รายงานการวจิ ยั ในชั้นเรียน
เรื่อง
การใชก้ ระบวนการเรียนการสอนทเ่ี นน้ ผเู้ รียนเปน็ สำคัญ “แบบร่วมมอื ในภาวะโควคิ -19”
เพื่อแก้ปัญหาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนวชิ าภาษาอังกฤษเพอ่ื การสื่อสาร รหัสวชิ า 30000-1201
ผวู้ ิจัย
นายสวุ ิช ฝุน่ เงิน
ดำเนนิ การวจิ ัยกับนักศกึ ษาในระดบั ประกาศนียบัตรวชิ าชีพชนั้ สงู ชัน้ ปที ี่ 1 หอ้ ง 1-2
แผนกวิชาโยธา
ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2564
บทท่ี 1 บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปญั หา
ความเปน็ มาและสภาพปัญหา
เนื่องจากในภาคเรียนที่ 1-2564 แผนกวิชาสามัญสัมพันธ์ วิทยาลัยเทคนิคสว่างแดนดิน ประสบกับ
สถานการณโ์ ควิค-19 ทำให้สถานศกึ ษาต้องจัดการศกึ ษาในรูปแบบตา่ งๆ จากผลการจดั การเรียนการสอน ใน
ปีการศึกษา 2563 ที่ผ่านมา พบว่า ผู้เรียนบางคนมีการพัฒนาการเรียนที่ดีขึ้น โดยดูจากผลการเรียน แต่มี
ผู้เรียนบางคนมีพัฒนาการในการเรียนรู้ที่ช้า จึงได้ศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์โดยการใช้
กระบวนการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ “แบบร่วมมือ” ในการแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ดังนั้นผู้วิจัยจึงนำวิธีการเรียนแบบร่วมมือมาใช้กับนักศึกษารายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ในระดับ
ปวส.1 ในปีการศึกษา 2564 บนความแตกต่างระหว่างบุคคล ส่งผลให้ผู้เรียนมีวิธีการเรียนรู้ของตนเองใน
สถานการณ์โควคิ -19
วตั ถปุ ระสงค์ในงานวิจยั
1. เพ่ือพัฒนาการจัดการเรยี นร้ใู นวิชาภาษาองั กฤษเพ่อื การสอ่ื สาร ของนกั ศกึ ษาวิทยาลยั เทคนิค
สวา่ งแดนดนิ โดยใชก้ ระบวนการเรียนการสอนทเ่ี นน้ ผู้เรียนเปน็ สำคญั “แบบรว่ มมอื ”
2. เพอ่ื เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน ก่อนเรยี นกบั หลังเรียนของนักศึกษาจากการเรียนโดยใช้
กระบวนการเรยี นการสอนทเี่ น้นผูเ้ รยี นเปน็ สำคญั “แบบร่วมมือ”
3. เพือ่ ให้ผ้เู รยี นกลมุ่ เป้าหมายทร่ี บั ร้ชู า้ มีผลการเรียนไม่ต่ำกวา่ 65% ของคะแนนรวม
กรอบแนวคิดในการวจิ ยั ตัวแปรต้น
การเรียนแบบรว่ มมือ
ตัวแปรตาม
ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน
ในวิชาภาษาองั กฤษเพ่อื การส่อื สารสาร
ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะไดร้ บั
1. ทำใหท้ ราบผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นก่อนเรยี นกบั หลงั เรียน ของนักศึกษาจาการใชก้ ระบวนการ
เรยี นการสอนทเี่ นน้ ผเู้ รียนเป็นสำคญั “แบบรว่ มมือ”
2. ผูเ้ รียนมีความรู้ความเขา้ ใจในเนื้อหามากขึน้ และสามารถเตรยี มความพร้อมเพอ่ื การทำงาน
ในอนาคตตอ่ ไป
3. เป็นแนวสำหรับผสู้ อนในการพฒั นาการเรยี นการสอนให้ผ้เู รียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเรยี น
นิยามศพั ท์เฉพาะ
ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นหรือผลการเรียนรู้ หมายถงึ ความรูห้ รอื ทักษะท่ไี ด้จากการเรยี นรใู้ นรายวชิ า
ภาษาอังกฤษเพื่อการสาอสาร วดั โดยการนำคะแนนทดสอบก่อนและหลังเรยี นมาเปรยี บเทียบกนั
การเรียนแบบร่วมมอื (Cooperative Learning) หมายถงึ วธิ กี ารจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนที่เน้น
การจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้แก่นักเรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วย
สมาชิกที่มีความรู้ความสามารถแตกต่างกัน โดยที่แต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้และใน
ความสำเร็จของกลุ่ม ทั้งโดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การแบ่งปันทรัพยากรการเรียนรู้ รวมทั้งการเป็น
