 18-20) และนกั บุญมทั ธวิ กเ็ ขา้ ใจวา่ ชาวฟารสิ เี องก็
มพี นั ธกจิ ในการแขง่ ขนั การเผยแพรศ่ าสนาต่อชนต่างชาตดิ ว้ ยเชน่ กนั แต่แน่นอนวา่ พวกเขาเรยี กรอ้ งให้
การปฏบิ ตั ติ ามธรรมบญั ญตั เิ ป็นเง่ือนไขของการเปลย่ี นมานบั ถอื ศาสนายดู าย คณะธรรมทูตของชุมชน
นักบุญมทั ธวิ อาจต้องเผชญิ กบั การต่อตา้ นทงั้ จากชาวฟารสิ แี ละจากผเู้ ปลย่ี นมานับถอื ศาสนายวิ ทก่ี าลงั
กระตอื รอื รน้ เร่อื งธรรมบญั ญตั แิ ละต่อตา้ นสงิ่ ทพ่ี วกเขาเหน็ ว่าเป็นทศั นคตทิ ห่ี ย่อนยานเกย่ี วกบั หนังสอื
ธรรมบญั ญตั ขิ องชาวครสิ ต์ในสมยั ของนักบุญมทั ธวิ การเผชญิ หน้ากนั อย่างประสงคร์ า้ ยน้ีน่าจะช่วยให้
ผอู้ า่ นสมยั ใหม่เขา้ ใจ (ไมต่ อ้ งพดู ถงึ ใหอ้ ภยั ) คาบรรยายทเ่ี ผด็ รอ้ นวา่ ชาวฟารสิ แี ละผเู้ ปลย่ี นมานบั ถอื ศาสนายวิ
ของพวกเขาคอื “บุตรแหง่ นรก” (Children of Hell หรอื แปลตามตวั อกั ษรวา่ Sons of ซง่ึ ตามความหมาย
แบบฮบี รู ส่อื ถงึ “อยู่ในหมวดหมู่..(ภาวะความเป็น)ของ...”) ซ่งึ เป็นสงิ่ ท่ตี รงขา้ มกบั คาท่ีนักบุญมทั ธวิ
บรรยายว่าชาวครสิ ตค์ อื “บุตร” แหง่ พระอาณาจกั ร (เทยี บ 8: 12; 13: 38) และคงเป็นการบรรยายถงึ จนิ ตภาพ
ของวบิ ตั แิ รกอย่างต่อเน่ือง ซง่ึ เป็นภาพของพระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ ถูกต่อตา้ นโดยอาณาจกั รของ
ซาตาน เรารถู้ งึ กรณดี งั ๆ สองสามเรอ่ื งทช่ี าวฟารสิ สี ามารถทาใหบ้ ุคคลต่างชาตทิ ม่ี คี วามสาคญั เปลย่ี นมา
นับถือศาสนายูดาย แต่ไม่มีหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์สนับสนุนว่าชาวฟารสิ ีมีภารกิจขนาดใหญ่
(Large-Scale Mission) ต่อชนต่างศาสนา

สงิ่ น้หี มายความวา่ “คาทกั ทายตามธรรมเนยี มน้ที ุกคนจะถูกบงั คบั ใหพ้ ดู และเป็นการทาใหร้ ะลกึ ถงึ
ความพา่ ยแพแ้ ละการปฏเิ สธของพวกเขา” ใชห่ รอื ไม่? หรอื ความหมายของนกั บญุ มทั ธวิ คอื การปฏเิ สธ
พระเมสสยิ าหข์ องอสิ ราเอลในตอนน้ไี ม่ใชส่ ง่ิ ตดั สนิ ชข้ี าด และก่อนหน้าการเสดจ็ กลบั มาครงั้ ทส่ี องของ

504

พระองค์ พวกเขาอาจจะกลบั ใจและตอ้ นรบั พระองคใ์ นฐานะผแู้ ทนของพระเป็นเจา้ (ตามทน่ี กั บุญเปาโลได้
คาดการณ์ไวแ้ ละใน รม. 9-11) สาหรบั ขอ้ คดิ ไตรต่ รอง เกย่ี วกบั 23:1-39 ดู บทสรปุ ของสนุ ทรพจน์น้ที ่ี 25: 46

23:16-22 คอื วบิ ตั ปิ ระการท่สี าม “ต่อสูก้ บั วถิ กี ารเล่นถ้อยคาหรอื โวหาร” (Against Casuistry)
ชาวฟารสี อี าจมเี หตุผลทถ่ี ูกตอ้ งตามธรรมบญั ญตั ใิ นการตคี วามหลกั ปฏบิ ตั ใิ นพระคมั ภรี เ์ ร่อื งการใหค้ า
สตั ยส์ าบานและคาปฏญิ าณ (ดู 5:33-37) ความแตกต่างระหว่างทองคาและพระวหิ าร ระหว่างพธิ บี ูชาและ
แท่นบูชา ซง่ึ อาจเกย่ี วขอ้ งกบั สงิ่ ท่เี จา้ หน้ีรูส้ กึ คอื เป็นความพยายามของชาวฟารสิ ที จ่ี ะใหผ้ คู้ นนาธรรม
บญั ญตั ไิ ปปฏบิ ตั จิ รงิ เพ่อื ป้องกนั ไมใ่ หส้ าบานอย่างไรค้ วามหมาย นักบุญมทั ธวิ เขา้ ใจวา่ แนวทางทงั้ หมด
น้ีคอื ความพยายามกดดนั เร่อื งหยุมหยมิ เพ่ือใช้หลกั ศีลธรรมจดั การกบั ปัญหาอย่างผดิ ๆ หรอื ความ
พยายามในการหาชอ่ งโหวข่ องบทบญั ญตั อิ ยา่ งชวั่ รา้ ย ความเขา้ ใจของทา่ นเกย่ี วกบั สงิ่ ทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรง
สอนเป็นการปฏเิ สธแนวทางการนาหลกั ศลี ธรรมมาจดั การกบั ปัญหา (ดู 5:17-48) โดยเฉพาะในเรอ่ื งการให้
คาสตั ยส์ าบาน เพ่อื ประณามแนวทางเช่นนัน้ นักบุญมทั ธวิ ดูจะยอมรบั ความถูกต้องตามธรรมบญั ญตั ิ
ของการใหค้ าสตั ยส์ าบานในสว่ นน้ี สว่ นเร่อื งความขดั แยง้ เลก็ น้อยระหว่างสุนทรพจน์น้ีกบั บทเทศน์สอน
บนภเู ขา ขอใหด้ ู ขอ้ คดิ ไตรต่ รอง ดา้ นลา่ ง

