The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียนการพัฒนาการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง การระบุตำแหน่งของดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า โดยใช้แบบฝึกทักษะการระบุตำแหน่งสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดย นายอนุศักดิ์ วงศ์มูสา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by admin, 2021-03-22 02:02:55

รายงานวิจัยในชั้นเรียน "การระบุตำแหน่งของดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า"

วิจัยในชั้นเรียนการพัฒนาการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง การระบุตำแหน่งของดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า โดยใช้แบบฝึกทักษะการระบุตำแหน่งสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดย นายอนุศักดิ์ วงศ์มูสา

วิจัยในช้นั เรียน

การพฒั นาการเรยี นรวู้ ิชาวิทยาศาสตร์
เรื่อง การระบตุ าแหนง่ ของดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะการระบุตาแหน่ง

สาหรบั นักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6

นายอนุศกั ด์ิ วงศม์ สู า
ตาแหนง่ ครู คศ.1

กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
ภาคเรียนท่ี 2 ประจาปกี ารศึกษา 2562
โรงเรยี นบ้านทา่ เรอื อาเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต
สานกั งานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาภเู กต็

คานา

รายงานการวิจัยในชั้นเรียนเล่มน้ีจัดทาข้ึนเพ่ือแสดงรายละเอียดการดาเนินงานของการส่งเสริม
นักเรียนให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางกาเรียนรู้ในหน่วยการเรียนรู้ ดาราศาสตร์และอวกาศ ในเรื่อ การระบุ
ตาแหน่งของดวงดาวทีอ่ ยู่อยู่ทอ้ งฟา้ โดยอาศัยมุมทิศและมุมเงยในการบอกตาแหนง่ ของดวงดาว ทั้งนี้เพอ่ื ให้
ผู้เรยี นสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในระดบั การเรียนทส่ี งู ข้นึ ได้

รายละเอียดของเอกสารเล่มน้ี ประกอบด้วยท่ีมาของปัญหา คาถามการวิจัย จุดประสงค์
ประโยชน์ กลุ่มเปา้ หมาย เครอ่ื งมือในการฝกึ วิธดี าเนินการ วิเคราะห์ขอ้ มูล การสะท้อนผลและข้อเสนอแนะ
รวมทง้ั เอกสาร หลักฐานทเี่ ปน็ ผลจากการดาเนนิ งาน

นายอนุศกั ด์ิ วงศ์มสู า
ผวู้ ิจัย

สารบัญ หนา้

คานา ข
สารบญั 1
บทท่ี 1 บทนา 3
บทที่ 2 เอกสารที่เกีย่ วขอ้ ง 8
บทที่ 3 วธิ ีการดาเนินวจิ ัย 10
บทท่ี 4 ผลการวจิ ัย 13
บทท่ี 5 สรปุ อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 15
เอกสารอา้ งองิ
ภาคผนวก

- แบบบนั ทกึ สอนซอ่ มเสรมิ
- สื่อการสอนท่ีใชป้ ระกอบการอธบิ าย
- แบบฝกึ ทกั ษะเพื่อพฒั นากลุม่ สารการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
- ผลงานนักเรยี น
- ภาพประกอบการจัดการการเรียนการสอน

บทท่ี 1 บทนา

ท่ีมาและความสาคญั
จากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้น

ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 พบว่า ในช่วงทม่ี กี ารสอนซอ่ มเสริมเพ่ือยกระดบั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนในภาคเรยี นท่ี 2
จากการทบทวนทั้งหมด 7 หน่วยการเรียนรู้ ซึ่งหน่วยท่ี 1-6 นักเรียนส่วนใหญจ่ ะมีความรู้ความเข้าใจเป็น
อย่างดี สามารถตอบคาถามที่ครถู ามได้ รวมไปถงึ สามารถทาแบบทดสอบที่ครแู จกให้ได้ และผา่ นเกณฑก์ นั ทุก
คน แต่หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 เร่ืองดาราศาสตร์และอวกาศ ซ่ึงมีทั้งหมด 6 เรื่อง ได้แก่ การเกิดฤดูกาล
การเกิดข้างข้ึนข้างแรม การเกิดสุริยุปราคา การเกิดจันทรุปราคา การขึ้นตกของดวงดาว และการระบุ
ตาแหน่งของดวงดาวท่ีอยู่บนท้องฟ้า จากเรื่องท้ังหมดพบว่า เร่ืองการระบุตาแหน่งของดวงดาวท่ีอยู่บน
ท้องฟ้า เป็นเรื่องท่ีนักเรียนร้อยละ 100 ไม่เข้าใจและไม่สามารถระบุตาแหน่งของดวงดาวท่ีอยู่บนท้องฟา้ ได้
จงึ ส่งผลใหเ้ ม่อื การทดสอบ จะทาใหไ้ ม่ผา่ นเกณฑ์

จากปัญหาดังกล่าวครูผู้สอนจึงได้เล็งเห็นถึงความสาคัญในเรื่องท่ีนักเรียนยังไม่เข้าใจ จึงได้นาเรื่อง
ดงั กลา่ วมาแก้ไขปัญหา เพ่อื ให้นักเรยี นมีความเขา้ ใจและสามารถนาไปใชใ้ นการในการเรยี นรู้ในอนาคตได้ และ
ท่สี าคญั ยังสามารถเพมิ่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้กับนักเรยี นไดอ้ ีกดว้ ย

