The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by A Monkey's Kimz'ii, 2022-07-18 03:35:54

แนวทางการป้องกันปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ 2

รวมเล่มEbook17_10.00

แนวทางการป้องกันปอดอักเสบจากการใช้เคร่ืองช่วยหายใจ
(Guideline for Prevention of Ventilator-Associated Pneumonia)

นกั ศกึ ษาหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทาง
สาขาการพยาบาลผูป้ ่วยโรคตดิ เชอ้ื และควบคมุ โรคการตดิ เชื้อ รุ่นที่17

คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่



คำนำ
หนังสือ แนวทางการป้องกันปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ นี้ คณะผู้จัดทำได้รวบรวมข้อมูล
และแนวปฏบิ ตั ติ ามหลกั ฐานเชิงประจักษ์ที่เปน็ ปจั จุบันและครอบคลุมการป้องกันปอดอกั เสบจากการใช้เคร่ืองช่วย
หายใจ โดยมุ่งหวังเพอ่ื ใหบ้ ุคลากรหอผูป้ ่วยอายรุ กรรมหญิง 2 ไดใ้ ช้เป็นแนวทางในการป้องกันปอดอกั เสบจากการใช้
เครื่องชว่ ยหายใจ ช่วยใหก้ ารดแู ลผปู้ ่วยเป็นไปตามแนวปฏิบตั ิตามหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ในการป้องกนั การตดิ เช้อื
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้จะมีประโยชน์ต่อพยาบาลวิชาชีพหอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิง 2 ส่งผลให้
ผปู้ ว่ ยปลอดภยั ไมเ่ กดิ ปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ คณะผู้จดั ทำขอน้อมรบั คำแนะนำและข้อเสนอแนะที่
มตี อ่ หนงั สอื เลม่ น้ี

ด้วยความขอบพระคณุ ย่ิง
คณะผู้จัดทำ

สารบัญ ข

เรอ่ื ง หน้า

แนวทางการปอ้ งกนั ปอดอกั เสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ 1
การเฝา้ ระวงั การตดิ เช้ือการเกิดปอดอักเสบในผู้ป่วยทีใ่ ชเ้ ครื่องช่วยหายใจ 1
การเฝา้ ระวังปอดตดิ เชอ้ื และการเฝา้ ระวังทางจุลชีววทิ ยา 2
กระบวนการทำลายเชอื้ และการทำให้อปุ กรณ์เครื่องชว่ ยหายใจปราศจากเช้ือ 3
การตัดวงจรการแพรก่ ระจายเช้ือจากคนสคู่ น 5
5
- Standard Precautions 5
การทำความสะอาดมอื 7
การสวมถงุ มอื 8
หน้ากากอนามัย 8
9
- การดแู ลผู้ปว่ ยทใี่ สท่ ่อช่วยหายใจ 10
- การดแู ลผปู้ ว่ ยที่ใส่ทอ่ หลอดลมคอ 12
- การดดู เสมหะ 12
การลดความเส่ยี งตอ่ การตดิ เชื้อของผ้ปู ่วย 13
- การปอ้ งกันการสำลกั ซงึ่ เกยี่ วข้องกบั การใส่ทอ่ ชว่ ยหายใจ 15
- การปอ้ งกนั การสำลักจากการใหอ้ าหารทางสายยาง 17
- การปอ้ งกนั การเจริญของเชอ้ื บริเวณช่องปากและลำคอ 21
- การหย่าเคร่ืองช่วยหายใจ
บรรณานุกรม

1

แนวทางการป้องกนั ปอดอักเสบจากการใช้เครือ่ งชว่ ยหายใจ
(Guideline for Prevention of Ventilator-Associated Pneumonia)

ปอดอักเสบในโรงพยาบาลส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรยี และมักพบว่ามีสาเหตุจากเชื้อหลายชนดิ
(polymicrobial) และเชื้อแบคทีเรียที่พบส่วนใหญ่เป็นเชื้อแบคทีเรียกรัมลบทรงแท่ง ได้แก่ เชื้อ
Pseudomonas aeruginosa, Enterobacter spp., Klebsiella pneumoniae, Escherichia coli,
Serratia marcescens และ Proteus spp. ซึ่งเชื้อเหล่านี้อาจมาจากเชื้อภายในร่างกายผู้ป่วยหรือจาก
สิ่งแวดลอ้ ม ได้แก่ บคุ ลากรทางการแพทย์ อปุ กรณเ์ ครือ่ งช่วยหายใจ หรอื ยาทผ่ี ปู้ ว่ ยไดร้ ับ เน่อื งจากการปฏิบัติ
กจิ กรรมการรักษาทำให้เกดิ การปนเป้อื นเชื้อขณะปฏิบัติงาน อาจเกดิ จากการที่ผปู้ ว่ ยสำลักเอาเชอ้ื จุลชีพซึ่งอยู่
บริเวณชอ่ งปากและลำคอเข้าไป หรอื ผปู้ ่วยสูดหายใจเอาเชอื้ เข้าไปเกิดปอดอักเสบในโรงพยาบาล โดยเฉพาะ
อยา่ งยง่ิ การเกิดปอดอกั เสบจากการได้รับเครือ่ งช่วยหายใจเกดิ ขนึ้ จากหลายสาเหตุ ดงั นั้นการกำหนดมาตรการ
หรือแนวปฏิบัติในการปอ้ งกนั จงึ จำเปน็ ท่จี ะตอ้ งครอบคลมุ ใหค้ รบทุกสาเหตุ

แนวทางการป้องกันปอดอักเสบจากการใช้เครื่องชว่ ยหายใจฉบับนี้ ได้ทบทวนขอ้ มูลทางวิชาการจาก
แหล่งข้อมูลวิชาการ หลักฐานเชิงประจักษ์จากองค์กรอนามัยโลก สหรัฐอเมริกา และสถาบันบำราศนราดูร
นำมาประยุกต์ใชเ้ ป็นแนวทางหลักฐานเชิงประจกั ษ์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสดุ และสามารถปฏิบัติเพื่อป้องกัน
ปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจได้ซึ่งแนวทางการป้องกันปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ
ประกอบไปด้วยกจิ กรรมหลักท่ีสำคญั คือพยาบาลตอ้ งมีความร้คู วามเข้าใจเกี่ยวกับการล้างมอื การจัดท่าผู้ป่วย
การป้องกันการสำลัก การดดู เสมหะ การป้องกนั การแพร่กระจายเช้ือ เพ่อื ลดลดความเสี่ยงตอ่ การติดเชื้อของ
ผู้ป่วย และสามารถเฝ้าระวังการติดเชื้อเพื่อป้องกันปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจได้ซึ่งพยาบาล
วิชาชพี มีบทบาทสำคญั ที่จะช่วยให้ผู้ปว่ ยปลอดภัย ไมเ่ กดิ ปอดอกั เสบจากการใช้เครอ่ื งชว่ ยหายใจ ควรปฏิบัติ
ตามแนวปฏบิ ัตดิ งั ตอ่ ไปนี้

1. การเฝา้ ระวังการติดเชอื้ การเกิดปอดอกั เสบในผ้ปู ว่ ยท่ีใช้เคร่อื งชว่ ยหายใจ
1.1 การเฝา้ ระวังการตดิ เช้ือการเกิดปอดอักเสบในผู้ปว่ ยทใ่ี ชเ้ ครื่องช่วยหายใจ ดังน้ี
1) การค้นหาผู้ป่วยท่ีเกดิ ปอดอกั เสบในผ้ปู ่วยทีใ่ ช้เครอื่ งช่วยหายใจจากการเฝา้ ระวังในหอผ้ปู ่วย โดย
ใชแ้ บบฟอรม์ เฝา้ ระวังการติดเชื้อจากการใช้เครอ่ื งช่วยหายใจของโรงพยาบาลนครพงิ ค์
2) วินิจฉัยการเกิดปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจตามเกณฑ์การวินิจฉัยปอดอักเสบจาก
การใช้เครื่องช่วยหายใจ (VAP) ของสำนักพัฒนาระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุน สถาบัน
สขุ ภาพ กระทรวงสาธารณสุข บนั ทึกรายงานผลตามแบบเฝ้าระวงั และรายงานหัวหน้าหอผู้ป่วย
ICN ทราบ

2

3) ตดิ ตามประเมินผลการเฝ้าระวงั ผู้ป่วยที่สงสัยปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ (VAP) ให้
ข้อมูลแก่ทีมพยาบาล เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังการเกิดปอดอกั เสบจากการใช้เครื่องชว่ ยหายใจ
ขณะส่งตอ่ เวรพยาบาลทกุ เวร

การเฝ้าระวงั ปอดติดเชือ้ และการเฝ้าระวังทางจุลชีววิทยา
โรงพยาบาลควรดำเนินการเฝ้าระวังปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียในผู้ป่วยที่เข้ารับการ

รักษาในโรงพยาบาลซ่ึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรยี สูง (ได้แก่ ผู้ป่วยที่ใช้
เครอ่ื งชว่ ยหายใจ หรือผู้ปว่ ยหลงั ผ่าตัดบางราย) เพอื่ ให้ทราบแนวโนม้ ของการเกิดปอดอักเสบ และ
ช่วยในการคน้ หาการระบาดและปัญหาในการป้องกนั การตดิ เชื้อโดยใช้นยิ ามการวินิจฉัยปอดอักเสบ
ของศูนยค์ วบคมุ และปอ้ งกันการติดเช้ือ ประเทศสหรัฐอเมรกิ ารวมท้งั ข้อมลู เกยี่ วกับเชือ้ ที่เป็นสาเหตุ
และลกั ษณะการดอื้ ยาของเชื้อ นำเสนอข้อมูลเปน็ อตั ราการตดิ เชือ้ ตอ่ จำนวนวนั ที่ผู้ป่วยใช้เคร่อื งช่วย
หายใจ 1,000 วัน เพื่อสามารถนำข้อมูลที่ได้มาเปรียบเทียบระหว่างหอผู้ป่วยในโรงพยาบาลและ
ทราบแนวโนม้ ของการติดเชอ้ื นำขอ้ มูลท่ีได้มาใช้ในการปอ้ งกันและให้ข้อมูลย้อนกลับแก่บุคลากรที่
เกี่ยวข้อง ไม่ควรเฝ้าระวังโดยการเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วย จากอุปกรณ์เครื่องช่วยหายใจ
เครือ่ งตรวจสมรรถภาพการทำงานของปอด หรอื อปุ กรณ์ดมยาสลบส่งตรวจเพาะเชื้อเปน็ ประจำ

1.2 การวินิจฉัยปอดอกั เสบในโรงพยาบาล
ผู้ป่วยที่เกิดปอดอักเสบในโรงพยาบาลมักมีอาการไข้เสมหะเป็นหนอง มีอาการของ

pulmonary consolidation การถ่ายภาพรังสีปอดพบ infiltration ผู้ป่วยอาจมีอาการหายใจลำบาก
(dyspnea) ไอเจ็บหน้าอกแตผ่ ู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่สามารถบอกได้เน่ืองจากได้รับการใสท่ ่อช่วยหายใจ หรือ
ความผดิ ปกติของระบบประสาท การถ่ายภาพรังสีทรวงอกพบ infiltration เป็นข้อบง่ ชีท้ ี่สำคัญท่ีแสดงว่า
ผู้ป่วยเกิดปอดอักเสบ การวินิจฉัยปอดอักเสบต้องอาศัยข้อมูลหลายอย่างประกอบกันตั้งแต่อาการทาง
คลนิ ิก ภาพถา่ ยภาพรังสีทรวงอกและผลการตรวจทางห้องปฏิบตั ิการ การตรวจเสมหะ ชว่ ยบ่งชี้เชือ้ ท่เี ป็น
สาเหตุช่วยให้เลือกใช้ยาต้านจุลชพี ได้เหมาะสม การถ่ายภาพรังสีทรวงอกเปน็ ระยะๆ จะมีประโยชน์ ใน
การวินิจฉยั ปอดอกั เสบมากกวา่ การถา่ ยภาพรงั สีทรวงอกเพยี งครั้งเดียว

