คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า
221 EMW Series Games
โดย
Series 4
1. นายศภุ โชค ศิริสม เลขท่ี 4 รหัสประจำตวั นักเรยี น 18342
เลขท่ี 9 เลขประจำตัวนักเรยี น 18425
2. นายเอภพ หนเู กตุ เลขท่ี 14 เลขประจำตัวนกั เรียน 19957
เลขท่ี 21 เลขประจำตัวนักเรียน 18265
3. นายอภวิ ชิ ญ์ สันหลงั เลขท่ี 32 เลขประจำตวั นักเรียน 18393
เลขท่ี 38 เลขประจำตวั นกั เรียน 18521
4. นางสาวกนษิ ฐา ปนั ดิกา เลขที่ 40 เลขประจำตัวนักเรยี น 19995
5. นางสาวทกั ษพร เอียดสุย
6. นางสาวรัชวลยั สมะบุพ
7. นางสาววรรวรนิ ทร์ เหมปนั ดัน
ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 6/2
โรงเรยี นพมิ านพิทยาสรรค์ สำนักงานเขตพืน้ ท่กี ารศึกษามัธยมศึกษา สงขลา - สตูล
เสนอ
ว่าที่ ร้อยตรี ดนตอเหลบ รอโสนละ๊
นายสไุ ลมาน อาแว
รายงานฉบบั น้เี ปน็ ส่วนประกอบของกจิ กรรมการเรียนรู้ 221 EMW Series Games
หนว่ ยการเรยี นรู้เรือ่ งคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า รายวชิ าฟิสกิ ส์เพิ่มเตมิ 6
ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564
คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้
221 EMW Series Games
โดย
Series 4
ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 6/2 - 2564
เสนอ
วา่ ที่ รอ้ ยตรี ดนตอเหลบ รอโสนละ๊
นายสไุ ลมาน อาแว
Physics 6 (Sc33206)
ก
คำนำ
รายงานฉบบั นีเ้ ป็นสว่ นหนึ่งของวิชาฟิสกิ ส์เพม่ิ เตมิ (ว33206) ช้นั มัธยมศกึ ษาปที 6ี่ /2 โดยมีจุดประสงค์ เพื่อ
ศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่องคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในหัวข้อเรื่องโพลาไรเซชั่นของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Polarization)
ซึ่งเนื้อหา ประกอบไปด้วยโพลาไรเซชั่นของแสง, โพลาไรเซชันโดยการใช้แผ่นโพลารอยด์, โพลาไรเซชันโดยการ
สะท้อน,โพลาไรเซชันโดยการหกั เห,และโพลาไรเชนโดยการกระเจงิ ของแสง
ทั้งนี้ เนื้อหาได้รวบรวมมาจากหนังสือเรียน หนังสือคู่มือการเรียนและข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต
ขอขอบพระคุณ ว่าที่ร้อยตรีดนตอเหลบ รอโสนล๊ะ และนายสุไลมาน อาแว อย่างสูงที่กรุณาตรวจ ให้ คําแนะนํา
เพื่อแก้ไขและให้ข้อเสนอแนะตลอดการทํางาน หวังว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นความรู้และประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกๆ
ทา่ น หากมขี ้อเสนอแนะประการใด ผ้จู ัดทําขอรบั ไว้ดว้ ยความขอบพระคุณยิง่
คณะผ้จู ัดทำ
ข
สารบัญ
เรอ่ื ง หนา้
คำนำ .....................................................................................................................................................................ก
สารบญั ..................................................................................................................................................................ข
