บทวเิ คราะห์ คณุ คา่
เรอื่ ง มหาเวสสนั ดร
ชาดก กณั ฑม์ ทั รี
ยพุ าพร
บทวเิ คราะห์ คณุ ค่า
เรอื่ ง มหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม์ ทั รี
บทวเิ คราะห์ คุณค่า เร่อื งมหาเวสสันดรชาดก กณั ฑม์ ทั รี
บทวิเคราะหจ์ ะแยกเป็น ๓ ด้าน ดังน้ี
๑. คุณค่าดา้ นเนอื้ หา
๒. คุณค่าดา้ นวรรณศิลป์
๓. คุณค่าด้านสังคม
คณุ คา่ ดา้ นเนอ้ื หา
๑. รูปแบบ
มหาเวสสนั ดรชาดก กัณฑ์มัทรีแตง่ ดว้ ยคา
ประพนั ธป์ ระเภทรา่ ยยาว นาด้วยคาภาษาบาลที อ่ นหนงึ่
แลว้ แตง่ ด้วยรา่ ยยาวมีคาบาลีแทรก เป็นการใชร้ ูปแบบคา
ประพนั ธ์ได้เหมาะสมกบั สาระสาคัญ ซง่ึ จะทาใหผ้ อู้ ่านมี
ความซาบซงึ้ ในความรักของผู้เป็นแม่ไดอ้ ย่างดียิ่ง
๒. สาระสาคัญ เปน็ การแสดงความรกั ของแมท่ ม่ี ตี ่อลกู ว่า
เป็นความรกั ทย่ี ิ่งใหญ่ การพลดั พรากจากลูกยอ่ มนาความ
ทุกข์โศกมาสูแ่ มอ่ ยา่ งยากทจี่ ะหาสง่ิ ใดเปรียบได้
๓. โครงเรือ่ ง มกี ารวางโครงเรื่องได้ดีโดยผกู เร่ืองให้
เทพบตุ ร ๓ องค์นิรมิตกายเป็นสตั วร์ า้ ยมาขวางนางมัทรีไว้
จนกลับอาศรมไดท้ ันเวลาทพ่ี ระเวสสนั ดรจะให้ทานสอง
กุมารใหก้ ับพราหมณช์ ูชก เม่ือนางกลบั มาแลว้ ไม่พบสอง
กมุ ารก็โศกเศร้าเสยี พระทยั จนสลบไป ตอ่ มาภายหลังได้
ทรงทราบวา่ พระเวสสันดรทรงให้ทานสองกุมารใหแ้ ก่
พราหมณ์ชูชก นางมทั รกี ค็ ลายความเศรา้ โศกพระทัย และ
เต็มพระทัยอนุโมทนาในบตุ รทานของพระเวสสันดร
๔. ตัวละคร มีลักษณะตัวละครสาคัญดงั นี้
พระเวสสันดร มีลกั ษณะสาคัญดังน้ี
๑) มีคณุ ธรรมสูงเหนอื มนุษย์ ยากทมี่ นษุ ยท์ ัว่ ไปจะ
ทาได้ ได้แก่การบริจาคบตุ รทาน คือพระชาลแี ละ
พระกัณหา ซึ่งเปรียบเสมอื นแก้วตาดวงใจของพอ่ แมใ่ ห้เป็น
ทานแกช่ ูชก นบั เปน็ การบาเพญ็ ทานอนั ยงิ่ ใหญ่ประการ
หนึ่ง
๒) มีความเข้าใจในธรรมชาตขิ องมนุษย์ เชน่ ทา
การให้นางมทั รตี ้องเจ็บพระทัย เพื่อจะได้คลายความเศร้า
โศกที่พระกุมารทั้งสองหายไป เป็นการใชจ้ ติ วทิ ยาเพือ่ ให้
นางมทั รีคลายความเศรา้ โศก มเิ ชน่ นน้ั นางอาจจะเศร้าโศก
จนเกิดอนั ตรายได้
นางมัทรี มีลักษณะสาคญั ดงั น้ี
๑) มีความจงรักภกั ดีต่อพระสวามี
๒) เปน็ ยอดกลุ สตรี ปฏบิ ตั หิ น้าทภี่ รรยาและ
มารดาได้อยา่ งสมบูรณ์ครบถ้วน
