เหมือนคนป่ าคนไพรไมร่ ุ่งเรือง จะพดู ดว้ ยน้นั กเ็ ปลืองซ่ึงวาจา
แตก่ รุงไทยศรีวไิ ลทนั เพื่อนบา้ น จึงมีช่างชานาญวิเลขา
ท้งั ช่างป้ันช่างเขียนเพยี รวชิ า อีกช่างสถาปนาถูกทานอง
ท้งั ช่างรูปพรรณสุวรรณกิจ ช่างประดิษฐร์ ัชดาสง่าผอ่ ง
อีกช่างถมลายลกั ษณะจาลอง อีกช่าชองเชิงรัตนประกร
ควรไทยเราช่วยบารุงวชิ าช่าง เครื่องสาอางแบบไทยสโมสร
ช่วยบารุงช่างไทยใหถ้ าวร อยา่ ใหห้ ยอ่ นกวา่ เขาเราจะอาย
อนั ของชาติไพรัชช่างจดั สรร เป็นหลายอยา่ งต่างพรรณเขา้ มาขาย
เราตอ้ งซ้ือหลากหลากและมากมาย ตอ้ งใชท้ รัพยส์ ุรุ่ยสุร่ายเป็ นก่ายกอง
แมพ้ วกเราชาวไทยต้งั ใจช่วย เอออานวยช่างไทยใหท้ าของ
ช่างคงใฝ่ ใจผกู ถูกทานอง และทาของงามงามข้ึนตามกาล
เราช่วยช่างเหมือนอยา่ งช่วยบา้ นเมือง ไดป้ ระเทืองเทศไทยอนั ไพศาล
สมเป็ นเมืองใหญ่โตมโหฬาร พอไม่อายเพื่อนบา้ นจ่ึงจะดี
ประการหน่ึงพงึ คิดในจิตมนั่ วา่ ทรงธรรมเ์ หมือนบิดาบงั เกิดหวั
ควรเคารพย าเยงและเกรงกลวั ประโยชน์ตวั นึกนอ้ ยหน่อยจะดี
ควรนึกวา่ บรรดาขา้ พระบาท ลว้ นเป็นราชบริพารพระทรงศรี
เหมือนลูกเรืออยใู่ นกลางหวา่ งวารี จาตอ้ งมีมิตรจิตรสนิทกนั
แมล้ ูกเรือเชื่อถือผเู้ ป็นนาย ตอ้ งมุง่ หมายช่วยแรงโดยแขง็ ขนั
คอยต้งั ใจฟังบงั คบั กปั ปิ ตนั นาวาน้นั จึงจะรอดตลอดทะเล
แมล้ ูกเรืออวดดีมีทิฐิ และเริ่มริเฉโกยงุ่ โยเส
เม่ือคลื่นลมแรงจดั ซดั โซเซ เรือจะเหล่ระยาคว่าไป
แมต้ ่างคนต่างเถียงเก่ียงแก่งแยง่ นายเรือจะเอาแรงมาแต่ไหน
แมไ้ มถ่ ือเคร่งคงตรงวนิ ยั เม่ือถึงคราวพายใุ หญ่จะครวญคราง
นายจะสั่งส่ิงใดไมเ่ ขา้ จิต จะตอ้ งติดตนั ใจใหข้ ดั ขวาง
จะยงุ่ แลว้ ยงุ่ เล่าไมเ่ ขา้ ทาง เรือกค็ งอบั ปางกลางสาคร
ถึงเสวที ่ีเป็นขา้ ฝ่ าพระบาท ไมค่ วรขาดความสมคั รสโมสร
ในพระราชส านกั พระภูธร เหมือนเรือแล่นสาครสมุทรไทย
เหล่าเสวกตกที่กะลาสี ควรคิดถึงหนา้ ท่ีน้นั เป็นใหญ่
รักษาตนเคร่งคงตรงวนิ ยั สมานใจจงรักพระจกั รี
ไมค่ วรเลือกที่รักมกั ที่ชงั สามคั คีเป็นกาลงั พลงั ศรี
ควรปรองดองในหมู่ราชเสวี ใหส้ มที่ร่วมพระเจา้ เราองคเ์ ดียว
กระทรวงศึกษาธิการ, หนงั สือเรียนรายวชิ าพ้ืนฐานภาษาไทยวรรณคดีวจิ กั ษช์ ้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๒,
(กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค,๒๕๕๔), ๓๙, ๔๐
เฉลยใบงาน
เร่ือง ประวตั ผิ ู้แต่งบทเสภาสามคั คเี สวก ตอนวศิ วกรรมาและสามคั คเี สวก
ช่ือ………………………………………..นามสกลุ ……………..…………………..ช้ันม.๒/………เลขท่ี………….
ตอนท่ี ๑
คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนตอบคาถามตอ่ ไปน้ี
๑. ใครคือผแู้ ตง่ บทเสภาสามคั คีเสวก ตอนวศิ วกรรมาและสามคั คีเสวก
พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
๒. ผแู้ ตง่ เป็นพระราชโอรสของใคร
เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กบั สมเด็จพระศรีพชั รินทราบรม
ราชินีนาถ
๓. ผแู้ ตง่ พระราชสมภพเมื่อใด
เมื่อวนั ท่ี ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๓
๔. เม่ือพระราชสมภพ ทรงมีพระนามเดิมวา่ อะไร
สมเดจ็ พระเจา้ ลูกยาเธอ เจา้ ฟ้ ามหาวชิราวธุ
๕. ผแู้ ตง่ เดินทางไปศึกษาต่อ ณ ประเทศใด และทรงศึกษาในสาขาใดบา้ ง
ประเทศองั กฤษ ทรงศึกษาวชิ าทหาร วชิ าพลเรือน และภาษาฝร่ังเศส
๖. ผแู้ ตง่ ทรงศึกษาในดา้ นใดที่วทิ ยาลยั ไครสตเ์ ชิชแห่งมหาวทิ ยาลยั ออกซ์ฟอร์ด
ทรงศึกษาวชิ าประวตั ิศาสตร์และกฎหมาย
๗. ผแู้ ต่งทรงมีความเชียวชาญในดา้ นใด
ดา้ นอกั ษรศาสตร์
๘. เร่ืองใดบา้ งของผแู้ ต่งท่ีไดร้ ับการยกยอ่ งจากวรรณคดีสโมสร
มทั นะพาธาคาฉนั ทแ์ ละหวั ใจนกั รบ
๙. ผแู้ ตง่ ทรงใชพ้ ระนามแฝงในพระราชนิพนธ์ ท่ีเป็นพระนามแฝงภาษาไทย อะไรบา้ ง
อศั วพาหุ รามจิตติ ศรีอยธุ ยา นายแกว้ นายขวญั พนั แหลม พระขรรคเ์ พชร
๑๐.ผแู้ ต่งทรงไดร้ ับพระสมญั ญานามวา่ อะไร เนื่องจากอะไร
พระมหาธีรราชเจา้ เน่ืองมาจากความเป็นปราชญใ์ นทางอกั ษรศาสตร์
ตอนที่ ๒
คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนโยงสัมผสั นอกของบทเสภาสามคั คีเสวก ตอ่ ไปน้ี
อนั ชาติใดไร้ศานติสุขสงบ ตอ้ งมวั รบราญรอนหาผอ่ นไม่
ณ ชาติน้นั นรชนไม่สนใจ ในศิลปะวไิ ลละวาดงาม
แต่ชาติใดรุ่งเรืองเมืองสงบ วา่ งการรบอริพลอนั ลน้ หลาม
ยอ่ มจานงศิลปาสง่างาม เพอื่ อร่ามเรืองระยบั ประดบั ประดา
อนั ชาติใดไร้ช่างชานาญศิลป์ เหมือนนารินไร้โฉมบรรโลมสง่า
ใครใครเห็นไมเ่ ป็ นที่จาเริญตา เขาจะพากนั เยย้ ใหอ้ บั อาย
ศิลปกรรมนาใจใหส้ ร่างโศก ช่วยบรรเทาทุกขใ์ นโลกใหเ้ หือดหาย
จาเริญตาพาใจใหส้ บาย อีกร่างกายกจ็ ะพลอยสุขสราญ
แมผ้ ใู้ ดไม่นิยมชมส่ิงงาม เม่ือถึงยามเศร้าอุราน่าสงสาร
เพราะขาดเครื่องระงบั ดบั ราคาญ โอสถใดจะสมานซ่ึงดวงใจ
ตอนท่ี ๓
คาส่ัง ใหน้ กั เรียนถอดคาประพนั ธ์ต่อไปน้ีใหไ้ ดใ้ จความสมบรู ณ์ถูกตอ้ ง
ชาติใดที่มีศึกสงครามไมม่ ีความสงบสุขในแผน่ ดิน ประชาชนยอ่ มไมม่ ีจิตใจสนใจความงดงาม ของศิลปะ
แต่หากชาติใด บา้ นเมืองสงบสุขปราศจากสงครามประชาชนก็จะทานุบารุงการศิลปกรรมท้งั ปวง ใหเ้ จริญรุ่งเรือง
ชาติใดท่ีปราศจากช่างศิลป์ ก็เปรียบเสมือนหญิงสาวท่ีไมม่ ีความงามไม่เป็นท่ีตอ้ งตาตอ้ งใจ ของใคร มีแตจ่ ะถูกเยาะ
