รายงานวิจยั ในชั้นเรียน
เร่อื ง เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนด้วยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ โดยใช้
แบบฝกึ ทกั ษะ เรื่อง “สารในชวี ิตประจาวัน” ของนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6
นายอนุศักดิ์ วงศ์มสู า
ตาแหน่ง ครู คศ 1
ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2562
โรงเรียนบ้านทา่ เรือ อาเภอถลาง จังหวดั ภเู ก็ต
สานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาภเู ก็ต
คานา
รายงานการวิจัยในชั้นเรียนเล่มนี้จัดทาข้ึนเพ่ือแสดงรายละเอียดการดาเนินงานของ การส่งเสริม
นักเรยี นใหน้ ักเรยี นมผี ลสมั ฤทธท์ิ างกาเรียนรู้ในเรื่องของกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ทสี่ ูงข้ึน ซงึ่ เนือ้ หาท่ใี ช้ใน
การวิจัยจะเกยี่ วข้องกับในชีวติ ประจาวัน คือ สารในชีวิตประจาวัน โดยกระบวนการวิจัยนั้นได้กระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์เข้าสอดแทรกในกิจกรรมการเรียนการสอนเพอื่ ให้ผู้เรียนมีทักษะกระบวนการมากย่ิงขึ้นเพอื่
สามารถนาไปใชใ้ นระดบั ทสี่ ูงขึน้ ได้
รายละเอียดของเอกสารเล่มน้ี ประกอบด้วยท่ีมาของปัญหา คาถามการวิจัย จุดประสงค์
ประโยชน์ กลุ่มเป้าหมาย เครื่องมอื ในการฝกึ วธิ ดี าเนินการ วเิ คราะห์ขอ้ มลู การสะทอ้ นผลและขอ้ เสนอแนะ
รวมท้ังเอกสาร หลักฐานท่ีเป็นผลจากการดาเนินงาน
นายอนุศกั ดิ์ วงศ์มูสา
ผู้วิจัย
สารบญั หน้า
ก
เรอื่ ง ข
คานา 1
สารบัญ 3
บทที่ 1 บทนา 8
บทที่ 2 เอกสารทีเ่ กี่ยวข้อง 10
บทที่ 3 วธิ กี ารดาเนนิ วจิ ัย 12
บทท่ี 4 ผลการวจิ ยั 13
บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ
เอกสารอา้ งอิง
ภาคผนวก
บทท่ี 1
บทนา
ทม่ี าและความสาคัญ
การคิด เปน็ ความสามารถท่ีมีอยู่ในตัวมนษุ ย์ซ่ึงมแี ตกตา่ งกนั ในแง่ของคณุ ภาพการคดิ บางคนคดิ แล้วมี
ประโยชน์ บางคนคิดแล้วมีโทษ บางคนคิดสับสน บางคนคิดอย่างเป็นระบบมนุษย์ทุกคนสามารถพัฒนา
ความคิดได้ถ้าได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสม และถ้ามนุษย์ทุกคนคิดเป็นก็จะสร้างสรรค์สิ่งท่ีดีมีประโยชน์
ให้กบั ตนเองและสงั คมได้อยา่ งมากมาย
ปจั จุบนั การคดิ เปน็ เรอ่ื งสาคัญยิง่ ในการจัดการศกึ ษาท่ีตอ้ งพัฒนาและฝกึ ฝนจนเกิดเปน็ ทักษะการคิด
และกระบวนการคิดให้ติดตัวผู้เรียนไปตลอดชีวิตเพราะโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแป ลงพัฒนาอย่างมากและ
รวดเร็วทั้งด้านเทคโนโลยี วิทยาการ ข้อมูลต่างๆ ท่ีจะเข้ามาสัมพันธ์กับการดารงชีวิตมนุษย์จึงต้อง มีข้อมูล
หรือส่ิงเร้าท่ีเข้ามากระตุ้นให้คิดมากข้ึนการคิดอย่างมจี ุดหมายมีทิศทางทักษะกระบวนการคิดท่ีดีรอบคอบจะ
ทาให้คาตอบหรือบทสรุปมีคณุ ภาพ เชอื่ มโยงไปสู่การกระทา หรอื การดารงชวี ิตท่ีเหมาะสม
จากการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ในเน้ือหาสารในชีวิตประจาวัน พบว่าเน้ือหาท่ีเรียนน้ันจะมีท้ัง
ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ จากการสอนในชว่ งแรกพบว่า นักเรยี นยงั ขาดความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับกระบวน
การทางวิทยาศาสตร์ที่จะได้มาซึง่ คาตอบ จึงส่งผลให้ในการดาเนินการทดลองน้ัน ยังไม่บรรลุเป้าหมายตามที่
วางไว้ ดังน้ันข้าพเจ้าในฐานะครูผู้สอนจึงได้จัดทาวิจัยเรื่องการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด้วย
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทกั ษะการทดลอง เร่ือง “สารในชีวติ ประจาวัน” ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปที ่ี 6 ท่จี ะสามารถแก้ไขขอ้ บกพรอ่ ง พฒั นากิจกรรมการเรียนการสอนช่วยพฒั นาคุณภาพการคิด
