ระบบนเวศ
ิ
น ำเสนอ
ั
ู
คร สรญญา ช่างประดษ
ิ
ิ
่
สมาชกในกลุม
1. เกียรติภูมิ เกณสาคู
ิ
2. ปยะวัฒน จงวัตร
์
ั
์
3. รชชานนท ดูรูปรมย ์
ั
4. พจรินทร มหาวงศ ์
์
ิ
ิ
5. วรยา ค าสงห ์
6. จิตตราพร อินทะเสน
7. ไปรยา ปจจัยยัง
ั
้
8. นภัสรา ดีพรอม
ิ
ิ่
9. ปรมฤทัย อ าประเสรฐ
์
10. วลีลักษณ ประทุมวี
ชั้น ม.3
ึ
ปกำรศกษำ 2564
ี
โรงเรยนบ้ำนหนองไม้งำม2
ี
ุ
ี
ส ำนักงำนเขตพ้นทกำรศกษำประถมศกษำบรรมย์ เขต 2
ั
ึ
่
ึ
ื
ี
ค านา
่
ื่
่
รายงานเลมน้จัดท าขึ้นเพอเปนสวนหนงของวิชา
ึ่
็
ี
ี
์
ึ
้
ั
ื่
วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ชน มัธยมศกษาปที่ 3 เพอให ้
ไดศกษาหาความรูในเรอง ระบบนเวศ และไดศกษาอยาง
้
ึ
่
ื่
้
ึ
้
ิ
เขาใจเพอเปนประโยชนกับการเรยน
้
ื่
ี
็
์
่
ี
็
ผูจัดท าหวังวา รายงานเลมน้จะเปนประโยชนกับ
้
์
่
่
่
ื
ี
ื
ี
ผูอาน หรอนกเรยน ทีก าลังหาขอมูลเรองน้อยู หากมี
ั
่
้
้
่
้
ื
ขอแนะนาหรอขอผิดพลาดประการใด ผูจัดท าขอนอมรบ
ั
้
้
้
้
ี
ไวและขออภัยมา ณ ที่น้ดวย
้
สารบัญ
้
บทที่ 1 หนา
์
ิ
องคประกอบของระบบนเวศ 1-2
่
การถายทอดพลังงานในสายใยอาหาร 3-5
ี
การสะสมสารพิษในสงมีชวิต 6-7
ิ่
่
ิ่
ี
ิ
ี
ิ่
ความสมพันธระหวางสงมีชวิตกับสงมีชวิตในระบบนเวศ 8-10
ั
์
บทที่ 2
่
ความหลากหลายทางชวภาพในระบบตางๆ 11
ี
ความหลากหลายทาวชวภาพกับการรกษาสมดุลของระบบนเวศ 12
ั
ิ
ี
บทที่ 3
ิ
บททดสอบ ระบบนเวศ 1 13-14
ิ
บดทดสอบ ระบบนเวศ 2 15
ภาคผนวก
บรรณนานุกรม
1
บทที่ 1
ิ
์
องคประกอบของระบบนเวศ
้
ื
ระบบนเวศบนโลกถึงแมจะมีความหลากหลาย แตก็มีโครงสรางที่คลายคลึงกัน คอ ประกอบไปดวย
ิ
้
้
้
่
ื
่
สวนสาคัญ 2 สวน คอ
่
้
ี
่
1. สวนประกอบที่ไมมีชวิต(abiotic component) ประกอบดวย
่
์
่
์
ิ
อนนทรยสาร ไดแก ไนโตรเจน คารบอนไดออกไซด ออกซเจน น้า และคารบอน
์
้
ี
ิ
อินทรยสาร ไดแก คารโบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ฯลฯ
ี
่
์
้
่
็
็
้
่
้
สภาพแวดลอมทางกายภาพ ไดแก อุณหภูมิ แสง ความเปนกรด เปนดาง ความเค็มและความชน
ื
้
ี
้
2. สวนประกอบที่มีชวิต (biotic component) ไดแก ่
่
- ผูผลิต (producer)
้
้
ิ
- ผูบรโภค (consumer)
่
- ผูยอยสลาย (decomposer)
้
2
ิ
้
ี
่
ิ
ื
ี
ี
ผูผลิต (producer) คอ ส่งมชวตทสำมำรถน ำพลังงำนจำกแสงอำทตย์มำสังเครำะห ์
ิ
ุ
ี
ึ
อำหำรข้นได้เองด้วยแร่ธำตและสสำรทมอยู่ตำมธรรมชำต ได้แก่ พชสเขยว แพลงค์ตอน
ี
ี
่
ี
ิ
ื
ี
ิ
ี
ื
พช และแบคทเรยบำงชนด
ิ
่
ี
ิ
ื
ี
ี
ิ
็
ื
็
ผูบรโภค (consumer) คอ ส่งมชวตทกินส่งมชวตอนๆเปนอำหำรแบ่งได้เปน
ี
ี
่
ิ
้
ิ
ิ
ิ
ื
ี
่
็
- ส่งมชวตทกินพชเปนอำหำร (herbivore) เช่น วัว ควำย กระต่ำย
ี
ี
ี
และปลำทกินพชเล็กๆ ฯลฯ
่
ื
ี
่
- ส่งมชวตทกินสัตว์อนเปนอำหำร (carnivore)เช่น เสอ สนัข กบ สนัขจ้งจอก ฯลฯ
ุ
ิ
ื
ุ
ิ
ิ
ี