เยย้ ใหไ้ ดอ้ บั อาย ศิลปกรรมน้นั ช่วยทาใหจ้ ิตใจคลายเศร้าช่วยทาใหค้ วามทุกขห์ มด ทาใหจ้ ิตใจของเรามีความสุขซ่ึง
จะส่งผลใหร้ ่างกายแขง็ แรงไปดว้ ยตรงกนั ขา้ มหากใครไม่เห็นคุณคา่ ความงาม ของศิลปะเม่ือเผชิญความทุกขก์ ็ไม่มี
สิ่งใดมาเป็นยาช่วยสมานบาดแผลของจิตใจเขาเหล่าน้นั จึงเป็นคน ท่ีน่าสงสารยง่ิ นกั เพราะความรู้ทางช่างศิลป์
สาคญั เช่นน้ีนานาประเทศจึงนิยมยกยอ่ งคุณคา่ ของศิลปะ และความสามารถเชิงช่างของช่างศิลป์ วา่ เป็นเกียรติยศ
ความรุ่งเรืองของแผน่ ดินคนที่ไมเ่ ห็นคุณค่าของศิลปะก็ เหมือนคนป่ าคนดง พดู ดว้ ยกเ็ ปลืองน้าลายเปล่า แต่
ประเทศไทยของเราน้นั เห็นคุณค่าของงานช่างศิลป์ เช่นช่างป้ัน ช่างเขียน ช่างสถาปัตยกรรม ช่างทองรูปพรรณ
ช่างเงิน ช่างถมและช่างอญั มณี
เราจึงควรสนบั สนุนงานช่างศิลป์ ไทยใหก้ า้ วหนา้ รุ่งเรืองอยา่ ใหด้ อ้ ยนอ้ ยหนา้ กวา่ นานาประเทศ
ชาวต่างชาติเม่ือมาเยอื นเมืองไทยจะไดซ้ ้ือหางานศิลปะเหล่าน้ีกลบั ไปเพราะเห็นในคุณค่าการช่วยสนบั สนุน งาน
ศิลปกรรม และส่งเสริมช่างศิลปะไทยใหส้ ร้างสรรคง์ านศิลปะข้ึนจึงเท่ากบั ไดช้ ่วยพฒั นาชาติ ใหเ้ จริญ พฒั นาอยา่ ง
ถาวร
นบั ถือเราตอ้ งไม่เห็นแก่ประโยชนส์ ่วนตวั มากเกินไป ควรนึกวา่ พวกเรากเ็ ป็นขา้ รับใชข้ องพระเจา้ แผน่ ดิน
คนหน่ึงเหมือนลูกเรือท่ีอยใู่ นเรือกลางทะเลจาเป็นที่จะตอ้ งมีความสามคั คีตอ่ กนั และกนั ถา้ ลูกเรือเช่ือฟังกปั ตนั ก็
จะตอ้ งช่วยกปั ตนั อยา่ งแขง็ ขนั ตอ้ งต้งั ใจฟังคาสง่ั ของกปั ตนั เรือก็จะรอดไปถึงจุดหมาย แต่ถา้ ลูกเรือไมเ่ ชื่อฟัง
กปั ตนั และเร่ิมแตกคอกนั เวลาคล่ืนลมแรงเรือก็จะโคลงเคลง ต่อมาเรือกจ็ ะจม ถา้ ลูกเรือมวั แตท่ ะเลาะกนั กปั ตนั ก็
จะไม่มีกาลงั มาตอ่ สู้ ถา้ ไมเ่ คร่งครัดต่อกฎระเบียบเวลาที่เกิดภยั อะไรข้ึนจะเดือดร้อน กปั ตนั สง่ั อะไรก็ ไมฟ่ ังพอถึง
เวลากม็ ีขอ้ ขดั แยง้ ต่อมาก็จะเกิดเหตุการณ์วนุ่ วายข้ึน ในท่ีสุดเรือกจ็ ะล่มกลางทะเล ถึงจะเป็นขา้ รับ ใชข้ องพระเจา้
แผน่ ดินกไ็ มค่ วรขาดความสามคั คีปรองดองกนั เหตุการณ์ในพระราชสานกั ก็เปรียบเสมือนเรือที่ แล่นอยตู่ ามทะเล
มหาสมุทร เหล่าขา้ ราชการในราชสานกั กเ็ หมือนเป็ นกะลาสีควรใหค้ วามสาคญั กบั หนา้ ท่ีท่ี ตอ้ งทาเป็ นหลกั
ปฏิบตั ิตนตามกฎตามระเบียบวนิ ยั อยา่ งเคร่งครัดและสามคั คีจงรักภกั ดีตอ่ พระเจา้ แผน่ ดิน ไม่ควรแยกฝ่ ายเลือกที่จะ
เคารพเชื่อฟังใคร ควรที่จะสามคั คีปรองดองกนั ในหมู่ขา้ ราชการเพื่อเป็นพลงั ในการ ทาความดีใหส้ มกบั ที่มีพระ
เจา้ แผน่ ดินพระองคเ์ ดียวกนั
หน่วยการเรียนรู้ที่ ๑ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๒ เวลา ๑ ช่ัวโมง
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เร่ืองบทเสภาสามคั คีเสวก ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ ๒
รายวชิ าภาษาไทย
มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วดั
มาตรฐานท่ี ท ๕.๑ เขา้ ใจและแสดงความคิดเห็น วจิ ารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอยา่ งเห็นคุณค่าและ
นามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ จริง
ตวั ช้ีวดั
ม. ๒/๒ วเิ คราะห์และวจิ ารณ์วรรณคดี วรรณกรรม และวรรณกรรมทอ้ งถิ่นท่ีอา่ น พร้อมยก
เหตุผลประกอบ
ม.๒/๔ สรุปความรู้และขอ้ คิดจากการอ่าน ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ จริง
จุดประสงค์การเรียนรู้
ด้านความรู้ (K)
๑. มีความรู้ความเขา้ ใจคุณค่าของวรรณคดีไทยและวรรณกรรมทอ้ งถิ่น
๒. วเิ คราะห์คุณค่าของวรรณคดีไทยและวรรณกรรมทอ้ งถ่ิน
๓.ขอ้ คิดจากการศึกษาวรรณคดีและวรรณกรรม
ด้านทกั ษะและกระบวนการ (P)
๑. เขียนอธิบายวเิ คราะห์คุณค่าของวรรณคดีไทยและวรรณกรรมทอ้ งถ่ิน
๒. เขียนสรุปขอ้ คิดที่ไดจ้ ากการอ่าน และน าไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ จริงได้
ด้านคุณลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์ (A)
๑. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
๒.ใฝ่ เรียนรู้
๓. มุง่ มน่ั ในการทางาน
๔. มีเจตคติท่ีดีต่อการอา่ น
สาระสาคัญ
วรรณคดีและวรรณกรรมเป็นบนั ทึกทางสงั คมและสะทอ้ นวถิ ีชีวติ ความเป็ นอยขู่ องคนในท้งั คุณคา่
ดา้ นอารมณ์และคุณค่าทางความคิดนาไปพฒั นาคุณภาพชีวิตของตนเอง สงั คม และประเทศชาติยคุ น้นั ๆ ผา่ นตวั
ละครท่ีสร้างตามจินตนาการของผแู้ ตง่ ผเู้ รียนควรศึกษาเรียนรู้ถึงคุณค่าและความงดงามทางภาษาตลอดจนคุณคา่
ในแง่มุมตา่ ง ๆ เพ่อื ให้เกิดความซาบซ้ึงผกู พนั กบั เอกลกั ษณ์ของความเป็ นไทยร่วมกนั อนุรักษแ์ ละสืบทอดมรดก
อนั ล้าคา่ น้ีใหค้ งอยคู่ ู่ความเป็ นไทยน้ีตลอดไป
สาระการเรียนรู้
๑. วเิ คราะห์คุณคา่ ของวรรณคดีไทยและวรรณกรรมทอ้ งถิ่น
๒.ขอ้ คิดหรือแนวคิดเรื่องในวรรณคดีวรรณกรรม
กจิ กรรมการเรียนรู้
ข้นั นา
๑. นกั เรียนและครูร่วมกนั สนทนาเกี่ยวกบั ลกั ษณะของวรรณคดีไทยและวรรณกรรมทอ้ งถิ่น วา่ นกั เรียน
รู้จกั วรรณกรรมทอ้ งถ่ินเร่ืองใดบา้ ง และวรรณกรรมน้นั มาจากท่ีใด
๒. ครูสนทนากบั นกั เรียนเก่ียวกบั เร่ืองเล่า ตานาน ในทอ้ งถิ่นของตน
๓. นกั เรียนแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั เร่ืองเล่า ตานาน ในทอ้ งถ่ินของตนและทอ้ งถ่ินอื่น