ส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ ช่วยให้นักเรียนสามารถเรยี นรู้ และปฏิบัติด้วยตนเองได้ และส่งผล ต่อการพฒั นา
ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
วัตถปุ ระสงคใ์ นการวจิ ยั
ในการวจิ ยั ครั้งน้ีผู้วิจยั ไดก้ าหนดวตั ถปุ ระสงค์ไว้ดังนี้
1. เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกการทดลองเร่ือง “สารใน
ชวี ติ ประจาวนั ” ของนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6
2. เพอื่ เปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบฝกึ การทดลองเร่ือง “สารใน
ชวี ิตประจาวัน” ของนกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6 ก่อนและหลงั การทาแบบฝึกทกั ษะการทดลอง
สมมติฐานในการวิจยั
การฝึกทักษะกระบวนการคิดทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะการทดลอง เร่ือง
“สารในชวี ิตประจาวัน” ของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6 คะแนนหลังเรยี นสงู กวา่ ก่อนเรยี น
ขอบเขตของการวจิ ัย
ประชากรท่ีใชใ้ นการวจิ ัยในครั้งนี้
ประชากรเป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2562 จานวนนักเรียน 26
คน
กลมุ่ ตัวอย่างทใี่ ชใ้ นการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562
โดยการสมุ่ แบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) จานวนนกั เรยี น 21 คน
เนื้อหาทีใ่ ช้ในการวิจยั
การวิจัยคร้งั นใ้ี ช้เนื้อหาการจดั การเรียนการสอนวิชาวทิ ยาศาสตร์โดยใชแ้ บบฝกึ การทดลองเรือ่ ง “สาร
ในชีวิตประจาวนั ” ของนักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6
ระยะเวลาท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั
การวจิ ัยในคร้งั นีด้ าเนินการทดลองในภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2562
ตัวแปรทศ่ี ึกษา ไดแ้ ก่
1. ตวั แปรอิสระ ได้แกแ่ บบฝึกการทดลองเร่ือง “สารในชวี ิตประจาวัน”
2. ตัวแปรตาม ได้แก่
2.1 ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
2.2 ทักษะการคดิ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ การคิดอย่างมวี ิจารณญาณ และการคดิ
สร้างสรรค์
นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ
1.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนจากข้อสอบท่คี รูผู้สอนได้สร้าง
ขน้ึ
2.แบบฝึกทกั ษะการทดลอง หมายถึง แบบบันทกึ การทดลองท่ีครูไดส้ รา้ งขึน้ และจัดหามาให้จาก
แหล่งเรียนรู้ต่างๆ เช่น เฟสบุ๊ค youtube เป็นต้น
ประโยชน์ท่คี าดวา่ จะได้รับ
1. นักเรียนมีผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนในเร่อื งสารในชวี ิตประจาวนั สงู ขึ้น
2. นกั เรียนได้รบั การฝึกทักษะกระบวนการคิดผ่านการลงมือปฏบิ ัติ
3. นกั เรียนมเี จตคติทีด่ ีต่อการเรยี นวชิ าวิทยาศาสตร์
บทที่ 2
เอกสารที่เกีย่ วขอ้ ง
1. หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551
1.1 จุดม่งุ หมาย
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มี
ศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชพี จึงกาหนดเปน็ จดุ หมายเพอ่ื ให้เกิดกับผู้เรียน เม่ือจบการศึกษาขั้น
พ้นื ฐาน ดังนี้
1จรยิ ธรรม และคา่ นยิ มทพ่ี งึ ประสงคเ์ ห็นคณุ ค่าของตนเองมีวินัยและปฏิบัติตนตามหลักธรรมของ
พระพทุ ธศาสนาหรือศาสนาท่ีตนนบั ถือ ยึดหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
2. มีความรู้ ความสามารถในการสอื่ สาร การคดิ การแกป้ ญั หา การใช้เทคโนโลยี และมีทกั ษะชวี ิต
3.มสี ขุ ภาพกายและสุขภาพจิตทีด่ ี มสี ขุ นิสัย และรกั การออกกาลังกาย