กำลงั ใจแกก่ นั และกัน คนท่เี รยี นเกง่ จะชว่ ยเหลอื คนที่อ่อนกวา่ สมาชิกในกลุ่มไม่เพยี งแตร่ ับผิดชอบต่อการเรียน
ของตนเองเท่านนั้ หากแต่จะตอ้ งรว่ มกันรบั ผดิ ชอบต่อการเรยี นรขู้ องเพอ่ื นสมาชิกทุกคนในกลุ่ม
บทท่ี 2
แนวคิดทฤษฎี
แนวคดิ ทฤษฎี ทเ่ี กย่ี วข้อง
การจดั การเรียนรูแ้ บบร่วมมือ หมายถึง การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้สำหรบั ผู้เรียนตั้งแตส่ องคนขน้ึ ไป
หรอื โดยการแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุม่ ยอ่ ยๆ ส่งเสริมใหผ้ เู้ รยี นทำกิจกรรมร่วมกนั โดยในกลุ่มประกอบด้วย
สมาชกิ ทม่ี คี วามสามารถแตกต่างกนั มีการแลกเปล่ยี นความคิดเห็น มกี ารชว่ ยเหลือพ่งึ พากนั มคี วาม
รับผิดชอบร่วมกัน ท้งั ในส่วนตนและส่วนรวม เพอื่ ใหต้ นเองและสมาชิกทกุ คนในกลุ่มประสบความสำเรจ็ ตาม
เป้าหมายทีก่ ำหนด ซ่งึ ตรงขา้ มกับการเรียนท่เี นน้ การแข่งขันและการเรยี นตามลำพัง
ความหมายและแนวคิดของการเรียนรแู้ บบรว่ มมือ
(Cooperative and Collaborative Learning)
ความหมาย
การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) เป็นคำที่มีความหมาย
ใกล้เคียงกัน เพราะมีลักษณะเป็นกระบวนการเรียนรู้เป็นแบบร่วมมือ ข้อแตกต่างระหว่าง Cooperative
Learning กับ Collaborative Learning อยู่ที่ระดับความร่วมมือที่แตกต่างกัน Sunyoung, J. (2003) ได้
สรุปว่า ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนระหว่าง Cooperative Learning กับ Collaborative Learning คือ
เรื่องโครงสร้างของงาน ได้แก่ Pre – Structure , Task – Structure และ Content Structure โดย
Cooperative Learning จะมีการกำหนดโครงสร้างล่วงหน้ามากกว่า มีความเกี่ยวข้องกับงานที่มีการจัด
โครงสร้างไว้เพื่อคำตอบที่จำกัดมากกว่า และมีการเรียนรู้ในขอบข่ายความรู้และทักษะที่ชัดเจน ส่วน
Collaborative Learning มีการจัดโครงสร้างล่วงหน้าน้อยกว่า เกี่ยวข้องกับงานที่มีการจัดโครงสร้างแบบ
หลวมๆ (ill – Structure Task) เพื่อให้ได้คำตอบที่ยืดหยุ่นหลากหลาย และมีการเรียนรู้ในขอบข่ายความรู้
และทักษะที่ไม่จำกัดตายตัว ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสภาพการเรียนการสอนออนไลน์มักนิยมใช้คำว่า
Collaborative Learning Nagata and Ronkowski (1998) ได้สรุปเปรียบวา่ Collaborative Learning เป็น
เสมือนรม่ ใหญ่ทีร่ วมรูปแบบหลากหลายของ Cooperative Learning จากกล่มุ โครงการเล็กสูร่ ปู แบบท่ีมีความ
เฉพาะเจาะจงของกลุ่มการทำงานที่เรียกว่า Cooperative Learning กล่าวได้ว่า Cooperative Learning
เป็นชนิดหนึ่งของ Collaborative Learning ที่ได้ถูกพัฒนาโดย Johnson and Johnson (1960) และ ยังคง
เป็นที่นิยมใช้แพร่หลายในปัจจุบัน Office of Educational Research and Improvement (1992) ได้ให้
ความหมายของ Cooperative Learning ว่าเป็นกลยุทธ์ทางการสอนที่ประสบผลสำเร็จในทีมขนาดเล็ก ที่ซึ่ง
นักเรียนมีระดับความสามารถแตกต่างกัน ใช้ความหลากหลายของกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อการปรับปรุงความ
เข้าใจต่อเนื้อหาวิชา สมาชิกแต่ละคนในทีมมีความรับผิดชอบไม่เพียงแต่เฉพาะการเรียนรู้แต่ยังรวมถึงการ
ช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมในการเรียนรู้ด้วย นอกจากนี้ยังมีการสร้างบรรยากาศเพื่อให้บังเกิดการบรรลุผลสำเรจ็
ที่ต้ังไวด้ ว้ ย
Penn State University College of Education (2004) ได้ใหค้ ำจำกดั ความของ Collaborative
Learning ว่ามคี ุณลักษณะของการแบง่ ปัน เขา้ ใจเปา้ หมาย มีการยอมรับซง่ึ กนั และกัน เชอื่ ม่ันและมขี อบเขต