๔. ครูสนทนากบั นกั เรียน โดยใชค้ าถามดงั น้ี “นกั เรียนรู้จกั วรรณคดีเรื่องใดบา้ ง” (แนวตอบ ขนุ ชา้ ง
ขนุ แผน รามเกียรต์ิอิเหนา นิราศภเู ขาทอง) วรรณคดีเรื่องน้นั สะทอ้ นใหเ้ ห็นคุณค่าทางดา้ นใด(แนวตอบ ดา้ น
วฒั นธรรม ดา้ นสงั คม ดา้ นภาษา)
ข้นั สอน
๑. นกั เรียนแบง่ กลุ่ม ออกเป็ น ๔ กลุ่ม เลือกประธาน รองประธานเลาขานุการ จากน้นั ครูใหน้ กั เรียนศึกษา
ใบความรู้เรื่อง การประเมินคุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรม
๒. ครูนาวรรณกรรมทอ้ งถ่ินภาคกลาง ประเภทกลอนนิทาน เร่ืองปลาบู่ทอง มาใหน้ กั เรียน แต่ละกลุ่ม
วเิ คราะห์ตามหลกั การประเมินคุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรมตามใบความรู้ที่ศึกษา
๓. นกั เรียนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอผลงานหนา้ ช้นั เรียน ครูและเพื่อนต่างกลุ่มร่วมกนั อภิปรายและให้
ขอ้ เสนอแนะเพม่ิ เติม
จากน้นั ครูใหน้ กั เรียนศึกษาประเดน็ ดงั น้ีต่อไปน้ี
- ดา้ นเน้ือหาสาระ
- ขอ้ คิดที่ได้
- กลวธิ ีการนาเสนอ
๔. นกั เรียนอา่ นออกเสียงบทประพนั ธ์ เรื่องไหมแทท้ ่ีแมท่ อ ในแต่ละกลุ่มระดมความคิดวเิ คราะห์ตาม
ประเดน็ ที่กาหนดใหแ้ ละสรุปลงใบงาน เรื่อง อา่ นแลว้ เพียรเขียนสรุป
๕. นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มร่วมกนั ศึกษาความรู้ จากใบความรู้ เร่ืองการวิเคราะห์ วิจารณ์และประเมินค่า
วรรณคดีและวรรณกรรมแลว้ ร่วมกนั เขียนแผนผงั ความคิดสรุปความเขา้ ใจลงในกระดาษท่ี
ครูแจกให้ ภายในเวลา ๑๐ นาที
๖.แตล่ ะกลุ่มนาเสนอผลงาน กลุ่มละ ๓ นาที กลุ่มอื่น ๆ ร่วมอภิปรายและแสดงความคิดเห็นเพิม่ เติมจาก
การนาเสนอ
๗. นกั เรียนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอผลงานหนา้ ช้นั เรียน ครูและเพ่ือนตา่ งกลุ่มร่วมกนั อภิปราย-ซกั ถาม
เพ่ิมเติม
ข้นั สรุป
๑. นกั เรียนและครูร่วมกนั สรุปคุณคา่ ของวรรณคดีไทยและวรรณกรรมทอ้ งถ่ินพร้อมท้งั ใหบ้ อกวธิ ีการนา
ขอ้ คิดที่ไดไ้ ปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั
๒. ครูและนกั เรียนช่วยกนั แสดงความคิดเห็นวา่ จะสามารถนาความรู้เร่ืองคุณคา่ และการวเิ คราะห์คุณคา่
วรรณคดีและวรรณกรรมไปใชป้ ระโยชน์อยา่ งไรบา้ ง แลว้ สรุปคุณค่าของวรรณคดีลงสมุด
สื่อ/แหล่งเรียนรู้
๑. ใบความรู้ เรื่อง การประเมินคุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรม
๒.ใบความรู้ เรื่อง การวเิ คราะห์ วจิ ารณ์และประเมินคา่ วรรณคดีและวรรณกรรม
๓. บทประพนั ธ์เรื่อง ไหมแทท้ ี่แม่ทอ
๔. ใบงาน เร่ือง อ่านแลว้ เพยี รเขียนสรุป
ภาระงาน/ช้ันงาน
การนาเสนอผลงาน
การวดั และประเมินผล
วธิ ีการ เคร่ืองมือ เกณฑ์การวดั และประเมนิ ผล
๑. ตรวจผลงาน ใบงาน ผา่ นเกณฑร์ ้อยละ ๘๐
๒. ทกั ษะกระบวนการ แบบประเมินทกั ษะกระบวนการ ผา่ นเกณฑร์ ้อยละ ๘๐
บนั ทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
๑. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้…………………………………………………………………………...
แนวทางการพฒั นา…………………………………………………………………………………….
๒. ปัญหา/อุปสรรคในการจดั การเรียนรู้…………………………………………………………………
แนวทางแกไ้ ข…………………………………………………………………………………………
๓. ส่ิงที่ไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิตามแผน……………………………………………………………………………
เหตุผล………………………………………………………………………………………………...
๔. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้………………………………………………………………………
ลงชื่อ…………………………………………………………..ผสู้ อน
()
ใบความรู้
เร่ือง การประเมินคุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรม
วรรณคดีและวรรณกรรมมีบทบาทเหมือนงานศิลปะอื่น ๆ คือ การสร้างความบนั เทิงใจ และจรรโลงใจ
ความบนั เทิงใจ หมายถึง ความเพลิดเพลิน ความสนุก ความอ่ิมใจอิ่มอารมณ์ในการอา่ น การฟังส่วนจรรโลงใจ
หมายถึง ความชื่นบาน เบิกบาน การยกระดบั จิตใจใหส้ ูงข้ึน ประณีตข้ึน มีจิตใจและอารมณ์ที่ดีงามละเอียดอ่อน
วรรณคดีและวรรณกรรมจึงเป็นสิ่งท่ีกล่อมเกลาจิตใจและอารมณ์ มนุษยใ์ หม้ ีความดีความงาม และรู้จกั ความเป็น
จริงของชีวติ เขา้ ใจชีวติ และเขา้ ใจมนุษยม์ ากข้ึน เราอาจ ประเมินคุณคา่ วรรณคดีและวรรณกรรมไดท้ ้งั ดา้ น
วรรณศิลป์ ดา้ นอารมณ์ดา้ นสังคมและวฒั นธรรม และดา้ นคุณธรรม
๑. คุณคา่ ดา้ นวรรณศิลป์ คือ การพิจารณาถอ้ ยคาสานวนที่ใชว้ า่ มีความงาม ไพเราะจบั ใจอยา่ งไร เช่น การ
เล่นคา เล่นเสียง การใชภ้ าพพจน์
๒. คุณค่าดา้ นอารมณ์การอา่ นหนงั สือท าใหอ้ ารมณ์เบิกบาน เพลิดเพลิน สนุกสนาน วรรณคดีและ
วรรณกรรมบางเร่ืองท าใหผ้ อู้ ่านเกิดอารมณ์สะเทือนใจ มีความสุข ความทุกข์ ไปตาม บทประพนั ธ์น้นั ๆ
๓. คุณค่าดา้ นสังคมและวฒั นธรรม หมายถึง วถิ ีชีวติ ของคนในสงั คมเกี่ยวกบั ความเป็นอยู่ ความคิด
ความเช่ือ ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี
๔. คุณคา่ ดา้ นคุณธรรม วรรณคดีมกั จะสะทอ้ นใหเ้ ห็นวา่ สังคมท่ีมีคนดีมีคุณธรรมจะเป็น สงั คมท่ีมี
ความสุข และคนที่ทาความดีจะไดร้ ับผลดีตอบแทน วรรณคดีจึงอาจช่วยปลูกฝัง คุณธรรมต่าง ๆ ท้งั ความดีความ
ละอายต่อบาป ใหแ้ นวคิดท่ีเหมาะสมในการด าเนินชีวติ และการอยู่ ร่วมกนั ในสังคม เช่น โคลงโลกนิติพระอภยั