4.มคี วามรักชาติ มจี ติ สานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลกยึดมน่ั ในวถิ ีชวี ิตและการปกครองตาม
ระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมขุ
5. มีจิตสานกึ ในการอนรุ กั ษ์วฒั นธรรมและภูมปิ ัญญาไทย การอนุรกั ษแ์ ละพฒั นาสง่ิ แวดล้อม
มีจิตสาธารณะท่มี ุง่ ทาประโยชนแ์ ละสร้างสงิ่ ที่ดงี ามในสังคม และอยรู่ ว่ มกันในสงั คมอยา่ งมคี วามสขุ
1.2 สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2560 (ปรับปรุง 2551) มุ่งให้ผู้เรียนเกิด
สมรรถนะสาคญั 5 ประการ ดังตอ่ ไปน้ี
1. ความสามารถในการสอื่ สาร เปน็ ความสามารถในการรับและสง่ สาร มวี ฒั นธรรมในการ
ใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึกและทัศนะของตนเองเพ่ือแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสาร
และประสบการณอ์ ันจะเปน็ ประโยชนต์ ่อการพัฒนาตนเองและสงั คม รวมทง้ั การเจรจาตอ่ รองเพื่อขจัดและลด
ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รบั ข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้องตลอดจนการ
เลือกใชว้ ิธีการสอ่ื สาร ที่มปี ระสทิ ธภิ าพโดยคานึงถงึ ผลกระทบท่มี ีตอ่ ตนเองและสงั คม
2. ความสามารถในการคิด เปน็ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคดิ สงั เคราะห์ การคิด
อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพ่ือนาไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ
สารสนเทศเพ่ือการตดั สนิ ใจเก่ยี วกับตนเองและสงั คมได้อยา่ งเหมาะสม
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เปน็ ความสามารถในการแกป้ ญั หาและอปุ สรรคต่าง
ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ
ความสัมพันธ์และการเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคมแสวงหาความรู้ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการ
ป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบท่ีเกิดข้ึนต่อตนเอง สังคม
และสงิ่ แวดลอ้ ม
4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต เปน็ ความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้
ในการดาเนินชีวิตประจาวันการเรียนรู้ด้วยตนเองการเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองการทางานและการอยู่ร่วมกันใน
สังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่าง
เหมาะสม การปรบั ตวั ให้ทันกับการเปลีย่ นแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อมและการรูจ้ กั หลีกเล่ียงพฤติกรรม
ไมพ่ ึงประสงค์ทส่ี ง่ ผลกระทบตอ่ ตนเองและผูอ้ น่ื
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้เทคโนโลยี
ด้านต่าง ๆ และมที กั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่ือการพัฒนาตนเองและสงั คมในด้านการเรียนรู้ การสอ่ื สาร
การทางาน การแกป้ ัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์ถูกต้องเหมาะสมและมคี ณุ ธรรม
1.3 คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพ่ือให้
สามารถอยูร่ ว่ มกับผู้อนื่ ในสงั คมไดอ้ ยา่ งมคี วามสุขในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลกดงั ตอ่ ไปนีน้ ้ี
1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
2. ซ่ือสตั ย์สจุ ริต
3. มวี นิ ัย
4. ใฝ่เรียนรู้
5. อยู่อย่างพอเพียง
6. มงุ่ ม่ันในการทางาน
7. รักความเปน็ ไทย
8. มีจติ สาธารณะ
ทาไมตอ้ งเรยี นวทิ ยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์มีบทบาทสาคัญย่ิงในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์
