๓หนว่ ยการเรียนรู้ที่
พัฒนาการทางประวัตศิ าสตรไ์ ทย
สมยั ปรบั ปรุงและปฏิรูปประเทศไทย
จุดประสงค์การเรียนรู้
๑. ปัจจยั ท่ีสง่ ผลตอ่ ความมัน่ คงและความเจรญิ รุ่งเรอื งของไทยในสมัยรตั นโกสนิ ทรไ์ ด้
๒. บทบาทของพระมหากษตั รยิ ์ไทยในราชวงศ์จักรใี นการสร้างสรรค์ความเจริญและความมั่นคงของชาตไิ ด้
๓. พัฒนาการของไทยในสมยั รตั นโกสินทร์ทางด้านการเมอื งการปกครอง สังคม เศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามช่วงสมัยตา่ งๆ ได้
๔. เหตกุ ารณ์สาคัญสมัยรัตนโกสนิ ทรท์ ีม่ ีผลต่อการพฒั นาชาตไิ ทย เช่น การทาสนธิสัญญาเบาว์ริงในสมัยรัชกาลที่ ๔ การปฏริ ูปประเทศในสมยั รัชกาลท่ี ๕
การเขา้ ร่วมสงครามโลกครัง้ ที่ ๑ โดยวิเคราะหส์ าเหตปุ ัจจัย และผลของเหตุการณ์ตา่ งๆ ได้
ปจั จัยที่สง่ ผลต่อความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรือง
การมผี ้นู าท่ดี ี
พระบาทสมเด็จ พระบาทสมเดจ็ พระบาทสมเดจ็ พระบาทสมเดจ็
พระจอมเกลา้ เจ้าอย่หู ัว พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่หวั พระปกเกลา้ เจา้ อย่หู วั
ทรงมีความรู้ด้านภาษาอังกฤษ ทรงมีความรอบรู้ การเสด็จ ทรงได้รบั การศึกษาอย่างดี
และดาราศาสตร์ ทรงติดต่อกับ ประพาสต่างประเทศเปน็ การเจริญ
ต่างประเทศอยา่ งกวา้ งขวาง สัมพันธไมตรี และนาความเจริญ
มาปรับใช้
พระมหากษัตรยิ ์ทกุ พระองคต์ ้ังแตร่ ชั กาลที่ ๔ เปน็ ต้นมา
ทรงมีความทันสมยั รู้ทนั ความเปล่ยี นปลงของโลก และเห็นความสาคญั ของการปฏริ ปู ประเทศ
ท่ีตั้งทางภูมศิ าสตร์
ประเทศไทยเปน็ รฐั ที่อย่ตู รง ไทยเปรียบเสมอื นรฐั กัน
กลางระหวา่ งเขตอานาจ ชนระหว่าง
ขององั กฤษในพม่า มลายู
และเขตอานาจของฝรง่ั เศสใน อังกฤษและฝรั่งเศส
เวยี ดนาม กัมพชู า และลาว
ทาให้ทัง้ สองชาตไิ มใ่ ช้
กาลงั หักหาญ
ยึดครองไทย
เพราะเกรงว่าอาจต้อง
ปะทะกับอีกฝา่ ย
การดาเนินนโยบายตา่ งประเทศทดี่ ี
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอย่หู วั ทรงฉายกับซาร์นโิ คลัสท่ี ๒ แห่งรสั เซีย
ทีพ่ ระราชวังปีเตอร์ฮอฟ เมอื่ คราวเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๔๐
รฐั บาลดาเนนิ นโยบายต่างประเทศในลกั ษณะท่เี ปน็ มิตร โอนออ่ นผอ่ นตาม รวมท้งั แสวงหาพันธมิตร
เชน่ รสั เซยี เพอ่ื มาคานอานาจกับอังกฤษและฝร่งั เศส
