ใบความรู้ท่ี 4
การสร้างเครือข่ายดำเนินชีวิตแบบพอเพียง
การเผยแพร่แนวคดิ การบริหารจัดการตามหลักเศรษฐกจิ พอเพยี ง
กิจกรรมเศรษฐกจิ พอเพียง
การดำเนินชีวิตแบบยึดทางสายกลาง ไม่เบียดเบียนตนเองผู้อื่นรวมทั้งสิ่งแวดล้อมต้องอยู่ด้วยกันอย่าง
สมดุล ไม่ดำเนินชีวิตที่เกินพอดี เช่น เป็นเกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสานไร่นาสวนผสม วนเกษตร เกษตร
อินทรีย์ เกษตรชีวภาพ เกษตรกรรมธรรมชาติ ถ้าผลผลิตที่ได้จากการทำเกษตรมีมากทำให้ล้นตลาดราคาอาจ
ตกตำ่ ก็ทำการแปรรปู ผลผลติ นนั้ ๆ
การเผยแพรป่ รชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งในระดับบคุ คล/ครอบครวั
โดยการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียงระดับบุคคล/ครอบครัวจะเริ่มต้นจากการเสริมสร้างคนให้มีการ
เรยี นรู้ วชิ าการและทกั ษะต่าง ทจ่ี ำเปน็ เพื่อใหส้ ามารถรูเ้ ท่าทนั การเปลี่ยนแปลงในดา้ นตา่ ง ๆ พร้อมทงั้ เสรมิ สร้าง
คุณธรรมจนมีความเขา้ ใจและตระหนักถึงคุณค่าของการอยูรว่ มกนั ของคนในสังคม แลอย่รู ว่ มกบั ระบบนิเวศวิทยา
อยา่ งสมดลุ
การนำหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงไปประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตประจำวนั
การดำเนินชีวิตในระบบเศรษฐกิจพอเพียงในระดับบุคคล เป็นความสามารถในการดำเนินชีวิตอย่างไม่
เดือดร้อน มีความเป็นอยู่อย่างพอประมาณตนตามฐานะ ตามอัตภาพและที่สำคัญ ไม่หลงใหลตามกรดะแสวัตถุ
นิยม มีอิสรภาพในการประกอบอาชีพ เดินทางสายกลาง ทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับตัวเอง และสามารถพึ่งพา
ตนเองได้ สว่ นเศรษฐกิจพอเพียงระดบั เกษตรกรเป็นเศรษฐกจิ เพอ่ื การเกษตรทเ่ี นน้ การพึ่งพาตนเอง
การเผยแพรป่ รัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระดบั ชุมชน
ชุมชนพอเพียง ประกอบด้วย บุคคล/ครอบครัวต่าง ๆ ที่มีความพอเพียงแล้ว คือมีความรู้และคุณธรรม
เป็นกรอบในการดำเนินชีวิตจนสามารถพึ่งตนเองได้ บุคคลเหล่านี้มารวมกลุ่มกันทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่สอดคล้อง
เหมาะสมกบั สถานภาพ ภูมิสงั คมของแตล่ ะชุมชน โดยพยายามใชท้ รพั ยากรตา่ ง ๆ ที่มอี ย่ใู นชุมชนให้เกดิ ประโยชน์
สูงสุด ผ่านการร่วมแรง ร่วมใจ ร่วมคิด ร่วมทำ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับบุคคลหลายสถานภาพ ในสิ่งที่จะสร้าง
ประโยชนส์ ุขของคนสว่ นรวม และความก้าวหน้าของชุมชนอย่างมเี หตุผล โดยอาศัยสติ ปัญญา ความสามารถของ
ทกุ ฝา่ ยท่เี ก่ียวข้อง
เศรษฐกจิ พอเพียงระดับชุมชน/กล่มุ หรอื องค์กร
เศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า จะเน้นที่ความพอเพียงในระดับชมุ ชน/กลุ่มหรือองค์กรเมื่อสมาชิกในแต่
ละครอบครัวหรือองค์กรตา่ ง ๆ มีความพอเพียงในข้ันตอนพื้นฐานเป็นเบือ้ งต้นแล้วกจ็ ะร่วมกลุม่ กันเพื่อรว่ มมือกัน
สร้างประโยชน์ให้แก่กลุ่มและส่วนรวมบนพื้นฐานของการเบียดเบียนกัน การแบ่งปันช่วยเหลือซึ่งกันและกันตาม
กำลังและความสามารถของตนซ่ึงจะสามารถทำใหช้ ุมชนโดยรวมหรือเครอื ข่ายวิสาหกจิ นน้ั ๆ เกดิ ความพอเพียงใน