่
ื
็
ี
ิ
ี
ุ
- ส่งมชวตทกินทั้งพช และสัตว์ ซงเปนล ำดับกำรกินสงสด (omnivore) เช่น มนษย์
ื
็
ึ
ี
่
ี
่
ุ
ู
ิ
ี
ิ
็
ี
ผูยอยสลาย(decomposer) เปนพวกย่อยสลำยซำกส่งมชวตให้เปนสำรอนทรย์ได้
ิ
ี
ิ
็
้
่
3
่
การถายทอดพลังงานในระบบนิเวศ
่
่
หวงโซอาหาร (food chain) คอการถายทอดพลังงานในระบบนเวศในรูปของอาหาร จาก
ื
ิ
่
ี
่
ื
ึ่
้
ิ
์
้
ื
ผูผลิต ซงไดแก แพลงกตอนพช พชสเขียว ไปยังสงมีชวิตตางๆจากผูบรโภค
่
้
ิ่
ี
้
้
ิ
็
่
ในล าดับตนๆไปสูผูบรโภคในล าดับตอไป โดยการกินเปนทอดๆ
่
ี
่
ี
้
่
ึ่
ในแตละขันตอนจะมีการถายทอดพลังงานจากสงมีชวิตหนงไปยังสงมีชวิตอีกชนดหนง โดย
ิ
ิ่
ิ่
ึ่
้
ิ
้
ี
่
ในแตละชวง จะมีการสูญเสย พลังงานความรอนในปรมาณมาก ประมาณ 80-90% จึงท าใหแต ่
่
่
ละหวงโซอาหาร ที่มีสงมีชวิตที่กินกันเปนทอดๆ มีจ านวนจ ากัด ไมเกิน 4 หรอ 5 ชวง
่
่
็
ี
่
ื
ิ่
ี
้
่
่
่
ึ
้
่
เทานน ซงหวงโซอาหารทีมีจานวนล าดับนอยจะมีการสูญเสยพลังงานนอย
้
ั
และมนุษยมักมีต าแหนงอยูในหวงโซอาหารเกอบสุดทายเสมอ เชน
่
่
ื
้
์
่
่
่
4
ึ่
กลุมสงมีชวิตในระบบนเวศมีความสมพันธซงกันและกันซงจ าแนกความสมพันธของ
ิ
ึ่
์
ั
่
ี
ิ่
์
ั
ิ่
้
สงมีชวิตไดดังน้ ี
ี
่
ิ
่
็
่
่
ื่
่
่
1. ภาวะการลาเหยอ (predation)เปนการอยูรวมกันของสงมีชวิต 2 ชนด ฝายนงเปนผูลา (predator)
้
็
ึ่
ิ
ี
่
่
ึ
่
ั
้
็
ี
์
่
่
ื่
มีความแข็งแรง สวนอีกฝายหนงถูกผูลากินเปนอาหารเรยกวา “เหยอ(prey)” มีความสมพันธแบบ +,-
่
่
ิ
็
็
่
ื
่
ั
เชนแมวจบหนู นกกินหนอน เหยี่ยวลาไกหรอกระตายเปนอาหาร สงโตลาละมั่งเปนอาหาร
่
่
2.. ภาวะปรสต (parasitism) เปนการอยูรวมกันของสงมีชวิต 2 ชนด โดยสงมีชวิตชนดหนงไป
ิ่
ิ
ิ
ิ
ึ่
ิ
ี
ี
่
็
่
่
์
ั
ั
้
้
่
ิ
ึ
ั
ี
้
ิ
อาศยอยูกับสงมีชวิตอีกชนดหนง โดยผูอาศย(parasite) ไดประโยชน และผูถูกอาศย (host) เสย
่
ี
้
์
ื
ื่
ั
้
็
์
้
ประโยชน มีความสมพันธแบบ +, - เชน เหบกับสุนข ตนกาฝากบนตนมะมวงหรอตนไมอนๆ
่
ั
่
้
่
์
ิ
่
็
ิ
้
้
่
3.ภาวะพึ่งพากัน (mutualism) เปนการอยูรวมกันของสงมีชวิต 2 ชนด โดยไดประโยชนทังสองฝาย
่
ี
้
่
ื
่
ี
ี
่
์
ั
และเมอแยกออกจากกันจะไมสามารถด ารงชวิตอยูได มีความสมพันธแบบ +, + เชน แบคทีเรยไร
่
โซเบียมทีอาศยอยูในปมรากพชตระกูลถัว แบคทีเรยไดรบพลังงานจากการสลายของสารอาหารทีอยู ่
้
ั
่
่
ี
ั
่
่
ื
่
ในรากพช สวนแบคทีเรยไรโซเบียมสามารถตรงแกสไนโตรเจนในอากาศแลวเปลี่ยนเปนสารประกอบ
ี
้
็
ื
๊
ึ
่
ี
้
็
ี
่
ื
่
ไนเตรต ซงเปนปุ ๋ ยของพชตระกูลถัวได รากับสาหรายสเขียวอยูรวมกันเรยกวา “ไลเคน” โดยสาหราย
่
่
่
ึ
่
่
้
้
สเขียวสรางอาหารไดเอง แตตองอาศยความชนจากรา สวนราไดรบอาหารจากสาหรายสเขียว
่
้
ั
้
ี
้
ื
ี
ั
่
ิ
4.ภาวะอิงอาศย (commenselism การอยูรวมกันของสงมีชวิต 2 เปนนด ในลักษณะที่ฝาย
ิ
็
ั
่
