โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ประเภททดลอง
เรือ่ ง กระดาษลติ มัสจากวสั ดธุ รรมชาติ
จัดทาโดย
1.เด็กหญิงกัญญาณฎั ฐ์ แซ่ตนั ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6
2.เด็กหญงิ ปารฉิ ัตร จดั สร้าง ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6
3.เดก็ หญิงทิพยน์ ภา คงกิ้ม ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6
ครูท่ีปรึกษา
1. นางสาววชิ าพร ศรีชัย
2. นายอนศุ ักดิ์ วงศ์มสู า
โรงเรยี นบ้านทา่ เรือ สานักงานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศกึ ษาภูเก็ต
รายงานฉบบั น้ีเปน็ สว่ นประกอบของโครงงานวิทยาศาสตร์
ประเภททดลอง ระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4-6
เนื่องในงานมหกรรมความสามารถทางศิลปหัตถกรรม
วชิ าการ และเทคโนโลยีของนกั เรยี น ครัง้ ท่ี 68
กิตตกิ รรมประกาศ
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง กระดาษลิตมัสจากวัสดุธรรมชาติ ที่สาเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
ตามวัตถุประสงค์ และสมมติฐานท่ีตั้งไว้ เป็นเพราะไดร้ ับความอนุเคราะหแ์ ละความร่วมมือเป็นอย่างดี
จากผ้เู กี่ยวข้อง ผู้จดั ทาขอขอบพระคณุ ผอู้ านวยการโรงเรียน ผู้ปกครอง ครูทป่ี รึกษาโครงงานทใ่ี ห้
คาปรกึ ษาเก่ียวกับการวางแผนการทาโครงงาน การประเมินคุณภาพโครงงาน และเอื้อเฟ้ือสถานท่ี
ในการปฏิบัตกิ ิจกรรม ขอขอบคุณเพือ่ น ๆ นกั เรียนทุกคนท่ีใหค้ วามร่วมมอื ในการทดลอง โครงงาน
น้ีจะเกดิ ขนึ้ และสมั ฤทธผ์ิ ลไม่ไดเ้ ลยหากขาดบคุ คลเหล่านี้ จงึ ขอขอบพระคณุ ทุกท่านมา ณ ท่ีน้ี
คณะผูจ้ ดั ทา
บทคัดย่อ
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรือ่ ง กระดาษลิตมัสจากวัสดุธรรมชาติ ซึ่งเป็นโครงงานที่บูรณาการ
ความรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และกลุ่มสาระการเรียนรู้อ่ืน ๆ และหลักปรัชญา
เศรษฐกิจพอเพียง จัดทาขึ้นเพื่อต้องการทดสอบความเป็นกรด-เบสของสารในชีวิตประจาวัน โดยมี
วัตถุประสงค์เพือ่ ผลิตกระดาษลิตมัสจากวตั ถุธรรมชาติ รวมไปสามารถนากระดาษลิตมัสท่ไี ดน้ ั้นไปใช้
ในการทดสอบความเป็นกรด-เบสของสารในชีวิตประจาวัน และเพ่ือเปรียบเทียบประสิทธิภาพกับ
กระดาษลิตมัสที่มีขายในท้องตลาด นอกจากนี้เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนในการนา
กระดาษลิมัสไปใช้ที่บ้านเพ่ือทดสอบสารท่ีตัวเองสนใจ ซึ่งในการทาการทดลองคร้ังนี้ ทางกลุ่มได้
เลือกใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติที่สามารถหาได้ง่ายในท้องถิ่นและสามารถให้สีธรรมชาติ ที่มีลักษณะ
เหมือนกับกระดาษลิตมัสทขี่ ายตามท้องตลาด เนื่องจากนา้ สีทไ่ี ด้นนั้ ไม่เปน็ อันตรายตอ่ การนาไปใช้
จากการทาโครงงานเรอ่ื ง กระดาษลิตมัสจากวสั ดุธรรมชาติ ทางคณะผ้จู ัดทาได้เลือกใช้วัสดุ
ธรรมชาติ 2 ชนิด คือดอกอัญชันและดอกเข็ม เนื่องจากเม่ือนาพืชทั้ง 2 ชนิดมาสกัดเอาสีออกมา
พบว่า พืชทั้งสองใหส้ ีน้าเงินม่วงและสแี ดง และเม่ือนากระดาษกรองไปแชไ่ วเ้ ปน็ เวลา 5 นาที แลว้ เอา
ขึ้นมาเป่าให้แห้ง ผลปรากฎว่าได้กระดาษลิตมัสจากวัสดุธรรมชาติ 2 สี คือ กระดาษลติ มัสสีน้าเงิน
และกระดาษลติ มสั สีแดง ซงึ่ เปน็ ไปตามวัตถปุ ระสงค์ขอ้ ที่ 1
หลังจากทีไ่ ด้กระดาษลิตมสั แลว้ ทางคณะผูจ้ ดั ทาไดน้ ากระดาษลิตมัสทีไ่ ด้จากวตั ถปุ ระสงคข์ ้อ
ที่ 1 นาไปทดสอบความเป็นกรด-เบสของสาร ซ่ึงสารที่นามาทดสอบน้ันเป็นสารที่ อยู่ใน
ชวี ติ ประจาวัน จากการทดสอบพบวา่ กระดาษลติ มัสสามาถทดสอบความเป็นกรด-เบสของสารได้ ซึ่ง
เป็นไปตามวัตถุประสงค์ข้อท่ี 2 คือ เพื่อทดสอบความเป็นกรด-เบสของสารได้ และเป็นไปตาม
สมมติฐานขอ้ ท่ี 1 คือ กระดาษลิตมัสจากวัสดุธรรมชาตสิ ามารถทดสอบความเปน็ กรด-เบสของสารได้
จากการเปรียบเทยี บผลการทดสอบความเป็นกรด-เบสของสาร ด้วยกระดาษลิตมัสจากวสั ดุ
ธรรมชาติกับกระดาษลิตมัสท่ีซ้ือจากท้องตลาด พบว่า ให้ผลการทดสอบเหมือนกัน ซึ่งเป็นไปตาม
วัตถุประสงค์ข้อท่ี 3 คือ เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของกระดาษลิตมัสจากวัสดุธรรมชาติกับ
กระดาษลติ มัสจากทอ้ งตลาดและเป็นไปตามสมมติฐานขอ้ ที่ 2 คอื กระดาษลิตมัสจากวัสดุธรรมชาติ
ให้ผลการทดสอบมปี ระสิทธภิ าพเทา่ กับกระดาษลิตมสั จากท้องตลาด
ในการทาโครงงานครั้งน้ีคณะผู้จัดทาได้ให้คณะครูประเมินคุณภาพโครงงาน โดยใช้แบบ
ประเมินคุณภาพโครงงาน และแสดงความคิดเห็นระดับคณุ ภาพ 5 ระดบั ผลการประเมินคุณภาพ
โครงงาน พบวา่ โครงงานมคี ณุ ภาพในระดับมากถงึ มากท่ีสดุ คดิ เปน็ ร้อยละ 100
ผลการศึกษาความพึงพอใจเม่ือนากระดาษลิตมัสไปให้เพ่ือนๆ และนักเรียนได้เรียนรู้และ
ประเมินความพึงพอใจจากการประเมินพบว่า ระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมากท่ีสุดคิดเป็นร้อย
97.08
สารบัญ หนา้
ก
บทคัดยอ่ ข
กติ ติกรรมประกาศ ค
สารบัญ ง
สารบัญตาราง จ
สารบัญรปู ภาพ 1
บทท่ี 1 บทนา 1
1
-ทม่ี าและความสาคัญ 1
-วัตถุประสงค์ 1
-สมมตฐิ าน 1
-ตัวแปรทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง 2
-ขอบเขตการศกึ ษา 3
-ประโยชน์ทคี่ าดว่าจะไดร้ บั 11
บทที่ 2 เอกสารทเี่ ก่ยี วขอ้ ง 11
บทท่ี 3 วธิ ีการดาเนนิ งาน 11
-วัสดุและอุปกรณ์ 12
-ขั้นตอนการดาเนินงาน 14
-วธิ กี ารทดลอง 19
บทท่ี 4 ผลการดาเนินงาน 20
บทที่ 5 สรปุ ผล อภิปรายผลและขอ้ เสนอแนะ
เอกสารอ้างอิง
ภาคผนวก
-แบบเสนอโครงงาน
-ภาพกิจกรรมการดาเนนิ โครงงาน
-แบบประเมนิ คณุ ภาพโครงงาน
-แบบสารวจความพึงพอใจ
บทท่ี 1
บทนา
ที่มาและความสาคัญ
“เศรษฐกิจพอเพยี ง” เป็นปรชั ญาท่พี ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวทรงมเี พอ่ื ชี้แนะแนวทาง
ดาเนนิ ชวี ิตแกพ่ สกนิกรชาวไทย ทรงเน้นยา้ แนวทางการพัฒนาท่อี ยูบ่ นพนื้ ฐานของการพงึ่ ตนเอง
ความพอมี พอใช้ การรู้จักพอประมาณการคานึงถงึ ความมเี หตผุ ล สง่ เสรมิ ความประหยัดในครัวเรือน
จากแนวพระราชดาริในพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว
การซือ้ กระดาษลติ มสั จากทอ้ งตลาดมาใชน้ น้ั จะมรี าคาแพงซึง่ สว่ นใหญ่จะผลิตจากสารเคมีทา
ใหเ้ กิดอันตรายต่อสภาพแวดล้อมและชีวิต คณะผูจ้ ัดทาจงึ ศกึ ษาพชื ที่สามารถหางา่ ยในทอ้ งถ่ินท่ี
สามารถนามาสกัดเอาสีออกมาได้และให้มีลักษณะเหมือนสีของกระดาษลติ มัสท่ีขายอยู่ในท้องตลาด
โดยพืชที่ทางคณะผจู้ ัดทาได้คน้ หา คือ ดอกอญั ชนั เนือ่ งจากดอกอัญชันจะมลี กั ษณะสมี ่วงนา้ เงนิ เมื่อ
นาไปต้มกับน้าก็จะให้สนี ้าเงิน ซง่ึ สามารถนาไปใชใ้ นการทากระดาษลิตมัสได้ ส่วนกระดาษลิตมัสสี
แดง ทางคณะผู้จดั ทาได้เลือกใช้ดอกเขม็ เนื่องจากดอกเข็มจะมีลักษณะสแี ดงเมอื่ นาไปต้มกับนา้ กจ็ ะ
ให้สแี ดง ซ่งึ สามารถนาไปใช้ในการทากระดาษลติ มสั ได้
2. วตั ถุประสงค์
1. เพื่อผลติ กระดาษลติ มสั จากวสั ดุธรรมชาติ
2.เพ่อื ทดสอบความเป็นกรด-เบสของสารในชีวติ ประจาวัน
3.เพ่อื เปรยี บเทยี บประสิทธภิ าพของกระดาษลิตมัสจากวัสดุธรรมชาติกบั กระดาษลิตมสั จาก
ทอ้ งตลาด
3. สมมตฐิ าน
1. กระดาษลิตมสั จากวัสดธุ รรมชาตสิ ามารถทดสอบความเป็นกรด-เบสของสารได้
2. กระดาษลิตมัสจากวสั ดุธรรมชาตสิ ามารถให้ผลทดสอบความเปน็ กรด-เบสมปี ระสิทธิภาพ
เท่ากับกระดาษลิตมสั จากท้องตลาดได้
3. คุณภาพของโครงงานและความพงึ พอใจต่อการใช้กระดาษลิตมัสไปใช้ประโยชน์ในการ
เรยี นรู้อยใู่ นระดับมากถงึ มากที่สดุ
4. ตวั แปรท่เี กยี่ วข้อง : กระดาษลติ มัสจากวัสดธุ รรมชาติ
ตวั แปรต้น : กระดาษลิตมัสจากวัสดุธรรมชาติสามารถทดสอบความเป็นกรด-เบส
ตัวแปรตาม
ของสารได้
ตัวแปรควบคมุ : ปริมาณของของพชื และนา้ กระดาษลิตมัสจากท้องตลาด ยี่หอ้ ของ
สารทน่ี ามาทดสอบ
5. ขอบเขตการศึกษา
5.1 กลุ่มเป้าหมาย สารในชวี ิตประจาวันทงั้ ในโรงเรียนและครวั เรอื นของนักเรยี น
5.2 สถานที่ดาเนนิ การ โรงเรยี นบา้ นทา่ เรือ ตาบลศรีสนุ ทร อาเภอถลาง จงั หวัดภูเกต็
5.3 ระยะเวลาดาเนินการ 15 กรกฎาคม - 10 กนั ยายน 2561
5.4 นยิ ามศพั ท์
5.4.1 กระดาษลิตมสั จากวสั ดธุ รรมชาติ หมายถึง กระดาษลติ มัสท่ที าจากพชื
ธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ดอกเข็มและอัญชัน
4.5.2 วัตถุดิบธรรมชาติ คอื ดอกเข็ม ดอกอัญชัน
4.5.3 ประสทิ ธิภาพในการทดสอบ หมายถึง กระดาษลติ มัสจากวัสดุธรรมชาติ
สามารถทดสอบความเปน็ กรด-เบส ได้
5. งบประมาณและแหลง่ ทมี่ าของงบประมาณ
- ใช้งบประมาณของโรงเรียน ประมาณ 200 บาท
6. ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะไดร้ บั จากการทาโครงงาน
6.1 ทาใหไ้ ด้กระดาษลิตมสั จากวัตถุดบิ ธรรมชาติ ท่ีสามารถทดสอบความเปน็ กรด-เบส ได้
6.2 ไดฝ้ กึ ปฏิบัติทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
6.3 ไดแ้ นวคิดในการนาไปใชใ้ นชวิ ติ ประจาวัน
6.4 ใช้เวลาว่างใช้เปน็ ประโยชน์
บทที่ 2
เอกสารทีเ่ กี่ยวข้อง
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง กระดาษลติ มัสจากวัสดธุ รรมชาติ มีเอกสารเกยี่ วขอ้ ง ดงั น้ี
1. หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551
2. หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
3. สารในชวี ติ ประจาวัน
4. ความรู้เก่ยี วกบั วตั ถดุ ิบธรรมชาตทิ ่ใี ช้ในการทดลอง
5. ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
1.หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
จุดหมาย
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มี
ความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกาหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับ
ผเู้ รยี น เมือ่ จบการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน ดงั น้ี
1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมท่ีพึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและ
ปฏิบัตติ นตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาท่ีตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพยี ง
2. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมี
ทักษะชีวิต
3.มีสขุ ภาพกายและสขุ ภาพจติ ทด่ี ี มสี ุขนิสยั และรักการออกกาลงั กาย
4. มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดม่ันในวิถีชีวิตและ
การปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเปน็ ประมุข
5. มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา
สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทาประโยชน์และสร้างส่ิงที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคม
อย่างมคี วามสขุ
สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน มงุ่ ให้ผเู้ รยี นเกิดสมรรถนะสาคญั 5 ประการ ดงั นี้
1.ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการ
ใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล
ขา่ วสารและประสบการณอ์ ันจะเปน็ ประโยชน์ตอ่ การพฒั นาตนเองและสังคม
2.ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด
อย่างสร้างสรรค์ การคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณ และการคิดเปน็ ระบบ
3.ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ท่ี
เผชิญไดอ้ ย่างถกู ตอ้ งเหมาะสมบนพน้ื ฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ
4.ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆไปใช้ใน
การดาเนินชีวิตประจาวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทางาน และการอยู่
ร่วมกนั ในสังคมอย่างมคี วามสขุ
5.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้เทคโนโลยีด้านต่าง
ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพอื่ การพฒั นาตนเองและสังคม
คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มี
คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ เพอ่ื ใหส้ ามารถอยูร่ ว่ มกับผู้อ่นื ในสงั คมไดอ้ ยา่ งมีความสขุ ดงั ตอ่ ไปน้ี
1.รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ 5.มงุ่ มั่นในการทางาน
2. ซื่อสัตย์ สจุ ริต 6.อยู่อย่างพอเพียง
3.มวี นิ ยั 7.รักความเป็นไทย
4.ใฝเ่ รียนรู้ 8.มีจิตสาธารณะ
2.หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
2.1 ความสาคัญของวทิ ยาศาสตร์
วทิ ยาศาสตร์มีบทบาทสาคัญยิ่งในสงั คมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตรเ์ กี่ยวขอ้ ง
กับทุกคนท้ังในชีวิตประจาวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เครื่องมือเครื่องใช้และ
ผลผลิตตา่ ง ๆ ท่มี นุษย์ได้ใชเ้ พื่ออานวยความสะดวกในชวี ิตและการทางาน วิทยาศาสตรช์ ว่ ยใหม้ นษุ ย์
ไดพ้ ัฒนาวิธคี ิด ทงั้ ความคิดเป็นเหตเุ ป็นผล คดิ สร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะสาคัญในการ
ค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่
หลากหลายและมปี ระจักษพ์ ยานทีต่ รวจสอบได้
สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ท่ีเน้นการเช่ือมโยง
ความรู้กับกระบวนการ มีทกั ษะสาคัญในการค้นควา้ และสร้างองค์ความรู้ โดยใชก้ ระบวนการในการ
สืบเสาะหาความรู้ และการแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผูเ้ รียนมีส่วนรว่ มในการเรียนร้ทู ุกขั้นตอน มีการ
ทากิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับช้ัน โดยได้กาหนด
สาระสาคัญไวด้ งั น้ี
สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดารงชีวติ ส่ิงมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของส่ิงมีชวี ิต โครงสรา้ งและ
หน้าท่ีของระบบต่าง ๆ ของส่ิงมีชีวิต และกระบวนการดารงชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพการ
ถา่ ยทอดทางพันธกุ รรม การทางานของระบบต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวติ ววิ ัฒนาการและความหลากหลาย
ของสิ่งมชี ีวติ และเทคโนโลยีชีวภาพ
ชีวิตกับส่ิงแวดล้อม สิ่งมีชีวิตที่หลากหลายรอบตัว ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ
ส่งิ แวดล้อมความสัมพันธข์ องสิ่งมีชีวิตตา่ ง ๆ ในระบบนเิ วศ ความสาคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การ
ใช้และจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ในระดบั ทอ้ งถิ่น ประเทศ และโลก ปจั จยั ท่ีมีผลตอ่ การอย่รู อดของ
ส่ิงมีชวี ิตในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ
สารและสมบัติของสาร สมบัติของวัสดุและสาร แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค การ
เปลย่ี นสถานะ การเกดิ สารละลายและการเกิดปฏกิ ิริยาเคมีของสาร สมการเคมี และการแยกสาร
แรงและการเคลื่อนท่ี ธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง แรงนิวเคลียร์การ
ออกแรงกระทาต่อวัตถุ การเคลื่อนที่ของวัตถุ แรงเสียดทาน โมเมนต์การเคล่ือนที่แบบต่าง ๆ ใน
ชีวติ ประจาวนั
พลังงาน พลังงานกับการดารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน สมบัติและปรากฏการณ์ของ
แสง เสียง และวงจรไฟฟ้า คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า กัมมันตภาพรังสีและปฏิกิริยานิวเคลียร์ ปฏิสัมพันธ์
ระหวา่ งสารและพลังงานการอนุรักษพ์ ลังงาน ผลของการใช้พลังงานตอ่ ชวี ติ และส่ิงแวดล้อม
กระบวนการเปล่ียนแปลงของโลก โครงสร้างและองค์ประกอบของโลก ทรัพยากรทาง
ธรณีสมบัติทางกายภาพของดิน หิน น้า อากาศ สมบัติของผิวโลก และบรรยากาศ กระบวนการ
เปลยี่ นแปลงของเปลอื กโลก ปรากฏการณท์ างธรณี ปจั จัยทีม่ ีผลต่อการเปลีย่ นแปลงของบรรยากาศ
ดาราศาสตร์และอวกาศ วิวัฒนาการของระบบสุรยิ ะ กาแล็กซี เอกภพ ปฏิสมั พันธ์และ
ผลต่อสง่ิ มีชีวิตบนโลก ความสมั พนั ธ์ของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก ความสาคญั ของเทคโนโลยี
อวกาศ
ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะ
หาความรู้ การแก้ปัญหา และจิตวิทยาศาสตร์
สรุปได้ว่า กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มีจุดหมายให้นักเรียนนาความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน รวมทั้งมีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ สามารถใช้ความรู้
ความคิด ใช้ทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่ีได้เรียนรู้ไปใช้แก้ปัญหาใน
สถานการณต์ า่ ง ๆ ได้อย่างเหมาะสม มีเหตุผล และสามารถนาเสนอขอ้ มลู ได้อยา่ งถกู ตอ้ ง
3. สารในชีวติ ประจาวัน
การจาแนกประเภทของสาร ในการศึกษาเร่ืองสาร จาเป็นต้องแบ่งสารออกเป็นหมวดหมู่
เพอื่ ให้ง่ายตอ่ การจดจาสาร โดยทั่วไปนิยมใชส้ มบตั ิทางกายภาพด้านใดดา้ นหนึ่งของสารเป็นเกณฑ์ใน
การจาแนกสารซ่ึงมีหลายเกณฑด์ ว้ ยกัน เช่น
1.ใชส้ ถานะเปน็ เกณฑ์ จะแบ่งสารออกได้เปน็ 3 กลุ่ม คอื
1.1 ของแข็ง ( solid )
1.2 ของเหลว ( liquid )
1.3 ก๊าซ ( gas )ใช้
2.ใชค้ วามเปน็ โลหะเปน็ เกณฑ์ แบ่งไดเ้ ป็น 3 กล่มุ คือ
2.1 โลหะ ( metal)
2.2 อโลหะ ( non-metal
2.3 กึ่งโลหะ ( metaliod )
3.ใชก้ ารละลายนา้ เปน็ เกณฑ์ แบง่ ได้ 2 กลุ่ม คอื
3.1 สารทีล่ ะลายน้า
3.2 สารท่ีไมล่ ะลายน้า
4.ใชเ้ น้อื สารเป็นเกณฑ์ แบ่งออกเปน็ 2 กลุ่ม คือ
4.1 สารเน้อื เดียว ( homogeneous substance )
4.2 สารเน้อื ผสม ( heterogeneous substance )
สารเนื้อเดียว
สารเน้ือเดียว ( Homogeneous Substance ) หมายถึง สารท่ีมีลักษณะของเน้ือสารผสม
กลมกลืนกนั เป็นเนอื้ เดียว และมอี ัตราส่วนของผสมเท่ากัน ถ้านาส่วนใดสว่ นหนึ่งของสารเน้ือเดียวไป
ทดสอบจะมีสมบัติเหมือนกันทุกประการ เช่น น้ากล่ันและเกลือแกง เป็นสารเนื้อเดียว เมื่อนาเกลือ
แกงใส่ในน้าแล้วคนให้ละลายจะได้สารละลายน้าเกลือ ซึ่งเป็นสารเน้ือเดียวท่ีมีอัตราส่วนของน้าและ
เกลือแกงเหมือนกันทุกส่วน สารเนือ้ เดยี วมไี ดท้ ้งั 3 สถานะ คอื
1.สารเนื้อเดียวสถานะของแข็ง เช่น เหล็ก ทองคา ทองแดง สังกะสี อะลูมิเนียม นาก ฟิวส์
ทองเหลือง หินปูน เกลือแกง น้าตาลทราย เป็นต้น 2.สารเน้ือเดียวสถานะของเหลว เช่น น้ากลั่น
น้าเกลือ น้าส้มสายชู น้าอัดลม น้ามันพืช เอทานอล น้าเชื่อม น้านม เป็นต้น 3.สารเน้ือเดียวสถานะ
แก๊ส เช่น อากาศ แก๊สหุงต้ม แก๊สออกซิเจน แก๊สไนโตรเจน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น
นักวิทยาศาสตร์จาแนกสารเน้ือเดียวออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.สารบริสุทธิ์ ( Pure Substance )
เป็นสารเน้ือเดียวท่ีประกอบด้วยสารเพียงอยา่ งเดียว ไม่มีสารอื่นเจอื ปน ได้แก่ ธาตุและสารประกอบ
2.สารไม่บริสุทธ์ิ เป็นสารเน้ือเดียวที่ประกอบด้วยสารบริสุทธิ์ตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปด้วยอัตราส่วนท่ีไม่
แน่นอน ไม่มีปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้น สารท่ีเกิดใหม่จะมีสมบัติไม่คงท่ีข้ึนอยู่กับปริมาณของสารบริสุทธิ์ที่
นามาผสมกนั ได้แก่ สารละลาย คอลลอยด์
ธาตุ ( Element ) เป็นสารบริสุทธ์ิที่ประกอบด้วยอะตอมเพียงชนิดเดียว ธาตุจึงไม่สามารถ
แบ่งยอ่ ยลงไปได้อีกเนื่องจากอะตอมทั้งหมดในสารน้ันเป็นชนิดเดียวกัน อะตอมของธาตุบางชนิดอยู่
รวมกันเป็นผลึก เช่น ธาตุเหล็ก ( Fe ) ธาตุทองคา ( Au ) ธาตุสังกะสี ( Zn ) ธาตุเงิน ( Ag ) เป็นต้น
ธาตุบางชนิดมีอะตอมอยู่รวมกันเป็นโมเลกุล เช่น ธาตุออกซิเจน ( O2 ) ธาตุไนโตรเจน (N2 ) ธาตุ
คลอรีน (Cl2 ) ธาตุฟอสฟอรัส (P4 )ธาตุกัมมะถัน (S8 ) เปน็ ต้น ธาตบุ างชนิดอะตอมจะอยู่อย่างอสิ ระ
เพียงลาพัง เช่น ธาตุฮีเลียม ( He ) ธาตุนีออน ( Ne ) และธาตุอาร์กอน ( Ar ) ซึ่งจัดเป็นธาตุเฉ่ือย
นกั วิทยาศาสตร์ใช้สมบตั ทิ างกายภาพจาแนกธาตอุ อกเป็น 3 กลุ่ม คือ
1.โลหะ ( Metals ) เป็นธาตุท่ีมีมากที่สุดส่วนใหญ่มีสถานะของแข็งท่ีอุณหภูมิห้อง ยกเว้น
ปรอท มีสมบัตทิ ่ัวไป คอื นาความร้อนได้ดี มีความเหนยี ว นาไฟฟา้ ไดด้ ี ผิวเป็นมันวาว สะท้อนแสงได้
ตีเป็นแผน่ บางได้ เชน่ เหลก็ ทองคา เงนิ เปน็ ต้น
2. อโลหะ ( Nonmetals ) เป็นธาตที่มีจานวนมากรองลงมาจากโลหะมีท้ังสถานะของแข็ง
ของเหลวและแก๊ส แต่ส่วนใหญ่จะมรสถานะแก๊สท่ีอุณหภูมิห้อง มีสมบัติตรงกันข้ามกับโลหะ เช่น
ไฮโดรเจน ออกซเิ จน ไนโตรเจน คลอรีน เปน็ ต้น
3. ก่ึงโลหะ (Metalloids ) อาจเรียกได้ว่าสารกึ่งตัวนา ( Semiconductors ) เป็นธาตุท่ีมี
จานวนน้อยมากมีสมบัติของโลหะและอโลหะอยู่ในธาตุเดียวกัน เช่น พลวง สารหนู ซิลิคอน โบรอน
เป็นตน้
สารประกอบ
สารประกอบ ( Compound ) เป็นสารบรสิ ุทธท์ิ ปี่ ระกอบด้วยอะตอมของธาตตุ ั้งแต่ 2 ชนิดขึ้น
ไปมารวมกันทางเคมีด้วยอัตราส่วนที่คงท่ีเกิดเป็นสารชนิดใหม่ที่มีสมบัติแตกต่างไปจากเดิมอย่าง
เด่นชัด เช่น โซเดียม ( Na ) เป็นโลหะสีเงินอ่อน-ขาวทาปฏิกิริยากับน้า กับ คลอรีน ( Cl ) เป็นแก๊ส
พิษสีเหลือง-อมเขียว มีกลิ่นฉุนว่องไวต่อปฏิกิริยา เม่ือนามารวมกันทางเคมี จะได้โซเดียมคลอไรด์ (
NaCl ) หรือเกลือแกง ซึ่งเป็นของแข็งสีขาว รสเค็ม ละลายน้าได้ดี รับประทานได้ เป็นต้นโดยทั่วไป
สัญญลักษณ์ที่ใช้เขียนแทนชอ่ื สารประกอบจะอย่ใู นรูปของสูตรโมเลกุล
คอลลอยด์
คอลลอยด์ ( Colloid ) เป็นสารเนือ้ เดยี วท่ีเกดิ จากการรวมตัวกนั ทางกายภาพของสารตั้งแต่ 2
ชนิดขึ้นไป มีลักษณะมัวหรือข่นุ ไม่ตกตะกอน ขนาดของอนุภาคมีเส้นผ่าศุนย์กลางประมาณ 10 - 7
ถึง 10 - 4 เซนติเมตร สามารถลอดผา่ นกระดาษกรองได้ แตไ่ ม่สารลอดผ่านกระดาษเซลโลเฟนไดเ้ ม่ือ
ผ่านลาแสงดเข้าไปในคอลลอยด์ จะเกิดการกระเจิงของแสง ทาให้มองเห็นลาแสงได้อย่างชัดเจน
เรียกว่าปรากฏการณ์ทินดอลล์ ( Tyndall Effect ) ซ่ึงค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวไอร์แลนด์ ช่ือ
จอนห์ ทนิ ดอลล์ เมื่อปี พ.ศ. 2412 ปรากฏการณ์ทินดอลล์ท่ีพบเห็นในชีวิตประจาวัน ได้แก่ลาแสงที่
เกิดจากแสงอาทิตย์สอ่ งผา่ นรูเล็กๆ หรือรอยแตกของฝาผนังบา้ นผา่ นฝุ่นละอองในอากาศลาแสงที่เกิด
จากไฟฉาย ไฟรถยนต์หรือสปอตไลต์ส่องผ่านกลุ่มหมอก ควัน หรือฝุนละอองในอากาศ อิมัลชั่น (
Emulsion ) หมายถึง คอลลอยด์ท่ีเกิดจากของเหลว 2 ชนิดท่ีไม่รวมเป็นเน้ือเดียวกัน แต่เมื่อเขย่า
ด้วยแรงที่มากพออนุภาคของของเหลวท้ัง 2 จะแทรกกันอยู่ได้เป็นคอลลอยด์ แต่เม่ือตั้งท้ิงไว้ระยะ
หนง่ึ ของเหลวทั้ง 2 จะแยกออกจากกันเหมือนเดมิ การท่จี ะทาให้อมิ ัลชันอยู่รวมเป็นเน้ือเดียวกนั ต้อง
เตมิ สารทท่ี าหน้าทเ่ี ป็นตวั ประสาน ซ่ึงเรียกว่า อมิ ัลซฟิ ายเออร์ ( Emulsifler ) เช่นคราบน้ามันในจาน
อาหาร เมือ่ นาไปลา้ งจะเกดิ อิมลั ชัน ซ่งึ ประกอบดว้ ยนา้ และน้ามัน แตง่ เม่ือใช้น้ายาล้างจานเป็นอมิ ลั ซิ
ฟายเออร์ กจ็ ะสามารถล้างจานไดน้ ้าสลดั มีสาวนผสมของนา้ มันพืชกบั น้าสม้ สายชู มีไข่แดงเป็นอมิ ัลซิ
ฟายเออร์การย่อยไขมันในลาไส้เล็ก มีไขมันกับเอนไซม์ ( น้าย่อย ) เปน็ อิมัลชัน โดยมีน้าดีเป็นอิมัลซิ
ฟายเออร์ สารละลาย ( Solution ) หมายถึง สารเน้ือเดียวที่ไม่บริสุทธ์ิ เกิดจากการรวมกันทาง
กายภาพของสารบริสุทธิ์ตั้งแต่ 2 ชนิดข้ึนไปในอตั ราส่วนที่ไม่แน่นอน โดยยังคงสมบัติของสารเดิมไว้
สารละลายประกอบดว้ ย ตัวทาละลาย ( Solvent ) ตวั ถูกละลาย ( Solute ) ซง่ึ รวมอยู่เป็นเดียวอาจ
อยู่ในรปู ของแข็ง ของเหลวหรือแกส๊ กไ็ ด้
สารเน้อื ผสม
สารเนื้อผสม ( Heterogeneous Substance ) หมายถึง สารที่มีลักษณะของเน้ือสารคละกัน
ไมผ่ สมกลมกลืนเป็นเนือ้ เดยี วกัน สารท่ีเปน็ สว่ นผสมแต่ละชนิดกย็ งั คงแสดงสมบตั ิของสารเดิม เพราะ
เป็นการรวมกันทางกายภาพไม่มีการเปล่ียนแปลงทางเคมีเกิดขึ้น เราสามารถใช้ตาเปล่าสังเกตและ
จาแนกได้วา่ สารเน้ือผสมนั้นประกอบดว้ ยสารใดบา้ ง และสามารถแยกสารเหล่านัน้ ออกจากกันได้โดย
วธิ ที างกายภาพธรรมดา โดยไม่ทาใหส้ มบัติเดมิ เปลีย่ นแปลงไป
สารเนอื้ ผสมมีได้ท้งั 3 สถานะ เช่น
1. สารเนื้อผสมสถานะของแข็ง เชน่ ทราย คอนกรตี ดิน เปน็ ตน้
2. สารเนอ้ื ผสมสถานะของเหลว เชน่ นา้ คลอง นา้ โคลน นา้ จิ้มไก่ เป็นตน้
3. สารเนอื้ ผสมสถานะแกส๊ เช่น ฝุ่นละอองในอากาศ เขมา่ ควนั ดาในอากาศ เป็นตน้
กรด เบส ในชีวติ ประจาวนั ( Acid Base in Everyday Life)
สารประกอบจาพวกกรด เบส มีความสาคญั และเก่ียวข้องกับชีวิตประจาวนั ของมนุษย์อยา่ ง
มาก ก่อนอื่นต้องทาความเขา้ ใจว่า กรด เบส คืออะไรอยา่ งง่ายๆ
สารละลายกรด คอื สารละลายท่ีมีรสเปร้ยี ว เปลี่ยนสีกระดาษลติ มัสจากนา้ เงนิ เปน็ แดง หรือ
ทาปฏกิ ิรยิ ากับโลหะได้ แกส๊ H 2 และ เกลือ
สารละลายเบส คือสารละลายทีม่ ีรสขม เปลย่ี นสีกระดาษลติ มสั จากแดงเป็นนา้ เงิน หรือมี
ลกั ษณะลนื่ ๆ
4.ความรู้เกียวกบั พืชตวั อย่าง
4.1 ดอกอัญชัน
ช่อื สามญั : ภาพท่ี 1 ดอกอัญชนั
ช่อื วทิ ยาศาสตร์: Butterfly Pea Blue Pea Mussel - Shell Creeper
ชื่อวงศ:์ Clitornia ternatea L.
FABACEAE-PAPILIONIDEAE
ลักษณะ: ลาต้นมีสีเขียวมขี น ใบสเี ขียวเป็นไม้ไมผ่ ลัดใบ ดอกสนี า้ เงนิ แกต่ รงกลางมีสเี หลือง
บางชนิดมีสีขาวสีม่วงอ่อน ผลแบบฝักถว่ั ขึน้ ไดด้ ีในดนิ ทัว่ ไป
ชอบความชนื้ ปานกลาง ขึ้นงอกงามดีในดินท่มี อี นิ ทรยี ์วัตถุสงู ชอบแสงทง้ั วันอัตราการเจรญิ
เติบดีมาก นิยมปลูกตามรว้ั เป็นซมุ้
ประโยชน์:
ดอกสกดั สีมาทาสีประกอบอาหารได้ ดอกมีคุณค่าทางสมนุ ไพรชว่ ยปลกู ผม ราก บารุงตา
แก้ตาฟาง ตาแฉะ ปรงุ เปน็ ยาขบั ปัสสาวะ รากใช้ถฟู นั แกป้ วดฟัน
จาก http://www.shc.ac.th/learning/botanical-garden/257.htm (สืบค้นเมื่อวนั ท่ี
10 สิงหาคม 2561)
4.2 ดอกเข็ม
ภาพที่ 2 ดอกเขม็
ท่ีมา https://sites.google.com/site/cfxxcxc/dxk-khem
ช่อื วงศ์: RUBIACEAE
ลกั ษณะทัว่ ไปทางพนั ธศุ าสตรเ์ ข็ม
ตน้ เขม็ เดมิ เป็นพรรณไม้พ้นื เมอื งของอเมริกาใต้ จัดว่าเป็นไมพ้ มุ่ ซง่ึ มคี วามสูง 1-
3 เมตร เข็มหอม หรือเขม็ ขาวมีสาต้นขนาดเล็ก แตกกงิ่ ใกลผ้ ิวดนิ จานวนมาก เราจงึ พบวา่ เข็มหอม
มักอย่กู นั เปน็ พมุ่ แน่น โดยแต่ละต้นมเี ส้นผ่าศูนย์กลางของลาต้น 1-2 เซนติเมตร เปลอื กสดี าหรือมว่ ง
เข้ม ใบเป็นใบเด่ยี วรปู รีแกมขอบขนาน เรียงตรงขา้ ม หน้าใบมนั สเี ขียวเขม้ หลงั ใบสอี ่อนกวา่ และเห็น
เส้นใบชัดเจน ในส่วนของช่อดอก จะมีสีขาว ออกท่ีปลายยอด มเี ส้นผ่าศนู ย์กลางชอ่ ดอก 8-
18 เซนตเิ มตร มีดอกยอ่ ยจานวนมาก ดอกย่อยมกี ลบี เล้ียงสีเขียวรูปถ้วย ปลายแยกเป็นกลีบ โคน
กลีบดอกเชอ่ื มตดิ กันเปน็ หลอดเลก็ ๆ ยาว 2.5-3 เซนติเมตรปลายหลอดมีกลีบแยกจากกนั
เป็น 4 กลีบ แตล่ ะกลีบรปู ไข่กวา้ ง 0.3 เซนตเิ มตร ยาว 0.6 เซนตเิ มตร เมือ่ ดอกบานมีเส้น ผ่า
ศนู ย์กลาง 1.2-2 เซนตเิ มตร ดอกย่อยภายในชอ่ ดอกเดยี วกันบานในเวลาใกลเ้ คยี งกัน ดอกท่ีบานใหม่
ๆ จะมสี ขี าว บริสทุ ธ์ิ เม่อื ใกลโ้ รยจะเปลีย่ นเป็นสีคลา้ ดอกมีกลน่ิ หอม และออกดอกตลอดปี
การปลกู และขยายพนั ธเ์ุ ข็ม
ขยายพนั ธ์ุไดห้ ลายวิธี เพาะเมลด็ ปกั ชากง่ิ หรอื ตอนกงิ่ ออกรากไดง้ า่ ย ปลกู เลีย้ งและ
บารงุ รักษาง่าย ทนทาน มอี ายยุ ืนนานหลายปี ชอบดินทม่ี คี วามชนื้ สูงและชอบแดดจัด ตน้ ที่ปลูกในทม่ี ี
แสงน้อยหรอื ได้รบั ร่มเงาของต้นไมอ้ ่นื จะมกี ง่ิ ยืดยาวและไมค่ อ่ ยออกดอก
ท่มี า https://sites.google.com/site/cfxxcxc/dxk-khem (สืบค้นเมือ่ วนั ท่ี 10 สิงหาคม
2561)
5. หลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง
เศรษฐกจิ พอเพยี ง เป็นแนวพระราชดารขิ องพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ ัว เป็นปรชั ญาที่
สามารถนามาประยุกตใ์ ชก้ บั ประชาชนในทุกระดับตง้ั แต่ระดบั ครอบครวั ระดบั ชมุ ชนจนถงึ ระดบั รฐั
ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดที ีไ่ ม่น้อยเกนิ ไปและไม่มากเกนิ โดยไม่เบียดเบยี น
ตนเองและผอู้ ่นื เช่น การผลิตและการบริโภคท่อี ยู่ในระดับพอประมาณ
ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเก่ียวกบั ระดับของความพอเพียงน้ัน จะตอ้ งเปน็ ไป
อยา่ งมีเหตผุ ล โดยพิจารณาจากปัจจยั ท่เี กี่ยวข้อง ตลอดจนคานงึ ถงึ ผลท่คี าดวา่ จะเกิดขน้ึ จากการ
กระทานน้ั ๆ อย่างรอบคอบ
การมีภมู ิค้มุ กันทีดีในตวั หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการ
เปล่ียนแปลงด้านตา่ ง ๆ ที่คาดวา่ จะเกดิ ขึ้นในอนาคตท้งั ใกล้และไกล
เงื่อนไข การตัดสนิ ใจและการดาเนินกจิ กรรมตา่ ง ๆ ใหอ้ ยใู่ นระดบั พอเพยี ง ตอ้ งอาศยั ทัง้
ความรแู้ ละคณุ ธรรมเปน็ พนื้ ฐาน กล่าวคือ
เง่ือนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ท่ี เกี่ยวข้อง อย่างรอบด้าน
ความรอบคอบท่จี ะนาความรเู้ หลา่ น้นั มาพิจารณา ให้เชื่อมโยงกนั เพอ่ื ประกอบการวางแผนและความ
ระมดั ระวงั ในขนั้ ปฏบิ ัติ
เงื่อนไขคุณธรรม ประกอบด้วยมีความตระหนัก ในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมี
ความอดทน มคี วามเพียร ใช้สติ ปญั ญาในการ ดาเนินชีวิต
สรุปได้วา่ เศรษฐกิจพอเพียงในระดับบคุ คลนั้น คือ ความสามารถในการดารงชวี ิตได้อยา่ ง
ไม่เดอื ดรอ้ น มคี วามเปน้ อย่อู ยา่ งประมาณตน ตามฐานะ และตามอัตภาพ
สรุปได้ว่า หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ กาหนดคุณภาพผู้เรียนให้สามารถใช้
วิธีการท่ีหลากหลายในการแก้ไขปัญหา ใช้ความรู้ มีกษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม โดยใชห้เหตุผลประกอบการ
ตัดสนิ ใจและสรปุ ผลได้อย่างเหมาะสม โดยการใช้การสื่อสาร การส่ือความหมาย และการนาเสนอได้
อย่างถูกต้อง เหมาะสม สามารถเช่ือมโยงความรู้ต่าง ๆ ในวิทยาศาสตร์กับศาสตร์อื่น ๆ และมี
ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ จากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
จุดมุ่งหมายข้อ 8 ที่เน้นการมีจิตสาธาณะที่มุ่งทาประโยชน์และสร้างส่ิงท่ีดีงามในสังคม และอยู่
ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข รวมไปถึงการบูรณาการหลักเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ ความ
พอเพียง ความประหยดั ความมีเหตผุ ล ความรอบรู้ ความสามัคคี ความเออื้ เฟ้ือ การแบง่ ปัน และ
การมจี ิตอาสา
บทที่ 3
อปุ กรณแ์ ละวธิ ดี าเนินการ
โครงงานวิทยาศาสตร์ เร่ือง กระดาษลติ มัสจากวัสดุธรรมชาติ ใช้วัสดุอุปกรณ์และขั้นตอน
การดาเนินงานดงั ต่อไปนี้
วสั ด/ุ อุปกรณ์
1. วตั ถดุ ิบจากธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ดอกเข็ม อญั ชัน
2. น้าสะอาด
3. บกี เกอร์
4. แท่งแกว้ คนสาร
5. มดี
6. กรวย
7. กระดาษกรอง
8. กระดาษลติ มสั
9. เคร่อื งชงั่
10. ตะเกียงแอลกอฮอล์
11. แอลกอฮอล์
12. กรรไกร
13. ขาตั้งสาหรับกรองสาร
14. ตัวอย่างสารท่ีนามาใช้ทดสอบ
15.