วถิ ปี ฏิบตั อิ ยา่ งแท้จรงิ
ใบความรูท้ ่ี 5
กระบวนการขบั เคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของโลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะกระแสของโลกาภิวัตน์ และการ
แข่งขันในระบบทุนนิยม ส่งผลให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายจากรอบด้าน และจึงต้องยืนหยัดอยู่ใน
สังคมโลกให้ได้อย่างเข้มแข็ง และไม่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง ดังนั้น ในกระบวนการการจัดทำแผนพัฒนา
เศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติฉบับที่ 10 (พ.ศ.2550 – 2554) จงึ ไดม้ ุ่งเน้นและให้ความสำคัญกับการนำหลักปรัชญา
เศรษฐกจิ พอเพียงมาใช้เป็นแนวทางหลกั ในการกำหนดยทุ ธศาสตร์การพฒั นาประเทศไปสู่ความสมดุลยงั่ ยนื และมี
ภมู คิ ้มุ กันทด่ี ี "
วารสารเศรษฐกิจและสังคมได้รับเกียรติจาก ดร.จิรายุ อิสรางกูร ณ อยุธยา ประธานอนุกรรมการการ
ขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงได้กรุณาอธิบาย ความหมาย หลักการและแนวคิดรวมไปถึงกระบวนการขับเคลื่อน
เศรษฐกิจพอเพียงที่ผ่านมาของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง และการสร้างขบวนการขับเคลื่อน
เศรษฐกจิ พอเพยี งร่วมกับภาคีการพฒั นาตา่ งๆ ไวอ้ ยา่ งน่าสนใจ ดงั นี้
ไทยยังขาดภมู คิ ุ้มกันในการรับมือการเปลีย่ นแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
ประเทศไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญกับการไหลเข้ามาของกระแสโลกาภิวัตน์ และโดยเนื้อแท้ ยังมี
ความไม่พร้อมที่จะรับมอื ตอ่ การเปลีย่ นแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมออยา่ งดีพอ เห็น
ได้จากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่วิกฤตเศราฐกิจ ปี 2540 ที่สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยยังขาดความรู้เท่า
ทนั ตอ่ การเปลย่ี นแปลง หลงระเรงิ ไปกบั สง่ิ ฉาบฉวย หรือกลา่ วได้วา่ ยังขาดความภูมคิ ้มุ กนั ทด่ี ี
การขาดความภมู ิคุ้มกัน คือยงั พง่ึ พาตนเองไม่ได้ และขาดความพอดีอยู่ ซึ่งหากขยายความออกไป อธิบาย
ได้วา่ สงั คมไทยยังขาดความพอดี ในเรื่องสำคญั รวม 5 ประการ คือ
ขาดความพอดีด้านจิตใจ : คนส่วนมากมสี ภาวะจิตใจไมเ่ ข้มแขง็ ยังไมส่ ามารถพง่ึ ตนเองได้ ขาดจติ สำนกึ ท่ี
ดีไมม่ ีความเออื้ อาทร ไม่รจู้ กั ประนีประนอม นึกถึงแตผ่ ลประโยชนส์ ่วนตัว
ขาดความพอดดี ้านสังคม :ไม่ค่อยชว่ ยเหลอื เกื้อกลู กนั ชมุ ชนขาดความเขม้ แข็ง และที่สำคญั ไม่มี
กระบวนการเรยี นรู้ทีเ่ กิดจากฐานรากที่มนั่ คงและเข้มแขง็
ขาดความพอดดี ้านทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ ม : ยังใชแ้ ละจัดการอย่างขาดความรอบคอบ และท่ี
สำคญั ใช้ทรพั ยากรท่ีมอี ยู่ในประเทศ อย่างไมเ่ ปน็ ขั้นตอน
ขาดความพอดดี ้านเทคโนโลยี : ยงั ไม้รู้จักใชเ้ ทคโนโลยีท่เี หมาะสมใหส้ อดคล้องกับความตอ้ งการ และควร
พัฒนาเทคโนโลยีจากภูมปิ ัญญาชาวบา้ นของเราเอง และสอดคล้องเป็นประโยชนต์ อ่ สภาพแวดล้อม
ขาดความพอดีด้านเศรษฐกิจ : ส่วนใหญ่ดำรงชวี ิตอย่างฟ่มุ เฟอื ย หรอื เกนิ ฐานะของตน