3

ปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ (Ventilator - Associated Pneumonia:
VAP) หมายถงึ ภาวะปอดอกั เสบที่เกิดขน้ึ ในผูป้ ว่ ยที่ใชเ้ คร่อื งชว่ ยหายใจโดยเกดิ หลังจากผปู้ ่วยได้รับ
เครื่องชว่ ยหายใจนานมากกว่า 48 ชั่วโมงหรอื หลังจากถอดเคร่ืองชว่ ยหายใจภายใน 48 - 72 ชวั่ โมง
ผู้ป่วยอาจมีภาวะปอดอักเสบอยู่แล้วและได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว (เช่นไข้ลดลงติดต่อกัน
24 - 48 ชว่ั โมง) หากพบว่ามอี าการของปอดอักเสบเกิดข้นึ ใหม่ซ่งึ อาจมาสาเหตุจากเชื้อตัวเดิมหรือ
เชื้อตัวใหม่ให้ถือเป็นการเกิดปอดอักเสบคร้ังใหม่ (Super Infection) โดยใช้เกณฑ์การวินิจฉัยการ
ตดิ เช้ือในโรงพยาบาลของสำนกั พัฒนาระบบบรกิ ารสุขภาพ กรมสนบั สนนุ บริการสุขภาพ กระทรวง
สาธารณสขุ

2. กระบวนการทำลายเชือ้ และการทำใหอ้ ุปกรณ์เครือ่ งชว่ ยหายใจปราศจากเช้อื
Spaulding จัดประเภทอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้กับระบบทางเดินหายใจอยู่ในกลุ่ม semi critical ซ่ึง

อุปกรณ์ในกลุ่มนี้จะสัมผัสกับเยื่อบุของรา่ งกาย (mucous membrane) ทั้งทางตรงและทางออ้ มแต่ไมไ่ ด้
เข้าไปในเน้อื เยอ่ื การทำลายเช้ืออปุ กรณ์เครื่องช่วยหายใจหากอุปกรณ์ทนความร้อนและความชื้นได้ควรใช้
วิธีการทำให้ปราศจากเชื้อโดยการนึ่งไอน้ำ หากอุปกรณ์ไม่สามารถทนความร้อนได้ควรใช้วิธีการทำให้
ปราศจากเชื้อโดยการอบแกส๊ หรือทำลายเชื้อโดยใช้น้ำยาทำลายเช้ือระดบั สูง หรือใช้วิธีพาสเจอร์ไรเซชน่ั

การทำลายเชื้ออุปกรณ์เครื่องช่วยหายใจ ด้วยวิธีพาสเจอร์ไรเซชั่น (pasteurization) มีขั้นตอนคือ
ล้างอุปกรณ์ให้สะอาด นำอุปกรณ์แช่ในน้ำที่อุณหภูมิมากกว่า 70 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 30 นาที
หลังจากนั้นสวมถุงมือปราศจากเชื้อหยิบอุปกรณ์เครื่องช่วยหายใจออกจากเครื่อง pasteurizer นำเข้า
ตอู้ บความรอ้ นโดยใชอ้ ุณหภูมิและระยะเวลาตามทีก่ ำหนด ปผู ้าปราศจากเช้ือในบริเวณที่สะอาดสวมถุงมือ
ปราศจากเช้ือนำอุปกรณ์ออกจากตู้อบวางบนผ้าปราศจากเช้ือ บรรจอุ ุปกรณ์ใสถ่ งุ หรอื ซองปิดผนกึ ดว้ ย
ความรอ้ นระหว่างดำเนินการระวงั การปนเปือ้ นเช้อื

ระบบหรือวงจรเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งรวมทั้งท่อช่วยหายใจ หน้ากาก (face mask) ท่อต่อเครื่องช่วย
หายใจ (inspiratory และ expiratory tube) Y-piece และอปุ กรณ์อ่นื ๆ โดยเฉพาะทีส่ มั ผัสโดยตรงกับเยื่อ
บุของรา่ งกาย (mucous membrane) อาจเปรอะเปอื้ นเสมหะหรอื สารคัดหลั่งของผปู้ ่วย ควรได้รับการทำ
ความสะอาด ทำลายเชือ้ หรือทำใหป้ ราศจากเชื้อหลงั การใช้งานกบั ผปู้ ว่ ยแต่ละรายควรใช้ 70%แอลกอฮอล์
เช็ดบริเวณข้อต่อเครื่องช่วยหายใจและข้อต่อต่างๆ ก่อนและหลังทำกิจกรรม ก่อนต่อกลับเข้าที่ทุกคร้ัง
อุปกรณเ์ ครื่องช่วยหายใจซึ่งประกอบด้วย ทอ่ ชว่ ยหายใจ exhalation valves เคร่อื งพน่ ยา เครอื่ งพ่นไอน้ำ
ทั้ง nebulizer และ humidifier ควรทำให้ปราศจากเชื้อระหว่างการใช้กับผู้ป่วยแต่ละราย อุปกรณ์ที่ทน
ความร้อนได้ควรนำไปทำให้ปราศจากเชื้อโดยการนึ่งไอน้ำ อุปกรณ์ที่ทนความร้อนไม่ได้ควรนำไปทำให้
ปราศจากเช้อื โดยการอบแกส๊ หากไม่สามารถทำให้ปราศจากเช้อื ได้ควรทำลายเชอ้ื โดยใชน้ ำ้ ยา
ทำลายเช้ือระดบั สงู (2% alkaline glutaraldehyde) หรือใช้วธิ ี pasteurization

4

Resuscitation bag ใช้ในกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนเพื่อช่วยการหายใจของผู้ป่วย ใช้ขณะดูดเสมหะให้
ผูป้ ่วยที่ใส่ทอ่ ชว่ ยหายใจ ขณะเคล่อื นย้ายผ้ปู ว่ ยทีใ่ ส่ท่อชว่ ยหายใจและขณะทำ chest physiotherapy ผิว
นอกของ Resuscitation bag และ connecting port จะเป้ือนขณะใชง้ าน เชอื้ จุลชีพจากเสมหะหรือสาร
คัดหลั่งที่ค้างอยูภ่ ายใน Resuscitation bag อาจกระจายเป็นละอองเล็กๆ และถูกพ่นเข้าสู่ระบบทางเดิน
หายใจส่วนล่างของผู้ป่วย นอกจากนี้ผิวด้านนอกของ Resuscitation bag อาจเป็นรังของเชื้อก่อโรค ซึ่ง
สามารถแพร่กระจายจากผู้ป่วยรายหนึง่ สู่ผู้ป่วยรายอืน่ โดยมือของบุคลากร Resuscitation bag ทำความ
สะอาดและทำให้แห้งได้ยาก จึงควรทำให้ปราศจากเชื้อหรือทำลายเชื้อระดับสูงระหว่างการใช้กับผู้ป่วย
แต่ละราย

เครอ่ื งพ่นยาขนาดเล็กท่ีตอ่ เข้ากับวงจรเคร่อื งชว่ ยหายใจ หากเกดิ การปนเป้ือนเชื้อจากน้ำที่อยู่ภายใน
ท่อตอ่ เครื่องชว่ ยหายใจทำให้ผู้ปว่ ยเส่ียงตอ่ การเกดิ ปอดอกั เสบเน่ืองจากฝอยละอองของยาท่มี ีเช้ือปนเปื้อน
เข้าสทู่ ่อช่วยหายใจโดยตรง nebulizer ทใ่ี ชพ้ ่นยาใหผ้ ู้ป่วย (ชนดิ ทไี่ มต่ ดิ กบั เคร่ืองชว่ ยหายใจ) ระหวา่ งการ
ใช้กบั ผู้ป่วยรายเดมิ ควรทำให้แห้งอาจใช้ Gauze ปราศจากเช้ือเชด็ แลว้ นำไปเก็บไวใ้ นถงุ สะอาดตอ้ งเปลี่ยน
ทุก 24 ชว่ั โมง ควรนำอปุ กรณ์เหล่าน้ไี ปทำลายเชอ้ื โดยใช้น้ำยาทำลายเชื้อระดับสูงหรอื ทำให้ปราศจากเช้ือ
ด้วยการอบแก๊ส

ขวดนำ้ ปราศจากเช้ือท่ีใช้เติมลงใน nebulizer ไม่ใชป้ นกับกจิ กรรมอนื่ เปลยี่ นทุก 24 ชั่วโมงควรใส่น้ำ
ทันทีทจ่ี ะใชเ้ คร่ืองพน่ ไอน้ำ ไม่ควรเติมนำ้ เพิ่มหลงั จากใชง้ านแล้ว หากตอ้ งเติมนำ้ ควรเทน้ำท่ีมีอยู่เดิมออก
ให้หมดก่อน

ระยะเวลาในการเปล่ยี นอปุ กรณเ์ คร่อื งชว่ ยหายใจ

อปุ กรณ์ ระยะเวลาในการเปลีย่ น

Ventilator circuit เมื่อสกปรกหรือทำงานได้ไมด่ ี
Anesthetic circuit 24 ชว่ั โมง
Wall humidifier 24 ชว่ั โมง
สายนำออกซิเจน 24 ชวั่ โมง
ชดุ อุปกรณ์พ่นยา (Nebulizer) 24 ชั่วโมง
Resuscitation bag ทุกครัง้ เมอ่ื ใชก้ ับผปู้ ่วยรายต่อไป
ขวดรองรับเสมหะและสายตอ่ ทุกวัน
Breathing bag (ชุด CPAP) 24 ชั่วโมง
Oxygen face mask เมอ่ื สกปรกหรือทำงานได้ไม่ดี
Oxygen cannula เมื่อสกปรกหรอื ทำงานได้ไมด่ ี
Oxygen box เช็ดทุกวนั จนเลิกใช้

5

3. การตัดวงจรการแพรก่ ระจายเชอ้ื จากคนสูค่ น
3.1 Standard Precautions
ก. การทำความสะอาดมอื
การทำความสะอาดมือ หมายถงึ การขจัดส่งิ สกปรกและเชื้อจุลชีพออกจากมอื โดยวธิ กี าร
ล้างด้วยน้ำกับสบู่ หรือน้ำยาทำลายเชื้อ หรือการใช้แอลกอฮอล์ถูมือ บุคลากรสุขภาพต้องทำความ
สะอาดมือเม่อื สกปรกหรอื มีการปนเปอื้ นเชือ้ จลุ ชีพ หลังจากทำกจิ กรรมทีค่ าดวา่ จะมกี ารปนเป้ือนของ
เชอื้ จุลชพี บนมอื ควรใช้อุปกรณจ์ บั แทนการใชม้ ือ หรอื ใส่ถงุ มือขณะจับ เน่อื งจากการทำความสะอาด
มือไม่สามารถขจัดเชอื้ จุลชพี ทปี่ นเปื้อนบนมอื ได้หมด

