The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nureeda Meekan, 2024-03-14 03:03:41

แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ

แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ

1 แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ ครูผู้สอน นางสาวนอรีย๊ะ มีการ แผนกวิชาสามัญสัมพันธ์ วิทยาลัยเทคนิคสตูล


2 แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ได้จัดทำเพื่อใช้ในการฝึก ทักษะการอ่านจับใจความสำคัญเกี่ยวกับทเพลง บทความ ข่าว ทำให้นักศึกษาสามารถอ่าน และสรุปใจความ สำคัญของเรื่องราวที่อ่านได้ แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญจากเรื่องที่อ่าน ประกอบด้วย 1) การอ่านจับใจความจากบทเพลง 2) การอ่านจับใจความจากบทความ 3) การอ่านจับใจความจากข่าว การจัดทำโดยแบ่งเป็นตอน ๆ ให้นักศึกษาได้ฝึกปฏิบัติไปตามลำดับนักศึกษาสามารถเรียนรู้ได้ ด้วยตนเองเป็นการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญได้อย่างดี ผู้จัดทำ (นางสาวนอรีย๊ะ มีการ) คำนำ


3 เรื่อง หน้า คำชี้แจงสำหรับครู 4 คำชี้แจงสำหรับนักศึกษา 5 จุดประสงค์การเรียนรู้ 6 แบบทดสอบก่อนเรียน 7 ใบความรู้ที่ 1 ความรู้พื้นฐานการอ่านจับใจความ 11 หลักการอ่านจับใจความ 12 วิธีจับใจความสำคัญ 13 การพิจารณาตำแหน่งใจความ 13 วิธีการฝึกฝนเป็นนักอ่านจับใจความสำคัญ 14 ใบความรู้ที่ 2 เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญจากบทเพลง 16 กิจกรรมที่ 1 เรื่อง พิชิตคำถาม 18 กิจกรรมที่ 2 เรื่อง เรารักแม่ 19 ใบความรู้ที่ 3 เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญจากบทความ 21 กิจกรรมที่ 3 เรื่อง ตำลึง 23 ใบความรู้ที่ 4 เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญจากข่าว 24 กิจกรรมที่ 4 เรื่อง โรคแอนแทรกซ์ 27 แบบทดสอบหลังเรียน 29 เฉลย 33 สารบัญ


4 1. ครูเตรียมแบบฝึกเริ่มทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ให้เพียงพอต่อจำนวนนักศึกษา 2. ให้นักศึกษาทำแบบทดสอบก่อนเรียนก่อนศึกษาแบบฝีกเสริมทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ 3. ครูศึกษาเนื้อหาลำดับขั้นตอนของแบบฝึกเสริมทักษะให้เข้าใจชัดเจน 4. ก่อนลงมือสอนหรือปฏิบัติกิจกรรม ครูควรอธิบายให้นักศึกษาทราบถึงจุดประสงค์ในการทำ แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ แต่ละครั้งและให้นักศึกษาเห็นประโยชน์และ คุณค่าของการทำแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ 5. การทำแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ควรให้นักศึกษามีส่วนร่วมแสดงความ คิดเห็นและช่วยกันสรุปผลของกิจกรรมในแบบฝึก 6. ในการทำแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความ ควรให้นักศึกษา มีความซื่อสัตย์โดยไม่ดู เฉลยก่อนทำแบบฝึก 7. ขณะที่นักศึกษา ศึกษาแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ และปฏิบัติกิจกรรม ครูควรดูแล อย่างใกล้ชิด หากมีนักศึกษาคนใดหรือกลุ่มใดสงสัยควรแนะนำ เป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม เพื่อไม่เป็นการรบกวนผู้อื่น คำชี้แจงสำหรับครู


5 1. แบบฝึกทักษะนี้มีทั้งหมด 3 เรื่อง คือ การอ่านจับใจความบทเพลง บทความ และข่าว มีจำนวน 3 กิจกรรม 2. นักศึกษาอ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ก่อนลงมือศึกษาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ 3. นักศึกษาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อทดสอบความรู้พื้นฐานและบันทึกคะแนน 4. นักศึกษาศึกษาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ และทำ แบบฝึกตามลำดับขั้น 5. นักศึกษาทำแบบฝึกเสริมทักษะแต่ละแบบฝึกลงในกระดาษคำตอบที่ครูเตรียมไว้ให้ 6. เมื่อศึกษาแบบฝึกเสริมทักษะจบแล้วให้ทำแบบทดสอบหลังเรียนและตรวจคำตอบจากเฉลย 7. ให้นักศึกษานำผลคะแนนที่ได้ไปเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียน คำชี้แจงสำหรับนักศึกษา