การสรา้ งความเจริญภายในและลดความขดั แย้ง
ยกเลิกธรรมเนยี มที่ล้าสมยั เชน่ การหมอบคลาน
เม่ือเขา้ เฝ้าเปลีย่ นเปน็ การเดิน การหมอบกราบ
เปลยี่ นเป็นก้มศรี ษะ ถวายคานบั เป็นต้น
ปฏิรปู กฎหมายและการศาล เพ่ือไมใ่ ห้
ชาตติ ะวันตกใช้เป็นข้ออา้ งแทรกแซง
และยดึ ครองไทย
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
พัฒนาการดา้ นการเมืองการปกครอง
ดา้ นการเมอื ง
▪ สมยั รชั กาลท่ี ๔ อานาจทางการเมอื งขน้ึ อยกู่ ับตระกลู บนุ นาค
▪ สมยั รชั กาลท่ี ๕ ทรงพยายามลดอานาจขุนนางตระกลู บุนนาค ทาให้อานาจของพระองค์มากข้นึ
ด้านการปกครอง
▪ สมัยรชั กาลที่ ๔ ทรงเร่มิ เปลยี่ นแปลงธรรมเนียมท่ลี า้ สมัย รวมทั้งการตดิ ตอ่ กบั ชาตา่ งชาติ
▪ สมยั รัชกาลที่ ๕ ทรงตง้ั สภาทปี่ รกึ ษา ๒ สภา คือ สภาท่ีปรกึ ษาราชการแผ่นดนิ กบั สภาท่ีปรึกษาในพระองค์
▪ ทรงปฏริ ูปการปกครองสว่ นกลาง โดยเพ่ิมหน่วยงานจาก ๖กรม เป็น ๑๒ กรม ต่อมาทั้ง ๑๒ กรม เปลี่ยนเป็น
๑๒กระทรวง ซ่ึงเปน็ รากฐานของกระทรวงตา่ งๆ ในปัจจุบนั
พัฒนาการด้านการเมอื งการปกครอง
ดา้ นการปกครอง
▪ การปฏิรปู การปกครองส่วนภมู ิภาค ทรงยกเลกิ ระบบกนิ เมือง เมอื งทั้งหลายรวมเป็นมณฑลเทศาภิบาล
▪ การปฏริ ปู การปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน ทรงนาระบบการปกครองแบบสุขาภบิ าลมาใช้ แต่งตงั้ กานนั ผู้ใหญบ่ ้าน
▪ ทรงตงั้ เสนาบดสี ภา องคมนตรสี ภา และรฐั มนตรีสภา
▪ สมยั รชั กาลที่ ๖ กล่มุ ยงั เติร์ก พยายามเปล่ยี นแปลงการปกครองเป็นประชาธปิ ไตยแต่ไมส่ าเรจ็
▪ ทรงให้ประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงออก
▪ สมัยรชั กาลท่ี ๗ ทรงเตรียมการพระราชทานรัฐธรรมนญู แต่มผี ู้ถวายความเหน็ วา่ ประชาชนยังไม่พรอ้ ม เพราะ
การศึกษาไมแ่ พรห่ ลายทรงวางรากฐานการปกครองทอ้ งถิน่ แบบเทศบาล เพือ่ ให้ราษฎรรจู้ กั ปกครองตนเอง
ด้านการเงนิ การคลงั พฒั นาการดา้ นเศรษฐกิจ
ด้านเกษตรกรรม
ด้านการคา้ และการลงทนุ กาหนดอัตราแลกเปล่ียนเพอ่ื การซ้อื ขาย
ตงั้ หอรัษฎากรพิพฒั นแ์ ละกระทรวงการคลังในเวลาตอ่ มา
บกุ เบิกที่ดินเพอื่ การเพาะปลูก มีการขดุ คลองเพิ่ม
มีการตั้งโรงสี และมีการส่งเสริมการพัฒนาพันธุ์ข้าว
ส่งเสริมการเล้ียงไหม
เกิดโรงงานอุตสาหกรรมเพ่ิมมากขน้ึ