๓) มีความอดทน ไมย่ ่อทอ้ ตอ่ ความยากลาบาก
๔) มีจิตอันเปน็ กศุ ล จงึ อนุโมบตุ รทานของพระเวสสันดร
๕. ฉากและบรรยากาศ
ฉากเป็นปา่ บรเิ วณอาศรมของพระเวสสันดร ผแู้ ต่ง
บรรยายบรรยากาศได้สมจริง และเหมาะสมสอดคลอ้ งกับ
เนือ้ เรอื่ ง ดังปรากฏบทอาขยานที่นกั เรยี นทอ่ งจา
๖. กลวิธีในการแตง่
แต่งดว้ ยคาประพนั ธ์ประเภทรา่ ยยาวทม่ี ีคาถาบาลี
นา เป็นตอนทีว่ า่ ด้วยนางมทั รีเขา้ ปา่ ไปหาผลไม้ กลบั มา
ไมพ่ บพระกุมารผูเ้ ป็นลกู จึงออกตามหา
ผแู้ ต่งเน้นใหผ้ ู้อา่ นเกดิ ความซาบซ้ึงในการ
พรรณนาความรักของแม่ทีม่ ีตอ่ ลกู รสวรรณคดที ่เี ด่นชดั
ทสี่ ดุ คอื สัลลาป๎งคพิสัย รองลงมาคือ พิโรธวาทงั
ซึ่งปรากฏในตอนท่ีพระเวสสนั ดรทรงเหน็ นางมทั รเี ศร้าโศก
จึงคิดหาวิธีตัดความเศร้าโศกน้นั ด้วยการกล่าวบริภาษนาง
มัทรวี า่ คิดนอกใจไปคบกับชายอ่นื
นางมัทรีทรงเจบ็ พระทยั เลยตดั พ้อพระเวสสนั ดร
ก่อนจะออกตามหาพระโอรสพระธิดา ด้วยพระวรกายท่อี ดิ
โรยจนสลบไป ตอนนเ้ี ป็นช่วงท่สี ะเทอื นอารมณแ์ ละบบี คนั้
หัวใจมาก ส่งผลใหผ้ ้อู ่านเกดิ ความรู้สกึ สงสารและเห็นใจ
นางมทั รีทีต่ อ้ งสญู เสีย แตเ่ มอ่ื ทราบความจริงนางก็เข้าใจ
คลายความเศร้าโศกและอนโุ มทนาทานบารมกี บั พระ
เวสสนั ดร ผู้อา่ นก็เกิดความปตี ิใจ นับว่าผู้แต่งได้ใชก้ ลวธิ ี
ในการนาเสนอไดอ้ ยา่ งสะเทือนอารมณ์ และน่าสนใจ
คุณค่าดา้ นวรรณศิลป์
การสรรคา กวไี ดเ้ ลอื กสรรคาที่สือ่ ความคิดไดด้ ดี ังน้ี
การใชถ้ ้อยคาให้เกดิ อารมณส์ ะเทือนใจ กวเี ลือกใช้
คาได้เหมาะสมกบั อารมณท์ ่ตี ้องการจะถา่ ยทอด ดัง
ตวั อย่างต่อไปน้ี
๑) การใช้ถ้อยคาราพึงราพัน เปน็ การราพงึ ราพนั
บรรยากาศผา่ นตวั ละครท่ไี ด้อารมณค์ วามสะเทือนใจ และ
ตรงใจผู้เป็นแมใ่ นชวี ิตจรงิ ในทกุ ยคุ ทุกสมัย เปน็ การเพมิ่
ความรักความผู้พันให้ผ้อู ่านและผฟู้ ๎งทเ่ี ปน็ แมแ่ ละลูกได้เป็น
อยา่ งดียิง่ ดงั น้ี
“...เม่ือเช้าแม่จะเข้าสูป่ ่า พ่อชาลีแม่กณั หายังทูลส่ัง
แม่ยังกลับหลงั มาโลมลูบจบู กระหมอ่ มจองเกลา้ ทง้ั สองรา
กล่นิ ยงั จบั นาสาอยรู่ วยร่ืน....ใครจะดอกพระศอเสวยนม
ผทมดว้ ยแม่เล่า ยามเมือ่ แมจ่ ะเข้าทีบ่ รรจถรณ์ เจ้าเคย
เรียงหมอนนอนแนบข้างทกุ ราตรี แตน่ ีแ้ มจ่ ะกลอ่ มใครให้
นทิ รา...”