ความรับผิดชอบทชี่ ดั เจน มีการตดิ ตอ่ สือ่ สารในสิ่งแวดลอ้ มท่ีเป็นท้งั แบบเปน็ ทางการและไมเ่ ปน็ ทางการ มีการ
ตัดสินใจจากการลงความเหน็ ร่วมกัน ซง่ึ ผ้สู อนจะเป็นผู้เอ้ืออำนวยและชี้แนะให้ นักเรียนได้มองเห็นทางออก
ของปัญหานัน้ ๆ
Thirteen Organization (2004) ไดส้ รปุ วา่ Collaborative Learning เปน็ วธิ ีการหน่งึ ของการสอน
และการเรยี นรู้ในทีมของนักเรียนดว้ ยกนั เป็นการเปดิ ประเด็นคำถามหรอื สรา้ งโครงการท่ีเต็มไปดว้ ย
ความหมาย ตวั อย่างเช่น การทก่ี ลมุ่ ของนักเรยี นได้มีการอภิปราย หรอื การทน่ี ักเรยี นจากโรงเรียนอนื่ ๆทำงาน
รว่ มกนั ผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อแบง่ ปันงานที่ได้รบั มอบหมาย สว่ นCooperative Learning เป็นการมงุ่ เน้นโดย
เบ้ืองตน้ ท่ีการทำกิจกรรมกล่มุ เป็นแบบเฉพาะเจาะจงในชนิดของการรว่ มมือ ซง่ึ นกั เรียนจะทำงานรว่ มกนั ใน
กล่มุ เลก็ ในโครงสร้างของกิจกรรม ทุกคนจะมคี วามรับผดิ ชอบในงานของพวกเขา โดยทุกคนสามารถเข้าใจถึง
การทำงานเป็นกลุ่มเป็นอยา่ งดี และการทำงานกลุ่มแบบ Cooperative นั้นจะมีการทำงานแบบเผชญิ หนา้
(Face – to –face) และเรยี นรู้เพื่อทำงานเปน็ ทีม
สรปุ ได้ว่า การเรยี นร้แู บบรว่ มมอื (Cooperative Learning and Collaborative Learning) หรือ
นกั วชิ าการบางทา่ นได้แปล Collaborative Learning วา่ คอื การเรยี นรู้ร่วมกัน ซึ่งเป็นวิธกี ารจัดการเรียนการ
สอนรปู แบบหนึง่ ท่ีเน้นใหผ้ เู้ รียนลงมอื ปฏบิ ตั ิงานเป็นกลุ่มย่อย โดยมีสมาชิกกลุ่มท่มี ีความสามารถที่แตกต่าง
กนั เพื่อเสรมิ สร้างสมรรถภาพการเรียนรู้ของแตล่ ะคน สนบั สนุนให้มีการช่วยเหลือซงึ่ กันและกนั จนบรรลตุ าม
เปา้ หมายท่วี างไว้ นอกจากนี้ ยงั เปน็ การส่งเสริมการทำงานร่วมกนั เป็นหมคู่ ณะ หรือทมี ตามระบอบ
ประชาธิปไตย และเปน็ การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ ทำใหส้ ามารถปรับตัวอยกู่ ับผู้อ่นื ได้อย่างมีความสุข
สำหรับวิธกี ารเรียนการสอนแบบการเรยี นรจู้ ากกลมุ่ นนั้ มีหลากหลาย เช่น Jigsaw, Teams-Games-
Tournament (TGT) , Student Teams-Achievement Division (STAD) , Team Assisted
Individualization (TAI) , Learning Together (LT) ,Group Investigation (GI) ,Think-Pair-Square ,
Think-Pair-Share Pair Check , Three-Step-Interview , Number Head Together ฯลฯ โดยมีวธิ ที น่ี ยิ ม
ใชอ้ ยู่ 6 วธิ ี คือ 1) Jigsaw 2) Teams-Games-Tournament (TGT) 3) Student Teams-Achievement
Division (STAD) 4) Team Assisted Individualization (TAI) 5) Learning Together (LT) 6) Group
Investigation (GI)
เทคนิคการเรียนรูแ้ บบร่วมมือ (Cooperative Learning)
การเรยี นรู้แบบรว่ มมือ เปน็ เทคนคิ การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ทใ่ี ห้นักเรียนได้เรยี นรู้ร่วมกันเปน็ กลุ่ม
เล็ก ๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกท่มี คี วามรู้ความสามารถแตกต่างกัน แตล่ ะคนมสี ว่ นร่วมอยา่ งแทจ้ ริงใน
การเรียนรู้ และในความสำเร็จของกลมุ่ โดยทีใ่ นกลุ่มจะมีการแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ แบ่งปันทรพั ยากร ให้
กำลงั ใจแก่กันและกัน คนเก่งจะชว่ ยเหลอื คนท่ีออ่ นกวา่ สมาชกิ ในกลุ่มไมเ่ พียงแตร่ บั ผิดชอบต่อผลการเรียน
ของตนเองเทา่ นนั้ แตจ่ ะตอ้ งร่วมรบั ผดิ ชอบต่อการเรยี นรขู้ องเพื่อนสมาชกิ ทุกคนในกลุ่ม ความสำเร็จของ
บคุ คล คือ ความสำเรจ็ ของกลุ่ม
ขน้ั ตอนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
1. ขน้ั เตรยี ม แบ่งนกั เรยี นเป็นกล่มุ ยอ่ ย กลุ่มละ 2-6 คน แนะนำทักษะในการเรียนรู้ร่วมกนั ระเบียบ
ของกลุ่ม บทบาทหนา้ ทข่ี องสมาชกิ กล่มุ หรืออาจจะฝึกทักษะพื้นฐานของนกั เรยี นบางอย่าง
