The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การสำรวจการทำแผนที่ด้วยอากาศยานไร้คนขับ สำนักวิศวกรรมการผังเมือง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2022-06-25 12:15:58

การสำรวจการทำแผนที่ด้วยอากาศยานไร้คนขับ สำนักวิศวกรรมการผังเมือง

การสำรวจการทำแผนที่ด้วยอากาศยานไร้คนขับ สำนักวิศวกรรมการผังเมือง

คำนำ

ปจั จุบนั เทคโนโลยีดา้ นการสารวจและจัดทาแผนท่ี ไดม้ ีการพัฒนาและปรับรูปแบบการสารวจ
ที่แตกต่างไปจากการสารวจในอดีตมาก ท้ังการสารวจรังวัดด้วยเทคโนโลยีการระบุค่าพิกัดด้วยดาวเทียม GNSS
และการสารวจด้วยภาพถ่ายทางอากาศ (Arial Photogrammetry) โดยเฉพาะการสารวจด้วยภาพถ่าย
จากอากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle : UAV) ซึ่งเป็นผลมาจากการผลิตโดรน (Drone)
หรืออากาศยานไร้คนขับ ให้มีขนาดกะทัดรัดในราคาไม่สูงนัก แต่มีประสิทธิภาพด้านการถ่ายภาพ
กรมโยธาธิการและผงั เมอื ง จึงมีแนวคิดในการนา UAV มาประยุกต์ใช้ในการสารวจและจดั ทาแผนที่ภาพถา่ ย
ทางอากาศเพือ่ สนบั สนนุ การดาเนนิ งานตามภารกจิ ทาให้สามารถประหยัดเวลาและงบประมาณ อีกทั้งขอ้ มลู ทไ่ี ด้
เป็นข้อมลู ท่ีทนั สมัย นอกจากนก้ี ระบวนการประมวลผลภาพยังให้ผลลัพธท์ ่มี ีคณุ ภาพสงู สามารถนาไปตอ่ ยอด
ในการจดั ทาข้อมลู แผนทร่ี ายละเอียดสงู ในระบบสารสนเทศภมู ิศาสตร์ (Geographic Information System : GIS)
ไดเ้ ป็นอย่างดี

กรมโยธาธิการและผงั เมือง จงึ มอบหมายใหส้ านักวศิ วกรรมการผังเมืองดาเนนิ การตามแผนการ
จัดการความรู้ กรมโยธาธกิ ารและผงั เมอื ง (DPT KM Action Plan) ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ภารกิจ
ดา้ นการผังเมอื ง จดั ทาองค์ความรูเ้ ร่ือง การสารวจและจัดทาแผนท่ภี าพถา่ ยทางอากาศดว้ ยอากาศยานไร้คนขบั
ซึง่ ประกอบดว้ ยแนวคดิ พนื้ ฐาน การวางแผน การสารวจและการประมวลผลโดยกาหนดกระบวนการในการสารวจ
และแนวทางการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับงานด้านการสารวจ รวมทั้งการจัดทาแผนท่ีภาพถ่ายทางอากาศ
เพือ่ สนบั สนุนหน่วยงานภายในกรมโยธาธิการและผงั เมอื ง อกี ทัง้ ยังไดศ้ กึ ษาข้อกาหนดและเกณฑ์ความถูกต้อง
ของมาตรฐานงานสารวจและจัดทาแผนทีด่ ้วยภาพถ่ายทางอากาศตามมาตรฐานของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย
(วศท.) และมาตรฐานของ American Society for Photogrammetry and Remote Sensing (ASPRS)
เพื่อพฒั นางานสารวจและจัดทาแผนทดี่ งั กลา่ วให้เปน็ มาตรฐานสากล

กรมโยธาธกิ ารและผงั เมือง หวังเปน็ อยา่ งยิง่ ว่าองค์ความรูฉ้ บับนี้ จะเปน็ ประโยชน์ต่อการปฏบิ ตั ิงาน
ของหน่วยงานทเี่ ก่ยี วข้องทง้ั ในส่วนกลาง สว่ นภมู ิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตอ่ ไป

(นายพรพจน์ เพญ็ พาส)
อธบิ ดกี รมโยธาธิการและผงั เมอื ง

DPT KM ACTION PLAN



สารบญั หนา้

สารบัญ I
สารบญั ตาราง
สารบญั รูป III
บทท่ี 1. แนวคดิ พื้นฐานของการสารวจด้วยภาพถ่าย
IV
1.1 วิวฒั นาการของการสารวจดว้ ยภาพถ่าย
1.2 ประเภทของการรงั วดั ดว้ ยภาพถา่ ย (Type of Photogrammetry) 1
1.3 ลักษณะของงานในการสารวจรงั วดั ดว้ ยภาพถา่ ย 18
1.4 ประเภทของอากาศยานไร้คนขบั สาหรับงานสารวจดว้ ยภาพถ่าย 19
1.5 สว่ นประกอบของอากาศยานไร้คนขับสาหรบั งานสารวจดว้ ยภาพถา่ ย 24
1.6 การแบ่งประเภทกลอ้ งดจิ ทิ ลั และความถกู ต้องเชิงตาแหน่งพิกัดจดุ ถ่ายภาพ 28
29
บทที่ 2. โครงข่ายสามเหลย่ี มทางอากาศ
31
2.1 จดุ ควบคมุ ภาพถ่าย 40
2.2 วธิ ีการระบคุ ่าการจดั วางภายนอก 41
2.3 การคานวณโครงข่ายสามเหล่ยี มแบบลาแสงเปน็ บล็อค
44
บทท่ี 3. การวางแผนการบินและการถา่ ยภาพด้วยอากาศยานไรค้ นขบั 46
46
3.1 ความสงู บนิ 47
3.2 GSD 47
3.3 สว่ นซอ้ นและสว่ นเกย 48
3.4 รปู แบบการบนิ 49
3.5 การถ่ายภาพ 51
3.6 การตั้งค่าการถา่ ยภาพ 52
3.7 คณุ ภาพของภาพถ่าย 53
3.8 จดุ ควบคุมภาพถา่ ย GCP
3.9 การสรา้ งจุดควบคมุ ภาพถา่ ย
3.10 ตาแหนง่ และการกระจายตัวของจดุ ควบคุมภาพถ่าย

DPT KM ACTION PLAN I

สารบัญ (ต่อ)

หนา้

บทที่ 4. การประมวลผลภาพถา่ ย

4.1 การจับคู่ภาพเพ่อื สรา้ ง Tie Points 58

4.2 การโยงยดึ คา่ พกิ ดั ด้วยจดุ ควบคุมภาพถา่ ย 58

4.3 การสรา้ งพอยต์คลาวด์ 59

4.4 การสรา้ ง Mesh Model 60

4.5 การสรา้ ง True Orthophoto 60

4.6 แนวทางแก้ไขการประมวลผลภาพถา่ ยไม่ผ่านเกณฑท์ ีก่ าหนด 60

บทที่ 5. การตรวจสอบความถูกตอ้ งและมาตรฐานที่เกย่ี วขอ้ งกบั งานสารวจและแผนท่ี

5.1 การตรวจสอบจากกระบวนการสารวจ 62

5.2 การตรวจสอบจากจุดตรวจสอบ 62

5.3 คุณภาพพอยตค์ ลาวด์ 62

5.4 คณุ ภาพของภาพออรโ์ ธจรงิ True Orthophoto 62

5.5 มาตรฐานทเ่ี ก่ียวข้องกับงานสารวจและแผนที่ 64

บทที่ 6. การประยกุ ต์ใช้การรงั วดั ดว้ ยภาพถา่ ย

6.1 การใชแ้ ผนทีภ่ าพถ่ายทางอากาศ 76

6.2 พอยต์คลาวด์ (Point Cloud) 78

6.3 การใช้แบบจาลองพน้ื ผิวสามมิติ 81

6.4 การประยกุ ต์ใชก้ ับงานอาคารและส่ิงปลูกสรา้ ง 85

เอกสารอา้ งองิ 87

ภาคผนวก 88

- กฎหมายทเี่ ก่ยี วข้อง 89

- ข้ันตอนการขออนญุ าต 99

- ตวั อยา่ งแบบฟอรม์ การขน้ึ ทะเบียนอากาศยานไร้คนขับ 102

DPT KM ACTION PLAN II

สารบญั ตาราง หนา้
28
ตารางที่ 30
36
1-1 ความแตกต่างกนั ในรปู ลักษณแ์ ละความเหมาะสมในการเลอื กใช้อากาศยานไร้คนขับ 58
1-2 แสดงการแบ่งประเภทของกล้องถ่ายภาพ 59
2-1 รายละเอยี ดเทคนคิ วธิ กี ารรังวัดหาคา่ พกิ ัดดว้ ยระบบดาวเทยี มนาหนพิภพ (GNSS) 59
4-1 เกณฑ์การตรวจสอบผลการประมวลผลขน้ั ตอนการจับคภู่ าพเพือ่ สรา้ ง Tie points 59
4-2 การกาหนดคา่ พารามเิ ตอร์ในขัน้ ตอนการโยงยดึ คา่ พกิ ดั ด้วยจดุ ควบคมุ ภาพถา่ ย 60
4-3 เกณฑ์การตรวจสอบผลการประมวลผลข้นั ตอนการโยงยึดค่าพิกดั ด้วยจดุ ควบคุมภาพถา่ ย 60
4-4 ตารางการกาหนดค่าพารามเิ ตอรใ์ นขนั้ ตอนการสรา้ งพอยต์คลาวด์ 61
4-5 ตารางการกาหนดคา่ พารามเิ ตอร์ในขั้นตอนการสรา้ ง Mesh Model 65
4-6 การกาหนดค่าพารามเิ ตอรใ์ นขน้ั ตอนการสรา้ ง True Orthophoto
4-7 แสดงแนวทางการแกไ้ ขเม่ือประมวลผลไมผ่ ่านเกณฑท์ กี่ าหนด 66
5-1 ค่าความถูกต้องเชิงตาแหนง่ ทางราบของวัตถบุ นแผนทเี่ ทยี บกบั ตาแหนง่ บนภาคพืน้ ดนิ
67
ทมี่ าตราสว่ นแผนทร่ี ะดับต่างๆ 68
5-2 ค่าความถูกต้องเชิงตาแหนง่ ทางดิ่งของวัตถบุ นแผนทเี่ ทยี บกบั ตาแหน่งบนภาคพื้นดนิ 69
70
ท่ีมาตราส่วนแผนทรี่ ะดบั ตา่ งๆ
5-3 คา่ มาตรฐานความถกู ต้องทางราบสาหรบั ขอ้ มลู แผนทเ่ี ชิงเลข
5-4 คา่ มาตรฐานความถูกตอ้ งทางดิ่งสาหรบั ข้อมลู แผนท่เี ชงิ เลข
5-5 ค่าชนั้ ความถูกตอ้ งทางราบสาหรบั งานแผนทีภ่ าพถา่ ย
5-6 ตวั อยา่ งคา่ ความถกู ตอ้ งสาหรบั ข้อมูลแผนท่ภี าพถ่าย

DPT KM ACTION PLAN III

สารบญั รปู หนา้

รูปท่ี 2
3
1-1 การแบ่งยกุ ต์ของการสารวจดว้ ยภาพถ่าย 4
1-2 การวาดภาพด้วยทาบเงาโดยจติ รกรในอดีต 4
1-3(ก) หลยุ ส์ ดาแกร์ 4
1-3(ข) กล้องถา่ ยรูปท่คี ดิ คน้ โดย หลยุ ส์ ดาแกร์ 5
1-3(ค) กระบวนการถา่ ยภาพของ หลุย ดาแกร์ 5
1-4(ก) โฌแซฟ็ นีเซฟอร์ เนียปส์ 5
1-4(ข) ภาพถา่ ยภาพใบแรกของโลกถูกถ่ายโดย โฌแซฟ็ นเี ซฟอร์ เนยี ปส์ 5
1-5(ก) โดมินคิ ฟรานซิส ยีน อะราโก 6
1-5(ข) พันเอกเอม็ เม โลส-ดาท์ 6
1-6(ก) แกสปาร์ด เฟลิกซ์ ทวั รน์ าโซน์ 6
1-6(ข) นาด้ารข์ ณะอยู่บนบอลลนู เพอื่ ถ่าย 7
1-6(ค) ภาพถ่ายทางอากาศเมอื งปารีสในปี ค.ศ. 1860 7
1-7(ก) รอ้ ยเอกดวี ลิ ด์ 7
1-7(ข) กล้องถา่ ยภาพสาหรบั ทาแผนท่ี 8
1-7(ค) ถ่ายภาพเพอื่ สารวจภูมปิ ระเทศ 9
1-7(ง) ภาพถ่ายที่ไดส้ าหรับใช้ในภารกจิ ดา้ นการสารวจรงั วัด 9
1-8(ก) กลอ้ งถา่ ยภาพทางอากาศติดอกนกพริ าบ (Breast-mount Aerial Camera) 10
1-8(ข) ภาพถ่ายขนาด 70 mm ซ่งึ กล้องดงั กล่าวได้ถกู ออกแบบไวใ้ ห้ถา่ ยทกุ ๆ 30 วนิ าที 10
1-9(ก) พนี่ ้องตระกลู ไรท์ (Wright brothers) 11
1-9(ข) ในปี ค.ศ. 1909 ได้มกี ารบนิ ถา่ ยภาพครงั้ แรกทก่ี รุงโรม 11
1-10 เครือ่ ง Stereo Comparator ในยุค Analogue Photogrammetry 13
1-11 ภาพถา่ ยทางอากาศทแ่ี สดงพื้นทส่ี นามรบสงครามโลกครงั้ ที่ 1
1-12 ภาพถา่ ยทางอากาศสถานีปลอ่ ยจรวด V2 ท่ีเมือง Peenemunde ประเทศเยอรมนี 14

ในยคุ สงครามโลกครัง้ ที่ 2
1-13 เคร่ือง Ziess Planicomp P3 ซงึ่ เป็นเครื่อง Stereo Plotter ในยุค Analytical

Photogrammetry

DPT KM ACTION PLAN IV

สารบัญรูป (ตอ่ ) หนา้
15
รูปท่ี 16

1-14 เครือ่ ง Stereo Plotter ในยคุ Digital Photogrammetry 17
1-15 การผสมผสานเทคโนโลยี GPS และ IMU และกล้อง Leica ADS40 17
17
เขา้ ไวด้ ้วยกนั เพื่อใชใ้ นการบนิ ถา่ ยภาพดิจิทลั 17
1-16(ก) อากาศยานไร้คนขบั รุน่ MAVIC 2 Pro 19
1-16(ข) อากาศยานไรค้ นขบั รุ่น MAVIC 2 Pro 20
1-16(ค) เครือ่ งรบั สญั ญาณดาวเทยี ม GNSS 21
1-16(ง) ใช้ซอฟแวร์ Pix4D ในการประมาลผลภาพเพือ่ ให้ผลลพั ธเ์ ป็นแผนทีภ่ าพถ่ายออรโ์ ธ
1-17 การเกบ็ บนั ทกึ ข้อมลู ค่าพกิ ดั ฉากสามมิติ (X, Y, Z) 21
1-18 ตัวอยา่ งกลุม่ จดุ พกิ ดั สามมติ ิ (Point Cloud) 22
1-19 ตัวอย่างของข้อมลู ราสเตอรท์ ี่เกบ็ ความสงู ของลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ 23
25
DSM และ DEM หรอื DTM 26
1-20 ความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง DSM ซง่ึ มกี ารหกั ลบความสงู เพ่ือผลติ DEM และ DTM 27
1-21 แผนทภี่ าพถา่ ยออรโ์ ธ (Ortho photo Map) 27
1-22 แผนทีล่ ายเสน้ (Line Map) 32
1-23 อากาศยานไรค้ นขบั ชนิดปีกตรึง (Fixed Wing) 33
1-24 อากาศยานไรค้ นขบั ชนิดปกี หมุน (Multirotor) 34
1-25 อากาศยานไร้คนขบั ชนดิ ปีกหมนุ เดยี่ ว (Single-Rotor Helicopter) 35
1-26 อากาศยานไร้คนขบั ชนดิ ปกี ตรงึ ขนึ้ ลงแนวด่ิง (Fixed-Wing Hybrid)
2-1 ตวั อย่างการวางจดุ ควบคมุ ภาพถ่าย 37
2-2 เครอ่ื งรับสัญญาณดาวเทยี ม GNSS แบบมือถือ (Handheld GNSS) 38
2-3 เครื่องรบั สัญญาณ GNSS แบบความถ่ีเดยี ว (Single Frequency Receiver) 39
2-4 เคร่อื งรับสัญญาณ GNSS แบบสองความถแี่ ละหลายระบบดาวเทียมนาหน