เศรษฐกจิ พอเพียง : ปรัชญาอันทรงคา่ จากพ่อของปวงชนชาวไทย
“เศรษฐกิจพอเพียง” (Sufficiency Economy) เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระ
ราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนวิกฤตการณ์
ทางเศรษฐกิจขึ้น พระองค์ท่านได้ทรงเน้นย้ำว่าเป็นแนวทางการแก้ไขเพื่อให้ประเทศรอดพ้นจากปัญหาต่างๆ
สามารถดำรงอย่ไู ด้อยา่ งม่นั คงและยงั่ ยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตนแ์ ละความเปลีย่ นแปลงต่างๆ
ทั้งนี้ สศช. จึงได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากสาขาต่างๆ มาร่วมกันระดมความคิดและยกร่างคำนิยามของ
เศรษฐกิจพอเพียงโดยประมวลและกลั่นกรองจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องเศรษฐกิจ
พอเพยี ง ซงึ่ พระราชทานในวโรกาสตา่ งๆ รวมทั้งพระราชดำรัสอนื่ ๆ ท่เี กย่ี วขอ้ ง
โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำไปเผยแพร่ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2542 เพื่อเป็น
แนวทางปฏิบัตขิ องทุกฝา่ ยและประชาชนโดยท่ัวไป รวมถึงได้อัญเชญิ มาเป็นปรัชญานำทางในการจัดทำแผนพัฒนา
ฯ ฉบบั ที่ 9 อกี ด้วย
โดยนยิ ามของปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง มีสาระสำคญั ดังน้ี
ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้แนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับ
ครอบครัว ระดบั ชมุ ชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพฒั นาและบรหิ ารประเทศให้ดำเนนิ ไปในทางสายกลางโดยเฉพาะ
การพฒั นาเศรษฐกจิ เพอ่ื ใหก้ า้ วทันต่อโลกยุคโลกาภวิ ัตน์ ความพอเพยี ง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตผุ ล
รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการ
เปลีย่ นแปลงทง้ั ภายนอกและภายใน
ทั้งนี้จะต้องอาศยั ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอยา่ งยิง่ ในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้
ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ
โดยเฉพาะเจ้าหน้าท่ีของรัฐ นักทฤษฎีและนักธุรกิจในทกุ ระดับให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตยส์ ุจรติ และให้มี
ความรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบเพื่อให้สมดุลและ
พร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม
จากโลกภายนอกไดเ้ ป็นอยา่ งดี
“หากพิจารณาพระราชดำรัสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2548 ที่
ผ่านมายิ่งทำให้เห็นว่า พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับเร่ืองเศรษฐกิจพอเพียงมากเพียงใด ทรงเชื่อมั่นว่า การจะ
รบั มือกบั การเปล่ียนแปลงต่างๆ ได้ นน้ั ประเทศไทยต้องใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงเปน็ ปรัชญานำทาง และน่ายินดี
ที่ว่า หลงั จากนนั้ หลายหนว่ ยงานได้น้อมนำพระราชดำรัสข้างตน้ ไปยดึ ถอื ปฏบิ ัติ”
เศรษฐกจิ พอเพียงสามารถรับมอื กบั แนวโน้มการเปลีย่ นแปลงตา่ งๆ ได้จริงหรอื