2. ข้ันสอน ครนู ำเข้าสู่บทเรยี น แนะนำเน้ือหา แนะนำแหล่งขอ้ มลู และมอบหมายภาระงานให้
นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ โดยใชใ้ บงาน
3. ขน้ั ทำกิจกรรมกลุ่ม นักเรียนแต่ละกลุ่มปฏิบตั กิ จิ กรรมตามใบงาน โดยแตล่ ะคนจะมีบทบาทหน้าท่ี
ตามท่ีได้รับมอบหมาย เพื่อกันรบั ผดิ ชอบ เพ่อื รว่ มกนั รับผิดชอบต่อผลงานกล่มุ
ในการทำกจิ กรรมกลุม่ ครูอาจใชเ้ ทคนคิ การจัดกจิ กรรม รูปแบบตา่ ง ๆ ท่ีเป็นการทำกจิ กรรมแบบ
ร่วมมอื เชน่ ผง้ึ แตกรงั , ลูกเสือจำแลง, จก๊ิ ซอ, STAD, TGT เปน็ ตน้ ...ซง่ึ เมอื่ เลอื กใช้กิจกรรมใดแล้วขั้นตอนการ
ทำกิจกรรมขงนักเรียนจะปรากฏในใบงาน
4. ขั้นตรวจสอบผลงานและทดสอบ
งานวิจยั ที่เกีย่ วข้อง
อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 121) ได้กลา่ วว่า การจัดการเรียนร้แู บบรว่ มมือหรอื แบบมีสว่ นรว่ ม หมายถึง
การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ที่ผู้เรียนมีความรูค้ วามสามารถต่างกัน ได้ร่วมมือกันทางานกลุ่มด้วยความตัง้ ใจและ
เต็มใจรบั ผดิ ชอบในบทบาทหน้าท่ใี นกลมุ่ ของตน ทาใหง้ านของกลุ่มดาเนินไปสเู่ ป้าหมายของงานได้
จินตนา ปัณฑวงศ์ (2547: บทคัดย่อ) ได้ทาการวิจัยเรื่องการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เพื่อพัฒนา
กระบวนการคิด ทักษะทางภาษา และพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของนักเรียน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา และ
พัฒนากระบวนการคิด และทักษะทางภาษา และพฤติกรรมที่พึงประสงค์ โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ
ผลการวิจัยพบว่า ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดเป็นรูปธรรม เกิดทักษะการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ผู้เรียนเกิด
พฤตกิ รรมการเรียนรแู้ บบร่วมมือ เกิดการเปลี่ยนแปลงทยี่ ง่ั ยืน ผู้เรยี นมีทักษะด้านตา่ งๆ ดขี ้นึ
บทที่ 3
ระเบียบวิธวี จิ ยั
ประชากร
ผ้เู รยี นระดบั ช้นั ประกาศนยี บัตรวิชาชพี ชั้นสูง ชัน้ ปที ่ี 1หอ้ ง 1-2 จำนวน 5 คน ท่มี ปี ญั หาการรับรชู้ า้
เครื่องมอื ทีใ่ ช้เก็บข้อมูล
1. แบบสำรวจพนื้ ฐานก่อนเรียน-หลังเรยี นในวิชาภาษาองั กฤษเพ่ือการสอ่ื สาร รหัสวิชา30000-1201
2. ดคู ะแนนทดสอบระหวา่ งเรียน 2 ครั้งๆ ละ 10 คะแนน
3. ใบบันทึกคะแนนการสง่ แบบฝกึ หัดท่ีไดร้ ับมอบหมาย
4. ใบบนั ทึกคะแนนภาคปฏบิ ัตทิ ่ไี ดร้ ับมอบหมายในการปฏิบัติงาน ทง้ั งานเด่ียวและงานกลุ่ม
5. การใชท้ ฤษฎีเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) มาใชใ้ นการปรับพฤติกรรม
ของผูเ้ รยี นทีร่ บั ร้ไู ดช้ ้า
ข้ันดำเนนิ การ
1. ใชว้ ธิ ีการสังเกตและพูดคุยกับผูเ้ รียนในห้องเรยี น โดยเฉพาะกลุ่มเปา้ หมายทั้ง 5 คน ในช่วั โมงเรยี น
รวมท้ังเงอ่ื นไขต่างๆ ในการเรียนในภาคเรยี นน้ี มที ้ังภาคทฤษฎี เกบ็ คะแนนสอบ 60 คะแนน
ภาคปฏบิ ตั ิ(ทักษะพสิ ยั ) 10 คะแนน การสง่ งาน 10 คะแนน จิตพสิ ัย 20 คะแนน
2. ทำแบบสำรวจพ้นื ฐานก่อนเรยี น เกบ็ คะแนนผเู้ รียนกลุ่มเปา้ หมายแตล่ ะคนว่าผู้เรียนมีพน้ื ฐาน
ในวชิ าภาษาองั กฤษเพ่อื การสื่อสาร มากน้อยแค่ไหนในแต่ละคน
3. ทำแบบบันทึกการส่งแบบฝกึ หัด พร้อมท้งั สังเกตพฤตกิ รรมของผู้เรียนกลุ่มเปา้ หมายวา่ มีความ
รบั ผิดชอบทค่ี รูผูส้ อนได้มอบหมายในแต่ละคนมากนอ้ ยแค่ไหน ถา้ ใครส่งงานครบ สง่ ตรงเวลา ครผู วู้ ิจยั จะ
ชมเชยให้กำลงั ใจแกผ่ ู้เรียน แต่ถ้าใครสง่ งานลา่ ช้าครผู ู้วิจยั จะเขา้ ไปตักเตือน หรือถ้าทำผิดครผู วู้ ิจยั กจ็ ะให้
กลบั ไปแกไ้ ขทำเพมิ่ เติมใหม่
4. ทำใบคะแนนภาคปฏบิ ัติ การนำเสนอทคี่ รผู ู้สอนมอบหมายท้ังงานเดีย่ วและงานกลุ่ม