จุดมงุ่ หมายในการวิจยั
ในการวิจยั ครั้งน้ผี ู้วิจยั ไดก้ าหนดความมุ่งหมายไว้ดงั นี้
1. เพื่อพัฒนาการเรยี นการสอนในวชิ าวิทยาศาสตร์ ในเรอ่ื งการระบุตาแหน่งของดวงดาวบนทอ้ งฟา้
2. เพอื่ พัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นในเร่อื ง ดาราศาสตร์และอวกาศ ใหส้ งู ขน้ึ
3. เพอ่ื สร้างองค์ความรูท้ เี่ ปน็ พ้นื ฐานใหก้ บั นักเรยี นทสี่ ามารถนาไปใชใ้ นระดบั ท่ีสงู ขึ้นได้

สมมตฐิ านในการวิจยั
1. เม่ือนกั เรียนเกิดความเข้าใจ นกั เรยี นสามารถระบุตาแหน่งของดวงดาวที่อยบู่ นท้องฟา้ ได้
2. นักเรียนมผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สงู ข้นึ ในหน่วย ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ

ตวั แปรทีศ่ ึกษา ได้แก่
ตัวแปรต้น : แบบฝกึ ทกั ษะการระบตุ าแหน่งของดวงดาวบนทอ้ งฟา้
ตวั แปรตาม : นักเรียนสามารถระบุตาแหนง่ ของดวงดาวทอี่ ยบู่ นท้องฟ้าได้ และส่งผลให้
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขน้ึ

ขอบเขตของการวจิ ัย
ประชากรท่ีใช้ในการวจิ ัย
การวิจัยในคร้งั น้ี ประชากรเปน็ นักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2562

โรงเรียนบ้านทา่ เรือ จานวน 1 ห้องเรียน จานวนนกั เรยี น 26 คน

กลมุ่ ตัวอยา่ งท่ีใช้ในการวจิ ยั
การวจิ ยั ครัง้ นีใ้ ชก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งเปน็ นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2562

โรงเรยี นบ้านทา่ เรือ

เนื้อหาทใี่ ช้ในการวจิ ยั
การใช้แบบฝกึ ทักษะ เร่อื ง การระบุตาแหน่งของดวงดาวบนท้องฟ้า

ระยะเวลาทใี่ ชใ้ นการวิจยั
การวจิ ัยในคร้งั นด้ี าเนนิ การทดลองในภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2562

การรวบรวมข้อมูล
1. ทดสอบกอ่ นเรียน
2. การเรยี นการสอนเรอ่ื งการระบุตาแหนง่ ของดวงดาวบนทอ้ งฟ้า โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ
3. ทดสอบหลังเรียน

ประโยชน์ทคี่ าดวา่ จะไดร้ บั
1. นักเรยี นมคี วามรูค้ วามเข้าใจในเร่ือง การระบตุ าแหน่งของดวงดาวบนทอ้ งฟา้ มากยงิ่ ขึน้
2. นักเรียนมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นที่สงู ข้ึน

บทที่ 2
เอกสารที่เกย่ี วขอ้ ง

เนื้อหาทีม่ คี วามเกี่ยวขอ้ งกบั การการวิจัย
1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551
2. ดวงดาวบนท้องฟ้า

1. หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551
1.1 จดุ มุ่งหมาย
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มี

ศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชพี จึงกาหนดเป็นจดุ หมายเพือ่ ให้เกิดกับผู้เรียน เม่ือจบการศึกษาข้ัน
พ้ืนฐาน ดงั นี้

1จรยิ ธรรม และค่านิยมท่พี งึ ประสงค์เหน็ คณุ คา่ ของตนเองมวี นิ ยั และปฏบิ ัติตนตามหลกั ธรรมของ
พระพุทธศาสนาหรอื ศาสนาทีต่ นนับถอื ยึดหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง

2. มีความรู้ ความสามารถในการส่ือสาร การคดิ การแกป้ ัญหา การใชเ้ ทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต
3.มสี ขุ ภาพกายและสขุ ภาพจติ ทด่ี ี มสี ุขนิสัย และรักการออกกาลงั กาย
4.มคี วามรกั ชาติ มจี ติ สานึกในความเป็นพลเมอื งไทยและพลโลกยึดม่ันในวิถีชีวติ และการปกครองตาม
ระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมุข
5. มีจติ สานึกในการอนรุ กั ษว์ ัฒนธรรมและภูมปิ ัญญาไทย การอนรุ ักษ์และพฒั นาสิ่งแวดล้อม
มจี ิตสาธารณะท่มี ่งุ ทาประโยชนแ์ ละสร้างสิ่งทด่ี งี ามในสงั คม และอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมอย่างมคี วามสขุ
1.2 สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2560 (ปรับปรุง 2551) มุ่งให้ผู้เรียนเกิด
สมรรถนะสาคัญ 5 ประการ ดงั ต่อไปนี้