6 เมื่อนักศึกษา ศึกษาแบบฝึกชุดนี้นักศึกษาสามารถ 1. อธิบายหลักการอ่านจับใจความสำคัญได้(K) 2. อ่านเนื้อเรื่องแล้วสามารถเขียนสรุปความบทเพลง บทความ ข่าวได้(P) 3. อ่านเนื้อเรื่องแล้ว สามารถจับใจความได้ 4. นักศึกษาสามารถใช้ภาษาไทย สื่อสารเรื่องราวต่าง ๆ ที่เรียน และสามารถนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวันได้ จุดประสงค์การเรียนรู้


7 คำชี้แจง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว โดยทำเครื่องหมายกากบาท ( X ) ทับตัวอักษร ก , ข, ค และ ง หน้าคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว เพลง ร่มสีเทา เพลงโดย วัชราวลี ฉันเฝ้าถามความสุขอยู่ที่ไหน ชายที่เขาเดินผ่านฉันเข้ามา บอกกับฉันขอร่มสักคัน แต่ว่าที่มือเขาก็มีหนึ่งคัน ก็แปลกใจ ท่ามกลางหยดฝนโปรยปราย เขาก็ถามฉันว่าอยากสุขไหม ลองหุบร่มในมือสักพักหนึ่ง และเงยหน้ามองวันเวลา มองหยดน้ำที่มันกระทบตา ยังเปียกอยู่ใช่ไหม หรือไม่มีฝน บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอน ถ้ามองจากตรงนี้ เดี๋ยวก็มืด แล้วก็สว่าง อาจจะมีฝนก่อเป็นพายุ หรือลมลอยปลิวอยู่แค่นั้น สุขที่เคยเดินทางตามหามานาน ไม่ได้ไกลที่ไหน อยู่แค่นี้เอง ยิ้มฉันยิ้มมากกว่าทุกครั้ง สุขที่ฉันตามหามาแสนนาน อยู่ตรงนี้ แค่เพียงเข้าใจ อย่าไปยึด ถือมันและกอดไว้ ก็แค่ร่มเท่านั้น เท่านั้น บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอน ถ้ามองจากตรงนี้ เดี๋ยวก็มืด แล้วก็สว่าง อาจจะมีฝนก่อเป็นพายุ หรือลมลอยปลิวอยู่แค่นั้น สุขที่เคยเดินทางตามหามานาน ไม่ได้ไกลที่ไหน อยู่แค่นี้เอง ฉันเห็นเธอถือร่มผ่านมา เต็มไปด้วยร่องรอย และคราบน้ำตา ฉันได้เห็นแล้วมันปวดใจ ไม่ใช่เพียงแค่เธอที่ทุกข์ ฉันก็เป็นเหมือนเธอ เธอได้ยินไหม อยากขอให้เธอลองโยนร่มที่ถือเอาไว้หนัก แบบทดสอบก่อนเรียน แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ บทเพลง บทความ ข่าว จำนวน 10 ข้อ (10 คะแนน) เวลา 10 นาที


