เอกสารประกอบการเรียนรายวิชา ท33101 ภาษาไทย
ระดบั ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี ๖
ความงามทางภาษา
ความงามทางภาษา
ความงาม หมายถึง ลักษณะท่ีเห็นและชวนให้ช่ืนชมหรือพึงใจ มีลักษณะ
สมบูรณ์ดี เปน็ ไปตามต้องการ
ความงามทางภาษา หมายถึง การใช้ภาษาที่ก่อให้เกิดความชื่นชมยินดี
เพลิดเพลนิ ใจแกผ่ ้ใู ช้ภาษาและผ้รู ับภาษา
ภาษาทใ่ี ช้เพอ่ื สรรคส์ ร้างความงดงามให้กับบทประพนั ธ์มหี ลักสาคญั
๓ ประการ ไดแ้ ก่
๑. การสรรคา
๑.๑ เลอื กใช้คาใหถ้ กู ต้องตรงตามความหมายท่ีต้องการ
คาบางคามีรูปหรือเสียงใกล้เคียงกัน แต่มีความหมายต่างกัน มักใช้
สบั สน ทาใหเ้ ขา้ ใจความหมายผิดไป เช่น วางใจ ไว้ใจ กักกัน กักขงั อนุญาต อนุมตั ิ
ตวั อย่าง
ตารวจพาผูต้ ้องหาไปกักกันไว้ในเรือนจา เพอื่ รอการพิจารณาคดี
>> ต้องเปล่ยี นคาวา่ กักกัน เปน็ กกั ขัง เพราะคาว่า กักกัน หมายถงึ
กาหนดเขตให้อยู่ สว่ นกักขัง หมายถึง บงั คับใหอ้ ยใู่ นสถานที่อันจากัด
๑.๒ เลือกใชค้ าทมี่ คี วามหมายสอดคลอ้ งกบั บรบิ ท ซ่ึงไดแ้ ก่ คาหรอื
ขอ้ ความแวดล้อม
๑.๓ เลอื กใชค้ าไวพจน์ให้สอดคล้องกบั บริบท
***คาไวพจน์ คือ คาที่เขียนต่างกัน แต่มีความหมายเหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน
เรียกอีกอยา่ งหน่ึงว่า คาพอ้ งความหมาย เชน่
>> นก - ปกั ษี วิหค ศกุน ปกั ษา บุหรง
>> ชา้ ง - กุญชร คช หสั ดิน ไอยรา กรี
๑.๔ เลือกใชค้ าใหเ้ หมาะสมกบั ลกั ษณะของบทประพันธ์ เชน่ คาวา่ นา อาจใช้
คาวา่ คงคา
๑.๕ เลอื กใช้คาโดยคานงึ ถึงเสยี ง
➢คาเลียนเสียงธรรมชาติ คือคาเลียนเสียงธรรมชาติอาจเป็นเสียงคน
สัตว์ หรือสง่ิ ของ
➢คาทเ่ี ล่นทีเ่ สยี งวรรณยุกต์ เชน่
โคแดงแรงแร่งแร้ง รุยราย
จับไผ่ไทรเทรงิ หวาย หวา่ ยหว้าย
ควายเส้ยี วเส่ียวเสียวปลาย เขาโค่ง
หวงหว่ งหว้ งนากา้ ย เกีย่ วเกี้ยวเครยี มครมึ
(โคลงอกั ษรสามหมู่ ของ พระศรีมโหสถ)
➢คาท่ีเล่นเสียงสมั ผสั เช่น ในนา้ มปี ลา ในนามีขา้ ว / เพอ่ื นจูงวัวไปคา้
ข่มี ้าไปขาย เปน็ ต้น
>> คำสมั ผสั สระและคำสมั ผสั พยญั ชนะ โดยปกตเิ ป็นคำบงั คบั ใน
บทรอ้ ยกรอง แตก่ ็มีในภำษำพดู และภำษำเขียน เป็นลกั ษณะของ