(Dual-Frequency Receiver and Multi-GNSS Receiver)
2-5 การรังวัดแบบสถติ (Static Survey)
2-6 การรงั วัดแบบจลน์ (Kinematic Survey)
2-7 การรังวดั แบบจลนท์ ันทีทันใด (Real-time Kinematic Survey: RTK)

DPT KM ACTION PLAN V

สารบัญรปู (ตอ่ ) หนา้

รปู ท่ี 40
42
2-8 ตวั อยา่ งคา่ การจัดวางภายนอกของภาพถา่ ย 43
2-9 แสดงการเชือ่ มโยงจดุ ผ่านและจุดโยงยึด
2-10 แสดงตาแหนง่ การกระจายตัวที่เหมาะสมสาหรบั กระบวนการคานวณปรบั แก้ 46
47
โครงขา่ ยสามเหล่ียมทางอากาศ 48
3-1 ตัวอย่างการซ้อนกนั ของภาพถ่าย 49
3-2 รูปแบบการบินแบบทว่ั ไป และรูปแบบการบินแบบดับเบล้ิ กรดิ 50
3-3 ภาพเปรยี บเทยี บผลจากความเร็วชตั เตอรท์ ี่ตา่ งกนั 51
3-4 แสดงตัวอยา่ งสดั สว่ นของภาพถา่ ย 51
3-5 ภาพเปรียบเทียบสญั ญาณรบกวนภาพ (noise) จากการต้งั ค่า ISO สงู 52
3-6 ภาพเปรียบเทียบการปรับคา่ สมดุลแสงขาว (White balance) ท่ีแตกต่างกัน 53
3-7 แสดงตัวอยา่ งการวางจุดควบคุมภาพถ่ายทางอากาศ 54
3-8 แสดงรูปรา่ งจดุ ควบคุมภาพถา่ ยรปู กากบาทและรปู วงกลม 54
3-9 แสดงตวั อยา่ งสแี ละรปู รา่ งของผ้าใบในการทาจดุ ควบคมุ ภาพถา่ ย 55
3-10 ตัวอย่างการกระจายตัวของจดุ GCP ของกล้องชนดิ Consumer Grade แบบที่ 1 55
3-11 ตัวอย่างการกระจายตัวของจุด GCP ของกล้องชนดิ Consumer Grade แบบท่ี 2 56
3-12 ตัวอย่างการกระจายตัวของจุด GCP ของกล้องชนิด Consumer Grade แบบท่ี 3 56
3-13 ตัวอยา่ งการกระจายตวั ของจดุ GCP ของกลอ้ งชนิด Professional Grade แบบท่ี 1 57
3-14 ตัวอยา่ งการกระจายตัวของจดุ GCP ของกล้องชนดิ Professional Grade แบบท่ี 2 63
3-15 ตัวอย่างการกระจายตัวของจุด GCP ของกล้องชนิด Professional Grade แบบที่ 3 63
3-16 ตวั อยา่ งการกระจายตัวของจดุ GCP ของกลอ้ งชนิด Survey Grade แบบที่ 1 64
5-1 ภาพตัวอยา่ ง Orthophoto ท่มี ีความผดิ เพีย้ น 72
5-2 ภาพตัวอย่างเปรียบเทียบ Orthophoto กบั True Orthophoto 73
5-3 ภาพตัวอยา่ ง Orthophoto ปรบั คณุ ภาพของสีและความสว่าง 73
6-1(ก) DJI Mavic 2 Pro
6-1(ข) เครื่องรงั วัดพกิ ดั ด้วยการรงั วดั ดว้ ยระบบดาวเทยี มนาหนพิภพ (GNSS)
6-1(ค) โปรแกรม Pix4Dcpture

DPT KM ACTION PLAN VI

สารบญั รูป (ต่อ)

รูปท่ี หนา้

6-1(ง) Photoscan Pix4Dmapper 74

6-2 FLOW CHART การสารวจทาแผนทภ่ี าพถ่ายทางอากาศ 75

ดว้ ยอากาศยานไรค้ นขบั (UAV)

6-3 ตัวอย่างงานปกั แนวถนนโครงการคมนาคมสาย ค10 จงั หวัดสระบุรี 77

6-4 ตวั อย่างงานจดั รปู ที่ดินจงั หวดั อตุ รดิตถ์ 78

6-5 พอยตค์ ลาวดง์ านสารวจเพ่ือจัดรปู ท่ีดินนครสวรรค์ 78

6-6 พอยต์คลาวดง์ านสารวจเพอ่ื จดั รปู ทีด่ ินนครสวรรค์ จาแนกเฉพาะพน้ื ผวิ ดนิ 79

6-7 พอยตค์ ลาวดง์ านสารวจเพื่อจัดรปู ที่ดินนครสวรรค์ จาแนกเฉพาะพ้ืนผิวถนน 80

6-8 พอยตค์ ลาวดง์ านสารวจเพื่อจัดรปู ท่ีดนิ นครสวรรค์ จาแนกเฉพาะต้นไมใ้ หญ่และสงิ่ ปลกู สรา้ ง 80

6-9 ตวั อยา่ งการใช้ DEM จาลองพืน้ ทีน่ า้ ทว่ มเขตพ้นื ทจ่ี ัดรปู นครสวรรค์ 82

6-10 ตวั อย่างการใช้ DEM จาลองพ้นื ทร่ี บั น้าและทางนา้ ไหลเขตพ้นื ท่ีจดั รูปนครสวรรค์ 82

6-11 ตัวอย่างการหาปรมิ าตรของงานดนิ ขดุ ดนิ ถม 83

6-12 ตัวอยา่ งการใช้ DEM ในการผลติ Profile & Cross section งานถนนโครงการจดั รปู อตุ รดิตถ์ 84

6-13 ตวั อยา่ งการส่งออกขอ้ มลู Profile & Cross section 84

เพื่อการออกแบบงานถนนโครงการจดั รปู อตุ รดติ ถ์

6-14 ตวั อยา่ งแบบจาลองสามมิตอิ าคารกรมโยธาธกิ ารและผังเมืองถนนพระราม 9 85

6-15 ตัวอย่างการวัดขนาดและมติ ิของอาคารจากแบบจาลองสามมติ ิ 86

DPT KM ACTION PLAN VII



แนวคดิ พน้ื ฐานของการสำรวจดว้ ยภาพถ่าย

บทที่ 1
แนวคิดพ้นื ฐานของการสำรวจด้วยภาพถ่าย

การรังวัดด้วยภาพถ่าย (Photogrammetry) หรือการสำรวจด้วยภาพถ่าย เป็นศาสตร์การรังวัด
เพอื่ ให้ไดม้ าซ่งึ ตำแหน่งพกิ ัดของวัตถุต่างๆ จากการแปลขอ้ มลู จากภาพถา่ ยที่เกบ็ ลกั ษณะทางกายภาพของวัตถุ
นั้นๆ ที่มาของคำว่า Photogrammetry นั้นประกอบจากคำภาษากรีก 3 คำ คือ Photo หมายถึงแสง Grammar
หมายถึงการภาพที่วาดหรือเขียนขึ้น และ Metron หมายถึงการวัด ดังนั้นถ้าแปลตรงตัว ตามรากศัพท์คำว่า
Photogrammetry หมายถึงการวัดบนภาพที่วาดขึ้นมาจากแสง ทั้งนี้จะต้องผ่านกระบวนการบันทึกเพื่อเก็บ
สิ่งที่วาดขึ้นจากแสงในรูปแบบของภาพถ่าย ซึ่งอาจจะเป็นการบันทึกในรูปแบบของฟิล์ม (Film) กระดาษอัดภาพ
(Photograph) โดยในปจั จุบนั การถ่ายภาพจะถูกบันทึกบนเซนเซอร์รับภาพ (Sensor) แล้วจะเก็บเป็นภาพถ่ายดิจิทัล
(Digital Image) แต่ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายลักษณะใดก็ตามจะต้องเข้าสู่กระบวนการรังวัด (Measurement)
การแปลความหมาย และการประมวลผลแต่ละจุดภาพโดยใช้เทคโนโลยีการประมวลผลภาพถ่ายดิจิทัล
(Digital Image Processing Technology)

การสำรวจด้วยภาพถ่ายนอกจากจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานแผนที่ได้อย่างดีแล้ว ยังสามารถ
ประยุกต์ใช้กับงานทางด้านวิศวกรรมโยธาและด้านอื่นๆ ได้อย่างกว้างขวาง โดยที่ในปัจจุบันเทคโนโลยี
ด้านการถ่ายภาพและคอมพิวเตอร์มีความก้าวหน้าอย่างมาก ควบคู่กับเทคโนโลยีการรังวัดด้วยระบบดาวเทียม
(Global Navigation Satellite System: GNSS) ส่งผลให้ขีดความสามารถในการผลิตและประมวลผลข้อมูลภาพถ่าย
ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และตรงตามความต้องการใช้งาน

1.1 ววิ ัฒนาการของการสำรวจด้วยภาพถ่าย
ในยุคอุตสาหกรรม 4.0 ที่ทุกวงการล้วนแล้วแต่จะต้องเผชิญอยู่กับสภาพการแข่งขัน การสำรวจ
ด้วยภาพถ่ายจากอากาศยานไร้คนขับถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง โดยเข้าไปมีบทบาท
ในหลายภาคส่วน เช่น วิศวกรรมการทาง วิศวกรรมการเกษตร หรือแม้กระทั้งวงการภูมิสารสนเทศเองก็ตาม
และการที่จะนำเอาเทคนิคการสำรวจด้วยภาพถา่ ยไปใชไ้ ด้อย่างลึกซึ้งและเข้าใจไดอ้ ย่างดพี อนัน้ ความรู้ถึงท่ีมา
และวิวัฒนาการของการสำรวจด้วยภาพถ่ายก็มีส่วนสำคัญไม่น้อย ทั้งนี้ ผู้เขียนสามารถแบ่งการอธิบายออก
ได้เปน็ 3 ยุค ดว้ ยกนั คือ

(1) ยุคการสำรวจด้วยภาพถ่ายแบบอนาล็อก (Analogue Photogrammetric Era)
เป็นยุคที่ได้มีการพัฒนาเคร่ืองมือต่างๆ ตั้งแต่กล้องถ่ายภาพพร้อมอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบสำหรับการสำรวจ
ด้วยภาพถ่าย พาหนะที่ใช้ในการบินถ่ายภาพ เครื่องมือกลที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์และรา่ งแผนที่ และทฤษฎี
การรังวดั บนภาพถ่ายก็ไดเ้ รม่ิ ถือกำเนดิ ข้นึ ท่ยี ุคนดี้ ว้ ยเชน่ กนั

DPT KM ACTION PLAN 1

แนวคิดพน้ื ฐานของการสำรวจด้วยภาพถา่ ย

(2) ยุคการสำรวจด้วยภาพถ่ายเชิงวิเคราะห์ (Analytical Photogrammetric Era) เป็นยุค
ที่ได้มีการนำพัฒนาเทคนิคด้านการคำนวณต่างๆ ควบคู่ไปกับการพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์
โดยเน้นไปที่การผสมผสานเอาคอมพิวเตอร์กับเครื่องมือกลที่ใช้ในการวิเคราะห์เข้าไว้ด้วยกัน ถือเป็นยุค
แห่งการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญในการขยับปรับเปลี่ยนงานด้านการสำรวจด้วยภาพถ่ายไปสู่กระบวนการคำนวณ
ท่ซี ้อนมากยง่ิ ขนึ้

(3) ยุคการสำรวจด้วยภาพถ่ายดิจิทัล (Digital Photogrammetric Era) เป็นยุคที่นำเอา
เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์และอุปกรณด์ จิ ทิ ัลต่างๆ มาใช้เป็นอปุ กรณ์หลักในการทำงาน มพี ฒั นาการอยา่ งก้าวกระโดด
ส่งให้การสำรวจด้วยภาพถ่ายกลายเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทไปสู่ทุกวงการที่ต้องการใช้แผนที่เป็นฐานในการพัฒนา
ในยุคนี้มีการพัฒนาผสมผสานเอาเทคโนโลยีการประมวลผลภาพถ่ายดิจิทัลเข้าไว้ด้วย และ ทฤษฎีที่ใช้
ในการประมวลผลขอ้ มลู ต่างๆ ไดถ้ กู พฒั นาขน้ึ ในยคุ น้ี

รูปที่ 1-1 การแบ่งยกุ ต์ของการสำรวจด้วยภาพถ่าย 1

1.1.1 ยคุ การสำรวจดว้ ยภาพถา่ ยแบบอนาลอ็ ก (Analogue Photogrammetric Era)
การถ่ายภาพนั้นมีพัฒนาการที่นำมาสู่วิทยาการของงานสำรวจด้วยภาพถ่ายที่มีอยูใ่ นปัจจุบนั น้ี
เริ่มมานานแล้ว ก่อนที่จะมีการประดิษฐ์คิดค้นการถ่ายภาพเสียอีก กล่าวคือ เมื่อเวลาประมาณ 350 ปีก่อน
คริสตศ์ กั ราชได้มีนักปราชญ์ชาวกรีก ชือ่ ว่า อริสโตเติล (Aristotle) ไดก้ ลา่ วถงึ วธิ ีการฉายเงาดว้ ยระบบทัศนูปกรณ์
ไว้ แล้วเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1480 ลีโอนาโด ดาวินชี (Mr.Leonardo da Vinci. ศ.ศ. 1452-1519) ได้อธิบายถึง
หลักพื้นฐานของปรากฏการณ์การฉายผ่านศูนย์ (Perspective Projection) แล้วมีลำดับขั้นของการพัฒนาข้ึน
เป็นหลักการของภาพทิวทัศน์สามารถนำมาใช้ในการวาดภาพ โดยในปี ค.ศ. 1525 ได้มี อัลเบรชท์ ดูเรอร์
(Mr.Albrecht Direr, ค.ศ. 1471-1528) นกั วาดภาพได้คดิ ประดษิ ฐเ์ ครื่องช่วยเขียนภาพแบบการฉายผ่านศูนย์
(Perspective Projection) ดังปรากฏในหลักฐานจากวรรณกรรมเรื่อง “La Perspective Curieuse