5. จดั ทำใบเกบ็ คะแนนทดสอบระหวา่ งภาคเรยี น ครงั้ ที่ 1, 2 คอื สัปดาห์ท่ี 6 และสปั ดาห์ท่ี 12 เพื่อ
ดูผลการเรียนของผู้เรียนกลมุ่ เป้าหมายวา่ มีการเปลย่ี นแปลงมากน้อยแค่ไหน
6. ทำแบบสำรวจพืน้ ฐานหลังเรียน (ขอ้ สอบเดยี วกับพ้นื ฐานกอ่ นเรยี น) เพ่อื เปรียบเทียบ ผลการเรียน
กอ่ นเรียน-หลังเรยี นว่ามผี ลการเรียนเปลีย่ นแปลงอยา่ งไรในสปั ดาห์ท่ี 15
7. วเิ คราะห์ขอ้ มลู เกบ็ รวบรวมตามสภาพจรงิ ของผู้เรียนกลุ่มเปา้ หมาย
8. สรุปผลการเปลยี่ นแปลงโดยดผู ลสมั ฤทธกิ์ ารเรยี นของผู้เรียนกลุม่ เป้าหมายแต่ละคนว่ามผี ลดีข้นึ
หรอื ไม่
สถิตทิ ีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย
1. คา่ เฉลี่ย (Mean) ของคะแนนแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนกอ่ นและหลังเรียน
2. ร้อยละ (Percentage) เป็นคา่ ที่ใชใ้ นการคำนวณอัตราร้อยละของคะแนนก่อนเรียน และคะแนน
หลังเรียนของจำนวนนักเรยี นท้ังหมด 5 คน
3. ค่าส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เปน็ ค่าการกระจายตัวของคะแนนสอบก่อน
เรยี น และคะแนนสอบหลงั เรียน
1. ค่าเฉลีย่ (Mean) หรือเรยี กวา่ คา่ กลางเลขคณติ ค่าเฉล่ยี ค่ามัชฌิมเลขคณิต จากสตู รต่อไปน้ี
เมอ่ื ̅ ̅ = ∑
∑
N
แทน คา่ เฉลี่ย
แทน ผลรวมของคะแนนกอ่ นเรยี น หรอื หลังเรยี นของกลุ่มทดลอง
แทน จำนวนนักศกึ ษาในกลุม่ ทดลอง
2. รอ้ ยละ (Percentage) เป็นค่าท่ีใช้ในการคำนวณอัตรารอ้ ยละของคะแนนก่อนเรียน และ
คะแนนหลังเรียนของจำนวนนกั เรียนท้งั หมด 10 คน จากสตู รตอ่ ไปน้ี
เมอื่ ̅ = ̅ x 100
S
แทน ค่าเฉลย่ี ของคะแนนก่อนเรียน หรือหลังเรียน
แทน คะแนนเต็ม
3. ค่าสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เปน็ ค่าการกระจายตวั ของคะแนนสอบ
กอ่ นเรยี น และคะแนนสอบหลังเรียน จากสูตรตอ่ ไปนี้
. . = √( − ̅)2
− 1
เม่ือ แทน คะแนนสอบของนกั ศึกษาก่อนเรียน หรือหลงั เรยี น
แทน ค่าเฉล่ยี ของคะแนนก่อนเรียน หรือหลงั เรยี น
̅ แทน จำนวนนักศึกษาในกลุม่ ทดลอง
n
บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู
ผลการวิเคราะห์ข้อมลู
1. ผลประเมินการทาแบบสำรวจพ้ืนฐานกอ่ นเรียน-หลังเรียนของผู้เรยี นกลุ่มเป้าหมายทมี่ ีการเรียนรู้
ช้า จำนวน 5 คน แลว้ นำผลคะแนนทงั้ 2 คร้ัง มาเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของผเู้ รียนกลมุ่ น้ี
ตารางที่ 1 ผลวเิ คราะห์การเปรียบเทยี บคะแนนแบบสำรวจพนื้ ฐานก่อนเรยี น – หลังเรียนในวิชา
ภาษาองั กฤษเพื่อการส่ือสาร รหสั วิชา 30000 - 1201
คะแนนแบบสำรวจ คะแนนแบบสำรวจพนื้ ฐาน
ช่อื ผเู้ รียนเปา้ หมายทีท่ ำการวิจัย พ้ืนฐานก่อนเรยี น หลงั เรียน
10 คะแนน 10 คะแนน
1. นายธนากร แสนภักดี 3.50 1.00
2. นายนวพล แสวงชน 2.00 2.50
3. นายสัญชัย วรภาพ 5.00 3.50
4. นายคุณากร กลุ มา 3.00 4.00
5. นางสาวอนญั ญา เจรญิ สุข 2.00 2.00
ผลวเิ คราะห์การเปรียบเทียบแบบสำรวจพ้ืนฐานก่อนเรียน-หลงั เรียนของกลุม่ เป้าหมาย ท้ัง 5 คน มี
จำนวน 2 คน ที่มีคะแนนเปลี่ยนแปลงสงู ขน้ึ จากคะแนนแบบสำรวจพ้นื ฐานหลังเรียน คอื นายนวพลและนาย
คณุ ากร สว่ นทม่ี ีคะแนนแบบสำรวจพื้นฐานก่อนเรยี น-หลงั เรียนคงเดมิ ไม่เปลย่ี นแปลง มีจำนวน 1 คน คอื
นางสาวอนญั ญา ส่วนอกี 2 คน ทีม่ ีคะแนนแบบสำรวจพ้ืนฐานหลงั เรียนต่ำกวา่ ก่อนเรยี น คอื นายธนากร และ
นายสัญชยั จากการวเิ คราะห์โดยภาพรวมจะสงั เกตได้วา่ ผูเ้ รียนกลุ่มเป้าหมายท้งั 5 คน คะแนนแบบสำรวจทง้ั
ก่อนเรยี น-หลงั เรียนมผี ลคะแนนไม่ถงึ 50% จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ทั้ง 2 ครั้ง ซึ่งแสดงใหเ้ หน็ วา่ ผเู้ รยี นรู้