๒) การใช้ถ้อยคาสานวนเชิงตดั พ้อ ให้ให้เกิด
อารมณ์สงสารเวทยาและบบี คน้ั จิตใจผู้อา่ นผู้ฟง๎ เป็นอยา่ งยง่ิ
ดงั นี้
“....อกของใครจะอาภพั ยบั พิกลเหมือนอกของมัทรี
ไมม่ ีเนตร นา่ ทจ่ี ะสงสารสังเวชโปรดปราณวี ่ามทั รีน้ีเป็น
เพื่อนยากอยจู่ ริงๆ ชา่ งค้อนติงปรภิ าษณาไดล้ งคอไม่คิด
เลย พระคุณเอ่ยถึงพระองคจ์ ะสงสยั กน็ า้ ใจของมทั รนี ี้
กตเวที เปน็ ไมเ้ ทา้ กา้ วเข้าสทู่ ่ที างทดแทน ......อปุ มา
เหมือน สดี าอันภักดตี ่อสามรี ามบัณฑิต ปานประหนึ่งวา่
ศิษยก์ บั อาจารย์ พระคณุ เอ่ยเกล้ากระหม่อมฉานทาผดิ แต่
เพยี งน้ี เพราะว่าลว่ งราตรจี ่ึงมีโทษ ขอพระองคท์ รงพระ
กรณุ าโปรด ซง่ึ โทษโทษานโุ ทษกระหม่อมฉันมทั รี แต่คร้งั
เดยี วนีเ้ ถิด”
๓) การใชแ้ สดงอารมณ์หึงหวงให้เจ็บแค้นเพอ่ื ดับ
ความโศกเศรา้ ใหเ้ กิดอารมณส์ งสารเวทยาและบบี คน้ั จติ ใจ
ผอู้ ่านผู้ฟง๎ เป็นอยา่ งยงิ่ ดังนี้
“....จาจะเอาโวหารการหึงเขา้ มาหักโศกใหเ้ สือ่ มลง
จึ่งเออ้ื นโองการตรสั ประภาษว่า (ดูกรนางนาฏ พระนอ้ งรัก
เจา้ ผู้มพี กั ตรอ์ นั ผุดผอ่ งเสมือนหน่ึงเอาน้าทองมาทาบทบั
ประเทอื งผวิ ราวกะว่าจะลอยล่ิวเล่อื นลงจากฟ้า ใครได้เหน็
เป็นขวัญตาเต็มจะหลงละลายทุกข์ปลุกเปลื้องอารมณช์ าย
ใหเ้ ชยชน่ื จะนง่ั นอนเดินยืนกต็ ้องอย่าง) พร้อมด้วย
เบญจางคจรติ รปู จาเริญ โฉมประโลมโลกล่อแหลมวิไล
ลักษณ์ ประกอบดว้ ยเชื้อศักด์ิสมมุตวิ งศพ์ งศ์กษตั รา เออก็
เม่อื เชา้ เจ้าจะเข้าปา่ นา่ สงสารปานประหนึ่งว่าจะไปมไิ ด้ ทา
ร้องไห้ฝากลกู มริ แู้ ล้ว คร้นั คลาดแคลว้ เคล่ือนคล้อยเขา้ สู่ดง
ปานประหนึ่งว่าจะหลงลืมลูกสละผวั ตอ่ มดื มัวจงึ่ กลบั มา ทา
เป็นบีบน้าตาตีอกว่าลกู หาย ใครจะไมร่ ู้แยบคายความคิด
หญงิ ถ้าแมน้ เจ้าอาลยั อยดู่ ว้ ยลูกจริง ๆ เหมือนวาจา กจ็ ะ
รบี กลบั เขา้ มาแตว่ ่วี ันไมท่ นั รอน เออนเี่ จา้ เท่ียวพเนจรนอน
ตามสนกุ ใจ ชมนกชมไมใ้ นไพรวนั สารพันท่ีจะมี ทงั้ ฤๅษสี ทิ ธ์