1. ความสามารถในการส่ือสาร เป็นความสามารถในการรับและสง่ สาร มีวฒั นธรรมในการ
ใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึกและทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสาร
และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชนต์ ่อการพฒั นาตนเองและสังคม รวมท้ังการเจรจาต่อรองเพ่ือขจัดและลด
ปัญหาความขัดแยง้ ตา่ งๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้องตลอดจนการ
เลอื กใชว้ ธิ กี ารส่อื สาร ท่มี ีประสิทธิภาพโดยคานงึ ถึงผลกระทบทมี่ ีตอ่ ตนเองและสังคม

2. ความสามารถในการคิด เปน็ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคดิ สังเคราะห์ การคิด
อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพ่ือนาไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ
สารสนเทศเพ่อื การตดั สนิ ใจเกีย่ วกบั ตนเองและสงั คมไดอ้ ย่างเหมาะสม

3. ความสามารถในการแก้ปญั หา เปน็ ความสามารถในการแก้ปัญหาและอปุ สรรคตา่ ง

ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ
ความสัมพันธ์และการเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคมแสวงหาความรู้ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการ
ป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจท่ีมีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคม
และสง่ิ แวดล้อม

4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต เปน็ ความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้
ในการดาเนินชีวิตประจาวันการเรียนรู้ด้วยตนเองการเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองการทางานและการอยู่ร่วมกันใน
สังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่าง
เหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อมและการรู้จักหลกี เลี่ยงพฤติกรรม
ไมพ่ ึงประสงค์ทีส่ ่งผลกระทบต่อตนเองและผูอ้ ่นื

5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี เปน็ ความสามารถในการเลอื ก และใช้เทคโนโลยี
ดา้ นต่าง ๆ และมีทกั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพฒั นาตนเองและสงั คมในดา้ นการเรียนรู้ การสอ่ื สาร
การทางาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรคถ์ กู ตอ้ งเหมาะสมและมีคุณธรรม

1.3 คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อให้
สามารถอยรู่ ว่ มกบั ผู้อนื่ ในสังคมได้อยา่ งมีความสขุ ในฐานะเปน็ พลเมอื งไทยและพลโลกดังตอ่ ไปนนี้ ้ี
1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
2. ซื่อสตั ยส์ ุจริต
3. มีวนิ ัย
4. ใฝเ่ รียนรู้
5. อยู่อย่างพอเพียง
6. ม่งุ ม่นั ในการทางาน
7. รักความเปน็ ไทย
8. มจี ิตสาธารณะ
ทาไมตอ้ งเรยี นวทิ ยาศาสตร์

วิทยาศาสตร์มีบทบาทสาคัญย่ิงในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์
เกี่ยวข้องกับทุกคนทั้งในชีวิตประจาวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เคร่ืองมือเครื่องใช้และ
ผลผลิตต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้ใช้เพื่ออานวยความสะดวกในชีวิตและการทางานเหล่าน้ีล้วนเป็นผลของความรู้
วทิ ยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตรอ์ น่ื ๆ วิทยาศาสตรช์ ว่ ยใหม้ นษุ ย์ได้พัฒนาวธิ ีคดิ ทั้ง
ความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มี
ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถ ตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลท่ีหลากหลายและมีประจักษ์
พยานที่ตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซ่ึงเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (K knowledge-
based society) ดังน้ันทุกคนจึงจาเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อท่ีจะมีความรู้ความเข้าใจใน

ธรรมชาติและเทคโนโลยีท่ีมนุษย์สร้างสรรค์ข้ึน สามารถนาความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ และมี
คุณธรรม

เรียนรู้อะไรในวทิ ยาศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ท่ีเน้นการ

เชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้
กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และการแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุก
ข้ันตอน มีการทากิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับช้ัน โดยได้กาหนด
สาระสาคัญไวด้ งั น้ี

ส่งิ มชี วี ติ กับกระบวนการดารงชีวิต ส่งิ มชี วี ติ หน่วยพื้นฐานของส่งิ มชี วี ิต โครงสรา้ งและหน้าท่ี
ของระบบต่าง ๆ ของส่ิงมีชีวิต และกระบวนการดารงชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การถ่ายทอดทาง
พันธุกรรม การทางานของระบบต่าง ๆ ของส่ิงมีชีวิต วิวัฒนาการและความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต และ
เทคโนโลยีชีวภาพ

ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิตที่หลากหลายรอบตัว ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ
ส่ิงแวดล้อม ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ ความสาคัญของทรพั ยากรธรรมชาติ การใช้และ
จัดการทรัพยากรธรรมชาติในระดับท้องถ่ิน ประเทศ และโลก ปัจจัยท่ีมีผลต่อการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตใน
สภาพแวดลอ้ มตา่ ง ๆ

สารและสมบัติของสาร สมบัติของวัสดุและสาร แรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาคการเปล่ียน
สถานะ การเกดิ สารละลายและการเกิดปฏิกิรยิ าเคมีของสาร สมการเคมี และการแยกสาร

แรงและการเคลื่อนท่ี ธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง แรงนวิ เคลียร์ การออกแรง
กระทาตอ่ วตั ถุ การเคลอ่ื นที่ของวัตถุ แรงเสยี ดทาน โมเมนต์การเคล่อื นที่แบบต่าง ๆ ในชวี ิตประจาวนั

พลังงาน พลังงานกบั การดารงชีวิต การเปล่ียนรูปพลังงาน สมบัติและปรากฏการณ์ของแสง
เสยี ง และวงจรไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ กมั มนั ตภาพรงั สีและปฏิกิริยานิวเคลียร์ ปฏิสมั พนั ธร์ ะหว่างสารและ
พลงั งานการอนุรกั ษ์พลงั งาน ผลของการใช้พลงั งานตอ่ ชีวิตและส่งิ แวดล้อม

กระบวนการเปล่ียนแปลงของโลก โครงสร้างและองค์ประกอบของโลก ทรัพยากรทางธรณี
สมบัติทางกายภาพของดิน หิน น้า อากาศ สมบัติของผิวโลก และบรรยากาศ กระบวนการเปล่ียนแปลงของ
เปลอื กโลก ปรากฏการณท์ างธรณี ปัจจยั ทมี่ ผี ลต่อการเปลย่ี นแปลงของบรรยากาศ

ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ วิวฒั นาการของระบบสรุ ยิ ะ กาแล็กซี เอกภพ ปฏสิ ัมพันธแ์ ละผลต่อ
ส่งิ มีชีวติ บนโลก ความสัมพันธ์ของดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์ และโลก ความสาคญั ของเทคโนโลยีอวกาศ

ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระบวนการทางวิทยาศาสตร์การสืบเสาะ หา
ความรู้ การแก้ปญั หา และจิตวทิ ยาศาสตร์

สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระที่ 1 สิ่งมีชีวิตกบั กระบวนการดารงชวี ิต
สาระที่ 2 ชีวิตกับสงิ่ แวดล้อม
สาระท่ี 3 สารและสมบตั ขิ องสาร
สาระท่ี 4 แรงและการเคล่ือนท่ี
สาระที่ 5 พลงั งาน
สาระที่ 6 กระบวนการเปลยี่ นแปลงของโลก
สาระท่ี 7 ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ
สาระที่ 8 ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ดวงดาวในทอ้ งฟา้
จากการสงั เกตดาวเคราะหจ์ ะพบว่าดาวเคราะหท์ ี่เหน็ ด้วยตาเปล่าจะสว่างกว่าดาวฤกษ์ เนอ่ื งจากอยู่

ใกล้โลกมากกวา่ และมกี ารเคลอื่ นท่เี ห็นไดช้ ัดเจนกวา่ เม่อื เปรียบเทียบกบั ดาวฤกษ์ ในการสงั เกตดาวในแตล่ ะ
คืนจะพบวา่ ดาวมกี ารเคลื่อนท่ีจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก เนื่องจากโลกหมุนจากทศิ ตะวันตกไปทิศ
ตะวนั ออก ในการบอกตาแหนง่ ของดาวอาจบอกเวลาข้นึ ของดาว คอื ขณะทด่ี าวเสมือนว่ากาลงั โผล่พน้ ขอบฟา้
ทศิ ตะวันออก เนอื่ งจากโลกหมนุ รอบตวั เองทาใหด้ าวปรากฏเสมือนวา่ เคลอ่ื นทไี่ ปบนทอ้ งฟา้ ดังน้ันตาแหน่ง
ของดาวจงึ มีความสัมพนั ธก์ ับเวลาท่ีทาการสงั เกตและตาแหนง่ ทสี่ งั เกต ในการบอกตาแหน่งของดวงดาวขัน้
พื้นฐานเราใชร้ ะบบเส้นขอบฟา้ คอื บอกตาแหน่งด้วยคา่ 2 ค่าคอื มุมทศิ และมุมเงย

ภาพแสดงสว่ นประกอบทรงกลมท้องฟ้า
จดุ เหนือศรี ษะ (zenith) คือจุดสูงสุดบนขอบฟ้า จะอยตู่ รงศรี ษะพอดี จดุ เหนอื ศีรษะจะทามมุ กับผู้
สังเกตและขอบฟ้าทุกๆ ด้านเป็นมุมฉากพอดีในการสงั เกตดวงดาวบนท้องฟ้า ผู้สงั เกตอาจมีจินตนาการ
แตกตา่ งกนั ไป นักดาราศาสตร์สว่ นใหญ่จึงเห็นควรวา่ จะแบ่งทอ้ งฟ้าเป็น 88 เขต แต่ละเขตประกอบด้วยดาว

ฤกษจ์ านวนหนึง่ และเรียกว่า กลมุ่ ดาว กลุ่มดาวที่ใช้ในการบอกทิศและฤดกู าลท่รี ู้จกั กันดี ได้แก่ กลมุ่ ดาวจระเข้
กลมุ่ ดาวค้างคาว กลุ่มดาวเตา่ และกล่มุ ดาวจักรราศี

ทศิ ท้ังส่ี ประกอบด้วย ทิศเหนือ (North) ทศิ ตะวนั ออก (Earth) ทศิ ใต้ (South) ทศิ ตะวนั ตก (West)
เม่อื หันหนา้ เข้าหาทิศเหนือ ่ด้านหลังเป็นทิศใต้ ซ้ายมอื เป็นทศิ ตะวนั ตก ขวามอื เป็นทิศตะวันออก

จุดเหนอื ศรี ษะ (Zenith) เป็นตาแหน่งสงู สุดของทรงกลมฟา้ ซึ่งอยเู่ หนือผสู้ ังเกต
จดุ ใตเ้ ทา้ (Nadir) เปน็ ตาแหน่งตา่ สุดของทรงกลมฟ้า ซ่งึ อยูใ่ ต้เท้าของผู้สังเกต
เสน้ ขอบฟ้า (Horizon) หมายถึง แนวเส้นขอบท้องฟา้ ซง่ึ มองเห็นจรดพ้ืนราบ หรอื อกี นัยหนง่ึ
คอื เสน้ วงกลมใหญ่บนทรงกลมฟ้าท่ีอยู่หา่ งจากจุดเหนอื ศีรษะ ทามมุ 90กบั แกนหลักของระบบขอบฟ้า
เสน้ เมอริเดียน (Meridian) เป็นเส้นสมมตบิ นทรงกลมฟา้ ในแนวเหนือ-ใต้ ซ่งึ ลากผ่านจดุ เหนอื ศรี ษ

+ มุมทิศ (azimuth) เปน็ มมุ ในแนวราบขนานกบั เส้นขอบฟา้ นบั จากทศิ เหนือในทิศทางตามเขม็
นาฬิกาไปยงั ทศิ ตะวัน-ออก ทศิ ใต้ ทิศตะวันตก และกลับมายงั ทิศเหนอื อีกคร้งั มีค่า 0-360 องศา

+ มมุ เงย (altitude) เปน็ มุมในแนวตง้ั หรือมมุ ที่มองข้ึนสูงจากขอบฟ้า นับจากเส้นขอบฟ้าขึ้นไปส่จู ุด
เหนอื ศีรษะมีค่า 0-90 องศา

สืบคน้ ออนไลน์ https://sites.google.com/site/stars17021/tahaenng-khxng-dwngdaw

บทที่ 3
วธิ ดี าเนนิ การวจิ ยั

การวจิ ัยเร่ือง การพัฒนาการเรยี นรวู้ ชิ าวทิ ยาศาสตรเ์ ร่ือง การระบตุ าแหน่งของดวงดาวท่ีอยบู่ น
ท้องฟา้ โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะการระบตุ าแหน่ง สาหรับนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 6

ผวู้ ิจัยได้ดาเนนิ การวจิ ัย ตามขนั้ ตอนดงั น้ี
1. การกาหนดประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
2. การกาหนดเน้อื หาทใี่ ช้ในการวจิ ยั
3. การกาหนดระยะเวลาในการวิจัย
4. การสรา้ งเครอื่ งมอื ท่ีใช้ในการวิจยั
5. การกาหนดแบบแผนการวิจัย
6. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
7. สถิติทใี่ ช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล

1. การกาหนดประชากรและกลุม่ ตัวอยา่ ง
ประชากรที่ใช้ในการวจิ ยั ในครงั้ นี้
ประชากรเป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 จานวนนักเรียน 26

คน
กลุม่ ตัวอยา่ งทใ่ี ช้ในการวจิ ัย
การวิจัยคร้ังน้ีใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2562

โดยการสุม่ แบบเฉพาะเจาะจง จานวนนกั เรยี น 26 คน

2. การกาหนดเน้ือหาทีใ่ ช้ในการวจิ ัย
การวิจัยคร้งั นใี้ ชเ้ น้อื หาเรื่อง การระบุตาแหน่งของดวงดาวทีอ่ ยบู่ นท้องฟา้ โดยใช้แบบฝึกทักษะการ

ระบุตาแหน่ง สาหรบั นักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 6

3. การกาหนดระยะเวลาในการวิจยั
การวิจยั ในครงั้ น้ดี าเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2562

4. การสรา้ งเคร่ืองมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ัย
เครือ่ งมอื ท่ใี ชใ้ นการวิจัยครง้ั น้ี
1. แบบฝกึ ทักษะการระบตุ าแหนง่ ของดวงดาวทีอ่ ย่บู นท้องฟา้
2. แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่ือง การระบุตาแหน่งของดวงดาวท่ีอยู่บนท้องฟ้า เป็น

ข้อสอบปรนยั
ขั้นตอนการสรา้ งเครอ่ื งมือ
1. ศึกษาเน้ือหาเก่ียวกับการใชแ้ บบฝึกทกั ษะปรนยั
2. สรา้ งแบบฝึกทักษะการระบุตาแหน่งของดวงดาวทอ่ี ยูบ่ นท้องฟ้า
3. สร้างแบบทดสอบกอ่ นเรยี นเรอื่ ง การระบุตาแหนง่ ของดวงดาวที่อย่บู นทอ้ งฟ้า
4. นาแบบทดสอบท่สี ร้างขึ้นไปใช้กับกลมุ่ ตวั อยา่ ง

5. การกาหนดแบบแผนการวจิ ยั
การวจิ ัยครง้ั น้ี เป็นการวิจยั เชงิ ทดลองเพือ่ แก้ปัญหาและพฒั นา โดยแบบการทดสอบกอ่ นเรยี น

และหลังเรียน

6. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
ในการวิจยั ครั้งน้ี ดาเนนิ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ตามลาดับ ดังน้ี
1. ทดสอบก่อนเรยี น โดยใชแ้ บบทดสอบก่อนเรียนเพอ่ื วดั ผลสัมฤทธิ์ โดยใชข้ ้อสอบปรนยั
2. จดั การเรยี นการสอนตามแผนการจดั การเรียนรู้ โดยใช้สาธติ และทดลอง
3. ทดสอบหลังเรียนโดยใช้แบบทดสอบหลงั เรยี นเพ่อื วัดผลสัมฤทธิ์ และเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิ ดว้ ย

ขอ้ สอบปรนัย

7. สถติ ทิ ่ใี ชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมูล
ในการวจิ ัยคร้งั นี้ ผวู้ ิจยั ได้วิเคราะหข์ ้อมลู ต่างๆโดยใชส้ ูตรทางสถิติ ดงั ต่อไปน้ี

=

เมือ่ (เอ็กซบ์ าร)์ คือ คา่ เฉลยี่ เลขคณิต
คอื ผลรวมของคะแนนของนักเรียนทกุ คน
คอื จานวนกลมุ่ ตัวอย่าง (จานวนนกั เรียน)

บทท่ี 4
ผลการวิจยั

การวจิ ยั ครง้ั นม้ี วี ัตถุประสงค์
1. เพื่อพฒั นาการเรียนการสอนในวิชาวทิ ยาศาสตร์ ในเรื่องการระบตุ าแหน่งของดวงดาวบนทอ้ งฟา้
2. เพอ่ื พัฒนาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนในเรือ่ ง ดาราศาสตร์และอวกาศ ให้สูงขึ้น
3. เพอ่ื สรา้ งองค์ความรทู้ ี่เปน็ พ้ืนฐานให้กับนักเรียนท่สี ามารถนาไปใช้ในระดบั ท่ีสงู ข้นึ ได้
ก่อนและหลังการทาแบบฝึกทักษะ จากการประเมินผลก่อนเรยี นและหลังเรียน การทาแบบทดสอบ

ของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 6 จานวน 26 คน

ตารางท่ี 1 คะแนนสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกเรือ่ ง เร่อื งการระบุตาแหน่ง

ของดวงดาวบนทอ้ งฟา้

ท่ี ช่อื - สกลุ ก่อนเรียน หลงั เรยี น การพฒั นา

1 เด็กชายอนั ดา ทมุ มาคร 1 9 +8

2 เดก็ หญิงเพญ็ ดารา สุวรรณชม 1 8 +7

3 เดก็ หญงิ ธนพร ไชยราช 0 6 +6

4 เด็กหญงิ พิชศ์ชยาภาร์ ชนะสงคราม 2 9 +7

5 เด็กหญิงบวรลกั ษณ์ อึ๋งสกลุ 0 8 +8

6 เดก็ ชายเอกพฒั น์ ศรโี วย 1 7 +6

7 เดก็ หญงิ นฤพร ขาดว้ ง 1 9 +8

8 เด็กชายชญานนท์ ขวัญเดือน 2 9 +7

9 เด็กชายอาทติ ย์ กองขา้ งเรยี บ 2 8 +6

10 เดก็ ชายรพพี ฒั น์ เทพคณุ 2 9 +7

11 เดก็ หญงิ นฟิ าเรยี หนักแนน่ 1 7 +6

12 เด็กหญิงเพียวเพียว ซอื่ ตระกลู 0 8 +8

13 เด็กหญงิ ธนญั ญา พรหมช่วย 1 9 +8

14 เด็กชายศวิ กร สขุ ศรนี วน 2 9 +7

15 เดก็ หญิงวราศิณี สามารถ 1 8 +7

16 เดก็ ชายปยิ ะราชย์ คงแกว้ 1 8 +7

17 เด็กหญงิ ไหมทิพย์ แสนบุญ 0 8 +8

18 เด็กชายยะหย์ า หะยยี ะเส็น 0 7 +7

19 เดก็ หญงิ มกิ ะ โอโน 0 7 +7

20 เดก็ หญิงพัชราภา ชิตชลธาร 2 9 +7

21 เด็กชายจกั รี ประเสริ ฐสังข์ 07 +7

22* เดก็ ชายวิสุทธิ์ รัศมี 0 6 +6

23* เดก็ ชายวรเดช พรมนลิ 0 5 +5

24* เดก็ ชายนพรตั น์ แก้วอาไพ 03 +3

25* เดก็ ชายนัฏฐวฒั ิ สาลี 0 4 +4

26* เด็กชายณัฐวฒุ ิ นาคแกว้ 0 5 +5

คะแนนรวม 20 192 172

คะแนนเฉลี่ย 0.77 7.38 6.62

ตารางท่ี 2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ช้ัน

ประถมศึกษาปที ่ี 6

การทดสอบ จานวนนักเรยี น (N) คะแนนรวม คะแนนเฉลีย่

กอ่ นเรียน 26 172 0.77

หลงั เรยี น 26 192 7.38

จากตารางที่ 2 ปรากฏว่าผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาป่ีที่ 6 มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงข้ึน โดยมีคะแนนเฉล่ียเพ่ิมข้ึนโดย เฉล่ียเท่ากับ
6.62