อย่างไรก็ตาม แม้หน่วยงานและประชาชนที่เริ่มตื่นตัว และตอ้ งการจะนำหลักเศรษฐกจิ พอเพียงไปใช้ แต่
ส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจที่หลากหลายและไม่ชัดเจน ถึงความหมายและหลักแนวคิดที่แท้จริงของปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียง ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า ปรัชญาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาใช้ได้จริงมากน้อย
เพยี งใดตามมาความรู้ความเขา้ ใจทีถ่ ูกตอ้ งเก่ยี วกับหลักการของเศรษฐกจิ พอเพียงมาใช้อยา่ งเกดิ สมั ฤทธผิ ลกับทุกๆ
ฝ่าย โดยหลักการของเศรษฐกิจพอเพียง คือการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท
ในการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ให้เกิดผลต่อการพัฒนานั้น ต้องเข้าใจ “กรอบแนวคิด” ว่าเป็น
ปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของ
สงั คมไทยสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา
มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัยและวิกฤต เพื่อความมั่นคงและความยั่งยืนของการพัฒนา ขณะเดียวกัน ก็ต้องเข้าใจ
คุณลักษณะว่าเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดับ โดยเน้นการปฏิบัติบน
ทางสายกลางและการพฒั นาอยา่ งเป็นข้ันตอน
3 หว่ ง 2 เงอ่ื นไข : หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ที่สำคัญที่สุด ทุกคนควรเข้าใจ “คำนิยาม” ว่าความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 ห่วง และ 2 เงื่อนไข
โดย 3 ห่วง คือ ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไปโดยไม่เบียดเบียนตนเอง
และผ้อู น่ื เช่นการผลติ และการบรโิ ภคทอ่ี ย่ใู นระดับพอประมาณ
ความมีเหตผุ ล หมายถึง การตดั สนิ ใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเปน็ ไปอย่างมีเหตุผลโดย
พิจารณาจากเหตุปจั จัยทีเ่ ก่ียวขอ้ ง ตลอดจนคำนงึ ถึงผลทคี่ าดว่าจะเกดิ ขึ้นจากการกระทำนัน้ ๆ อย่างรอบคอบ
การมภี มู คิ ุม้ กันทด่ี ีในตัว หมายถงึ การเตรยี มตัวใหพ้ ร้อมรบั ผลกระทบและการเปลย่ี นแปลงด้านการต่างๆ
ทจ่ี ะเกดิ ข้ึนโดยคำนงึ ถึงความเป็นไปไดข้ องสถานการณ์ต่างๆ ท่ีคาดว่าจะเกดิ ข้นึ ในอนาคตท้งั ใกลแ้ ละไกล
สว่ น 2 เงอื่ นไข คือการตัดสินใจและการดำเนินกจิ กรรมตา่ งๆ ใหอ้ ยู่ระดับพอเพยี งนนั้ ตอ้ งอาศยั ท้ังความรู้
และคุณธรรมเปน็ พื้นฐาน ประกอบไปดว้ ย
- เงื่อนไขความรู้ หมายถึง ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่
จะนำความรู้เหล่านนั้ มาพิจารณาให้เช่อื มโยงกนั เพอ่ื ประกอบการ วางแผน และความระมัดระวังในข้นั ตอนปฏบิ ตั ิ
- เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต
และมคี วามอดทน มคี วามเพยี ร ใชส้ ตปิ ญั ญาในการดำเนินชวี ติ
ใบความรทู้ ่ี 6
ทกั ษะและกระบวนการท่ีจำเปน็ ในการทำโครงงานเพือ่ พฒั นาทกั ษะการเรียนรู้
แนวคิดของโครงงานเพื่อพัฒนาทกั ษะการเรียนรู้
การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นการเรียนรู้ที่ให้ความสำคัญต่อผู้เรียน ในการเลือกเรียนสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง
ท้ังเนื้อหา วธิ กี าร โดยมคี รเู ป็นผ้คู อยอำนวยความสะดวก ชว่ ยเหลอื ให้ผ้เู รยี นได้ประสบความสำเร็จในการเรียน ทั้ง
ในแง่ของความรู้ด้านวิชาการ และความรู้ที่ใช้ในการดำเนินชีวิตและการทำงานในอนาคตเป็นผู้ที่มีความสมดุลท้ัง
ดา้ นจิตใจ รา่ งกาย ปัญญา อารมณ์ และสงั คม การจัดกิจกรรมการเรียนร้ใู หผ้ ู้เรยี นได้เรยี นเรื่องการจัดทำโครงงาน
นน้ั นอกจากจะมีคณุ คา่ ทางด้านการฝึกให้ผเู้ รียนมีความร้คู วามชำนาญและมีความม่ันใจในการนำเอาวิทยาศาสตร์
ไปใช้ในการแก้ปัญหาหรือคน้ ควา้ หาความรู้ต่างๆ ด้วยตนเองแล้วยังให้คณุ ค่าอื่นๆ คอื
1) รู้จกั ตอบปญั หาโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ไมเ่ ป็นคนทีห่ ลงเชือ่ งมงายไร้เหตุผล
2) ไดศ้ ึกษาค้นคว้าหาความรใู้ นเรอื่ งทีต่ นสนใจ ไดอ้ ย่างลกึ ซึ้งกวา่ การจดั กิจกรรมการเรยี นร้ขู องครู
3) ทำให้ผเู้ รยี นไดแ้ สดงออกถึงความสามารถพเิ ศษของตนเอง
4) ทำใหผ้ เู้ รยี นเกิดความสนใจเรยี นในกลมุ่ สาระการเรียนรู้นั้นๆ มากยิ่งขน้ึ
5) ผเู้ รียนได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
การเรยี นรู้โดยใช้โครงงาน สามารถช่วยใหผ้ เู้ รียนไดฝ้ ึกทักษะสำคญั ๆ ดังน้ี
1) สมั พนั ธภาพระหวา่ งบุคคล (Interpersonal skill)
2) การแกป้ ญั หาและความขดั แย้ง (Conflict resolution)
3) ความสามารถในการถกเถียงเจรจาเพอ่ื นำไปสู่การตัดสินใจ (Consensus on decision)
4) เทคนิคการติดต่อส่ือสารระหว่างบุคคลท่ีมีประสิทธิภาพ (Effective interpersonal
Communication techniques)
5) การจดั การและการบรหิ ารเวลา (Time management)
6) เตรียมผเู้ รยี นเพื่อจะออกไปทำงานรว่ มกบั ผู้อืน่
6.1) ทักษะในแง่ความรู้เก่ยี วกบั ความสามารถในการควบคุมจิตใจและควบคุมตนเอง (Discipline
knowledge)
6.2) ทักษะเกยี่ วกับกระบวนการกลุม่ (Group-processskill)
7) ช่วยให้ผู้เรียนไดม้ ีความรู้มากข้นึ มีมุมมองหลากหลาย(Multi perspective) อันจะนำไปสู่
ความสามารถทางสตปิ ัญญา การรับรู้ ความเขา้ ใจ การจดจำ และความสามารถในการทำงานรว่ มกับผอู้ น่ื ไดด้ ี
ย่ิงข้ึน
8) เพ่ิมความสามารถในการเข้าใจส่งิ ต่างๆ ได้ดีขึ้น อันนำไปสู่ความสามารถในการคดิ วิเคราะหแ์ ละทักษะ
การส่อื สาร (Criticalthinking and Communication skill) (Freeman, 1995)
9) ชว่ ยสนบั สนุนการพฒั นาทักษะการทำงานเปน็ ทีม จากการเรียนรู้จากประสบการณ์(Experiential
learning) (Kolb, 1984)
10) การเรยี นแบบโครงงานช่วยใหเ้ กดิ การเรยี นรู้แบบร่วมมอื กนั (Cooperative learning)ในกลมุ่ ของ
ผู้เรยี น ซึง่ ผู้เรยี นแตล่ ะคนจะแลกเปลยี่ นความรซู้ ึ่งกันและกันในการเรียน โดยอาศยั กระบวนการ
กลมุ่ (group dynamic)
แนวคดิ สำคัญ
การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นการเรียนรู้ที่เช่ือมโยงหลักการพัฒนาการคิดแบบบลูม (Blom) ทั้ง 6 ขั้น คือ
ความรู้ความจำ (Knowledge) ความเข้าใจ (Comprehension) การนำไปใช้ (Application) การวิเคราะห์
(Analysis) การสังเคราะห์ (Synthesis) การประเมินค่า (Evaluation) และยังเป็นกระบวนการเรียนรู้ตั้งแต่ การ