1 ที่มา : Fundamentals of Photogrammetry

DPT KM ACTION PLAN 2

แนวคดิ พ้นื ฐานของการสำรวจด้วยภาพถา่ ย

(Curious Perspectives)” ซึ่งนิพนธ์โดย ณอง ฟรังซัวร์ นีซีรง (Mr.Jean- Francois Niceron, ค.ศ. 1613-1646)
ในปี ค.ศ. 1638 และพัฒนาต่อยอดเป็นกล้องทาบเงา (Cameras- Obscura) เพื่อไว้ให้จิตรกรสามารถวาดภาพ
จากแสดงท่ปี รากฏไดด้ ังรูปที่ 1-2 ซึง่ ถอื เปน็ รากฐานของการวาดภาพดว้ ยแสง หลงั จากน้นั ในช่วงตน้ คริสต์ศตวรรษท่ี 18
ดร.บรุค เทเลอร์ (Dr Brook Taylor, ค.ศ. 1685-1731) ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง “Line Perspective" ซึ่งในเวลาต่อมา
โยฮัน เฮนริซ แลมเบิร์ต (Mr.Johann -Heinrich Lambert, ค.ศ. 1728-1777) นักคณิตศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ได้
เสนอหลักการว่า ภาพทิวทศั น์ (Perspective View) ควรจะนำมาใช้ในการเตรียมและจดั ทำแผนท่ี

รูปที่ 1-2 การวาดภาพดว้ ยทาบเงาโดยจิตรกรในอดตี (ดดั แปลงจาก Jensen, 2007)
การวาดภาพด้วยแสงได้มีการพัฒนาเป็นลำดับอย่างต่อเนื่อง โดยในปี ค.ศ. 1839

เมื่อ หลุยส์ ดาแกร์ (Mr.Louis Jacques Mande Daguerre, ค.ศ. 1787-1851, รูปที่ 1-3(ก)) แห่งปารีสได้
คิดค้นกล้องถ่ายภาพ ดังรูปที่ 1-3(ข) และเปิดเผยกรรมวิธีการถ่ายภาพของเขาออกมา ซึ่งจะกระทำบนแผ่นโลหะที่
ฉาบไว้ด้วยเงินไอโอไดด์ที่ไวต่อแสงซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อกระบวนการดาร์แกร์รีโอไทป (Daguerreotype Process,
รูปที่ 1-3(ค)) ซึ่งเป็นกระบวนการถ่ายภาพครั้งแรกของโลกที่ถูกพัฒนาขึ้น และหลักการดังกล่าว ได้กลายเป็น
หลักการสำคัญของกรรมวิธีการถ่ายภาพที่ใช้มาจนถึงปัจจุบันโดย โฌแซ็ฟ นีเซฟอร์ เนียปส์ (Mr.Joseph
Nicephore Niepce, ค.ศ. 1765-1833. รูปที่ 1-4(ก)) ได้เป็นช่างกล้องที่เป็นผู้ถ่ายภาพใบแรกของโลก
ดังรปู ที่ 1-4(ข) ด้วยกล้องถ่ายรูปที่คิดค้นโดยของหลยุ ส์ ดาแกร์

หลังจากการค้นพบของหลุยส์ ดาแกร์ ไดม้ นี กั ยอี อเดซีชาวฝรั่งเศสช่ือ โดมนิ ิค ฟรานซสิ ยนี อะราโก
(Mr.Dominique Francois Jean Arago, รูปที่ 1-5(ก)) ทำการวิจัยร่วมกับสถาบันวิทยาศาสตร์ของฝรั่งเศส
โดยในปี ค.ศ. 1849 อะราโก ร่วมกับพันเอกเอ็มเม โลส-ดาท์ (Colonel Aime Laussedat, รูปที่ 1-5(ข)) ได้
ทดลองใช้ภาพถ่ายทำแผนที่ภูมิประเทศ โดยผูกกล้องติดกับว่าวและบอลลูนแต่เนื่องจากความลำบาก
ในการควบคุมขณะถา่ ยภาพทางอากาศจึงทำให้เขาไดย้ ุติการคน้ ควา้ วจิ ัยภาพถา่ ยทางอากาศและหันเหความสนใจ

DPT KM ACTION PLAN 3

แนวคดิ พนื้ ฐานของการสำรวจดว้ ยภาพถา่ ย

ไปยังการทำแผนที่ภูมิประเทศ โดยผูกกล้องติดกับว่าวและบอลลูนแต่เนื่องจากความลำบากในการควบคุม
ขณะถ่ายภาพทางอากาศจึงทำให้เขาได้ยุติการค้นคว้าวิจัยภาพถ่ายทางอากาศและหันเ หความสนใจ
ไปยงั การทำแผนทีจ่ ากการถ่ายภาพภาคพน้ื ดนิ

รปู ท่ี 1-3(ก) หลุยส์ ดาแกร์ 2 รูปที่ 1-3(ข) 3

รูปที่ 1-3(ค) 4

2 ที่มา : https://panassayawongsri.wordpress.com
3 ที่มา : https://photovis.rmutr.ac.th
4 ทมี่ า : http://links.fluate.net/?tsRsHQ

DPT KM ACTION PLAN 4

แนวคดิ พื้นฐานของการสำรวจด้วยภาพถา่ ย

รูปท่ี 1-4(ก) โฌแซฟ็ นเี ซฟอร์ เนียปส์ 5 รปู ท่ี 1-4(ข) ภาพถา่ ยใบแรกของโลกถกู ถา่ ยโดย โฌแซ็ฟฯ 6

รูปท่ี 1-5(ก) โดมนิ คิ ฟรานซิส ยนี อะราโก 7 รปู ที่ 1-5(ข) พนั เอกเอม็ เม โลส-ดาท์ 8

5 ที่มา : http://tessarene.weebly.com/history-of-photography by-me.html
6 ที่มา : http://100photos.time.com/photos/joseph-niepce-first-photograph-window-le-gras
7 ทีม่ า : https://en.wikipedia.org/wiki/Fran%C3%A7ois_Arago
8 ที่มา : https://www.researchgate.net/figure/Aime-Laussedat-1819-1907-polytechnicien-colonel-du-genie-
astronome-specialiste-de_fig1_259495706

DPT KM ACTION PLAN 5

แนวคิดพนื้ ฐานของการสำรวจด้วยภาพถา่ ย

ในปี ค.ศ. 1856 ได้มีการถ่ายภาพทางอากาศภาพแรกในฝรั่งเศสเป็นผลสำเร็จโดย
แกสปาร์ด เฟลิกซ์ ทัวร์นาโซน์ (Mr.Gaspard Felix Tournachon, ค.ศ. 1820-1910, รูปที่ 1-6(ก))
หรือชื่อที่รู้จักกันในวงการถ่ายภาพ คือ นาด้าร์ (Nadar) ได้นำกล้องโมเดลที่คิดค้นของ หลุยส์ ดาแกร์
ไปถ่ายภาพจากบอลลูนที่ปล่อยให้สูงในระดับ 80 เมตร ดังรูปที่ 1-6(ข) ซึ่งได้ผลลัพธ์ดังรูปที่ 1-6(ค) จึงทำให้
การถ่ายภาพจากบอลลูนแพร่หลายนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และจากภาพที่ได้เหล่านี้ ในปี 1859 พันเอกโลส-ดาท์
ได้เสนอผลงานชิ้นสำคัญของเขาอันเปน็ ผลสำเรจ็ ในการสำรวจด้วยภาพถ่ายโดยในขณะน้ันเขาเรยี กศาสตร์นีว้ ่า
“ไอโคโนเมตทรี” (lconometrie มาจากคำว่า Icon ที่หมายถึง รูป และ Metrie ที่หมายถึง การวัด) และภายหลัง
ถูกเรียกเป็น “เมโทรโฟโตกราฟฟี” (Metrophotographie) โดยเหตุนี้เอง พันเอกโสส-ดาท์ จึงได้รับเกียรติวา่
เป็นบิดาแห่งศาสตร์ด้านการสำรวจด้วยภาพถ่าย (Father of Photogrammetry) ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการ
ใช้ภาพถ่ายทางอากาศจากบอลลูนมาประยุกต์ใช้ทำแผนที่ภูมิประเทศ แต่เนื่องจากข้อจำกัดในการใช้บอลลูน
ถ่ายภาพทำให้ได้ภาพถ่ายไม่คลุมบริเวณที่ต้องการทั้งหมด การทำแผนที่จึงเปลี่ยนมาใช้เฉพาะภาพถ่าย
ทางภาคพน้ื ดนิ เท่านัน้ แตก่ ็ยังมกี ารถา่ ยภาพจากบอลลูนอยู่บ้าง โดยสองปีภายหลังจากความสำเร็จของนาด้าร์
ในวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1860 เจมส์ วอลเลช แบลค (Mr.James Wallace Black. ศ.ศ. 1825-1896)
ช่างภาพชาวอเมริกันประสบความสำเร็จในการถ่ายภาพทางอากาศ ณ เมืองบอสตันประเทศสหรัฐอเมริกา
ด้วยการถ่ายภาพบนบอลลูนเช่นกัน ดังรูปที่ 1-6(ค) ซึ่งนับว่าเป็นภาพถ่ายทางอากาศภาพแรกที่ถ่ายใน
สหรัฐอเมรกิ า

รปู ท่ี 1-6(ก) รปู ท่ี 1-6(ข) รปู ท่ี 1-6(ค)
ภาพถา่ ยทางอากาศเมอื งปารีส
แกสปารด์ เฟลิกซ์ ทวั ร์นาโซน์ 9 นาด้ารข์ ณะอยู่บนบอลลูนเพื่อถ่าย 10
ปี ค.ศ. 1860 11

9 ท่ีมา : https://flashbak.com/fabulous-19th-century-photographer-felix-nadar-reveals-how-to-be-brilliant-
and-make-money-from-art-368313/
10 ท่ีมา : https://papa.clubexpress.com/content.aspx?page_id=22&club_id=808138&module_id=158950
11 ทมี่ า : https://papa.clubexpress.com/content.aspx?page_id=22&club_id=808138&module_id=158950

DPT KM ACTION PLAN 6

แนวคิดพ้นื ฐานของการสำรวจดว้ ยภาพถ่าย

ในเวลาต่อมา หลักของการสำรวจด้วยภาพถ่ายในงานแผนที่ภูมิประเทศซึ่งคิดค้นโดยหลุยส์ ดาแกร์
ได้แพร่หลายจากยุโรปไปสู่อเมริกาเหนือเมื่อ ปี ค.ศ. 1886 โดยร้อยเอกเอ็ดเวิร์ด แกสตั้น แดนเนียล ดีวิลด์
(Captain Edouard-Gaston Daniel Deville, 1849-1924) ผู้อำนวยการการสำรวจรังวัดของประเทศแคนาดา
ดังรูปที่ 1-7(ก) ได้คดิ คน้ กล้องถ่ายภาพ ดงั รปู ท่ี 1-7(ข) เพอ่ื ใช้ในการสำรวจด้วยภาพถา่ ย โดยรอ้ ยเอกดวี ิลดผ์ ู้นี้
ได้ใช้กล้องที่เขาคิดค้นขึ้นเพื่อสำรวจทำแผนที่ในบริเวณเทือกเขาร็อกกี้ (Rocky Mountain) ตั้งอยู่ในท้องท่ี
แทบตะวันตกของประเทศแคนนาดา ภาพถ่ายที่เป็นผลงานของร้อยเอกดีวิลด์ ได้แสดงไว้ดัง รูปที่ 1-7(ค)
ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นคนแรกที่สามารถคิดค้นวิธีการในทางปฏิบัติสำหรับการรังวัดด้วยภาพถ่ายและผลงาน
ของเขานี้เองได้เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ช่วยยืนยันว่า หลักการทำแผนที่ด้วยวิธีการสำรวจด้วยภาพถ่ายของโลส-ดาท์
เหมาะสมอย่างมากสำหรับการทำแผนที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณขรุขระของเทือกเขา และผลงาน
ของร้อยเอกดีวิสต์นี้ได้ถูกพัฒนาอย่างต่อยอดเกิดเป็นเครื่อง Perspectometer ดังรูปที่ 1-7(ง) ซึ่งมีลักษณะ
เป็นตารางกริดที่ซ้อนเข้าไปในภาพถา่ ย

ในปี ค.ศ. 1894 เทคนิคการสำรวจด้วยภาพถ่ายได้นำมาใช้ในการแบ่งเขตแดนระหว่างแคนนาดา
กับรัฐอลาสก้า สหรัฐอเมริกาโดยหน่วยงานด้านการสำรวจชายฝั่งและยีออเดติคของประเทศสหรัฐอเมริกา
(U.S. Coast and Geodetic Survey) และในเวลาต่อมาอีกไม่นาน ในต้นปี ค.ศ. 1899 เซบาสเตียน ฟินเตอร์วัลเดอร์
(Mr.Sebastian Finsterwalder, ค.ศ. 1862-1951) นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมันผู้ได้รับการยกย่องให้เป็น
บิดาแห่งการสำรวจด้วยภาพถ่ายในพื้นที่ธารน้ำแข็ง (Father of Glacier Photogrammetry) เป็นคนแรก
ที่สามารถสร้างแบบจำลอง 3 มิติจากภาพถ่าย 2 ใบและเขาได้ตีพิมพ์บทความต่างๆ เกี่ยวกับการสำรวจ
ด้วยภาพถ่ายเชิงวิเคราะห์ (Analytical Photogrammetry) อย่างการเล็งสกัดและการเล็งสกัดย้อนของภาพถ่าย
ซ่ึงเป็นหลักการสำคัญของการสำรวจด้วยภาพถา่ ยในยุคสมัยใหม่

รูปที่ 1-7(ข) รปู ที่ 1-7(ค) รปู ที่ 1-7(ก)
ร้อยเอกดีวลิ ด์ 12 กลอ้ งถ่ายภาพสำหรบั ทำแผนท่ี 13 ถ่ายภาพเพอ่ื สำรวจภมู ิประเทศ 14

12 ทมี่ า : https://www.waymarking.com/waymarks/WM4D23_CNHS_douard_Gaston_Deville
13 ที่มา : https://www.pinterest.com/alabamasurveyor/land- surveying
14 ทม่ี า : http://www.mountaincartography.org/mt_hood/pdfs/fisher2.pdf

DPT KM ACTION PLAN 7

แนวคดิ พื้นฐานของการสำรวจดว้ ยภาพถ่าย

รปู ที่ 1-7(ง) ภาพถ่ายทไ่ี ดส้ ำหรบั ใช้ในภารกิจด้านการสำรวจรงั วดั
ถัดจากช่วงเวลานั้น ในปี ค.ศ. 1903 จูเลียส นูบรอนเนอร์ (Mr.Julius Neubronner,
ค.ศ. 1852-1932) ทดลองนำกล้องถ่ายภาพติดตั้งบนอกนกพิราบ (Breast-mount Aerial Camera)
ดังรูปที่ 1-8(ก) โดยถ่ายภาพขนาด 70 mm ดังรูปที่ 1-8(ข) ซึ่งกล้องดังกล่าวได้ถูกออกแบบไว้ให้ถ่ายภาพ
ทุกๆ 30 วินาที อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลอันเป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่านกพิราบไม่อาจเป็นพาหนะที่สามารถ
ควบคุมทิศทางหรือวางแผนเส้นทางการบินใด ๆ ได้ ซึ่งข้อจำกัดนี้ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การติดตั้งกล้อง
ภาพกับอกนกพิราบไม่ได้รับความนิยม และในปีเดียวกันนี้ พี่น้องตระกูลไรท์ ( Wright brothers)
ได้ประดิษฐ์เครื่องบินขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้มีการใช้เครื่องบินช่วยในการถ่ายภาพ ดังรูปที่ 1-9(ก) จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1909
จึงได้มีการถ่ายภาพจากเครื่องบินขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมือง Centocelle กรุงโรม ประเทศอิตาลี ดังรูปที่ 1-9(ข)
แต่ภาพที่ได้ไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์และการทำแผนที่ สำหรับการถ่ายภาพจากทางอากาศโดยใช้เครื่องบิน
เปน็ พาหนะ และนำภาพถา่ ยทางอากาศทีไ่ ด้มาทาํ แผนท่เี ปน็ ครัง้ แรกทำในปี ค.ศ. 1913