สภุ ำษิต สำนวน คำพงั เพย คำขวญั ช่ือเฉพำะ
➢คาพ้องรูปพ้องเสียง คือ คา้ ที่เขียนและมีเสียงพยัญชนะและสระเหมือนกัน
แตม่ คี วามหมายตา่ งกนั
➢คาซ้า คือ คาทีส่ รา้ งขนึ ใหมโ่ ดยซาเสยี งของคาเดิม เม่ือใช้ในร้อยแก้วจะใช้ไม้ยมก
แทนคาหลัง เช่น จรงิ จริง >> จริง ๆ เร่ือยเร่ือย >> เร่ือย ๆ เป็นต้น สาหรับ
ร้อยกรองเขียนคาซาเต็มรูปคา เช่น จริงจริง เรื่อยเรื่อย เป็นต้น ***คาซาทาให้
เกดิ เสียงไพเราะยิง่ ขนึ แต่ความเนน้ หนกั ของความหมายลดลง
➢เสยี งหนกั - เบา
คาเสยี งหนัก คือ คาทอี่ อกเสียงเต็มเสยี ง
คาเสียงเบา คือ คาที่ออกเสยี งไม่เต็มเสียง
สาหรับบทรอ้ ยกรองประเภทฉันท์ คาเสียงหนกั เรยี กว่า คาครุ คาเสยี งเบา
เรียกวา่ คาลหุ
๒. การเรียงคา
๒.๑ เรียงข้อความท่ีมีสาระสาคัญไว้ตอนท้าย เช่น แม้ผมเรียนไม่เก่ง
แตผ่ มเป็นคนดี
๒.๒ เรยี งข้อความทีม่ ีความสาคญั เท่า ๆ กัน คูเ่ คียงกันไป
เชน่ ไทยชว่ ยไทย กินของไทย ใช้ของไทย เท่ียวเมืองไทย
๒.๓ เรียงใจความจากความสาคัญน้อยไปยังความสาคัญมากข้ึน
ตามลาดับขนั้
เช่น ครูสรา้ งคน เยาวชนสร้างชาติ ครุศาสตร์สรา้ งครู
๒.๔ เรียงใจความให้หนักแน่นข้ึนไปตามลาดับ แต่คลายลงในตอนท้ายอย่าง
ฉบั พลนั หรือจบลงด้วยสิง่ ที่ดอ้ ยกวา่ อย่างพลิกความคาดหมาย
เช่น
ฉนั สัญญาจะตามเธอทกุ หนแหง่ แตม่ คี นกัดกันฉนั เอาไว้
จาตอ้ งพรากจากเธอเศร้าเสียใจ ‘รรี ีขา้ วสาร’ รอบต่อไปเล่นใหม่เอย
๒.๕ เรียงถ้อยคาให้เป็นประโยคคาถามเชิงวาทศิลป์ (คาถามที่ไม่ต้องการคาตอบ
หรือทราบคาตอบอยแู่ ลว้ ) เช่น ใครไมอ่ ยากรวยบา้ ง เปน็ ต้น
๓. การใช้โวหารภาพพจน์
โวหาร คือ ศิลปะการใช้ถ้อยค้าท่ีก่อให้เกิดจินตนาการ กระทบอารมณ์และ
ความรู้สึก ซึ่งต่างจากการใช้ถ้ อนค้าตรงไปตรงมา โดยท่ีโวหารนัน
เม่ือกล่าวถึงสง่ิ หน่งึ จะมคี วามหมายอีกสิ่งหน่ึง เพ่อื เปน๋ การขยายความให้ชดั เจนขึน
๓.๑ อุปมา คือ การเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเหมือนกับอีกสิ่งหน่ึง โดยใช้ความว่า
เหมอื น เสมอื น ประหนึง่ ดจุ ราว ปูน ปาน ดงั ดัง่ เพียง เพยี ง เป็นต้น
เชน่ >> อนั ควำมคดิ วทิ ยำเหมอื นอำวธุ เป็นตน้