ข้อบ่งชี้ในการทำความสะอาดมือ พยาบาลวิชาชีพที่ดูแลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจต้องทำความ
สะอาดมือดังนี้

1. ทำความสะอาดมอื ด้วยนำ้ และสบู่ หากสมั ผัส mucous membrane
2. ทำความสะอาดมือกอ่ นและหลงั สมั ผัสผู้ปว่ ยทีใ่ ส่ endotracheal tube
3. ทำความสะอาดมือกอ่ นและหลงั สมั ผัสอปุ กรณ์เครื่องชว่ ยหายใจท่ีใช้กบั ผู้ปว่ ย
4. เปลย่ี นถุงมอื และทำความสะอาดมอื ระหว่างใหก้ ารดแู ลผ้ปู ว่ ยแต่ละราย

วิธกี ารทำความสะอาดมือ การทำความสะอาดมือทำได้ 2 วิธีคือ
1. ทำความสะอาดมอื ด้วยน้ำและสบ่หู รือนำ้ ยาทำลายเชอ้ื (hand washing or hand antiseptic)

เมือ่ มือเปอื้ นส่งิ สกปรกอย่างเหน็ ไดช้ ัด
ทำความสะอาดมือด้วยนำ้ แบ่งออกเปน็ 2 ประเภทคือ
1.1 ทำความสะอาดมือด้วยน้ำสบู่ธรรมดา (Plain/non-antimicrobial soap) ช่วยขจัดส่ิง

สกปรกฝุ่นละอองเหงื่อไคลไขมัน สารอินทรีย์และเชื้อจุลชีพออกจากมือสบู่ทำให้ผิวแห้งและระคาย
เคืองได้แม้จะมีการผสมสารเพิ่มความชื้น นอกจากนี้ยังพบว่า สบู่ยังอาจมีการปนเปื้อนเชื้อ การทำ
ความสะอาดมือด้วยสบู่และน้ำ ใช้ในการทำความสะอาดมือกรณีหลังถอดถุงมือก่อนและหลังสัมผัส
ผิวหนังผู้ป่วยปกติที่ไมม่ กี ารปนเปื้อนเชื้อจุลชพี กอ่ นปฏิบัติกิจกรรมพยาบาลท่ัวไปที่ไม่ต้องใช้เทคนิค
ปลอดเชอื้ และหลงั สมั ผสั วัสดุทีไ่ มป่ นเป้ือน เชน่ ขวดน้ำดืม่ จาน อาหาร

1.2 ทำคว ามสะ อา ด มื อด ้ว ยน ้ ำก ั บน ้ ำย า ท ำ ล าย เ ชื ้อ ( Antiseptic soaps) ด้ว ย
4% chlorhexidine gluconate เป็นต้นการทำความสะอาดมือด้วยน้ำกับน้ำยาทำลายเช้ือ
(Antiseptic soaps) จะขจัดสิ่งสกปรกและเชื้อจุลชีพออกจากมือสามารถขจัดเชื้อ จุลชีพได้
มากกว่าสบู่จึงใช้ในกรณีก่อนทำหัตถการ เช่น หลังถอดถุงมือ การสอดใส่อุปกรณ์เข้าร่างกายผู้ป่วย
กอ่ นการสัมผสั หรอื ทำกจิ กรรมกบั ผปู้ ว่ ยท่ีมภี มู ิคมุ้ กนั ต่ำหลังสมั ผสั ผิวหนงั ท่ีมีบาดแผลและสิ่งสกปรกท่ี
มีการปนเป้อื นเช้อื จลุ ชีพ

6

ในหอผู้ป่วยควรมีอุปกรณ์ในการทำความสะอาดมือครบถ้วน ได้แก่ อ่างล้างมือโดยก๊อกน้ำ
ควรใช้แบบเปิด - ปิดด้วยข้อศอก หรือขาเพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อจุลชีพของมือ สบู่หรือน้ำยา
ทำลายเชื้อที่ใช้ล้างมอื ควรมีไว้ใช้อย่างเพียงพอเสมอ สบู่ที่ใช้อาจใช้ในรูปสบู่เหลว ก้อน ผงหรือเกล็ด
แตส่ บู่กอ้ นมักมีการปนเป้ือนเชื้อจุลชีพจากผู้ใช้คนก่อน ภาชนะที่วางสบู่กอ้ นอาจมีน้ำขังจะกลายเป็น
แหล่งเพาะเชื้อจุลชีพ จึงต้องวางสบู่ในภาชนะที่มีทางระบายน้ำเพื่อป้องกันการเปียกแฉะ ผ้าเช็ดมือ
ควรใช้ผ้าที่แห้งและสะอาด ทั้งนี้ควรใช้เป็นผ้าที่เช็ดครั้งเดียวแล้วทิ้งหรือนำกลับไปซักใหม่ หรือใช้
กระดาษเชด็ มอื แทน ซงึ่ จะสะดวกในแง่ท่ีไมต่ อ้ งนำไปซกั

2. การถมู อื ดว้ ยแอลกอฮอล์ (Alcohol-based hand rubs) แอลกอฮอล์ท่ีใชท้ ำความสะอาดมือมี
ความเข้มขน้ 60% - 95% แอลกอฮอลม์ ฤี ทธ์ทิ ำใหส้ ารโปรตีนแขง็ ตัว และละลายเย่อื หุ้มเซลล์ของเช้ือ
จุลชีพแอลกอฮอล์ถูมือมีประสิทธิภาพในการลดเชื้อแบคทีเรียบนมือได้ดี ถ้าผสมแอลกอฮอล์กับ
คลอเฮกซิดีนจะทำให้ฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้นานขึ้น การถูมือด้วยแอลกอฮอล์ ใช้ในกรณีเรง่ ด่วนไม่สะดวกใน
การทำความสะอาดมือด้วยน้ำและมือไม่ได้เปื้อนสิ่งสกปรก เลือดหรือสารคัดหลั่งอย่างเห็นได้ชัด
เนื่องจากแอลกอฮอล์จะเสื่อมประสิทธิภาพเมื่อสัมผัสกับสิ่งสกปรกปนเปื้อนเลือด และสารคัดหล่ัง
การใช้แอลกอฮอล์ควรใช้ในปริมาณ 3 – 5 มิลลิลิตร ใส่ฝ่ามือแล้วลูบให้ท่ัวฝ่ามือ หลังมือ และนิ้วมือ
จนกระทั่งแอลกอฮอล์ระเหยจนแหง้ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 20 – 30 วินาที จึงเหมาะสมท่ีจะใช้ในการ
ทำความสะอาดมอื กอ่ นทำหัตถการทีส่ ะอาดกอ่ นใสถ่ ุงมอื กอ่ นสมั ผัสผปู้ ่วยภูมติ ้านทานตำ่ เป็นต้น

การทำความสะอาดมือประกอบด้วย 7 ขัน้ ตอน
ก่อนทำความสะอาดมือให้ถอดแหวน หรือเครื่องประดับอื่นออกเพื่อให้ทำความสะอาดได้

ทว่ั ถงึ เปิดนำ้ ราดให้ทั่วมือแล้วฟอกดว้ ยสบู่หรอื นำ้ ยาทำลายเชือ้ โดยใชส้ บู่หรอื นำ้ ยาทำลายเชอื้
ประมาณ 3 – 5 มิลลิลิตร เพื่อทำความสะอาดมือไดท้ กุ ส่วน

1. ใชฝ้ ่ามือถฝู ่ามือทำความสะอาดมอื ดว้ ยนำ้ สะอาดฟอกสบู่หรอื น้ำยาทำลายเช้ือ หลังจาก
นนั้ นำฝา่ มอื ทัง้ สองข้างประกบกันและขัดๆถๆู ใหท้ ่ัว

2. ใช้ฝ่ามือถูหลังมอื ฟอกสบูห่ รือน้ำยาทำลายเชื้อที่หลงั มือ แล้วใช้ฝ่ามือถูหลังมอื ซอกนว้ิ
จนกวา่ จะสะอาดถูทัง้ สองขา้ งเพอื่ ฆ่าเชอื้ โรคบริเวณหลังมือ

3. ประกบฝ่ามือถซู อกน้วิ การทำความสะอาดมือขนั้ ตอนนี้ต้องนำมือทง้ั สองข้างมาประกบ
กัน และทำความสะอาดมอื ดว้ ยสบหู่ รอื นำ้ ยาทำลายเชื้ออีกคร้ัง ถูซอกนวิ้ ให้สะอาด

4. ใชฝ้ า่ มือขัดหลังนิ้ว กำมือขา้ งหนง่ึ ทำความสะอาดมอื โดยใชฝ้ ่ามอื ถบู ริเวณหลังนิ้ว
ทำสลบั กันจนรู้สึกว่ามอื เริ่มสะอาดขึ้น

5. ถูนิ้วหัวแม่มือ กางนิ้วหัวแม่มือแยกออกมาแล้วใช้ฝ่ามืออีกข้างกำรอบหัวแม่มือ ใช้มือ
หมุนดว้ ยฟองสบู่หรือนำ้ ยาทำลายเชอื้ เปน็ วงกลม

7

6. ขัดฝา่ มอื ดว้ ยปลายนว้ิ ใหแ้ บมือแลว้ ใชป้ ลายน้ิวมืออีกข้างถดู ว้ ยฟองสบู่หรือน้ำยาทำลาย
เชอื้ ตามแนวขวาง จากนัน้ สลบั ขา้ งทำแบบเดยี วกนั

7. กำมือรอบข้อมือขา้ งหน่ึงและถู ถูวนจนกว่าจะสะอาด หลังจากน้นั ให้เปล่ยี นขา้ งทำแบบ
เดยี วกับมือขา้ งแรก

ล้างคราบสบู่ หรือน้ำยาทำลายเชื้อออกให้หมดด้วยน้ำสะอาด เช็ดมือให้แห้งด้วยผ้าหรือกระดาษที่
สะอาดแลว้ ใช้ผา้ หรอื กระดาษเชด็ มอื ปิดก๊อกนำ้ (หากต้องใชม้ ือในการปิด) เพ่อื ไม่ใหม้ อื ทสี่ ะอาดสัมผสั กบั กอ๊ ก
นำ้ ท่ีอาจมกี ารปนเปอ้ื นเชอ้ื จลุ ชีพ

ข้อควรระวังในการทำความสะอาดมือ คือ ต้องล้างให้ทั่วทุกส่วนของมือและใช้เวลาอย่างน้อย 20
วินาที เพ่อื ขจดั สิ่งสกปรกและเชอื้ จุลชีพออกจากมือให้มากท่ีสุด ถ้าใชเ้ วลายงิ่ นานจะขจดั เช้ือจลุ ชีพออกได้มาก
ขึ้น

การทำความสะอาดมือในการดูแลผปู้ ว่ ยทใ่ี ชเ้ คร่ืองช่วยหายใจ
การทำความสะอาดมือด้วยวิธี Hygienic hand hygiene ก่อนและหลังการทำกิจกรรมกับ