่
่
ี
์
์
ี
้
์
่
่
้
่
ั
หนงไดประโยชน สวนอีกฝายไมไดประโยชนและไมเสยประโยชน มีความสมพันธแบบ + ,
่
ึ่
์
่
้
้
้
ิ
่
0 เชนเฟนเกาะบนตนไมใหญ กลวยไมเกาะบนตนไมใหญ ่
้
้
้
5
่
ั
5.ภาวะได้ประโยชน์ซึ่งกนและกน (protocooperation) เปนการอยูรวมกนของ
็
ั
ั
่
ิ
ั
ี
่
สิ่งมีชวิต 2 ชนด ซึ่งต่างได้ประโยชน์ทั้งสองฝาย แต่สามารถแยกออกจากกนได้โดย
ิ
ด าเนนชีวิตตามปกติ มีความสมพันธ์แบบ +, + เชนดอกไมกับแมลง ควายกับนกเอี้ยง มด
ั
่
้
ด ากบเพลี้ย
ั
ั
ั
็
ี
่
ั
่
6.ภาวะแขงขน(competition)เปนความสมพนธ์ของสิ่งมีชวิตที่ทั้งสองฝายต้องการ
ั
ั
่
ึ
่
่
ั
่
ั
ี
ปจจัยในการด ารงชวิตอยางใดอยางหน่งรวมกน แต่ปจจัยน้นมีนอยจึงต้องแขงขนกัน
ั
้
ั
่
่
ั
เชนการแยงอาหารของจระเข การแขงขนด้านความสูงของต้นไมเพื่อรบแสงจากดวง
่
้
้
อาทิตย์
่
่
7.ภาวะเปนกลาง(neutralism) เปนการด ารงชวิตของสิ่งมีชวิตที่ทั้งสองฝายไมมี
ี
็
ี
็
่
้
่
ั
ั
ั
ผลประโยชน์ซึ่งกนและกน เชนนกกบกระต่ายในทุงหญา
็
ิ
่
ี
ี
ึ
8.ภาวะต่อต้าน (antibiosis) เปนการด ารงชวิตของสิ่งมีชวิต 2 ชนดที่ฝายหน่งมี
ิ
ั
อิทธพลต่ออีกฝายหน่งเชน ราเพนซิลเลียมจะหล่งสารยบย้งการเจรญเติบโตของ
ิ
่
ึ
ิ
ั
ั
่
แบคทีเรีย
้
ิ
ี
่
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชวิตดังที่ได้กลาวมาแลว สามารถพบได้ในระบบนเวศตั้งแต่
่
ิ
ระบบนเวศขนาดเล็กไปจนถึงระบบนเวศขนาดใหญ และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงขนาด
ิ
ิ
ของประชากรในระบบนเวศ
การสะสมสารพิษในส่งมีชีวิต 6
ิ
้
ิ
้
ี
หากพูดถึงล าดับการบรโภคแลว คงหนไมพนการบรโภคของสิ่งมีชีวิตต่อ
่
ิ
กนเปนทอด ๆ เพื่อให้ได้รบพลงงานและสารอาหารจากสิ่งมีชวิตที่ได้บรโภคเขาไป สิ่ง
ั
ี
ั
็
ั
ิ
้
เหลาน้เรยกวา “ห่วงโซ่อาหาร” โดยห่วงโซอาหารจะประกอบไปด้วยผูผลิตและผูบรโภค
ี
่
้
ี
ิ
้
่
่
่
ั
ล าดับต่าง ๆ ซึ่งผูผลิตสวนใหญจะเปนพืชและเปนจุดเร่มต้นของห่วงโซอาหาร จากน้นก็
ิ
็
็
่
้
่
ึ
จะมีสิ่งมีชวิตหน่งมากินพืช
ี
ิ
ี
้
ิ
จึงจะกลายเปนผูบรโภคล าดับที่ 1 และเมื่อมีสิ่งมีชวิตชนดอื่นมากินผูบรโภคล าดับที่ 1
ิ
็
้
สิ่งมีชวิตน้นก็จะกลายเปนผูบรโภคล าดับที่ 2 เปนแบบน้ไปเร่อย ๆ แต่หลายคนนาจะ
้
ั
ิ
่
ี
ื
็
ี
็
้
่
ิ
็
ี
ิ
เคยเรยงล าดับของผูบรโภคไปเร่อย ๆ เปนสายยาว จนอาจจะมีล าดับผูบรโภคมากกวา 5
ื
้
ิ
ุ
้
็
หรือ 6 ล าดับ และจบด้วยมนษย์ที่เปนผูบรโภคล าดับสดท้าย แต่ประสิทธภาพในการ
ุ
ิ
ี
่
ถ่ายทอดพลงงานของสิ่งมีชวตหน่งไปยงอีกสิ่งมีชวตหน่งในห่วงโซอาหาร จะสามารถ
ั
ึ
ิ
ิ
ึ
ั
ี
ถ่ายทอดได้เพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่าน้น ตามกฎ 10เปอร์เซ็นต์ กฎ 10 เปอร์เซ็นต์มี
ั
้
ั
ั
ื
่
่
ิ
ใจความวา พลังงานศกย์ ที่สะสมในรูปเน้อเยื่อของผูบรโภคแต่ละล าดับข้น จะนอยกวา
้
ั