มณีไตรภมู ิพระร่วง บางคร้ังคาพดู และการกระทาของ ตวั ละครเป็นคุณธรรมสอนใจที่สามารถนามาประยกุ ตใ์ ชใ้ น
การดาเนินชีวติ
ใบความรู้
เร่ือง การวเิ คราะห์ วจิ ารณ์และประเมนิ ค่าวรรณคดแี ละวรรณกรรม
การวจิ ารณ์วรรณคดี
ความหมายของการวจิ ารณ์วรรณคดี
การวจิ ารณ์วรรณคดี คือ การอธิบายลกั ษณะของวรรณคดีในแง่มุมต่าง ๆ อยา่ งละเอียด แล
ตดั สินใจประเมินค่าวรรณคดีเร่ืองน้นั โดยปราศจากอคติ
ข้นั ตอนการวจิ ารณ์วรรณคดี
๑. วเิ คราะห์ หมายถึง การแยกองคป์ ระกอบต่าง ๆ ของวรรณคดีมาพิจารณาอยา่ งละเอียด
๒. วนิ ิจสาร หมายถึง การตีความสาระสาคญั และขอ้ คิดของเรื่อง
๓. วจิ ารณ์ หมายถึง การอธิบายเน้ือหาองคป์ ระของวรรณคดีและวธิ ีการแตง่ ท่ีไดว้ ิเคราะห์และ
วนิ ิจสารแลว้
๔. วพิ ากษ์ หมายถึง การแสดงความรู้สึกอยา่ งมีเหตุผล วา่ ชอบหรือไม่ชอบวรรณคดีเรื่องน้นั ๆ
เพราะอะไร และวรรณคดีเร่ืองน้นั ๆ ดีหรือไมด่ ีอยา่ งไร
การวจิ ารณ์วรรณคดีร้อยกรอง
๑. รูปแบบคาประพนั ธ์ หมายถึง ลกั ษณะร่วมของงานประพนั ธ์อนั เป็นวถิ ีทางท่ีผปู้ ระพนั ธ์
เลือกใชใ้ นการนาเสนอเน้ือหาไปสู่ผอู้ า่ น
๒. เน้ือหา คือ สาระสาคญั อนั เป็นส่วนประกอบของแก่นเรื่อง
๒.๑. แก่นเร่ืองหรือแนวคิด
๒.๒. โครงเร่ือง
๒.๓. ตวั ละคร
๒.๔. ฉาก
๓. กลวธิ ีการแตง่ คือ กวจี ะใชก้ ลวธิ ีตา่ ง ๆ เพ่ือทา ให้วรรณคดีน้นั ๆ มีคุณคา่
๔. การใชภ้ าษา คือ กวมี กั จะใชศ้ ิลปะในการน าถอ้ ยคา สานวน โวหาร มาประกอบ ทาใหผ้ อู้ ่าน
เกิดจินตภาพและมีอารมณ์ร่วมไปกบั กวกี วจี ะเลือกใชค้ ามาเปรียบเทียบในลกั ษณะต่าง ๆ เช่น อุปมา อุป
ลกั ษณ์ บุคคลวตั อติพจน์ สทั พจน์ เป็นตน้
การวจิ ารณ์วรรณคดรี ้อยแก้ว
รูปแบบคาประพนั ธ์ จาแนกไดต้ ามลกั ษณะการเขียนเป็ น ๒ ประเภทใหญ่ คือ
๑.๑.สารคดี หมายถึง งานนิพนธ์ท่ีมุง่ ใหค้ วามรู้ เสนอสารที่เป็นจริงตามขอ้ เทจ็ จริง เหตุการณ์และ
บุคลจริง เพ่ือใหผ้ อู้ า่ นไดร้ ับความรู้จากการอา่ น
๑.๑.๑ รูปแบบ คือ ลกั ษณะการเขียนวรรณกรรมร้อยแกว้ เช่น เรียงความ บทความ
จดหมายเหตุ เป็ นตน้
๑.๑.๒ เน้ือหา ประกอบดว้ ย
- โครงเร่ือง คือ หวั ขอ้ ยอ่ ยที่สร้างข้ึนจากแนวคิดสาคญั
- เน้ือเร่ือง เป็นส่วนที่ผเู้ ขียนกล่าวถึงเรื่องอะไรบา้ ง มีสาระสาคญั อะไร โดยแบ่งออกเป็ น
๓ ส่วน คือ ส่วนข้นั น า ส่วนที่เป็นตวั เร่ือง ส่วนทา้ ยเรื่อง
๑.๑.๓ กลวธิ ี คือ การพจิ ารณาวธิ ีเขียนของผเู้ ขียนวา่ ใชว้ ธิ ีแบบเรียบง่ายหรือซบั ซอ้ นการ
ลาดบั ความเป็นไปตามข้นั ตอนหรือไม่
๑.๑.๔ การใชภ้ าษา คือ สานวนภาษาท่ีใช้ มีความเหมาะสมกบั เรื่องมากนอ้ ยเพียงใด
๑.๒.บนั เทิงคดี หมายถึง งานนิพนธ์ท่ีเป็นเรื่องเล่าสมมุติ หรือมีความเป็นจริงอยบู่ า้ งหรือส่วน
นอ้ ยมุง่ ใหค้ วามบนั เทิงและเพลิดเพลินแก่ผอู้ า่ น
๑.๒.๑ รูปแบบ อาจมีรูปแบบเป็นเรื่องส้นั หรือนวนิยาย
๑.๒.๒ เน้ือหา คือ สาระสาคญั ท่ีท าใหเ้ กอดเป็นเร่ืองราวอนั ประกอบดว้ ย แก่นของเรื่อง
โครงเรื่อง ตวั ละคร ฉากหรือบรรยากาศ บทสนทนา
๑.๒.๓ กลวธิ ี คือ กลวธิ ีท่ีผเู้ ขียนใชด้ าเนินเรื่อง
๑.๒.๔ ภาษาที่ใช้ ภาษาท่ีใชม้ กั เป็นศิลปะเฉพาะตวั โดยมีขอ้ พิจารณาดงั น้ี
- การเลือกใชค้ า
- การใชโ้ วหารในการเขียน (สานวนโวหาร)
การวเิ คราะห์วจิ ารณ์วรรณกรรม
การวเิ คราะห์วรรณกรรม
การวเิ คราะห์ คือ การพิจารณาแยกแยะส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบกนั ข้ึนเป็ นงานเขียน เมื่อจะวเิ คราะห์
วรรณกรรมจึงจ าเป็นตอ้ งศึกษาวเิ คราะห์องคป์ ระกอบต่าง ๆ อยา่ งเช่ือมโยงสมั พนั ธ์กนั โดยมีประเดน็ หลกั ๆท่ีใช้
ในการวเิ คราะห์ องคป์ ระกอบต่าง ๆ ดงั น้ี
๑. วเิ คราะห์รูปแบบ คือ การพิจารณาวา่ เป็นงานเขียนประเภทใด
๒. วเิ คราะห์เน้ือหา คือ การพจิ ารณาเน้ือเรื่องแลว้ แนวคิด เป็นการคน้ หาสารที่สาคญั ที่สุด
๓. วเิ คราะห์การใชภ้ าษา การใชภ้ าษาและสานวนภาษาของผเู้ ขียนเป็นการถ่ายทอดความคิดไป
ยงั ผอู้ า่ น เม่ือจะวเิ คราะห์การใชภ้ าษาจึงควรพิจารณารูปแบบของงานเขียนดว้ ย
๔. วเิ คราะห์กลวธิ ีการนาเสนอ งานเขียนแตล่ ะประเภทมีกลวธิ ีการนาเสนอที่แตกตา่ งกนั เช่น
บนั เทิงคดีมกั พจิ ารณาจากการเปิ ดเร่ือง การเสนอเร่ือง (การเล่าเร่ือง) การดาเนินเรื่อง การผกู เรื่อง การสร้างฉาก
การสร้างตวั ละครและบทสนทนาในส่วนของสาระคดีกเ็ ช่นกนั มกั พจิ ารณาการเปิ ดเร่ือง การนาเสนอเรื่องและการ
ปิ ดเร่ือง
๕. วเิ คราะห์แนวคิดของผแู้ ต่ง คือ การพิจารณาวา่ การเขียนเรื่องน้นั ผแู้ ต่งมุ่งนาเสนอแนวคิด
ใดบา้ ง เช่น แนวคิดเชิงสงั คมและวฒั นธรรม การเมืองการปกครอง ท้งั น้ีเพ่อื จะไดเ้ ขา้ ใจงานเขียนน้นั ๆ ไดด้ ีข้ึน
การวจิ ารณ์วรรณกรรม
หทยั วรรณ ไชยกุล( ๒๕๔๔:๖๗) ไดใ้ หค้ วามหมายของการตีความไวว้ า่ เป็นการพิจารณาความหมายของ
ถอ้ ยคาวา่ มีจุดประสงคท์ ่ีจะสื่อสารอะไร ผเู้ ขียนแฝงเจตนาหรืออารมณ์ความรู้สึกไวด้ ว้ ยหรือไม่ ท้งั น้ีเพ่ือหยง่ั ใหถ้ ึง
ความรู้สึกนึกคิดของผเู้ ขียน การตีความของผอู้ า่ นจะใกลเ้ คียงกบั ส่ิงที่ผเู้ ขียนตอ้ งการเสนอหรือไม่น้นั
ประสบการณ์ก็มีส่วนมากเช่นกนั
สุนทรียภาพในคาหรือความงามของคา พจิ ารณาไดจ้ าก
๑. เสียงของคา คือ การใชค้ าที่มีเสียงสัมผสั ท้งั สระและพยญั ชนะ อนั ก็ใหเ้ กิดความไพเราะของเสียงจาก