ผู้ป่วยอย่างถกู วธิ ีโดยใช้น้ำยาทำลายเช้ือ หรือ alcohol hand rub

ขอ้ บ่งชใ้ี นการทำความสะอาดมอื ในการดแู ลผู้ปว่ ยทใี่ ช้เครอ่ื งชว่ ยหายใจ
- ตัวผูป้ ่วย อุปกรณ์ทอ่ หลอดลมคอ ท่อเจาะคอ และเคร่อื งชว่ ยหายใจ อปุ กรณ์ชุดดูดเสมหะ
อปุ กรณพ์ ่นยา
- กอ่ นใสถ่ ุงมือและหลงั ถอดถุงมอื
- ส่งิ แวดล้อมรอบตัวผปู้ ว่ ย เช่น เตียง โตะ๊ ขา้ งเตยี ง
- หลังสัมผัสกบั (body fluid , excretion, mucous membranes , no intact skin หรือ
wound dressing )

ข. การสวมถุงมือ
การสวมถุงมือของบุคลากรสุขภาพช่วยลดการปนเปื้อนเชื้อจุลชีพจากผู้ป่วยได้ นอกจากนี้ถุงมือยัง

ป้องกนั การแพร่กระจายเชอื้ จุลชีพบนมือของบคุ ลากรสุขภาพไปสูผ่ ู้ป่วย และลดการปนเปื้อนเช้อื จากผู้ป่วย
รายหนึ่งแล้วแพร่กระจายไปสู่ผู้ป่วยรายอื่น การใส่ถุงมือไม่สามารถป้องกันการปนเปื้อนได้ 100 %
เน่อื งจากถงุ มอื อาจรว่ั ระหว่างการใช้งาน นอกจากนอ้ี าจมกี ารปนเปื้อนมือขณะถอดถงุ มือได้ ดังน้ันแมว้ ่าจะ
ใส่ถงุ มอื ในการปฏบิ ัติกิจกรรมกบั ผู้ปว่ ยบคุ ลากรสขุ ภาพยงั ตอ้ งทำความสะอาดมือทัง้ กอ่ นและหลังการถอด
ถงุ มือ หา้ มใสถ่ งุ มอื คู่เดียวในการทำกิจกรรมกบั ผู้ป่วยมากกว่า 1 คน ใหเ้ ปล่ยี นถุงมอื หลงั การสัมผัสกับส่วน

8

สกปรกก่อนสัมผัสส่วนทีส่ ะอาดในผู้ป่วยรายเดียวกัน การใส่ถุงมืออาจมีผลต่อการทำความสะอาดมือของ
บุคลากรสุขภาพ เนื่องจากความรู้สึกว่าการใส่ถุงมือมีความปลอดภัยจึงทำให้บุคลากรสุขภาพไม่ทำความ
สะอาดมือหลงั ถอดถุงมือ หรือใส่ถุงมอื ทำกจิ กรรมตอ่ เนอ่ื งโดยไม่เปลย่ี นถุงมือไม่ควรทำความสะอาดมือโดย
ลา้ งนำ้ หรือถูดว้ ยแอลกอฮอล์บนถงุ มอื ที่สวมอยู่เพือ่ ใชถ้ งุ มือซำ้ อกี

ค. หนา้ กากอนามัย
ความหมายและวัตถปุ ระสงค์ของการใชห้ น้ากาก
หน้ากาก (Mask) เป็นอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลสำหรับการ หายใจ (Respiratory

protection devices) ช่วยป้องกันอันตรายจากมลพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศเข้าสู่ร่างกายทางการ
หายใจ เชน่ ฝนุ่ ละออง ฟูม ก๊าซ ไอระเหย เป็นตน้ หรอื ถ้าในกรณที ีป่ ริมาณออกซิเจนในอากาศไมเ่ พียงพอ
หน้ากากจะมีท่อต่อกับถังออกซิเจนด้วย ซึ่งมักใช้ในกรณีฉุกเฉินในทีอ่ ับอากาศหรือการเกิดอุบัติภัยสาร
เคมรี ุนแรง

ชนิด/ประเภทของหนา้ กาก
จำแนกออกเป็นประเภทใหญๆ่ ได้ 2 ประเภท คือ

1. ประเภทท่ที ำให้อากาศปราศจากมลพษิ กอ่ นทีจ่ ะเข้าสทู่ างเดินหายใจ
(Air purifying devices) ไดแ้ ก่ หนา้ กากกรองอนภุ าค (ทำหน้าที่กรองอนภุ าคท่ีแขวนลอยในอากาศ
ซ่ึงได้แก่ ฝุ่น ฟูม ควนั ละอองไอ (Mist) และหนา้ กากกรองก๊าซไอระเหย (ทำหน้าทก่ี รองก๊าซ และไอ
ระเหยท่แี ขวนลอยอยูใ่ นอากาศ เช่นหนา้ กากอนามยั หน้ากากกรองอนุภาคขนาดเล็ก เปน็ ต้น

2. ประเภทท่สี ง่ อากาศจากภายนอกเข้าไปในหน้ากาก (Atmosphere - supplying
respirator) เป็นอปุ กรณ์ป้องกันการหายใจ ชนดิ ท่ตี อ้ งมอี ุปกรณส์ ง่ อากาศ หรือออกซเิ จนใหก้ ับผูส้ วม
โดยเฉพาะ เชน่ SCBA

ทางเลือกสำหรบั หนา้ กากกรองอนุภาค
สามารถสรปุ ผลการศึกษานำมาเปรียบเทยี บประสิทธิภาพของหนา้ กาก
1. หน้ากากอนามัย สามารถป้องกนั อนภุ าค ขนาดใหญ่ (กรณีหน้ากาก แนบสนทิ กบั ใบหน้า) -
ขนาด 0.5 ไมครอน ได้ 47% - ขนาด 1 ไมครอน ได้ 76% - ขนาด 2 ไมครอน ได้ 78%
2. N95 แบบไม่มี วาล์ว ปอ้ งกันฝุ่น ละออง อนุภาค ขนาดไม่เกิน 0.3 ไมครอน ได้ 95%

9

วธิ ีการสวมใส่และการทดสอบความแนบสนิท (Fit check) ของหน้ากากกรองอนภุ าค
หนา้ กากกรองอนภุ าคที่มขี ายตามทอ้ งตลาด มีหลายแบบด้วยกัน ท้งั แบบถ้วย แบบพับ 2 ช้ัน แบบพบั
3 ชัน้

วิธีการสวมใส่ไม่แตกตา่ งกนั ดังนี้
- ใชม้ อื ดา้ นที่ไม่ถนัดจับด้านหน้าของหนา้ กาก โดยหนั ดา้ นในของหน้ากากเข้าหาตวั
- ใชม้ อื ข้างท่ถี นัดจับสายรัดมาไวด้ า้ นหน้าของหน้ากาก ในกรณีทห่ี น้ากากพบั อยู่ ให้คลห่ี น้ากาก
ออก
- วางหน้ากากครอบปิดคลมุ จมกู และปาก โดยให้ลวดของหนา้ กากคลุมด้านบนจมกู
- ใช้มอื ทถี่ นดั ดงึ สายรัดเสน้ ลา่ งมาดา้ นหลังศรี ษะ โดยสายรดั จะอยูบ่ รเิ วณทา้ ยทอย กว่าหู
- ใชม้ ือทถี่ นดั ดึงสายวดั เส้นบนมาด้านหลังศรี ษะ โดยสายรัดจะอยู่บนศีรษะเหนอื หู
- จดั หน้ากากให้พอดกี ับใบหน้า และใช้มอื ทง้ั สองขา้ งกดลวดบรเิ วณจมูกให้แนบ จมูกและหน้า
- ทดสอบความแนบสนทิ (Fit check) โดยวางมือทั้งสองขา้ งบนหน้ากากแลว้ หายใจออกแรงๆ
เพือ่ ทดสอบว่ามีลมออกหรอื ไม่ หากมลี มออกให้ขยับหนา้ กาก ใหม่ใหพ้ อดีจนกว่าจะไมม่ ลี ม
ออกเม่ือหายใจแรงๆ

3.2 การดแู ลผู้ป่วยทใี่ ส่ทอ่ ชว่ ยหายใจ
- ทำความสะอาดมือด้วยวิธี Hygienic hand hygiene
- สวม PPE (Surgical Mask ,Goggle ,Sterile Gloves, Gown)
- ยึดหลกั Aseptic technique
- บันทกึ ตำแหนง่ ท่อช่วยหายใจท่ีระดบั ฟันทนั ที และติดเครื่องหมายทท่ี ่อ
- ตรวจสอบตำแหน่งเครอื่ งหมายท่ที ่อทกุ ครั้งทีผ่ ูป้ ว่ ยมีการเคลอ่ื นไหว
- ตรวจวัด Cuff pressure อยา่ งน้อยทกุ 12 ชว่ั โมง ปรับแรงดนั ท่ี 25 - 30 เซนติเมตรนำ้
- เปลย่ี นพลาสเตอร์ และตำแหนง่ ท่ยี ึดตดิ ท่อช่วยหายใจ วันละ 1 ครัง้

3.3 การดแู ลผปู้ ่วยทใ่ี สท่ อ่ หลอดลมคอ
- ทำความสะอาดมือด้วยวิธี Hygienic hand washing หรอื ใช้ Alcohol hand rubs กอ่ น
การดูแลท่อหลอดลม และทำความสะอาดมือด้วยวิธี Hygienic hand washing หลังการดูแล
ทอ่ หลอดลม
- ปฏิบัตติ ามเทคนิคปลอดเชอื้ (Aseptic technique)

10

- เมื่อเปลี่ยนท่อหลอดลมคอ สวมเสื้อคลุม ถุงมือปราศจากเชื้อ หน้ากากอนามัย เสื้อกาวน์
แว่นตา ใช้เทคนิคปลอดเชื้อ และเปลี่ยนท่อที่ได้รับการทำให้ปราศจากเชื้อหรือทำลายเช้ือ
ระดับสูง

- ไม่สามารถให้ข้อแนะนำในการใช้ยาต้านจุลชีพเฉพาะที่ทาบริเวณรอบๆ แผลเจาะคอทุกวัน
(Unresolved issue)

- วัด intracuff pressure ของท่อหลอดลมอย่างน้อยทุก 12 ชั่วโมง และปรับ intracuff
pressure ใหม้ ีค่า 25 - 30 เซนตเิ มตรนำ้

การดูแลแผลเจาะคอ
- ทำความสะอาดมอื ดว้ ยวธิ ี Hygienic hand washing ก่อนและหลังการดูแลแผลเจาะคอ
- สวมอปุ กรณ์ ปอ้ งกันร่างกายสว่ นบคุ คลอยา่ งถูกตอ้ ง เหมาะสม
- ยึดหลกั เทคนคิ ปลอดเช้อื (Aseptic technique) ขณะใหก้ ารดแู ลผปู้ ว่ ย
- การดูแลแผลเจาะคอ

• ทำความสะอาดแผลเจาะคออย่างนอ้ ยวนั ละ 2 ครัง้ หรือเมื่อรอบลำคอสกปรก
หรอื เปอ้ื นเสมหะดว้ ยเทคนิคปลอดเชื้อและรองดว้ ย Gauze ปราศจากทกุ ครงั้

• ถา้ เชอื กผกู ท่อเปอื้ นควรเปลีย่ นให้ดว้ ยโดยมีหลักการคือควรผกู สายใหม่ให้เสร็จ
ก่อนตัดสายเก่าออกเพื่อกันท่อหลุด และผูกเชือกใหม่ให้ปมอยู่ด้านหน้าของ
ลำคอ เพื่อป้องอาการเจ็บ จากการนอนทับ การผูกไม่ควรให้แน่นมากสามารถ
สอดน้ิวผ่านได้ 1 น้วิ และผูกเงอื่ นตายเสมอ

- วธิ ีทำความสะอาดท่อหลอดลมคอชั้นใน
1. หมนุ ล็อคท่อหลอดลมคอแล้วหมนุ ทอ่ หลอดลมคอชนั้ ในออก
2. นำทอ่ หลอดลมคอช้นั ในไปแชใ่ นน้ำไฮโดรเจนเปอรอ์ อกไซด์ นานประมาณ 30 นาที
3. ใชแ้ ปรงหรอื ผ้าดนั เสมหะในหลอดท่อลมคอออกให้หมด
4. ใชแ้ ปรงหรอื ผา้ ชบุ น้ำยาล้างจาน หรอื สบ่ถู ไู ปมาทั้งภายในและภายนอก
5. ทอ่ โลหะ ลา้ งน้ำสะอาด ด้วย sterile water เพอ่ื ลา้ งสารเคมอี อกไป
6. ก่อนนำไปใช้ต้องให้ผู้ป่วยไอขบั เสมหะออกให้หมด ทำให้ท่อแห้งสนิท ไม่มีหยดน้ำขัง
ในทอ่
7. ใสท่ ่อหลอดลมช้นั ใน และหมุนล็อคทอ่ หลอดลมใหเ้ รียบรอ้ ยป้องกันการหลุด

3.4 การดูดเสมหะ
สายดูดเสมหะอาจนำเชื้อเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจส่วนล่างของผู้ป่วยได้ ในสหรัฐอเมริกา

สายดูดเสมหะที่มีใช้มี 2 แบบ คือสายดูดเสมหะทีใ่ ช้ครัง้ เดียว และสายดูดเสมหะที่ใชห้ ลายครัง้ ซึง่ ใช้
เป็นระบบปิด (multiuse closed-system suction catheter) จากการศกึ ษาเปรียบเทยี บอบุ ัติการณ์

11

ของปอดอักเสบในผู้ป่วยที่ได้รับการดูดเสมหะด้วยสายดูดเสมหะท้ัง 2 แบบพบว่าไม่แตกต่างกันแต่
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ควรมีการศึกษาที่ละเอียดมีขนาดตัวอย่างที่มากพอ และศึกษาทั้งปัญหาการติด
เชอ้ื ประโยชน์และผลเสียในแง่มมุ ต่างๆ รว่ มด้วย

ขอ้ บง่ ชี้ในการดดู เสมหะ
- ไดย้ ินเสยี งเสมหะครืดคราด หรือเสียงว้ดี
- ผู้ป่วยไอ กระสบั กระส่าย เหงอ่ื ออก
- ผ้ปู ่วยหายใจลำบาก อตั ราการหายใจเพม่ิ ข้นึ
- ฟังเสียงลมผา่ นปอดได้ยินเสยี งนำ้ ในปอด (crepitation)
- ก่อนให้อาหารทางสายยาง

ขัน้ ตอนการดูดเสมหะใหผ้ ู้ป่วย
- ประเมินอาการและอาการแสดงของผูป้ ว่ ยทบ่ี ่งช้ีว่าผปู้ ว่ ยต้องการ การดดู เสมหะ ไม่ดดู เสมหะ
ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ เชน่ ทกุ 2 ชัว่ โมง
- บอกผปู้ ว่ ยก่อนดดู เสมหะทุกคร้ัง
- จัดให้ผปู้ ว่ ยนอนหงายศรี ษะสูง 30 - 45 องศา เพอ่ื ให้หลอดลมอยู่ในแนวตรงผ้ปู ่วยสามารถใช้
กลา้ มเนอื้ ในการหายใจไดเ้ ตม็ ท่ี สามารถไอไดด้ ี และลดความเสีย่ งจากการสำลัก
- บุคลากรล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำยาทำลายเชื้อ (hygienic hand hygiene) และเช็ดมือให้
แหง้ กรณเี ร่งด่วนไม่สามารถล้างมอื ได้ ควรถมู ือใหท้ วั่ ถงึ ดว้ ย alcohol hand rub
- บุคลากรควรสวมผ้าปิดปากและจมูก ผู้ทำหน้าที่ดูดเสมหะควรสวมเส้ือกาวน์ แว่นตาและถงุ
มือปราศจากเชอ้ื ในการดดู เสมหะ
- ขณะดดู เสมหะควรปูผา้ สะอาดบริเวณทรวงอกของผู้ปว่ ย ปลดสายเครอ่ื งชว่ ยหายใจออกจาก
ทอ่ ช่วยหายใจแขวนไว้ หรือห้มุ ปลายสายดว้ ยGauze ปราศจากเชอื้
- ใช้ปากคีบคีบสำลีชุบ 70% แอลกอฮอล์เช็ดปลายท่อช่วยหายใจและสายต่อจากเครื่องดูด
เสมหะ รวมทง้ั ขอ้ ต่อของ resuscitation bag
- กระตุ้นใหผ้ ู้ปว่ ยหายใจลกึ ๆ 3 - 4 ครง้ั หรอื ช่วยใหผ้ ู้ปว่ ยหายใจลึกๆ โดยการบีบลมเข้าปอด
ด้วย resuscitation bag พรอ้ มกับให้ออกซเิ จน 5 – 10 ลิตรต่อนาที นาน 1 นาที
- ใช้ความดันของเครื่องดูดเสมหะ 120 – 140 มิลลิเมตรปรอทในผู้ใหญ่ ในเด็กโตใช้ 90 –
120 มิลลิเมตรปรอท ขณะดูดเสมหะให้หันหน้าของผู้ป่วยไปดา้ นตรงข้ามกับปอดท่ีต้องการ
ดดู เสมหะ จะชว่ ยใหด้ ูดเสมหะไดง้ า่ ยข้ึน ดดู เสมหะดว้ ยความนมุ่ นวล
- กอ่ นตอ่ สายต่อเคร่ืองช่วยหายใจเขา้ กับทอ่ ชว่ ยหายใจเชด็ ขอ้ ตอ่ ตา่ งๆ ดว้ ย 70 % alcohol

12

ขอ้ ควรระวัง
- ไม่ใช้สายที่ดูดเสมหะจากท่อช่วยหายใจดูดเสมหะภายในปากควรใช้สายดูดเสมหะเส้นใหม่
และไมน่ ำสายทีด่ ดู เสมหะในปาก ไปดูดเสมหะในท่อช่วยหายใจ
- ไม่นำสายที่ดูดเสมหะที่นำไปล้างในขวดน้ำสะอาด ดูดเสมหะในท่อช่วยหายใจซ้ำ หรือไปดูด
เสมหะในปาก
- เปล่ียนทอ่ ดูดเสมหะท่ีตอ่ เข้าสขู่ วดรองรับเสมหะในผปู้ ่วยแตล่ ะราย
- เปลี่ยนขวดรองรับเสมหะระหว่างผูป้ ่วยแต่ละราย ยกเว้นในกรณีที่ใช้เพียงระยะสัน้ ในผู้ป่วย
รายเดมิ เปล่ียนขวดใหม่ทกุ 24 ช่ัวโมง
- ดูดเสมหะดว้ ยเทคนคิ ปลอดเช้อื อย่างนุ่มนวล เพ่อื ลดการบาดเจ็บและการติดเชอื้

ปัจจยั เส่ยี งตอ่ การเกิดปอดอกั เสบในผปู้ ว่ ยที่ได้รบั เครื่องช่วยหายใจซึง่ มี humidifier เป็นสว่ นประกอบ
เกิดจากการกลั่นตัวของไอน้ำภายในท่อช่วยหายใจ ซึ่งทั้งท่อช่วยหายใจและหยดน้ำที่เกิดขึ้นจะทำให้ทั้งเชอ้ื
แบคทีเรียกรัมลบและกรัมบวกเจริญได้ เชื้อก่อโรคที่เจริญอยู่ภายในท่อช่วยหายใจมาจากตัวผู้ป่วย ซึ่งจะพบ
เชื้อแบคทีเรียมากที่สุดบริเวณใกล้ๆ ท่อช่วยหายใจ และจำนวนเชื้อจะลดลงบริเวณใกล้ๆ แหล่งน้ำของ
humidifier นำ้ ทข่ี ังอยู่ในทอ่ ช่วยหายใจสามารถแพร่กระจายเช้อื ได้ การเทนำ้ ทค่ี า้ งอย่ใู นสายตอ่ ทอ่ ชว่ ยหายใจ
ควรเทลงในภาชนะรองรับเป็นระยะๆ เช่น เทลงในชามรูปไต แล้วนำไปเททิ้งทันที ไม่เทลงพืน้ หรือเทลงในถงั
รองรับมูลฝอย ดูแลให้สายอยู่ต่ำกว่าผู้ป่วยเสมอ ระวังไม่ให้น้ำภายในท่อไหลย้อนกลับเข้าสู่ผู้ป่วย การไหล
ย้อนกลบั ของหยดน้ำภายในท่อช่วยหายใจ อาจเกิดขึน้ ขณะมีการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ตอ้ งยกท่อขยบั ไปมา เช่น
ขณะดูดเสมหะ ปรับตำแหน่งของท่อชว่ ยหายใจ ให้อาหารทางสายยาง หรือขณะพลิกตะแคงตวั ผู้ป่วย ทำให้
ผู้ปว่ ยเสี่ยงต่อการเกดิ ปอดอักเสบ นอกจากนีเ้ ช้อื จุลชีพทป่ี นเป้ือนอยู่ในหยดนำ้ ภายในท่อช่วยหายใจ สามารถ
แพร่กระจายสผู่ ู้ปว่ ยรายอนื่ ได้จากมือของบคุ ลากร

4. การลดความเสีย่ งตอ่ การตดิ เช้อื ของผปู้ ว่ ย
4.1 การป้องกนั การสำลกั ซึ่งเกีย่ วขอ้ งกับการใส่ทอ่ ช่วยหายใจ
ทนั ทที ไี่ มม่ ีขอ้ บ่งช้ีที่ต้องใช้ ควรถอดอปุ กรณต์ ่างๆ ไดแ้ ก่ ท่อช่วยหายใจ ทอ่ หลอดลมคอ และ/หรือ
สายใหอ้ าหาร (oral หรือ nasogastric หรือ jejunal) ออกจากผู้ป่วย
1. การปอ้ งกนั การสำลกั ซ่ึงเกย่ี วข้องกับการใส่ท่อช่วยหายใจ (endotracheal tube)
2. ใช้ noninvasive ventilation (NIV) เพื่อลดความจำเป็นและระยะเวลาในการใส่ทอ่ ช่วยหายใจ
2.1 หากสามารถทำได้โดยไม่มีข้อห้ามทางการแพทย์ ใช้ noninvasive positive-pressure
ventilation ซึ่งให้โดย facial mask หรือ nose mask แทนการใส่ท่อช่วยหายใจในผู้ป่วยที่มี
ภาวะการหายใจล้มเหลว และไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ (ได้แก่ ผู้ป่วยซึง่ อย่ใู น
ภ า ว ะ hypercapnic respiratory failure secondary to acute exacerbation of COPD or
cardiogenic pulmonary edema)