ขน้ั ตอนการดาเนินงาน
การดาเนินงาน โครงงานวิทยาศาสตร์ เร่ือง การทดสอบความเป็นกรด-เบสจากวัสดุ
ธรรมชาติ มีรายละเอยี ดข้นั ตอนการดาเนนิ งาน ดังน้ี
1. นักเรยี นสารวจปัญหา เก่ียวกบั การทดสอบความเปน็ กรด-เบส ของสารในโรงเรียน
2. ศึกษาความรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ และหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
เพื่อหาวธิ ีการแก้ปัญหา ซ่ึงมีความสอดคล้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และกลมุ่ สาระการ
เรยี นรู้อื่น และคาดว่าน่าจะนาความรู้ท่ไี ด้มาใช้แก้ปญั หาท่เี กดิ ขนึ้
3. ปรึกษาและขอคาแนะนาแนวทางการทาโครงงาน จากคุณครูที่ปรึกษา ได้แก่ คุณครูอนุ
ศกั ด์ิ วงศ์มูสา และคุณครูวิชาพร ศรีชยั
4. วางแผนการทาการทดลอง เรอ่ื ง การทดสอบความเป็นกรด-เบสจากวสั ดุธรรมชาติ
5. นาโครงงานปรึกษาคณะครู เพ่ือประเมินคุณภาพของโครงงาน โดยใช้แบบประเมิน
โครงงาน
6. ปรบั ปรงุ และแก้ไขโครงงานใหเ้ หมาะสมตามคาแนะนาของคุณครู
7. คณะผู้จัดทาปฏบิ ตั กิ ารทดลองตามแผนทว่ี างไว้
8. จดั ทารายงานเกยี่ วกับการดาเนินงาน
9. นาเสนอผลงาน
ขน้ั ตอนการเตยี มวสั ดุ
1 นาวตั ถดุ บิ ธรรมชาติท่ใี ชใ้ นการทดลองมาลา้ งใหส้ ะอาด ตากใหแ้ หง้ แล้วเกบ็ ในภาชนะที่
สะอาด
2 ชัง่ วตั ถุดบิ จากธรรมชาติ ให้ได้อย่างละ 50 กรมั ใส่ในบกี เกอร์ ขนาด 250 มิลลิลิตร
จานวน 2 ใบ
3 ใชก้ ระบอกตวงตวงน้าให้ได้ 150 มลิ ลิลิตร ใสล่ งในบีกเกอรข์ ้อท่ี 1 จานวน 2 ใบ
4 นาบกี เกอร์ท่มี วี ัตถดุ ิบธรรมชาติและนา้ ไปตงั้ ไฟเปน็ เวลา 20 นาที
5 นากระดาษกรอง มาตัดเปน็ รูปสเี หลี่ยมผืนผ้า กว้าง 1 เซนตเิ มตร ยาว 5 เซนติเมตร
จานวนตามท่ีต้องการ
6 เม่ือครบตามเวลาที่กาหนดให้ยกลง แล้วตั้งพกั ไว้ จากนนั้ กรองใสล่ งในบีกเกอร์ขนาด
250 มิลลิลติ ร
7 นากระดาษท่ตี ดั เป็นรปู ส่ีเหล่ยี มผนื ผ้า แช่ลงในบีกเกอรท์ ม่ี ีน้าสี เป็นเวลา 5 นาที เมือ่
ครบใหเ้ อากระดาษข้ึน แล้วนาไปเปา่ ดว้ ยไดร์เป่าผมจนแหง้ จะไดก้ ระดาษลติ มัสจากวสั ดุธรรมชาติ
8 นากระดาษลติ มัสจากวัสดธุ รรมชาตไิ ปทดสอบความเป็นกรด-เบส ของสารในชีวติ
ประจาวนั และเปรยี บเทียบกับกระดาษลติ มัสท่ซี ้ือจากท้องตลาด
เคร่อื งมือสาหรบั การดาเนนิ งาน
9. ประเมินคณุ ภาพของโครงงาน
9.1 รายการประเมนิ
แบบประเมนิ คณุ ภาพโครงงานวิทยาศาสตร์ เรอื ง กระดาลติ มสั จากวัสดธุ รรมชาติ
เปน็ เครือ่ งมอื ทจี่ ดั ทาข้นึ เพือ่ ใช้แบบประเมนิ คุณภาพของโครงงาน มีรายการประเมนิ ไดแ้ ก่
- สอดคลอ้ งกับสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
- สอดคลอ้ งกับหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง
- ความน่าสนใจของเร่ืองทศ่ี กึ ษา
- มปี ระโยชนใ์ นดา้ นทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
- ประโยชน์ในการนาไปใช้ในการเรียนรู้
9.2 ระดับความคดิ เหน็
ให้ผู้ตอบแบบประเมิน แสดงความคดิ เห็นเก่ียวกบั คุณภาพของโครงงาน โดยทา
เครื่องหมาย ในชอ่ งระดบั ความคิดเหน็ 5 ระดับ ได้แก่
ระดับ 1 หมายถงึ นอ้ ยที่สุด ระดับ 2 หมายถงึ น้อย
ระดบั 3 หมายถึง ปานกลาง ระดับ 5 หมายถึง มากท่ีสุด
ระดับ 4 หมายถึง มาก
9.3 ผู้ตอบแบบประเมิน
ผูต้ อบแบบประเมิน ได้แก่ ครู จานวน 10 คน
9.4 เมื่อรวบรวมแบบประเมินได้ครบ 10 ชดุ แลว้ นาความคิดเห็นมาสรุปใน
แบบบนั ทกึ ความคดิ เห็น
10. แบบประเมินความพึงพอใจในการใช้กระดาษลิตมสั จากวัสดธุ รรมชาติ
10.1 รายการประเมิน
แบบประเมนิ ความพึงพอใจในการใช้กระดาษลติ มัสจากวสั ดธุ รรมชาติเปน็ เครื่องมอื
ทีจ่ ดั ทาขึ้นเพื่อใช้ประเมินความพงึ พอใจในการใช้กระดาษลิตมัสจากวสั ดุธรรมชาติ มีรายการประเมนิ
ไดแ้ ก่
- ความนา่ สนใจ
- เปน็ ประโยชนต์ อ่ สิง่ แวดล้อม
- สง่ เสริมการใชเ้ วลาวา่ งให้เป็นประโยชน์
- มีความพอเพยี งและประหยดั
- ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์
- ส่งเสรมิ การคิดแก้ปญั หา
- สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้จริง
- ส่งเสริมนสิ ยั ท่ดี ีในการแบ่งปัน
10.2 ระดับความคดิ เห็น
ใหผ้ ตู้ อบแบบประเมนิ แสดงความคดิ เห็นเกย่ี วกบั คณุ ภาพของการใช้กระดาษ
ลิตมัสจากวสั ดุธรรมชาติ โดยทาเครอื่ งหมาย ในช่องระดบั ความคิดเหน็ 5 ระดับ ไดแ้ ก่
ระดบั 1 หมายถึง นอ้ ยที่สุด ระดับ 2 หมายถึง น้อย
ระดบั 3 หมายถงึ ปานกลาง ระดับ 5 หมายถงึ มากที่สดุ
ระดับ 4 หมายถงึ มาก
10.3 ผ้ตู อบแบบประเมนิ
ผูต้ อบแบบประเมิน ไดแ้ ก่ นักเรยี นจานวน 30 คน
นักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 1-6 ช้ันละ 5 คน
10.4 เมอ่ื รวบรวมแบบประเมนิ ไดค้ รบ 30 ชุด แลว้ นาความคิดเหน็ มาสรปุ ใน
แบบบนั ทึกความคดิ เหน็
11. สรปุ และรายงานผล
12. จัดป้ายนเิ ทศและนาเสนอผลงาน
บทท่ี 4
ผลการดาเนินงาน
ผลการดาเนินงาน
การดาเนินงาน โครงงานวิทยาศาสตร์ เร่อื งกระดาษาลิตมัสจากวสั ดุธรรมชาติ มีผลการ
ดาเนนิ งาน ตามวตั ถปุ ระสงค์และสมมติฐาน ดงั นี้
ผลการดาเนินงานตามวตั ถุประสงคข์ ้อท่ี 1 เพื่อผลติ กระดาษลิตมัสจากวัสดธุ รรมชาติ
จากการนาวัสดุธรรมชาติ คือ ดอกอญั ชันและดอกเขม็ มาต้ม เพื่อสกดั เอานา้ ออกมา
จากนั้นนากระดาษท่ีตดั เป็นรูปส่เี หล่ยี มผนื ผ้า กวา้ ง 1 เซนตเิ มตร ยาว 5 เซนตเิ มตร แช่ลงในนา้ สี
ทั้ง 2 เป็นเวลา 5 นาที แลว้ เอาขึ้นมาเปา่ ให้แหง้ เป็นเวลา 5 นาที ผลปรากฎวา่ ทางกล่มุ
ผู้จัดทาได้กระดาษลติ มัสจากวสั ดุธรรมชาติ 2 สี คือ กระดาษลิตมสั สีแดง และกระดาษาลิตมสั สีน้า
เงิน ซึ่งเปน็ ไปตามวัตถุประสงค์ข้อท่ี 1 คือ เพ่อื กระดาษลิตมัสจากวสั ดุธรรมชาติ
ภาพที่ 1 กระดาษลิตมัสจากดอกเข็มและดอกอัญชนั
ผลการดาเนนิ งานตามวตั ถปุ ระสงคข์ ้อที่ 2 เพอ่ื ทดสอบความเปน็ กรด-เบสของสารใน
ชวี ิตประจาวัน
จากการที่ทางกลมุ่ ได้นาสารทีใ่ นในชวี ติ ประจาวัน เชน่ สารในครวั เรอื น สารทาความ
สะอาดร่างกาย เปน็ ต้น โดยทางกลมุ่ ได้ทาการทดสอบทัง้ หมด 20 ชนิด เน่อื งจากหาไดง้ ่ายใน
โรงเรียนและบ้านของนกั เรียนเอง โดยใช้กระดาษลติ มัสท่ไี ด้จากวสั ดุธรรมชาติกับการทดสอบและ
เปรยี บเทยี บกับกระดาษลติ มัสจากท้องตลาด
ตารางท่ี 1 แสดงการทดสอบความเปน็ กรด-เบสของสารนชีวิตประจาวันโดยกระดาษลิตมัสจาก
วัสดุธรรมชาติ
ลาดบั ช่อื สาร การเปลี่ยนแปลงของกระดาษลิตมัสวสั ดุธรรมชาติ
ท่ี นา้ เงนิ แดง แดง น้าเงิน ไม่เปลีย่ นแปลง
1 ชาเย็น
2 นา้ ส้มสายชู
3 นา้ เชื่อม
4 นา้ เกลอื
5 นา้ มะนาว
6 นา้ มะขามเปียก
7 น้าเปล่า
8 น้าอัดลม (โคก้ )
9 น้าอดั ลม (แฟนต้า)
10 น้ายาล้างจาน
11 นา้ หอม
12 ยากันยงุ
13 นา้ ยาถพู นื้
14 นา้ ยาล้างห้องน้า
15 ผงซกั ฟอก (โอโม)
16 น้าผลไม้
17 น้าปูนใส
18 ยาธาตนุ า้ แดง
19 แอลกอฮอล์
20 นา้ ยาบว้ น
จากตารางท่ี 1 โดยการนากระดาษลิตมัสที่ได้จากวัสดุธรรมชาติ มาทดสอบความเป็นกรด
เบสของสาร พบว่า สารท่ีทาให้กระดาษลิตมัสเปล่ียนจากสีน้าเงินกลายเป็นสีแดง ได้แก่
น้าส้มสายชู น้ามะนาว น้ามะขามเปียก น้าอัดลม (โค้ก) น้าอัดลม (แฟนต้าแดง) น้ายาล้าง
ห้องน้า น้าผลไม้ ชาเย็น น้ายาล้างจาน น้าหอม น้าผลไม้ แสดงว่าสารเหล่าน้ีมีสภาพเป็นกรด
สว่ นสารท่ีเปล่ียนกระดาษลิตมัสจากสแี ดงกลายเป็นสีน้าเงนิ ไดแ้ ก่ ผงซักฟอก (โอโม) น้าปูนใส ยา
ธาตุน้าแดง แสดงว่าสารเหล่าน้ีมีสภาพเป็นเบส ส่วนสารท่ีไม่เปลี่ยนสีของกระดาษลิตมัส ได้แก่
น้าเช่ือม น้าเกลือ น้าเปล่า ยากันยุง น้ายาถูพ้ืน แอลกอฮอล์ แสดงว่าสารเหล่าน้ีมีสภาพเป็น
กลาง จากผลการทดสอบความเป็นกรด - เบส ของสารดังกล่าว สรุปได้ว่ากระดาษลิตมัสจากวัสดุ
ธรรมชาติสามารถทดสอบความเป็นกรด-เบสของสารได้ ซ่ึงเป็นไปตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 และ
เป็นไปตามสมมติฐานของท่ี 1 คือ กระดาษลิตมัสจากวัสดุธรรมชาติสามารถทดสอบความเป็นกรด
เบสของสารได้
ผลการดาเนนิ งานตามวตั ถุประสงคข์ อ้ ที่ 3 เพ่ือเปรยี บเทยี บประสทิ ธิภาพของกระดาษลิตมัสจาก
วัสดุธรรมชาตกิ บั กระดาษลติ มัสตามท้องตลาด
ตารางท่ี 2 แสดงการทดสอบความเปน็ กรด-เบสของสารในชวี ิตประจาวันโดยกระดาษลิตมสั จาก
ทอ้ งตลาด
ลาดับ ชือ่ สาร การเปลี่ยนแปลงของกระดาษลิตมัสจากท้องตลาด
ท่ี น้าเงนิ แดง แดง น้าเงนิ ไมเ่ ปล่ยี นแปลง
1 ชาเย็น
2 น้าส้มสายชู
3 น้าเชื่อม
4 น้าเกลือ
5 นา้ มะนาว
6 นา้ มะขามเปยี ก
7 น้าเปลา่
8 นา้ อัดลม (โค้ก)
9 นา้ อัดลม (แฟนต้า)
10 นา้ ยาลา้ งจาน
11 นา้ หอม
12 ยากนั ยุง
13 นา้ ยาถูพนื้
14 น้ายาลา้ งหอ้ งน้า
15 ผงซกั ฟอก (โอโม)
16 น้าผลไม้
17 น้าปนู ใส
18 ยาธาตุน้าแดง
19 แอลกอฮอล์
20 นา้ ยาบว้ นปาก
จากตารางที่ 2 โดยการนากระดาษลิตมัสที่ซื้อจากท้องตลาด มาทดสอบความเป็นกรดเบส
ของสาร พบว่า สารที่ทาให้กระดาษลิตมัสเปล่ียนจากสีน้าเงินกลายเป็นสีแดง ได้แก่ น้าส้มสายชู
นา้ มะนาว น้ามะขามเปยี ก น้าอัดลม (โค้ก) นา้ อัดลม (แฟนตา้ แดง) น้ายาล้างห้องน้า น้าผลไม้
ชาเย็น น้ายาล้างจาน น้าหอม น้าผลไม้ แสดงว่าสารเหล่าน้ีมีสภาพเป็นกรด ส่วนสารท่ีเปล่ียน
กระดาษลิตมัสจากสีแดงกลายเป็นสีน้าเงิน ได้แก่ ผงซักฟอก (โอโม) น้าปูนใส ยาธาตุน้าแดง
แสดงว่าสารเหล่านี้มีสภาพเป็นเบส ส่วนสารที่ไม่เปล่ียนสีของกระดาษลิตมัส ได้แก่ น้าเชื่อม
นา้ เกลอื น้าเปลา่ ยากันยุง นา้ ยาถพู ื้น แอลกอฮอล์ แสดงวา่ สารเหล่านี้มีสภาพเปน็ กลาง จากผล
การทดสอบความเป็นกรด - เบส ของสารดังกล่าว สรปุ ไดว้ า่ กระดาษลติ มัสจากวัสดุธรรมชาตสิ ามารถ
ทดสอบความเป็นกรด-เบสของสารได้ ซง่ึ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 และเป็นไปตามสมมติฐาน
ของท่ี 1 คือ กระดาษลติ มสั จากวัสดธุ รรมชาตสิ ามารถทดสอบความเป็นกรดเบสของสารได้
เม่ือนาผลการทดสอบความเป็นกรด-เบสของสารจากกระดาษลิตมัสจากวัสดุธรรมชาติกับ
กระดาษลติ มสั จากท้องตลาดมาเปรยี บเทียบ ผลปรากฎวา่ กระดาษลติ มัสจากวัสดุธรรมชาตใิ ห้ผลการ
ทดสอบประสิทธิภาพเท่ากับกระดาษลิตมัสจากท้องตลาด ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงคข์ ้อที่ 3 และ
เป็นไปตามสมมิตฐานข้อที่ 2 คือ กระดาษลิตมัสจากวัสดุธรรมชาติสามารถให้ผลทดสอบความเป็น
กรด-เบสมีประสิทธภิ าพเท่ากับกระดาษลติ มัสจากท้องตลาด
ผลการประเมนิ คณุ ภาพโครงงานวทิ ยาศาสตร์ เรือ่ ง กระดาษลติ มัสจากวสั ดุธรรมชาติ
สมมุตฐิ านขอ้ ท่ี 3 คุณภาพโครงงานและความพึงพอใจตอ่ การนากระดาษลิตมัสไปใช้
ประโยชนใ์ นการเรยี นรู้อยู่ในระดบั มากถึงมากทีส่ ุด
ตารางท่ี 3 แสดงผลการประเมินคุณภาพโครงงานวทิ ยาศาสตร์
ท่ี รายการ ระดบั ความคดิ เหน็
5 4321
1 สอดคล้องกบั สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ 100
2 สอดคล้องกบั หลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง 80 20
3 สอดคลอ้ งกบั วัตถุประสงค์ของโครงงาน 70 30
4 ความนา่ สนใจของเร่ืองที่ศึกษา 70 30
5 มีประโยชน์ในดา้ นทกั ษะกระบวนการทาง 90 10
วิทยาศาสตร์
6 ประโยชน์ในการนาไปใช้ในการเรียนรู้ 80 20
รวม 490 110
เฉล่ยี 81.67 18.33
เฉลยี่ รวม 100
จากตารางท่ี 3 ผลการประเมินคณุ ภาพของโครงงาน โดยใช้แบบสอบถามความคิดเหน็ ของ
ครพู บว่า มีคุณภาพในระดับมากที่สดุ คดิ เป็นร้อยละ 100 โดยพบข้อเสนอแนะให้ทาการทดสอบสาร
ให้หลายชนดิ เพอ่ื ประสิทธิภาพท่ีดีย่งิ ขน้ึ
ตารางที่ 4 แสดงผลการศึกษาความพงึ พอใจการนากระดาษไปใช้ในการเรียนรู้
ท่ี รายการ ระดบั ความคดิ เหน็ 1
5 4 32
1 ความน่าสนใจ 76.67 23.33
2 เป็นประโยชน์ต่อสิง่ แวดลอ้ ม 53.33 43.33 3.34
3 ส่งเสริมการใช้เวลาว่างให้เปน็ ประโยชน์ 66.67 26.67 6.66
4 มคี วามพอเพยี งและประหยัด 66.67 30 3.33
5 ส่งเสรมิ ความคิดสร้างสรรค์ 63.33 33.33 3.34
6 ส่งเสรมิ การคิดแก้ปัญหา 73.33 23.33 3.34
7 สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้จริง 80 16.67 3.33
8 สง่ เสริมนิสัยทดี่ ีในการแบง่ ปัน 50 50
รวม 530 246.66 23.34
เฉล่ีย 66.25 30.83 2.92
เฉลี่ยรวม 97.08
ผลการศึกษาความพึงพอใจเม่ือนากระดาษลิตมัสไปให้เพื่อนๆ และนักเรียนได้เรียนรู้และ
ประเมินความพึงพอใจจากการประเมินพบว่า ระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมากท่ีสุดคิดเป็นร้อย
97.08
บทที่ 5
สรปุ ผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ
สรุปผลการดาเนินงาน
จากการดาเนินงานโครงงานวิทยาศาสตร์เรือ่ ง กระดาษลิตมัสจากวสั ดุธรรมชาติ มีผลการ
ดาเนนิ งานดังน้ี
จากการทาโครงงานเรื่อง กระดาษลิตมสั จากวัสดุธรรมชาติ ทางคณะผู้จัดทาได้เลือกใชว้ ัสดุ
ธรรมชาติ 2 ชนิด คือดอกอัญชันและดอกเข็ม เน่ืองจากเม่ือนาพืชท้ัง 2 ชนิดมาสกัดเอาสีออกมา
พบวา่ พชื ทั้งสองใหส้ ีน้าเงินมว่ งและสแี ดง และเมื่อนากระดาษกรองไปแช่ไวเ้ ป็นเวลา 5 นาที แลว้ เอา
ขึ้นมาเป่าให้แห้ง ผลปรากฎว่าได้กระดาษลิตมัสจากวัสดุธรรมชาติ 2 สี คอื กระดาษลิตมัสสีน้าเงิน
และกระดาษลิตมัสสแี ดง ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ข้อท่ี 1
หลงั จากที่ไดก้ ระดาษลิตมัสแล้วทางคณะผู้จดั ทาได้นากระดาษลิตมัสท่ไี ด้จากวตั ถปุ ระสงคข์ ้อ
ที่ 1 นาไปทดสอบความเป็นกรด-เบสของสาร ซึ่งสารท่ีนามาทดสอบน้ันเป็นสารท่ี อยู่ใน
ชีวติ ประจาวนั จากการทดสอบพบวา่ กระดาษลติ มัสสามาถทดสอบความเป็นกรด-เบสของสารได้ ซึ่ง
เป็นไปตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 คือ เพื่อทดสอบความเป็นกรด-เบสของสารได้ และเป็นไปตาม
สมมติฐานขอ้ ท่ี 1 คือ กระดาษลติ มัสจากวสั ดุธรรมชาตสิ ามารถทดสอบความเปน็ กรด-เบสของสารได้
จากการเปรียบเทียบผลการทดสอบความเป็นกรด-เบสของสาร ด้วยกระดาษลิตมัสจากวสั ดุ
ธรรมชาติกับกระดาษลิตมัสที่ซ้ือจากท้องตลาด พบว่า ให้ผลการทดสอบเหมือนกัน ซึ่งเป็นไปตาม
วัตถุประสงค์ข้อท่ี 3 คือ เพ่ือเปรียบเทียบประสิทธิภาพของกระดาษลิตมัสจากวัสดุธรรมชาติกับ
กระดาษลติ มสั จากทอ้ งตลาดและเป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 2 คอื กระดาษลติ มสั จากวัสดธุ รรมชาติ
ให้ผลการทดสอบมีประสิทธิภาพเทา่ กับกระดาษลิตมัสจากท้องตลาด
ผลการประเมินคุณภาพของโครงงาน โดยใช้แบบสอบถามความคิดเห็นของครูพบว่า มี
คุณภาพในระดับมากท่ีสุดคิดเป็นร้อยละ 100 โดยพบข้อเสนอแนะให้ทาการทดสอบสารให้หลาย
ชนิดเพือ่ ประสทิ ธภิ าพทีด่ ยี ิง่ ข้ึน
ผลการศึกษาความพึงพอใจเมื่อนากระดาษลิตมัสไปให้เพ่ือนๆ และนักเรียนได้เรียนรู้และ
ประเมินความพึงพอใจจากการประเมินพบว่า ระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุดคิดเป็นร้อย
97.08
อภิปรายผลการดาเนินงาน
จากการทาโครงงานเรอ่ื ง กระดาษลิตมัสจากวัสดุธรรมชาติ เพื่อผลิตกระดาษลิตมัสจากวัสดุ
ธรรมชาติ เพ่ือทดสอบความเปน็ กรด-เบสของสารในชวี ิตประจาวัน และเพื่อเปรยี บเทยี บประสิทธภิ าพ
ของกระดาษลิตมสั จากวสั ดธุ รรมชาติกบั กระดาษลติ มสั จากท้องตลาด อภิปรายผลได้ ดงั น้ี
การผลิตกระดาษลิตมัสจากวัสดุธรรมชาติ เพื่อทดสอบความเป็นกรด-เบสของสารใน
ชีวิตประจาวัน และเพ่ือเปรียบเทียบประสิทธภิ าพของกระดาษลิตมัสจากวัสดุธรรมชาติกับกระดาษ
ลิตมัสจากทอ้ งตลาด ผลการศึกษา พบว่า สามารถผลิตกระดาษลติ มัสจากวัสดุธรรมชาติ คือ ดอก
อัญชันและดอกเข็มได้ เมื่อนากระดาษลิตมัสทดสอบความเป็นกรด-เบสของสารในชีวิตประจาวัน
เปรียบเทียบกับกระดาษลิตมัสจากท้องตลาด ผลปรากฏว่าให้ผลเหมือนกัน ร้อยละ 100 เป็นไป
ตามสมมตฐิ านท่วี างไว้ คือ กระดาษลติ มัสจากวสั ดุธรรมชาตสิ ามารถทดสอบความเป็นกรด-เบสของ
สารได้ และกระดาษลิตมัสจากวัสดุธรรมชาติสามารถใหผ้ ลทดสอบความเป็นกรด-เบสมีประสิทธิภาพ
เทา่ กับกระดาษลิตมัสจากท้องตลาดได้
จากแบบสอบถามความคดิ เห็นของครูพบว่า มีคณุ ภาพในระดบั มากท่ีสุดคิดเป็นรอ้ ยละ 100
และเมอ่ื ทดสอบความพึงพอใจของเพือ่ นๆนักเรียนพบว่า ระดับความพึงพอใจอยู่ในระดบั มากที่สุดคิด
เป็นร้อย 97.08 เปน็ ไปตามสมมตฐิ านท่ีวางไว้ คือ คุณภาพของโครงงานและความพึงพอใจตอ่ การ
ใช้กระดาษลิตมัสไปใชป้ ระโยชนใ์ นการเรยี นร้อู ยู่ในระดบั มากถงึ มากทสี่ ุด
ข้อเสนอแนะ
1. ขอ้ เสนอแนะในการนาไปใช้
1.1 ควรเปา่ กระดาษลติ มัสจากวัสดุธรรมชาติใหแ้ หง้ สนทิ เม่อื นาไปทดสอบความเป็นกรด-
เบสของสาร จะให้ผลเหมือนกับกระดาษลติ มัสจากทอ้ งตลาด
1.2 กอ่ นการนาไปใชจ้ รงิ ควรเปรยี บเทยี บกับกระดาษลติ มัสจากท้องตลาด เพอ่ื ทดสอบวา่
ให้ผลเหมอื นหรอื แตกตา่ งกนั หรือไม่
2. ข้อเสนอแนะในการศกึ ษาค้นควา้ คร้ังต่อไป
2.1 จากผลการประเมนิ คณุ ภาพของโครงงาน โดยใชแ้ บบสอบถามความคิดเหน็ ของครูพบว่า
ใหท้ าการทดสอบสารให้หลายชนดิ เพ่ือประสทิ ธภิ าพท่ีดยี ่งิ ขึ้น
2.2 ผู้จัดทาโครงงานมีความคิดเห็นร่วมกันว่า จะทดลองใชพ้ ชื ชนดิ อืน่ ๆ เชน่ ขม้นิ ดอก
ชบา เปน็ ตน้ เพื่อนามาผลิตกระดาษลิตมสั จากวัสดธุ รรมชาตติ ่อไป
อา้ งองิ
ดอกเข็ม. ระบบออนไลน์ http://orange1431.exteen.com/20090808/entry
(สืบค้นเมอ่ื วันที่ 10 กรกฎาคม 2556)
อัญชัน. จาก http://www.shc.ac.th/learning/botanical-garden/257.htm
(สืบคน้ เม่ือวนั ท่ี 10 กรกฎาคม 2556)