วิทยาธรคนธรรพ์ เทพารกั ษ์ผูม้ ีพกั ตร์อันเจริญ เหน็ แล้วก็น่า
เพลดิ เพลินไม่เมนิ ได้”
๔) การใช้คาซา้ และกล่มุ คาที่มีพื้นเสียงเดยี วกนั ดังน้ี
“....อกแมน่ ี้ให้ออ่ นหิวสดุ ละหอ้ ย ทั้งดาวเดือนก็
เคลือ่ นคล้อยลงลับไม้ สดุ ท่แี มจ่ ะตดิ ตามเจ้าไปในยามนี้
ฝงู ลงิ ค่างบ่างชะนีท่ีนอนหลับ ก็กล้ิงกลบั เกลือกตวั อยู่
ย้ัวเยีย้ ทั้งนกหกกง็ ัวเงยี เหงาเงยี บทุกรวงรงั แต่แมเ่ ท่ียว
เซซงั เสาะแสวงทกุ แห่งห้องหิมเวศ ท่ัวประเทศทกุ ราวปา่
สุดสายนยั นาทีแ่ มจ่ ะตามไปเล็งแล สุดโสตแลว้ ท่แี ม่จะ
ซับทราบฟง๎ สาเนียง สุดสรุ เสียงที่แม่จะร่าเรียกพไิ รรอ้ ง
สุดฝีเท้าที่แม่จะเยื่องยอ่ งยกย่างลงเหยียบดิน กส็ ดุ สน้ิ สุด
ปญ๎ ญาสุดหาสุดค้นเหน็ สุดคิด จะไดพ้ านพบประสบรอย
พระลูกน้อยแตส่ กั นดิ ไม่มเี ลย ”
๒. การใชโ้ วหาร กวีไดเ้ ลอื กใช้สานวนภาษาก่อให้เกดิ
จนิ ตภาพ ดงั น้ี
๒.๑ การใช้อุปมาโวหารท่ีแสดงความเศรา้ โศกของ
นางมัทรจี นสลบไป เป็นจดุ เดน่ ของกัณฑ์มัทรีที่ทาให้ผ้อู า่ น
เกดิ อารมณส์ ะเทอื นใจดว้ ยความสงสาร การใช้ถ้อยคา
แสดงความสามารถของกวใี นการประพันธไ์ ดอ้ ย่างชดั เจน
ดงั ตัวอยา่ ง
“...ควรจะสงสารเอ่ยด้วยนางแกว้ กัลยาณี นอ้ มพระเก
ศลี งทูลถามหวังจะติดตามพระลูกรกั ทัง้ สองรา กราบถวาย
บงั คมลาลุกเล่อื นเขยือ้ นยกพระบาทเยื้องย่าง พระกายนางให้
เสยี วสนั่ หวนั่ ไหวไปทง้ั องค์ ดุจชายธงอันตอ้ งกาลงั ลมอยลู่ ว่ิ ๆ
สิ้นพระแรงโรยเธอโหยหิวระหวยทรวง พระศอเธอหงบุ ง่วง
ดวงพระพักตร์เธอผดิ เผอื ดใหแ้ ปรผนั จะทูลสัง่ ก็ยังมทิ ันท่ีวา่
จะทลู เลย แต่พอตรสั วา่ พระคุณเจ้าเอย๋ คาเดียวเท่าน้นั ก็หาย
เสียงเอียงพระกายบ่ายศโิ รเพฐน์ พระเนตรหลับหับพระ
โอษฐล์ งทันที (วิสํฺญี หตุ วฺ า) นางกถ็ งึ วิสัญญีสลบลงตรงหนา้
ฉาน ปานประหน่งึ ว่าพมุ่ ฉตั รทองอันต้องสายอัสนฟี าดขาด
ระเนนเอนแลว้ กล็ ้มลงตรงหนา้ พระทน่ี ่ังเจา้ นัน้ แล
๒.๒ การใช้คาอา้ งอิงสานวนสุภาษิต เป็นการใชถ้ ้อยคา
ให้เกิดแง่คิดกบั ผู้อ่านและผ้ฟู ง๎ ได้เป็นอยา่ งดี ดังน้ี
“...โอ้พระจอมขวญั ของแมเ่ อ่ย เจ้ามิเคยได้ความ
ยากยา่ งเท้าลงเหยยี บดิน รนิ้ ก็มิไดไ้ ต่ ไรมิได้ตอม...
....อกเอย๋ จะอยไู่ ปไยใหท้ นเวทนา อปุ มาเสมือนหน่ึง
พฤกษาลดาวัลยย์ อ่ มจะอาสัญลงเพราะลกู เป็นแท้เที่ยง
.... อปุ มาเสมือนหนึ่งภุมรนิ บนิ วะว่อน เทีย่ วซบั ซาบ
เอาเกสรสุคนธมาเลศ พบดอกไมอ้ นั วิเศษต้องประสงค์ หลง
เคล้าคลึงรสจนลืมรัง เข้าเถอื่ นเจ้าลืมพร้าได้หนา้ เจา้ ลืมหลัง
..”
คณุ คา่ ดา้ นสังคม
๑. สะทอ้ นค่านยิ มเกย่ี วกับสงั คมไทย ในสมัยโบราณ
ถือวา่ ภรรยาเป็นทรพั ยส์ มบตั ิของสามี สามีมสี ทิ ธ์ิเหนอื
ภรรยาทุกประการ ถ้าสามเี ป็นกษัตรยิ ์ อานาจนน้ั กม็ ากขนึ้
ดงั คาทีพ่ ระเวสสนั ดรตรัสแกน่ างมัทรวี ่า
“...เจ้าเปน็ แตเ่ พยี งเมยี ควรหรือมาหม่ินได้ ถ้าแม้น
พอี่ ยใู่ นกรุงไกรเหมอื นแตก่ อ่ นเก่า หากว่าเจ้าทาเชน่ นี้ กาย
ของมัทรีก็จะขาดสะบัน้ ลงทันตาด้วยพระกรเบือ้ งขวาของ
อาตมาน้แี ลว้ แล..” นอกจากนีผ้ ู้หญิงจะต้องปรนนิบัตสิ ามี
ซื่อสัตย์ต่อสามี ส่วนลกู น้ันถอื เปน็ สมบตั ิของพอ่ แม่ ตอ้ ง
เครารพเชือ่ ฟง๎ และพอ่ แม่สามารถยกลกู ใหผ้ ูอ้ นื่ ได้
๒. สะทอ้ นใหเ้ หน็ ธรรมชาตขิ องมนุษย์ ความรกั นามา
ซึง่ ความทกุ ข์ ความโศกเศร้าเสยี ใจเช่น เมื่อลกู พลัดพราก
จากไปพอ่ แมย่ ่อมมคี วามทุกข์เพราความรกั ความเป็นหว่ ง
กังวล โศกเศร้า เมื่อคิดว่าลกู ของตนล้มหายตายจากไป
แตค่ วามโศกเศร้าเสียใจจะบรรเทาลงไดเ้ มอื่ มคี วามโกรธ
เจ็บใจ หรือเมือ่ เกิดความเข้าใจในสิง่ ทผ่ี ู้อื่นทา
ตวั อย่างเช่น ตอนท่ีพระเวสสันดรกล่าวบรภิ าษ
นางมทั รี เพ่อื ใหน้ างมัทรจี ึงโกรธจนลมื ความโศกเศร้า
“...สมเดจ็ พระราชสมภาร เมือ่ ได้สดับสารพระมัทรี
เธอแสนวโิ ยคโศกศลั ยส์ ดุ กาลัง ถงึ แมน้ จะมิตรัสแกน่ างม่งั
จะมิเป็นการ จาจะเอาโวหารการหึงเข้ามาหักโศกใหเ้ สอ่ื มลง
จึง่ เออื้ นโองการตรสั ประภาษว่า....”
๓. สะท้อนความเชอื่ ของสังคมไทย จากข้อความ
ตอนที่พระนางมัทรอี อกสปู่ า่ เพอ่ื หาเก็บผลไม้ ผลไม้ก็เพยี้ น
ผดิ ปกติ ซงึ่ ถือวา่ เป็นลางร้าย จากความในบทประพนั ธ์วา่
“...เหตไุ ฉนไมท้ ่ีมีผลเป็นพ่มุ พวง ก็กลายกลบั เป็น
ดอกดวงเดยี รดาษอนาถเนตร แถวโนน้ นนั่ แก้วเกดพิกลุ
แกมกบั กาหลง ถัดไปกส็ ายหยดุ ประยงคแ์ ลยมโดย ยาม
พระพายพัดเคยร่วงโรยรายดอกลงมูนมอง แม่ยังได้เกบ็ มา
ร้อยกรองไปฝากลกู เมอ่ื วันวาน กเ็ พ้ยี นผดิ พิสดารเป็นพวง
ผล สพฺพา มุยหฺ นตฺ ิ เม ทิสา ท้งั แปดทศิ กม็ ืดมวั ทว่ั ทกุ แห่ง
ทัง้ ขอบฟ้ากด็ าดแดงเปน็ สายเลอื ด ไมเ่ วน้ วายหายเหือด
เปน็ ลางรา้ ยไปรอบข้าง ทกขฺ ิณกฺขิ นยั น์ตาขวากพ็ ร่างๆอยู่
พรายพร้อย ดจู ิตใจของแม่นยี้ งั น้อยอยูน่ ิดเดียว ทง้ั อินทรียก์ ็
เสยี วๆ ส่ันระรวั รกิ สาแหรกคานบนั ดาลพลิกดลงจากบ่า
ทง้ั ขอนอ้ ยในหัตถาทเ่ี คยถอื กห็ ลดุ หล่นลงจากมือไม่เคยเป็น
เหน็ อนาถ....”