การใชค้ าสัมผสั
๒. การเล่นคา นบั เป็ นการส่งความตอ่ ไปยงั บทอื่น
๓. จงั หวะและลีลาของคา กวเี ลือกใชค้ าเพอ่ื ส่ือความอาจใชค้ าโดดเพื่อใหจ้ งั หวะและลีลาคงที่แต่ก็มีบาง
คาโดยกวจี ะจดั วางคาซอ้ นใหอ้ ยใู่ นตาแหน่งท่ีติดกนั เช่น ๒-๒ หรือ ๓-๓ เป็นตน้
การพจิ ารณาสุนทรียภาพในความ ผอู้ ่านจะไดร้ ับสารอารมณ์ความรู้สึก จากโวหารภาพจน์ท่ีใชใ้ นการ
เขียน
การประเมินค่าวรรณกรรม
เป็นการแสดงใหเ้ ห็นจุดเด่นจุดดอ้ ยของงานประพนั ธ์น้นั ๆ อยา่ งรอบดา้ นและมีเหตุผล อนั ไดแ้ ก่ รูปแบบ
ที่นาเสนอมีความเหมาะสมกบั เน้ือหาหรือไมอ่ ยา่ งไร ดา้ นเน้ือหาควรจดั ประเมินไดว้ า่ งานประพนั ธ์ไดใ้ หค้ ุณค่าแก่
ผอู้ า่ นอยา่ งไรบา้ ง บา้ งเร่ืองอาจใหค้ ุณคา่ ทางวรรณศิลป์ บา้ งเรื่องอาจใหค้ ุณค่าทางปัญญา หรือคุณคา่ ทางสังคม
วฒั นธรรมอยา่ งไรอยา่ งหน่ึง บา้ งเรื่องอาจใหค้ ุณคา่ หลากหลายร่วมกนั นอกจากน้ียงั ตอ้ งประเมินวา่ ถอ้ ยคาภาษาท่ี
ใชไ้ พเราะ งดงามมากนอ้ ยเพียงใด กลวธิ ีการนาเสนอเร้าความสนใจใคร่รู้ใหแ้ ก่ผอู้ า่ นหรือไม่
คุณค่าของวรรณคดแี ละวรรณกรรม
๑. คุณค่าด้านวรรณศิลป์
วรรณศิลป์ หมายถึง ศิลปะในการประพนั ธ์หนงั สือใหเ้ กิดความสะเทือนใจ โดยมากเนน้ พจิ ารณาเร่ืองการ
แสดงออกโดยใชถ้ อ้ ยค าท่ีมีสานวนโวหารไพเราะ มีลกั ษณะเด่นในเชิงการประพนั ธ์ สามารถถ่ายทอดความคิด
ความรู้สึกของกวไี ดจ้ บั ใจผอู้ ่านและผฟู้ ังใหเ้ กิดความรู้สึกคลอ้ ยตามกบั กวดี ว้ ย การพจิ ารณาคุณค่าดา้ นวรรณศิลป์ มี
ดงั น้ี
ภาพพจน์ หมายถึง การใชถ้ อ้ ยคาท่ีทาใหผ้ อู้ ่านหรือผฟู้ ังเกิดภาพข้ึนในใจ ซ่ึงกวสี ามารถเขียนใหเ้ กิด
ภาพพจนด์ ว้ ยวธิ ีต่าง ๆ กนั เช่น
๑. อุปมา เป็นการเปรียบเทียบวา่ ส่ิงหน่ึงเหมือนกบั อีกสิ่งหน่ึง มกั มีค าใหส้ งั เกตคือ ดงั่ ราวเสมือน ดุจ
ประหน่ึง เพ้ียง เช่น
“จนผมโกร๋นโลน้ เกล้ียงถึงเพยี งหู ดูเงาในน้าแลว้ ร้องไห้
ฮึดฮดั ขดั แคน้ แน่นใจ ตาแดงดง่ั แสงไฟฟ้ า”
๒. อุปลกั ษณ์ เป็ นการเปรียบเทียบสิ่งหน่ึงเป็ นอีกส่ิงหน่ึง มกั มีคาวา่ คือ เรปา็มนเกียรต์ิ : รัชกาลท่ี ๑
“ลูกคือดวงใจของแม่”
“อามาตยเ์ ป็ นบรรทดั ถ่องแท”้
บางคร้ังการใชภ้ าพพจน์อุปลกั ษณ์ไม่ปรากฏค าเปรียบเทียบแตพ่ อจะทราบไดว้ า่ เป็นการเปรียบเทียบแบบ
อุปลกั ษณ์ เช่น
“แม่แกว้ ของแม่เอ๋ย” เปรียบ กณั หา เป็น แกว้
“เจา้ ดวงมณฑาทองท้งั คูข่ องแมเ่ อ๋ย” เปรียบ กณั หา ชาลี เป็น ดวงมณฑาทอง
๓. บุคลาธิษฐานหรือบุคคลวตั หมายถึง การสมมติใหส้ ิ่งไม่มีชีวติ เช่น แสงแดด สายลม พชื สิ่งของ
ทาปฏิกิริยาหรือมีความรู้สึกนึกคิดอยา่ งมนุษย์ เช่น
อิฐหินปูนร่าไห้ พระจนั ทร์ยมิ้ ทะเลไม่เคยหลบั ใหล น้ากระซิบสาด
หรือใหส้ ัตวต์ ่าง ๆ เจรจาโตต้ อบกนั โดยในชีวติ จริงสตั วเ์ หล่าน้นั พดู ไมไ่ ด้ แตม่ าใชค้ าพดู เหมือนมนุษย์
เช่น นิทานอีสปมีกระตา่ ยกบั เตา่ พดู คุยกนั เป็ นตน้
๔. สัทพจน์ หมายถึง คาเลียนเสียงธรรมชาติ ฝน ฟ้ า ลม เสียงสตั วร์ ้อง เสียงใบไม้ เสียดสีกนั เสียงระฆงั ดงั
แลว้ นาคาเหล่าน้นั ใชท้ าใหเ้ กิดภาพพจน์ไดง้ ่ายข้ึน เช่น
“วงั เอ๋ยวงั เวง หง่างเหง่ง! ย่าค่าระฆงั ขาน
ฝงู ววั ความผา้ ยลาทิวากาล ค่อยคอ่ ยผา่ นทอ้ งทุง่ มุง่ ถ่ินตน”
(กลอนดอกสร้อยราพงึ ในป่ าชา้ : พระยาอุปกิตศิลปสาร)
การใช้คาถามเชิงวาทศิลป์ คือ การใชถ้ อ้ ยคาเป็นคาถามที่ไมต่ อ้ งการคาตอบ แต่ตอ้ งการเนน้ ใหค้ ิดหรือ
ยอมรับความจริง เช่น
“อนั ของสูงแมป้ องตอ้ งจิต ถา้ ไม่คิดปี นป่ ายจะไดห้ รือ”
(ทา้ วแสนปม : พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั )
การเล่นคา หมายถึง การนาถอ้ ยคามาเล่นพลิกแพลงใหเ้ กิดความหมายพเิ ศษ เกิดภาพ เกิดเสียงไพเราะเป็น
วธิ ีการท่ีนิยมใชใ้ นวรรณคดี เพือ่ ใหเ้ กิดศิลปะในการใชถ้ อ้ ยคา มีท้งั การเล่นคาพอ้ งรูป คาพอ้ งเสียง คาหลาก
ความหมาย การซ้าคา เป็นตน้
คาหลากความหมาย คือ การใชค้ าที่สื่อความหมายไดห้ ลายอยา่ ง เช่น
“ท้งั จากท่ีจากคลองเป็นสองขอ้ ยงั จากกอน้นั ก็ข้ึนในคลองขวาง
โอว้ า่ จากช่างมารวบประจวบทาง ท้งั จากบางจากใบใจระบม”
“จาก” คาท่ี ๑,๒,๕,๖ หมายถึง ออกพน้ ไป
“จาก” คาท่ี ๓,๔ หมายถึง ชื่อปาลม์ ชนิดหน่ึง ข้ึนเป็นกออยตู่ ามป่ าชายเลนหรือริมฝ่ังน้ากร่อยต้ืนๆ
การซ้าคา คือ การใชค้ าเดียวกนั ซ้า ๆ เพอ่ื เนน้ ความหมาย เช่น
“กส็ ุดสิ้นสุดปัญญาสุดหาสุดคน้ เห็นสุดคิด”
ร่ายยาวมหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม์ ทั รี : เจา้ พระยาพระคลงั (หน)
การเล่นเสียง หมายถึง การนาเสียงสัมผสั พยญั ชนะ สัมผสั สระ และเสียงวรรณยกุ ตม์ าเล่นเพอ่ื ใหเ้ กิดความ
ไพเราะ และแสดงความสามารถของกวี
๑. เล่นเสียงสัมผสั พยญั ชนะ คือ การใชเ้ สียงพยญั ชนะตน้ เสียงเดียวกนั หลายๆ พยางค์ ในวรรคหรือบท
เดียวกนั เช่น
“แถวโนน้ กแ็ ก้วเกดพกิ ุลแกมกบั กาหลง”
ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กณั ฑม์ ทั รี : เจา้ พระยาพระคลงั (หน)
๒. เล่นเสียงสัมผสั สระ คือ การใชส้ ัมผสั สระหลายพยางคต์ ิดกนั เช่น
“เจา้ เคยเคยี งเรียงหมอนนอนแนบขา้ งทุกราตรี”
ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กณั ฑม์ ทั รี : เจา้ พระยาพระคลงั (หน)