่
ั
ั
พลงงานศกย์ที่สะสมในเน้อเยื่อผูบรโภคล าดับข้นต ่ากวาที่ถัดกนลงมาประมาณ 10 เท่า”
ื
้
ิ
ั
่
่
หมายความวา จะมีพลังงานเพียงแค 10 เปอร์เซ็นต์ที่ถูกสะสมอยูในพืช สวน 90
่
่
ั
้
เปอร์เซ็นต์ที่เหลือจะถูกน าไปใชในกระบวนการเมตาบอลิซึม ดังน้น ผูที่มาบริโภค
้
สิ่งมีชวิตหน่งจะได้รบพลงงาน 10 เปอร์เซ็นต์จากสิ่งมีชวิตน้น ซึ่งก็คือล าดับผูบรโภคกอน
่
้
ิ
ั
ั
ึ
ั
ี
ี
หนาล าดับของตน
้
ั
่
ั
กฎ 10 เปอร์เซ็นต์ อธิบายได้ง่าย ๆ ตัวอย่างเชน พืชได้รบพลงงานจากดวงอาทิตย์
่
ั
ั
ั
10,000 kcal จากน้นมีตั๊กแตนมากินพืช ตั๊กแตนจะได้รบพลงงานจากพืชแค 1,000
ั
ี
็
kcal เมื่อมีกบมากินตั๊กแตน กบจะได้พลงงานจากตั๊กแตน 100 kcal เปนแบบน้ไป
ิ
้
เร่อย ๆ ตามกฎ 10 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะน้นหากมีผูบรโภคล าดับสูงมาก ๆ ผูบริโภค
ั
ื
้
ั
ล าดับน้นอาจจะไมได้รบพลงงานเลย
ั
ั
่
7
ในทางกลบกนหากเปลี่ยนพลงงานเปนสารพิษแลว ผูบรโภคล าดับสูง ๆ จะได้รบสารพิษ
ั
้
ั
ิ
ั
้
ั
็
ื้
ื
ิ
้
่
่
่
่
สะสมมากกวาผูบรโภคล าดับลาง ๆ เน่องสารพิษที่ปนเปอนอยูตามธรรมชาติ เชน ดีดีที
่
ี
ปรอท แคดเมียม เหลาน้ไมได้ถูกน าไปใชในกระบวนการเมตาบอลิซึมที่สรางพลงงานให้แก่
้
้
ั
่
ั
ี
่
้
้
่
ี
เซลล์ของสิ่งมีชวิต แต่จะถูกสะสมอยูในรางกายของสิ่งมีชวิตน้น และเพิ่มความเขมขนขึ้น
้
ิ
ิ
้
เร่อย ๆ ตามการบรโภค แลวถ่ายทอดไปให้ผูบรโภคตามล าดับการกิน
ื
ุ
ิ
ั
(Biomagnification) โดยผูบรโภคล าดับสดท้ายจะได้รบปรมาณสารพิษมากที่สด เชน
ุ
่
้
ิ
แพลงก์ตอนสตว์สะสมสารพิษในรางกายไว 0.05 ppm แล้วมีปลาขนาดเล็กมากินแพลง
ั
่
้
ั
ตอนสตว์ไป 10 ตัว ปลาขนาดเล็กจะมีสารพิษสะสมในรางกาย 0.5 ppm จากน้นมีปลา
ั
่
่
่
่
ขนาดใหญมากินปลาขนาดเล็กไป 10 ตัว ปลาขนาดใหญจะมีสารพิษสะสมในรางกาย 5
่
ppm และสุดท้ายมีนกมากินปลาขนาดใหญไป 3 ตัว นกจึงมีสารพิษสะสมในรางกาย 15
่
ppm
8
่
ั
ี
์
ิ่
ิ่
ิ
ี
ความสมพันธระหวางสงมีชวิตกับสงมีชวิตในระบบนเวศ
ั
ั
สิ่งมีชวิตทั้งพืชและสตว์ในระบบนเวศมีบทบาทหนาที่แตกต่างกน และมี
้
ิ
ี
ั
ั
ั
็
ความสมพนธ์กนในลกษณะต่างๆ เชนมดกินซากแมลงที่ตาย จิ้งจกกินแมลงเปน
่
ั
้
ั
อาหาร ววกินหญา และต้นหญาเจริญเติบโตได้จากกระบวนการสงเคราะห์ด้วยแสง
้
ั
ั
ั
่
่
ี
ั
ั
ิ
ความสมพนธ์ระหวางสิ่งมีชวิตเมื่อพิจารณาจากลกษณะการอยูรวมกนในระบบนเวศ
่
ั
็
ั
่
ั
ี
ั
็
ั
จะพบวามีทั้งความสมพนธ์แบบพึ่งพากน การเปนศตรู ไมพึ่งพา ไมเปนศตรู สิ่งมีชวิต
่
่
ึ
ี
่
ื
ิ
หน่งได้ประโยชน์ แต่สิ่งมีชวิตอีกชนดหน่งเสียประโยชน์ หรอพบวาสิ่งมีชวิตชนดหน่ง
ึ
ึ
ิ
ี
ได้ประโยชน์แต่สิ่งมีชวิตอีกชนดหน่งไมได้และไมเสียประโยชน์
ี
่
ิ
่
ึ
้
้
1.ผูผลิต(producer) หมายถึงสิ่งมีชวิตที่สรางอาหารได้เองตามธรรมชาติ ได้แก่พืช
ี
้
ี
้
้
้
สีเขียว ส่วนต้นหมอขาวหมอแกงลิง ต้นกาบหอยแครง ต้นสาหรายขาวเหนยว
่
ั
สามารถดักจับแมลงและยอยแมลงได้ แต่จัดเปนผูผลิตเน่องจากสามารถสงเคราะห์
่
ื
็
้
ด้วยแสงได้
รูปแสดงผูผลิต รูปแสดงกระบวนการสงเคราะห์ด้วยแสงของพืช
้
ั
9
้
้
็
ี
ิ
ี
2.ผูบรโภค (consumer) เปนสิ่งมีชวิตที่สรางอาหารเองไมได้ ต้องกินสิ่งมีชวิตอื่นๆ
่
่
ั
่
เปนอาหารได้แก สตว์ต่างๆ ซึ่งแบงออกเปน 4 ประเภท ดังน้ ี
็
็
้
่
้
ั
้
2.1. ผูบรโภคพืช เชน ชาง มา วว ควาย
ิ
ั
ิ
2.2. ผูบรโภคสตว์ เชน เสือ สิงโต งู เหยี่ยว
่
้
้
ั
ิ
2.3.ผูบรโภคทั้งพืชและสตว์ เชน คน สุนข ไก่
่
ั
2.4 ผูบรโภคซากพืชซากสตว์ เชน ใส้เดือนดิน กิ้งกือ ปลวก นกแรง
้
้
ั
ิ
่
รปแสดงผู้บริโภคพืช
ู
รปแสดงผู้บริโภคสัตว์
ู
10
ี
็
3.ผูสลายสารอินทรย์ (decomposer) เปนสิ่งมีชวิตที่ท าหนาที่ยอยสลายซากพืชซากสตว์ให้
ั
่
้
ี
้
็
เปนสารอนนทรีย์ ได้แก เห็ด รา และ แบคทีเรยชนดต่างๆ ซึ่งมีอยูทั่วไปทั้งในน ้า อากาศและ
่
ิ
่
ิ
ี
ดิน
แบคทีเรีย เห็ด รา
11
บทที่ 2
ความหลากหลายทางชีวภาพในระบบต่างๆ
ความหลากหลายทางชีวภาพ สามารถจ าแนกออกเปน 3 ระดับ คือ
็
ั
ความหลากหลายทางพันธกรรม (Genetic Diversity) หมายถึง ความแปรผนทาง
ุ
ิ
พันธกรรมที่เกิดขึ้นภายในประชากรของสิ่งมีชีวิตชนดเดียวกัน เปนความแตกต่างของสาร
ุ
็
่
พันธกรรมภายในสิ่งมีชีวิตแต่ละชีวิตที่ได้รบการถ่ายทอดจากบรรพบุรษผานทางหนวย
ุ
ั
่
ุ
็
ั
่
ุ
ั
ื
พันธกรรมหรือ “ยีน” (Gene) ซึ่งสงผลให้เกิดความเปนเอกลกษณ์ ลกษณะเด่น หรอความ
ั
ั
ิ
่
แตกต่างขึ้นภายในประชากรของสิ่งมีชีวิตชนดน้น ๆ เชน การมีสีสนและลวดลายที่หลากหลาย
ของหอยทาก “โกลฟว์ สเนล” (Grove Snail) รวมถึงการมีสีของเส้นผม สีของผิวหนง และสี
ั
ุ
ั
ของนยน์ตาแตกต่างกันออกไปในประชากรของมนษย์
12
ความหลากหลายทาวชีวภาพกับการรกษาสมดลของระบบนเวศ
ิ
ุ
ั
ิ
ั
วิธีการรกษาสมดุลของระบบนเวศ
ั
ั
ิ
ความสมดุลของระบบนเวศ หมายถึงสภาวะที่องค์ประกอบของระบบนเวศท้งปจจยทางชีวภาพและ
ั
ิ
ั
่
ั
ิ
้
ิ
ิ
้
้
ทางกายภาพมีสดสวนที่เหมาะสม น่นคือส่งแวดลอมและส่งมีชีวิต ได้แก ผูผลต ผูบรโภค ผูยอยสลาย
่
ิ
้
่
ั
ั
ี
ั
ั
่
ั
่
ั
ั
ั
สารอินทรย์มีความสมพนธ์กน สวนใหญมีความสมพนธ์กนแบบภาวะพึ่งพาอาศยกน โดยความสมดุล
ของระบบนเวศจะคงอยู หากยงมีความหลากหลายของส่งมีชีวิตภายในระบบ
ิ
ิ
่
ั
กลไกการรกษาสมดุลของระบบนเวศ
ั
ิ
การรกษาสมดุลของการหมนเวียนสารและการถายทอดพลงงาน ท าใหเกิดการแลกเปล่ยนพลงงาน
่
ี
ั
ุ
ั
้
ั
และสสารซึ่งกนและกนการรกษาสมดุลของประชากรในส่งมีชีวิต เปนการรกษาสมดุลของผูผลิต
ั
ั
้
ิ
ั
็
ั
ี
่
ั
่
่
ผูบรโภค และผูยอยสลายสารอินทรย์ เกิดการถายทอดพลงงานไปตามโซอาหาร
ิ
้
้
ิ
การเสียสมดุลของระบบนเวศ
ั
ิ
้
ี
โดยปกติแลวระบบนเวศจะมีการแลกเปล่ยนสสารและพลงงานตลอดเวลา ท าใหระบบนเวศสมดุล ซึ่ง
้
ิ
ั
ั
้
ั
่
ปจจยที่ท าใหระบบนเวศเสยสมดุล ได้แก่ ปจจยที่เกิดจากธรรมชาติ เชน น ้าทวม ไฟไหมปา
้
่
ิ
่
ี
ั
่
แผนดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ซึ่งการสูญเสยสมดุลของระบบนเวศแบบน้ ระบบนเวศจะซอมแซมและ
ิ
ี
ิ
ี
่
้
่
ั
ิ
สรางระบบนเวศใหมได้อีกคร้ง
ุ
ั
้
ั
้
ื
ั
ั
ปจจยที่เกิดจากการกระท าของมนษย์ เน่องจากการเพิ่มจ านวนประชากร ท าใหมีการพฒนาท้งดาน
ุ
การด ารงชีวิต ด้านการเกษตร หรอด้านเทคโนโลยี ดังน้นจึงต้องรกล ้าพื้นที่ธรรมชาติ ตัดไมท าลายปา
้
ั
ื
่
ิ
ุ
้
่
ื
้
หรอท าลายส่งแวดลอม เพื่ออ านวยความสะดวกสบายใหแกมนษย์
การรกษาสมดุลของระบบนเวศ
ั
ิ
้
ิ
ั
ั
ั
่
ุ
ุ
้
้
่
่
ั
ใชทรพยากรธรรมชาติอยางรู้คณคาควบคม ปองกน และแกไขปญหาส่งแวดลอมไมท าลายแหลงรพ
่
้
่
่
ั
ั
ยากรธรรมชาติและส่งแวดลอมอนรกษ์และพฒนาทรพยากรธรรมชาติอยางย่งยืน เชน การทองเที่ยว
ั
ิ
้
ุ
ั
่
ื้
้
ุ
ั
ุ
ุ
ั
เชิงอนรกษ์ การท าเกษตรสมผสาน การอตสาหกรรมเชิงอนรกษ์ การพฒนาทองถิ่นแบบยั่งยืนฟนฟู
ั
ุ
่
ั
ิ
แหลงทรพยากรธรรมชาติและส่งแวดลอมที่เส่อมโทรมสรางจิตส านกในการอนรกษ์
ึ
ื
้
ั
้
ทรพยากรธรรมชาติและส่งแวดลอมใหแกประชาชน
้
้
ั
ิ
่
13
บทที่ 3
ิ
ระบบนเวศ 1
้
ิ
1. ขอความใดไมไดอธบายความหมายของค าวาระบบนเวศ
่
่
ิ
้
ิ
๊
่
1. แองน ้ารมทางเดินมีลูกน ้า ลูกออด สาหราย และตะไครน ้า
่
่
่
ี
้
ั
่
2. ตนจามจรสูงใหญมีมด แมลง เห็ดและกาฝากอาศยอยูมากมาย
ุ
ึ
3. เทือกเขาแห่งหน่งมีตนไมขึ้นอยูมากมายท าให้ดูสดชื่นมีชีวิตชีวา
่
้
้
ั
ั
่
ิ
ั
ั
4. แนวปะการงชายฝ่งทะเลอนดามนมีปลาตาง ๆ หลายชนด ทั้งปลา
ปกเปาปลากระบอกและปูมา
้
ั
้
้
ิ
2. ขอความใดอธบายความหมายของกลมส่งมชวตไดชดเจนที่สด
ั
ุ
ิ
ี
่
้
ุ
ี
ิ
ั
่
่
่
1. ช้างปาจ านวน 15 ตว ก าลงหากินอยูที่ชายปาแห่งหน่ง
ั
ึ
้
ึ
ั
2. ตนสก ตนประดู ตนยาง ขึ้นอยูเปนจ านวนมากบนภูเขาแห่งหน่ง
้
่
่
้
็
3. นกนางแอนหลายพันตวอพยพหนความหนาวเย็นจากประเทศจีนสู ่
ี
่
ั
ประเทศไทยทุกป ี
4. เทือกเขาแห่งหน่งมีตนไมขึ้นอยูมากมายท าให้ดูสดชื่นมีชีวิตชีวา
ึ
้
่
้
็
ี
่
ั
้
3. ขาว แมลง กบ งู คนในโซอาหารน้อะไรจดเปนผูลา ที่ถูก
่
้
ุ
ที่สด
1. คน 2. คน งู 3. แมลง กบ งู คน 4. แมลง กบ งู ช้าว
4. จากขอ 3 ผูผลต คออะไร
ื
้
ิ
้
1. ข้าว กบ 2. ข้าว แมลง 3. ข้าว แมลง กบ 4. ข้าว
ี
5. โดยธรรมชาติแลวสวนประกอบของโซอาหารในระบบนเวศเรยงล าดบ
ั
่
ิ
้
่
้
ตามขอใด
1.ข้าว
ั
ี
ิ
้
ิ
้
2. ผูบรโภคทั้งพืชและสตว์ ผูผลต ผูย่อยสลายอินทรยสาร
้
้
3. ผูผลต ผูบรโภคทั้งพืชและสตว์ ผูย่อยสลายอินทรียสาร
้
ิ
้
ิ
ั
้
ิ
ั
้
4. ผูผลต ผูบรโภคทั้งพืชและสตว์ ผูย่อยสลายอินทรียสาร
้
ิ
่
้
้
้
ิ
่
6. ขอความใดอธบายความหมายของแหลงที่อยูไดถูกตอง 14
่
1. กาฝากเกาะอยูบนตนมะมวงเปนจ านวนมาก
่
็
้
็
ั
้
ึ
2. ชายคาบานหลงหน่งมีมดด า มดแดงเปนจ านวนมาก
ั
ั
่
3. นกนางแอนอพยพมาอาศยท ารงอยูที่อ าเภอบางปู จังหวดสมทรปราการ
่
ุ
ั
้
ั
4. ปลาตีน ปูกามดาบ และหอยหลอดชอบอาศยอยูตามปาชายเลนที่มีตน
่
้
่
ุ
โกงกางและอาหารอดมสมบูรณ์
ี
ั
ิ
ี
ื
่
7. การศึกษาระบบนเวศในแหลงน ้าบรเวณโรงเรยน นกเรยนจะศึกษาเร่องใดได้
ิ
บ้าง
ื้
ิ
ิ
ุ
ี
ุ
ก. ส กล่น ข. ส่งปนเปอน ค. ความข่นใส ง. กลมส่งมีชีวิต จ. อณหภูมิ
ิ
่
ุ
ฉ. ปรมาณน ้าฝน
ิ
1. ก ข ค และ ง 2. ก ข จ และ ฉ 3. ก ค ง และ จ 4. ก ค
จ และ ฉ
ิ
ี
้
8. “ตนกหลาบหนาบานพอใจมหนอนที่เกดจากไขผเส้อมากนใบออนเสมอ และ
ุ
ิ
่
ี
้
้
่
ื
ึ
ี
ั
่
ยงพบวามนกมาจิกกนหนอน ซ่งนกน้จะถูกแมวที่พอใจเล้ยงจบกนเสมอ” จาก
ั
ิ
ี
ิ
ี
้
ี
่
่
ั
ขอมูลดงกลาวเราสามารถเขยนโซอาหารไดแบบใด
้
ุ
1. กหลาบ หนอน นก แมว
ุ
2. แมว นก หนอน กหลาบ
ุ
ื
ี
3. ผเส้อ กหลาบ หนอน นก แมว
ุ
4. กหลาบ ผเส้อ หนอน นก แมว
ื
ี
ั
9. จากขอ 8 ถาแมวที่พอใจเล้ยงตายไปจะสงผลตอโซอาหารลกษณะใด
่
ี
้
้
่
่
้
1. นกมีจ านวนมากขึ้น 2. นกมีจ านวนนอยลง 3. หนอนมีจ านวนมาก
ขึ้น
ุ
4. กหลาบมีจ านวนนอยลง
้
้
้
ี
10. สายใยอาหารที่ประกอบดวย คน นก กบปลา แมลง ขาว และแบคทีเรย
ี
ั
ิ
ส่งมชวตชนดใดที่มโอกาสไดรบการถายทอดพลงงานเปนอนดบสดทาย
้
ุ
็
้
ั
ั
่
ี
ิ
ี
ิ
ั
1. คน 2. นก 3. กบ 4. ปลา
15
ิ
ระบบนเวศ 2
1. ระบบการจดหมวดหมูพืชของลินเนยส (Linnaeus) ยึดเกณฑใด
์
ั
ี
่
ั
ื
้
ก. ขนาดและอายุของพช ข. ที่อยูอาศยและโครงสราง
่
่
้
ั
ั
ค. นบจ านวนโครงสรางบางอยาง ง. ความสมพันธทางพันธุกรรม
์
ิ่
ี
่
้
2. สงมีชวิตที่มีโรงสรางรางกายเปนโฮโมโลกัสกัน (Homologous structure) ควรมีลักษณะใด
็
ื
ก. โครงสรางโฮโมโลกัสกัน ตองท าหนาที่เหมอนกัน
้
้
้
ี
่
่
้
ิ
ี
์
้
ั
่
ข. สงมีชวิตเหลานนตองอยูในสป ีชสเดียวกัน
่
ั
ื
้
่
ื
ิ่
ค. สงมีชวิตเหลานน ควรสบเชอสายมาจากบรรพบุรุษรวมกัน
้
ี
ั
้
ง. สงมีชวิตเหลานน ตองมีกลุมของยีนมาจากประชากรเดียวกัน
้
ิ
่
่
่
ี
่
ี
้
่
์
ั
์
3. ประจกษพยานใดตอไปน้ ปกติจะใชในการระบุความสมพันธทางวิวัฒนาการรวมกันของ
ั
สงมีชวิต
ี
ิ่
้
ี
้
้
ก. ความคลายคลึงทางโครงสราง ข. ความคลายคลึงทางสรระ
้
ค. ความคลายคลึงทางหนาที่ ง. ความคลายคลึงทางการ
้
้
่
่
้
่
4. สาหรายในไฟลัมใดมีความสาคัญแงเปนผูผลิตทีมีปรมาณมารกทีสุดในมหาสมุทร
่
ิ
็
ก. สาหรายสเขียว ข. สาหรายสน้าตาล
่
ี
ี
่
ค. สาปรายสแดง ง. สาหรายสน้าตาลแกมเหลอง
่
ี
่
ื
ี
5. ถานกเรยนแยกเอาสาหรายสเขียวแกมน้าเงินออกไวตางหากจากสาหรายพวกอน ๆ ที่เหลอควร
ี
ั
่
่
ี
ื่
ื
้
่
้
้
์
็
้
จะใชลักษณะใดเปนเกณฑอางอิง
ี
ิ
ั
์
้
ก. ชนดของสารสที่ใชในการสงเคราะหแสง
้
่
ิ
ข. ลักษณะโครงสรางของเซลล เชน นวเคลียส พลาสติด
์
ค. จานวนเซลลและวิธการสบพันธุทังแบบใชเพศและไมใชเพศ
์
ี
้
่
ื
์
้
้
ั
่
็
ง. รูปรางลักษณะ การจดเรยงตัวของเซลล วาเปนสายหรอคลายตนพชชนสูง
์
้
ื
้
ั
ี
ื
่
้
16
่
่
6. สิ่งมีชวิตที่จัดอยูในอาณาจักโปรติสตา ได้แก สิ่งมีชวิตพวกที่
ี
ี
ก. มีโครงสรางไมซับซ้อนและมีเซลล์เดียว
้
่
ื
้
ข. มีโครงสรางที่มีเซลล์เดียวหรอหลายเซลล์
ค. มีเซลล์เดียวหรอหลายเซลล์ก็ได้ แต่เซลล์ไมรวมกนเปนเน้อเยื่อ
ื
่
็
ื
ั
ี
้
ง. มีเซลล์เดียวซึ่งสามารถท าหนาที่ของสิ่งมีชวิตได้ครบถ้วนภายในเซลล์ เดียว
้
ื
้
ุ
ั
7. วนที่ใชท าขนม สารซิลิกาที่ใชท าเคร่องแกว ยาสีฟน ท าฉนวนไฟฟาต่าง ๆ
้
้
้
่
ี
เหลาน้ ได้มาจากสิ่งมีชวิต
ี
ุ่
กลมไหน
่
ก .แบคทีเรีย ข เช้อรา ค สาหราย ง โปรโตซัว
ื
8. เหตุผลขอใดถูกต้องที่สดในการที่กลาววา สาหรายทะเลขนาดใหญไมมีล าต้นที่
้
่
่
่
่
่
ุ
่
ื
ิ
แท้จรง เน่องจากสวนที
ั
่
ั
้
คลายล าตันของมนน้นไมมี
้
ก. เน้อไม (wood) และเปลือกไม ้ ข. ท่อน ้า ท่ออาหาร
ื
้
้
้
ค. ขอและปลอง ง. ตาที่จะแตกกิ่งกาน
9. “พืชและสตว์ มีความเจรญกาวหนาสูงกวาลักษณะส าคัญของพืชและสตว์ที่
้
่
้
ั
ั
ิ
ุ
ั
สนบสนนโปรตีสต์”
ค ากลาวน้ ี
่
ก. มีหลายเซลล์ ข. มีวฏจักรชีวิตแบบ
ั
สลับ
ค. มีระยะตัวอ่อน ง. มีขนาดใหญ ่
ซับซ้อน
่
10. มอสเปนพืชที่มีขนาดเล็ก ถ้าสมมติวามอสมีขนาดใหญเท่าต้นขาวโพด มอส
้
็
่
จะต้องตาย เพราะอะไร
ิ
่
ก. ขาดอาหารเน่องจากไมมีใบที่แท้จรง
ื
่
ข. ขาดน ้าและอาหาร เน่องจากไมมีระบบท่อล าเลียง
ื
่
ื
ค. ขาดน ้าและแรธาตุ เน่องจากไมมีรากที่แท้จรง
ิ
่
ื
ั
ง. ขาดอาหาร เน่องจากสงเคราะห์ด้วยแสงได้ไมพอ
่
17
ภาคผนวก
ิ
เฉลยแบบทดสอบ ระบบนเวศ บทที่ 1
ื
่
ึ
้
1. 3 เทือกเขาแห่งหน่งมีต้นไมขึ้นอยูมากมายท าให้ดูสดช่นมีชีวิตชีวา
ึ
่
ื
ึ
2. 4 เทือกเขาแห่งหน่งมีต้นไมข้นอยูมากมายท าให้ดูสดช่นมีชีวิตชีวา
้
3. 3 แมลง กบ งู คน
4. 4 ขาว
้
้
5. 1 ขาว
ึ
็
6. 2 ชายคาบานหลงหน่งมีมดด า มดแดงเปนจ านวนมาก
ั
้
7. 1 ก ข ค และ ง
8. 1 กุหลาบ หนอน นก แมว
9. 1 นกมีจ านวนมากข้น
ึ
10. 1 คน
เฉลยแบบทดสอบ ระบบนเวศ บทที่ 2
ิ
ั
1. ค นบจ านวนโครงสรางบางอย่าง
้
่
ื
ั
ี
2. ค สิ่งมีชวิตเหลาน้น ควรสืบเช้อสายมาจาก
่
ุ
บรรพบุรษรวมกัน
3. ค ความคลายคลึงทางหนาที่
้
้
4. ง สาหรายสีน ้าตาลแกมเหลือง
่
่
ิ
5. ข ลกษณะโครงสรางของเซลล์ เชน นวเคลียส
้
ั
พลาสติก
6. ค มีเซลล์เดียวหรือหลายเซลล์ก็ได้ แต่เซลล์ไม ่
ื
รวมกันเปนเน้อเยื่อ
็
่
7. ค สาหราย
8. ข ท่อน ้า ท่ออาหาร
9. ค มีระยะตัวอ่อน
ื
10. ข ขาดน ้าและอาหาร เน่องจากไมมีระบบท่อ
่
ล าเลียง
18
บรรณานกรม
ุ
https://sites.google.com/
https://sites.google.com/
https://www.trueplookpanya.com/
https://ngthai.com/
https://sites.google.com/
http://newjume6.blogspot.com
https://ammararat.wordpress.com