ว่าไมไ่ ดน้ ำมาใช้ในการให้คะแนนในรายวชิ าทเ่ี รียน และไม่ใหค้ วามสนใจเทา่ ท่ีควร
2. ผลประเมนิ การจดั ส่งสมดุ แบบฝกึ หัดครบ 5 บท โดยดูความรบั ผดิ ชอบของผเู้ รยี นกลุ่มเป้าหมายทัง้ 5 คน
ตารางที่ 2 ผลการจดั สง่ สมุดแบบฝึกหดั ที่ครมู อบหมายรบั ผิดชอบตอ่ ตนเอง
รายการส่งสมุดแบบฝึกหัด จำนวน / คน คดิ เป็นรอ้ ยละ
1. ทำส่ง 4 - 5 บท 4 80.00
2 . ทำสง่ 3 - 4 บท --
3. ทำส่ง 2 - 3 บท 1 20.00
4. ทำสง่ 1 - 2 บท --
5. ไมท่ ำส่งเลย --
รวม 5 100
ผลการวิเคราะห์ผู้เรียนกลมุ่ เป้าหมายมคี วามรบั ผดิ ชอบดมี าก มจี านวน 4 คน ท่ีจดั สง่ สมุดแบบฝึกหดั
ท่คี รมู อบหมาย ทำครบทุกคร้ัง คือ นายนวพล , นายธนากร , นายคุณากร และนางสาวอรญั ญา ซงึ่ แสดงให้
เห็นว่าผเู้ รยี นท้ัง 4 คน มพี ฤติกรรมท่ีดีข้ึนโดยครผู ูว้ ิจัยจะเข้าไปบอกกล่าวและตักเตือนให้สง่ งานกจ็ ะทำสง่ ครบ
ส่งตรงเวลา ครผู ู้วจิ ัยกจ็ ะกลา่ วชมเชยในหอ้ งเรยี น ว่ามคี วามรับผดิ ชอบดี เพ่ือเปน็ ขวัญกำลงั ใจแกผ่ ้เู รียน
กลมุ่ เปา้ หมาย สว่ นที่ทำส่ง 4 บท มคี วามรบั ผดิ ชอบพอใช้ คือ นายสญั ชยั ซึง่ ครูผวู้ จิ ยั ตอ้ งคอยตักเตือนทกุ ครัง้
เม่ือถึงกำหนดส่ง มีส่งบ้าง ไม่ส่งบา้ ง ลืมทำสง่ บ้าง บางครง้ั รบั ปากวา่ จะทำส่งก็ไม่ส่งเป็นสว่ นใหญ่ แสดงให้เห็น
ว่าผู้เรยี นคนน้ขี าดความรบั ผิดชอบตอ่ ตนเอง
3. ผลประเมินภาคปฏิบัติการนำเสนอหนา้ ชัน้ เรยี น ทง้ั งานเดย่ี ว-งานกลมุ่ ท่คี รูผ้วู ิจยั มอบหมายให้
รบั ผดิ ชอบ
ตารางท่ี 3 ผลวิเคราะหภ์ าคปฏบิ ตั ิเปรยี บเทยี บคะแนนงานเดีย่ ว-งานกลุม่
คะแนนภาคปฏบิ ัติ คะแนนภาคปฏบิ ัติงานกล่มุ
ช่ือผูเ้ รยี นเป้าหมายภาคปฏบิ ัติการ งานเด่ียว (10 คะแนน) เพ่ือนในหอ้ ง (10 คะแนน)
นำเสนอหนา้ ชัน้ เรยี น
1. นายธนากร แสนภกั ดี ไม่ขอสอบ 9
2. นายนวพล แสวงชน 67
3. นายสัญชยั วรภาพ ไมข่ อสอบ 9
4. นายคุณากร กลุ มา 48
5. นางสาวอนญั ญา เจริญสุข 69
- ผลการวเิ คราะหผ์ เู้ รยี นเป้าหมายในภาคปฏิบัติ งานเด่ยี วท่ีได้รบั มอบหมายจากครูผสู้ อน ผู้ท่มี กี าร
พัฒนาทด่ี ีขน้ึ มีความม่นั ใจในการกลา้ แสดงออกในภาคปฏิบตั ิ มีจานวน 2 คน คอื นายนวพล และนางสาว
อนัญญา มผี ลคะแนนเกนิ กว่ารอ้ ยละ 50 ส่วนนายคุณากร มผี ลคะแนนต่ำกว่า ร้อยละ 50 ซ่ึงครผู ้สู อนต้อง
คอยให้กำลังใจทั้งครแู ละเพื่อนในกลุ่มถงึ จะยอมออกมานำเสนอ ส่วนอกี 2 คน ไม่ยอมออกมานำเสนอหนา้ ชนั้
เรียนเลยทำทุกวิธีทางทั้งใหก้ ำลังใจเสรมิ แรงทางบวก กแ็ ล้ว ใหไ้ ปหาข้อมูลทเ่ี ป็นประโยชนท์ ่ีตนเองถนัดเป็น
เรอื่ งง่ายๆ กไ็ มย่ อมออกมาพูดหนา้ ช้ันเรียน คอื นายธนากร และนายสญั ชยั
- ผลการวเิ คราะห์ผู้เรียนเปา้ หมายในภาคปฏิบตั ิ งานกลมุ่ กับเพอ่ื นๆ ในห้องทค่ี รูผ้สู อนมอบหมาย โดย
ครผู ูส้ อนจะเปน็ คนคดั เลือกคนเกง่ เป็นหัวหนา้ ในแต่ละกล่มุ ในแตล่ ะกล่มุ ก็รวมทง้ั คนเก่ง ปานกลาง และไม่เก่ง
อยู่กันไม่เกนิ 4 คน ในแต่ละกลุ่ม จากน้นั ครจู ะใหจ้ บั ฉลากเลือกหัวข้อท่ตี ้องออกมานำเสนอกลุม่ ละ 1 เรื่อง
พรอ้ มทงั้ ให้ไปหาความรู้ต่างๆ ท่ีเก่ยี วกบั เรือ่ งนนั้ ๆ พร้อมแสดงบทบาทของ ผ้ซู ้ือ-ผู้ขาย สาธิตวิธกี ารพดู
นำเสนอขายให้ดใู นหอ้ งเรยี น ดูเปน็ ตวั อยา่ ง จากนน้ั ครูผสู้ อนกใ็ หแ้ ต่ละกล่มุ ฝึกซอ้ ม 2 สปั ดาหก์ อ่ นสอบ
ภาคปฏิบัติ ผลทีไ่ ดร้ บั จากการปฏิบัติงานกลมุ่ ทำให้ผู้เรียนกลุ่มเปา้ หมายมีความรบั ผดิ ชอบตามแตถ่ นดั ของแต่
ละคน บางคนกลา้ แสดงออกนำเสนอไดด้ ี สามารถชว่ ยเหลือรบั ผดิ ชอบงาน สามารถทำงานรวมกบั เพื่อนใน
ห้องได้ คอื นางสาวอนัญญา , นายนวพล ส่วนอีกกลุ่มกลา้ แสดงออกในระดบั พอใช้มีบทพูดบา้ งเปน็ บางคร้ัง
สามารถทำงานรวมกลุม่ กับเพื่อน พยายามปรับตัวเองให้เข้ากบั เพื่อนในกล่มุ ได้ หวั หนา้ กลุ่ม แนะนำให้ทำตาม