สารบญั รปู ภาพ ......................................................................................................................................................ค
โพลาไรเซชนั่ (Polarization).................................................................................................................................1
โพลาไรเซชนั่ ของแสง.........................................................................................................................................1
ใช้แผ่นโพลารอยด์..............................................................................................................................................2
โพลาไรเซชนั โดยการสะทอ้ น..............................................................................................................................3
โพลาไรเซชนั โดยการหกั เห.................................................................................................................................3
โพลาไรเชนโดยการกระเจงิ ของแสง ...................................................................................................................4
โพลาไรเซชันโดยการกรองด้วยแผน่ โพลารอยด์..................................................................................................5
โพลาไรเซชันโดยการสะท้อน..............................................................................................................................5
โพลาไรเซชนั ของคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ..................................................................................................................6
โพลาไรเซซันของคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ..................................................................................................................6
สรุปปรากฎการณ์โพลาไรเซชัน ..............................................................................................................................7
บรรณานุกรม .........................................................................................................................................................7
ภาคผนวก .............................................................................................................................................................. 9
ข้อสอบ เรื่องโพลาไรเซชน่ั ของคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า........................................................................................... 10
เฉลยขอ้ สอบ เรอ่ื งโพลาไรเซชั่นของคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้า................................................................................... 12
ค
สารบญั รูปภาพ
รปู ที่ หน้า