แปลความเปน็ ลางร้าย ๙ ประการ ได้แก่
๑. ไม้ผลกลับกลายเปน็ ไม้ดอก
๒. ไมด้ อกกลบั กลายเป็นไมผ้ ล
๓. มดื มัวไปท่ัวทั้ง ๘ ทิศ คอื อุดร อีสาน บูรพา อาคเนย์
ทักษิณ หรดี ปจ๎ จมิ พายัพ
๔. เขม่นตาขวา
๕. ใจเหมอื นจะขาด
๖. ขอบฟ้ากลายเป็นสีแดงสายเลอื ด
๗. กายร้สู ึกเสียวๆ สั่นๆ
๘. ขอที่ใช้สอยผลไม้หลุดลงจากมือ
๙. ไม้คานพลิกลงจากบ่า
๔. สะทอ้ นเกี่ยวกบั ขนบธรรมเนียมประเพณี
อนั เป็นประเพณีทีเ่ กยี่ วเน่ืองกบั พระพทุ ธศาสนา โดยเร่อื ง
มหาเวสสนั ดรชาดก เปน็ ชาดกทพ่ี ทุ ธศาสนิกชนนยิ มนามา
เล่าขานจดั เปน็ งานเทศน์มหาชาตกิ ันทุกปมี าตง้ั แตค่ ร้ังอดตี
โดยจัดสถานท่ใี ห้สอดคล้องกบั เร่ืองราวใหเ้ ป็นป่าท่อี ุดมไป
ดว้ ยไม้ผล บางแห่งก็จดั ตกแตง่ ภาชนะใสเ่ ครือ่ งกัณฑเ์ ทศน์
เป็นรูปต่างๆ ท่สี อดคลอ้ งกบั เน้อื เร่ืองกณั ฑ์นั้นๆ เชน่
ทารปู เรอื สาเภาบชู ากัณฑก์ ุมาร จดั เปน็ รูปกระจาดใหญ่
ใส่เสบยี งอาหารและผลไม้ตา่ งๆ บชู ากณั ฑ์มหาราช
บางแหง่ กจ็ ัดกณั ฑ์เทศนก์ ันอยา่ งใหญโ่ ตในเชิงประกวด
ประชนั กัน มีการบรรเลงดนตรีไทยประกอบเพือ่ ช่วยสรา้ ง
อารมณ์ร่วมใหก้ บั ผูฟ้ ๎งเทศน์ ท้งั นพี้ ระสงฆ์ทมี่ าเปน็ ผเู้ ทศน์
จะเป็นพระสงฆ์ท่ีเทศได้อยา่ งไพเราะ ใช้ภาษาง่ายๆ เพอื่ ให้
เข้าถึงผู้ฟง๎ ทุกเพศทุกวัย บางครั้งก็มีการเทศนแ์ หลด่ ว้ ย
ปจ๎ จบุ นั เทศน์มหาชาติจัดเป็นงานประจาปขี องทุกท้องถ่ินท่วั
ทุกภาในประเทศไทย
ข้อคิดจากเร่ือง
๑. ความรักของแมท่ ี่มีตอ่ ลกู นนั้ ยิ่งใหญ่นัก แนวคดิ
พระนางมทั รมี ีความรกั ในสองกุมารยิ่งนกั พระนางทมุ่ เททง้ั
กาลังกาย กาลังสตปิ ๎ญญาท่มี เี พอ่ื คน้ หาสองกมุ ารจนหมด
ส้ินเรย่ี วแรง และสนิ้ เสยี งท่ีร่ารอ้ งเรียกหา พระนางมัทรดี นั้
ด้นตามหาสองกมุ ารในปา่ โดยมิไดพ้ ร่นั กลวั ต่อภยนั ตรายเลย
ถึง ๓ รอบ จนกระท่งั หมดกาลังและสน้ิ สตไิ ปในท่สี ุด
๒. ผทู้ ่ปี รารถนาสง่ิ ต่างๆ อนั ยง่ิ ใหญ่จะตอ้ งทาด้วย
ความอดทนและเสยี สละอันย่ิงใหญด่ ้วย แนวคดิ เฉกเชน่
พระเวสสันดรที่ทรงปรารถนาพระโพธญิ าณ จึงตอ้ งทรง
บาเพญ็ บตุ รทานทีถ่ ือว่าเปน็ ทานที่สงู สง่ พระองคต์ อ้ งทรง