๓. เล่นเสียงวรรณยกุ ต์ คือ การใชค้ าท่ีมีเสียงวรรณยกุ ตต์ า่ งกนั เพ่ือใหเ้ กิดความไพเราะหรือเพอื่ เนน้ ความ
เช่น
“กลองทองตีครุ่มคร้ึม เดินเรียง
ทา้ ตะเติงเติงเสียง ครุ่มคร้ึม
เสียงปี่ รี่เร่ือยเพียง การเวก
แตร้นแต่นแตรฝร่ังข้ึน หว่หู วู้เสียงสังข”์
กาพยห์ ่อโคลงประพาสธารทองแดง : เจา้ ฟ้ าธรรมธิเบศร
๒. คุณค่าด้านแนวคิด ตามพจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ แนวคิด หมายถึงความคิดที่มี
แนวทางปฏิบตั ิ แนวทาคิดทางวรรณคดีและวรรณกรรมจึงหมายถึง สารหรือความคิดสาคญั ท่ีผเู้ ขียนตอ้ งการสื่อมา
ใหผ้ อู้ า่ นเพื่อเป็ นแนวทางปฏิบตั ิ อาจจะส่ือผา่ นพฤติกรรมตวั ละคร เน้ือหาหรือเหตุการณ์ตา่ ง ๆ โดยใหผ้ อู้ า่ น
พจิ ารณาเรื่องท้งั หมด แลว้ สรุปออกมาเป็ นแนวคิดสาคญั เช่น กลอนดอกสร้อยราพงึ ในป่ าชา้ มีแนวคิดสาคญั ของ
เร่ือง คือ ความไม่แน่นอนของชีวติ มนุษยไ์ มอ่ าจหลีกหนีความตายไปได้ ไมว่ า่ บุคคลน้นั จะเป็ นใคร
๓. คุณค่าด้านเนือ้ หา เน้ือหา หมายถึง ใจความของเร่ือง รายละเอียดที่ปรากฏอยใู่ นเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ของวรรณคดี
และวรรณกรรม เน้ือหาจึงประกอบดว้ ย ฉาก ตวั ละคร เหตุการณ์ต่าง ๆ บทสนทนาของตวั ละคร การพจิ ารณา
คุณคา่ ดา้ นเน้ือหา จึงตอ้ งพิจารณาองคป์ ระกอบเหล่าน้ีวา่ มีครบถว้ นหรือไม่ มีคุณคา่ ต่อผอู้ า่ นอยา่ งไร ในดา้ น
เน้ือหานอกจากเน้ือเรื่องสนุกสนานแลว้ ยงั ตอ้ งมีความไพเราะของคาประพนั ธ์ดว้ ยเน้ือหาท่ีดีจะตอ้ งอา่ นแลว้
ประทบั ใจในแง่มุมใดแง่มุมหน่ึง ท่ีทาใหว้ รรณคดีเร่ืองน้นั เป็นอมตะ โดยเฉพาะถา้ อา่ นวรรณคดีแลว้ อิ่มอารมณ์อิ่ม
ใจกจ็ ะทาใหค้ ุณคา่ ของเน้ือหาน่าประทบั ใจยงิ่ ข้ึน การพิจารณาคุณคา่ ดา้ นเน้ือหาจะมุ่งไปพิจารณาองคป์ ระกอบ
ของเน้ือหาวา่ มีคุณคา่ หรือเป็ นประโยชน์อยา่ งไร
๔. คุณค่าด้านสังคม คือ ภาพสะทอ้ นชีวติ ความเป็นอยขู่ องคนท่ีสะทอ้ นมาจากวรรณคดีและวรรณกรรมโดย
กวนี ิยมแทรกไวใ้ นเน้ือเรื่อง เช่น ประเพณี ความเช่ือ ค่านิยมความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพวรรณคดีและ
วรรณกรรมจึงเป็ นเสมือนกระจกสะทอ้ นสภาพสังคมในแตล่ ะยคุ สมยั ซ่ึงเป็นหลกั ฐานท่ีบอกเล่าเรื่องราวในอดีตแก่
คนรุ่นหลงั ไดเ้ ป็นอยา่ งดี
หทยั วรรณ ไชยะกลุ . วรรณกรรมศึกษา. (เชียงใหม่ : ภาควชิ าภาษาไทยมหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่, ๒๕๔๔)
วทิ ยศ์ ิวะศริยานนท,์ วรรณคดแี ละวรรณคดวี จิ ารณ์, พิมพค์ ร้ังที่๖, (กรุงเทพฯ : ธรรมชาติ, ๒๕๔๔).
ใบงาน
เร่ือง อ่านแล้วเพยี รเขียนสรุป
ช่ือ………………………………………..นามสกลุ ……………..…………………..ช้ันม.๒/………เลขที่………….
ตอนที่ ๑
คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนอา่ นเรื่องต่อไปน้ีแลว้ ตอบคาถาม
ไหมแท้ทแ่ี ม่ทอ แหละมือน้ีที่บนั ดาลงานชีวติ
แมป่ ลูกหม่อนเล้ียงไหมต้งั ใจนกั มิเคยคิดคา่ แรงแข่งซ้ือขาย
เร่ียวแรงรักแม่ใชเ้ พอื่ ใฝ่ ฝัน ยงั ถกั ทอทรมาน์ยงั ทา้ ทาย
อีกสาวไหมดว้ ยมือซ่ือสัตยน์ ้นั ยงั มน่ั หมายผา้ ไหมผนื ใหมม่ า
ท้งั ทอมนั ละเอียดละไมใชเ้ วลา
พร้อมท้งั สอนลูกสาวเจา้ ศรีเรือน
สื่อวญิ ญาณผา่ นมือสู่เส้นไหม อยเู่ ป็นเพ่ือนแมท่ อปรารถนา
ถกั เส้นใยแต่ละเส้นเป็นเน้ือผา้ เพ่ือสืบทอดแรงงานกาลเวลา
ตีนท่ีใชก้ ระตุกกี่คือวชิ า ก่อนมือแม่จะอ่อนลา้ ตอ้ งลาพกั
มือที่ควา้ กระสวยวาดคือชีวติ
และสอนเจา้ ลูกชายใหท้ ระนง
ผา้ ขาวมา้ ผนื ใหญ่แม่ใหล้ ูก รักแม่กข็ อจงท างานหนกั
รักพนั ผกู ทุกใยไหมวจิ ิตร ดว้ ยละเอียดอ่อนในเยอ่ื ใยรัก
ใยไหมโยงใจแมเ่ นรมิต พลีชีวติ เพื่อถกั และทอไท
ไหมอุทิศแมก่ ็ทอตอ่ ต านาน สกั วนั หน่ึงถึงไมม่ ีชีวติ แม่
ลูกก็ถือผา้ ทอที่แมใ่ ห้ ลูกที่แทก้ ็คงทอสืบต่อได้
เป็นเยอื่ ใยไหมและแม่ที่กลา้ หาญ แม่ก็ทอ ลูกก็ทอ ต่อเส้นใย
ผา้ ท้งั ผนื มีชีวติ จิตวิญญาณ ผา้ ชีวติ ผนื ใหม่จะตอ้ งงาม
ถกั ประสานสอดสร้างอยา่ งแยบยล (ไพวรินทร์ ขาวงาม, มา้ กา้ นกลว้ ย (๒๕๕๗) :
๕๖ – ๕๙)
มือนอ้ ยนอ้ ยของแม่ดูแค่น้ี
เคยเฆ่ียนตีลูกบา้ งในบางหน
แตม่ ือเดียวกนั น้ีแหละสู้ทน
ประคองลูกใหพ้ น้ ภยนั ตราย
อ่านบทประพนั ธ์ข้างต้นแล้วเขยี นสรุปใจความสาคัญ
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
จากบทประพนั ธ์ข้างต้นนักเรียนได้ข้อคดิ ในเรื่องใดบ้าง และสามารถนาไปใช้ในชีวติ ประจาวนั ได้อย่างไร
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
ตอนท่ี ๒
คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนตอบคาถามต่อไปน้ีถูกตอ้ งสมบูรณ์
๑. การวเิ คราะห์คุณค่าวรรณกรรมมีหลกั การการวเิ คราะห์กี่ดา้ น อะไรบา้ ง
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
๒. การพจิ ารณาสาระสาคญั การวางโครงเรื่อง กลวธิ ีการน าเสนอ เป็นการวเิ คราะห์คุณคา่ ดา้ นใด
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
๓. เหตุใดจึงมีคากล่าววา่ “วรรณคดีช้ีนาสังคม” และนกั เรียนเห็นดว้ ยกบั คากล่าวน้ีหรือไม่ เพราะเหตุใด
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
เพราะวรรณคดีสะทอ้ นสภาพสงั คมในขณะน้นั ท่ีเป็นอยู่ หรือสะทอ้ นพฤติกรรมตองบุคคลในยคุ น้นั ใหเ้ ห็น(เห็น
ดว้ ย/ไม่เห็นดว้ ย เพราะ...อยใู่ นดุลยพนิ ิจของครุผสู้ อน...)