23:23-24 คอื วบิ ตั ปิ ระการท่สี ่ี “การนาเร่อื งรองมาเป็นเร่อื งหลกั ” (Against Majoring in Minor)
หนงั สอื ธรรมบญั ญตั กิ าหนดว่าจะตอ้ งนาหน่ึงในสบิ ของฝงู สตั ว์ ไมผ้ ล ธญั พชื น้ามนั และไวน์ทม่ี เี พมิ่ ขน้ึ
ไปถวายแด่พระเป็นเจ้าเพ่อื สนับสนุนปัจจยั ดารงชีวติ ของสมณะและคนเลวี (ลนต. 27:30, 32; ฉธบ. 12:17)
ขณะทเ่ี น้ือหาบางส่วนดูจะจากดั การเกบ็ ภาษจี ากพชื ผลการเกษตรใหอ้ ย่ใู นกลุ่มธญั พชื น้ามนั และไวน์
เท่านัน้ (ฉธบ. 12:17; 14:23 ดูเทยี บ พศด. 31:5) เพ่อื ใหแ้ น่ใจว่าตนเองปฏบิ ตั ติ ามธรรมบญั ญตั ขิ องพระเป็นเจ้า
ชาวฟารสิ หี กั ภาษี แมแ้ ต่ผกั สวนครวั ทใ่ี ชท้ าเครอ่ื งปรุงรส นักบญมทั ธวิ นาขอ้ ความจากเอกสารแหล่ง Q
น้ีมาเขียนใหม่เพ่ือให้ “ภาระหน้าท่ีซ่ึงมีความสาคัญ” (Weighty Obligations) ทัง้ สามสอดคล้องกับ
ภาระหน้าท่ซี ่ึงเป็นเร่อื งรองอกี สามประการ ความยุติธรรม ความเมตตากรุณา และความสตั ย์ซ่ือ คอื
“ขอ้ สรุปของธรรมบญั ญตั ”ิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั หน้าทค่ี วามรบั ผดิ ชอบทม่ี นุษยค์ นหน่ึงมตี ่อมนุษยค์ นอ่นื ๆ คา
ว่า “Faith” ในท่นี ้ีส่อื ถงึ ความสตั ย์ซ่อื หรอื “Faithfulness” หรอื “การทาภาระหน้าท่ขี องตนภายใต้พนั ธ
สญั ญา” คาแปลกประหลาดอย่างคาว่า “รน้ิ ” และคาว่า “อูฐ” “gnat”/“camel” (amlq / almg qalmA)/gamlA), ซ่งึ
นกั บุญมทั ธวิ นามาเขยี นใหมเ่ ป็นภาษากรกี อาจสะทอ้ นถงึ การเลน่ คาในภาษาอราเมอกิ เกย่ี วกบั สงิ่ มชี วี ติ
ทเ่ี ลก็ ทส่ี ุดและใหญ่ทส่ี ุดในประสบการณ์ทวั่ ไปของชวี ติ ทงั้ สองนัน้ เป็นสงิ่ มมี ลทนิ ในทางพธิ กี รรม (ลนต.
11:4, 41-44) การขจดั ตวั ร้นิ ในน้าท่จี ะนามาบรโิ ภคด่มื กินหรอื ประกอบอาหารนัน้ ส่อื ถึงการใส่ใจต่อการ
ปฏบิ ตั ธิ รรมบญั ญตั อิ ย่างถูกต้องของชาวฟารสิ ี นักบุญมทั ธวิ เองกใ็ ส่ใจกบั ความสาคญั ของบญั ญตั ขิ อ้ ท่ี
“เล็กน้อยท่ีสุด” (5:18-20) แต่นักบุญมทั ธวิ ได้วจิ ารณ์ว่าพวกเขาใส่ใจท่ีจะคดั กรองเอาการละเมดิ เล็กๆ
น้อยๆ ออก แตก่ ลบั ปล่อยใหค้ วามผดิ ใหญ่ๆ หลดุ ไปโดยไมส่ งั เกตเลย

23:25-26 คอื วบิ ตั ปิ ระการท่หี ้า เร่อื งสงิ่ ภายในและสง่ิ ภายนอก (Inner and Outer) แมว้ ่าจนิ ต-
ภาพในท่นี ้ีจะไม่ชดั เจน แต่ประเดน็ นัน้ ชดั เจนมาก คอื คาโต้แยง้ เร่อื งการใส่ใจกบั ภาพลกั ษณ์ภายนอก
มากกว่าความถูกต้องสุจรติ ภายใน (6:1-18) ชาวฟารสิ ใี นประวตั ศิ าสตร์กต็ ่อต้านความน่าซ่อื ใจคดเช่นน้ี
ดว้ ย นกั บุญมทั ธวิ นาภาพของชาวฟารสิ มี าเตอื นสมาชกิ และผนู้ าในครสิ ตจกั รของทา่ น อยา่ งทก่ี ล่าวไวใ้ น

505

15:1-20 ความบรสิ ุทธิน์ ัน้ เป็นเร่อื งภายในจิตใจ เร่มิ ต้นจากภายในและส่งผลกระทบต่อการกระทา
ภายนอก นักบุญมทั ธิวไม่ค่อยเห็นคุณค่าของการท่ีชาวฟารสิ ีใส่ใจกบั ความบรสิ ุทธิใ์ นเชิงพิธีกรรม
(Ritual Purity) แม้ว่าจะมีกล่าวอยู่ในพระคมั ภีร์ แต่ ว. 26 แสดงให้เห็นชัดเจนว่าท่านไม่ได้นา “ส่ิง
ภายใน” มาแทนท่ี “สง่ิ ภายนอก” เพราะความถูกตอ้ งสุจรติ (Integrity) ทแ่ี ทจ้ รงิ จาเป็นตอ้ งมที งั้ สองสงิ่