เศรษฐกิจขยายตัว และผูกพนั กบั เศรษฐกจิ โลกเพมิ่ มากข้นึ
การเลกิ ทาส พัฒนาการด้านสงั คม การศึกษา
▪ รัชกาลที่ ๕ ทรงดาเนินการเลิก การเลิกไพร่ ▪ รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง
ทาสใน พ.ศ. ๒๔๑๗ แตใ่ ห้ มี โรงเรียนสอนหนงั สอื ขนึ้
ผลยอ้ นหลงั ไปถึง พ.ศ.๒๔๑๑ ▪ รัชกาลที่ ๕ ทรงเลิกไพร่โดยเริ่มจาก
การกาหนดวา่ ชายฉกรรจท์ ี่ถูกสักขึ้น ▪ ทรงต้งั กระทรวงธรรมการ
▪ พ.ศ.๒๔๘๘ ทรงประกาศยกเลิก ทะเบยี นตอ้ งมีอายุ ๑๘ ปี ▪ รัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้มี
ระบบทาสในไทย ห้ามผู้เป็นไท
ขายตัวเปน็ ทาสอกี ต่อไป ▪ ห้ามเกณฑ์แรงงานราษฎร การศกึ ษาภาคบังคับ ๔ ปี
เปลย่ี นเป็นให้จา้ งแทน
▪ ส่วนผู้เป็นทาสให้ลดค่าตัวลง
เดือนละ ๔ บาท จนหมดค่าตัว ▪ กาหนดให้ผู้ชายอายุ ๑๘ ปี เป็น
หรอื หมดหนี้ ทหาร ๒ ปี แล้วไม่ต้องรับราชการ
(เขา้ เดอื น) อีกต่อไป
▪ ผู้ที่ไม่เป็นทหารให้เสียเงิน
ค่าราชการไม่เกนิ ๖ บาทตอ่ ปี
▪ ระบบไพร่สิ้นสุดลง ไพร่มีสถานะ
เป็นราษฎรที่มีอิสระในการตั้ง
ถน่ิ ฐานและประกอบอาชพี
พฒั นาการดา้ นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ
ด้านการทูตและการทาสนธิสัญญาระหว่างประเทศ
❖ รัชกาลที่ ๔ ทรงเหน็ ความจาเป็นทจี่ ะต้องยอมแกไ้ ขและทาสนธิสญั ญาใหมก่ บั ชาติตะวนั ตก
ด้านการป้องกันการคุกคามของชาติตะวนั ตก
❖ รัชกาลท่ี ๕ เสดจ็ ประพาสยุโรปถงึ ๒ ครั้ง เพือ่ เจรจาและหาพันธมติ รทจ่ี ะชว่ ยสนับสนุนไทย
ด้านการแก้ไขสทิ ธภิ าพนอกอาณาเขต
❖ ทาให้ยกเลกิ การมีสทิ ธิสภาพนอกอาณาเขตของคนในบงั คบั ของต่างชาติ
เหตุการณส์ าคญั ท่มี ีผลต่อพฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์
การทาสนธิสญั ญาเบาว์ริง
เซอร์ จอหน์ เบาว์รงิ
▪ องั กฤษได้สทิ ธิสภาพนอกอาณาเขต
▪ ยกเลกิ ภาษีปากเรือ ให้เก็บภาษีสินคา้ ขาเข้าร้อยละ ๓ แทน
▪ ให้มีการคา้ เสรี และไทยอนุญาตให้นาข้าว ปลา เกลือ ไปขายตา่ งประเทศได้
▪ คนในบังคบั อังกฤษนาฝิน่ มาขายในไทยได้ แต่ตอ้ งขายให้เจ้าภาษฝี ่นิ เท่าน้ัน ถ้าเจ้าภาษไี ม่ซ้อื ต้องนาออกไป
▪ ถา้ ชาตอิ ื่นไดส้ ทิ ธพิ ิเศษเพม่ิ เติม องั กฤษจะได้สทิ ธิพเิ ศษนน้ั ด้วย
▪ สนิ ค้าท่ีเป็นสนิ คา้ ออกให้เก็บภาษีไดเ้ พยี งครั้งเดียว
▪ สนธิสัญญานจี้ ะแก้ไขได้เม่ือพ้น ๑๐ ปไี ปแลว้
ผลกระทบของสนธสิ ญั ญาเบาว์ริง
ดา้ นเศรษฐกิจ
การเปลย่ี นแปลงระบบเศรษฐกิจของประเทศ จากแบบยังชพี เป็นระบบเศรษฐกจิ การตลาด
การเปลยี่ นแปลงประเภทสนิ ค้าหลกั ของประเทศ
ทาใหข้ า้ วกลายเป็นสินค้าออกท่ีสาคญั มาจนถงึ ปจั จุบัน
การขยายตัวของการคา้ ภายในประเทศ ประกอบกับการพฒั นาเสน้ ทางคมนาคม
ทาใหก้ ารคา้ ขยายตวั อย่างรวดเร็ว
การพัฒนาอุตสาหกรรม และรฐั ไดป้ รับปรุงระบบสาธารณปู โภค
ให้สอดคลอ้ งกบั ความกา้ วหนา้ ทางเศรษฐกจิ
การปฏริ ูประบบภาษีอากรและการคลงั จัดตัง้ หอรษั ฎากรพพิ ฒั น์
และมกี ารจัดทางบประมาณแผ่นดินเปน็ ครั้งแรก
ผลกระทบของสนธสิ ญั ญาเบาวร์ งิ
ดา้ นการเมือง ด้านสังคม
ผ่อนคลายแรงกดดันจากมหาอานาจตะวันตก การเปลยี่ นแปลงกลมุ่ ผูม้ บี ทบาททางเศรษฐกจิ
และเป็นการเปดิ สัมพันธท์ างการทูต พ่อค้าและนายทนุ ชาวตะวนั ตกเข้ามาค้าขาย
ระหวา่ งไทยกับนานาชาติ และลงทนุ ทาธุรกิจแขง่ ขันกบั นายทุนชาวจนี
สิทธสิ ภาพนอกอาณาเขตและคนในบงั คับ การเปล่ยี นแปลงวิถีชวี ติ สนิ ค้าของตะวนั ตกซง่ึ เปน็ สนิ คา้
ถอื เป็นความเสยี เปรียบในระยะยาวมาก แปลกใหม่ กระจายไปยังประชาชนทง้ั ในเมอื งและชนบท
ซึ่งไทยกเ็ รมิ่ เจรจาเพ่อื จากัดปญั หานี้ ทาให้ประชาชนเขา้ สู่ระบบเศรษฐกิจทีใ่ ชเ้ งินตราหาซือ้
ส่งิ ของแทนทวี่ ถิ ชี ีวติ แบบเดิม
การปฏริ ูปประเทศสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อย่หู ัว
การปฏริ ปู ประเทศ การปฏริ ูปประเทศ การปฏิรปู ประเทศ
ระยะแรก สมยั รัชกาลที่ ๕ ระยะที่ ๒
ทรงตงั้ หอรษั ฎากรพิพฒั น์ ทดลองขยายการปกครอง
จาก ๖ กรม เปน็ ๑๒ กรม
ทรงเปลี่ยนแปลงธรรมเนยี มการเขา้ เฝ้า พระบรมวงศานวุ งศ์ และขนุ นาง
ได้รบั การศกึ ษาแบบใหมม่ าชว่ ยราชการ
ทรงตง้ั สภาทปี่ รึกษาราชการแผ่นดิน และสภา ทรงจ้างชาวต่างประเทศ
ท่ีปรกึ ษาส่วนพระองค์ มาเปน็ ท่ีปรึกษาและทางาน
ด้านการบริหารราชการแผ่นดนิ
ทรงปฏริ ปู การบรหิ ารราชการแผน่ ดินใหม่ในวันท่ี ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๕
หลังจากทรงทดลองมา ๔ ปี โดยแบง่ เป็น ๑๒ กระทรวง ไดแ้ ก่
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงมุรธาธร
กระทรวงนครบาล กระทรวงยทุ ธนาธิการ
กระทรวงโยธาธิการ กระทรวงพระคลงั มหาสมบตั ิ
กระทรวงธรรมการ กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรพานชิ การ กระทรวงกลาโหม
กระทรวงยุตธิ รรม กระทรวงวงั
ด้านกฎหมายและศาล
▪ ปฏริ ปู กฎหมายและการศาลใหเ้ ป็นแบบตะวันตก เพ่ือยกเลิกสนธิสัญญาที่ไมเ่ ป็นธรรม และสิทธิสภาพนอกอาณาเขต
▪ ตงั้ กระทรวงยุติธรรมเพอ่ื ดูแลงานด้านการศาล
▪ ตัง้ โรงเรยี นกฎหมาย จ้างนักกฎหมายชาวต่างชาตมิ าชว่ ยร่างประมวลกฎหมายตามแบบตะวันตก
▪ พระเจ้าลกู ยาเธอ กรมหลวงราชบรุ ดี เิ รกฤทธิ์ เป็นแกนนาสาคญั ในการปฏิรูปกฎหมาย
ด้านสงั คม
▪ ทรงเลกิ ทาสและระบบไพร่
▪ ประชาชนมอี สิ ระในการประกอบอาชีพ ตั้งถ่ินฐาน และศึกษาเล่าเรียน
ดา้ นการศกึ ษา ดา้ นเศรษฐกจิ และการคลัง ดา้ นการคมนาคม
และการสอ่ื สาร
▪ ทรงจัดระบบการศึกษาแผนใหม่ ▪ จัดระบบเงินตราโดยใช้มาตรฐาน ▪ มกี ารสรา้ งถนน ทางรถไฟ รถราง
▪ มกี ารขดุ คูคลอง
แบบตะวนั ตก ทองคาแทนมาตรฐานเงนิ ▪ จัดระบบไปรษณีย์โทรเลข ไฟฟ้า
▪ ตั้งโรงเรียนหลวงสาหรับลูกขุนนาง ▪ ตั้งกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ
ประปา และโรงพยาบาล
และราษฎร ดูแลด้านการคลงั ของแผน่ ดนิ
▪ ตั้งกระทรวงธรรมการดูแลเรื่อง
ศาสนาและการศึกษา
การปฏิรูปประเทศสมัยพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว
รชั กาลที่ ๖ ไม่ได้รบี ร้อนทรงรอเวลาทีเ่ หมาะสม และในวนั ที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ จึง
ไดท้ รงประกาศสงครามต่อฝ่ายมหาอานาจกลาง
ผลดีของการเข้าร่วมสงครามโลกครง้ั ที่ ๑
▪ ได้ยกเลกิ สนธิสญั ญาท่ไี ม่เปน็ ธรรมกบั เยอรมนี และออสเตรยี -ฮังการี
▪ ต่างชาติรจู้ กั ไทยดีข้นึ ไดร้ ับการยกยอ่ งใหม้ ฐี านะเท่าเทียมกับประเทศฝา่ ยสัมพนั ธมติ ร
▪ ไดเ้ ป็นสมาชิกของสันนบิ าตชาติ
▪ ขอแกไ้ ขสนธิสัญญาทีไ่ มเ่ ป็นธรรมกบั ชาติตะวนั ตก
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยหู่ วั รัชกาลที่ ๖ ทรงตรวจแถวทหารอาสา
พระราชทานเหรียญทร่ี ะลกึ แกท่ หารอาสาทเ่ี ดนิ ทางกลบั จากการรบ ทเ่ี ดนิ ทางกลับจากการรบบริเวณหนา้ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
บทบาทของพระมหากษัตรยิ ์ในราชวงศจ์ ักรีตอ่ ความม่ันคงและเจรญิ ร่งุ เรืองของชาติ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชกรณียกจิ ทส่ี าคัญ
ด้านการต่างประเทศ ดา้ นเศรษฐกิจ
❖ ทรงส่งคณะราชทูตไปอังกฤษและ ❖ ทรงท าสนธิสัญญากับต่างชาติ
ฝร่ังเศสเพื่อเจริญพระราชไมตรี และโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงกษาปณ์
ผลติ เงนิ
ด้านการปรบั ปรงุ ประเทศ
ดา้ นสงั คมและวัฒนธรรม
❖ ทรงยกเลิกประเพณีเก่าๆ ที่ล้าสมัย
และทรงนาความรู้ของตะวันตก ❖ ทรงตั้งธรรมยุติกนิกาย และโปรดเกล้าฯ
มาปรบั ปรงุ บ้านเมือง ใหช้ าระและเขียนพงศาวดารขนึ้ ใหม่
พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั
พระราชกรณียกิจทส่ี าคญั
ด้านการปฏิรูปประเทศ ดา้ นการรักษาเอกราชของชาติ
❖ ทรงปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค ❖ ใช้วิธีทางการทูต การทหาร และการ
ทรงปฏิรูประบบกฎหมายและการศาล แสวงหาความชว่ ยเหลือจากมหาอานาจอนื่
❖ ทรงเลิกทาส และทรงเลิกระบบไพร่ และทรงปฏิรูป ❖ ทรงพยายามดาเนินนโยบายต่างประเทศ
การศกึ ษา อย่างอดทน และผอ่ นปรน
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอย่หู ัว
พระราชกรณยี กิจทส่ี าคญั
ด้านการสร้างชาตนิ ยิ ม ด้านการสรา้ งความรงุ่ เรือง
ทางวฒั นธรรม
❖ ทรงใชว้ ิธีการสรา้ งสัญลกั ษณ์ เพอ่ื เป็นศูนย์
รวมใจให้เกดิ ความรกั ความสามัคคี สานึก ❖ ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านอักษรศาสตร์
ในหนา้ ท่พี ลเมอื งทด่ี ขี องชาติ และสานกึ ใน ทรงมีบทพระราชนิพนธม์ ากมาย จนไดร้ ับ
ความเสยี สละของบรรพบรุ ษุ การถวายพระราชมัญญาว่า “พระมหาธีร
ราชเจา้ ”
ด้านการสรา้ งความเป็นสากลและนาไทยเขา้ สู่สังคม
นานาชาติ
❖ ทรงกาหนดใหค้ นไทยมีนามสกลุ ใช้ ทรงเปลี่ยนธงชาตใิ หม่ และการเขา้ รว่ มสงครามโลกครั้งท่ี ๑
พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อย่หู ัว
พระราชกรณยี กิจทีส่ าคัญ
ด้านการวางรากฐานประชาธปิ ไตย ดา้ นการเปน็ แบบอยา่ งท่ดี ใี นการ
เสียสละผลประโยชนส์ ่วนตวั
❖ ทรงเตรียมการหลายประการเพื่อปลูกฝังให้ประชาชนมี
สานึกทางการเมอื ง พร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการปกครอง ❖ ทรงยอมลดค่าใช้จ่ายส่วนพระองค์
ระบอบประชาธิปไตย เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการ ในยามที่บ้านเมืองเผชิญกับปัญหา
ปกครอง จึงทรงเต็มพระราชหฤทัย สละพระราชอานาจ เศรษฐกิจตกตา่
ของพระองค์