ได้ คือ นายธนากร , นายสญั ชัย และนายคุณากร ซงึ่ แสดงให้เห็นว่าการทำงานในภาคปฏิบัตขิ องผู้เรยี น
กลุ่มเป้าหมายกบั เพอ่ื นในห้อง สำหรบั คนท่ีไม่กลา้ แสดงออกคนเดยี ว สามารถกลา้ แสดงออกมากข้นึ เพราะมี
เพอ่ื คอยช่วยเหลือ โดยดูจากผลคะแนนของผู้เรยี นกลุ่มเป้าหมาย มีคะแนนเกนิ กวา่ รอ้ ยละ 50 จากคะแนนเต็ม
10 คะแนน ต่ำสดุ คือ 7 คะแนน และสูงสุดคอื 9 คะแนน
4. ผลประเมนิ การทดสอบระหว่างภาค 2 ครัง้ เพื่อดูผลการเรยี นของกลมุ่ เป้าหมายทัง้ 5 คน
ตารางท่ี 4 ผลบนั ทกึ คะแนนทดสอบระหว่างภาคทั้ง 2 คร้ังตลอดภาคเรยี น
ชื่อผู้เรยี นเปา้ หมายทีท่ ำการวิจัย คะแนนสอบครงั้ ที่ 1 คะแนนสอบครงั้ ที่ 2
(15 คะแนน) (15 คะแนน)
1. นายธนากร แสนภักดี 76
2. นายนวพล แสวงชน 75
3. นายสัญชยั วรภาพ 87
4. นายคณุ ากร กุลมา 56
5. นางสาวอนญั ญา เจรญิ สขุ 87
ผลการทดสอบเกบ็ คะแนนระหวา่ งภาคทั้ง 2 คร้ัง ของผูเ้ รยี นกลุม่ เป้าหมายทัง้ 5 คน แสดงใหเ้ ห็นวา่
ผเู้ รียนมีคะแนนสอบคร้ังที่ 1 สงู กว่าคะแนนสอบคร้ังที่ 2 มีจำนวน 4 คน โดยเรยี งจากคะแนนสูงสดุ ไปหา
คะแนนน้อยในกลมุ่ เป้าหมาย คอื นายธนากร , นางสาวอนัญญา , นายนวพล , นายสัญชยั ส่วนอกี 1 คน ท่ี
ผเู้ รยี นมคี ะแนนสอบคร้ังที่ 2 สูงกว่าคะแนนสอบครั้งที่ 1 คือ นายคุณากร ซ่งึ แสดงใหเ้ ห็นวา่ คะแนนของ
กลุ่มเป้าหมายทง้ั 5 คน ในการสอบทั้ง 2 คร้งั ต้องได้คะแนนไม่ต่ำกวา่ รอ้ ยละ 60 จงึ จะสอบผ่านตามเกณฑ์ คอื
9 คะแนนของคะแนนสอบในแตล่ ะครั้ง ครูผูว้ จิ ยั จงึ ต้องเรยี กมาแนะนำให้ไปอ่านหนงั สอื ทบทวน แล้วให้มา
สอบแกต้ ัวใหมต่ ามเง่ือนไขที่ไดก้ ำหนดไว้จงึ จะสอบผา่ นการสอบในแต่ละคร้งั
5. ใบประเมนิ ผลสัมฤทธกิ์ ารเรยี นของผเู้ รยี นกลุ่มเป้าหมายทงั้ 5 คน
ตารางที่ 5 ผลสัมฤทธ์ิการเรียนตลอดทง้ั ภาคเรียนของกลุม่ เปา้ หมายทงั้ 5 คน
ชอ่ื ผ้เู รยี นเป้าหมายท่ที ำการวิจยั คะแนนทไ่ี ด้ ผลการเรียนทีไ่ ด้
(100 คะแนน)
2.00
1. นายธนากร แสนภกั ดี 60 2.50
2.50
2. นายนวพล แสวงชน 65 2.50
2.50
3. นายสญั ชยั วรภาพ 66
4. นายคณุ ากร กุลมา 66
5. นางสาวอนญั ญา เจรญิ สุข 68
ผลสมั ฤทธิก์ ารเรยี นของผเู้ รยี นกลมุ่ เปา้ หมายท้งั 5 คน มผี ลการเรยี นเกินกว่า 60% อยู่ 4 คน คอื นาย
นวพล (65 คะแนน) , นายสญั ชัย (66 คะแนน) , นายคุณากร (66 คะแนน) และนางสาวอนญั ญา (68 คะแนน)
ส่วนผู้เรียนที่มผี ลคะแนน 60% พอดี คือ นายธนากร (60 คะแนน) ซ่ึงแสดงใหเ้ ห็นวา่ ผู้เรยี นกลุ่มเป้าหมายท้ัง
5 คน สามารถทำผลการเรียนไม่ต่ำกว่า 60 คะแนน ไดเ้ ปน็ สว่ นใหญ่
บทท่ี 5 สรปุ อภปิ ราย ข้อเสนอแนะ
อภิปรายผล
จากการวิจัยทงั้ 5 ตารางดังกล่าว แสดงใหเ้ หน็ วา่ ผ้เู รียนกลมุ่ เปา้ หมายโดยสว่ นใหญม่ ผี ลการเรียนอยู่
ในเกณฑ์ไม่ต่ากว่า 60% จากคะแนนรวม 100 คะแนน และผู้เรียนกลุ่มนม้ี ีทศั นคติต่อการเรียนรูไ้ ด้ดขี นึ้ หลาย
คน มีความมั่นใจในการกลา้ แสดงออกมากขน้ึ มีความรบั ผิดชอบตอ่ งานท่ีรับมอบหมายได้ดีในลำดับหนงึ่ โดยดู
จากตารางท่ี 1 ผลการสำรวจพน้ื ฐานก่อนเรียน-หลังเรียน มผี ลคะแนนไม่ถึง 50% จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน
ทั้ง 2 ครั้ง แต่คนทีท่ ำคะแนนได้สูง คอื นางสาวอนัญญา ต่ำทีส่ ุด คอื นายคุณากร ส่วนตารางท่ี 2 แสดงให้
เหน็ วา่ ผู้เรยี นกลมุ่ เปา้ หมายมีความรับผดิ ชอบดีสามารถทำงานครบ มีอยู่ 4 คน คือ นายนวพล , นายสัญชัย ,
นายคณุ ากร และนางสาวอนัญญา และท่ีมคี วามรบั ผดิ ชอบพอใช้ คอื นางสาวอนัญญา และเม่ือมาดูตารางท่ี 3
เปน็ งานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายในภาคปฏบิ ตั ิ การนำเสนอหน้าชัน้ เรยี นทั้งงานเด่ียว-งานกลมุ่ ก็สามารถแสดงให้เห็น