ตดั ความอาลยั รกั ทมี่ ตี ่อพระลกู รกั ท้งั สอง ท้ังยงั ทรงต้องตดั
ความรกั ความสงสารท่ีมตี ่อพระมเหสีมัทรีดว้ ย ท้งั ๆท่ใี น
พระทัยน้นั ตอ้ งเจบ็ ปวดยิง่ นกั เพราะไหนจะทรงห่วงใยพระ
ลกู รัก และยังตอ้ งเสแสร้งแกล้งทาเป็นตัดพ้อตอ่ ว่าพระนาง
มทั รีดว้ ยการกลา่ วบริภาษท่รี นุ แรง และยงั ต้องทรงทนทา
เฉยเมยไมแ่ ยแสกับการตดั พ้อต่อว่าครา่ ครวญของพระนาง
มทั รีดว้ ย
๓. ความซ่อื สัตยร์ ะหว่างสามภี รรยาทาใหช้ ีวิต
ครอบครวั มีความสุข แนวคดิ เฉกเชน่ พระนางมัทรีมีความ
จงรกั ภักดตี อ่ พระเวสสันดรยิ่งนกั ไม่วา่ พระเวสสนั ดรจะทรง
กล่าวบริภาษพระนางอยา่ งรุนแรงกต็ าม อาทิ หาว่าพระนาง
คบชู้สชู่ าย แมจ้ ะสร้างความเจบ็ ช้าน้าใจแก่พระนางยง่ิ นกั
แตพ่ ระนางมทั รีก็มิได้ทรงถอื โกรธ ทั้งยังกลา่ วช้ีแจงเหตุผล
ตามความเปน็ จริงอีกด้วย
๔. ผมู้ ปี ญ๎ ญายอ่ มแกไ้ ขเหตุการณ์เฉพาะหนา้ ได้ดี
แนวคดิ เห็นไดจ้ ากพระเวสสันดรท่ีทรงมปี ฏิภาณไหวพริบ
เป็นเยี่ยมในการแกป้ ๎ญหาเฉพาะหน้า เพราะเมอื่ ทรงเหน็ วา่
พระนางมทั รีกาลังมแี ต่ความทกุ ขเ์ ศรา้ โศกที่ตามหาสอง
กุมารไม่พบ พระองค์จึงทรงเบยี่ งเบนความคิดและอารมณ์
ทกุ ข์โศกของพระนางด้วยการทาเป็นตัดพอ้ ต่อวา่ ด่าทอท่ี
พระนางมทั รีกลับมาถึงพระอาศรมคา่ ๆ มืดๆ ทง้ั ๆ ทีไ่ มเ่ คย
เป็นมากอ่ นซงึ่ ก็ทาให้พระนางมัทรีบรรเทาความทุกข์โศกลง
เพราะความนอ้ ยเนือ้ ต่าใจทถ่ี ูกตอ่ ว่าทง้ั ๆ ทไี่ มม่ คี วามผิด ท้งั
ยงั ตอ้ งคิดถ้อยคากราบทลู ถงึ เหตุผลทแี่ ทจ้ รงิ ให้พระสวามี
ทรงทราบอกี ด้วยและคร้นั พระเวสสันดรทรงเหน็ พระนาง
สร่างโศกแล้วจงึ ทรงเล่าความจริงใหฟ้ ๎ง
๕. การบรจิ าคบตุ รทานงบารมเี ปน็ สงิ่ ทย่ี ากยิ่งท่ีใคร
จะกระทาไดง้ ่ายๆ แนวคิด เฉกเช่นพระเวสสันดรทที่ รง
กระทาดว้ ยการใหบ้ ุตรทงั้ สองแกช่ ชู กท้ังๆ ที่ทรงรูว้ า่ ชูชกจะ
นาไปเป็นข้ารบั ใช้ พระองคก์ ็ยงั มพี ระทยั อันแน่วแน่ท่ีจะทรง
กระทา และอกี ทง้ั พระนางมทั รีเมอ่ื ทรงทราบวา่ พระ
เวสสันดรไดท้ รงบาเพญ็ ทานดงั กลา่ ว พระนางกย็ งั ทรงยนิ ดี
รว่ มอนโุ มทนาด้วยอีก