วางแผนการเรียนรู้ การออกแบบการเรยี นรู้ การสร้างสรรคป์ ระยุกตใ์ ชผ้ ลผลิต และการประเมนิ ผลงานโดยผู้สอนมี
บทบาทเป็นผูจ้ ัดการเรยี นรู้
แคทซ์และชาร์ด (Katz and Chard, 1994) กลา่ วถงึ การสอนแบบโครงงานว่า วธิ กี ารสอนนี้
มีจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนาผู้เรียนทั้งชีวิตและจิตใจ (Mind) ซึ่งชีวิตจิตใจในที่นี้หมายรวมถึง ความรู้ ทักษะ
อารมณ์ จริยธรรมและความรู้สึกถึงสุนทรียศาสตร์ และได้เสนอว่าการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การสอนแบบ
โครงงานวา่ ควรมีเปา้ หมายหลกั 5 ประการ คอื
1) เป้าหมายทางสติปัญญาและเป้าหมายทางจิตใจของผู้เรียน (Intellectual Goals and the Life of
the Mind) คือการจัดการเรียนการสอนแบบเตรียมความพร้อม มุ่งให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอย่าง
หลากหลาย และการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ รอบตัว ผู้เรียนควรจะได้เข้าใจประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมรอบ
ตัวอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นเป้าหมายหลักของการเรียนระดับนี้ จึงเป็นการมุ่งให้ผู้เรียนพัฒนาความรู้ ความเข้าใจโลก ที่
อย่รู อบๆ ตวั เขา และปลกู ฝงั คณุ ลักษณะการอยากรู้อยากเรียนให้กับผูเ้ รียน
2) ความสมดุลของกิจกรรม (Balance of Activities) การสอนแบบโครงงานจะทำให้ผู้เรียน ได้ปฏิบัติ
กิจกรรมที่เหมาะสมทั้งกิจกรรมทางวิชาการ ใช้กิจกรรมเป็นสื่อทำให้เกิดการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนไ ด้ทำ
กิจกรรมคน้ หาความรู้ เป็นการเรียนรผู้ ่านการเลน่ และการมีปฏิสัมพนั ธก์ ับสงิ่ แวดลอ้ มตา่ งๆ ท่ีอยู่รอบตวั
3) สถานศกึ ษาคือส่วนหน่ึงของชีวติ (School as Life) การเรียนการสอนในสถานศึกษาต้องเป็นส่วนหน่ึง
ในชวี ติ ของผ้เู รียนไม่ใชแ่ ยกออกจากชวี ติ ประจำวันโดยทัว่ ไป กจิ กรรมในสถานศกึ ษาจึงควรเปน็ กิจกรรมที่เกี่ยวข้อง
กบั การดำเนนิ ชวี ิตปกติ การมีปฏสิ ัมพนั ธ์กับส่งิ แวดลอ้ มและผูค้ นรอบๆ ตัวผู้เรียน
4) ศกร.เป็นชุมชนหนึ่งของผู้เรียน (Community Ethos in the Class) ทุกคนมีลักษณะเฉพาะตัวการ
สอนแบบโครงงานเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแต่ละคนได้แสดงออกถึงคุณลักษณะ ความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อของเขา
ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบนี้จึงเกิดการแลกเปลี่ยน การมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ผู้เรียนได้เรียนรู้ความ
แตกต่างของตนกับเพ่ือนๆ
5) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ท้าทายครู (Teaching as a Challenge) ในการจัดกิจกรรมการ
เรยี นร้แู บบโครงงาน ครไู ม่ใชผ่ ู้ถา่ ยทอดความร้ใู ห้กบั ผเู้ รยี น แต่เปน็ ผู้คอยกระต้นุ ช้ีแนะ และใหค้ วามสะดวกในการ
เรียนรูข้ องผู้เรยี น โครงงานบางโครงงานครูเรยี นรู้ไปพร้อมๆ กับผู้เรียน ครูร่วมกันคิดหาวิธีแกป้ ญั หา ลงมือปฏิบัติ
ไปดว้ ยกนั ถอื เป็นการเรยี นรู้ร่วมกัน