บทที่ 5
สรปุ อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการระบุตาแหน่งของดวงดาวทีอ่ ยู่
บนท้องฟา้ โดยใช้แบบฝึกทักษะการระบุตาแหน่งที่ครูผวู้ ิจัยได้จดั ทาข้นึ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ใน
หน่วยการเรียนท่ี 7 ดาราศาสตร์อวกาศ ในเร่ือง การระบุตาแหน่งของดวงดาวบนท้องฟา้ ให้มีผลสัมฤทธ์ิที่
สูงขึ้น และท่ีสาคัญยังพัฒนาให้ผู้เรียนนาไปใช้ในอนาคตได้อีกด้วย โดยใช้การประเมินผลก่อนเรียนและหลัง
เรียน รวมไปถุงการการทาแบบทดสอบของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 จานวน 26 คน

วัตถปุ ระสงคใ์ นการวจิ ยั
ในการวิจัยคร้ังน้ผี วู้ จิ ัยไดก้ าหนดวัตถุประสงค์ไวด้ ังนี้
1. เพอ่ื พัฒนาการเรยี นการสอนในวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ในเร่อื งการระบุตาแหน่งของดวงดาวบนท้องฟา้
2. เพ่อื พฒั นาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นในเรื่อง ดาราศาสตร์และอวกาศ ใหส้ งู ข้นึ
3. เพ่อื สรา้ งองคค์ วามรู้ที่เป็นพื้นฐานใหก้ ับนักเรยี นท่สี ามารถนาไปใช้ในระดบั ทสี่ ูงขน้ึ ได้

สมมตฐิ านในการวิจยั
1. เมือ่ นักเรียนเกดิ ความเข้าใจ นกั เรียนสามารถระบตุ าแหน่งของดวงดาวทีอ่ ยบู่ นทอ้ งฟา้ ได้
2. นกั เรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนทสี่ งู ขึน้ ในหน่วย ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ

ประชากรทใ่ี ช้ในการวจิ ยั ในคร้ังนี้
ประชากรเป็นนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2562 จานวนนกั เรยี น 26 คน

กล่มุ ตวั อยา่ งทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย
การวิจัยครั้งนี้ใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2562

โดยการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง จานวนนกั เรียน 26 คน

สรปุ ผลการวิจยั
จากการใหน้ กั เรยี นทาแบบทดสอบเพอื่ ทดสอบความรู้กอ่ นเรียนในหน่วยที่ 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ

ซ่งึ มีท้ังหมด 7 เรอื่ ง ผลปรากฏวา่ เรื่อง การะบตุ าแหนง่ ของดวงดาวทีอ่ ยู่บนท้องฟ้า นักเรียนร้อยละ 100 ไม่
สามารถตอบคาถามและไมผ่ ่านเกณฑ์การทดสอบ ผู้วิจัยจึงไดน้ าเร่อื งการระบตุ าแหนง่ ของดวงดาวมาใช้ในการ
สอนเสริม โดยการทาแบบฝึกทักษะร่วมกับการสอนเสริมในช่วงเทอม 2 จากการสอนและสอบถาม พบว่า
นักเรียนรอ้ ยละ 80 มีความเขา้ ใจมากยิ่งขน้ึ และสามารถทาข้อสอบผา่ นเกณฑ์ทก่ี าหนดได้ โดยค่าเฉลย่ี เพิ่มขึ้น
6.62

อภปิ รายผล
จากการสอนเรื่อง การระบุตาแหน่งของดวงดาวบนท้องฟ้า ในช่วงแรกท่ีทาสอน พบว่า นักเรียนมี

ความสับสนเป้นอยา่ งมาก ซึ่งผูว้ ิจยั คดิ ว่า นักเรยี นนา่ จะลืมในเนอื้ หา และอกี ส่วนหนึง่ เป็นเรื่องที่นกั เรยี นไม่ได้
นาไปใช้ในชวี ิตประจาวันเหมือนกับเร่ืองอ่ืนๆ แต่เมื่อทาสอนไประยะหนงึ่ ร่วมกับครใู ช้แบบฝึกทักษะและการ
ทดลองเพอ่ื ใหน้ ักเรยี นเหน็ ภาพการข้ึนตกของดวงดาวมากย่ิงขึน้ จนทาใหน้ ักเรียนเกิดความเข้าใจและสามารถ
ระบุตาแหน่งของดวงดาวท่ีอยู่บนท้องฟา้ ได้โดยอาศัยมุมทิศและมุมเงยในการฝึก และท่ีสาคัญถ้าหากให้เกิด
ความชัดเจนมากย่ิงข้ึน ครูผู้สอนควรสาธิตการดูดาวในช่วงเวลากลางคืนผ่านกิจกรรมค่ายดาราศาสตร์ ซึ่งจะ
เป็นผลดแี ก่ผเู้ รยี นเปน็ อยา่ งมาก

ข้อเสนอแนะ
1. ควรศึกษาเร่อื งทีน่ ักเรยี นยังไมไ่ ดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง เพื่อการพัฒนาในทศิ ทางท่ีถูกตอ้ ง
2. ควรนาวิธีการทหี่ ลากหลาย เพ่ือให้นักเรยี นมองเหน็ เปน็ รูปธรรมให้มากท่ีสุด
3. ควรให้นกั เรยี นฝกึ การดูดวงดาวในช่วงเวลากลางผา่ นกจิ กรรมค่ายดาราศาสตร์

เอกสารอ้างองิ
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551.