1 ทศิ ของสนามไฟฟา้ ของคล่ืนแสงจากแหล่งกำเนิดแสงปรากฏทศิ ทางตา่ งกัน......................................................1
2 การรวมสนามไฟฟ้าให้อยู่ในแกน yและแกนz....................................................................................................2
3 แสงไม่โพลาไรส์ผา่ นแผ่นโพลารอยด์จะได้แสงโพลาไรส์.....................................................................................2
4 แสงไมโ่ พลาไรสไ์ ม่สามารถผ่านแผ่นโพลารอยด์สองแผน่ ที่มที ศิ ของโพลาไรสต์ ้งั ฉากกัน .....................................3
5 แสงโพลาไรสโ์ ดยการหักเหสองแนว ..................................................................................................................3
6 รังสพี เิ ศษ (extraordinary ray)........................................................................................................................4
7 การเปล่ียนแปลงความเขม้ ของแสง....................................................................................................................4
8 สนามไฟฟ้าท่ีมที ศิ ตั้งฉากกับเส้นขนาน ..............................................................................................................5
9 แสดงคลนื่ โพลาไรซ์มมุ ตกกระทบ......................................................................................................................5
10 ระนาบของการสั่นคลนื่ แม่เหล็กไฟฟา้ .............................................................................................................6
1
โพลาไรเซชัน่ (Polarization)
แสงมนั กเ็ ปน็ คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าที่มีแกนของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กตั้งฉากกันปกตแิ สงทั่วไปมันกม็ ี
ขน้ึ หลายหลายคลื่นเคลอื่ นทปี่ นปนรวมรวมกันมาแลว้ นาบของสนามไฟฟ้าของแต่ละขน้ึ ก็อาจจะวางตวั หลากหลาย
แนวอาจจะเขียนไดเ้ ป็นรูปเราเรยี กแสงแบบน้ีวา่ แสงไมโ่ พลาไรซ์
แต่ถ้าเราทำให้แสงมันเหลือแค่ระนาบของสนามไฟฟ้าแค่ระดบั เดียวเราจะเรยี กแสงแบบน้วี ่า แสง
โพลาไรซ์จะมีคำวา่ ปรากฏการโพลาไรเซชั่นคำนีห้ มายถึงการทำใหแ้ สงทีย่ ังไม่โพลาไรซ์เซชนั่ ว่งิ ผ่านแผ่นทม่ี ีชอ่ื ว่า
แผ่นโพลารอยด์แลว้ กลายเปน็ แสงโพลาไรซ์แนน่ อนวา่ การทำแบบน้คี วามเขม้ แสงย่อมถูกกรองไปบางสว่ นทำให้
ความเข้มตอนหลงั เหลอื อย่คู รึ่งนงึ ของตอนแรก แต่ถา้ เปน็ แสงทโ่ี พลาไรซ์แล้ววิง่ ผ่านแผ่นโพลารอยดอ์ าจจะกนั้
ไมใ่ ห้แสงผา่ นเลยหรืออาจจะผา่ นนดิ เดียวหรอื อาจจะผา่ นไดท้ ง้ั หมดกไ็ ด้ข้นึ อยู่กบั วา่ เเกนของแสงกบั การท่แี ผ่นมนั
ทำมมุ กันเทา่ ไหร่
โพลาไรเซชัน่ ของแสง
ธรรมชาตขิ องแสงทีอ่ อกจากแหล่งกำเนดิ จะปล่อยคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ซ่ึงจะตั้งฉากกับทิศทางการเคล่อื นที่
ของคลน่ื เสมอ แต่แสงที่ออกจากแหลง่ กำเนิดจะมีการเปลี่ยนแปลงสนามแมเ่ หล็กไฟฟ้าอยูท่ ุกทิศทาง เรยี กว่า
แสงไม่โพลาไรส์ ดังรูป