เกี่ยวข้องกับทุกคนท้ังในชีวิตประจาวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เคร่ืองมือเคร่ืองใช้และ
ผลผลิตต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้ใช้เพื่ออานวยความสะดวกในชีวิตและการทางานเหล่าน้ีล้วนเป็นผลของความรู้
วทิ ยาศาสตร์ ผสมผสานกบั ความคดิ สร้างสรรค์และศาสตรอ์ นื่ ๆ วิทยาศาสตรช์ ่วยใหม้ นษุ ย์ได้พัฒนาวิธคี ดิ ทง้ั
ความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มี
ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถ ตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประจักษ์
พยานท่ีตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (K knowledge-
based society) ดังนั้นทุกคนจึงจาเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อท่ีจะมีความรู้ความเข้าใจใน
ธรรมชาติและเทคโนโลยีท่ีมนุษย์สร้างสรรค์ข้ึน สามารถนาความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ และมี
คณุ ธรรม
เรียนรู้อะไรในวิทยาศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ท่ีเน้นการ
เชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้
กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และการแก้ปัญหาท่ีหลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุก
ขั้นตอน มีการทากิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชั้น โดยได้กาหนด
สาระสาคญั ไวด้ ังนี้
สงิ่ มชี ีวิตกบั กระบวนการดารงชวี ิต ส่งิ มีชวี ิต หนว่ ยพื้นฐานของสิง่ มชี ีวิต โครงสรา้ งและหน้าท่ี
ของระบบต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต และกระบวนการดารงชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การถ่ายทอดทาง
พันธุกรรม การทางานของระบบต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต วิวัฒนาการและความหลากหลายของส่ิงมีชีวิต และ
เทคโนโลยชี ีวภาพ
ชีวิตกับส่ิงแวดล้อม ส่ิงมีชีวิตที่หลากหลายรอบตัว ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ
ส่ิงแวดล้อม ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ ความสาคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใช้และ
จัดการทรัพยากรธรรมชาติในระดับท้องถิ่น ประเทศ และโลก ปัจจัยที่มีผลต่อการอยู่รอดของส่ิงมีชีวิตใน
สภาพแวดลอ้ มตา่ ง ๆ
สารและสมบัติของสาร สมบัติของวัสดุและสาร แรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาคการเปล่ียน
สถานะ การเกิดสารละลายและการเกิดปฏิกิริยาเคมขี องสาร สมการเคมี และการแยกสาร
แรงและการเคลอ่ื นที่ ธรรมชาตขิ องแรงแม่เหล็กไฟฟา้ แรงโน้มถ่วง แรงนิวเคลยี ร์ การออกแรง
กระทาต่อวัตถุ การเคลอ่ื นทีข่ องวัตถุ แรงเสียดทาน โมเมนตก์ ารเคล่อื นท่ีแบบตา่ ง ๆ ในชีวิตประจาวัน
พลังงาน พลังงานกบั การดารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน สมบัติและปรากฏการณ์ของแสง
เสียง และวงจรไฟฟา้ คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ กัมมันตภาพรงั สีและปฏิกิรยิ านวิ เคลียร์ ปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างสารและ
พลังงานการอนุรกั ษพ์ ลงั งาน ผลของการใชพ้ ลงั งานตอ่ ชวี ติ และสิง่ แวดล้อม
กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก โครงสร้างและองค์ประกอบของโลก ทรัพยากรทางธรณี
สมบัติทางกายภาพของดิน หิน น้า อากาศ สมบัติของผิวโลก และบรรยากาศ กระบวนการเปลี่ยนแปลงของ
เปลือกโลก ปรากฏการณ์ทางธรณี ปจั จยั ทม่ี ีผลตอ่ การเปล่ียนแปลงของบรรยากาศ
ดาราศาสตร์และอวกาศ ววิ ฒั นาการของระบบสุริยะ กาแล็กซี เอกภพ ปฏิสมั พนั ธแ์ ละผลต่อ
สิ่งมชี ีวติ บนโลก ความสัมพันธ์ของดวงอาทติ ย์ ดวงจันทร์ และโลก ความสาคญั ของเทคโนโลยอี วกาศ
ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระบวนการทางวิทยาศาสตร์การสืบเสาะ หา
ความรู้ การแก้ปัญหา และจิตวทิ ยาศาสตร์
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ 1 ส่งิ มีชวี ิตกบั กระบวนการดารงชวี ิต
สาระท่ี 2 ชีวิตกบั ส่งิ แวดล้อม
สาระที่ 3 สารและสมบตั ิของสาร
มาตรฐาน ว 3.1 เขา้ ใจสมบตั ขิ องสาร ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสมบตั ขิ องสารกับโครงสร้าง
และแรงยดึ เหน่ียวระหว่างอนุภาค มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้และจติ วิทยาศาสตร์
สื่อสารสงิ่ ท่ีเรียนรู้ นาความร้ไู ปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจหลักการและธรรมชาติของการเปลยี่ นแปลงสถานะของสาร การเกดิ
สารละลาย การเกิดปฏิกิรยิ า มีกระบวนการสืบเสาะ หาความรแู้ ละจิตวทิ ยาศาสตร์สอ่ื สารส่งิ
ทเ่ี รียนรู้ และนาความรู้ไปใช้ประโยช
สาระที่ 4 แรงและการเคลื่อนท่ี
สาระที่ 5 พลังงาน
สาระที่ 6 กระบวนการเปลีย่ นแปลงของโลก
สาระที่ 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ
สาระที่ 8 ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
การดาเนนิ การเรอื่ งใดเร่ืองหนง่ึ จะตอ้ งมีการกาหนดขนั้ ตอน อย่างเป็นลาดับตั้งแต่ตน้ จนแล้ว
เสรจ็ ตามจดุ ประสงคท์ กี่ าหนด
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จงึ เป็นแนวทางการดาเนนิ การโดยใช้ทกั ษะวทิ ยาศาสตร์ใช้ใน
การจดั การ ซ่ึงมีลาดับข้ันตอน 5 ขัน้ ตอน ดงั น้ี
1. การกาหนดปญั หา
2. การตั้งสมมตฐิ าน
3. การทดลองและรวบรวมข้อมูล
4. การวเิ คราะหข์ ้อมูล
5. การสรุปผล
ขั้นตอนที่ 1 การกาหนดปัญหา เป็นการกาหนดหวั เรื่องท่ีจะศึกษาหรือปฏบิ ตั กิ ารแก้ปัญหาเป็น
ปญั หาที่ได้มาจากการสังเกต จากข้อสงสัยในปรากฏการณต์ ่าง ๆ ท่พี บเห็น เช่น ทาไมต้นไมท้ ีป่ ลกู ไว้ใบเหี่ยว
เฉา
ขั้นตอนที่ 2 การต้ังสมมติฐานและการกาหนดตัวแปรเป็นการคาดคะเนคาตอบของปัญหาใดปัญหา
หน่ึงอย่างมีเหตุผล โดยอาศัยข้อมูลจากการสังเกต การศึกษาจากเอกสารที่เก่ียวข้อง การพบผู้รู้ในเร่ืองนัน้ ๆ
ฯลฯ และกาหนดตัวแปรทีเ่ กี่ยวข้องกบั การทดลอง ไดแ้ ก่ ตวั แปรต้น ตวั แปรตาม ตวั แปรควบคุม
สมมตฐิ าน ตวั อยา่ ง
แผน่ ใยขดชว่ ยลดอตั ราการไหลของนา้ (ทาใหน้ า้ ไหลชา้ ลง)
ตัวแปร
ตัวแปรตน้ คือ แผน่ ใยขดั
ตวั แปรตาม คอื ปริมาณนา้ ทีไ่ หล
ตัวแปรควบคมุ คือ ปรมิ าณน้าทีเ่ ทหรือรด
ข้ันตอนท่ี 3 การทดลองและรวบรวมข้อมูล เป็นการปฏิบัติการทดลองค้นหาความจริงให้สอดคล้อง
กับสมมติฐานท่ีตั้งไว้ในข้ันตอนการตั้งสมมติฐาน (ข้ันตอนท่ี 2 ) และรวบรวมข้อมูลจากการทดลองหรือ
ปฏิบัตกิ ารนัน้ อยา่ งเปน็ ระบบ
ขัน้ ตอนท่ี 4 การวิเคราะหข์ อ้ มูลและทดสอบสมมติฐานเป็นการนาข้อมลู ท่รี วบรวมไดจ้ ากขน้ั ตอน
การทดลองและรวบรวมข้อมูล (ข้ันตอนท่ี 3 ) มาวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพื่อนามา
อธิบายและตรวจสอบกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ในขั้นตอนการต้ังสมมติฐาน (ข้ันตอนที่ 2) ถ้าผลการวิเคราะห์ไม่
สอดคล้องกับสมมติฐาน สรุปได้ว่าสมมติฐานนนั้ ไม่ถูกต้อง ถ้าผลวิเคราะห์สอดคล้องกับสมมติฐาน ตรวจสอบ
หลายครั้งได้ผลเหมือนเดิมก็สรุปได้ว่าสมมติฐานและการทดลองนั้นเป็นจริง สามารถนาไปอ้างอิงหรือเป็น
ทฤษฎตี อ่ ไป
ขน้ั ตอนท่ี 5 การสรุปผล เป็นการสรุปผลการศึกษา การทดลอง หรอื การปฏิบัติการน้ัน ๆ โดยอาศัย
ข้อมูลและการวเิ คราะห์ข้อมูลจากข้ันตอนการวิเคราะห์ขอ้ มลู (ขั้นตอนที่ 4 ) เป็นหลัก
ความหมายของแบบฝึกเสรมิ ทกั ษะ
ลักษณา อินทะจักร (2538 : 161) ให้ความหมาย แบบฝึกเสรมิ ทักษะว่า หมายถงึ