13

2.2 หากสามารถทำได้โดยไม่มีข้อห้ามทางการแพทย์ใช้ NIV ในกระบวนการหย่าเครื่องช่วย
หายใจ เพื่อลดระยะเวลาในการใส่ทอ่ ช่วยหายใจ

- หลีกเลีย่ งการใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจซ้ำ ในผู้ป่วยทไี่ ดร้ ับเคร่ืองช่วยหายใจ มากที่สดุ เท่าทีจ่ ะทำได้
- ควรใส่ท่อช่วยหายใจให้ผู้ป่วยทางปาก (orotracheal intubaton) มากกว่าทางจมูก
(nasotracheal intubation) เว้นเสียแตม่ ีขอ้ ห้ามเนอ่ื งจากสภาวะของผปู้ ่วย
- หากเป็นไปได้ ใช้ท่อช่วยหายใจที่มีรูเหนือ cuff เพื่อระบายเสมหะที่รวมตัวอยู่บริเวณ
subglottis
- ก่อนนำท่อช่วยหายใจออก หรือก่อนการขยับท่อชว่ ยหายใจ ต้องมั่นใจวา่ ไม่มีเสมหะอยู่เหนือ
cuff

การจดั ท่าผปู้ ว่ ย
การจัดท่าผู้ป่วยหลังใส่ท่อช่วยหายใจ เพื่อให้การหายใจมีประสิทธภิ าพ การดูแลจัดท่านอนและการ

พลิกตวั การดูแลจดั ท่านอนศีรษะสูงเป็นวธิ กี ารทปี่ ระหยัดและมปี ระสิทธภิ าพสงู ในการป้องกนั การสำลักเอา
สิ่งคัดหลั่งในช่องปาก การนอนราบเปรียบเทียบกับการจัดท่านอนศีรษะสูง พบว่าผู้ป่วยที่นอนราบ
มีอุบัติการณ์การติดเชื้อ ปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจมากกว่าผู้ป่วยที่นอนศีรษะสูง อย่างมี
นยั สาํ คัญทางสถิติ (Beuret, 2002) ควรปฏิบัตดิ งั น้ี

1. จดั ให้ผปู้ ว่ ยอยู่ในท่าน่ังหรือหมนุ หัวเตียงทำมุม 30-45 องศา เพอื่ ป้องกนั การสำลักสารคัดหล่ังเข้าสู่
ปอดในกรณีที่ไม่ได้ปฏิบัติกิจกรรมที่จำเป็นต้องนอนราบ และไม่มีข้อห้ามทางการแพทย์ เช่น
hemodynamic instability ( สถาบันบำราศนราดูร,2563, CDC, 2003; Heyland, Cook, &
Dodek, 2002; Bolonov, Miller, Lisbon, & Kaynar, 2007)

2. ให้พลิกตะแคงตัวผู้ปว่ ย/เปล่ียนท่านอนใหผ้ ู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการคั่งค้างของเสมหะใน
ปอด หากไมม่ ีข้อห้าม (CDC, 2003; Nieuwenhoven et al., 2006)

4.2 การปอ้ งกนั การสำลักจากการให้อาหารทางสายยาง
การใหอ้ าหารทางสายยาง
การให้อาหารทางสายยาง อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญในกระเพาะอาหารได้ เนื่องจาก
อาหารมีค่า pH อยู่ระหว่าง 6.4-7.0 และผู้ป่วยที่ได้รับเครื่องช่วยหายใจมักได้รับยาลดกรดใน
กระเพาะอาหาร หากอาหารมีการปนเป้ือนอาจส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเพิ่มจำนวนในอาหาร
ดังน้นั การเตรยี มอาหารสำหรบั ผู้ป่วยจะตอ้ งระมัดระวังมิใหเ้ กดิ การปนเปือ้ น

14

ข้ันตอนในการจดั เตรียมอาหารเหลว ควรปฏบิ ัตดิ งั นี้

- อาหารเหลวเมอ่ื นำมาจากหนว่ ยโภชนาการควรเตรียมใหผ้ ู้ป่วยทันที หากจำเปน็ ตอ้ งเก็บไว้ควร
เกบ็ ไว้ในต้เู ย็น และไมค่ วรเกบ็ ไวน้ านเกิน 24 ชัว่ โมงควรอุ่นอาหารกอ่ นให้ผู้ปว่ ย

- บริเวณท่เี ตรียมอาหารให้ผปู้ ว่ ย ควรเปน็ บริเวณทีส่ ะอาดและแหง้
- บุคลากรล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ เช็ดมือให้แห้งก่อนเตรียมอาหารเหลวให้ผูป้ ่วย และ

ระมัดระวังไมใ่ ห้มอื สัมผสั อาหารขณะเตรยี มอาหาร
- ภาชนะที่ใช้เตรียมอาหารควรได้รับการทำลายเชื้อโดยการต้มในนำ้ เดือดนาน 20 นาทีหากไม่

สามารถทำได้ ควรบรรจุอาหารใสข่ วดมาจากหน่วยโภชนาการเพื่อลดโอกาสเกิดการปนเปื้อน
จากการเทอาหารลงในภาชนะที่ไม่ไดร้ บั การทำลายเช้ือ

ขัน้ ตอนการให้อาหารทางสายยาง
- ประเมินเสมหะในปอดก่อนให้อาหารทุกครง้ั หากพบว่าผูป้ ่วยมเี สมหะ ควรดูดเสมหะให้ผู้ป่วย
เพอ่ื ใหท้ างเดนิ หายใจโล่งกอ่ น จดั ให้ผปู้ ว่ ยนอนหงายศีรษะสงู 30-45 องศา
- บคุ ลากรลา้ งมือดว้ ยนำ้ และสบกู่ ่อนใหอ้ าหารแก่ผปู้ ว่ ย
- ประเมนิ การทำงานของลำไส้กอ่ นให้อาหารโดยการฟัง bowel sound
ทดสอบตำแหน่งของสายให้อาหารและอาหารที่เหลือค้างอยู่ในกระเพาะอาหารหากปริมาณ
อาหารเหลือไม่เกิน 250 มิลลิลิตรให้อาหารแก่ผู้ป่วยได้ หากมีปริมาณอาหารเหลือมาก ควร
ปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาปรับปริมาณอาหาร หรือหาสาเหตุ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหาร
เพียงพอกับความต้องการของรา่ งกาย หลังใหอ้ าหารทางสายยางควรให้น้ำแก่ผู้ปว่ ย โดยทั่วไป
ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ควรได้รับน้ำตามประมาณ 50 มิลลิลิตร น้ำที่ให้ผู้ป่วยทีไ่ ด้รับเครื่องช่วยหายใจ
ควรเปน็ น้ำปราศจากเชอ้ื ไมค่ วรใช้นำ้ ทีต่ ้ังทิ้งไว้ เนื่องจากน้ำอาจเกดิ การปนเปือ้ น
- หลังจากให้อาหาร จัดให้ผู้ป่วยนอนในท่าศีรษะสูงอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อป้องกนั อาหารไหล
ย้อนกลบั และการสำลกั
- ไม่ควรดูดเสมหะหลังให้อาหารทางสายยางใหม่ๆ เพราะอาจกระตุ้นให้ผู้ป่วยอาเจียน และเกิด
การสำลกั ควรรอประมาณ 1-2 ชั่วโมง เวน้ แตก่ รณีจำเปน็ ผู้ป่วยมเี สมหะมาก
- ผู้ป่วยที่ได้รับอาหารทางสายยางแบบหยด (continuous enteral feeding) ควรเปลี่ยนชุด
อปุ กรณ์ในการใหอ้ าหารทกุ 24 ชัว่ โมง
- อุปกรณ์ที่ใช้ในการให้อาหารทางสายยาง เช่น ถุงใส่อาหารเหลวสำเร็จรูปสำหรับใช้ครั้งเดียว
ไม่ควรนำมาล้างทำความสะอาดเพื่อเก็บไว้ใช้ในการให้อาหารผู้ปว่ ยครั้งต่อไป เนื่องจากอาจมี
เชอ้ื ปนเป้อื นได้

15

- ควรประเมินการเคลื่อนไหวของลำไส้ผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ โดยการฟัง bowel sound และ
ตรวจดูอาหารที่ตกค้างในกระเพาะ ปรับอัตราและปริมาณการให้สารอาหารทางสายยาง เพ่ือ
ปอ้ งกันการไหลยอ้ นกลับ (regurgitation)

4.3 การป้องกันการเจรญิ ของเชอ้ื บริเวณช่องปากและลำคอ
4.3.1 แนวปฏบิ ัตใิ นการดแู ลความสะอาดชอ่ งปาก
1.1 การประเมินสภาพช่องปาก
1.2 การเลือกอุปกรณ์ทีใ่ ช้ในการดูแลความสะอาดช่องปากให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแตล่ ะราย เพอื่ ให้
ผปู้ ่วยได้รับความสุขสบายและเกิดประสทิ ธภิ าพสงู สดุ เชน่ แปรงสฟี นั ทแ่ี นะนําคือแปรงสีฟัน
ที่มีขนาดเล็กลกั ษณะปลายเรียวขนแปรงออ่ นนุ่มและในกรณที ่ีมขี ้อห้ามในการแปรงฟัน เช่นมี
เลอื ดออกงา่ ยให้ใชไ้ มพ้ ันด้วยฟองนำ้ หรอื ไมพ้ นั สำลีในการเช็ดทำความสะอาดช่องปาก
1.3 การเลอื กน้ำยาท่ีใช้ในการทำความสะอาดช่องปากเหมาะสม พบวา่ นำ้ ยาทม่ี ีประสิทธิภาพใน
การช่วยลดคราบจุลินทรีย์และทำให้สุขภาพช่องปากดีขึ้น แนะนำให้ใช้น้ำยา 0.12 %
chlorhexidine หรือ Special mouth wash
1.4 ขั้นตอนปฏิบัติในการทำความสะอาดช่องปากแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ก่อนดูแลขณะดูแล
และ หลังดแู ลทำความสะอาดชอ่ งปาก

4.3.2 ระยะกอ่ นดูแลทำความสะอาดช่องปาก ควรปฏบิ ัติดังน้ี
1. ลา้ งมอื และใสถ่ งุ มือ
2. ติดตง้ั เครอ่ื งดูดเสมหะ ไดแ้ ก่ กระป๋องและตวั เชื่อมรูปตัว Y สำหรับเป็น สายดูดในการดูแล
ความสะอาดช่องปากรวมทั้งอุปกรณ์สำหรับดูดสิ่งคัดหลั่งบริเวณคอหอยส่วนบนและ
หลอดลมคอเหนอื กระเปาะ
3. เลือกอุปกรณใ์ นการแปรงฟันใหเ้ หมาะสมกับสภาพช่องปากของผู้ปว่ ย แตล่ ะคน โดยผู้ป่วย
ที่มีฟันและไม่มีภาวะเสี่ยงต่อการมีเลือดออกง่าย ให้ใช้เป็นแปรงสีฟันและกรณีที่ใช้การ
แปรง ทำให้ไม่สุขสบายหรือมีเลือดออกงา่ ย ให้ใช้ไม้พันด้วยฟองน้ำหรือไม้พันสำลี (foam
swab) เพ่อื ทำความสะอาด ฟันและลนิ้
4. เตรยี มอุปกรณ์สำหรับดูดสง่ิ คดั หลง่ั ในชอ่ งปากทกุ คร้ังทีม่ ีการทำความสะอาด และเม่ือมีสิ่ง
คดั หลงั่ ในชอ่ งปาก
5. การเตรียมผูป้ ว่ ย โดยการตรวจสอบสญั ญาณชีพเพอ่ื ประเมนิ ขัน้ ตน้ และประเมินระดับความ
ร้สู ึกตัวของผปู้ ่วย