DPT KM ACTION PLAN 8

แนวคิดพื้นฐานของการสำรวจดว้ ยภาพถ่าย

รูปที่ 1-8(ก) กลอ้ งถ่ายภาพทางอากาศตดิ อกนกพริ าบ (Breast-mount Aerial Camera) 15
รูปที่ 1-8(ข) ภาพถ่ายขนาด 70 mm ซงึ่ กลอ้ งดงั กลา่ วได้ถกู ออกแบบไว้ให้ถา่ ยทกุ ๆ 30 วนิ าที 16

15 ทม่ี า : https://petapixel.com/2012/10/15/the-invention-of-the-pigeon-camera-for-aerial-photography/
16 ทีม่ า : https://www.pinterest.com/pin/109353097178882074/?nic_v2=1a3Ok94OJ

DPT KM ACTION PLAN 9

แนวคดิ พนื้ ฐานของการสำรวจด้วยภาพถ่าย

รปู ที่ 1-9(ก) พี่น้องตระกลู ไรต์ (Wright brothers) 17 รปู ท่ี 1-9(ข) การบินถา่ ยภาพครง้ั แรกทก่ี รุงโรม
ปี ค.ศ. 1909 18

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง (ค.ศ. 1901) ดร.คาร์ล พูลริซ (Dr.Carl Pulfrich, ค.ศ. 1858-1929)
ชาวเยอรมันได้เริ่มต้นทดลองคู่ภาพสามมิติ โดยเขาได้พัฒนาเครื่องวิเคราะห์ภาพสามมิติ (Stereo Comparator,
ดังรูปที่ 1-10) ภายใต้บริษัท Cart Zeiss งานของเขาจัดเป็นพัฒนาการทางด้านเครื่องมือและเทคโนโลยี
การทำแผนที่ด้วยภาพถ่ายที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอดีตและยังคงมีหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้างในบางหน่วยงาน
และงานของเขาถือเป็นงานที่ช่วยให้การใช้เครื่องบินถ่ายภาพเพื่องานทำแผนที่เริ่มมีความสำคัญมา กยิ่งขึ้น
ในช่วงปี ค.ศ. 1914-1918 ซึ่งเป็นยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 เครื่องมือชนิดนี้ก็มีการใช้ภาพถ่ายกันอย่างกว้างขวาง
แต่ส่วนใหญ่ใช้ในงานสำรวจสังเขป (Reconnaissance) และกิจการด้านทหารดังรูปที่ 1-11 ภายหลังสงครามโลก
ครั้งนี้ได้มีการพัฒนาการสร้างเครื่องบินและอุปกรณ์ในการถ่ายภาพต่างๆ ให้ทันสมัย อีกทั้งยังมีการพัฒนา
ให้อุปกรณ์อีกหลายชิ้นขึ้นมาใช้งาน ส่งผลใหม้ ีการนำการสำรวจด้วยภาพถ่ายมาใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น
เชน่ การนำมาใช้ในงานทางด้านภูมศิ าสตร์ ธรณวี ทิ ยา และโบราณคดี เป็นตน้

17 ที่มา : https://tha.bicycle-works.com/qa/what-didorville-and-wilbur-wright-invented_2565399
18 ท่ีมา : https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=519283&chapter=3

DPT KM ACTION PLAN 10

แนวคดิ พืน้ ฐานของการสำรวจด้วยภาพถ่าย

รูปที่ 1-10 เครือ่ ง Stereo Comparator ในยคุ Analogue Photogrammetry 19

รูปที่ 1-11 ภาพถา่ ยทางอากาศทแ่ี สดงพนื้ ทส่ี นามรบสงครามโลกครงั้ ที่ 1 20

19 ทม่ี า : https://onlinelibrary.wiley.com/doi/abs/10.1111/0031-868X.00047
20 ท่มี า : https://www.gypzyworld.com/article/view/521

DPT KM ACTION PLAN 11

แนวคิดพื้นฐานของการสำรวจด้วยภาพถา่ ย

1.1.2 ยคุ การรงั วดั ด้วยภาพถา่ ยเชงิ วิเคราะห์ (Analytical Photogrammetric Era)
ในปี ค.ศ. 1924 ศาสตราจารย์ ออตโต้ วอน กรูเบอร์ (Prof.Otto von Gruber, ค.ศ. 1884-1942)
แห่งมหาวทิ ยาลัย Stuttgart ประเทศเยอรมนี ไดศ้ กึ ษาเก่ยี วกับการเลง็ สกัดย้อนในปรภิ มู ิ (Space Resection)
ตลอดจนสร้างอนุพันธ์จากสมการการฉายผ่านศูนย์ (Perspective Equations) และตีพิมพ์งานสอนของเขา
ในปี ค.ศ. 1930 ซึ่งเป็นห้วงเวลาเดียวกับที่ ศาสตราจารย์ เอิร์ล เชิร์ช (Prof. Eart- Church, ค.ศ. 1890-1956)
แห่งมหาวิทยาลัยซีราคิวส์ (Syracuse University) ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เปิดสอนวิชาการสำรวจ
ด้วยภาพถ่ายเชิงวิเคราะห์ (Analytical Photogrammetry) เขายังได้ชื่อว่าเป็น บิดาแห่งวงการสำรวจ
ด้วยภาพถ่ายของอเมริกัน ได้แต่งหนังสือชื่อ “Elements of Aerial Photogrammetry” ซึ่งถือเป็นตำราพื้นฐาน
เล่มสำคัญในการเรียนการสอนด้านการสำรวจด้วยภาพถ่าย ณ เวลานั้นโดย ศาสตราจารย์ เชิร์ท ถือเป็นผู้บุกเบกิ
ในการเรยี นการสอนด้านการสำรวจดว้ ยภาพถ่ายในประเทศสหรฐั อเมริกา
จากนั้นวิวัฒนาการของการรังวัดด้วยภาพก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
(ค.ศ. 1939-1945) ไดม้ ีการพฒั นาการแปลภาพถา่ ย ทำให้เกดิ ความจำเป็นท่ีจะตอ้ งฝกึ ฝนการแปลภาพถ่ายข้ึน
โดยในช่วงนเ้ี อง การสำรวจดว้ ยภาพถ่ายถูกนำมาใช้เพอื่ การสอดแนม ยกตวั อย่าง เช่น ภาพถ่ายสถานปี ล่อยจรวด V-2
เมือง Peenemunde ประเทศเยอรมนี ดังรูปท่ี 1-12 และแม้ว่าสงครามโลกคร้ังท่ี 2 จะสิ้นสุดลง แต่ทว่า
นักแปลภาพถ่ายยังคงให้ความสนใจในงานเหล่านี้ จึงทำให้เกิดงานวิจัยในด้านนี้ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้นความต้องการแผนที่อย่างรีบด่วนในระหว่างสงครามมีผลทำให้ได้วิธีการของการสำรวจด้วยภาพถ่ายไป
อย่างกว้างขวาง เพราะช่วยใหผ้ ลติ แผนทีไ่ ดเ้ ร็วขึ้นและเพื่อภาพถ่ายจะให้เป็นแหล่งของรายละเอียดที่เช่ือถือได้
สำหรับเขตที่เข้าไปสำรวจไม่ได้ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เทคโนโลยีของงานสำรวจด้วยภาพถ่าย
ทำให้การผลิตแผนที่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงงานแปลภาพถ่ายก็ได้มีการใช้
อย่างกว้างขวางมากขึน้ ในงานสำรวจสังเขปและงานสืบราชการลับ ผลของความต้องการแผนที่จํานวนมากอย่างรีบดว่ น
ระหว่างสงครามทำให้มีการพัฒนาใหม่ ๆ ทั้งทางด้านเคร่ืองมือและเทคโนโลยี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
การทำแผนทีโ่ ดยเฉพาะการทำแผนท่ีจากการตรวจการณท์ างอากาศเปน็ เร่ืองสำคญั มากสำหรับการทำสงคราม
เทคโนโลยีจึงถูกคิดค้นและพัฒนาอย่างรวดเร็ว นับว่าเป็นปัจจัยที่ทําให้การสำรวจรังวัดด้วยภาพมีความสำคัญ
ในการทำแผนที่อย่างมาก
ในปี ค.ศ. 1951 ศาสตราจารย์ เฮลม์ท ชมิดท์ (Prof. Helmut Schmidt, ค.ศ. 1914-1988)
ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจด้วยภาพถ่ายได้ทำการศึกษาถึงการแก้ปัญหาทางแบบจำลองคณิตศาสตร์
สำหรับการรังวัดด้วยภาพจากหลายสถานีถ่ายภาพ เพื่อนำมาใช้เป็นหลักการประยุกต์ใช้งานทางการรังวัดด้วยภาพ
และถดั จากนัน้ ไม่นานในปี ค.ศ. 1960 เครื่องเขยี นแผนที่เชงิ วิเคราะห์ไดถ้ อื กำเนิดขน้ึ ในประเทศสหรฐั อเมรกิ า

DPT KM ACTION PLAN 12

แนวคดิ พ้นื ฐานของการสำรวจดว้ ยภาพถ่าย

รูปที่ 1-12 ภาพถา่ ยทางอากาศสถานปี ลอ่ ยจรวด V-2 ทเ่ี มือง Peenemunde
ประเทศเยอรมนี ในยุคสงครามโลกครง้ั ท่ี 2 21

ผลจากการที่ บริษัท IBM ได้นำคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer: PC) เข้าสู่ตลาด
ส่งผลให้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีพัฒนาการที่ก้าวไปอย่างรวดเร็ว และเทคโนโลยีการสำรวจด้วยภาพถ่าย
เชิงวิเคราะห์ก็ถือเป็นอีกหนึ่งส่วนที่สอดรับผลประโยชน์จากวิวัฒนาการนี้ด้วย ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญ
ของการพัฒนาการสำรวจด้วยภาพดิจิทัล โดยในปี ค.ศ. 1988 บริษัท Helava & Associates ได้สาธิตการทำงาน
ของ N-stage Comparator ท่ีใช้ในการวัดเพื่อทำโครงข่ายสามเหล่ยี มทางอากาศ และในเวลาตอ่ มา บริษัท Ziess
ผู้นำในการผลิตเครื่องมือสำรวจรังวัดและระบบรังวัดจากภาพถ่ายในขณะนั้นได้ นำเสนอผลิตภัณฑ์
เครื่องร่างแผนที่เชิงวิเคราะห์และที่มีการใช้ภาพสามมิติในระบบโดยใช้จอภาพคอมพิวเตอร์สร้างแบบจำลองสามมิติ
ดังรูปท่ี 1-13

21 ทม่ี า : https://rafphotographersmemorial.co.uk/ww2-peenemunde/
DPT KM ACTION PLAN 13

แนวคดิ พืน้ ฐานของการสำรวจด้วยภาพถ่าย

รูปที่ 1-13 เคร่ือง Ziess Planicomp P3 ซง่ึ เป็นเคร่อื ง Stereo Plotter
ในยคุ Analytical Photogrammetry 22

1.1.3 ยคุ การรังวดั ด้วยภาพถ่ายดจิ ิทัล (Digital Photogrammetric Era)
ในช่วงเวลา ปี ค.ศ. 1990-1991 นับเป็นจุดเปล่ียนสำคัญของวงการรังวัดด้วยภาพถ่าย
เม่อื มกี ารผลติ เคร่ืองสแกนเนอร์ PS-1 Scanner สำหรบั ภาพถา่ ยทางอากาศตัวแรกของโลกผลติ โดย บรษิ ทั Zeiss
และ Intergraph ออกมาวางจำหน่าย ในเวลาต่อมาได้มีการพัฒนาเป็นเครื่อง Photogrammetric Stereo-
workstation: Intergraph Image Station ZII ดงั รปู ที่ 1-14 เพอ่ื ใชใ้ นการผลิตภาพถา่ ยออร์โทชนดิ ดจิ ิทลั

22 ท่มี า : https://aerialservicesinc.com/announcement/going-digital/
DPT KM ACTION PLAN 14

แนวคดิ พืน้ ฐานของการสำรวจด้วยภาพถ่าย

รูปที่ 1-14 เครอ่ื ง Stereo Plotter ในยุค Digital Photogrammetry 23
ในช่วง ค.ศ. 1995 ศาสตราจารย์ คล้าส์ปีเตอร์ ชวาร์ช (Prof. Klaus-peter Schwarz)
แห่งมหาวิทยาลัย Calgary ได้เสนอให้มีการผสมผสานเทคโนโลยีระบบหาพิกัดพิภพด้วยดาวเทียมร่วมกับ
อุปกรณ์วัดความเฉื่อยเข้าไว้กับเครื่องบินสำหรับการสำรวจด้วยภาพถ่าย ซึ่งได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
โดยภาพเอกชนจนออกมาเป็นภาพสรปุ หลกั การ ดงั รปู ท่ี 1-15 มจี ุดเดน่ ดงั นี้
(1) การรังวัดด้วยระบบดาวเทียมนำหนพิภพ (GNSS: Global Navigation Satellite System
หรือที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในนามของ Global Position System: GPS) นี้จะช่วยในการหาค่าพิกัด
ของจุดเปิดถ่ายภาพของกล้องในขณะที่ทำการบันทึกภาพถ่ายซึ่งในการหาค่าพารามิเตอร์เหล่านี้ในปัจจุบัน
นิยมใช้วิธีรังวัดด้วยการรับสัญญาณแบบจลน์ทันที (Real Time Kinematic: RTK) เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์
ค่าพิกดั ของจดุ เปิดถา่ ยภาพ ณ ขณะถ่ายภาพซึง่ ส่วนสำคญั ในการเพม่ิ ความถูกต้องทด่ี ีขนึ้ มาก
(2) อุปกรณ์วัดความเฉื่อย (Inertial Measurement Unit: IMU) เป็นระบบที่ใช้ในการ
หาวิถีการบินของเครื่องบินจากการรวมเข้ากับข้อมูลเชิงตำแหน่งจาก GPS พร้อมทั้งช่วยในการหาความเร็ว
เชิงมุมกับอัตราเร่งความเร็วของเครื่องบินมาชดเชยและผสมผสานกันทำ ให้ระบบสามารถบอกการวางตัว
ของอากาศยานขณะเปดิ ถ่ายภาพ
ภายหลังจากที่ได้มีการพัฒนาเครื่องบินที่ผนวกเอาเทคโนโลยี GPS และ IMU เข้ามา ก็ได้มีการพัฒนา
ระบบการถ่ายภาพด้วยระบบกล้องถ่ายภาพดิจิตอลเพื่อการทำแผนที่ (Digital Mapping Camera: DMC)
ที่มีการใช้ตัวรับรู้ (Sensor) มาช่วย ส่งผลให้การรังวัดด้วยภาพถ่ายเกิดมีการพัฒนาระบบการทำแผนที่
จากการสำรวจด้วยภาพถ่ายที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นต้นแบบสำคัญที่มีการพัฒนาต่อเนื่อง จนกระทั่ง