(ออนไลน์ http://oknation.nationtv.tv/blog/jib1)
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์.

(ออนไลน์ http://oknation.nationtv.tv/blog/jib1)
ดวงดาวบนท้องฟา้ . ออนไลน์ https://sites.google.com/site/stars17021/tahaenng-khxng-dwngdaw

ภาคผนวก

แบบฝกึ ทกั ษะเพอ่ื พัฒนากลุม่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์
เร่อื ง การระบตุ าแหนง่ ของดวงดาวบนท้องฟ้า

โดย
นายอนศุ ักด์ิ วงศ์มสู า
ตาแหนง่ ครู คศ 1

ระดับชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
โรงเรียนบา้ นทา่ เรือ อาเภอถลาง จังหวัดภเู ก็ต
สานักงานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาภูเก็ต

แบบทดสอบก่อนเรียน

เรอ่ื งการระบุตาแหนง่ ของดวงดาวบนท้องฟ้า

1.มุมทิศ 100๐ มมุ เงย 30๐ 2. มมุ ทิศ 170๐ มมุ เงย

80๐

3. มุมทศิ 230๐ มมุ เงย 60๐ 4. มุมทศิ 180๐ มุมเงย
50๐

5. มุมทศิ 160๐ มุมเงย 50๐ 6.มมุ ทิศ 115๐ มุมเงย 30



7. มมุ ทิศ 290๐ มมุ เงย 25๐ 8. มมุ ทิศ 180๐ มมุ เงย
85๐ 10. มุมทศิ 110๐ มมุ เงย

9. มมุ ทศิ 150๐ มมุ เงย 75๐
90๐

1.มมุ ทิศ 180๐ แบบฝึกการระบตุ าแหน่งของดวงดาวบนท้องฟ้า
ชุดท่ี 1 การหามุมทิศ
2. มุมทศิ 70๐

3. มุมทิศ 200๐ 4. มมุ ทิศ 270๐

5. มมุ ทิศ 160๐ 6.มุมทิศ 85๐

7. มมุ ทิศ 290๐ 8. มมุ ทศิ 180๐

9. มมุ ทิศ 160๐ 10. มุมทศิ 85๐

1. มุมเงย 45๐ แบบฝึกการระบุตาแหนง่ ของดวงดาวบนท้องฟา้
ชดุ ท่ี 2 การหามมุ เงย
2. มุมเงย 90๐

3. มุมเงย 35๐ 4. มมุ เงย 45๐

5. มุมเงย 45๐ 6. มุมเงย 45๐
7. มมุ เงย 45๐ 8. มมุ เงย 45๐

9. มุมเงย 15๐ 10. มุมเงย 90๐

แบบฝกึ การระบตุ าแหนง่ ของดวงดาวบนท้องฟ้า

ชดุ ท่ี 3 การหามุมทิศ มุมเงย

1.มมุ ทิศ 180๐ มุมเงย 70๐ 2. มุมทิศ 70๐ มมุ เงย

80๐

3. มมุ ทศิ 200๐ มุมเงย 60๐ 4. มุมทศิ 270๐ มมุ เงย
50๐

5. มุมทศิ 160๐ มมุ เงย 45๐ 6.มมุ ทิศ 85๐ มมุ เงย 20๐
8. มุมทิศ 180๐ มุมเงย
7. มุมทศิ 290๐ มุมเงย 15๐
70๐

9. มมุ ทิศ 160๐ มมุ เงย 55๐ 10. มมุ ทศิ 85๐ มมุ เงย
90๐

แบบฝกึ ทกั ษะ

เร่อื งการระบตุ าแหนง่ ของดวงดาวบนท้องฟา้

1.มมุ ทิศ 120๐ มุมเงย 30๐ 2. มุมทศิ 180๐ มุมเงย

90๐

3. มมุ ทิศ 220๐ มมุ เงย 50๐ 4. มมุ ทิศ 170๐ มมุ เงย
60๐

5. มมุ ทศิ 260๐ มุมเงย 50๐ 6.มมุ ทิศ 170๐ มุมเงย 40



7. มมุ ทศิ 270๐ มมุ เงย 90๐ 8. มมุ ทศิ 180๐ มมุ เงย
55๐

9. มุมทศิ 280๐ มมุ เงย 90๐ 10. มุมทศิ 300๐ มมุ เงย
90๐

แบบฝึกทักษะเพ่อื พฒั นากลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์


Click to View FlipBook Version