16

- กรณีผู้ป่วยรู้สึกตัว อธิบายให้ผู้ป่วยรับทราบถึงวัตถุประสงค์และขั้นตอนใน การปฏิบัติ
เพอื่ ใหเ้ กดิ ความร่วมมอื

- กรณีผูป้ ว่ ยไม่รู้สกึ ตวั ใชอ้ ปุ กรณ์ช่วยเปดิ ปาก เชน่ ดา้ มแปรงสฟี ัน
- ตรวจสอบแรงดนั ในกระเปาะของท่อช่วยหายใจและเพ่ิมเปน็ 100 มิลลิเมตร ปรอทในกรณี

ทำการล้างปากเพียงอยา่ งเดยี ว เพอื่ ป้องกันการสำลกั สว่ นในกรณที มี่ กี าร แปรงฟนั ยังไม่มี
หลักฐานเชิงประจกั ษ์ทบ่ี อกวา่ ควรเพ่ิมแรงดนั ขึน้ ในกระเปาะของทอ่ ช่วยหายใจ
6. จัดท่าให้ผู้ป่วยนอนยกศีรษะสูงอย่างน้อย 30 องศา (semi - fowlers) (กรณีไม่มีข้อห้าม)
และเอียงศรี ษะไปดา้ นขา้ งใดขา้ งหนงึ่ เพอ่ื ลดความเสยี่ งในการสำลกั

4.3.3 ขณะทำความสะอาดช่องปาก
โดยก่อนทำความสะอาดช่องปากทุกครั้งดูดสิ่งคัดหลั่งในช่องปากและคอหอยทุก 4 - 6 ชั่วโมงเพ่ือ

ขจัดสิง่ คัดหลั่งออก แนวปฏบิ ตั ิขณะทำความสะอาดช่องปากแยกตามลกั ษณะของผปู้ ว่ ย 2 กลมุ่
1. ผู้ปว่ ยท่ีมีฟนั และไม่มีภาวะเสีย่ งตอ่ การมีเลือดออกควรได้รับการแปรงฟนั อย่างน้อยทกุ 12 ช่ัวโมง

ปฏิบัตดิ งั นี้
- การแปรงฟันโดยใช้แปรงสีฟนั และยาสีฟันและเริ่มการแปรงฟนั จากบริเวณฟัน ส่วนที่ใช้เคี้ยว

ฟันด้านใน ฟันด้านนอก ด้านบนของช่องปาก ด้านขวาและด้านซ้ายของแก้มและลิ้น หรือใช้
การแปรงฟันตามด้วยน้ำยา chlorhexidine ถ้าผู้ป่วยแพ้หรือเยื่อบุช่องปากเกิดอักเสบให้ใช้
Biotene (ฟลูออไรด์ ชนิดแห้ง) ยาสีฟันหรือใช้น้ำยา 0.12 % chlorhexidine ที่ปราศจาก
แอลกอฮอล์
- ใช้การแปรงฟันแบบโมดิฟลายด์บาส (Modified Bass technique) ซึ่งหมายถึง การแปรงฟนั
โดยวางแปรงให้ปลายขนแปรงชี้ไปทางด้านรากฟันเอียงทำมุมประมาณ 45 องศา ให้ขนแปรง
อยู่ บริเวณขอบเหงือกพอดีออกแรงดันเล็กนอ้ ยใหข้ นแปรงลงไปในร่องเหงือกขยบั หรอื สั่นขน
แปรงไปมาในแนวหน้า หลังสั้นๆประมาณ 10 ครั้งบิดข้อมือให้ขนแปรงปัดผ่านไปทางตัวฟัน
ทาํ ซำ้ ที่เดมิ ประมาณ 5 - 6 ครัง้ แล้วเคล่อื น ไปตำแหน่งใหม่ใหเ้ หล่อื มกับตำแหน่งเดิมเล็กน้อย
ซงึ่ วิธีน้จี ะชว่ ยเพ่มิ ประสิทธภิ าพในการขจัดคราบฟนั หรือคราบจุลนิ ทรียโ์ ดยใช้แรงในการแปรง
อยา่ งนุม่ นวลขณะท่ีเคลอ่ื นท่แี ปรงในแนวขนานกับฟนั หรือแนววงกลม
- ใช้เวลาในการแปรงฟันอย่างน้อย 1 - 2 นาทีแต่ถ้าจะให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดควรใช้เวลา
10 - 20 นาที
- ใช้เวลาในการนวดเหงือก อย่างน้อย 1 - 2 นาทีเนื่องจากการนวดเหงือกจะทำให้ เหงือก
แข็งแรงลดการอักเสบ มีการกระตุ้นให้น้ำลายได้ไหลเวียนและลดการเกิดแผล หลังจากน้ัน
แปรงล้ินและ เพดานอยา่ งนุ่มนวล

17

2. ผู้ปว่ ยที่ไม่มฟี ันหรอื มีภาวะเส่ยี งตอ่ การมเี ลือดออกง่ายทำความสะอาดโดยการเช็ดบริเวณช่องปาก
ควรทำอย่างน้อยทกุ 4 - 6 ช่วั โมงและเม่อื มีคราบสกปรก ปฏิบตั ดิ งั น้ี
- ใช้การเช็ดถูฟัน เหงือก ลิ้น และเพดานปาก ทำแทนการแปรงฟัน ถ้าการแปรงทำให้ไม่สุข
สบายหรอื มีเลือดออก
- วางแนวทางการเชด็ ตามแนวของเหงอื ก เช็ดถูอยา่ งนมุ่ นวลใช้เวลา 1 - 2 นาทเี ช็ดวนตามเข็ม
นาฬิกา เพ่ือขจัดสง่ิ สกปรกออก
- สำหรบั ผู้ป่วยทไี่ มม่ ฟี นั ใหเ้ ช็ดเหงือก ลิ้นและเพดานอย่างน่มุ นวล
- หลังจากการเช็ดถูในชอ่ งปากเสร็จเรยี บร้อยแล้วใช้ syringe ขนาด 10 หรือ 20 มิลลิลิตรกับ
น้ำต้มสุก สำหรับล้างภายในช่องปากและขจัดสิ่งคัดหลั่งโดยใช้อุปกรณ์ในการดูดออก เปิด
เครือ่ งดดู และดดู น้ำลา้ งทำความสะอาดปากออก

4.3.4 ระยะหลงั การทำความสะอาดชอ่ งปาก ปฏิบตั ดิ งั นี้
- ดแู ลใหค้ วามชมุ่ ชนื้ ในปากและรมิ ฝปี าก ดูแลใหค้ วามชุ่มชน้ื ดว้ ย mouth moisturizer (มสี ว่ นผสม
ของ Vitamin E และ Coconut oil) บริเวณเยอื่ บุในชอ่ งปาก
- เพิ่มความชมุ่ ชื้นให้ริมฝปี ากดว้ ยการทาสารใหค้ วามชุ่มชน้ื ท่ีมีความเป็น กลางสำหรบั ชอ่ งปาก เช่น
วาสลีน ปโิ ตรเลยี มเจล หรอื ลิปบาล์ม เพ่อื ปอ้ งกนั ริมฝปี ากแห้งและแตกเปน็ แผล และเม่ือพบว่ามี
ลกั ษณะแห้งเปน็ ขยุ หรอื แตก
- ติดตามการเปลี่ยนแปลงของช่องปากทุกครั้งที่มีการประเมินช่องปาก อย่างน้อยวันละครั้ง โดย
ประเมินว่าบริเวณช่องปากมีความผิดปกติหรือไม่ เช่น มีกลิ่นปาก เยื่อบุช่องปาก อักเสบ เหงือก
อักเสบ ปากแห้ง เชื้อราในช่องปาก ฟันผุคราบฟันหรือคราบจุลินทรีย์พร้อมทั้งหาสาเหตุและ
ปรึกษาแพทยเ์ พ่ือหาแนวทางการแกไ้ ขตอ่ ไป

4.4 การหยา่ เครือ่ งชว่ ยหายใจ
การหย่าเครื่องช่วยหายใจเป็นกระบวนการลดการลดการช่วยหายใจจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ

เพื่อให้ผู้ปว่ ยหายใจด้วยตนเองมากขึ้น จนสามารถหยดุ การใช้เครือ่ งชว่ ยหายใจได้ การช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้
เองโดยเร็วจะมีส่วนช่วยลดการเกิดปอดอักเสบจากการใช้เครื่องจากเครื่องช่วยหายใจ การหย่าเครื่องช่วย
หายใจจะต้องประเมนิ ความพรอ้ มของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยหายใจไดด้ ้วยตนเองไม่เกิด
ภาวะแทรกซ้อนที่เปน็ อันตรายต่อผู้ป่วย ในผู้ป่วยที่ใส่เครื่องชว่ ยหายใจ >24 ชั่วโมงควรกำหนดแนวทางการ
หย่าเครื่องช่วยหายใจโดยความร่วมมือของบุคลากรสหสาขาวิชาชีพที่เก่ียวข้องให้ข้อมูลกับบุคลากรเกีย่ วกับ
ความสำคญั ของการหยา่ เครื่องช่วยหายใจ ในการลดอบุ ตั กิ ารณ์ปอดอกั เสบจากการใช้เคร่ืองชว่ ยหายใจ มีการ
เตรียมและประเมินความพร้อมของผปู้ ่วยทั้งทางด้านรา่ งกายและจิตใจกอ่ นการหยา่ เครอื่ งช่วยหายใจ บคุ ลากร

18

ทางการพยาบาลมีความรู้เกี่ยวกับการหย่าเครื่องช่วยหายใจ มีการเฝ้าระวังผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดขณะหย่า
เคร่อื งชว่ ยหายใจ

พยาบาลมคี วามรู้เกยี่ วกับการหย่าเคร่อื งชว่ ยหายใจ ควรประเมนิ ค้นหาสาเหตุภาวะที่ทำให้ผู้ป่วยไม่
สามารถถอดเครื่องช่วยหายใจออกได้ เกณฑ์ที่บ่งชีว้ ่าผู้ปว่ ยควรเริ่มหย่าเครื่องช่วยหายใจจะครอบคลุมระบบ
หายใจท้ังหมด คอื ระบบประสาทและระบบกลา้ มเนอ้ื ที่ใช้ในการหายใจ ผปู้ ่วยที่ใชเ้ ครือ่ งชว่ ยหายใจทุกรายเม่ือ
อาการของโรคระบบทางเดินหายใจดี ควรประเมินทกุ เชา้ วา่ ผู้ป่วยควรหย่าเคร่อื งชว่ ยหายใจหรอื ไม่