23 ที่มา : http://www.lddservice.org/services/PDF/paperacademic/SMD_50th.pdf
DPT KM ACTION PLAN 15

แนวคิดพ้ืนฐานของการสำรวจดว้ ยภาพถ่าย

ในปัจจุบันนี้ได้พัฒนาไปเป็นอากาศไร้คนขับขนาดเล็ก (Micro Unmarried Aerial Vehicle: MUAV)
ซึ่งได้มีบทบาทสำคัญต่อวงการแผนที่ภาพถ่ายในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากการเปิดตัว
ของอากาศยานไร้คนขับรุ่น DJI Phantom 3 ดังรูปที่ 1-16(ก) และ 1-16(ข) ที่มีการผสมผสานเทคโนโลยีการบิน
พร้อมกับเทคโนโลยีการถ่ายภาพท่ีมีความละเอยี ดสูงขึน้ ควบค่กู บั ราคาทถ่ี ูกลงอย่างมากในชว่ งปี ค.ศ. 2015-2016
และขณะเดียวกันเคร่ืองรับสัญญาณ GNSS ดังรูปที่ 1-16(ค) ซึ่งเป็นเคร่ืองมือสำคัญในการรังวัดค่าพิกัด
ของหมุดบังคับภาพที่มีราคาถูกลงมาอย่างมากไปพร้อมๆ กับซอฟแวร์ประมวลผลภาพถ่ายที่มีการผนวกเอา
อัลกอริทึมในการจับคู่ภาพอัตโนมัติอย่างอัลกอริทึม Scale Invariant Feature Transform (SIFT)
อย่างโปรแกรม Pix4D Mapper ดังรูปที่ 1-16(ง) ที่ง่ายต่อการใช้งาน ส่งผลให้ในช่วงเวลาปัจจุบัน
การได้เป็นช่วงเวลาที่งานทางด้านวิศวกรรมโยธามีการนำเอาการสำรวจด้วยภาพถ่ายจากอากาศยานไร้คนขับ
มาประยุกต์ใชง้ านกนั อย่างแพร่หลาย

รูปที่ 1-15 การผสมผสานเทคโนโลยี GPS และ IMU และกลอ้ ง Leica ADS40
เขา้ ไวด้ ว้ ยกนั เพอื่ ใชใ้ นการบินถ่ายภาพดจิ ิทัล 24

24 ท่ีมา : https://aip.scitation.org/doi/pdf/10.1063/1.4993005
DPT KM ACTION PLAN 16

แนวคดิ พ้นื ฐานของการสำรวจดว้ ยภาพถา่ ย

รูปที่ 1-16(ก) และ 1-16(ข) อากาศยานไร้คนขับรนุ่ MAVIC 2 Pro 25

รูปท่ี 1-16(ค) เครอื่ งรบั สัญญาณดาวเทยี ม GNSS 26 รปู ที่ 1-16(ง) ใช้ซอฟแวร์ Pix4D ในการประมวลผลภาพ
เพ่ือใหผ้ ลลพั ธเ์ ป็นแผนทีภ่ าพถา่ ยออร์โธ 27

25 ทมี่ า : https://store.lnwgadget.com/dji-mavic-2-pro-with-flymore-combo-kit-dji-mavic-2-pro.html
26 ทมี่ า : http://www.tdsurvey-civil.com/p/blog-page.html
27 ทีม่ า : https://gistnu.wordpress.com/2019/03/24/uav-software/

DPT KM ACTION PLAN 17

แนวคิดพื้นฐานของการสำรวจดว้ ยภาพถ่าย

1.2 ประเภทของการรังวัดดว้ ยภาพถ่าย (Type of Photogrammetry)
1.2.1 การรังวัดบนภาพถา่ ยทางอากาศ (Aerial Photogrammetry)
การรังวัดบนภาพถ่ายทางอากาศเป็นการเพื่อให้ได้มาตำแหน่ง และสะดวกในการแปล

ความหมายของภาพ ผลลัพธ์ของการรังวัดประเภทนี้ส่วนใหญ่จะถูกใช้ในการผลิตแผนที่ภาพถ่ายดัดแก้เชิงดิ่ง
ซึ่งโดยทั่วไปจะเรียกในวงการวิชาชีพว่า แผนที่ภาพถ่ายออร์โธ (Ortho Photo) ซึ่งแผนที่นี้หากผ่าน
กระบวนการแปลภาพแล้วจะสามารถนำไปผลิตแผนทีล่ ายเสน้ ได้ดว้ ยเช่นกนั

1.2.2 การรังวัดดว้ ยภาพถา่ ยดาวเทียม (Radargrammetry)
การรังวัดด้วยภาพถ่ายดาวเทียมเป็นการใช้ภาพถ่ายแบบ (Optical) มาใช้ในการรังวัดเพื่อให้
ลกั ษณะภูมิประเทศผ่านการวเิ คราะห์ภาพคซู่ ้อน (Sterreo-image Analysis) และดาวเทยี มสามารถตอบโจทย์
การทำงานแบบนไ้ี ดต้ อ้ งมีการออกแบบให้สามารถเก็บขอ้ มลู ภาพคู่ซอ้ นได้เชน่ ALOS, SPOT และ THEOS เปน็ ตน้
1.2.3 การรังวดั ดว้ ยภาพถ่ายเรด้าห์ (Radargrammetry)
เป็นการใช้ข้อมูลภาพถ่ายแบบเรด้าห์ (Radio Detection And Ranginng: RADAR)
มาใช้วิเคราะห์และแปลผลลักษณะภูมิประเทศผ่านการสร้างแบบจำลองสามมิติ (Stereo Model) ซึ่งมาจาก
การวิเคราะห์ภาพคู่ซ้อน (Stereo-image Analysis) เช่นเดียวกับการสำรวจด้วยภาพถ่าย (Photogrammetry)
แต่จะแตกต่างกันท่ีการถ่ายภาพแบบ RADAR จะเป็นการถา่ ยภาพแบบแอคทฟี คอื จะเปน็ การส่งสัญญาณคล่ืน
ไปตกกระทบกับภูมิประเทศ เป้าหมายแล้วกระจายมายังเครื่องรับสัญญาณโดยบันทึ กข้อมูลเป็นความเข้ม
ของสญั ญาณ เวลาและมุมตกกระทบ แทนที่จะรบั คล่นื แสงอาทิตยต์ กกระทบเหมอื นกบั ภาพถ่ายทวั่ ไป
1.2.4 การวดั ด้วยภาพถ่ายภาคพืน้ ดิน (Terrastial Photogrammetry)
เป็นการใช้ภาพถ่ายภาคพื้นดินเข้ามาช่วยในการวัดขนาดหรือตำแหน่งใดๆ (X,Y,Z) บนวัตถุที่ต้องการ
ซึ่งอาจจะเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่าการรังวัดด้วยภาพถ่ายระยะใกล้ (Close Range Photogrammetry: CRP)
สว่ นใหญ่จะใชใ้ นงานสรา้ งแบบจำลอง 3 มิตขิ องอาคารหรือวตั ถุตา่ งๆ
1.2.5 การรังวัดด้วยภาพถ่ายจากอากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle
Photogrammetry: UAV Photogrammetry)
เป็นการใช้อากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle: UAV) หรืออีกชื่อหนึ่งนิยม
เรียกว่า โดรน (Drone) โดยเป็นการประสานแนวคิดของการสำรวจด้วยภาพถ่ายทางอากาศ และการสำรวจ
ด้วยภาพถ่ายระยะใกล้ เขา้ มาใชใ้ นกระบวนการรังวดั เน่ืองจากภาพถ่ายจากโดรนท่ีถูกนำมาใช้มรี ะยะท่ีถูกถ่าย
ไม่เกิน 100-200 เมตร เป็นระยะที่ไม่เกินที่จะประยุกต์ใช้วิธีการและหลักการของการสำรวจโดยภาพถ่าย
ระยะใกล้ อีกทั้งยังสามารถถ่ายภาพทั้งแบบกริดคล้ายกับการสำรวจโดยภาพถ่ายทางอากาศและบินถ่าย
แบบรอบวัตถุคล้ายกับการสำรวจภาคพื้นดิน ดังนั้นการใช้อากาศยานไร้คนขับในการสำรวจด้วยภาพถ่าย

DPT KM ACTION PLAN 18

แนวคดิ พ้ืนฐานของการสำรวจดว้ ยภาพถา่ ย

จึงสามารถประยุกต์ใช้ได้เป็นอย่างดีทั้งงานผลิตแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ และงานสร้างแบบจำลอง 3 มิติ
ของอาคารหรอื วัตถุตา่ งๆ

1.3 ลักษณะของงานในการสำรวจรงั วัดดว้ ยภาพถา่ ย (Characteristics of Works in Photogrammetry)
1.3.1 การสำรวจรงั วัดดว้ ยภาพถา่ ยแบบวัดภาพ (Metric Photogrammetry)
การสำรวจรังวัดด้วยภาพถ่ายแบบวัดภาพเป็นการรังวัดบนภาพถ่ายที่เน้นไปที่การวัดพิกัดภาพ

และดำเนินการคำนวณเพื่อให้ได้ขนาดและรูปร่างของวัตถุต่างๆ ที่ต้องการวัดออกมาเพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐาน
สำหรับการออกแบบหรือการพัฒนาระบบฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศ ซึ่งในงานด้านวิศวกรรมโ ยธานั้น
จะตอ้ งการผลลพั ธท์ ไ่ี ดจ้ ากการวัดภาพในลกั ษณะตา่ ง ๆ ตอ่ ไปนี้

(1) ตัวเลข (Number) เป็นรูปแบบการเก็บบันทึกข้อมูลค่าพิกัดฉากสามมิติ (X, Y, Z)
ของจุดใดๆ บนวัตถุ ดังรูปที่ 1-17 ซึ่งมักจะเป็นตารางแสดงค่าพิกัดฉากของตำแหน่งสำคัญต่างๆ ได้แก่ มุมชายคาตึก
มมุ ถนน หรอื ตำแหน่งเสาธง เป็นต้น ข้อมลู เชิงตัวเลขน้ีจะถกู นำมาใชเ้ ป็นพ้ืนฐานในการสร้างแผนท่ีลายเส้นต่อไป

รปู ที่ 1-17 การเกบ็ บนั ทกึ ข้อมลู คา่ พกิ ดั ฉากสามมิติ (X, Y, Z)
(2) พอยต์คลาว (Point Cloud) เป็นกลุ่มของจุดสามมิติที่เก็บข้อมูลค่าของตำแหน่ง
ของขอบของวัตถุในพิกัดฉากสามมิติ (X, Y, Z) ดังรูปที่ 1-18 ซึ่งมักจะเก็บพร้อมกับค่าสีของวัตถุในรูปแบบ
ของแม่สีแดง เขียว ฟ้า (Red-Green-Blue: RGB) ควบคู่ไปด้วย โดยเก็บในรูปแบบของไฟล์ข้อมูลซึ่งในปัจจุบัน
จะเก็บในรูปแบบต่าง ๆ เช่น CSV, LAZ หรือ LAS เป็นต้น โดยพอยต์คลาวเหล่านี้เมื่อนำมาแสดงผลจะสามารถ
แสดงเป็นกลุ่มของจุดในลักษณะของพื้นผิวต่อเนื่องได้ จึงทำให้สามารถแสดงการเปลี่ยนแปลงขอ งพื้นผิว
เป็นรปู ทรงตา่ ง ๆ ของวัตถสุ ามมิติได้ จงึ นิยมนำมาใชใ้ นการประมวลผลรวมถงึ การวิเคราะหร์ ะยะทาง รวมถึงการ
ใชเ้ ปน็ ต้นแบบในการขึ้นรูปทรงสามมติ ิของวตั ถุ หรอื ลักษณะภูมปิ ระเทศ เป็นต้น

DPT KM ACTION PLAN 19

แนวคิดพ้นื ฐานของการสำรวจดว้ ยภาพถา่ ย

รูปที่ 1-18 ตัวอย่างกลมุ่ จดุ พิกัดสามมติ ิ (Point Cloud)
(3) แบบจำลองระดับพื้นผิว (Digital Surface Model: DSM) หรือ แบบจำลองความสูง
เชิงตัวเลข (Digital Elevation Model: DEM) หรือ แบบจำลองลักษณะภูมิประเทศ (Digital Terrain Model: DTM)
โดยผลผลิตเหล่านี้เป็นข้อมูลที่เก็บค่าความสูงต่ำและลักษณะภูมิประเทศในรูปแบบข้อมูลราสเตอร์ (Raster Data)
ที่เป็นตารางกริดซึ่งบรรจุเอาข้อมูลความสูงไว้ทั้งนี้ DSM จะเป็นผลลัพธ์ที่ได้เป็นผลผลิตโดยตรงจากงานรังวัด
ด้วยภาพถ่าย และเมื่อนำไปหักลบกับสิ่งปลูกสร้าง ความสูงต้นไม้และพืชพรรณต่างๆ ออกไป ก็จะได้เป็น DEM
หรือ DTM ที่เป็นความสูงที่ระดับพื้นดิน ซึ่งในการหักลบความสูง ดังรูป 1-19 นั้นจะเป็นการหักลบความสูง
ผ่านการสร้างแบบจำลองความสูงของพุ่มไม้ (Canopy Height Model: CHM) ดังรูปที่ 1-20 ทั้งนี้เนื่องจาก
พืชพรรณในแต่ละชนิดซึ่งมีความสูงของชั้นยอดเรือนที่ไม่เท่ากัน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการวิเคราะห์
ร่วมกบั งานแปลตคี วามภาพถ่ายร่วมดว้ ยในการสร้าง CHM

DPT KM ACTION PLAN 20

แนวคดิ พื้นฐานของการสำรวจด้วยภาพถ่าย

รปู ท่ี 1-19 ตัวอย่างของข้อมูลราสเตอร์ทเ่ี กบ็ ความสูงของลกั ษณะภมู ิประเทศ DSM และ DEM หรอื DTM 28

รปู ท่ี 1-20 ความสมั พันธ์ระหว่าง DSM ซึง่ มีการหกั ลบความสงู เพอื่ ผลติ DEM และ DTM 29
(4) แผนที่ภาพถ่ายออร์โธ (Ortho photo Map) เป็นแผนที่ภาพถ่ายที่มีการดัดแก้

ภาพถ่ายที่ปกติจะมีการฉายแบบศูนย์ทิวทัศน์ (Central Projection) ซึ่งทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนทางตำแหน่ง

28 ทม่ี า : https://www.slideshare.net/codefortomorrow/lidar-introduction-dataweekend
29 ทม่ี า : https://sites.google.com/site/lidardemservice/khwam-hmay-khxng-khxmul-khwam-sung-
phumiprathes-thi-hi-brikar

DPT KM ACTION PLAN 21

แนวคิดพน้ื ฐานของการสำรวจดว้ ยภาพถ่าย

บนภาพถ่ายให้เป็นการฉายภาพแบบตกฉากกับพื้นผิว (Orthogonal Projection) ผ่านกระบวนการปรับแก้
แบบออร์โธ (Orthorectification) ซึ่งมีการปรับแก้ความคลาดเคลื่อนเนื่องจากความสูงต่ำของภูมิประเทศ
โดยได้มีการจัดตำแหน่งของภาพถ่ายของวัตถุต่างๆ บนภาพให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ทั้งในกระบวนการ
ดัดแก้ภาพถ่ายน้ันจำเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องใช้แบบจำลองความสูงเข้ามาเป็นองค์ประกอบในการดัดแก้ร่วมดว้ ย
ตัวอย่างของแผนที่ภาพถ่ายออร์โธสีได้แสดงไว้ในรูปที่ 1-21 ซึ่งได้มีการนำมาออกแบบสถานีรถไฟฟ้ารางเบา
ในเขตเมืองขอนแก่น (Khonkean Light Rail Transit)