๓.๒ อุปลักษณ์ คือ การเปรียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหน่ึง โดยใช้คาว่า เป็น คือ หรือ
อาจไมป่ รากฎคาท่ใี ชเ้ ปรียบ
เชน่ >> แม้เนอื เย็นเป็นห้วงมหรรณพ เธอคอื ดอกฟา้ แตฉ่ นั คือหมาวดั
๓.๓ บุคคลวัตหรือบุคลาธิษฐาน คือ การสมมติสิ่งต่าง ๆ ให้มีกิริยาอาการหรือ
ความรสู้ ึกเหมือนมนุษย์
เชน่ >> ทะเลไม่เคยหลบั ใหล เธอตอบได้ไหม ไฉนจึงต่นื
>> ตัก๊ แตนโยงโย่ผูกโบทัดดอกจาปา เป็นต้น
๓.๔ อตพิ จน์ คอื กล่าวมากกวา่ ความความจริง
เชน่ >> คดิ ถงึ เธอทุกลมหายใจเข้าออก เปน็ ตน้
๓.๕ อวพจน์ คอื กลำ่ วนอ้ ยกวำ่ ควำมจรงิ
เช่น >> ไม่มีเงินสกั แดงเดยี ว / ขนมชิน้ นีเ้ ลก็ เทำ่ ขีต้ ำแมว เป็นตน้
๓.๖ นามนัย คอื กำรใชช้ ่ือสว่ นประกอบท่ีเดน่ ของส่งิ หนง่ึ แทนส่ิงนนั้ ๆ ทงั้ หมด
เชน่ >> สมรกั ษป์ ระกำศแขวนนวม (นวม เป็นอปุ กรณส์ ำคญั ของนกั มวย
ในท่ีนีม้ ำยถึง ยตุ กิ ำรเป็นนกั มวย)
>> เมืองโอ่ง แทน จงั หวดั รำชบรุ ี
>> ปลำดบิ แทน ญ่ีป่นุ
>> ทีมสงิ โตคำรำม แทน ทีมฟตุ บอลประเทศองั กฤษ เป็นตน้
๓.๗ สัญลักษณ์ คือ การใช้สิ่งหน่ึงแทนอีกสิ่งหน่ึงท่ีมีคุณสมบัติหรือลักษณะบาง
ประการร่วมกัน
เช่น >> เมฆ หมอก แทน อุปสรรค
>> สีขาว แทน ความบริสทุ ธิ์ ความไร้เดยี งสา
>> ปศี าจ แทน ความช่ัวร้าย
>> ดอกฟา้ แทน ของสูง เปน็ ตน้
๓.๘ ปฏพิ ากย์ คือ การเปรียบเทยี บโดยใช้คาทมี่ ีความหมายตรงกันข้าม ส่วนมาก
ใชเ้ ปน็ สานวนคาพงั เพยหรอื สุภาษิต
เชน่ >> หวานเป็นลม ขมเปน็ ยา
>> เลวบรสิ ทุ ธิ์
>> สวยเป็นบา้ เป็นต้น
๓.๙ สัทพจน์ คือ การเลียนเสียงธรรมชาติเกี่ยวกับเสียงต่าง ๆ เช่น เสียงดนตรี
เสียงสัตว์ เสียงคล่ืน เสียงลม เสียงฝนตก เสียงนาไหล ฯลฯ การใช้ภาพพจน์
ประเภทนจี ะทาใหเ้ หมือนไดย้ นิ เสยี งนันจรงิ ๆ
เช่น >> ฝนตกแปะ ๆ
>> เปรยี ง ๆ ดงั เสยี งฟา้ ฟาด เปน็ ต้น
๓.๑๐ อุปมานิทัศน์ คอื การเปรยี บเทียบโดยยกเร่ืองราวหรอื นิทานมา
ประกอบ ชยาย หรอื แนะโดยนยั ให้ผู้อา่ นผฟู้ งั เขา้ ใจแนวความคิด หลกั ธรรม
หรือความประพฤตทิ ีส่ มควรได้แจม่ แจง้ ย่งิ ขนึ
เช่น >> นาคีมีพษิ เพยี ง สุรโิ ย
เลอื ยบ่ทาเดโช แชม่ ช้า
พิษนอ้ ยหยิ่งโยโส แมลงปอ่ ง