23:27-28 คือวิบัติประการท่ีหก “หลุมศพท่ีฟอกปูนขาว” (Whitewashed Tomb) มีบริการ
สาธารณชนหน่ึงท่เี ป็นการฟอกหลุมศพใหเ้ ป็นสขี าวเพ่อื ใหส้ งั เกตเหน็ ง่าย เน่ืองจากการสมั ผสั คนตาย
หรอื หลุมศพนนั้ ถอื ว่าไดร้ บั มลทนิ ตดิ มาดว้ ย แมจ้ ะโดยไม่ตงั้ ใจกต็ าม (กดว. 19:11-22) เร่อื งน้ีมคี วามสาคญั
เป็นพเิ ศษสาหรบั ผแู้ สวงบุญในช่วงฉลองปัสกา เพราะพวกเขาไม่คุน้ เคยกบั สถานทข่ี องคนทอ้ งถน่ิ และ
ถา้ บงั เอญิ ไปสมั ผสั กบั หลุมศพเขา้ กจ็ ะถูกหา้ มไม่ใหเ้ ขา้ รว่ มในงานเทศกาลทงั้ ทเ่ี ขาเดนิ ทางมาเยรซู าเลม็
เพ่อื จุดประสงคน์ ้ี นักบุญมทั ธวิ ฉวยเอาภาพลกั ษณ์ของหลุมศพเช่นนัน้ มาแสดงออกถงึ ความหน้าซ่อื ใจ
คด คอื ภายนอกโออ้ วดวา่ ดงี าม แตภ่ ายในทุจรติ เสอ่ื มทราม

23:29-36 คือวิบัติประการท่ีเจ็ด “ผู้ประหารบรรดาประกาศก” (Killer of Prophets) วิบัติข้อ
สุดทา้ ยน้ี นาจนิ ตภาพของหลุมศพมาขยายเพมิ่ ขน้ึ และปรบั ใหอ้ ่อนลงเพ่อื เป็นแนวคดิ บทสรุป คอื การท่ี
อสิ ราเอลปฏเิ สธบรรดาประกาศกทพ่ี ระเป็นเจา้ สง่ มา รวมถงึ นักบุญยอหน์ ผทู้ าพธิ ลี า้ ง พระเยซูเจา้ และ
ประกาศกชาวครสิ ต์ ชาวฟารสิ แี สดงออกว่าตนสานึกเสยี ใจถงึ บาปของบรรพบุรุษดว้ ยการสรา้ งอนุสรณ์
ให้บรรดาประกาศกในพระคมั ภีร์ และประกาศว่าถ้าพวกเขามชี วี ติ อยู่ในสมยั ของ “บดิ า” ท่ีเป็นผู้ฆ่า
ประกาศก พวกเขาจะไม่ยอมมสี ่วนร่วมในอาชญากรรมนัน้ ด้วยการใชป้ ระโยชน์จากความหมายสอง
ชนั้ ในศาสนายูดายของคาศพั ท์เก่ยี วกบั “บดิ า/บุตร” นักบุญมทั ธวิ ได้นาทงั้ ถ้อยคาและการปฏบิ ตั ิของ
พวกเขามาใช้โจมตคี นเหล่าน้ี การกล่าวถงึ คนรุ่นหลงั ว่าเป็น “บดิ า” หมายความว่าพวกเขายอมรบั ว่า
ตนเองเป็น “บุตร” ของผู้ท่ปี ระหารประกาศก ความหมายของคาว่า “บุตร” สาหรบั ชาวยวิ ไม่ได้ส่อื ถึง
ความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่หมายถึงการอยู่ในกลุ่มหรือหมวดหมู่เดียวกัน (ดู เทียบ อมส. 7:14)
เช่นเดยี วกบั การทบ่ี ทบุญลาภ(ความสุขแทจ้ รงิ ) 8 ประการมาถงึ จุดสงู สุดตอนท่บี อกว่าบรรดาศษิ ยข์ องพระ
เยซเู จา้ จดั อย่ใู นกลมุ่ ของประกาศกทถ่ี กู เบยี ดเบยี นขม่ เหง (5:11-12) วบิ ตั ใิ นทน่ี ้กี ม็ าถงึ จุดสงู สดุ ในเรอ่ื งของ
กลมุ่ ผทู้ ส่ี งั หารประกาศก

23:32 เน้ือหาสว่ นน้ีเป็น “คาสงั่ ” ทถ่ี ากถางและมลี กั ษณะคลา้ ยคาสงั่ ของประกาศกในพระคมั ภรี ์
(อสย. 8-9; ยรม. 7:21; อมส. 4:4; นฮม. 3:14-15) เป็นการเขยี นแบบมองยอ้ นกลบั ไปยงั เหตุการณ์จรงิ ทผ่ี นู้ าศาสนา
ยดู ายเบยี ดเบยี นชาวครสิ ตใ์ นชนสองรุ่นต่อมาหลงั การสน้ิ พระชนมข์ องพระเยซเู จา้

23:33 เป็นวรรคท่เี ช่อื มโยงคาพยากรณ์เชงิ ประณามของพระเยซูเจา้ กบั ของนักบุญยอห์น (3:7)
และกบั คาประกาศเกย่ี วกบั คาพพิ ากษาโลกทต่ี ามหลงั มา

คาว่า “Gehenna” เป็นรูปภาษากรกี ของคาว่า “Ge-Hinnom” หรอื “หุบเขาแห่งฮนิ นอม” (24:4-
25:46) ซง่ึ เป็นหุบเหวทต่ี ดิ อย่กู บั ทางใตข้ องเยรูซาเลม็ เน่ืองจากเป็นสถานทส่ี าหรบั บูชารปู เคารพในสมยั
กษตั รยิ แ์ ห่งแควน้ ยเู ดยี (2 พกษ. 23:10; 2 พศด. 23:8; ยรม. 7:31) จงึ กลายเป็นทท่ี ้งิ ขยะทม่ี ไี ฟเผาอย่างไม่มวี นั
ดบั ในศตวรรษแรกของครสิ ตศกั ราช และถูกใช้ในทางเปรยี บเทียบโดยเป็นจนิ ตภาพของการตัดสิน
พพิ ากษาโทษอยา่ งรนุ แรงของพระเป็นเจา้

506

23:34-36 วบิ ตั ิต่างๆ ท่ีต่อเน่ืองกนั ในเอกสารแหล่ง Q เป็นคาพยากรณ์ท่ีตรสั จากพระปรชี า
ญาณของพระเป็นเจา้ ทอ่ี ย่เู หนือโลกน้ี โดยแสดงภาพของผสู้ ่งสารของปรชี าญาณทถ่ี ูกปฏเิ สธจากคนรุ่น
ต่างๆ และมจี ุดสูงสุดอยู่ท่คี นยุคน้ีซ่งึ ปฏเิ สธนักบุญยอห์น ผูท้ าพธิ ลี ้าง พระเยซูเจา้ และประกาศกชาว
ครสิ ต์ (เทยี บ ลก 11:49-51) ซง่ึ มกี ารแสดงภาพในเอกสารแหล่ง Q ว่าเป็นผถู้ อื สารแห่งปรชี าญาณทอ่ี ยเู่ หนือ
โลกน้ี (Transcendent Wisdom) แต่นกั บุญมทั ธวิ บ่งชว้ี ่าพระเยซูเจา้ ทรงเป็นปรชี าญาณของพระเป็นเจา้
ดงั นนั้ คาพยากรณ์จงึ ถูกนามาใสไ่ วใ้ นคาพดู ของพระองค์ พระเยซูเจา้ ทอ่ี ยใู่ นบทบรรยายเร่อื งทรงเป็นผทู้ ่ี
เราสามารถมองผ่านไปเหน็ องคพ์ ระเป็นเจา้ สงู สุดได้ และเป็นสง่ิ เดยี วกนั กบั ปรชี าญาณทอ่ี ย่เู หนือโลกน้ี
ซ่ึงเคยส่งประกาศกหลายคนมาแล้วในอดตี รวมทงั้ ประกาศกชาวครสิ ต์ นักปราชญ์ และธรรมาจารย์
นามาส่คู นยุคน้ี (ผนู้ าชุมชนชาวครสิ ต์ในสมยั นักบุญมทั ธวิ ดูบทนา) นกั บุญมทั ธวิ รจู้ ากประสบการณ์ว่าพวกท่านถูก
ปฏิเสธและบางคนก็ถูกฆ่าด้วย ท่านมองเห็นความผดิ ของคนทุกรุ่นรวมกนั ใน “คนยุคชวั่ ร้าย” (Evil
Generation) น้ี (เทยี บ 11:16; 12:39, 41:42, 45; 17:17; เรอ่ื ง “การตรงึ กางเขน” ใหด้ ู 10:38) นกั บุญมทั ธวิ เขา้ ใจว่าชุมชน
ของท่านเป็นของผูช้ อบธรรมท่ถี ูกเบยี ดเบยี นข่มเหงตลอดมา นับตงั้ แต่อาเบล ผู้เป็นเหย่อื คนแรก (นัก
บุญมทั ธวิ เตมิ คาวา่ “ชอบธรรม” ลงในเน้ือหาจากเอกสารแหล่ง Q ดูเทยี บกบั ลก. 11: 50) ไปจนถงึ เศคารยิ าห์ ผเู้ ป็นมรณสกั ขี
สุดท้ายในพระคมั ภรี ์พนั ธสญั ญาเดมิ “คนยุคน้ี” เป็นสานวนท่ีนักบุญมทั ธวิ มกั ใชบ้ ่อยๆ โดยรบั มาจาก
เอกสารแหล่ง Q (ดู 11:16, 12:41-42; 24:34) การประกาศตดั สนิ โทษเป็นการกล่าวกบั คนยุคท่ีร่วมสมยั กบั
นักบุญยอห์น ผู้ทาพธิ ลี ้างและพระเยซูเจ้า ไม่ได้กล่าวกบั ชาวยวิ เช่นนัน้ ถ้อยคาท่วี ่า “เลอื ด (ความผดิ )
ทงั้ หมดทหี่ ลงั่ ออกมาเพราะคนยุคน้ี” คอื คาพดู สุดทา้ ยของพระเยซูเจา้ ทฝ่ี งู ชนจะไดย้ นิ (เทยี บ 23:1) ก่อนท่ี
พระเยซูเจ้าจะจากไปพรอ้ มกบั บรรดาศษิ ยข์ องพระองค์ (24:1) ดงั นนั้ มนั จงึ เป็นช่วงเวลาแห่งการตดั สนิ ใจ
สาหรบั พวกเขาว่าจะเลอื กเป็นคนของพระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ ซง่ึ พระเยซูเจา้ ทรงประกาศและใชช้ วี ติ
เป็นตวั อย่างใหเ้ หน็ หรอื จะอย่กู บั อาณาจกั รของผทู้ ต่ี ่อตา้ นพระองคท์ ม่ี ตี วั แทนเป็นคนทป่ี ระหารบรรดา
ประกาศก ครงั้ ต่อไปทฝ่ี งู ชนปรากฎตวั คอื ตอนทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงถูกจบั กุม (26:55) คาพูดต่อมาของพวก
เขากค็ อื การยอมเป็นผูร้ บั ผดิ ชอบความตายของพระเยซูเจา้ โดยใชถ้ ้อยคาท่ลี อกเลยี นคาประกาศของ
พระองค์ในท่นี ้ี ซ่ึงเหมอื นเป็นการบอกล่วงหน้าถึงสงิ่ ท่จี ะเกดิ ข้นึ (27:25) การท่ีนักบุญมทั ธวิ นาถ้อยคา
เหล่าน้ีมาใสไ่ วใ้ นตาแหน่งน้ีในฐานะคาพยากรณ์ของพระเยซูเจา้ แสดงใหเ้ หน็ วา่ พระเยซูเจา้ ทก่ี าลงั เดนิ
ไปสู่กางเขนเป็นบุคคลเดยี วกบั พระเป็นเจา้ ผู้ทรงอยู่สูงเหนือจากโลกน้ี พระองค์ไม่ได้เป็นเหย่อื ท่ถี ูก
กระทาโดยไม่เตม็ ใจแตพ่ ระองคค์ อื ผคู้ วบคุมสถานการณ์ทงั้ หมด

มทั ธวิ 23:37-39 การคร่าครวญ

37 “เยรูซาเลม็ เอ๋ย เยรูซาเลม็ เจา้ ฆ่าประกาศก16 เอาหนิ ทุ่มผู้ท่พี ระเจา้ ทรงส่งมาพบเจา้ ก่คี รงั้ ก่หี น17 แล้วท่เี ราอยาก
รวบรวมบุตรของท่านเหมอื นดงั แมไ่ ก่รวบรวมลกู ไวใ้ ตป้ ีก แต่ท่านไม่ตอ้ งการ 38 บดั น้ี บา้ นของท่านทงั้ หลายจะตอ้ งถูก
ทง้ิ รา้ ง 39 “เราบอกทา่ นวา่ ท่านจะไมเ่ หน็ เราอกี จนถงึ เวลาทท่ี า่ นจะกลา่ ววา่

ขอถวายพระพรแด่ผทู้ ีม่ าในพระนามขององคพ์ ระผเู้ ป็นเจ้า”

507

ข้อศึกษาวิพากษ์
นกั บุญมทั ธวิ ไดเ้ ปลย่ี นตาแหน่งของถ้อยคาเหล่าน้ี (เทยี บกบั ลก 13:34-35) ซง่ึ มกี ารกล่าวไวใ้ นส่วน

บทบรรยายเร่อื งก่อนหน้าน้ี นานก่อนท่ีพระเยซูเจ้าจะเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม เพ่ือให้เป็นพระวาจา
สดุ ทา้ ยของพระเยซเู จา้ ในเยรซู าเลม็ และในพระวหิ าร กอ่ นทพ่ี ระองคจ์ ะจากไปเป็นครงั้ สดุ ทา้ ย (24:1) และ
กลบั เขา้ มาในเมอื งอกี ครงั้ เพอ่ื การถูกจบั กุมและตรงึ กางเขน ในช่วงน้ียงั คงเป็นความต่อเน่ืองของแนวคดิ
เรอ่ื งการสงั หารประกาศก แต่มรี ปู แบบทแ่ี ตกต่างไป คอื เป็นบทคร่าครวญ คาประกาศถงึ วบิ ตั กิ ่อนหน้าน้ี
ดเู ผนิ ๆเหมอื นการพดู กบั ธรรมาจารยแ์ ละชาวฟารสิ ี แต่แทจ้ รงิ ทาหน้าทเ่ี ป็นคาพูดทา้ ทายแบบประกาศ
เพอ่ื ใหฝ้ งู ชนและบรรดาศษิ ย์ (23:1 และผอู้ า่ นดว้ ย) ไมเ่ ป็นสว่ นหน่ึงของ “คนยคุ ชวั ่ รา้ ย” น้ี สว่ นคาพดู เชอ้ื เชญิ
ซง่ึ คลา้ ยกบั จะพดู กบั กรุงเยรซู าเลม็ แต่แทจ้ รงิ แลว้ เป็นคาเชอ้ื เชญิ ฝงู ชนและบรรดาศษิ ย์ (และผอู้ ่าน) ยงั คง
เป็นการแสดงภาพของพระเยซูเจ้าในฐานพระปรชี าญาณท่อี ยู่เหนือโลกน้ี ทท่ี รงเสยี พระทยั ท่ผี ูส้ ่งสาร
ของพระองค์ถูกปฏเิ สธ ดงั นัน้ คาว่า “อกี ก่คี รงั้ ” ในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ จงึ ไม่ไดส้ ่อื ถงึ เหตุการณ์ครงั้
ก่อนๆท่พี ระเยซูเจ้าทรงอยู่ในเยรูซาเล็ม เพราะน่ีเป็นการเดนิ ทางไปเยรูซาเลม็ ครงั้ แรกและเพยี งครงั้
เดยี วเทา่ นนั้ ของพระองค์ แต่สอ่ื ถงึ เสยี งรอ้ งซ้าๆ ของพระปรชี าญาณเหนือโลกทก่ี ลา่ วกบั กรุงเยรซู าเลม็ /
ชนชาตอิ สิ ราเอลตลอดประวตั ศิ าสตรท์ ผ่ี า่ นมา