๔. เพราะเหตุใดกวจี ึงมีการบรรยายฉากในวรรณกรรม
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
๕. สิ่งสาคญั ในการศึกษาวรรณกรรมนอกจากความสนุกแลว้ คือสิ่งใด เพราะเหตุใด
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
เฉลยใบงาน
เร่ือง อ่านแล้วเพยี รเขียนสรุป
ชื่อ………………………………………..นามสกลุ ……………..…………………..ช้ันม.๒/………เลขท่ี………….
ตอนท่ี ๑
คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนอา่ นเร่ืองตอ่ ไปน้ีแลว้ ตอบคาถาม
ไหมแท้ท่ีแม่ทอ แหละมือน้ีท่ีบนั ดาลงานชีวติ
แม่ปลูกหม่อนเล้ียงไหมต้งั ใจนกั มิเคยคิดคา่ แรงแข่งซ้ือขาย
เร่ียวแรงรักแมใ่ ชเ้ พ่ือใฝ่ ฝัน ยงั ถกั ทอทรมาน์ยงั ทา้ ทาย
อีกสาวไหมดว้ ยมือซื่อสัตยน์ ้นั ยงั มน่ั หมายผา้ ไหมผนื ใหม่มา
ท้งั ทอมนั ละเอียดละไมใชเ้ วลา
พร้อมท้งั สอนลูกสาวเจา้ ศรีเรือน
สื่อวญิ ญาณผา่ นมือสู่เส้นไหม อยเู่ ป็นเพ่ือนแม่ทอปรารถนา
ถกั เส้นใยแต่ละเส้นเป็นเน้ือผา้ เพ่อื สืบทอดแรงงานกาลเวลา
ตีนท่ีใชก้ ระตุกกี่คือวชิ า ก่อนมือแม่จะอ่อนลา้ ตอ้ งลาพกั
มือที่ควา้ กระสวยวาดคือชีวติ
และสอนเจา้ ลูกชายใหท้ ระนง
ผา้ ขาวมา้ ผนื ใหญ่แม่ใหล้ ูก รักแม่ก็ขอจงท างานหนกั
รักพนั ผกู ทุกใยไหมวจิ ิตร ดว้ ยละเอียดอ่อนในเยอื่ ใยรัก
ใยไหมโยงใจแม่เนรมิต พลีชีวติ เพอื่ ถกั และทอไท
ไหมอุทิศแมก่ ท็ อตอ่ ต านาน สกั วนั หน่ึงถึงไม่มีชีวติ แม่
ลูกก็ถือผา้ ทอท่ีแมใ่ ห้ ลูกที่แทก้ ็คงทอสืบตอ่ ได้
เป็นเยอ่ื ใยไหมและแมท่ ี่กลา้ หาญ แม่กท็ อ ลูกกท็ อ ต่อเส้นใย
ผา้ ท้งั ผนื มีชีวติ จิตวิญญาณ ผา้ ชีวติ ผนื ใหม่จะตอ้ งงาม
ถกั ประสานสอดสร้างอยา่ งแยบยล (ไพวรินทร์ ขาวงาม, มา้ กา้ นกลว้ ย (๒๕๕๗) :
๕๖ – ๕๙)
มือนอ้ ยนอ้ ยของแม่ดูแค่น้ี
เคยเฆ่ียนตีลูกบา้ งในบางหน
แต่มือเดียวกนั น้ีแหละสู้ทน
ประคองลูกใหพ้ น้ ภยนั ตราย
อ่านบทประพนั ธ์ข้างต้นแล้วเขียนสรุปใจความสาคัญ
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
..............................................................................................อ........ย....ใ..ู่ ....น........ด......ุล......ย......พ........ิน........ิจ......ข......อ......ง......ค......ร......ูผ........ตู้......ร......ว......จ................................................................................................................................................
........................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................
จากบทประพนั ธ์ข้างต้นนักเรียนได้ข้อคิดในเร่ืองใดบ้าง และสามารถนาไปใช้ในชีวติ ประจาวนั ได้อย่างไร
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
..........................................................................................................อ......ย......ใู่ ....น........ด......ุล........ย......พ......ิน........ิจ......ข........อ......ง....ค........ร....ู..ผ......ตู้......ร......ว......จ......................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................
ตอนท่ี ๒
คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนตอบคาถามต่อไปน้ีถูกตอ้ งสมบรู ณ์
๑. การวเิ คราะห์คุณคา่ วรรณกรรมมีหลกั การการวเิ คราะห์กี่ดา้ น อะไรบา้ ง
๔ ดา้ น
๑.คุณค่าดา้ นเน้ือหา
๒. คุณคา่ ดา้ นวรรณศิลป์
๓.คุณค่าดา้ นสงั คม
๔. คุณคา่ ดา้ นขอ้ คิดที่สามารถนาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั
๒. การพิจารณาสาระสาคญั การวางโครงเร่ือง กลวธิ ีการน าเสนอ เป็นการวเิ คราะห์คุณค่าดา้ นใด
คุณคา่ ดา้ นเน้ือหา
๓. เหตุใดจึงมีคากล่าววา่ “วรรณคดีช้ีนาสงั คม” และนกั เรียนเห็นดว้ ยกบั คากล่าวน้ีหรือไม่ เพราะเหตุใด
เพราะวรรณคดีสะทอ้ นสภาพสงั คมในขณะน้นั ท่ีเป็นอยู่ หรือสะทอ้ นพฤติกรรมตองบุคคลในยคุ น้นั ให้
เห็น(เห็นดว้ ย/ไม่เห็นดว้ ย เพราะ...อยใู่ นดุลยพินิจของครุผสู้ อน...)
๔. เพราะเหตุใดกวจี ึงมีการบรรยายฉากในวรรณกรรม
การบรรยายฉากในวรรณกรรมเป็นสร้างภาพในทศั นของผอู้ า่ นในเกิดจินตภาพคลอ้ ยตามหรือเขา้ ถึง ฉาก
หรือเหตุการณ์น้นั ๆ
๕. สิ่งสาคญั ในการศึกษาวรรณกรรมนอกจากความสนุกแลว้ คือสิ่งใด เพราะเหตุใด
วรรณกรรมสะทอ้ นความคิดความรู้สึกของกวที าใหท้ ราบแนวคิด ทศั นคติรวมถึงสภาพสังคมท้งั จากการ
บรรยายตา่ ง ๆ ของกวหี รือสะทอ้ นออกมาจากตวั ละคร พฤติกรรม วรรณกรรมจึงมีคุณคา่ ในดา้ นสังคม ดา้ น
วรรณศิลป์ และมีขอ้ คิดที่สามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้
หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๑ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๓ เวลา ๕ ชั่วโมง
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เร่ืองบทเสภาสามัคคีเสวก ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี ๒
รายวชิ าภาษาไทย
มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชี้วดั
มาตรฐานที่ ท ๕.๑ เขา้ ใจและแสดงความคิดเห็น วจิ ารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอยา่ งเห็นคุณคา่ และ
นามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ จริง
ตวั ช้ีวดั
ม.๒/๕ ท่องจาบทอาขยานตามท่ีกาหนดและบทร้อยกรองท่ีมีคุณคา่ ตามความสนใจ
จุดประสงค์การเรียนรู้
ด้านความรู้ (K)
๑. ทอ่ งจาบทอาขยาน เรื่องเสภาสามคั คีเสวก ตอนวศิ วกรรมา
ด้านทกั ษะและกระบวนการ (P)
๑. ทอ่ งจาบทอาขยาน เรื่องเสภาสามคั คีเสวก ตอนวศิ วกรรมาได้
ด้านคุณลกั ษณะทพี่ งึ ประสงค์ (A)
๑. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
๒.ใฝ่ เรียนรู้
๓. มุง่ มนั่ ในการทางาน
๔. มีเจตคติที่ดีตอ่ การอา่ น
สาระสาคญั
วรรณคดีและวรรณกรรมเป็นบนั ทึกทางสังคมและสะทอ้ นวถิ ีชีวติ ความเป็ นอยขู่ องคนในท้งั คุณคา่
ดา้ นอารมณ์และคุณคา่ ทางความคิดนาไปพฒั นาคุณภาพชีวติ ของตนเอง สงั คม และประเทศชาติยคุ น้นั ๆ ผา่ นตวั
ละครท่ีสร้างตามจินตนาการของผแู้ ตง่ ผเู้ รียนควรศึกษาเรียนรู้ถึงคุณค่าและความงดงามทางภาษาตลอดจนคุณค่า
ในแง่มุมต่าง ๆ เพอ่ื ให้เกิดความซาบซ้ึงผกู พนั กบั เอกลกั ษณ์ของความเป็ นไทยร่วมกนั อนุรักษแ์ ละสืบทอดมรดก
อนั ล้าค่าน้ีใหค้ งอยคู่ ู่ความเป็ นไทยน้ีตลอดไป
สาระการเรียนรู้
๑. การท่องจาบทอาขยาน
กจิ กรรมการเรียนรู้
ข้นั นา
๑. ครูติดแถบบทประพนั ธ์จากเร่ืองบทเสภาสามคั คีเสวก ตอนวศิ วกรรมา บนกระดาน นกั เรียนอา่ นออก
เสียงร้อยแกว้ โดยแบง่ วรรคตอนใหถ้ ูกตอ้ ง
“อนั ชาติใดไร้ศานติสุขสงบ ตอ้ งมวั รบราญรอนหาผอ่ นไม่
ณ ชาติน้นั นรชนไมส่ นใจ ในศิลปะวไิ ลละวาดงาม
แตช่ าติใดรุ่งเรืองเมืองสงบ วา่ งการรบอริพลอนั ลน้ หลาม
ยอ่ มจานงศิลปาสง่างาม เพอ่ื อร่ามเรืองระยบั ประดบั ประดา
อนั ชาติใดไร้ช่างช านาญศิลป์ เหมือนนารินไร้โฉมบรรโลมสง่า
ใครใครเห็นไมเ่ ป็ นท่ีจาเริญตา เขาจะพากนั เยย้ ใหอ้ บั อาย
ศิลปกรรมนาใจใหส้ ร่างโศก ช่วยบรรเทาทุกขใ์ นโลกใหเ้ หือดหาย
จาเริญตาพาใจใหส้ บาย อีกร่างกายกจ็ ะพลอยสุขสราญ
แมผ้ ใู้ ดไมน่ ิยมชมส่ิงงาม เมื่อถึงยามเศร้าอุราน่าสงสาร
เพราะขาดเครื่องระงบั ดบั ราคาญ โอสถใดจะสมานซ่ึงดวงใจ”
๒. นกั เรียนอา่ นบทประพนั ธ์เป็นทานองเสนาะ
๓. ครูเสนอแนะทว่ งทานองการแบง่ วรรคการอ่านทานองเสนาะและการใชเ้ สียงสูงต่า
ข้นั สอน
๑. นกั เรียนแบง่ กลุ่มเป็ น ๔ กลุ่ม เลือกประธานกลุ่มและเลขานุการกลุ่ม
๒. นกั เรียนศึกษาจุดประสงคใ์ นการท่องจาบทอาขยานและเกณฑก์ ารประเมินการทอ่ งจาบทอาขยาน ดงั น้ี
- ความถูกตอ้ งชดั เจน คล่องแคล่ว
- การออกเสียงอกั ขระและควบกล้า
-จงั หวะลีลาและการเวน้ วรรค
-การทอดเสียง ผอ่ นเสียง การใชอ้ ตั ราเร็วเหมาะสมกบั เน้ือหาตลอดเรื่อง
๓. นกั เรียนฟังครูสาธิตการท่องจ าบทอาขยาน เรื่องเสภาสามคั คีเสวกตอน วศิ วกรรมา
ข้ันสรุป
๑. นกั เรียนและครูร่วมกนั อา่ นออกเสียงทานองเสนาะ
๒. ครูแจง้ กาหนดการสอบท่องจาบทอาขยานหลกั ใหน้ กั เรียนทราบ
สื่อ/แหล่งเรียนรู้
บทอาขยานช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๒ เร่ืองบทเสภาสามคั คีเสวก ตอนวศิ วกรรมา
ภาระงาน/ช้ันงาน
ท่องจาบทอาขยานหลกั จากเรื่องบทเสภาสามคั คีเสวก ตอนวศิ วกรรมา
การวดั และประเมินผล
วธิ ีการ เครื่องมือ เกณฑ์การวดั และประเมนิ ผล
๑. ตรวจผลงาน ใบงาน ผา่ นเกณฑร์ ้อยละ ๘๐
๒. ทกั ษะกระบวนการ แบบประเมินทกั ษะกระบวนการ ผา่ นเกณฑร์ ้อยละ ๘๐
บันทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
๑. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้…………………………………………………………………………...
แนวทางการพฒั นา…………………………………………………………………………………….
๒. ปัญหา/อุปสรรคในการจดั การเรียนรู้…………………………………………………………………
แนวทางแกไ้ ข…………………………………………………………………………………………
๓. สิ่งท่ีไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิตามแผน……………………………………………………………………………
เหตุผล………………………………………………………………………………………………...
๔. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้………………………………………………………………………
ลงชื่อ…………………………………………………………..ผสู้ อน
()
บทอาขยานหลกั ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี ๒ เร่ืองบทเสภาสามัคคเี สวก ตอน วศิ วกรรมา
“อนั ชาติใดไร้ศานติสุขสงบ ตอ้ งมวั รบราญรอนหาผอ่ นไม่
ณ ชาติน้นั นรชนไม่สนใจ ในศิลปะวไิ ลละวาดงาม
แต่ชาติใดรุ่งเรืองเมืองสงบ วา่ งการรบอริพลอนั ลน้ หลาม
ยอ่ มจานงศิลปาสง่างาม เพอ่ื อร่ามเรืองระยบั ประดบั ประดา
อนั ชาติใดไร้ช่างช านาญศิลป์ เหมือนนารินไร้โฉมบรรโลมสง่า
ใครใครเห็นไม่เป็ นท่ีจาเริญตา เขาจะพากนั เยย้ ใหอ้ บั อาย
ศิลปกรรมนาใจใหส้ ร่างโศก ช่วยบรรเทาทุกขใ์ นโลกใหเ้ หือดหาย
จาเริญตาพาใจใหส้ บาย อีกร่างกายกจ็ ะพลอยสุขสราญ
แมผ้ ใู้ ดไม่นิยมชมส่ิงงาม เมื่อถึงยามเศร้าอุราน่าสงสาร
เพราะขาดเคร่ืองระงบั ดบั ราคาญ โอสถใดจะสมานซ่ึงดวงใจ”
พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั :
บทเสภาสามคั คีเสวก ตอนวศิ วกรรมาและสามคั คีเสวก
บรรณานุกรรม
บรรณานกุ รม
กรมวชิ าการ,กระทรวงศึกษาธิการ.(๒๕๔๖) การจัดสาระการเรียนรู้กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตาม
หลกั สูตรการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔. กรุงเทพมหานคร : คุรุสภา
กรมวชิ าการ,กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๕๔) หนังสือเรียนรายวชิ าพนื้ ฐานภาษาไทยวรรณคดีวจิ ักษ์ ช้ัน
มัธยมศึกษาปี ท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร : สกสค
หทยั วรรณ ไชยะกุล. วรรณกรรมศึกษา. (เชียงใหม่ : ภาควชิ าภาษาไทยมหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่, ๒๕๔๔)
วทิ ยศ์ ิวะศริยานนท,์ วรรณคดีและวรรณคดีวจิ ารณ์, พิมพค์ ร้ังท่ี๖, (กรุงเทพฯ : ธรรมชาติ, ๒๕๔๔).