แบบฝกึ ท่ีครสู ร้างข้นึ โดยมีจดุ ม่งุ หมายเพ่ือให้นกั เรียนเกิดการเรยี นร้อู ยา่ งแท้จริง
ศศธิ ร ธญั ลกั ษณานนั ท์ (2542 : 375) ใหค้ วามหมายแบบฝกึ เสรมิ ทักษะ
ว่า หมายถงึ แบบฝกึ เสริมทักษะที่ใช้ฝกึ ความเข้าใจ ฝกึ ทักษะตา่ ง ๆ และทดสอบความสามารถของนกั เรยี น
ตามบทเรยี นที่ครูสอนว่า นักเรยี นเข้าใจและสามารถนาไปใช้ไดม้ ากนอ้ ยเพียงใด
กู๊ด (Good 1973 : 224, อ้างถงึ ใน ลกั ษณา อินทะจกั ร 2538 : 160) ให้ความหมาย
แบบฝึกเสรมิ ทกั ษะว่า หมายถงึ งานหรือการบา้ นทค่ี รมู อบหมายให้นกั เรียนทา เพอื่ ทบทวนความรู้ท่ไี ด้เรยี น
มาแล้ว และเปน็ การฝึกทกั ษะการใช้กฎใช้สูตรต่าง ๆ ทเี่ รยี นไป
ดงั นนั้ จึงอาจกล่าวได้วา่ แบบฝึกเสรมิ ทกั ษะ หมายถงึ งานหรือกิจกรรมทค่ี รสู รา้ ง
ขนึ้ โดยมีรูปแบบกิจกรรมทหี่ ลากหลาย มีจดุ มงุ่ หมายเพอ่ื ฝึกให้นกั เรยี นมคี วามรูค้ วามเขา้ ใจบทเรียนได้ดี
ย่ิงข้นึ และช่วยฝึกทกั ษะต่าง ๆ ใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรยี นรูอ้ ย่างแทจ้ รงิ อาจจะให้นักเรียนทาแบบฝกึ ขณะเรียน
หรอื หลงั จากจบบทเรียนไปแล้วกไ็ ด้ (ออนไลน์ http://oknation.nationtv.tv/blog/jib1)
บทท่ี 3
วิธีดาเนินการวจิ ยั
การวิจัยเรอ่ื ง เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ โดยใช้แบบฝกึ
ทักษะ เรอ่ื ง “สารในชีวิตประจาวัน” ของนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6
ผ้วู ิจยั ไดด้ าเนนิ การวิจยั ตามขัน้ ตอนดงั น้ี
1. การกาหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2. การกาหนดเนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย
3. การกาหนดระยะเวลาในการวิจัย
4. การสรา้ งเคร่ืองมอื ทใี่ ช้ในการวิจัย
5. การกาหนดแบบแผนการวิจัย
6. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
7. สถติ ิทใี่ ช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
1. การกาหนดประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง
ประชากรทใ่ี ช้ในการวจิ ยั ในครัง้ นี้
ประชากรเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 จานวนนักเรียน 26
คน
กลุ่มตัวอย่างทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย
การวิจัยครั้งน้ีใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2562
โดยการสมุ่ แบบเฉพาะเจาะจง จานวนนกั เรียน 21 คน
2. การกาหนดเนื้อหาทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย
การวิจยั คร้งั น้ใี ช้เนื้อหาการจัดการเรียนการสอนวชิ าวิทยาศาสตรโ์ ดยใช้แบบฝกึ การทดลองเรอ่ื ง “สาร
ในชีวติ ประจาวัน” ของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 6
3. การกาหนดระยะเวลาในการวิจยั
การวิจยั ในครั้งนดี้ าเนนิ การทดลองในภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2562
4. การสรา้ งเครอ่ื งมือท่ใี ช้ในการวิจยั
เครอื่ งมอื ท่ใี ช้ในการวิจัยคร้ังน้ี
1. แบบฝกึ ทักษะการทดลองกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
2. แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเรอ่ื ง สารในชีวติ ประจาวนั
ขน้ั ตอนการสร้างเคร่ืองมือ
1. ศกึ ษาเนื้อหาเกย่ี วกบั การใช้แบบฝึกทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
2. สรา้ งแบบฝึกทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง สารในชวี ติ ประจาวนั
3. สรา้ งแบบทดสอบก่อนเรยี นเรือ่ ง สารในชวี ติ ประจาวัน
4. นาแบบทดสอบท่สี รา้ งขึน้ ไปใช้กับกลุ่มตัวอยา่ ง
5. การกาหนดแบบแผนการวจิ ยั
การวิจัยคร้ังนี้ เปน็ การวิจยั เชงิ ทดลอง แบบการทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรยี น
6. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
ในการวจิ ยั ครง้ั นี้ ดาเนนิ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลตามลาดับ ดังนี้
1. ทดสอบกอ่ นเรยี น โดยใชแ้ บบทดสอบกอ่ นเรยี นเพอื่ วดั ผลสัมฤทธ์ิ
2. จดั การเรยี นการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
3. ทดสอบหลังเรียนโดยใชแ้ บบทดสอบหลงั เรยี นเพ่ือวัดผลสมั ฤทธิ์ และเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิ
7. สถิตทิ ่ีใชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู
ในการวิจัยคร้งั นี้ ผวู้ ิจยั ไดว้ ิเคราะหข์ ้อมลู ต่างๆโดยใช้สูตรทางสถิติ ดงั ตอ่ ไปน้ี
=
เมอ่ื (เอ็กซ์บาร์) คือ คา่ เฉลี่ยเลขคณิต
คอื ผลรวมของคะแนนของนักเรียนทกุ คน
คือ จานวนกล่มุ ตวั อยา่ ง (จานวนนกั เรยี น)
บทที่ 4
ผลการวจิ ยั
การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธิ์และเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา
วทิ ยาศาสตร์ โดยใชแ้ บบฝกึ การทดลองเรอื่ ง “สารในชีวติ ประจาวัน” ของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 6 กอ่ น
และหลังการทาแบบฝึกทักษะการทดลอง จากการประเมินผลก่อนเรียนและหลังเรียน การทาแบบทดสอบ
ของนักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 6 จานวน 21 คน
ตารางท่ี 1 คะแนนสอบก่อนเรียนและหลังเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกการทดลองเรื่อง “สารใน
ชีวิตประจาวัน” ของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 6
ที่ ชอ่ื - สกุล กอ่ นเรียน หลงั เรียน การพฒั นา
1 เด็กชายอันดา ทมุ มาคร 66 0
2 เด็กหญงิ เพญ็ ดารา สุวรรณชม 5 7 +2
3 เด็กหญงิ ธนพร ไชยราช 5 6 +1
4 เด็กหญิงพิชศ์ชยาภาร์ ชนะสงคราม 6 9 +3
5 เด็กหญิงบวรลกั ษณ์ อง๋ึ สกุล 5 8 +3
6 เด็กชายเอกพฒั น์ ศรีโวย 4 6 +2
7 เด็กหญิงนฤพร ขาด้วง 5 8 +3
8 เดก็ ชายชญานนท์ ขวญั เดือน 6 9 +3
9 เดก็ ชายอาทิตย์ กองขา้ งเรียบ 7 9 +2
10 เดก็ ชายรพีพฒั น์ เทพคุณ 7 9 +2
11 เดก็ หญงิ นฟิ าเรีย หนักแนน่ 5 7 +2
12 เด็กหญงิ เพยี วเพียว ซ่อื ตระกลู 6 8 +2
13 เด็กหญงิ ธนญั ญา พรหมช่วย 7 9 +2
14 เดก็ ชายศวิ กร สขุ ศรีนวน 88 0
15 เดก็ หญิงวราศิณี สามารถ 6 8 +2
16 เด็กชายปยิ ะราชย์ คงแกว้ 6 8 +2
17 เด็กหญิงไหมทพิ ย์ แสนบุญ 5 7 +2
18 เดก็ ชายยะห์ยา หะยยี ะเส็น 5 8 +3
19 เด็กหญิงมิกะ โอโน 5 8 +3
20 เด็กหญงิ พชั ราภา ชิตชลธาร 6 8 +2
21 เด็กชายจักรี ประเสริ ฐสงั ข์ 57 +2
คะแนนรวม 120 164 +44
คะแนนเฉลี่ย 5.71 7.80 +2.09
ตารางท่ี 2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ช้ัน
ประถมศึกษาปที ่ี 6
การทดสอบ จานวนนักเรยี น (N) คะแนนรวม คะแนนเฉลีย่
กอ่ นเรียน 21 120 5.71
หลงั เรยี น 21 164 7.80
จากตารางที่ 2 ปรากฏว่าผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาป่ีที่ 6 มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงข้ึน โดยมีคะแนนเฉล่ียเพ่ิมข้ึนโดย เฉล่ียเท่ากับ
2.09
บทท่ี 5
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์และเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา
วิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบฝกึ การทดลองเรอื่ ง “สารในชีวติ ประจาวนั ” ของนักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 กอ่ น
และหลังการทาแบบฝึกทักษะการทดลอง จากการประเมินผลก่อนเรียนและหลังเรียน การทาแบบทดสอบ
ของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 จานวน 21 คน
วตั ถปุ ระสงค์ในการวจิ ยั
ในการวิจัยครั้งนี้ผวู้ ิจยั ไดก้ าหนดวตั ถปุ ระสงค์ไวด้ ังนี้
1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกการทดลองเรื่อง “สารใน
ชีวติ ประจาวนั ” ของนกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6
2. เพอื่ เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกการทดลองเรื่อง “สารใน
ชวี ติ ประจาวนั ” ของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 ก่อนและหลงั การทาแบบฝกึ ทักษะการทดลอง
สมมตฐิ านในการวจิ ยั
การฝึกทักษะกระบวนการคิดทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะการทดลอง เร่ือง
“สารในชีวิตประจาวนั ” ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ี่ 6 คะแนนหลังเรียนสงู กวา่ กอ่ นเรียน
ประชากรท่ใี ชใ้ นการวิจัยในครั้งนี้
ประชากรเป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 จานวนนักเรียน 26
คน
กลุ่มตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการวจิ ัย
การวิจัยคร้ังนี้ใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2562
โดยการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง จานวนนกั เรียน 21 คน
สรปุ ผลการวจิ ัย
จากการใช้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาป่ีที่ 6 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงข้ึน โดยมีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มข้ึนโดย เฉลี่ยเท่ากับ 2.09 ซ่ึง
เปน็ ไปตามสมติฐานท่ไี ดต้ งั้ ไว้ คือ การฝึกทักษะกระบวนการคิดทางการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบฝึก
ทกั ษะการทดลอง เร่ือง “สารในชวี ติ ประจาวัน” ของนกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 คะแนนหลังเรยี นสูงกว่า
ก่อนเรยี น
อภิปรายผล
จากการศกึ ษาการฝึกทกั ษะกระบวนการทางการเรยี นวชิ าวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทกั ษะการ
ทดลองเรือ่ ง“สารในชวี ติ ประจาวนั ” ของนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปที ่ี 6 พบวา่ นักเรียนมผี ลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนหลงั เรียนสูงกวา่ กอ่ นเรยี น เหตทุ เ่ี ป็นเช่นน้เี พราะมุ่งเน้นใหน้ กั เรยี นไดม้ โี อกาสศึกษาและลงมอื ปฏิบตั ิดว้ ย
ตนเอง มีการให้นกั เรยี นซักถามเพือ่ ใหเ้ กดิ ความกล้าแสดงออกอย่างสรา้ งสรรค์ และมคี วาม เช่ือม่ันในตนเอง
ข้อเสนอแนะ
1. ควรมกี ารนาไปใช้ในหน่วยการเรยี นรู้อนื่
2. ควรมีการสอดแทรกกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในทกุ ๆ หนว่ ยการเรยี นรู้
เอกสารอา้ งองิ
ความหมายของแบบฝึกเสริมทักษะ. (ออนไลน์ http://oknation.nationtv.tv/blog/jib1)
หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551.
(ออนไลน์ http://oknation.nationtv.tv/blog/jib1)
หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์.
(ออนไลน์ http://oknation.nationtv.tv/blog/jib1)
แบบบนั ทึกการทดลอง
เรอ่ื ง……………………………………………………………………..
ปญั หา …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………….
สมมติฐาน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………….
ตัวแปรที่เกีย่ วขอ้ ง
-ตวั แปรต้น ………………………………………………………………………………………………………………………………………….
-ตวั แปรตาม ………………………………………………………………………………………………………………………………………….
-ตัวแปรควบคุม ………………………………………………………………………………………………………………………………………….
วิธีการทดลอง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
บันทึกผลการทดลอง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
สรปุ ผลการทดลอง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………