วา่ ผ้เู รยี นกลุม่ เปา้ หมาย สามารถทำงานรวมกับเพ่ือนๆ ในห้องได้ดี โดยดจู ากคะแนนภาคปฏิบตั ิงานกลุ่ม
สามารถทำคะแนนไดด้ ีทงั้ 5 คน แต่สว่ นคะแนนภาคปฏิบตั ิงานเดย่ี วทีไ่ ด้รบั มอบหมายจากครผู สู้ อนสามารถ
ปฏบิ ัติไดใ้ นระดบั หนึ่ง คือ นายคณุ ากร และนายนวพล รองลงมา คือ นายธนากร ซง่ึ แสดงใหเ้ หน็ ว่า ผเู้ รียน
กลมุ่ เปา้ หมายมี 2 คน ท่ีทำคะแนนงานเด่ียว และงานกลุ่มในภาคปฏิบตั ทิ ีไ่ ด้รบั มอบหมายไดด้ ี คือ นางสาว
อนญั ญา รองลงมา คือ นายสัญชัย ส่วนตารางที่ 4 ผลบนั ทกึ คะแนนทดสอบระหว่างภาค 2 คร้งั ผเู้ รียน
กลมุ่ เป้าหมายไมผ่ ่านเกณฑ์ท้ัง 2 ครงั้ แตเ่ มื่อนำผลคะแนนสอบท้ัง 2 คร้งั มารวมกัน ผู้เรียนท่ีทำคะแนนได้มาก
ทส่ี ดุ คอื 15 คะแนน คือ นายสัญชยั และนางสาวอนญั ญา ส่วนคนท่ที ำคะแนนไดต้ ่ำสุด คอื 11 คะแนน คือ
นายธนากร จึงแสดงใหเ้ หน็ ว่าคะแนนระหว่างภาคมีคะแนนไม่ถงึ 60% ของคะแนนทีส่ อบ จงึ ตอ้ งเรียกผ้เู รียน
ทั้ง 5 คน มาพูดคยุ แล้วใหม้ าสอบแก้ตวั ใหม่ตามเงื่อนไขที่ได้ระบุไว้ จึงจะผ่านในวิชาน้ี สว่ นคนที่มีปัญหาไม่
กลา้ นำเสนอเวลาออกมาพูดหน้าชนั้ มี 2 คน คือ นายคุณากร และนายนวพล ครตู ้องพยายามพดู คุยเสรมิ แรง
ทางบวก ก็ไมย่ อมสอบ บางคร้ังก็ไม่มาเรยี น แต่พอเปลยี่ นวธิ ีการทำการสอบนำเสนอการขายเป็นงานกลุ่มกลา้
ออกมาแสดงกับเพอื่ นได้ในระดบั หนง่ึ กถ็ ือได้ว่าผู้เรียนมีการพฒั นาในลำดับหนงึ่ ส่วนตารางที่ 5 ผลสมั ฤทธ์ิ
การเรยี นตลอดภาคเรยี นของกลมุ่ เปา้ หมายทงั้ 5 คน แสดงให้เห็นว่า คนทีท่ ำคะแนนไดด้ ีมผี ลการเรยี นอยู่
ระดับ 2.50 มีอยู่ 4 คน คือ นายคุณากร นายนวพล นายสัญชยั และนางสาวอนญั ญา สว่ นรองลงมาทม่ี ผี ล
การเรียนอย่รู ะดับ 2.00 มีอยู่ คน คือ นายธนากร
ข้อเสนอแนะ
การทำวจิ ยั การศกึ ษาพัฒนาผลสมั ฤทธิ์การใชท้ ฤษฎีเสริมแรงทางบวก สามารถทำใหผ้ ู้เรียน
กลมุ่ เปา้ หมายสามารถเปล่ียนแปลงตนเองได้ ใหเ้ ร่ืองความรับผดิ ชอบในระดับหนึ่ง ดงั นน้ั ครผู ู้วจิ ยั จงึ ต้อง
มคี วามตง้ั ใจ อดทน และยอมเขา้ ใจในพฤติกรรมของผู้เรยี นเปน็ รายบุคคลอยา่ งจรงิ ใจ
กิจกรรมท่ีเลือกทำต้องเหมาะสมกับกล่มุ เป้าหมาย และความสามารถของผูเ้ รียนในกลุ่มนี้ เลือกในส่ิง
ที่ผ้เู รียนสนใจและอยากทำ ส่วนครผู ู้วิจยั จะคอยให้คำแนะนำชแ้ี นะใหแ้ กผ่ ู้เรียนอย่างอสิ ระ มีความสขุ ทไี่ ด้ทำ
ได้คิด
บรรณานกุ รม
กฤตมิ า สทิ ธนิ าง. (2552). การเสริมแรงจงู ใจของบุคลากรในบริษทั ก่อสรา้ งขนาดเลก็ กรณศี ึกษา
ในจงั หวดั เชยี งใหม่. ปริญญานพิ นธ์ วศ.ม. เชียงใหม่: บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่.
ชมพูนชุ ทิมนกิ าย. (2551). ปัจจัยท่ีมีอทิ ธิพลต่อพฤติกรรมการทางานของพนักงานส่วนปฏบิ ตั ิการ
ร้านจำหน่าย โทรศัพทเ์ คล่อื นท่ขี องบรษิ ัทเอกชนแห่งหนงึ่ . ปริญญานพิ นธ์ วท.ม. (จติ วิทยาอตุ สาหกรรม).
กรุงเทพฯ: บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์.
ลว้ น สายยศและองั คนา สายยศ.หลกั การวจิ ยั ทางการศกึ ษา.กรุงเทพฯ : ศึกษาพร.2552
ทิศนา แขมมณีและคณะ.2554. วทิ ยาการดา้ นการคดิ . กรงุ เทพฯ: บรษิ ัทเดอมาสเตอร์กรุ๊ป
แมนเนจ เม้นท์ จากดั .
น้อย ศรีรตั นพนั ธ์. (2553). ปัจจัยทม่ี อี ิทธิพลต่อแนวโนม้ การลาออกจากงานของพนักงาน กรณีศึกษา
บรษิ ัท โคหเ์ ลอร์ (ประเทศไทย) จากดั (มหาชน) จังหวัดสระบรุ ี. ปรญิ ญานิพนธ์ บธ.ม. (สาขาวิชา
บรหิ ารธุรกิจ). ชลบรุ ี: บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั บรู พา.
พิมพ์พันธ์ เตชะคุป. 2551. สมรรถนะครูและแนวทางการพัฒนาครใู นสงั คมทเี่ ปลยี่ นแปลง.
กรงุ เทพฯ : สำนกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา