หน่วยที่ 1 การรวมธุรกิจ
ความหมายของการรวมธุรกิจ
มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 3 เรื่องการรวมธุรกิจได้ให้คำ
จำกัดความของการรวมธุรกิจไว้ว่า
การรวมธุรกิจ (Business Combination) หมายถึง รายการหรือ
เหตุการณ์อื่นใดซึ่งทำให้ผู้ซื้อได้อำนาจในการควบคุมธุรกิจ หรือกลุ่มธุรกิจ
รายการซึ่งเป็นการควบรวมจริง หรือเทียบเท่าการควบรวมถือเป็นการรวม
ธุรกิจ
จากความหมายข้างต้น สรุปสาระสำคัญในการรวมธุรกิจ ได้้ดังนี้
1. กิจการที่เป็นอิสระตั้งแต่2กิจกรรมมารวมเป็นหน่วยงานทางเศรษฐกิจ
เดียวกัน
2. ผลการรวมธุรกิจ เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งคือ
2.1 เป็นการควบรวมจริง คือเหลือกิจการเพียงแห่งเดียวหลังหาร
รวมธุรกิจ
2.2 เทียบเท่าการควบรวม คือยังเป็นกิจการที่แยกเป็นอิสระจากกัน
แต่กิจการหนึ่งสามารถเข้าควบคุมการดำเนินงานของอีกกิจการหนึ่งได้ เช่น
บริษัทใหญ่และบริษัทย่อย เป็นต้น
ในการรวมธุรกิจ จะมีผู้เกี่ยวข้องในการรวมธุรกิจ ดังนี้
1. ผู้ซื้อ หมายถึง กิจการที่ได้อำนาจการควบคุมผู้ถูกซื้อ
2. ผู้ถูกซื้อ หมายถึง ธุรกิจหรือกลุ่มธุรกิจที่ถูกควบคุมโดยผู้ซื้อจากการ
รวมธุรกิจ
สาเหตุของการรวมธุรกิจ
สาเหตุของการรวมธุรกิจ สรุปได้ดังนี้
1. เพื่อลดต้นทุน เมื่อมีการรวมธุรกิจเพื่อขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้นจะมีต้นทุน
ใรการดำเนินงานน้อยกว่าการจัดตั้งกิจการขึ้นใหม่
2. เพื่อลดความเสี่ยง การรวมธุรกิจกับกิจการที่ดำเนินงานมาแล้วจะมี
ความเสี่ยงน้อยกว่าการตั้งกิจการขึ้นมาใหม่
3. เพื่อลดความล่าช้าในการดำเนินงาน การรวมธุรกิจจะมีอาคาร โรงงาน
และอุปกรณ์ที่สามารถนำมาใช้ในการดำเนินงานทันที การตั้งกิจการใหม่จะใช้
เวลามากกว่า ทำให้ล่าช้า การรวมธุรกิจจะทำให้ดำเนินงานได้เร็วขึ้น
4. เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกยึดครอง บางกิจการโดยเฉพาะกิจการขนาดเล็กมัก
จะรวมธุรกิจกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกยึดครองโดยกิจการอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่า
5. เพื่อลดคู่แข่งขัน การรวมธุรกิจที่เป็นธุรกิจประเภทเดียวกันจะเป็นการลด
คู่แข่งขัน
6. เพื่อเพิ่มความสามารถในการเพิ่มทุนและกู้ยืม การรวมธุรกิจทำให้
กิจการใหญ่ขึ้น เงินทุนบทพื้น ความสามารถในการทำกำไรจะเพิ่มขึ้น ดังนั้น
ในการขอกู้ยืมก็จะมีโอกาสในการกู้ยืมได้มากขึ้น หรือเมื่อต้องการเพิ่มทุนก็จะ
ทำได้ง่ายขึ้น
รูปแบบของการรวบธุรกิจ
รูปแบบของการรวมธุรกิจ แบ่งได้เป็น 3 แบบ ดังนี้
1. แบบแนวนอน (Horizontal) เป็นการรวมธุรกิจที่มีลักษณะเหมือนกันหรือ
ประเภทเดียวกันด้วยกัน เพื่อขยายกิจการเดิมให้ใหญ่ขึ้น เช่น โรงแรมที่เชียงใหม่
รวมกับโรงแรมที่ภูเก็ตโรงงานผลิตยนต์ กรุงเทพนานกรรวมกับโรงงาน รถ ระยอง
เป็นต้น
2. แบบแนวตั้ง (Vertical) เป็นการรวมธุรกิจที่แตกต่างกันแต่มีความสัมพันธ์กัน
มาก เช่น โรงงานทอผ้ารวมกับโรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป ธุรกิจผลิตน้ำยารวม
เป็นต้น
3. แบบผสม (Conglomerate) เป็นรวมธุรกิจ ไม่มีความสัมพันธ์กันแต่ต้องการ
ขายกิจการเดิมให้กว้างขึ้น เช่น โรงพยาบาลรวมกับโรงรับจำนำ ธุรกิจเทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่อสารรวมกับธุรกิจภัตตาคาร เป็นต้น
วิธีการรวมธุรกิจ
วิธีการรวมธุรกิจแบ่งออกเป็น 3 วิธี ดังนี้
1. การรับโอนกิจการ (Merger) เป็นการรวมธุรกิจที่มีกิจการหนึ่งเข้าซื้อ
สินทรัพย์สุทธิของอีกกิจการหนึ่งหรือหลายกิจการ และจะเหลือเพียงแค่กิจการ
ที่เป็นผู้ซื้อที่จะดำเนินงานต่อไป ส่วนกิจการที่ถูกซื้อจะเลิกกิจการไป เช่น
บริษัท A จำกัด รวมธุรกิจกับบริษัท B จำกัด โดยบริษัท B จำกัด เลิก
กิจการไป ส่วนบริษัท A จํากัด จะรับโอนสินทรัพย์สุทธิของบริษัท B จำกัด
มา และบริษัท A จ่ายชำระเป็นเงินสด สินทรัพย์ หุ้นทุน หรือหุ้นกู้ ก็ได้ ดัง
แสดงตามภาพที่
บริษัท A จำกัด บริษัท B จำกัด บริษัท C จำกัด
โอนสินทรัพย์และหนี้สิน (สินทรัพย์สุทธิ) ใหญ่ขึ้น
ของบริษัท B จำกัด ไปให้ บริษัท A จำกัด
2. การควบกิจการ (Consolidation) เป็นการรวมธุรกิจที่มีการตั้งกิจการ
ใหม่ขึ้นมา โดยกิจการเดิมที่มารวมกันนั้นได้เลิกกิจการไป แล้วตั้งเป็นกิจการใหม่
ขึ้นมาแทน โดยกิจการใหม่จะรับซื้อ สินทรัพย์สุทธิของกิจการเติมทุกกิจการ
เช่น บริษัท A จำกัด รวมธุรกิจกับบริษัท B จำกัด โดยทั้งสองบริษัท
เลิกกิจการไป และ จัดตั้งเป็นบริษัทใหม่ขึ้นมา คือ บริษัท C จำกัด เพื่อรับโอน
สินทรัพย์สุทธิของบริษัทที่เลิกไป และบริษัท C จํากัด จะออกหุ้นทุนที่มีสิทธิออก
เสียงให้บริษัท A จำกัด และบริษัท B จํากัด ดังแสดงตามภาพที่
บริษัท A จำกัด บริษัท B จำกัด
โอนสินทรัพย์และหนี้สิน โอนสินทรัพย์และหนี้สิน
(สินทรัพย์สุทธิ) (สินทรัพย์สุทธิ)
ของ บจ.A ไปให้ บจ.C ของ บจ.B ไปให้ บจ.C
บริษัท C จำกัด
3. การซื้อหุ้น (Acquisition of Stock) เป็นการรวมธุรกิจโดยกิจการหนึ่งเข้าซื้อ
หุ้นทุน (หุ้นสามัญ) ของอีกกิจการหนึ่งมากกว่า 50% เพื่อที่จะเข้าควบคุมอีกกิจการ
หนึ่งได้ ทำให้กิจการที่ ถูกซื้อมีสถานะเป็นบริษัทย่อย ส่วนกิจการที่เข้าซื้อหุ้นจะมี
สถานะเป็นบริษัทใหญ่ โดยที่ไม่มีกิจการใดเลิกกิจการและยังคงดำเนินงานตามปกติ
ซึ่งการดำเนิน งานของทั้ง 2 กิจการจะเรียกว่า “บริษัทในเครือ”
เช่น บริษัท A จำกัด ซื้อหุ้นสามัญของบริษัท B จำกัด 70% ทำให้บริษัท A
จำกัด สามารถ ควบคุมการค้าเนินงานของบริษัท B จำกัด ได้ โดยที่บริษัท A
จำกัด และบริษัท B จำกัด ยังคงดำเนิน กิจการต่อไป ในกรณีนี้ บริษัท A จำกัด
จะมีสถานะเป็นบริษัทใหญ่ ส่วนบริษัท B จำกัด จะถือว่าเป็น บริษัทย่อย ดังแสดง
ตามภาพที่
บริษัทใหญ่
บริษัท A จำกัด บริษัทย่อย
บจ. A ซื้อหุ้นสามัญของ บจ. B 70%
บริษัท B จำกัด
วิธีการรวมธุรกิจ
วิธีการรวมธุรกิจ
การรับโอนกิจการ การควบกิจการ การซื้อหุ้น
วิธีการบัญชีเกี่ยวกับการซื้อหุ้นจะกล่าวถึงในหน่วยที่ 2-5 ส่วนในหน่วยนี้จะ
กล่าวถึงเฉพาะวิชาการบัญชีเกี่ยวกับการรับโอนกิจการและการควบกิจการ
วิธีการบัญชีของการรวมธุรกิจ
วิธีการบัญชีของการรวมธุรกิจมี 2 วิธี ดังนี้
1. วิธีซื้อธุรกิจ
2. วิธีรวมส่วนได้เสีย
มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 3 เรื่อง การรวมธุรกิจ ได้
กำหนดให้การรวมธุรกิจจะต้องบันทึกบัญชีตามวิธีซื้อ *ซึ่งต้องระบุได้ว่าบุคคล
หรือกิจการใดเป็นผู้ซื้อ ซึ่งผู้ซื้อ คือ กิจการที่ได้อำนาจในการควบคุมในผู้ถูกซื้อ
*ยกเว้นในกรณีที่เป็นการรวมกิจการหรือธุรกิจที่อยู่ภายใต้การควบคุม
เดียวกัน ให้ปฏิบัติตาม “แนวปฏิบัติทางการบัญชีสำหรับการรวมธุรกิจภายใต้
การควบคุมเดียวกัน
วิธีซื้ออธุรกิจ
การรวมธุรกิจที่ใช้วิธีซื้อธุรกิจในการบันทึกบัญชี จะเกิดขึ้นเมื่อกิจการ
หนึ่งเข้าควบคุมอีกกิจการ หนึ่ง และสามารถระบุได้ว่ากิจการใดเป็นผู้ซื้อ ซึ่ง
เป็นการเปลี่ยนแปลงความเป็นเจ้าของจากผู้ถูกซื้อไป ยังผู้ซื้อ
หลักการสำคัญตามวิธีชื่อธุรกิจ มีดังนี้
1. ต้นทุนที่ผู้ซื้อต้องจ่ายไปเพื่อซื้อธุรกิจ อาจชำระเป็น
1.1 เงินสด ตั๋วเงิน หรือเช็ค
1.2 หุ้นสามัญ ในมูลค่ายุติธรรม
1.3 หุ้นกู้ ในมูลค่ายุติธรรม
1.4 สินทรัพย์อื่นในมูลค่ายุติธรรม
2. ผู้ซื้อธุรกิจจะบันทึกสินทรัพย์และหนี้สินที่รับมาด้วยมูลค่ายุติธรรม ณ วันที่ซื้อ
3. ผลต่างระหว่างต้นทุนที่ผู้ซื้อต้องจ่ายไป (ข้อ 1.) กับมูลค่ายุติธรรมของ
สินทรัพย์สุทธิที่ได้มา (ข้อ 2.) จะถูกรับรู้เป็นค่าความนิยม หรือกำไรจากการซื้อใน
ราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม
4. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการซื้อธุรกิจ มีดังนี้
4.1 ค่าใช้จ่ายทางตรงในการซื้อธุรกิจ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายทางกฎหมายเกี่ยวกับ
การซื้อธุรกิจ ค่าทนายความ ค่าธรรมเนียมที่จ่ายให้แก่ผู้จัดการเกี่ยวกับการซื้อ
ธุรกิจ ค่าที่ปรึกษา ค่าธรรมเนียมของ ผู้ชำนาญการตีราคาในการประเมินราคา
สินทรัพย์และหนี้สินที่รับโอน เป็นต้น ถือเป็นค่าใช้จ่ายในงวดที่เกิดขึ้น ไม่ถือเป็น
ส่วนหนึ่งของต้นทุนการซื้อธุรกิจ
4.2 ค่าใช้จ่ายในการออกหุ้นใหม่เพื่อชำระค่าซื้อธุรกิจ จะไม่ถือเป็นต้นทุนใน
การซื้อ แต่จะนำไปหักส่วนเกินมูลค่าหุ้นที่ออกเพื่อซื้อกิจการนั้นๆ
4.3 ค่าใช้จ่ายทางอ้อมในการซื้อธุรกิจ ได้แก่ ค่าแรงงานและค่าล่วงเวลา
ของพนักงานที่ ทำงานเกี่ยวกับการซื้อธุรกิจ ถือเป็นค่าใช้จ่ายในงวดที่เกิดขึ้น ไม่
ถือเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการซื้อธุรกิจ
การบันทึกบัญชีตามวิธีซื้อธุรกิจกรณีการรับโอนกิจการ(Merger)
1. หลักการบันทึกบัญชีทางด้านผู้ซื้อธุรกิจ มี 3 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 บันทึกการซื้อธุรกิจ
ในวันที่ซื้อธุรกิจผู้ซื้อจะได้สินทรัพย์มาให้บันทึกไว้ในบัญชีเงินลงทุนในบริษัท
(ชื่อผู้ถูกซื้อ) และเครดิตออกด้วยรายการที่จ่ายซื้อ เช่น
1.1ในวันที่ซื้อ จ่ายชำระเป็นเงินสด
เดบิต เงินลงทุนในบริษัท(ชื่อผู้ถูกซื้อ) xx xx
เครดิต เงินสด
1.2 ในวันที่ซื้อ จ่ายเป็นหุ้นสามัญ xx xx
เดบิต เงินลงทุนในบริษัท(ชื่อผู้ถูกซื้อ) xx
เครดิต ทุน-หุ้นสามัญ
ส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญ
1.3 ในวันที่ซื้อ จ่ายเป็นหุ้นกู้(กรณีมีส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นกู้)
เดบิต เงินลงทุนในบริษัท(ชื่อผู้ถูกซื้อ) xx
ส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นกู้ xx
เครดิต หุ้นกู้ xx
1.4 ในวันที่ซื้อ จ่ายเป็นสินทรัพย์ xx
เดบิต เงินลงทุนในบริษัท(ชื้อผู้ถูกซื้อ) xx
เครดิต สินทรัพย์
เงินลงทุนฯ ต้องบันทึกโดยใช้มูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ ส่วนสินทรัพย์ต้อง
บันทึกโดยใช้ราคาตามบัญชีซึ่งอาจเกิดกำไรหรือขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์
1.5 ในวันที่ซื้อ จ่ายเป็นเช็ค หุ้น
สามัญและสินทรัพย์
เดบิต เงินลงทุนในบริษัท(ชื่อผู้ถูกซื้อ) xx
เครดิต ธนาคาร xx
ทุน-หุ้นสามัญ xx
ส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญ xx
สินทรัพย์ xx
ขั้นที่ 2 บันทึกการจ่ายค่าใช้จ่ายในการรวมธุรกิจ
ผู้ซื้อจ่ายค่าทนายความ และค่าที่ปรึกษาในการรับธุรกิจ ต้องบันทึกเป็น
ค่าใช้จ่ายในการรวมธุรกิจ ส่วนการจ่ายค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนและออก
จำหน่ายหุ้น ต้องบันทึกโดยนำไปหักจากส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญที่ออกเพื่อซื้อ
กิจการ (ถ้ามี)
เดบิต ค่าใช้จ่ายในการรวมธุรกิจ xx
xx
ส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญ
เครดิต เงินสด xx
ขั้นที่ 3 บันทึกการรับโอนสินทรัพย์และหนี้สิน
3.1 กรณีมีค่าความนิยม
เดบิต สินทรัพย์(ของผู้ถูกซื้อและมูลค่ายุติธรรม) xx
*ค่านิยม xx
เครดิต หนี้สิน(ของผู้ถูกซื้อด้วยมู]ค่ายุติธรรม) xx
เงินลงทุนในบริษัท(ชื่อผู้ถูกซื้อ) xx
3.2 กรณีมีกำไรจากการซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม
เดบิต สินทรัพย์ (ของผู้ถูกซื้อด้วยมูลค่ายุติธรรม) xx
เครดิต หนี้สิน (ของผู้ถูกซื้อด้วยมูลค่ายุติธรรม) xx
เงินลงทุนในบริษัท (ชื่อผู้ถูกซื้อ) xx
*กำไรจากการซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม xx
* การคำนวณค่าความนิยม หรือกำไรจากก
ารซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม
ต้นทุนในการซื้อกิจการ
เงินสด ตั๋วเงิน หรือเช็ค xx
หุ้นสามัญ(ราคาปัจจุบัน) xx
หุ้นกู้ (ราคาปัจจุบัน) xx
สินทรัพย์อื่น (มูลค่ายุติธรรม) xx xx
สินทรัพย์สุทธิ (ราคายุติธรรม)
สินทรัพย์ – หนี้สิน xx
ค่าความนิยม หรือกำไรจากการซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม xx
ข้อสังเกต
1. ถ้าต้นทุนในการซื้อกิจการสูงกว่าสินทรัพย์
สุทธิ (จ่ายชำระมากกว่า) จะบันทึกเป็น
ค่าความนิยม
2. ถ้าต้นทุนในการซื้อกิจการน้อยกว่าสินทรัพย์
สุทธิ (จ่ายชำระน้อยกว่า) จะบันทึกเป็น
กำไรจากการซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม
2. หลักการบันทึกบัญชีทางด้านผู้ถูกซื้อธุรกิจ
ทางด้านผู้ถูกซื้อจะต้องยกเลิกบัญชีสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ
ออกทั้งหมดด้วยราคาตามบัญชีทุกรายการ ดังนี้
เดบิต หนี้สิน (ราคาตามบัญชี) xx
ทุน – หุ้นสามัญ xx
ส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญ xx
กำไรสะสม xx
เครดิต สินทรัพย์ (ราคาตามบัญชี) xx
การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับการซื้อธุรกิจกรณีรับโอนกิจการ (Merger) แสดง
ได้ตามตัวอย่างที่ 1 และตัวอย่างที่ 2 ดังต่อไปนี้
ตัวอย่างที่ 1 ต่อไปนี้เป็นงบแสดงฐานะการเงินของบริษัท ข จำกัด ณ วันที่ 1
มกราคม 25x1
กรณีที่ 1 ชำระด้วยเงินสด และเกิดค่าความนิยม
บริษัท ก จำกัด จ่ายเงินสด จำนวน 380,000 บาท เพื่อซื้อสินทรัพย์สุทธิ
ของบริษัท ข จำกัด โดยบริษัท ข จำกัด เลิกกิจการไป
ในการซื้อธุรกิจครั้งนี้ บริษัท ก จำกัด เสียค่าธรรมเนียมที่ปรึกษาและ
ทนายความในการรวม
ธุรกิจ จำนวน 70,000 บาท
ให้ทำ บันทึกรายการในสมุดรายวันทั่วไปของบริษัท ก จำกัด
การบันทึกบัญชีของบริษัท ก จำกัด
ขั้นที่ 1 ในวันที่ซื้อ จ่ายเป็นเงินสด จำนวน 380,000 บาท
เดบิต เงินลงทุนในบริษัท ข จำกัด 380,000
เครดิต เงินสด 380,000
ชั้นที่ 2 เสียค่าธรรมเนียมที่ปรึกษาและทนายความในการรวมธุรกิจ
จำนวน 70,000 บาท
เดบิต ค่าใช้จ่ายในการรวมธุรกิจ 70,000
เครดิต เงินสด 70,000
ขั้นที่ 3 บันทึกการรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท ข จำกัด โดยใช้มูลค่ายุติธรรม
เดบิต เงินสด 48,000
ลูกหนี้ 72,000
สินค้าคงเหลือ 60,000
ที่ดิน 140,000
อาคาร (สุทธิ) 160,000
อุปกรณ์สำนักงาน (สุทธิ) 100,000
ค่าความนิยม 100,000
เครดิต เจ้าหนี้ 60,000
ตั๋วเงินจ่าย 240,000
เงินลงทุนในบริษัท ข จำกัด 380,000
การคำนวณค่าความนิยม 580,000 380,000
ต้นทุนในการซื้อกิจการ 300,000 280,000
เงินสด 100,000
สินทรัพย์สุทธิ (มูลค่ายุติธรรม)
สินทรัพย์ (ของบริษัท ข จำกัด)
หัก หนี้สิน (ของบริษัท ข จำกัด)
ค่าความนิยม
กรณีที่ 2 ชำระด้วยหุ้นสามัญของบริษัท ก จำกัด และเกิดค่าความนิยม
บริษัท ก จำกัด ออกหุ้นสามัญ จำนวน 30,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท
เพื่อซื้อสินทรัพย์สุทธิ ของบริษัท ข จำกัด มูลค่ายุติธรรมของหุ้นสามัญหุ้นละ 15 บาท
โดยบริษัท ข จำกัด เลิกกิจการไป
ในการซื้อธุรกิจครั้งนี้ บริษัท ก จำกัด เสียค่าใช้จ่ายเป็นเงินสุดดังนี้
ค่าจดทะเบียนและออกจำหน่ายหุ้ 80,000 บาท
ค่าธรรมเนียมให้ที่ปรึกษาในการรว 100,000 บาท
การบันทึกบัญชีของบริษัท ก จำกัด
ขั้นที่ 1 ในวันที่ซื้อ จ่ายเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 30,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท
มูลค่ายุติธรรม หุ้นละ 15 บาท
เดบิด เงินลงทุนในบริษัท ข จำกัด (30,000x15) 450,000
เครดิต ทุน - หุ้นสามัญ (30,000x10) 300,000
ส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญ (30,000x5) 150,000
ขั้นที่ 2 จ่ายค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนและออกจำหน่ายหุ้น 80,000 บาท ให้นำ
ไปหักจากส่วนเกินมูลค่าหุ้น ส่วนคำาธรรมเนียมให้ที่ปรึกษา 100,000 บาท ถือเป็น
ค่าใช้จ่ายในการรวมธุรกิจ
เดบิต ค่าใช้จ่ายในการรวมธุรกิจ 100,000 180,000
ส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญ 80,000
เครดิต เงินสด
ขั้นที่ 3 บันทึกการรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท ข จำกัด โดยใช้มูลค่ายุติธรรม
เดบิต เงินสด 48,000
ลูกหนี้ 72,000
สินค้าคงเหลือ 60,000
ที่ดิน 140,000
อาคาร 160,000
อุปกรณ์สำนักงาน 100,000
ค่าความนิยม 170,000
เครดิต เจ้าหนี้ 60,000
240,000
ตั๋วเงินจ่าย 450,000
เงินลงทุนในบริษัท ข จำกัด
ต้นทุนในการซื้อกิจการ 580,000 450,000
หุ้นสามัญ (30,000 x15) 300,000
สินทรัพย์สุทธิ (มูลค่ายุติธรรม) 280,000
สินทรัพย์ (ของบริษัท ข จำกัด) 170,000
หัก หนี้สิน (ของบริษัท ข จำกัด)
ค่าความนิยม
กรณีที่ 3 ชำระด้วยหุ้นสามัญของบริษัท ก จำกัด และเกิดกำไรจากการซื้อในราคา
ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม
บริษัท ก จำกัด ออกหุ้นสามัญ จำนวน 14,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท
เพื่อซื้อสินทรัพย์สุทธิ ของบริษัท ข จำกัด มูลค่ายุติธรรมของหุ้นสามัญ ณ วันซื้อ
ธุรกิจหุ้นละ15 บาทโดยบริษัท ข จำกัด เลิกกิจการไป
ในการซื้อธุรกิจครั้งนี้ บริษัท ก จำกัด เสียค่าใช้จ่ายเป็นเงินสดดังนี้
ค่าจดทะเบียนและออกจำหน่ายหุ้น 30,000 บาท
ค่าธรรมเนียมให้ที่ปรึกษา 50,000 บาท
การบันทึกบัญชีของบริษัท ก จำกัด
ขั้นที่ 1 ในวันที่ซื้อ จ่ายเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 14,000 หุ้น มูลค่าหุ้น
ละ 10 บาท มูลค่ายุติธรรม หุ้นละ 15 บาท
เดบิต เงินลงทุนในบริษัท ข จำกัด(14,000x15) 210,000
เครดิต ทุน - หุ้นสามัญ (14,000x10) 140,000
ส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญ (14,000x5) 70,000
ขั้นที่ 2 จ่ายค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนและออกจำหน่ายหุ้น 30,000 บาท
ให้นำไปหักจากส่วนเกินมูลค่าหุ้น ส่วนค่าธรรมเนียมให้ที่ปรึกษา 50,000 บาท ถือ
เป็นค่าใช้จ่ายในการรวมธุรกิจ
เดบิต ค่าใช้จ่ายในการรวมธุรกิจ 50,000
ส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญ ขั้นที่ 3 บันทีกการรับโอน
สินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท ข จำกัด โดยใช้มูลค่ายุติธรรม
30,000
เครดิต เงินสด 80,000
ขั้นที่ 3 บันทีกการรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท ข จำกัด โดยใช้มูลค่ายุติธรรม
เดบิต เงินสด 48,000
ลูกหนี้ 72,000
สินค้าคงเหลือ 60,000
ที่ดิน 140,000
อาคาร 160,000
อุปกรณ์สำนักงาน 100,000
เครดิต เจ้าหนี้ 60,000
240,000
ตั๋วเงินจ่าย 210,000
70,000
เงินลงทุนในบริษัท ข จำกัด
กำไรจากการซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม
การคำนวณกำไรจากการซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม
ต้นทุนในการซื้อกิจการ
หุ้นสามัญ (14,000 x 15) 210,000
สินทรัพย์สุทธิ (มูลค่ายุติธรรม) 280,000
สินทรัพย์ (ของบริษัท ข จำกัด) 580,000 70,000
หัก หนี้สิน (ของบริษัท ข จำกัด) 300,000
กำไรจากการซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม
ตัวอย่างที่ 2 ต่อไปนี้เป็นงบแสดงฐานะการเงินก่อนรวมธุรกิจของบริษัท A จำกัด
และบริษัท 8 จำกัด ณ วันที่ 1 มกราคม 25x1
กรณีที่ 1 ชำระด้วยเงินสดและหุ้นสามัญของบริษัท A จำกัด และเกิดค่าความนิยม
บริษัท A จำกัด ออกหุ้นสามัญ จำนวน 20,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท
เพื่อซื้อสินทรัพย์สุทธิ ของบริษัท B จำกัด มูลค่ายุติธรรมของหุ้นสามัญหุ้นละ 30 บาท
และจ่ายเงินสต 50,000 บาท โดยบริษัท B จำกัด เลิกกิจการไป
ในการซื้อธุรกิจครั้งนี้ บริษัท A จำกัด เสียค่าใช้จ่ายเป็นเงินสดดังนี้
ค่าจดทะเบียนและออกจำหน่ายหุ้น 40,000 บาท
ค่าใช้จ่ายทางกฎหมายเกี่ยวกับการซื้อธุรกิจ 80,000 บาท
ให้ทำ 1. บันทึกรายการในสมุดรายวันทั่วไปของบริษัท A จำกัด
2. งบแสดงฐานะการเงินหลังการรวมธุรกิจ
3. บันทึกรายการในสมุดรายวันทั่วไปของบริษัท B จำกัด
การบันทึกบัญชีของบริษัท A จำกัด
ขั้นที่ 1 ในวันที่ซื้อจ่ายเป็นหุ้นสามัญจำนวน 20,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท
มูลค่ายุติธรรม หุ้นละ 30 บาท และจ่ายเงินสด 50,000 บาท
เดบิต เงินลงทุนในบริษัท B จำกัด 650,000
เครดิต ทุน - หุ้นสามัญ (20,000x10) 200,000
ส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญ (20,000x20) 400,000
เงินสด 50,000
ขั้นที่ 2 จ่ายค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนและออกจำหน่ายหุ้น 40,000 บาท
ให้นำไปหักจากส่วนเกินมูลค่าหุ้น ส่วนค่าใช้จ่ายทางกฎหมายเกี่ยวกับการซื้อธุรกิจ
80,000 บาท ถือเป็นค่าใช้จ่ายในการรวม
เดบิต ค่าใช้จ่ายในการรวมธุรกิจ 80,000
ส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญ 40,000
เครดิต เงินสด 120,000
ขั้นที่ 3 บันทึกการรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท 8 จำกัด โดยใช้
มูลค่ายุติธรรม
เดบิต เงินสด 50,000
ลูกหนี้ 30,000
สินค้าคงเหลือ 100,000
ที่ดิน 176,000
อาคาร 400,000
อุปกรณ์สำนักงาน 66,000
ส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นกู้ 20,000
ค่าความนิยม 82,000
เครดิต เจ้าหนี้ 64,000
หุ้นกู้ 210,000
เงินลงทุนในบริษัท B จำกัด 650,000
การคำนวณค่าความนิยม 600,000 650,000
ต้นทุนในการซื้อกิจการ 50,000 568,000
หุ้นสามัญ (20,000x30) 822,000 82,000
เงินสด 254,000
สินทรัพย์สุทธิ (มูลค่ายุติธรรม)
สินทรัพย์ (ของบริษัท B จำกัด)
หักหนี้สิน (ของบริษัท B จำกัด)
ค่าความนิยม
บริษัท A จำกัด
งบแสดงฐานะการเงิน
วันที่ 1 มกราคม 25x1
สินทรัพย์
สินทรัพย์หมุนเวียน
เงินสด(160,000+50,000-50,000-120,000) 40,000
ลูกหนี้(60,000+30,000) 90,000
สินค้าคงเหลือ (300,000+100,000) 400,000
รวมสินทรัพย์หมุนเวียน 530,000
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 926,000
ที่ดิน (750,000+176,000) 1,400,000
อาคาร(สุทธิ) (1,000,000+400,000) 326,000
อุปกรณ์สำนักงาน(สุทธิ) (260,000+66,000) 82,000
ค่าความนิยม 2,734,000
รวมสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 3,264,000
รวมสินทรัพย์
หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น 284,000
หนี้สินหมุนเวียน
เจ้าหนี้ (220,000+64,000) 890,000
หนี้สินไม่หมุนเวียน 1,174,000
หุ้นกู้ (700,000+210,000) 910,000 1,400,000
หัก ส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นกู้ 20,000
รวมหนี้สิน 470,000
ส่วนของผู้ถือหุ้น 220,000
หุ้นสามัญ (1,200,000+200,000) 2,090,000
ส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญ (110,000+400,000-40,000) 3,264,000
กำไรสะสม (300,000-80,000)
รวมส่วนของผู้ถือหุ้น
รวมหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น
ข้อสังเกต
ตัวเลขที่ใช้ในการจัดทำงบแสดงฐานะการเงิน (หลังการรวมธุรกิจ) ให้ใช้ดังนี้
1. ผู้ซื้อ (บริษัท A จำกัด) ใช้ราคาตามบัญชี
2. ผู้ถูกซื้อ (บริษัท B จำกัด ใช้มูลค่ายุติธรรม
3. ปรับปรุงด้วยรายการในสมุดรายวันทั่วไป เช่น
เงินสด = 160,000 + 50,000 - 50,000 - 120,000 = 40,000
160,000 ได้มาจากราคาตามบัญชีของผู้ซื้อ
50,000 ได้มาจากมูลค่ายุติธรรมของผู้ถูกซื้อ
50,000 ได้มาจากรายการเงินสดในขั้นที่ 1 ซึ่งเป็นยอดเครดิต จึงนำมาหักออก
120,000 ได้มาจากรายการเงินสดในขั้นที่ 2 ซึ่งเป็นยอดเครดิต จึงนำมาหักออก
กำไรสะสม = 300,000 - 80,000 = 220,000
300,000 ได้มาจากราคาตามบัญชีของผู้ซื้อ
80,000 ได้มาจากค่าใช้จ่ายในการรวมธุรกิจ ซึ่งเป็นยอดเดบิต จึงนำมาหักออก
กรณีที่ 2 ชำระด้วยเงินสดและสินทรัพย์ และเกิดกำไรจากการซื้อในราคาต่ำกว่า
มูลค่ายุติธรรม
บริษัท A จำกัด จ่ายชำระเงินสด จำนวน 100,000 บาท พร้อมที่ดินราคา
ตามบัญชี 300,000 บาทซึ่งมีมูลค่ายุติธรรม 360,000 บาท เพื่อซื้อสินทรัพย์สุทธิ
ของบริษัท B จำกัด โดยบริษัท B จำกัดเลิกกิจการไป
ในการซื้อธุรกิจครั้งนี้ บริษัท A จำกัดจ่ายค่าใช้จ่ายทางกฎหมายเกี่ยวกับการ
รวมธุรกิจ30,000 บาท
การบันทึกบัญชีของบริษัท A จำกัด
ขั้นที่ 1 ในวันที่ซื้อ บริษัท A จำกัด จ่ายชำระเงินสด จำนวน 100,000 บาท
พร้อมที่ดินราคาตามบัญชี 300,000 บาท ซึ่งมีมูลค่ายุติธรรม 360,000 บาท
เดบิต เงินลงทุนในบริษัท B จำกัด 460,000 100,000
เครดิต เงินสด 300,000
ที่ดิน (ราคาตามบัญชี) 60,000
กำไรจากการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์
ขั้นที่ 2 จ่ายค่าใช้จ่ายทางกฎหมายเกี่ยวกับการรวมธุรกิจ 30,000 บาท
ถือเป็นค่าใช้จ่ายในการรวม
เดบิต ค่าใช้จ่ายในการรวมธุรกิจ 30,000
เครดิต เงินสด 30,000
ขั้นที่ 3 บันทึกการรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท B จำกัด โดยใช้
มูลค่ายุติธรรม
เดบิต เงินสด 50,000
ลูกหนี้ 30,000
สินค้าคงเหลือ 100,000
ที่ดิน
176,000
อาคาร
400,000
อุปกรณ์สำนักงาน
66,000
ส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นกู้ 20,000
เครดิต เจ้าหนี้ 64,000
หุ้นกู้ 210,000
เงินลงทุนในบริษัท B จำกัด 460,000
กำไรจากการซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม 108,000
การคำนวณกำไรจากการซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม 460,000
ต้นทุนในการซื้อกิจการ 568,000
เงินสด 100,000 108,000
ที่ดิน 360,000
สินทรัพย์สุทธิ (มูลค่ายุติธรรม)
สินทรัพย์ (ของบริษัท B จำกัด) 822,000
หัก หนี้สิน (ของบริษัท B จำกัด) 254,000
กำไรจากการซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม
บริษัท A จำกัด
งบแสดงฐานะการเงิน
วันที่ 1 มกราคม 25x1
สินทรัพย์หมุนเวียน สินทรัพย์
เงินสด (160,000+50,000-100,000-30,000) 80,000
ลูกหนี้ (60,000+30,000) 90,000
สินค้าคงเหลือ (300,000+100,000) 400,000
รวมสินทรัพย์หมุนเวียน 530,000
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 626,000
ที่ดิน (750,000+176,000-300,000) 1,400,000
อาคาร (สุทธิ)(1,000,000+400,000) 326,000
อุปกรณ์สำนักงาน (สุทธิ)(260,000+66,000) 2,352,000
รวมสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 2,922,000
รวมสินทรัพย์
หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น 284,000
หนี้สินหมุนเวียน
เจ้าหนี้ (220,000+64,000) 890,000
หนี้สินไม่หมุนเวียน 1,174,000
หุ้นกู้ (700,000+210,000) 910,000 1,200,000
หัก ส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นกู้ 20,000 110,000
รวมหนี้สิน 438,000
ส่วนของผู้ถือหุ้น 1,748,000
หุ้นสามัญ 2,922,000
ส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญ
กำไรสะสม(300,000+60,000+108,000-30,000)
รวมส่วนของผู้ถือหุ้น
รวมหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น
การบันทึกบัญชีของบริษัท B จำกัด
บริษัท B จำกัด บันทึกการยกเลิกบัญชีทั้งหมดด้วยราคาตามบัญชี ดังนี้
เดบิต เจ้าหนี้ 64,000
หุ้นกู้ 210,000
ทุน-หุ้นสามัญ 200,000
ส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญ 70,000
กำไรสะสม 258,000
ค่าเสื่อมราคาสะสม–อาคาร 20,000
ค่าเสื่อมราคาสะส–อุปกรณ์สำนักงาน 48,000
เครดิต เงินสด 50,000
ลูกหนี้ 40,000
สินค้าคงเหลือ 130,000
ที่ดิน 150,000
อาคาร 400,000
อุปกรณ์สำนักงาน 100,000
การบันทึกบัญชีตามวิธีซื้อธุรกิจกรณีการควบกิจการ (Consolidation)
การควบกิจการ เป็นการรวมธุรกิจที่มีการตั้งกิจการใหม่ขึ้นมา โดย
กิจการเดิมที่มารวมกันนั้นได้เลิกกิจการไป แล้วตั้งเป็นกิจการใหม่ขึ้นมาแทน
โดยกิจการใหม่จะรับซื้อสินทรัพย์สุทธิของกิจการเดิม และจ่ายชำระเป็นหุ้น
สามัญให้กับกิจการเดิมทุกกิจการ
การบันทึกบัญชีกรณีการควบกิจการนี้มีหลักในการบันทึกบัญชีเช่น
เดียวกับการรับโอนกิจการเพียงแต่กิจการเดิมทุกกิจการต้องโอนสินทรัพย์สุทธิ
ให้กิจการที่ตั้งขึ้นมาใหม่
ตัวอย่างที่ 3 จากงบแสดงฐานะการเงินของตัวอย่างที่ 2 สมมติว่า บริษัท A
จำกัด รวมธุรกิจ 8 จำกัด โดยตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา คือ บริษัท C จำกัด เพื่อ
รับโอนสินทรัพย์และหนี้สินของ บริษัท A จำกัด และบริษัท B จำกัด ที่เลิก
กิจการไป
บริษัท C จำกัด ออกหุ้นสามัญมูลค่าหุ้นละ 100 บาท ซึ่งมีมูลค่า
ยุติธรรมหุ้นละ 130 บาท ให้บริษัท A จำกัด จำนวน 20,000 หุ้น และให้
บริษัท B จำกัด จำนวน 4,000 หุ้น
การบันทึกบัญชีของบริษัท C จำกัด
ในวันที่ซื้อ จ่ายเป็นหุ้นสามัญให้บริษัท A จำกัด จำนวน 20,000
หุ้น และให้บริษัท B จำกัด จำนวน 4,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท
มูลค่ายุติธรรมหุ้นละ 130 บาท
เดบิต เงินลงทุนในบริษัท A จำกัด (20,000x130) 2,600,000
เงินลงทุนในบริษัท B จำกัด (4,000x130) 520,000
เครดิต ทุน-หุ้นสามัญ (24,000x100) 2,400,000
ส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญ (24,000x30) 720,000
บันทึกการรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท A จำกัด โดยใช้มูลค่ายุติธรรม
เดบิต เงินสด 160,000
ลูกหนี้ 50,000
สินค้าคงเหลือ 370,000
ที่ดิน 900,000
อาคาร 1,100,000
อุปกรณ์สำนักงาน 200,000
ส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นกู้ 20,000
ค่าความนิยม 720,000
เครดิต เจ้าหนี้ 220,000
หุ้นกู้ 700,000
เงินลงทุนในบริษัท A จำกัด 2,600,000
บันทึกการรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท B จำกัด โดยใช้มูลค่ายุติธรรม
เดบิต เงินสด 50,000
ลูกหนี้ 30,000
สินค้าคงเหลือ 100,000
ที่ดิน 176,000
อาคาร 400,000
อุปกรณ์สำนักงาน 66,000
ส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นกู้ 20,000
เครดิต เจ้าหนี้ 64,000
หุ้นกู้ 210,000
เงินลงทุนในบริษัท B จำกัด 520,000
กำไรจากการซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม 48,000
การคำนวณค่าความนิยม(บริษัท A จำกัด) 2,780,000 2,600,000
ต้นทุนในการซื้อกิจการ 900,000 1,880,000
หุ้นสามัญ(20,000 x 130)
สินทรัพย์สุทธิ(มูลค่ายุติธรรม) 720,000
สินทรัพย์(ของบริษัท A จำกัด)
หัก หนี้สิน(ของบริษัท A จำกัด)
ค่าความนิยม
การคำนวณกำไรจากการซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม(บริษัท B จำกัด)
ต้นทุนในการซื้อกิจการ
หุ้นสามัญ(4,000 x 130) 520,000
สินทรัพย์สุทธิ(มูลค่ายุติธรรม)
สินทรัพย์(ของบริษัท B จำกัด) 822,000
หัก หนี้สิน(ของบริษัท B จำกัด) 254,000 568,000
กำไรจากการซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม 48,000
บริษัท C จำกัด 210,000
งบแสดงฐานะการเงิน 80,000
วันที่ 1 มกราคม 25x1 470,000
760,000
สินทรัพย์ 1,076,000
สินทรัพย์หมุนเวียน 1,500,000
266,000
เงินสด (160,000+50,000) 720,000
ลูกหนี้ (50,000+30,000) 3,562,000
สินค้าคงเหลือ (370,000+100,000) 4,322,000
รวมสินทรัพย์หมุนเวียน
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 284,000
ที่ดิน (900,000+176,000) 910,000
อาคาร (สุทธิ) (1,100,000+400,000) 40,000 870,000
อุปกรณ์สำนักงาน (สุทธิ) (200,000+66,000) 1,154,000
ค่าความนิยม 2,400,000
รวมสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 720,000
รวมสินทรัพย์
48,000
หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น 3,168,000
หนี้สินหมุนเวียน 4,322,000
เจ้าหนี้ (220,000 + 64,000)
หนี้สินไม่หมุนเวียน
หุ้นกู้ (700,000 + 210,000)
หัก ส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นกู้ (20,000+20,000)
รวมหนี้สิน
ส่วนของผู้ถือหุ้น
หุ้นสามัญ
ส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญ
กำไรสะสม
รวมส่วนของผู้ถือหุ้น
รวมหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น
วิธีรวมส่วนได้เสีย
การรวมส่วนได้เสีย เป็นวิธีการบัญชีที่ใช้สำหรับการรวมธุรกิจประเภทที่มี
การแลกเปลี่ยนส่วนได้เสียและความเป็นเจ้าของซึ่งกันและกันในกิจการที่มารวมกัน
และไม่มีการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้น จึงไม่สามารถระบุได้ว่าฝ่ายใดเป็นผู้ซื้อ
เนื่องจากไม่มีกิจการใดที่สามารถครอบงำกิจการอื่นได้
วิธีการบัญชีแบบรวมส่วนได้เสีย อาจถูกนำมาใช้สำหรับการรวมธุรกิจที่อยู่
ภายใต้การควบคุมเดียวกัน ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก และมาตรฐานการ
รายงานทางการเงิน ฉบับที่ 3 เรื่อง การรวมธุรกิจ ไม่ได้กำหนดให้ใช้วิธีนี้เป็นวิธี
การบัญชีสำหรับการรวมธุรกิจ โดยกำหนดให้การรวมธุรกิจจะต้องธุรกิจ
บันทึกบัญชีตามวิธีซื้อ
การรวมธุรกิจภายใต้การควบคุมเดียวกัน คือ การรวมธุรกิจซึ่งกิจการหรือ
ธุรกิจทั้งหมดที่นำมารวมกันอยู่ภายใต้การควบคุมสูงสุดโดยบุคคล กิจการ กลุ่ม
บุคคล หรือกลุ่มกิจการเดียวกัน ทั้งก่อนและหลังการรวมธุรกิจ และการควบคุม
นั้นไม่เป็นการควบคุมชั่วคราว
ตัวอย่างเช่น บริษัท A จำกัด ซื้อหุ้นสามัญชองบริษัท ก จำกัด 60%
และซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ข จำกัด 709 บริษัท ก จำกัดและบริษัท ข จำกัด
ถือได้ว่าอยู่ภายใต้การควบคุมเดียวกัน (ภายใต้การควบคุมของบริษัท A จำกัด)
เมื่อบริษัท ก จำกัด และบริษัท ข จำกัด มารวมกิจการกันจะต้องบันทึก บัญชี
โดยใช้วิธีรวมส่วนได้เสีย ดังแสดงตามภาพ
บริษัท A จำกัด
บริษัท ก จำกัด บริษัท ข จำกัด
รวมกิจการ
บันทึกบัญชีโดยใช้วิธีรวมส่วนได้เสีย
หลักการสำคัญตามวิธีรวมส่วนได้เสีย มีดังนี้
1. บันทึกการรับโอนสินทรัพย์และหนี้สิน ด้วยราคาตามบัญชี
2. บันทึกหุ้นสามัญที่ผู้รับโอนออกให้ เพื่อชำระค่าโอนกิจการด้วยราคาตามมูลค่า
3. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรวมธุรกิจที่เกิดขึ้นทั้งหมด ให้บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในงวด
บัญชีที่รวมธุรกิจ
4. เปรียบเทียบส่วนของทุนของกิจการที่นำมารวม (หุ้นสามัญ + ส่วนเกินมูลค่า
หุ้นสามัญ) กับมูลค่าหุ้นสามัญที่ออกแลกเปลี่ยน
4.1 ถ้าส่วนของทุนของกิจการที่นำมารวมมากกว่ามูลค่าหุ้นสามัญที่ออกแลก
เปลี่ยนต่างให้นำไปปรับเพิ่มส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญของกิจการที่ยังคงอยู่ กำไรสะสม
หลังการรวมกำไรสะสมของกิจการเดิมรวมกัน
4.2 ถ้าส่วนของทุนของกิจการที่นำมารวมน้อยกว่ามูลค่าหุ้นสามัญที่ออกแลก
เปลี่ยนผลต่างให้นำไปปรับตามลำดับ ดังนี้
1) ลดบัญชีส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญของกิจการที่ยังคงอยู่ (ผู้รับโอน)
2) ลดบัญชีกำไรสะสม
กำไรสะสมหลังการรวมจะต้องเท่ากับหรือน้อยกว่ากำไรสะสมของกิจการเดิม
รวมกัน
ตัวอย่างที่ 4 เมื่อวันที่ 2 มกราคม 25x1 บริษัท หนี่ง จำกัด ดกลงรวมธุรกิจกับ
บริษัท สอง จำกัดโดยวิธีรวมส่วนได้เสีย งบแสดงฐานะการเงินของทั้งสองบริษัท ณ
วันนี้ เป็นดังนี้
กรณีที่ 1 ส่วนของทุนของกิจการที่นำมารวมมากกว่ามูลค่าหุ้นสามัญที่ออกแลกเปลี่ยน
บริษัท หนึ่ง จำกัด ออกหุ้นสามัญ 50,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ค่าใช้จ่ายในการ
รวมธุรกิจมีจำนวน 20,000 บาท
การบันทึกบัญชีของบริษัท หนี่ง จำกัด
ขั้นที่ 1 บันทึกการรวมธุรกิจ
เดบิต เงินสด 100,000
ทสลีิู่นกดิหคน้นาี้คงเหลือ 111582000,,,000000000
อาคารและอุปกรณ์ 550,000
เครดิต ตเัจ๋ว้าเหงินนี้จ่าย 13700,,000000
หุ้นกู้ 150,000
ทุน-หุ้นสามัญ (50,000x10) 500,000*
สก่ำวไนรเสกิะนสมูมลค่าหุ้นสามัญ 115000,,000000
ขั้นที่ 2 บันทึกค่าใช้จ่ายในการรวมธุรกิจ 20,000 20,000
เดบิต ค่าใช้จ่ายในการรวมธุรกิจ 650,000
เครดิต เงินสด 500,000*
150,000
การคำนวณ 150,000
ส่วนของทุนของกิจการที่นำมารวม (500,000+150,000)
หัก หุ้นสามัญที่ออกแลกเปลี่ยน (50,000x10)
ผลต่าง
ผลต่าง นำไปปรับเพิ่มส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญ
กรณีที่ 2 ส่วนของทุนของกิจการที่นำมารวมน้อยกว่ามูลค่าหุ้นสามัญที่ออกแลก
เปลี่ยนบริษัท หนึ่ง จำกัด ออกหุ้นสามัญ 80,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ค่าใช้
จ่ายในการรวมธุรกิจ มีจำนวน 20,000 บาท
การบันทึกบัญชีของบริษัท หนึ่ง จำกัด
ขั้นที่ 1 บันทึกการรวมธุรกิจ
เดบิด เงินสด 100,000
ลูกหนี้ 120,000
สินค้าคงเหลือ 180,000
ที่ดิน 150,000
อาคารและอุปกรณ์ 550,000
ส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญ 100,000
เครดิต เจ้าหนี้ 70,000
ตั๋วเงินจ่าย 130,000
หุ้นกู้ 150,000
ทุน-หุ้นสามัญ (80,000x10) 800,000*
กำไรสะสม (100,000-50,000) 50,000
ขั้นที่ 2 บันทึกค่าใช้จ่ายในการรวมธุรกิจ
เดบิด ค่าใช้จ่ายในการรวมธุรกิจ 20,000 20,000
เครดิต เงินสด
การคำนวณ
ส่วนของทุนของกิจการที่นำมารวม (500,000+150,000) 650,000
หัก หุ้นสามัญที่ออกแลกเปลี่ยน (80,000x10) 800,000*
ผลต่าง (150,000)
ผลต่าง
1) นำไปปรับลดบัญชีส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญของบริษัท หนึ่ง จำกัด 100,000 บาท
2) นำไปปรับลดบัญชีกำไรสะสมของบริษัท สอง จำกัด 50,000 บาท
สรุป
การวมธุรกิจคือการนำกิจการหรือธุรกิจตั้งแต่ 2 กิจการขึ้นไปที่แยกต่าง
หากจากกันมารวมเป็นหน่วยงานทางเศรษฐกิจเดียวกัน รูปแบบของการรวม
ธุรกิจ แบ่งได้เป็น 3 แบบ คือ แบบแนวนอน แบบแนวตั้ง และแบบผสม
วิธีการรวมธุรกิจแบ่งออกได้เป็น 3 วิธี คือ การรับโอนกิจการ การควบ
กิจการ และการซื้อหุ้น
การบันทึกบัญชีการรวมธุรกิจมี 2 วิธี คือ วิธีซื้อธุรกิจ และวิธีรวมส่วน
ได้เสีย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 3 เรื่อง การรวมธุรกิจ ได้
กำหนดให้การรวมธุรกิจจะต้องบันทึกบัญชีตามวิธีซื้อ
วิธีซื้อธุรกิจ หมายถึง การรวมธุรกิจที่ผู้ซื้อเข้าควบคุมสินทรัพย์สุทธิและ
การดำเนินงานของผู้ถูกซื้อโดยการโอนสินทรัพย์ การก่อหนี้สินหรือการออกหุ้น
เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน
วิธีรวมส่วนได้เสีย หมายถึง การรวมธุรกิจที่มีการแลกเปลี่ยนส่วนได้เสีย
และความเป็นเจ้าของซึ่งกันและกันและไม่มีการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้นและ
ผู้ถือหุ้นที่มารวมกันมีส่วนร่วมอย่างทัดเทียมในการควบคุมสินทรัพย์สุทธิและการ
ดำเนิ่นงานทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดของกิจการ จึงไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้
ซื้อ