ชูแตห่ างเองอา้ อวดอา้ งฤทธี
(โคลงโลกนิต)ิ
รสวรรณคดไี ทย
รสวรรณคดไี ทย แบ่งได้ ๔ ชนดิ
๑. เสาวรจนีย์ (บทชมโฉม) คือ การเล่าชมความงามของตัวละครในเร่ือง อาจเป็นตัวละครที่
เปน็ มนษุ ย์ อมนุษย์ หรือสัตว์ ซง่ึ การชมนอี าจจะเปน็ การชมความเกง่ กลา้ ของกษตั ริย์ ความงาม
ของปราสาทราชวงั หรอื ความเจรญิ รงุ่ เรืองของบา้ นเมือง เช่น บทชมนางเงือก ซง่ึ ตดิ ตามพ่อแม่
มาเพอื่ พาพระอภัยมณีหนีนางผเี สือสมุทร จากเรือ่ ง พระอภัยมณี
หนอ่ กษัตรยิ ท์ ศั นานางเงอื กน้อย ดแู ช่มช้อยโฉมเฉลาทังเผ้าผม
ประไพพกั ตร์ลกั ษณ์ลา้ ล้วนขาคม ทงั เนือนมนวลเปลง่ ออกเตง่ ทรวง
ขนงเนตรเกศกรอ่อนสะอาด ดงั สรุ างคน์ างนาฏในวงั หลวง
พระเพลนิ พศิ คิดหมายเสยี ดายดวง แลว้ หนักหน่วงนึกที่จะหนีไป
(พระอภยั มณี : สนุ ทรภู่)
๒. นารีปราโมทย์ (บทเกียว โอโ้ ลม) คอื การกล่าวแสดงความรกั ทังการเกยี วพาราสกี นั ใน
ระยะแรก ๆ หรอื การพรรณนาบทโอ้โลมปฏิโลมกอ่ นจะถึงบทสงั วาสนันดว้ ย เชน่
ถึงมว้ ยดินสนิ ฟ้ามหาสมุทร ไมส่ นิ สุดความรักสมัครสมาน
แมน้ เกิดในใต้ฟา้ สุธาธาร ขอพบพานพศิ วาสไมค่ ลาดคลา
แมน้ เนอื เย็นเปน็ หว้ งมหรรณพ พีข่ อพบศรสี วสั ดิ์เป็นมจั ฉา
แมน้ เป็นบัวตวั พีเ่ ปน็ ภุมรา เชยผกาโกสุมปทุมทอง
เจ้าเป็นถา้ อาไพขอใหพ้ ่ี เปน็ ราชสหี ส์ มสูเ่ ปน็ คสู อง
จะตดิ ตามทรามสงวนนวลละออง เป็นคคู่ รองพิศวาสทุกชาติไป
(พระอภัยมณี : สุนทรภู่)
๓. พโิ รธวาทัง (บทตดั พอ้ โกรธ) คอื การกลา่ วขอ้ ความแสดงอารมณ์ไม่พอใจ ตังแต่
เร่อื งเลก็ นอ้ ยไปจนถงึ เรื่องใหญ่ ตงั แต่ไมพ่ อใจ โกรธ ตัดพอ้ ประชดประชนั กระทบ
กระเทียบเปรียบเปรย เสียดสี และดา่ วา่ อยา่ งรนุ แรง เชน่
ครงั นเี สียรกั ก็ได้รู้ ถึงเสยี รูก้ ไ็ ด้เชาวนท์ ่ีเฉาฉงน
เป็นชายหมิ่นชายต้องอายคน จาจนจาจากอาลยั ลาน
(เจ้าพระยาพระคลงั (หน))
๔. สลั ลาปงั คพไิ สย (บทโศก) คือ การกลา่ วขอ้ ความแสดงอารมณโ์ ศกเศร้า อาลยั รัก
ลาดวนเอย๋ จะด่วนไปกอ่ นแล้ว ทงั เกดแก้วพิกลุ ยสี่ ุ่นสี
จะโรยรา้ งห่างกลน่ิ มาลี จาปเี อย๋ กปี่ จี ะมาพบ
(พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลยั )