The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทที่ 1ประวัติความเป็นมาของลายรดน้ำ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by surat boonthrong, 2020-12-27 23:43:24

บทที่ 1ประวัติความเป็นมาของลายรดน้ำ

บทที่ 1ประวัติความเป็นมาของลายรดน้ำ

บทที่ 1

ประวตั คิ วามเป็นมาของลายรดน้า

ลายรดน้า หมายถงึ ลวดลายหรือภาพรวมถึงภาพประกอบลายตา่ ง ๆ ท่ีปดิ ดว้ ยทองคาเปลวบนพ้ืนรัก
โดยลวดลายหรือภาพลายทองที่ปรากฏสาเร็จในข้ันสุดท้ายด้วยการเอาน้ารด กล่าวโดยย่อ “ลายรดน้า” คือ
ลายทองท่ลี ้างด้วยนา้

“ลายรดน้า” เป็นงานหัตถศิลป์ชั้นสูงอย่างหนึ่งของไทย จัดอยู่ในงาน “ช่างรัก” อันเป็นสาขาหน่ึง
ของช่างสบิ หมู่ ลกั ษณะของลายรดน้าเป็นการทาลวดลายหรอื ภาพปิดด้วยแผ่นทองคาเปลวบนพ้ืนรักสีดาหรือ
สีแดง สาหรับตกแต่งสงิ่ ของเคร่อื งใช้ท่ีทาดว้ ยไม้ หนังหรือไม้ไผ่สาน เป็นต้น มีตั้งแต่ภาชนะขนาดเล็ก เช่น
กลอ่ ง กรอบรูป สมกุ หมวก โล่ ฯลฯ และขนาดใหญ่ เชน่ หบี โต๊ะ ตู้ ฯลฯ

นอกจากภาชนะต่างๆ แล้วยังมีการทาลายรดน้าเพ่ือตกแต่งส่วนประกอบของอาคาร เช่น บานประตู
หน้าต่าง ลับแล ตลอดจนฝาผนังที่ทาด้วยไม้ ฝาผนังอาคารท่ีตกแต่งด้วยลายรดน้าน้ัน ยังเหลือร่องรอย
หลักฐานการสร้างงานประเภทนี้อยู่ในท่ีต่างๆ เช่น หอเขียนวังสวนผักกาด กรุงเทพมหานคร พระตาหนัก
ทอง วัดไทร เขตบางขุนเทยี น กรงุ เทพมหานคร และหอไตรวัดสงิ ห์ อาเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี

งานลายรดนา้ มวี วิ ัฒนาการสืบตอ่ กันมาต้ังแต่คร้ังบรรพบุรุษ แต่ไม่มีหลักฐานใดยืนยันแน่ชัดลงไปว่า
มมี าตั้งแต่สมยั ใด ได้รับอิทธิพลมาจากใคร แต่สาหรบั ในประเทศไทยแลว้ เชือ่ วา่ ...น่าจะมีการพัฒนาการมาจาก
งานช่างรกั เมือ่ คร้ังสมัยสโุ ขทยั เปน็ ราชธานี มกี ารลงรักปดิ ทองพระพทุ ธรปู ซ่งึ เปน็ พระประธานในพระอโุ บสถ
และวิหารต่างๆ ของ กรุงสุโขทัย อาทิ พระศรีศากยมุนี (ปัจจุบันประดิษฐานท่ีวัดสุทัศน์เทพวราราม
กรงุ เทพมหานคร) พระพทุ ธชินราช จงั หวดั พิษณโุ ลก ฯลฯ และการลงรักปดิ ทองลอ่ งชาดบนลวดลายปูนปั้นใน
ซุ้มเจดีย์วัดนางพญา อาเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ซึ่งยังคงปรากฏหลักฐานให้เห็นได้อย่างเลือนลางใน
ปัจจุบนั อย่างไรกต็ ามงานลายรดนา้ ก็สามารถท่ีจะศึกษาค้นคว้า ได้ตามลาดบั สมยั ต่อมา คือ

1. สมยั อยุธยา
2. สมัยรัตนโกสนิ ทร์ตอนต้น (รัชกาลท่ี 1 – 3)
3. สมยั รัตนโกสินทร์ (รชั กาลท่ี 4 – ปจั จุบนั ) แบ่งเป็น

3.1 สมยั รัชกาลที่ 4
3.2 สมัยรชั กาลท่ี 5 – ปจั จุบนั

สมยั อยธุ ยา

มีหลักฐานเก่ียวกับการเขียนลายรดน้าที่เก่าแก่ที่สุดปรากฏอยู่ในกฎมณเฑียรบาล ซึ่งต้ังข้ึนเม่ือคร้ัง
แผน่ ดนิ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถว่า ดว้ ยพระราชกาหนดเครื่องราชอิสริยยศความว่า “....พัดต่อด้ามประมุข
ใบทาชาดเขียนลายทอง” (กฎหมายตราสามดวง เล่ม 1.2505:159) กล่าวถงึ การตกแตง่ ดว้ ยวธิ ีปิดทองรดน้า
สมัยอยุธยา ยุคแรก ๆ มักนิยมเขียนระบายด้วยพื้นสีแดงชาด ส่วนพ้ืนสีดาล้วนเป็นสิ่งที่ทาต่อมาในภายหลัง
อาจเป็นไปไดว้ ่า ชา่ งฝีมือจะถกู รวบรวมไว้ในราชสานกั เมอื่ ทาสิง่ ของข้ึนมาจาเพาะมหากษัตริย์ ในส่วนพ้ืนสีดา
เมอ่ื สามัญชนมีความศรัทธาต่อศาสนาจึงสร้างให้แตกต่างกันระหว่างส่ิงของเคร่ืองใช้ของพระมหากษัตริย์กับ
สงิ่ ของเครอ่ื งใช้ในพุทธศาสนา

1

ในพุทธศตวรรษท่ี 22 – 23 เป็นช่วงสมัยท่ีลายรดน้าในสมัยอยุธยาเจริญรุ่งเรืองท่ีสุดและได้รับการ

ยกย่องว่าเป็นฝีมือช้ันบรมครู ดังปรากฏหลักฐานชัดเจนคือ ตู้พระธรรมฝีมือช่างวัดเชิงหวาย จังหวัด

พระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถาน

แห่งชาติ กรุงเทพฯ ทะเบียนเลขท่ี…กพช.ตู้ฐานสิงห์ (ศิลปากร,

กรม.2533:225) เป็นตู้ฐานสิงห์ ตกแต่งลวดลายตอนบนเป็น

ภาพต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาจากริมตู้ มีดอก และใบเต็มเนื้อที่

ตอนล่างเขียนเป็นลายกนกเปลวเครือเถา ครุฑคาบ นกคาบ

ออกเถาหัวนาคเคล้าภาพสัตว์ นก กระรอก แมลงและสัตว์ป่า

นานาชนิด รวมทั้งสัตว์หิมพานต์ ภาพตอนบนและตอนล่างมี

ความแตกตา่ งกันในสว่ นขององคป์ ระกอบ แต่มีความกลมกลืนกัน

ในระหว่างลวดลายกระหนกท่ีพรวิ้ ไหวเหมือนเปลวเพลิง กับความ

แข็งกระด้างของก่ิงไม้ใหญ่ ดอกและใบตามกิ่งก้านท่ีดูแน่นจน

ต้พู ระธรรมลายรดน้า เกือบทึบ คละเคล้าด้วยนก แมลง กระรอก ด้วยท่าทางที่
เม่ือครั้งเก็บรักษาไวท้ ่ีหอพระสมดุ วชริ ญาณ เคล่ือนไหวเป็นธรรมชาติมีชีวิตชีวา แสดงให้เห็นความคิดที่เป็น

ปัจจุบนั จัดแสดงอยทู่ ี่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงเทพฯ
อสิ ระของช่างลายรดน้าสมัยอยุธยาที่ใช้จินตนาการของตนเองสร้างผลงานข้ึนอย่างอัจฉริยะ (ศิลปากร, กรม.

2533:225) หากแต่การตกแต่งด้วยเทคนิคลายรดน้า ไม่ปรากฏหลักฐานที่ช้ีชัดในการกาหนดอายุให้

แน่นอนลงไปได้ คงอาศัยการสังเกตลวดลายไปเปรียบเทียบกับหลักฐานงานศิลปะแขนงอ่ืน อาทิ ลวดลาย

ปูนปัน้ จติ รกรรมฝาผนงั หรือลวดลายสลกั ไม้ เปน็ ตน้

นอกจากนี้ยังปรากฏหลักฐานท่ีเหลือ อยู่ตามวัดวาอารามนอกกาแพงเมืองอยุธยา และตาหนักของ

เจ้านายเช่นหอไตร วัดบ้านกลิ้ง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันอยู่ในวังสวนผักกาด ถนนศรีอยุธยา
กรุงเทพฯ เรียกหอเขียนวังสวนผักกาด ตาหนักปลายเนินของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวั ดติวงศ์

คลองเตย มีตู้พระไตรปิกฎและหับพระธรรมสมัยเดียวกันกับตู้พระไตรปิฎกวัดเชิงหวายหลายช้ิน ท่ีวัดไทร
คลองด่าน บางขุนเทียน พระตาหนักที่มีการลงรักเขียนลายรดน้าปิดทองบนฝาประจันห้อง มีฝีมือประณีต
งดงามเรียกว่า พระตาหนัก พระเจ้าเสือ (ตาหนกั ทอง) เขียนเป็นลายกระหนกขนาดใหญ่ ก้านลายไขว้กนั เบ้ือง

ล่างเขียนรูปกินนรและกินนรีกาลังรา ชฎาท่ีสวมเป็นชฎายอดแหลมทรงสูง แบบอยุธยาตอนปลาย (น. ณ
ปากน้า, 2533 : 45) และศาลาการเปรยี ญวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี ซ่งึ เป็นพระราชมณเฑียรของ

อยธุ ยา มีการออกแบบใช้ลวดลายรดน้าตกแต่งบนเสาแปดเหลยี่ มทม่ี ีลวดลายและฝีมืองดงามย่ิง การออกแบบ
ลวดลายคดิ ประดิษฐพ์ ลิกแพลงผิดแผกไปทุกคเู่ สา ลีลาลวดลายดูมีชีวิตชีวา ซึ่งถ้าดูผิวเผินจะรู้สึกว่ามีลวดลาย
เหมือนกัน แตท่ จ่ี ริงจะมคี วามเหมอื นเพยี งแบบแผนโครงสร้างส่วนรวมเท่านั้น รูปแบบของศิลปะลายรดน้าใน

สมัยอยุธยายุครุ่งเรืองพุทธศตวรรษที่ 22-23 ได้รับการยกย่องว่า เป็นฝีมือช้ันบรมครูซึ่งเป็นแบบฉบับลาย
กระหนกเปลวเครือเถาทีส่ วยงามทีส่ ุดของสมยั อยุธยามีวิวัฒนาการของตัวลายที่สร้างสรรค์ดังท่ี น. ณ ปากน้า

ไดว้ ิเคราะห์จาแนกออกเปน็ 3 แบบ ดังนี้

1. แบบลายกระหนกเปลว มีลักษณะเด่นชัดของลวดลายคือ ปลายกระหนกสะบัด พล้ิว
ไหวเหมือนเปลวไฟ มนี กคาบเป็นตัวแยกช่อลาย ท่ีแตกกิ่งก้านสาขาผสมผสานกับก่ิงใบ และลาต้นของพรรณ
พฤกษานานาพันธ์ุ รวมไปถึงภาพสตั วต์ า่ ง ๆ ผลงานทโี่ ดดเด่นได้แก่ตพู้ ระไตรปฎิ กสกลุ ชา่ งวัดเชงิ หวาย

2

2. แบบผสมผสานลายกระหนก อาทิ กระหนกใบเทศ ช่อหางโต ทรงพุ่มเข้าบิณฑ์ และ
ต้นไม้ใบหญ้าคละเคล้าไปด้วยสรรพสัตว์ต่างๆ ได้แก่ ตู้พระไตรปิฎกวัดศาลาปูน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ปัจจุบนั อยใู่ นสภาพชารุดไมส่ ามารถประกอบเปน็ ตไู้ ด้ ลวดลายเหลอื เพียงดา้ นข้าง 2 ดา้ นเทา่ นัน้

3. แบบสมดุลสองขา้ ง ลวดลายพงุ่ ออกจากแกนกลางเรียกว่าลายรวงข้าว ลายไฟพะเนียง
(ดอกไมไ้ ฟ) โดยลวดลายอยใู่ นทรงพุ่มเข้าบิณฑ์ ชอ่ หางโต หางไกล ผสมผสานกับตัวสตั ว์ ลวดลายในกลุ่มน้ีจะมี
แบบแผนมากขึ้น ฝีมือช่างในกลุ่มน้ีมีผลงานเป็นหลักฐานคือ ตู้พระไตรปิ ฎก วัดศาลาปูน จังหวัด
พระนครศรีอยุธยาท่ีเก็บรักษาไว้ในหอสมุดวชิรญาณ กรุงเทพฯ (ตู้พระธรรม อ.ย. 7 ตู้ฐานสิงห์ เลขท่ีเดิม
113) (น. ณ ปากน้า, 2533 : 12-13) มลี ักษณะลวดลายเป็นกระหนกเปลว (ลายรวงข้าว) และเขียนเป็นรูป
กอไผ่ ลวดลายกระหนกเลยี นแบบลายไฟพะเนียง มีระเบียบแบบแผนของลายรนุ่ เก่า กาบและใบเป็นกระหนก
เปลว ช่อกระหนกแตกก่ิงก้านสาขาละเอียดพิสดาร มีตัวสัตว์เกาะ วิ่ง กระโดดไปตามกิ่งก้าน ลวดลาย ฝีมือ
งดงามย่ิง (น. ณ ปากนา้ , 2533 : 48)

สมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ (รชั กาลท่ี 1 - 3)

มกี ารสบื ทอดความรุ่งเรืองของงานลายรดน้ามาจากสมัยอยุธยาทั้งรูปแบบวิธีการและคตินิยมในการ
เขียน ซึ่งสามารถศกึ ษาได้จากสมัยตา่ ง ๆ คือ

สมัยรัชกาลที่ 1 เป็นผลงานที่สืบทอดต่อเนื่องมาจากสมัยอยุธยา ฝีมือและคุณค่ายังคงเห็นความ
สะบัดพลิ้วของกระหนกเปลวเพลิง แต่ความมีพลังน้อยลง เม่ือเปรียบเทียบกับสมัยอยุธยาอันเนื่องมาจาก
บา้ นเมืองเพ่ิงจะฟน้ื ฟขู ้ึนใหม่

สมัยรัชกาลท่ี 2 ยังคงมีเค้าโครงของรูปแบบและแนวปฏิบัติต่อเนื่องมาจากสมัยรัชกาลที่ 1 (คณะ
จิตรกรรม ประตมิ ากรรม และภาพพิมพ์ 2541 : 23)

สมัยรชั กาลท่ี 3 เป็นยุคที่เฟ่ืองฟูมาก เป็นยุคทองแห่งศิลปะรัตนโกสินทร์เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองข้ึน
มีการติดต่อค้าขายกับประเทศจีนและประเทศอื่น ๆ พระมหากษัตริย์ทรงทานุบารุงพระศาสนา สร้างและ
ปฏิสังขรณ์ วัดวาอารามต่างๆ มากมาย (คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ 2541 : 64) มีการ
เขยี นลายรดน้าประดบั ตกแต่งตามท่ีตา่ งๆ เช่น บานประตู หน้าตา่ ง อโุ บสถ วหิ าร หอไตร และส่ิงของเคร่ืองใช้
ต่างๆ มากมาย อาทิ ต้พู ระไตรปิฎก หบี พระธรรม หบี หนังสือกณั ฑเ์ ทศน์ ฉากลับแล ใบประกับคมั ภรี ์ เปน็ ตน้

อทิ ธพิ ลจากจีนท่เี ข้ามาผสมผสาน ทาใหร้ ปู แบบลายรดนา้ เปลี่ยนไป แต่ยังคงเหลือเค้าโครงเดิมอยู่บ้าง
เม่อื เปรียบเทยี บแตล่ ะสมัยแลว้ จะเหน็ ไดว้ า่ พลงั ของความกระตอื รือร้นทางศิลปะถดถอย ระเบยี บวิธีการวางตัว
ภาพ ลักษณะท่าทางและโครงสร้างของตัวภาพทาได้ดี ตัวลายมีช่องไฟมากข้ึน แต่การเขียนกระหนกเปลว
ตา่ งๆ ขาดพลงั ฉากโขดหนิ และต้นไม้ รวมทัง้ ลวดลายประกอบเป็นฉาก แน่นทึบอยู่ในระเบียบแบบแผนอย่าง
เคร่งครดั และซ้าๆ กัน จนดนู ่าเบ่อื แม้จะมีลูกเลน่ จาพวกสงิ สาราสตั วต์ ่างๆ นก ลิง กระรอก กระแต กระต่าย
แตจ่ ะไมโ่ ดดเดน่ และถูกกลนื เขา้ กบั ความแนน่ ทึบของเถาลายมากกว่า (น. ณ ปากนา้ , 2533 : 22)

สมัยรตั นโกสนิ ทรร์ ัชกาลท่ี 4 – ปัจจบุ นั

สมัยรัชกาลท่ี 4 มีผลงานลายรดน้าแพร่หลายท่ัวไปเป็นงานที่จัดได้ว่าเป็นจุดสุดยอดของสมัย
รัตนโกสินทร์ คือ สามารถแสดงความโดดเด่นเฉพาะตัวเป็นเอกลักษณ์ของรัชสมัยได้อย่างชัดเจนท้ังความคิด

3

การสืบทอดฝมี อื และเทคนคิ วธิ ีการเก่าแก่ในสมัยน้ีผลงานจัดออกเป็น 2 ลักษณะ คือ (น.ณ ปากน้า, 2533 :
24)

1. การยดึ ถอื คตนิ ยิ มเก่า ตามแบบแผนโบราณ
2. การรับเอาอิทธพิ ลความเจริญรุ่งเรอื งจากชาติตะวันตกนามาผสมผสานกับขนบประเพณนี ยิ มด้ังเดิม
เช่น ภาพท่ีผสมผสานระหว่างตัวภาพเดิม ๆ กับโครงสร้างอาคาร สถาปัตยกรรมแบบฝรั่ง ลวดลายฉากหลังที่
ผูกเปน็ ลวดลายฝร่งั ทเ่ี รียกว่าลายกระหนกเครือวัลย์ หรอื ลายเครือเถาฝร่ัง มภี าพนกอรหันต์ท่ีมีหน้าตาเป็นฝร่ัง
และการผสมผสานลวดลายใบเทศกบั ใบอะแควนตัสมาผกู เปน็ ลวดลายให้เกิดความงามอย่างชาญฉลาดดังที่ น.
ณ ปากน้า ได้สรปุ ลกั ษณะภาพลายรดนา้ บนตพู้ ระธรรมสมยั รัชกาลท่ี 4 ไว้ว่า

1) การจดั ภาพ การวางภาพองคป์ ระกอบของภาพทาได้ดีอาจเปน็ เพราะว่า มกี ารสืบความคิด
และฝีมือผู้สอนตั้งแต่ครง้ั สมัยรัชกาลท่ี 3 หรืออาจเห็นแบบแผนจากภาพเขียนตะวันตกที่แพรห่ ลายเขา้ มา

2) การใส่ลายดอกไม้ร่วง จัดวางอย่างมีระเบียบอย่างดี การเขียนโขดเขา สถาปัตยกรรม
ต้นไม้ใบไมข้ าดพลังสรา้ งสรรคก์ ลายเป็นเพยี งการจับวางเท่านน้ั

3) การเขียนภาพผู้คน ตัวภาพไทยนนั้ เป็นการสบื ทอดฝมี อื ช่างมาชา้ นาน มีกาหนด กฎเกณฑ์
มแี มบ่ ท แต่การเขียนตน้ ไม้ ใบไม้ขาดพลงั สรา้ งสรรค์ ไม่พลิว้ ไหว ไม่มชี วี ติ ชีวา (น.ณ ปากน้า, 2533 : 23)

สมยั รชั กาลที่ 5 – ปัจจุบนั อิทธพิ ลจากตะวันตกเข้ามาครอบงา จนทาให้งานลายรดน้าเกือบจะเป็น
ตานานทางมรดกศิลปวัฒนธรรมที่มีไว้เพียงการเล่าขานสืบต่อกันเท่านั้นการเขียนลายรดน้ามีเพียงการเขียน
ซ่อมแซม บรู ณปฏสิ ังขรณ์ผลงานเก่าในอดตี เป็นหลกั ภายใต้เง่ือนไขทางการเงินและระยะเวลาเป็นตัวกาหนด
การเขียนซ่อมผิดเพี้ยนไปจากเดมิ อาจจะเปน็ เพราะชา่ งขาดทกั ษะ ความชานาญ ขาดความรู้ท่ีแท้จริง และขาด
โอกาสในการสร้างสรรค์ รวมไปถึงวสั ดอุ ปุ กรณ์ หาได้ยากและมรี าคาแพง วัสดทุ จี่ าเป็นถกู ปลอมปนจนไม่เหลือ
เน้อื แท้ ทาใหง้ านช่างลายรดน้าออกมาในเชิงพาณิชย์ศิลป์มากกว่าการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมโดยเฉพาะ การ
สบื ทอดงานชา่ งท่เี ป็นภมู ิปัญญาไทย อนั ทรงคุณคา่ เกือบจะสญู สลายไป

4


Click to View FlipBook Version