รูปที่ 1-21 แผนทภี่ าพถ่ายออรโ์ ธ (Ortho photo Map) 30
(5) แผนที่ลายเส้น (Line Map) เป็นแผนที่หรือแผนผังที่เป็นแผนที่ทางราบ
(Planimetric Map) ซึ่งเป็นการขยายแผนที่ภาพถ่ายออร์โธพร้อมๆ กับการแปลภาพถ่ายแล้วลอกลายเส้น
ออกมาเพื่อผลิตออกมาเป็นแผนที่ที่ใช้กันทั่วไปดังแสดงไว้ดังรูปที่ 1-22 นอกจากนี้ ยังเป็นแผนที่ภูมิประเทศ
(Topographic Map) ซึ่งเป็นการนำเสนอรายละเอียดทางราบควบคู่กับการนำเสนอความสูงต่ำ
ของลักษณะภูมิประเทศผ่านเส้นชั้นความสูง แผนที่ลายเส้นนี้นิยมที่จะจัดเก็บในรูปแบบของข้อมูลเวกเตอร์
(Vector Data)

30 ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/Orthophoto
DPT KM ACTION PLAN 22

แนวคดิ พื้นฐานของการสำรวจดว้ ยภาพถา่ ย

รูปที่ 1-22 แผนทลี่ ายเส้น (Line Map)
1.3.2 การแปลภาพถา่ ย (Interpretation Photogrammetry)
การแปลภาพเป็นการจำแนกและวินิจฉัยลักษณะของวัตถุต่างๆ ที่ปรากฏบนภาพถ่าย
แล้วมีการแปลตีความออกมาโดยการแปลตีความนั้นสามารถดำเนินการผ่านการแปลด้วยสายตา
(Visual Interpretation) เพื่อวัตถุประสงค์ในการชี้จำแนกและวินิจฉัยคุณลักษณะสิ่งต่างๆ บนภาพ ในปัจจุบันนี้
งานแปลภาพถ่ายไม่ได้จำกัดอยู่ที่งานรังวัดบนภาพถ่ายเท่านั้น แต่ได้ขยายไปถึงการแปลภาพถ่าย
จากงานสำรวจระยะไกล (Remote Sensing) ซึ่งหมายรวมถึงภาพถ่ายที่ได้โดรนที่ถ่ายด้วยกล้องแบบ
Multispectral ที่สามารถถ่ายภาพด้วยช่วงคลื่นอินฟราเรด รวมถึงกล้องแบบ Thermal Infrared
ที่สามารถถ่ายคลื่นความร้อนจากการแผ่รังสีของวัตถุ เป็นต้น ทั้งนี้งานแปลภาพและงานสำรวจจากระยะไกล
ทำให้สามารถได้ข้อมูลสิ่งต่างๆ บนภาพได้ทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ ซึ่งในปัจจุบันงานก่อสร้า ง
ด้านวิศวกรรมโยธาจะมีความเกี่ยวข้องกับการประเมินคุณภาพของสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์สภาวะแวดล้อม
และทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้น การแปลภาพถ่ายและงานสำรวจข้อมูลและวางแผนงาน การแปลภาพต่างๆ นั้น
ล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานจากการแปลภาพด้วยสายตาแล้ววิเคราะห์โดยใช้องค์ประกอบหลั กที่สำคัญ
ซ่งึ มีองค์ประกอบดงั น้ี

(1) รูปร่าง (Shape) รูปร่างของวัตถุซึ่งเป็นได้ทั้งรูปทรงเรขาคณิตที่มีขนาดแน่นอน
และสม่ำเสมอ (Regular) โดยส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น สนามบิน คลองชลประทาน
และเขื่อนกักเก็บน้ำ และสิ่งที่มีรูปร่างไม่แน่นอน (Irregular) เป็นไปตามธรรมชาติ เช่น เทือกเขา ชายหาด
และแมน่ ำ้ ตา่ งๆ เป็นตน้

DPT KM ACTION PLAN 23

แนวคิดพน้ื ฐานของการสำรวจดว้ ยภาพถา่ ย

(2) ขนาด (Size) ขนาดของภาพ การปรากฏขึ้นของวัตถุต่างๆ ในภาพถ่าย
ขึ้นอยู่กับขนาดของวัตถุ และมาตราส่วนของข้อมูลจากภาพถ่าย เช่น ความยาว ควา มกว้าง หรือพื้นที่
แสดงให้เห็นความแตกตา่ งของขนาดระหว่างแมน่ ้ำและลำคลอง

(3) ความเข้มของสีและสี (Tone and Color) ระดับความแตกต่างของความเข้ม
ของสีหนึ่งๆ ที่มีความสัมพันธ์กับค่าสะท้อนของช่วงคลื่นและการผสมสีของชนิดวัตถุในช่วงคลื่นต่างๆ
เช่น ในช่วงคลื่นที่ตามองเห็น (Visual Band) โดยความยาวคลื่นช่วงนี้อยู่ระหว่าง 380-750 นาโนเมตร
เมื่อมีการผสมสีแบบแดงเขียวน้ำเงิน (Red-Green-Blue) ในความยาวคลื่นท่ีสอดคล้องกับแม่สี จะได้ผลลัพธ์
เปน็ สีธรรมชาติ (Natural Color) ท่ีพืชมีสเี ขียว นำ้ มีสนี ำ้ เงิน หรอื ดินมสี นี ำ้ ตาล เป็นตน้

(4) ที่ตั้ง (Site) หรือตำแหน่งของวัตถุที่พบตามปกติและมีอยู่ในธรรมชาติ เช่น
สนามฟุตบอลและสนามเทนนิสควรตั้งอยู่ในโรงเรียน เขื่อนต้องตั้งขวางลำน้ำเพื่อกักเก็บน้ำ หรือ ป่าชายเลน
ควรทีจ่ ะต้งั ใกล้ชายฝัง่ ทะเล เป็นต้น

(5) ลวดลายบนภาพ (Texture) หรือความหยาบละเอียดของผิววัตถุ เป็นผลมาจาก
ความแปรปรวน หรอื ความสม่ำเสมอของวตั ถุ เชน่ นาข้าวควรมีลกั ษณะเปน็ ตารางตามแนวคนั นา แหล่งน้ำควร
มีลักษณะเรยี บ และปา่ ไมม้ ีลกั ษณะขรุขระ เป็นต้น

1.4 ประเภทของอากาศยานไร้คนขบั สำหรบั งานสำรวจดว้ ยภาพถา่ ย
ในปัจจุบัน อากาศยานไร้คนขับมีการแบ่งประเภทที่สามารถกำหนดรูปแบบการจัดได้หลายลักษณะ
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความมุ่งหมายในการนำไปใช้ภารกิจ คุณลักษณะเฉพาะของอากาศยานไร้คนขับเองที่ถูก
พัฒนาขึ้นสำหรับการใช้งานสำหรับภารกิจใดภารกิจหนึ่ง หรือสำหรับสภาวะของภูมิประเทศในการนำไปใช้
นอกจากนั้นในข้อพิจารณาดังกล่าว จะต้องคำนึงถึงว่าอากาศยานไร้คนขับดังกล่าวผู้นำไปใช้เป็นองค์กรใด
มีการใช้เพื่อความมุ่งหมายและเหตุผลใด ซึ่งนักวิชาการไทยได้กล่าวถึงการแบ่งประเภทของอากาศยานไร้คนขับ
ไว้ 8 ประเภท ดังน้ี

(1) แบ่งตามความตอ้ งการของการใช้
(2) แบ่งตามลกั ษณะการควบคุม
(3) แบ่งตามลกั ษณะประเภทของการบิน
(4) แบง่ ตามขดี ความสามารถของระยะปฏิบัตกิ าร
(5) แบ่งตามความสงู ของเพดานบิน และหว้ งเวลาในการครองอากาศ
(6) แบง่ ตามระดบั ของการปฏบิ ัติการ
(7) แบง่ ตามลกั ษณะการสรา้ ง
(8) แบ่งตามการสนบั สนนุ และการสง่ กำลังบำรุง
โดยมาตรฐานฉบับนีจ้ ะแบ่งประเภทอากาศยานไร้คนขับสำหรับงานสำรวจด้วยภาพถ่าย สามารถแบ่งออกเป็น
4 ประเภท ดงั นี้

DPT KM ACTION PLAN 24

แนวคดิ พน้ื ฐานของการสำรวจดว้ ยภาพถ่าย

1.4.1 อากาศยานไร้คนขบั ชนดิ ปีกตรงึ (Fixed Wing)
อากาศยานไร้คนขับชนิดปีกตรึง (Fixed Wing) เป็นอากาศยานที่มีลักษณะคล้ายกับ
เครื่องบินทั่วไป ใช้ระยะเวลาการบินประมาณ 30-60 นาที สามารถบินครอบคลุมพื้นที่ได้มากกว่า
อากาศยานไรค้ นขับแบบปีกหมุน ในการลงจอดจะตอ้ งอาศัยพื้นทีโ่ ลง่ กวา้ งพอสมควร

รูปที่ 1-23 อากาศยานไรค้ นขับชนิดปีกตรงึ (Fixed Wing) 31
1.4.2 อากาศยานไรค้ นขับชนิดปีกหมนุ (Multirotor)
อากาศยานไร้คนขับชนิดปีกหมุน (Multirotor) เป็นอากาศยานขึ้นลงแนวดิ่งอาศัยการหมุน
ของใบพัดในการขึ้นลงและขับเคลื่อนไปในทิศทางต่างๆ ประกอบด้วยใบพัดจำนวน 3, 4, 6 และ 8 ใบพัด
โดยท่วั ไปใช้ระยะเวลาการบนิ ประมาณ 10-20 นาที

31 ที่มา : indiamart.com/proddetail/fixed-wing-uav-for-aerial-mapping-and-survey-surveillance
DPT KM ACTION PLAN 25

แนวคดิ พน้ื ฐานของการสำรวจดว้ ยภาพถ่าย

รูปที่ 1-24 อากาศยานไรค้ นขับชนิดปีกหมุน (Multirotor) 32
1.4.3 อากาศยานไร้คนขับชนิดปกี หมนุ เด่ยี ว (Single-Rotor Helicopter)
อากาศยานไร้คนขับชนิดปีกหมุนเดี่ยว (Single-Rotor Helicopter) เป็นอากาศยาน ที่มีรูปร่าง
และโครงสร้างคล้ายเฮลิคอปเตอร์ ไม่เหมือนอากาศยานไร้คนขับชนิดปีกหมุน มีใบพัดขนาดใหญ่เพียงใบเดียว
ที่ใช้ในการเคลื่อนที่และมีใบพัดขนาดเล็กอยูบ่ นหางของอากาศยานเพื่อควบคุมทิศทางในการบิน ซึ่งจะมีประสิทธิภาพ
มากกว่าอากาศยานไร้คนขบั ชนดิ ปีกหมุนบางรุ่น

32 ทม่ี า : https://www.djibangkok.com/shop/mavic-2-pro/)
DPT KM ACTION PLAN 26

แนวคิดพืน้ ฐานของการสำรวจดว้ ยภาพถา่ ย

รูปที่ 1-25 อากาศยานไร้คนขบั ชนิดปกี หมุนเด่ยี ว (Single-Rotor Helicopter) 33
1.4.4 อากาศยานไรค้ นขับชนดิ ปีกตรงึ ขึ้นลงแนวดงิ่ (Fixed-Wing Hybrid)
อากาศยานไร้คนขับชนิดปีกตรึงขึ้นลงแนวดิ่ง (Fixed-Wing Hybrid) เป็นอากาศยานที่ได้รับ

การพัฒนาขึ้นมาใหม่ มีลำตัวอากาศยานเป็นแบบอากาศยานไร้คนขับชนิดปีกตรึง แต่สามารถขึ้นลงแนวดิ่งได้
ซึ่งเป็นการนำเอาข้อดขี องประเภทอากาศยานไร้คนขบั ชนิดปกี ตรงึ มารวมกบั อากาศยานไรค้ นขับชนดิ ปกี หมนุ

รูปที่ 1-26 อากาศยานไรค้ นขบั ชนดิ ปกี ตรึงขนึ้ ลงแนวดง่ิ (Fixed-Wing Hybrid) 34

33 ทม่ี า : https://www.uasvisfor-rainwater-removal
34 ทม่ี า : https://www.pinterest.com/pin/621919029763321101

DPT KM ACTION PLAN 27

แนวคดิ พนื้ ฐานของการสำรวจด้วยภาพถ่าย

อากาศยานไร้คนขับแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันในรูปลักษณ์ และความเหมาะสมในการเลือกใช้
เปรยี บเทยี บข้อดี ข้อเสียของแตล่ ะชนดิ ได้จากตาราง

ประเภทของอากาศยานไรค้ นขับ ข้อดี ขอ้ เสยี
อากาศยานไร้คนขับชนดิ ปีกตรงึ ระยะเวลาในการบนิ ไดน้ าน ใช้พน้ื ที่ขึ้นลงมาก
ครอบคลุมพ้นื ท่ีได้กว้าง ราคาสูง
อากาศยานไร้คนขบั ชนิดปกี หมุน บินดว้ ยความเร็วสูง ใชง้ านยาก
ทนตอ่ แรงลม
อากาศยานไร้คนขบั ชนดิ ปีกหมนุ งา่ ยต่อการใชง้ าน บินชา้
เดยี่ ว ใช้พน้ื ที่ข้นึ ลงนอ้ ย ระยะเวลาในการบินน้อย
อากาศยานไร้คนขบั ชนดิ ปีกตรึง ราคาถกู
ข้นึ ลงแนวดิ่ง ใช้พ้นื ทข่ี ้ึนลงนอ้ ย ราคาสงู
ระยะเวลาในการบินได้นาน ใชง้ านยาก
ใชพ้ นื้ ที่ขน้ึ ลงนอ้ ย ราคาสูงมาก
ระยะเวลาในการบินได้นาน ใช้งานยาก
ครอบคลุมพนื้ ทีไ่ ด้กวา้ ง
บินด้วยความเร็วสูง
ทนตอ่ แรงลม

ตารางที่ 1-1 ความแตกตา่ งกนั ในรปู ลกั ษณแ์ ละความเหมาะสมในการ เลอื กใชอ้ ากาศยานไร้คนขบั

1.5 สว่ นประกอบของอากาศยานไรค้ นขับสำหรับงานสำรวจดว้ ยภาพถ่าย
จากคำจำกัดความของอากาศยานไร้คนขับ หมายถึงเครื่องบินที่สามารถบินได้ด้วยระบบอัตโนมัติ
โดยไม่ใช้นักบิน จะเห็นว่าลักษณะของอากาศยานไร้คนขับจะกำหนดได้จากการออกแบบการสร้างระบบต่างๆ
ในอากาศยานไร้คนขับและระบบสนับสนุนที่อยู่บนพื้นดิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้มาจากความต้องการหลัก 5 ประการ
คือ ระยะเวลาบิน ความเร็ว รัศมีทำการ ความสูง และน้ำหนักรวม เมื่อพิจารณาโดยรวมทั้งระบบแล้ว
ระบบอากาศยานไร้คนขบั จะแยกได้ 10 ส่วน คอื

(1) โครงเครื่องบิน (Airframe) มีรูปร่างที่แตกต่างกันตามแต่ละประเภทของอากาศยานไร้คนขับ
ในลำตวั ประกอบด้วย เฟรม มอเตอร์ ใบพดั ชุดอิเลก็ ทรอนกิ สค์ วบคมุ รอบมอเตอรห์ รอื เซอร์โวสำหรับเคร่ืองบนิ ปกี แข็ง
ส่วนวสั ดทุ ใี่ ช้กม็ หี ลายแบบ เช่น โลหะ พลาสติกผสม คาร์บอนไฟเบอรผ์ สม

DPT KM ACTION PLAN 28

แนวคดิ พื้นฐานของการสำรวจดว้ ยภาพถา่ ย

(2) ระบบควบคุม (Control System) เป็นแบบการบังคับโดยใช้วิทยุจากพื้นดิน
หรือควบคุมการบินด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ชุดควบคุมการบิน ประกอบด้วย ตัวปรับแก้ความเอียง IMU
ทำงานรว่ มกับ GPS และตัวตรวจจบั อน่ื ๆ เพ่ือรกั ษาระดับความสูงและตำแหน่ง

(3) กลอ้ ง (Camera) เปน็ อปุ กรณส์ ำหรับการถา่ ยภาพทางอากาศ
(4) ระบบการปล่อยและลงจอด (Launch and Landing System) การปล่อยอากาศยานไร้คนขับ
ขึ้นบินทำได้หลายวิธี เช่น การยิงจากเครื่องส่ง (Launch) การวิ่งขึ้นจากทางวิ่ง การโยน และการลงจอด
ก็มีหลายวธิ ี เช่น การจบั ด้วยตาข่าย การใชร้ ่มชชู พี การใช้พาราฟอยล์ และการบงั คับลงบนรันเวย์
(5) ระบบนำร่องและนำวิถี (Navigation and Guidance System) จะใช้ GNSS เป็นอุปกรณ์ทำงาน
ดา้ นระบบนำร่องและนำวิถซี ึ่งเป็นสว่ นทีส่ ำคญั ของอากาศยานไร้คนขบั
(6) ระบบควบคุมและสนับสนุนภาคพื้น (Ground Control Station) หลักการทำงาน
คล้ายๆ กับระบบควบคุมภาคพื้นของอากาศยานทั่วๆ ไป โดยมีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานและตรวจข้อมูลต่าง ๆ
ที่ส่งมาจากอากาศยานไร้คนขบั
(7) ช่องสัมภาระที่บรรทุกได้ (Payload) เช่น กล้องถ่ายภาพ แบตเตอรี่ อุปกรณ์นำร่อง
ภาครับ PPK เปน็ ตน้
(8) ระบบการเชื่อมต่อและเก็บข้อมูล (Data Link and Storage System) ระบบเชื่อมต่อ
ระหว่างอากาศยานไร้คนขับและระบบควบคุมและสนับสนุนภาคพื้น ใช้หลายย่านความถี่ เช่น ย่านความถี่สูง
(HF) ย่านความถีส่ งู มาก (VHF) และย่านไมโครเวฟ
(9) ระบบป้องกันตนเอง (Self-Protection Systems) อากาศยานจะมีระบบป้องกันตนเองเบื้องตน้
เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับอากาศยานในระหว่างการบิน เช่น เมื่อแบตเตอร่ีใกล้หมดแต่ยังไม่ถึงจุดร่อนลง
อากาศยานจะรอ่ นลงเองอตั โนมตั ิเพ่ือไม่ใหเ้ กดิ การทง้ิ ตัวในระหว่างการบนิ
(10) ผู้ควบคุมอากาศยาน (Pilot) ต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์สงู และได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี
เพื่อไมใ่ หเ้ กดิ ความเสียหายระหวา่ งการบินและไดข้ อ้ มูลภาพถ่ายทสี่ ามารถนำมาประมวลผลไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
1.6 การแบง่ ประเภทกล้องดจิ ิทัลและความถูกต้องเชิงตำแหนง่ พกิ ดั จุดถา่ ยภาพ
เนอื่ งจากกล้องดจิ ทิ ลั มีผลโดยตรงต่อความถูกต้องเชิงตำแหน่งของการสำรวจด้วยอากาศยานไร้คนขับ
ดังนั้น มาตรฐานฉบับนี้จะแบ่งประเภทกล้องดิจิทัลตามความถูกต้องเชิงตำแหน่งของข้อมูลที่ผลิตได้
โดยมีพารามิเตอร์ที่ใช้แบ่งประกอบด้วย ประเภทของชัตเตอร์ ชนิดของเลนส์ ขนาดของเซนเซอร์ ค่าความละเอียด
ของภาพถ่าย และความถูกต้องเชิงตำแหน่งของพิกัดภาพถ่าย โดยกล้องแต่ละประเภทจะมี วิธีการ
และมาตรฐานการทำงานท่แี ตกตา่ งกัน เช่น การกำหนดตำแหนง่ และจำนวนจุดควบคุมทางราบ (GCP) เปน็ ต้น

DPT KM ACTION PLAN 29

แนวคิดพน้ื ฐานของการสำรวจด้วยภาพถ่าย

สามารถแบง่ ประเภทของกลอ้ งดจิ ิทัลได้ดงั นี้
(1) Consumer Grade
(2) Professional Grade
(3) Survey Grade

โดยประเภทของกลอ้ งดจิ ิทลั แตล่ ะประเภทจะเป็นไปตามตาราง

ประเภทของ ประเภท ชนิดของ ขนาดของ คา่ ความ การรังวดั คา่ ความถกู ค่าความถกู
กลอ้ งถา่ ยภาพ ของชัตเตอร์ เลนส์ เซนเซอร์ ละเอียดของ พิกดั ต้อง ทางราบ ตอ้ งทางดงิ่
ภาพถา่ ย ท่รี ะดับความ ระดบั ความ
Consumer Rolling N/A < 1'' ภาพถ่าย เชอ่ื มนั่ ท่ี 95% เช่อื มนั่ ที่ 95%
grade Shutter Prime Lens ≥ 1'' < 16 MP
Professional global Prime Lens ≥ 1'' DGPS 5 GSD 6 GSD
grade Shutter ≥ 16 MP
Survey grade global DGPS 2 GSD 3.5 GSD
Shutter ≥ 16 MP
PPK/RTK 2 GSD 3 GSD

ตารางท่ี 1-2 แสดงการแบ่งประเภทของกล้องถา่ ยภาพ

DPT KM ACTION PLAN 30

โครงข่ายสามเหลีย่ มทางอากาศ

บทที่ 2
โครงข่ายสามเหล่ียมทางอากาศ

โครงข่ายสามเหลี่ยมทางอากาศ (Aerial Triangulation หรือ Aerotriangulation) เป็นกระบวนการหาค่า
และปรับแก้ค่าการจัดวางภายนอกของภาพ เช่น ตาแหน่งการถ่ายภาพ การหมุนแกนกล้องของภาพถ่าย
พร้อมกนั ทง้ั บล็อคการประมวลผล ซงึ่ คา่ พารามิเตอรเ์ หลา่ นีจ้ ะมสี ว่ นสาคัญอย่างมากในการคานวณหาตาแหนง่
ของวัตถุที่ต้องการรังวัด นอกจากนี้ยังเป็นการเพ่ิมจานวนจุดควบคุมภาพถ่าย (Photo Control Points)
ในบล็อคของการถ่ายภาพทุกภาพเป็นจานวนมาก โดยไมต่ ้องทาการรงั วัดจุดควบคุมเพิ่มในสนาม แตย่ งั คงตอ้ ง
มีการรังวัดจดุ ควบคุมในสนามบางสว่ นเพื่อการโยงยึดและปรบั แก้ค่าพารามเิ ตอรต์ ่างๆ ให้ถูกต้องตามเกณฑ์
งานทก่ี าหนดและอยูใ่ นระบบพกิ ดั ทตี่ ้องการ

2.1 จดุ ควบคมุ ภาพถ่าย
จุดควบคุมภาพถ่าย คอื จุดใดบนภาพถา่ ยทมี่ ลี กั ษณะเด่นชัด สามารถระบชุ ดั ทางตาแหนง่ ได้อย่างชดั เจน
ทง้ั ในสนามและบนภาพถ่าย อาจจะเปน็ จุดท่ปี ระดษิ ฐข์ ึน้ แลว้ นามาวางหรอื จดุ ท่ีมคี วามเดน่ ชดั ตามภมู ปิ ระเทศกไ็ ด้
แต่ในกรณีที่ต้องการผลการคานวณปรับแก้ของโครงข่ายสามเหลี่ยมทางอากาศให้มีคุณภาพที่ดีขึ้น
และมีความละเอียดถูกตอ้ งและนา่ เช่ือถือ ซงึ่ จะสง่ ผลทาใหก้ ารผลติ แผนท่มี ีความละเอียดถูกต้องสงู ขนึ้ ตามไปดว้ ย
ในพนื้ ท่ีสารวจจรงิ จาเป็นจะต้องมจี ุดควบคมุ ภาพถา่ ยทป่ี ระดิษฐข์ ้นึ จุดควบคมุ ภาพถา่ ยชนิดท่เี ป็นเปา้ ลว่ งหน้า
(Premarking Target) หรือเป้าชนิดส่งสัญญาณ (Signalized Target) ซึ่งจะต้องเตรียมการล่วงหน้า
ด้วยวสั ดทุ มี่ คี วามเดน่ ชดั ในภมู ิประเทศ บนภาพถ่ายจะตอ้ งมคี วามคมชดั ตัดกับสภาพแวดลอ้ มและสามารถบง่ ชไี้ ด้ง่าย
จากภาพถา่ ย ในกรณขี องภาพถา่ ยดจิ ติ อลควรจะต้องมขี นาดบนภาพมากกว่า 5-10 จดุ ภาพ (Pixel) เป้าลว่ งหน้านี้
จะต้องดาเนินการวางให้เสรจ็ และเฝ้าระวังจนกว่าจะมีการบนิ ถ่ายภาพแล้วเสร็จ อีกท้ังต้องสามารถกลบั มา
เก็บพิกัดภาคพื้นดินภายหลงั ได้อกี ด้วย

DPT KM ACTION PLAN 31

โครงข่ายสามเหลีย่ มทางอากาศ

รูปที่ 2-1 ตวั อย่างการวางจดุ ควบคุมภาพถ่าย
2.1.1 การรงั วดั พกิ ดั ภาคพื้นดนิ (Ground Observation of GCP)
ของจุดควบคุมภาพถ่ายภาคพ้ืนดินถือเป็นข้อมูลที่สาคัญที่ช่วยในการวิเคราะห์คา่ องค์ประกอบ
ของภาพถ่ายภายนอกโดยจดุ ควบคมุ ภาพถา่ ยน้คี วรจะตอ้ งมีการรงั วัดคาพิกดั โดยโยงยึดเข้ากับหมดุ หลกั ฐานต่างๆ
เช่น หมุดหลักฐานของกรมแผนที่ทหาร กรมท่ีดิน หรือของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น ท้ังน้ี
เพ่ือให้ผลผลติ ที่ได้จากการสารวจด้วยภาพถา่ ยสามารถเป็นข้อมลู ท่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ต่อยอดเขา้ กับช้ันข้อมูล
ภูมิสารสนเทศของหน่วยงานอ่นื ๆ ต่อไปไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
วิธีการรังวัดด้วยระบบดาวเทียมนาหนพิภพ (Global Navigation Satellite System: GNSS)
เป็นวิธกี ารรังวัดค่าพิกัดท่นี ิยมนามาใช้ในการสรา้ งหมดุ หลกั ฐานสาหรบั ใช้เป็นคา่ พิกดั จดุ ควบคุมในการสารวจ
ดว้ ยภาพถ่าย โดยเหตุนี้ ความเขา้ ใจถึงวิธีการรังวัดพิกัดภาคพ้ืนดินด้วยการรงั วัดด้วยระบบดาวเทียมนาหนพิภพ
GNSS จึงกลายเป็นส่ิงจาเปน็ ซง่ึ จะมีรายละเอยี ด โดยสรุปย่อทต่ี อ้ งทาความเขา้ ใจดงั ตอ่ ไปน้ี
2.1.2 ชนิดของเครื่องรับสญั ญาณดาวเทียม GNSS (Type of GNSS Receiver)
เครอ่ื งรบั สัญญาณดาวเทยี ม GNSSสามารถแบง่ เป็น 2 ประเภทหลกั คือ เครอื่ งรบั สญั ญาณดาวเทยี ม
GNSS แบบมือถือ (Handheld GNSS Receiver) และเคร่ืองรับสัญญาณดาวเทียม GNSS แบบรังวัด
(Surveying or Geodetic Receiver) ซ่ึงเคร่ืองรับสัญญาณดาวเทียม GNSS ทั้งสองประเภทมีรายละเอียด
ดงั น้ี

DPT KM ACTION PLAN 32

โครงขา่ ยสามเหลย่ี มทางอากาศ

(1) เครื่องรับสัญญาณดาวเทียม GNSS แบบมือถือ (Handheld GNSS)
เป็นเคร่ืองรบั สัญญาณดาวเทยี มระบบ GNSS ที่มขี นาดทใ่ี กลเ้ คียงกับโทรศัพท์มอื ถือ ทาให้สามารถพกพาได้
อย่างสะดวก โดยเหตุน้ีเอง จึงถูกเรียกว่า เคร่ืองรับสัญญาณ GNSS แบบมือถือ เคร่ืองรับสัญญาณ GNSS
ประเภทนี้ใช้หลกั การของการรังวัดด้วยดาวเทียม GPS แบบสัมบูรณโ์ ดยอาศัยขอ้ มลู ซูโดเรนจ์ มาประมวลผล
เพอื่ หาค่าพิกัดตาแหนง่ โดยจะให้ค่าความถกู ต้องทางตาแหน่งในระดบั 10-20 เมตรและเครอื่ งรบั สัญญาณชนดิ นี้
มีราคาค่อนขา้ งถูกและใช้งานงา่ ย และมีด้วยกันหลายย่หี อ้ โดยยี่ห้อท่ไี ด้รบั ความนิยมในปัจจบุ ัน คือ Garmin
ดงั รปู ที่ 2-2 ซึง่ ความถกู ตอ้ งทางตาแหน่งที่ได้รบั น้นั เหมาะกับการใช้งานในชีวติ ประจาวันและงานท่ีไมต่ อ้ งการ
ความถูกต้องที่สูงมากนัก เช่น การเก็บตัวอย่างข้อมูลเชิงพื้นที่สาหรับการวิเคราะห์ในเชิงภูมิสารสนเทศ
การเก็บขอ้ มูลเพ่ือใชใ้ นการสารวจระยะไกล (Remote Sensing) และงานนาชต้ี าแหน่งแปลงทดี่ ินในการสารวจสังเขป
เป็นต้น อย่างไรก็ตามเครื่องรับสัญญาณดาวเทียม GNSS แบบมือถือไม่มีขีดความสามารถในการรังวัด
พิกดั หมดุ บังคับภาพสาหรับงานสารวจตวั ภาพถ่าย

รปู ที่ 2-2 เครอ่ื งรบั สญั ญาณดาวเทยี ม GNSS แบบมอื ถอื (Handheld GNSS) 35
(2) เครื่องรับสัญญาณดาวเทียม GNSS แบบรังวัดพิกัดหมุดควบคุม สามารถ

แบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 ประเภทย่อย ดงั นี้
(2.1) เครื่องรับสัญญาณ GNSS แบบรังวัดพิกัดหมุดควบคุมที่รับ