ใน 23:38 คาว่าบา้ น “ของเจา้ ” สอดคลอ้ งกบั คาวา่ พระวหิ าร “ของพวกเขา” (23:38 เทยี บ 4:23; 10:17)
นักบุญมทั ธวิ เตมิ คาว่า “ทที่ ้งิ รา้ ง” (Desolation) เพ่อื มองยอ้ นกลบั ไปถงึ เหตุการณ์ทาลายพระวหิ ารใน
ศตวรรษท่ี 70 และเพ่อื เป็นการทานายล่วงหน้าของพระวาจาพระเยซูเจ้าใน 24:2, 15 สาหรบั นักบุญ
มทั ธวิ และชุมชนของท่าน ถ้อยคาทก่ี ล่าวตามหลงั การพยากรณ์อย่างเปิดเผยเกย่ี วกบั การพงั ทลายของ
พระวหิ ารเป็นการปกป้องความเช่อื ของชาวครสิ ต์ และอธบิ ายว่าการทาลายพระวหิ ารเป็นส่วนหน่ึงของ
แผนการของพระเป็นเจ้าอยู่แล้ว โดยเป็นการลงโทษสาหรบั บาปของผู้ท่ปี ฏเิ สธบรรดาประกาศก ซ่ึง
รวมถงึ พระเยซูเจา้ และประกาศกชาวครสิ ต์ ซ่งึ เป็นประกาศกยุคสุดทา้ ย (ดู เทยี บ ประกาศกเยเรมหี ์ ซ่งึ มกี ารยก

ขอ้ ความมาอา้ งองิ และกลา่ วถงึ อยา่ งเปิดเผยในพระวรสารของมทั ธวิ เทา่ นนั้ [2:17; 16:14; 27:9])

23:39 เป็นคาสรรเสรญิ จากสดุดี 118:26 ท่ฝี งู ชนกลุ่มเดยี วกนั น้ีเคยโห่ร้องตอนท่พี ระเยซูเจ้า
เสดจ็ เขา้ ส่กู รุงเยรูซาเลม็ อย่าง “ผมู้ ชี ยั ชนะ” (ดู มธ 21:9) จงึ ไม่อาจใชส้ ่อื ถงึ เหตุการณ์นัน้ เหมอื นในพระวร
สารนกั บุญลกู า ซง่ึ มขี อ้ ความดงั กลา่ วปรากฎก่อนหน้าน้นี านแลว้ (13:35) พระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ น่าจะใช้
คาน้ีสอ่ื ถงึ การเสดจ็ กลบั มาครงั้ ทส่ี องของพระเยซูครสิ ต์ (parousia) ตามทบ่ี รบิ ทบ่งช้ี ขณะน้ีฝงู ชนซง่ึ เป็น
ตวั แทนของกรุงเยรซู าเลม็ /ชนชาตอิ สิ ราเอลไดเ้ ลอื กบาราบสั แทนทจ่ี ะเลอื กพระเยซูเจา้ แลว้ รอ้ งตะโกน
วา่ “เอาไปตรงึ กางเขน” (27:22) แต่ในทา้ ยทส่ี ดุ พวกเขาจะรอ้ งตะโกนวา่ “ขอถวายพระพรแด่ผทู้ เี่ สดจ็ มาใน
พระนามของพระเป็นเจา้ ”

508


Click to View FlipBook Version