รูปที่ 1 ทิศของสนามไฟฟ้าของคลนื่ แสงจากแหล่งกำเนิดแสงปรากฏทศิ ทางต่างกัน
2
รปู ที่ 2 การรวมสนามไฟฟ้าใหอ้ ย่ใู นแกน yและแกนz
เม่อื ตามนษุ ยเ์ ราไมส่ ามารถแยกได้ว่าแสงใดเปน็ แสงโพลาไรส์กับแสงไม่โพลาไรสจ์ ึงใช้อปุ กรณแ์ ละวิธกี าร
ตรวจสอบ ดงั น้ี
ใช้แผ่นโพลารอยด์ เม่ือให้แสงที่ไม่โพลาไรสผ์ ่านแผ่นโพลารอยด์ สนามแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ของแสงไมโ่ พลาไรสท์ ่มี ที ิศ
ตง้ั ฉากกบั แผน่ จะออกมาไม่ได้ จะออกมาได้เฉพาะสนามแม่เหล็ก ไฟฟ้าที่มีทิศขนานกับแผ่นโพลารอยด์ ดงั นัน้ เม่ือ
แสงท่ไี ม่โพลาไรสผ์ า่ นแผน่ โพลารอยด์ จะออกมาเปน็ แสงโพลาไรส์ และเม่ือใชแ้ ผน่ โพลารอยดส์ องแผน่ มาวาง
ขนานกนั เม่ือทิศของ โพราไรสข์ องแผน่ โพลารอยดท์ ง้ั สองตั้งฉากกนั ความสว่างของแสงท่ีออกจากแผน่ ทีส่ องจะ
นอ้ ยสุดหรือไม่มีแสงออกมาเลย และความสว่างจะมากสุดเมอ่ื แผน่ ท้ังสองมีทิศของโพลาไรส์ ดงั รูป
รูปที่ 3 แสงไม่โพลาไรสผ์ ่านแผ่นโพลารอยด์จะไดแ้ สงโพลาไรส์
3
รูปที่ 4 แสงไมโ่ พลาไรส์ไม่สามารถผา่ นแผน่ โพลารอยดส์ องแผ่นท่ีมีทศิ ของโพลาไรสต์ ง้ั ฉากกนั
โพลาไรเซชันโดยการสะทอ้ น ใหแ้ สงที่ไม่โพลาไรส์ กระทบผวิ วตั ถุท่สี ามารถ ทำให้แสงสว่ นหน่งึ สะท้อนและส่วน
หนงึ่ หกั เห และแสงที่สะท้อนจะเปน็ แสงโพลาไรส์ เมื่อมมี มุ ตก กระทบเฉพาะคา่ หนง่ึ โดยมมุ ที่พอเหมาะ เรยี กว่า
มุมโพลาไรส์ หรือ มมุ ยรูสเตอร์θB คือรังสสี ะทอ้ นและรังสหี กั เหต้ังฉากกนั พอดี เน่ืองจากแสงท่ีสะท้อนไดด้ ีจะมี
เวกเตอร์สนามแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ สว่ นทตี่ ง้ั ฉากกับระนาบของรงั สกี ระทบมากกว่าส่วนทอ่ี ยู่ในระนาบของรงั สตี กกระทบ
รูปที่ 5 แสงโพลาไรส์โดยการหกั เหสองแนว
โพลาไรเซชนั โดยการหกั เห เม่ือแสงผา่ นเข้าไปในแกว้ แสงจะเคล่อื นทดี่ ้วยอัตราเร็วเท่ากันทุกทิศทาง เพราะแกว้ มี
ดรรชนีหกั เหเพียงค่าเดียว แต่เมอ่ื แสงผ่านเขา้ ไปในผลึกแคลไซตห์ รือควอตซ์ แสงจะมีอตั ราเรว็ ไมเ่ ทา่ กันทกุ ทิศทาง
ด้วยเหตนุ ้แี สงทผ่ี ่านแคลไซต์จึงหักเหออกเปน็ 2 แนว (double diffraction หรือ birefringence) ดังรปู 18.22
รงั สหี ักเหทั้งสองแนวเป็นแสงโพลาไรส์ โดยมีสนามไฟฟา้ ของรังสีหกั เหแต่ละรังสีต้งั ฉากกนั ซง่ึ แสดงด้วยลูกศรและ
จุด รังสที แ่ี ทนด้วยจุด เรียกวา่ รังสธี รรมดา (ordinary ray) มีอตั ราเร็วเท่ากันทุกทิศทาง รังสีท่แี ทนดว้ ยลูกศร
เรียกวา่ รังสีพเิ ศษ (extraordinary ray) มีอตั ราเร็วในผลกึ ตา่ งกนั ในทิศท่ตี ่างกนั
4
รูปที่ 6 รังสีพเิ ศษ (extraordinary ray)
โพลาไรเชนโดยการกระเจงิ ของแสง เมื่อความถ่แี สงตกกระทบโมเลกุลของอากาศ ทำกับความถ่ธี รรมชาติของ
อิเลก็ ตรอนภายในอะตอมหรือโมเลกุลอากาศ อเิ ล็กตรอนในโมเลกุล จะดูดกลนื แสงท่ีตกกระทบ และปลอ่ ยแสงนน้ั
ออกมาอีกในทกุ ทิศทาง จะเรียกปรากฏการณ์ นวี้ ่าการกระเจิงของแสง การกระเจิงจะมากหรอื น้อยขน้ึ อยู่กับความ
ยาวคลื่นของแสงสีต่างๆ โดยการกระเจงิ จะมากเมอื่ แสงความยาวคลนื่ สน้ั ๆ หรือความถี่มากๆ และแสงจะกระเจงิ