สัญญาณดาวเทียม GPS แบบความถ่ีเดียว (Single Frequency Receiver) เป็นเคร่ืองรับสัญญาณดาวเทยี ม

35 ที่มา : https://www.cstshop.net/product/377/gpsmap64sx%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%
B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AD-garminthai-gps

DPT KM ACTION PLAN 33

โครงขา่ ยสามเหลี่ยมทางอากาศ

ท่ีรับสัญญาณดาวเทียม GPS โดยการวัดคล่ืนส่งท่ีความถ่ี L1 ได้เพียงความถี่เดียวเท่าน้ัน ซ่ึงเครื่องรับชนดิ นี้
มีราคาถกู กว่าเคร่ืองรับแบบสองความถ่ี ทงั้ น้ีเพราะเมื่อนาขอ้ มูลรงั วดั พกิ ัดดาวเทียมความถี่เดียวมาประมวลผล
แบบเฟสของคล่ืนส่งจะให้ค่าความถูกต้องที่น้อยกว่าการประมวลผลในแบบเดียวกันโดยใช้ข้อมูลรังวัดพิกดั
ดาวเทียมแบบสองความถี่ (L1 และ L2)

รูปท่ี 2-3 เคร่อื งรบั สญั ญาณ GNSS แบบความถี่เดียว (Single Frequency Receiver) 36
(2.2) เคร่ืองรับสัญญาณ GNSS ที่สามารถรับสัญญาณดาวเทียม GPS

แบบสองความถ่ีและหลายระบบดาวเทียมนาหน (Dual-Frequency Receiver and Multi-GNSS Receiver)
ดังรูปที่ 2-4 เปน็ เคร่อื งรับสัญญาณ GNSS ที่สามารถรับสัญญาณดาวเทียม GPS ของประเทศสหรฐั อเมรกิ าที่ความถี่
L1 และ L2 ยง่ิ ไปกว่านน้ั ในปัจจบุ ันเคร่ืองรบั สญั ญาณดาวเทยี มได้ถกู พฒั นาใหส้ ามารถรบั สญั ญาณดาวเทียม
GPS ความถี่ L5 พรอ้ มด้วยขดี ความสามารถรับสัญญาณดาวเทียมในระบบอืน่ ๆ เช่น ระบบดาวเทยี ม GLONASS
ของประเทศรัสเซีย ระบบดาวเทียม Baidu ของประเทศจีน ระบบดาวเทียม QZSS ของประเทศญี่ปุ่น
และ ระบบดาวเทียม GALILEO ของสหภาพยโุ รป เป็นตน้

36 ที่มา : http://surveyingequipmentguide.blogspot.com/2008/10/introducing-sokkia-gsr1700-csx-single.html
DPT KM ACTION PLAN 34

โครงขา่ ยสามเหล่ยี มทางอากาศ

รูปท่ี 2-4 เครื่องรบั สญั ญาณ GNSS แบบสองความถีแ่ ละหลายระบบดาวเทียมนาหน
(Dual-Frequency Receiver and Multi-GNSS Receiver) 37

2.1.3 เทคนิคในการรงั วดั ดว้ ยดาวเทียมจพี ีเอสแบบสมั พทั ธ์ (Differential or Relative GPS
Positioning)

โดยสว่ นใหญแ่ ลว้ การรงั วดั หาตาแหน่งคา่ พกิ ดั ของจุดควบคุมภาพถ่ายน้ันต้องการความถกู ต้อง
ทางตาแหน่งสูง ทั้งนี้เพราะเป็นงานรังวัดควบคุม จึงจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องใช้การหาค่าพิกัดแบบสัมพัทธ์
ซึ่งเป็นการใช้เคร่ืองรับสัญญาณดาวเทียมอย่างน้อย 2 เครื่อง โดยจะเป็นการวางเคร่ืองรับสัญญาณ GNSS
เคร่ืองหนง่ึ อย่ทู จ่ี ุดท่ที ราบค่าพกิ ัดแล้วซึง่ อาจจะเปน็ หมดุ หลกั ฐานกรมแผนที่ทหาร หรอื หมดุ หลักฐานกรมทด่ี นิ
หรือหมดุ หลักฐานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปน็ ตน้ ทั้งนี้ เคร่อื งหน่ึงตงั้ ที่จุดทราบค่าพิกัดโดยจะถกู เรยี กวา่
สถานีฐาน (Base Station) ส่วนเคร่ืองรบั อีกเคร่ืองจะถูกนาไปวางตรงจดุ ทตี่ ้องการทราบค่าพิกัดที่จะถูกเรียกวา่
โรเวอร์ (Rover) ผลท่ีได้จากการทางานในลักษณะนี้คือ ตาแหน่งเปรียบเทียบของจุดหน่ึงกับอีกชุดหน่ึง
หรอื เป็นเส้นฐานทีม่ ีทิศทางระหว่างจดุ ท่นี าเครอ่ื งรบั ทั้งสองไป ตงั้ รบั สญั ญาณ โดยการหาค่าพกิ ัดแบบสมั พัทธ์
เรียกว่า Differential GPS (DGPS) โดยการใช้ข้อมูลเฟสของคลื่นส่งมาประมวลผลเพื่อหาค่าพิกัด
จะให้ค่าความถูกต้องสูงในระดับเซนตเิ มตร และอาจสูงถึงระดับมิลลเิ มตรขึ้นอยู่กบั วิธีท่ใี ช้ในการรังวดั ในปัจจุบัน
ซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ท่ีใช้ในการประมวลผลข้อมลู เฟสคล่ืนส่งได้โดยจะได้รับมาพร้อมกับชุดเครื่องรับสัญญาณ
GNSS แบบรังวัด สาหรับการสารวจด้วยภาพถ่ายในภาระการรังวัดพิกัดจุดควบคุมภาพในภาคพื้นดิน

37 ท่มี า : https://www.sisirl.com/survey-equipment-product/leica-gs18-t-gnss-smart-antenna/

DPT KM ACTION PLAN 35

โครงขา่ ยสามเหลยี่ มทางอากาศ

นั้นควรจะรับสัญญาณด้วยเครื่องรับสัญญาณแบบรังวัดและใช้ข้อมูลเ ฟสคล่ืนส่งในการประมวลเท่านั้น

จึงจะมีความถูกต้องทางตาแหน่งของหมุดบงั คับในระดับท่ีเหมาะสม ซ่ึงวิธีการรังวัดในภาคสนามในปจั จุบัน

สามารถแบง่ ไดด้ งั แสดงในตารางที่ 2-1 ซึง่ มรี ายละเอียดดงั น้ี

วิธีการที่ใช้ อุปกรณ์ทจี่ าเป็นต่อการทางาน วธิ ีการทางานในสนาม ค่าความถกู ตอ้ ง

STATIC เคร่ืองรับแบบรงั วดั ตั้งเคร่ืองรบั สญั ญาณดาวเทยี มนา 5 มม. – 2.5 ซม.

ชนิดความถ่ีเดยี ว หนพภิ พทง้ั สองอยู่กบั ท่ี 1-2 ชั่วโมง

หรอื หลายความถ่ี และในระหวา่ งทางานต้องมี

ดาวเทยี มอย่างน้อย 4 ดวง

RAPID เครื่องรับแบบรังวัด ต้งั เคร่อื งรบั สญั ญาณดาวเทียมนา 1-3 ซม.

STATIC ชนดิ ความถ่ีเดียว หนพภิ พทง้ั สองอยกู่ บั ที1่ 0-20 นาที

หรอื หลายความถี่ และในระหวา่ งทางานต้องมจี านวน

ดาวเทียมอยา่ งนอ้ ย 4 ดวง

KINEMATIC เครื่องรับแบบรงั วดั สามารถเคล่อื นยา้ ยเครือ่ งรบั 1-5 ซม.

ชนดิ ความถเ่ี ดียว สัญญาณดาวเทยี มนาหนพภิ พไป

หรือหลายความถี่ ตามจุดทตี่ ้องการหาค่าพิกดั ไดแ้ ต่

ตอ้ งทาการเรม่ิ ต้น (Initialize)

สญั ญาณใช้เวลาประมาณ 5-10

นาที และในระหว่างทางานตอ้ ง

สามารถรับดาวเทียมอย่างตอ่ เนื่อง

RTK เครอื่ งรบั แบบรงั วดั สามารถเคลือ่ นยา้ ยเคร่อื งรบั 1-5 ซม.

ชนดิ หลายความถ่ีเท่านั้น สัญญาณดาวเทยี มนาหนพภิ พไป

และอุปกรณส์ ่ือสาร ตามจดุ ท่ีตอ้ งการหาคา่ พิกัดให้แต่

ใชไ้ ดท้ ั้งเครื่องรับส่งวิทยุ ต้องรอจุดละประมาณ 1-2 นาที

หรอื โทรศัพท์มอื ถอื โดยในระหวา่ งทางานตอ้ งมี

ดาวเทียมอยา่ งนอ้ ย 5 ดวงและตอ้ ง

รบั คา่ ปรับแกจ้ ากสถานีฐานได้

ตารางท่ี 2-1 รายละเอียดเทคนิควธิ ีการรงั วดั หาค่าพิกดั ดว้ ยระบบดาวเทียมนาหนพิภพ (GNSS) โดยสรปุ

(1) การรงั วดั แบบสถิต (Static Survey) เปน็ วธิ ีพื้นฐานของการวัดระยะโดยใช้คล่ืนส่ง
โดยใช้เครื่องรับตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป เคร่ืองรับเครื่องหนึ่งนาไปวางอยู่ ณ จุดท่ีทราบค่าพิกัดเพ่ือใช้อ้างอิง
ส่วนเครื่องท่ีเหลอื วางไว้ ณ จุดท่ีต้องการหาตาแหน่งเพิ่มเติม โดยปกติจะต้ังเครื่องรับสัญญาณไว้ไม่น้อยกว่า

DPT KM ACTION PLAN 36

โครงข่ายสามเหลยี่ มทางอากาศ

45 นาที แต่ถ้าจะให้ใด้ผลการรังวดั ที่ดีควรจะรงั วัดนาน 1-2 ชว่ั โมง ทง้ั น้เี พื่อให้มีขอ้ มลู ของการวัดระยะเพียงพอ
ที่จะประมวลผลหาจานวนคลื่นเต็มรอบที่ไม่สามารถวัดได้ โดยหลักการแล้ววิธีการน้ีใช้หาตาแหน่งสัมพัทธ์
ระหว่างจุดสองจุดที่อยู่ห่างกันเป็นระยะทางยาวได้ แต่การใช้ซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์หรือซอฟต์แวร์
ของโรงงานผลติ เครื่องรบั น้นั ระยะทางสงู สดุ ท่ีใหค้ วามถกู ต้องได้ตามข้อกาหนดของเครอื่ งรับจะอยูป่ ระมาณ
20-30 กโิ ลเมตร เทา่ นั้น

รปู ท่ี 2-5 การรงั วัดแบบสถิต (Static Survey)
(2) การรังวัดแบบสถิตชนิดเรว็ (Rapid Static Survey) มีวิธีการทางานเหมือนกบั
การรังวัตแบบสถิตข้างต้น แต่ต้องการข้อมูลน้อยกว่า เพื่อนามาประมวลผลหาจานวนคล่ืนเต็มรอบ
ในการหาตาแหน่งของจดุ ท่ีอยู่ห่างจากจุดอ้างอิงไมเ่ กิน 5 กิโลเมตร จะใช้เวลาในการเก็บข้อมูลราว 10-20 นาที
อัลกอริทึมท่ีใช้ในการประมวลผลวิธีรังวัดสถิตอย่างเร็วจะแตกต่างจากวิธีรังวัดแบบสถิตธรรมดาตามปกติ
จะใช้ได้สาหรับจุดที่อยู่ห่างจากจุดอ้างอิงไมเ่ กนิ 15 กโิ ลเมตร
(3) การรังวดั แบบจลน์ (Kinematic Survey) ถกู พฒั นาข้ึนเพ่ือใหส้ ามารถหาตาแหน่ง
ของจุดท่ีต้องการให้เรว็ ข้ึน คือจะใช้เวลาในการรับข้อมูล ณ จุดท่ีต้องการในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที แต่วิธีการน้ี
ก็มีจุดด้อยคือ มีวิธีการเร่ิมงาน (Initialization) ผ่านการรับสัญญาณเริ่มต้นซ่งึ จะใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที
และในระหว่างทางานตอ้ งสามารถรบั ดาวเทยี มอยา่ งต่อเนอ่ื ง โดยจะเปน็ วิธกี ารทางานเพ่อื ใหส้ ามารถประมวลผล
หาจานวนคลื่นเต็มรอบได้ สิ่งที่ต้องคานึงถึง ณ ขณะทางานคือ เครื่องรับจ ะต้องรับสัญญาณต่อเน่ือง

DPT KM ACTION PLAN 37

โครงข่ายสามเหลยี่ มทางอากาศ

จากดาวเทียมอยา่ งน้อย 4 ดวงตลอดเวลา แม้กระท่ัง ในขณะที่กาลังเคลอื่ นย้ายจากจุดหน่ึงไปยังอีกจุดหนง่ึ
ถ้าหากรับสัญญาณดาวเทียมได้น้อยกว่า 4 ดวงเม่ือใด จะต้องทาขั้นตอนของวิธีการเร่ิมงานใหมอ่ ีกคร้ังหน่งึ
แล้วจึงไปรังวัดท่ีจุดอื่นๆ ต่อไปได้อีก ในการรังวัดแบบจลน์น้ีเครื่องรับเครื่องหนึ่งจะถูกวางไว้ท่ีจุดอ้างอิง
ทร่ี ู้ตาแหน่งแลว้ ตลอดเวลาเครือ่ งอื่นๆ เม่ือทาข้นั ตอนวธิ ีการเรม่ิ งานแล้ว จงึ นาไปวางตามจดุ ท่ีตอ้ งการหาตาแหน่ง

รูปท่ี 2-6 การรงั วดั แบบจลน์ (Kinematic Survey)
(4) การรังวัดแบบจลน์ทันทีทันใด (Real-time Kinematic Survey: RTK) วิธีน้ี
รูจ้ ักกนั ในชอ่ื ย่อว่า RTK เปน็ วิธกี ารทางานรงั วัดแบบจลน์น่ันเอง แต่แสดงผลลัพธค์ อื ค่าพกิ ดั ตาแหนง่ ได้ทันที
ในสนาม โดยเหตุที่การทางานยังเป็นการหาตาแหน่งแบบสัมพัทธ์ หมายความว่าข้อมูลจากทั้งสอง จุด
ต้องนามาประมวลผลร่วมกัน ดังนั้น จึงต้องใช้คลื่นวิทยุในการรับส่งข้อมูลระหว่างกัน เนื่องจากจุดอ้างอิง
เป็นจุดรู้ตาแหน่งอยู่แล้ว ในการทางานแบบ RTK นี้ จึงเป็นการส่งข้อมูลที่รับสัญญาณดาวเทียมได้ไปยัง
จุดท่ีต้องการหาตาแหน่งเครอ่ื งรบั ที่จุดต้องการหาตาแหน่งจะรับข้อมูลแล้วนาไปประมวลผล แล้วแสดงคา่ พิกดั
ได้อย่างรวดเร็วในทันที ระยะห่างระหว่างจุดที่ใช้ทางานได้ไม่เกิน 15 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับ
กาลงั ของคลน่ื วทิ ยุทีใ่ ช้ ในการรับสง่ ขอ้ มลู ระหวา่ งกนั

DPT KM ACTION PLAN 38


Click to View FlipBook Version