ขนั้ ตอนการหยา่ เครื่องชว่ ยหายใจในผปู้ ว่ ยผูใ้ หญ่ ประกอบดว้ ย 3 ขั้นตอนสำคญั ไดแ้ ก่
1. การประเมนิ ความพรอ้ มในการหย่าเครอื่ งชว่ ยหายใจ (Assessment of readiness to wean) ควร
ทำการประเมินทกุ วันขณะตรวจเย่ยี มที่ผปู้ ่วยทใี่ ช้เคร่ืองช่วยหายใจ
2. การทดสอบการหายใจเอง (Spontaneous breathing trial) ให้ทำทุกรายที่ผ่านเกณฑ์การ
ประเมนิ ความพรอ้ มของการหย่าเครอ่ื งช่วยหายใจ
3. การถอดท่อชว่ ยหายใจ (Extubation)
หมายเหตุ : ต้องงดอาหารผู้ป่วย 6ชั่วโมงก่อนเริ่มการหย่าเครื่องช่วยหายใจ และ
2 ช่ัวโมง หลังถอดทอ่ ช่วยหายใจ

ข้ันตอนท่ี 1: เกณฑ์ในการประเมินวา่ ผู้ป่วยพร้อมสำหรับการหยา่ เครือ่ งช่วยหายใจ (Ready to
wean)
• โรคหรอื ภาวะทีท่ ำให้ต้องใช้เครือ่ งชว่ ยหายใจดีขนึ้
• ภาวะทาง metabolic หรือ electrolyte เช่น ระดับของ potassium, magnesium และ
phosphate อยใู่ นเกณฑ์ปกติ
• ค่าฮโี มโกลบิน ≥ 7 g/dl (ผลเลอื ดภายใน 1 สปั ดาห์ โดยผปู้ ว่ ยไม่มีภาวะอนื่ ท่ที ำใหซ้ ดี ลงกว่าเดิม)
• ผู้ป่วยมีแรงไอเพียงพอ และไม่มีปริมาณเสมหะที่มากเกินไป (ดูดเสมหะไม่บ่อยกว่า 2 ครั้ง
ตอ่ ชัว่ โมง)
• ระบบไหลเวยี นโลหติ คงที่ (mean arterial pressure ≥ 65 mmHg และ heart rate < 120 -140
/ min) และได้รับยากระตุ้นความดันโลหิต dopamine, dobutamine ในขนาด < 5 ug/kg/min หรืออยู่ใน
ดลุ พนิ จิ ของแพทย์
• การแลกเปลีย่ นก๊าซเพยี งพอ

- SpO2 ≥ 94% หรือ 88-92% ในผู้ป่วยที่มี underlying chronic respiratory disease
- ใช้ FiO2 ≤ 0.4 และ PEEP ≤ 8 cmH2O
- ไมม่ ี significant acidosis (pH ≥ 7.30) หรอื alkalosis (pH ≤ 7.55)
• ระดับความรู้สกึ ตัวดี (GCS ˃ 8) ยกเวน้ ผูป้ ่วยทางระบบประสาทอาจพิจารณาเป็นรายๆไป
• สมรรถภาพปอดของผปู้ ว่ ยดเี พยี งพอ

19

- อตั ราการหายใจ ≤ 35 ครง้ั ต่อนาที
- Rapid shallow breathing index # (f/VT) ˂ 105 ครัง้ ต่อลิตร หรอื minute ventilation
≤ 10 L / minขน้ั ตอนการหยา่ เครอ่ื งชว่ ยหายใจ
ห ม า ย เ ห ต ุ : # Rapid shallow breathing index (RSBI) = respiratory rate (breath/min)
÷ average tidal volume (liter) วัดโดย
1) ปลดผู้ป่วยออกจากเครือ่ งช่วยหายใจต่อปลายท่อช่วยหายใจเขา้ กับ spirometer ควรรอประมาณ
2-3 นาที ก่อนทำการวัดโดยจับเวลาให้ผู้ป่วยหายใจ 1 นาที วัด minute ventilation และอัตราการหายใจ
คำนวณโดย minute ventilation ÷ respiratory rate = average tidal volume (liter)
2) วดั จากเครอ่ื งชว่ ยหายใจในเครื่องชว่ ยหายใจท่ีสามารถวัดได้

ขั้นตอนที่ 2 : การทดสอบการหายใจเอง (spontaneous breathing trial) ให้พิจารณาทำทุกรายที่
ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ ความพรอ้ มของการหยา่ เครือ่ งช่วยหายใจ กอ่ นตัดสินใจถอดท่อชว่ ยหายใจเพื่อทดสอบ
ว่าผปู้ ว่ ยสามารถหายใจเองโดยไม่ตอ้ งใช้เคร่อื งช่วยหายใจไดเ้ พียงพอหรอื ไม่ โดยทำการทดสอบเป็นระยะเวลา
30 - 120 นาที ด้วยวธิ ใี ดวิธีหนง่ึ ดงั นี้

1. T - piece โดยใช้ oxygen flow 8 - 10 LPM หรอื L - piece โดยใช้ oxygen flow 1 - 5 LPM ใน
ผู้ป่วย hypoventilation เช่น COPD โดย keep SpO2 92 - 95%

2. Low level pressure support โดยการตงั้ pressure support 5 - 8 cmH2O
3. CPAP โดยการตง้ั CPAP 5 cmH2O เฝ้าระวังผ้ปู ว่ ยอย่างใกล้ชิดในช่วง 5 - 10 นาทีแรก
เกณฑก์ ารประเมนิ ว่าผู้ปว่ ยล้มเหลวจากการทดสอบการหายใจเองหรอื ไม่ ดงั น้ี
• อาการทางคลินกิ แยล่ ง เช่น ผปู้ ว่ ยกระสบั กระสา่ ย เหงอื่ แตก หรอื ซึมลง
• มีการใช้กล้ามเน้ือช่วยหายใจมากขึ้น
• ความดนั โลหิตเปล่ียนแปลงจากเดมิ รอ้ ยละ 20
• ชีพจรเปลี่ยนแปลงจากเดิมร้อยละ 20 หรือมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่เกิดข้ึนใหม่ เช่น Atrial
fibrillation (AF), Supraventricular tachycardia (SVT), Ventricular tachycardia (VT)
• หายใจเรว็ มากกว่า 35 คร้ังตอ่ นาที
• SpO2 ˂ 92% หรอื ในกรณที ่เี จาะ arterial blood gas ใหพ้ ิจารณาเป็นรายๆไป
• PaO2 ˂ 60 mmHg
• PaCO2 ˃ 50 mmHg
• pH ˂ 7.30
กรณที ี่ล้มเหลวจากการทดสอบการหายใจเองให้กลบั มาพิจารณาขนั้ ตอนท่ี 1 ใน 24 ช่วั โมง ถัดไป

20

ข้นั ตอนท่ี 3 : การถอดทอ่ ช่วยหายใจ ผูป้ ่วยทผ่ี า่ นการทดสอบการหายใจเองน้ันหมายถงึ ผ้ปู ่วยไม่
จำเป็นต้องได้รับการใช้เคร่อื งช่วยหายใจแล้ว อยา่ งไรก็ตามจำเปน็ จะต้องประเมินว่ามีความเสี่ยงต่อการเกดิ
Extubation failure หรอื ไม่ ซงึ่ มักเกดิ จากภาวะ laryngeal edema ดงั นน้ั ก่อนถอดทอ่ ช่วยหายใจอาจจะ
ตอ้ งพิจารณาประเมิน Cuff leak test โดยเฉพาะในรายทีม่ ปี ระวตั ิใส่ทอ่ ช่วยหายใจยาก ท้ังนี้ขึ้นอยูก่ ับ
ดุลพินจิ ของแพทย์

21

บรรณานุกรม

กนกพรรณ งามมุข, ศศมิ า กสุ มุ า ณ อยธุ ยา, วันเพ็ญ ภิญโญภาสกุล. “การดแู ลความ สะอาดชอ่ งปากใน
ผู้ปว่ ยวกิ ฤตเพ่ือป้องกนั การตดิ เชื้อปอดอักเสบจากการใช้เคร่ืองช่วยหายใจ: การพยาบาลตาม
หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์,” วชิรสารการพยาบาล 18 (กรกฎาคม 2559): 5-7.

สถาบนั บำราศนราดรู กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ . (2561). คมู่ อื วินิจฉยั การติดเช้ือใน
โรงพยาบาล. พมิ พ์คร้งั ท่ี 1. กรุงเทพฯ: อกั ษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์.

สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสุข. (2561). แนวทางปฏิบัติการปอ้ งกันปอด
อกั เสบ จากการใชเ้ ครอื่ งชว่ ยหายใจ [Ventilator-associated Pneumonia (VAP)]. พมิ พ์
คร้งั ท่ี 1. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพส์ ำนักงานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาต.ิ

สถาบนั บำราศนราดูร กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสขุ . (2556). คู่มอื ปฏิบัติการป้องกนั และควบคุม
การติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล. พิมพ์ครั้งท่ี 2. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่
ประเทศไทยจำกดั .

อะเคอ้ื อุณหเลขกะ. (2554). หลักและแนวปฏิบตั กิ ารปอ้ งกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล.
เชียงใหม:่ โรงพมิ พม์ ิ่งเมืองนวรตั น์.

อะเค้อื อุณหเลขกะ. (2561). แนวทางการป้องกันและควบคุมการตดิ เชือ้ ในโรงพยาบาล. พมิ พ์ครัง้ ท2ี่ .
เชียงใหม่ : โรงพิมพ์มิ่งเมอื งนวรตั น์.

อะเคอ้ื อณุ หเลขกะ. (2556). ระบาดวทิ ยาและแนวปฏบิ ัติในการป้องกนั การตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาล.
พมิ พ์คร้งั ท1ี่ . เชียงใหม:่ โรงพิมพ์ม่งิ เมอื งนวรัตน.์

Klompas M, Branson R, Cawcutt K, Crist M, Eichenwald EC, Greene LR, & et la.
(2022).Strategies to prevent ventilator-associated pneumonia, ventilator-
associated events, and nonventilator hospital-acquired pneumonia in acute-care
hospitals: 2022 Update. Infection Control & Hospital Epidemiology, 35(8): 915-936

Greene LR, Sposato K, Farber MR, Garcia RA & Fulton TM, Guide to the Elimination of
Ventilator-Associated Pneumonia. Association for professionals in infection control
and epidemiology, 2009: 32-40

Centers for Disease Control and Prevention. (2003). Ventilator-associated Pneumonia.
Retrieved 6 July 2022, from http://www.cdc.gov

Asia Pacific Society of Infection Control. Guidelines for the Prevention of Ventilator
Associated Pneumonia: 2013. Retrieved 6 July 2022, from http://www.asip.org

22

บรรณานกุ รม
ศนู ย์ปฏิบตั ิการฉกุ เฉนิ ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ กระทรวงสาธารณสุข.การใส่หน้ากากอนามัยให้ถูก
ประเภท. [สืบคน้ เม่อื วันท่ี16 ก.ค. 65]. จาก
http://healthydee.moph.go.th/view_article.php?id=681

สำนกั พฒั นาระบบบรกิ ารสขุ ภาพ กรมสนบั สนนุ บรกิ ารสขุ ภาพ. (2548). แนวทางการเฝา้ ระวังการติดเชื้อ
ในโรงพยาบาล. พิมพ์ครง้ั ท่ี 1. นนทบุรี: อักษรกราฟฟคิ แอนดด์ ไี ซน.์

กรมควบคุมโรค (2563). คู่มือ แนวทางการเลือกใชอ้ ปุ กรณค์ ้มุ ครองความปลอดภยั ระบบทางเดินหายใจ.
พมิ พค์ ร้ังท่ี 1. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจำกดั .


Click to View FlipBook Version