ไดด้ ีทส่ี ดุ เมื่อมีความยาวคลืน่ ใกลเ้ คยี งกบั อนภุ าคหรอื เลก็ กวา่ อนุภาคเล็กน้อย และการกระเจงิ สามารถทำให้เกิด
โพลาไรส์ได้เม่ือแสงตกกระทบโมเลกุลอากาศจะกระเจงิ คล่ืนออกมารอบตวั ตั้งฉากกับแนวการเคล่ือนท่ี ถ้ามอง
ท้องฟ้าผา่ นแผ่นโพลารอยด์แล้วหมุนไปรอบๆ จะเห็นการเปลย่ี นแปลงความเข้มของแสง ดงั รปู
รูปที่ 7 การเปลยี่ นแปลงความเข้มของแสง
5
โพลาไรเซชันโดยการกรองด้วยแผน่ โพลารอยด์ เม่ือคนื ไม่โพลาไรซผ์ า่ นแผ่นโพลารอยด์แผน่ แรกทเี่ รียกว่าโพลาไร
เซอร์ (Polarizer)สนามไฟฟ้าทีม่ ที ิศตงั้ ฉากกับเส้นขนานบนแผ่นโพลารอยดจ์ ะถูกดูดกลืนสนามไฟฟา้ ท่ีมที ิศขนาน
กับแนวขนานเท่านน้ั ท่จี ะผ่านไปได้พลังงานของคลน่ื ที่ผ่านโพลาไรเซอรจ์ งึ เหลอื เพียงคร่ึงหน่งึ จากเดมิ คล่ืนท่ีผ่านได้
จึงถกู โพลาไรซถ์ ้าเราใหแ้ สงโพลาไรซน์ ผี้ ่านแผน่ โพลารอยด์อีกแผ่นหน่ึงซ่ึงจะเรยี กว่าอนาไลเซอร์
รูปที่ 8 สนามไฟฟ้าทม่ี ีทิศต้ังฉากกบั เสน้ ขนาน
โพลาไรเซชนั โดยการสะทอ้ น
เม่ือคลนื่ ตกกระทบรอยต่อตวั กลางด้วยมมุ ตกกระทบขา้ 1 คลนื่ สะท้อนจะเป็นคล่นื โพลาไรซไ์ ด้มุมตกกระทบนี้
จะต้องมีคา่ พอเหมาะซง่ึ เรยี กวา่ มุม โพลาไรส์ หรอื มุมบรวู สเตอร์ (Brewster angle; p) โดยหาค่าไดจ้ าก
รูปที่ 9 แสดงคลนื่ โพลาไรซ์มุมตกกระทบ
6
โพลาไรเซชันของคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ ประกอบไปด้วยสนามไฟฟ้า และสนามแมเ่ หล็กสั่นตงั้ ฉากซึ่งกนั และกนั ถ้าเราพจิ ารณาเฉพาะ
การสน่ั ของสนามไฟฟ้าจะพบว่า ระนาบของการสน่ั มีได้หลายระนาบ ดงั รปู
รูปที่ 10 ระนาบของการสั่นคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า
(Direction of wave travel=ทิศทางการเคล่ือนที่ของคลน่ื ,Random electric field direction=สนามไฟฟ้ามี
ทิศทางสัน่ หลายระนาบ,Unpolarized light=คล่นื โพลาไรซ์,Polarized light=คลน่ื โพลาไรซ)์
โพลาไรเซซันของคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้
สายอากาศโทรทัศน์ท่ีอยู่ในแนวด่ิง เมอ่ื สง่ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ ออกไปสนามไฟฟ้าจะเปล่ียนแปลงทิศ
กลับไปมาในแนวดิง่ เสมอจึงกลา่ ววา่ คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าน้เี ป็นคลน่ื โพลาไรส์ (polarized wave) ในแนวดง่ิ สำหรับ
สายอากาศท่ีอยู่ในแนวระดบั เมือ่ สง่ คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าออกไป สนามไฟฟ้าจะเปล่ยี นแปลงทิศกลบั ไปกลับมาใน
แนวระดบั คือเปน็ คล่นื โพลาไรสใ์ นแนวระดับ
โพลาไรเซชนั ของแสง
เราทราบแลว้ ว่าคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ ทส่ี ่งออกมาจากสายอากาศโทรทัศน์เปน็ คลื่นโพลาไรส์เพราะ
สนามไฟฟา้ เปลยี่ นทิศกลบั ไปมาในแนวเดยี วกนั เสมอแสงก็เป็นคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ดังนนั้ แสงมโี พลาไรเซชันหรือไม่
7
แหล่งกำเนิดคลืน่ แสงโดยท่ัวไปเชน่ ดวงอาทติ ย์ หลอดไฟ จะปล่อยคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ (คลืน่ แสง) ซึง่
สนามไฟฟ้ามีทิศตั้งฉากกับทิศการเคล่ือนท่ขี องคลนื่ เสมอไม่ว่าคลน่ื จะอยู่ ณ ตำแหนง่ ใดแต่สนามไฟฟ้าของแสงท่ี
สง่ ออกมาจากดวงอาทิตยม์ ีทิศต่างๆกันมากมาย ดงั รปู ดังนัน้ แสงจากแหล่งกำเนดิ แสงจึงเปน็ แสงไม่มโี พลาไรส์
โพลาไรเซซันโดยการสะท้อน
เมือ่ แสงไมโ่ พลาไรส์ผ่านแผน่ โพลารอยดจ์ ะออกมาเป็นแสงโพลาไรส์ซ่ึงกลา่ วไดว้ ่าเปน็ การทำแสงโพลาไรส์
โดยใชว้ ธิ ีดูดกลืนแสงยังมวี ธิ ีอนื่ อีกที่ให้แสงโพลาไรส์ คอื การสะทอ้ นแสงเม่ือให้แสงไมโ่ พลาไรสต์ กกระทบผวิ วัตถุ
เชน่ แกว้ นำ้ หรอื กระเบ้ืองแสงสะทอ้ นจะเปน็ แสงโพลาไรส์ เม่อื แสงทำมมุ ตกกระทบเป็นคา่ เฉพาะคา่ หนง่ึ
โพลาไรเซชันโดยการหักเห
เมื่อแสงผา่ นเขา้ ไปในแก้วแสงจะเคลื่อนทีด่ ว้ ยอตั ราเร็วเท่ากันทกุ ทิศทาง เพราะแกว้ มีดรรชนหี ักเหเพียงค่า
เดยี วแต่เมือ่ แสงผ่านเข้าไปในผลกึ แคลไซต์หรือควอตซ์ แสงจะมีอัตราเร็วไมเ่ ท่ากันทกุ ทิศทางดว้ ยเหตนุ ้แี สงทผ่ี า่ น
แคลไซตจ์ งึ หักเหออกเปน็ 2 แนว (double diffraction หรือ birefringence) ดังรปู รังสีหกั เหทั้งสองแนวเปน็ แสง
โพลาไรส์โดยมีสนามไฟฟ้าของรังสหี กั เหแต่ละรังสตี ้ังฉากกัน ซึ่งแสดงด้วยลกู ศรและจุดรังสีท่แี ทนด้วยจุด เรียกว่า
รงั สีธรรมดา (ordinary ray) มอี ตั ราเร็วเทา่ กันทุกทิศทาง รังสที ีแ่ ทนดว้ ยลูกศร เรยี กวา่ รังสีพเิ ศษ (extraordinary
ray) มอี ตั ราเรว็ ในผลึกต่างกันในทศิ ท่ตี ่างกัน
โพลาไรเซชนั โดยการกระเจงิ ของแสง
เมือ่ แสงอาทิตย์ผ่านเข้ามาในบรรยากาศของโลกแสงจะกระทบโมเลกุลของอากาศหรืออนภุ าคใน
บรรยากาศอิเลก็ ตรอนในโมเลกลุ จะดูดกลืนแสงท่ตี กกระทบนัน้ และจะปลดปล่อยแสงนัน้ ออกมาอกี ครัง้ หนึง่ ในทกุ
ทิศทาง ปรากฏการณน์ ้ีเรยี กว่าการกระเจิงของแสง ซ่ึงได้ศึกษามาแล้วในบทเรียนเร่ืองแสงโดยศกึ ษาผลของการ
กระเจงิ ที่ทำใหเ้ หน็ ทอ้ งฟา้ เป็นสตี า่ งๆ
สรุปปรากฎการณโ์ พลาไรเซชัน คอื การทำให้คล่ืนที่ไม่โพลาไรเซชันกลายเปน็ แสงที่โพลาไรซ์ เพื่อความสะดวกใน
การศึกษาเรื่องโพลาไรซ์ เราจะพจิ ารณาเฉพาะระนาบของการสัน่ ของสนามไฟฟ้าเพียง 2 ระนาบที่ตงั้ ฉากและ
อสิ ระจากกันเท่านนั้ เสมอื นวา่ เราแตกเวกเตอรข์ องการส่นั แต่ละระนาบเข้าไปเปน็ องค์ประกอบของระนาบที่
กลา่ วถึงนี้ ดังน้ัน เม่ือเรากลา่ วถงึ คล่ืนไม่โพลาไรซ์ เราจะนึกถึงคลนื่ ท่มี ีการสั่นสนามไฟฟ้าในสองระนาบท่ตี ้ังฉากกัน
และเมื่อกล่าวถงึ คลื่นโพลาไรซ์กห็ มายถึงภาพของการสนั่ ของสนามไฟฟ้าในระนาบใดระนาบเดียวซ่งึ จะทำใหแ้ สง
โพลาไรซน์ น้ั สามารถทำได้
8
บรรณานกุ รม
ดร.ไตร อญั ญโพธิ์.(2564).สรุปเข้มเน้ือหา+ขอ้ สอบ ฟิสิกส์ ม.ปลายฉบับสมบรู ณ์ มนั่ ใจเต็มรอ้ ย.นนทบรุ ี: โอดีซีฯ.
พันตำรวจตรี ชวลติ เลาหอดุ มพันธุ์.(2563).ฟสิ กิ ส์ขนมหวาน เลม่ 3 (เล่มจบ).กรุงเทพฯ: เอส.พ.ี เอน็ .การพมิ พ์.
ประสทิ ธิ์ จนั ตะ๊ ภา.(2561).ฟิสกิ ส์ สรุปเขม้ แนวข้อสอบ ม.ปลาย เล่ม 2.กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ ภมู ิบัณฑิต.
อ.เทพวี ชนะชาญมงคล.(2563).สรปุ เตรียมสอบ ฟิสิกส์ ม.ปลาย.นนทบรุ ี: ธงิ ค์ บยี อนด์ บคุ๊ .
นิรนั ดร์ สวุ รัตน์.(2558). คมู่ อื เรยี นรายวชิ าฟิสกิ ส์เพิ่มเติม ฟิสิกสม์ .4-6 เล่ม 4.กรุงเทพฯ: พ.ศ.พฒั นา.
Somporn Laothongsarn เรื่อง โพลาไรเซชันของคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า
จาก https://www.slideshare.net/krutee22/ss-16372113
สธุ ารตั น์ สุภาพทรพั ย์ โพลาไรเซซนั ของคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า
จาก https://sites.google.com/site/sutharatnumber21/bth-thi4/khlunmaehelkfifa
9
ภาคผนวก
10
ข้อสอบ เร่อื งโพลาไรเซช่ันของคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า
1. แสงไม่โพลาไรซ์เดินทางจากอากาศตกกระทบผวิ ของเหลวดว้ ยมมุ 30 องศาเทียบกับเส้นปกตพิ บว่าแสงสะท้อน
ทีอ่ อกมาเปน็ แสงโพลาไรซ์ถ้าความยาวคลน่ื ของแสงในอากาศมคี า่ 650 นาโนเมตรและความยาวขน้ึ ในของเหลวมี
คา่ เท่าใด
ก. 1125 นาโนเมตร ข. 1350 นาโนเมตร
ค. 700 นาโนเมตร ง. 1000 นาโนเมตร
2. ถา้ ให้แสงตกกระทบตัวกลางหน่งึ เป็นมมุ ตกกระทบ 45 องศาพบว่ามมุ หักเหเป็นมุม 30 องศาถ้าต้องการใหแ้ สง
สะทอ้ นจากตวั กลางนั้นเปน็ แสงโพลาไรซต์ ้องใหแ้ สงตกกระทบด้วยมมุ ตกกระทบเทา่ ใด
ก. 70 องศา ข. 55 องศา
ค. 100 องศา ง. 180 องศา
3. แสงไม่โพลาไรซเ์ ดินทางผ่านอากาศไปตกกระทบผวิ น้ำถา้ แสงสะทอ้ นเป็นแสงโพลาไรซ์จงหามุมตกกระทบและ
มุมหกั เหของแสงในนำ้ เมื่อดัชนีหักเหของน้ำมคี ่าเป็น4
3
ก. 45 องศา ข. 120 องศา
ค. 37 องศา ง. 55 องศา
4. แสงไม่โพลาไรซเ์ ดินทางผ่านน้ำไปตกกระทบแผ่นแก้วถ้าแสงสะท้อนจากผิวแก้วเป็นแสงโพลาไรซ์มุมตกกระทบ
ผิวแผน่ แกว้ มีค่าเท่าใดเม่ือดชั นหี กั เหของน้ำและแก้วมคี ่าเปน็ 4 และ 2 ตามลำดบั
33
ก. 26 องศา ข. 30 องศา
ค. 90 องศา ง. 37 องศา
11
5. จากรูปลำแสงเดินทางจากอากาศสู่วัตถุบางบางชั้นที่สองโดยทำมุมตกกระทบ 1 ซึ่งเป็นมุมบรูสเตอร์จากน้ัน
ลำแสงเดินทางออกจากวัตถุบางๆชั้นที่2สู่ชั้นที่3 โดยทำมุมตกกระทบ 2 ซึ่งเป็นมุมบรูสเตอร์จงหาดัชนีหักเห
3 ของวัตถบุ างๆชั้นที่3
ก. 1 ข. 3
ค. 5 ง. 9
12
เฉลยข้อสอบ เรื่องโพลาไรเซชั่นของคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้
1. ก. 1125 นาโนเมตร
แนวคดิ
sin θ1 = λ1
sinθ2 λ2
sin30° = 650
sim60° λ2
1
2 = 650
√3 λ2
2
λ2= 650√3
λ2= 1125 nm
2.ข. 55 องศา
sinθ1 = n2
sinθ2 n1
sin45° = n2
sin30° n1
√2 2 = n2
2 (1) n1
√2= n2
n1
tan θp = n2
n1
tan θp = √2
θp= tan-1(√2) θp= 55°
13
3. ค. 37 องศา tan θp = n2
แนวคดิ 1.หามุมตกกระทบ θp n1
2.หามมุ หกั เห tan θp = 4, ข้าม
ชิด
3
θp= tan-1 4
(3)
θp= 50°
∅=90-θp
∅=90-53°
∅=37°
4.ก. 26 องศา n2
แนวคิด จาก n1
tan θp =
2
3
tan θp = 4
3
tan θp = 1
2
θp= tan-1(0.5)
θp= 26°
14
5. ก. 1
แนวคดิ จาก
n1sinθ1= n2sinθ2
n2sinθ2= n3sin 3
n1sinθ1= n3sin 3
n1sin90-θ2= n3sin90-θ2
n1= n3
n3=1