8 โยนมันออกไป บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอน ถ้ามองจากตรงนี้ เดี๋ยวก็มืด แล้วก็สว่าง อาจจะมีฝนก่อเป็นพายุ หรือลมลอยปลิวอยู่แค่นั้น สุขที่เคยเดินทางตามหามานาน ไม่ได้ไกลที่ไหน อย่าไปยึด อย่าไปถือ อย่าไปเอามากอดไว้ ก็จะไม่เสียใจ ตลอดชีวิต ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าใคร จะทุกข์ จะสุขแค่ไหน ก็อยู่ที่จะมอง 1. ข้อใดคือจุดมุ่งหมายสำคัญของบทเพลงนี้ ก. เพื่อให้ผู้ฟังตระหนักถึงอาการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่อาจคาดหมายได้ ข. เพื่อให้ผู้ฟังลองสัมผัสกับสายฝนเพื่อให้ได้รับรู้ความสดชื่นที่ได้จากธรรมชาติ ค. เพื่อให้ผู้ฟังได้เปรียบเทียบเหตุการณ์ที่ผู้เขียนเคยประสบกับสิ่งที่ผู้ฟังเคยประสบ ง. เพื่อให้ผู้ฟังได้มองเห็นคุณค่าของบางสิ่งที่หลายครั้งมองข้ามไปเพราะความเคยชิน 2. ประโยคใดกล่าวได้ว่าเป็นใจความสำคัญของเพลงข้างต้น ก. อย่าไปยึด อย่าไปถือ อย่าไปเอามากอดไว้ ก็จะไม่เสียใจตลอดชีวิต ข. สุขที่ฉันตามหามาแสนนานอยู่ตรงนี้ แค่เพียงเข้าใจอย่าไปยึดถือมัน ค. บนท้องฟูาไม่มีอะไรแน่นอนถ้ามองจากครั้งนี้ เดี๋ยวก็มืดเดี๋ยวก็สว่าง ง. เธอได้ยินไหมอยากขอให้เธอลองโยนร่มที่ถือเอาไว้หนัก โยนมันออกไป 3. จากเพลง ร่มสีเทา ผู้แต่งให้ร่มเป็นสัญลักษณ์ของอะไร ก. ความรัก ข. ความทุกข์ ค. ความสุข ง. สิ่งที่ใช้กันฝน อ่านเรื่องที่กำหนดให้ต่อไปนี้ แล้วตอบคำถามข้อ 4 - 6 การทอผ้าเป็นงานศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านในทั่วทุกภาคของประเทศไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ และมักมี เอกลักษณ์เฉพาะของท้องถิ่นที่ทำให้ดูสวยงามและแปลกตาแตกต่างกันไปในทีนี้จะนำศิลปหัตถกรรมการทอผ้า บาง ชนิดที่ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ มาอธิบายเพื่อเป็นตัวอย่าง คือ การทอผ้า ไหม และการ ทอผ้าจก การทอผ้าไหม ผ้าไหมเป็นงานหัตถศิลป์ที่รู้จักกันทั่วโลกด้วยคุณภาพที่มีเอกลักษณ์ใน ความงดงาม และความ คงทนของเนื้อผ้า มีลวดลายและเคล็ดลับวิธีที่แตกต่างกันไปตามแต่ละภาค ผ้าไหม มัดหมี่ เป็น ภูมิปัญญาชาวบ้านภาคอีสาน ที่สั่งสมและถ่ายถอดต่อ ๆ กันมาภายในครอบครัว ผ้าไหมมัดหมี่เป็น ผ้าที่ทอขึ้นจากเส้นใยที่ผ่านการมัดเพื่อสร้างลวดลายก่อนย้อมสีและทอ เวลาย้อมส่วนที่ถูก มัดไว้ก็จะไม่ติดสีจึง ทำให้เกิดลวดลาย ถ้าต้องการหลายสีก็ต้องมัดและย้อมทับหลายครั้ง จนกว่าจะได้สีครบตามต้องการ หลังจากย้อมสีแล้วก็จะแก้เชือกที่มัดออก นำเส้นด้ายกรอเข้ากับหลอด เพื่อทอเป็นผืนผ้าต่อไป การทอผ้า


9 มัดหมี่มีทั้งที่เรียกว่า มัดหมี่ด้ายเส้นยืน มัดหมี่ด้ายเส้นพุ่ง และมัดหมี่ผสม ประเทศไทยมีการทอผ้ามัดหมี่มา เป็นเวลานานแล้ว โดยเฉพาะในภาคอีสานชาวบ้านจะทอผ้ามัดหมี่กันใน หลายท้องที่และสอนต่อ ๆ กันมาใน ครอบครัว เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภาคอีสาน ทอดพระเนตรเห็นหญิงชาวบ้านสูงอายุที่มารอรับเสด็จนุ่งผ้าไหม มัดหมี่ที่ผลิตจากชาวบ้าน และทรงตรวจ คุณภาพผ้าไหมพร้อมทั้งพระราชทานคำแนะนำให้ชาวบ้านพัฒนา การทอให้มีคุณภาพดีขึ้น หลังจากนั้นจึง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการฝึกสอนการทอผ้าไหมมัดหมี่ใน ศูนย์ศิลปาชีพ โครง การศิลปาชีพ และกลุ่มศิลปาชีพที่ตั้งขึ้นในที่ต่าง ๆ การทอผ้าจก ผ้าจกเป็นผ้าทอผืนแคบ ๆ อาจทอขึ้นจากฝ้ายหรือไหม หรือ ผสมกันทั้ง 2 อย่างก็ได้ คำว่า “จก” เป็นวิธีการทอผ้าให้เกิดลวดลายขึ้น โดยการใช้ไม้ปลายแหลม หรือขนเม่น งัดซ้อนด้ายยืนขึ้น และใช้ด้ายสีสอดไปตาม รอยซ้อนนั้น การสอดด้ายสีต่าง ๆไปตามรอยงัดซ้อนในจังหวะต่าง ๆ กัน ทำให้เกิดลวดลายคล้ายผ้าปัก ดังนั้นการทอ ผ้าจกจึงเป็นการทอและการจกลายไปพร้อม ๆ กัน ทำลวดลายสอดสลับด้วยไหมหรือ ด้ายสีต่าง ๆ ผ้าชนิดนี้นิยมใช้เป็น ส่วนประกอบตกแต่งผ้าผืนใหญ่ โดยเฉพาะผ้าซิ่น ซึ่งเมื่อประกอบด้วยผ้าจก แล้ว ก็เรียกว่า ผ้าซิ่นตีนจก การทอผ้าจกต้องใช้ความประณีตมาก ผ้าหนึ่งผืนกว่าจะทอเสร็จใช้เวลาหลายเดือน นักวิชาการด้านผ้าจึงมัก จัดให้การทอผ้าจกเป็นสุดยอดของการทอผ้า ศิลปะการทอผ้าจกสืบทอดมาจาก วัฒนธรรมของชาวไทยเชื้อสายลาวพวน ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ดังนั้น จึงถือเป็นต้นแบบของการทอผ้าชนิดนี้ เดิมมักเป็นลายหน้ากระดาน หรือลาย แถบคั่นเป็นชั้น ๆ ต่อมา ได้มีการคิดดัดแปลงเป็นลวดลายและสีสันให้หลากหลายมากขึ้น และจากการสนับสนุนของ มูลนิธิส่งเสริม ศิลปาชีพฯ ในปัจจุบันได้มีการทอผ้าจกเกิดขึ้นหลายจังหวัดในภาคเหนือ เช่น อำเภอแม่แจ่ม จังหวัด เชียงใหม่ และอำเภอลอง จังหวัดแพร 4. เพราะเหตุใดจึงเรียกผ้าไหมชนิดหนึ่งว่า “ผ้าไหมมัดหมี่” ก. เพราะกรรมวิธีการต้มเส้นไหมเป็นกรรมวิธีเดียวกันกับการต้มเส้นหมี่ ข. เพราะเส้นไหมที่นำมาทอเล็ก บาง และกลมคล้ายลักษณะของเส้นหมี่ ค. เพราะความสวยงามของผ้าไหมชนิดนี้เกิดจากเทคนิคการมัดย้อมเส้นไหม ง. เพราะผ้าไหมชนิดนี้มีต้นกำเนิดจากหมู่บ้านมัดหมี่ ทางภาคอีสานของไทย 5. คำว่า “ด้ายเส้นยืน” ในย่อหน้าที่ ๓ หมายถึงสิ่งใด ก. เส้นไหมแนวตั้งที่ใช้เป็นแกนในการทอผ้า ข. เส้นไหมแนวนอนที่ใช้ขัดกับเส้นแนวตั้ง ค. เส้นไหมที่มัดย้อมให้เกิดลวดลายแล้ว ง. เส้นไหมที่ใช้ในการพุ่งเพื่อวัดขนาดผ้า 6. จากข้อความข้างต้นข้อใด สรุปได้ไม่ถูกต้อง ก. การทอผ้าเป็นงานหัตถศิลป์ของภาคเหนือและภาคอีสานของไทย ข. มูลนิธิศิลปาชีพส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวบ้านทอผ้าเป็นอาชีพเสริม ค. การสร้างลายผ้าด้วยเทคนิคการจกต้องอาศัยระยะเวลาในการผลิต ง. มูลนิธิศิลปาชีพมักส่งเสริมให้ชาวบ้านพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพดีขึ้น


10 “คลองรังสิตเป็นคลองที่ขุดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีวัตถุประสงค์แน่ชัดว่า เพื่อใช้เป็นคลองชลประทานในการเกษตรโดยเฉพาะนาข้าว แต่ปัจจุบัน ดูเหมือนว่า คลองรังสิตจะไม่ได้ทำหน้าที่เดิมเต็มที่นัก และริมคลองสองฝั่งโดยเฉพาะในช่วงที่ยังไม่ไกลกิโลเมตรจากถนน พหลโยธินมากเท่าไร ก็มองหาท้องนาไม่ค่อยพบแล้ว” 7. ข้อความนี้มีประโยคใจความสำคัญของตอนใดของเรื่อง ก. ตอนต้น ข. ตอนกลาง ค. ตอนท้าย ง. ไม่ปรากฏประโยคใจความสำคัญ ข่าว ราคายางไม่คุ้มค่าแรง จากการสำรวจของทีมข่าว พบว่า ราคายางในปัจจุบัน กก.ละประมาณ 50 บาท ไม่คุ้มกับค่าแรงที่ แรงงานได้รับ โดยเฉพาะแรงงานรับจ้างกรีดยางพาราซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวพม่า ทำให้แรงงานดังกล่าวทยอย เดินทางกลับประเทศ และจะกลับมารับจ้างกรีดอีกครั้งหากราคายางฯ กก. ละ 80 บาทขึ้นไปขณะที่ แรงงานคนไทย หันไปรับจ้างทำงานภาคการก่อสร้าง ซึ่งได้รับค่าแรงวันละ 300 บาท มากกว่ารับจ้างกรีดยาง ทำให้ขณะนี้สวนยางพาราหลายแห่งถูกปล่อยทิ้งไว้เกษตรกรสวนยางจึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้อง เร่งรัดช่วยเหลือ ราคายางพาราที่ตกต่ำเวลานั้นซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดมากกว่าการช่วยเหลือด้วยแนวทางอื่น ๆ ไทยพีบีเอสนิวส์ 8. จากข่าวข้างต้นนักเรียนคิดว่าเป็นปัญหาที่เกิดในการประกอบอาชีพใด ก. สวนปาลม์ ข. สวนยางพารา ค. นายหน้าค้าแรงงาน ง. ทาไรทำนา 9. ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากสาเหตุใดเป็นหลัก ก. ราคายางพาราตกต่ำเหลือกิโลกรัมละ 50 บาท ข. ราคายางพาราตกต่ำเหลือกิโลกรัมละ 80 บาท ค. แรงงานไทยไม่นิยมรับจ้างทำสวนยางพารา ง. แรงงานพม่ากลับประเทศ 10. ทำไมเกษตรกรชาวสวนยางจึงไม่จ้างแรงงานไทยแทนแรงงานพม่า ก. แรงงานไทยนิยมทำประมง ข. แรงงานไทยนิยมทำงานก่อสร้าง ซึ่งมีรายได้ดีกว่า ค. คนไทยนิยมทำสวนทำนาของตัวเอง ง. แรงงานไทยไม่กล้าไปกรีดยางเนื่องจากเกิดปัญหาความไม่สงบ


11 ใจความสำคัญ หมายถึง ใจความที่สำคัญ และเด่นที่สุดในย่อหน้า เป็นแก่นของย่อหน้า ที่ สามารถ ครอบคลุมเนื้อความในประโยคอื่น ๆ ในย่อหน้านั้นหรือประโยคที่สามารถเป็นหัวเรื่องของ ย่อหน้านั้นได้ถ้าตัด เนื้อความของประโยคอื่นออกหมด หรือสามารถเป็นใจความหรือประโยคเดี่ยว ๆ ได้โดยไม่ต้องมีประโยคอื่น ประกอบ ซึ่งในแต่ละย่อหน้าจะมีประโยคในความสำคัญเพียงประโยคเดียว หรือ อย่างมากไม่เกิน 2 ประโยค ใจความรอง หรือพลความ (พน-ละ-ความ) หมายถึง ใจความ หรือประโยคที่ขยายความ ประโยค ใจความสำคัญ เป็นใจความสนับสนุนใจความสำคัญให้ชัดเจนขึ้น อาจเป็นการอธิบายให้รายละเอียด ให้คำ จำกัดความ ยกตัวอย่าง เปรียบเทียบ หรือแสดงเหตุผลอย่างถี่ถ้วน เพื่อสนับสนุนความคิด ส่วนที่มิใช่ ใจความ สำคัญ และมิใช่ใจความรอง แต่ช่วยขยายความให้มากขึ้น คือ รายละเอียด การอ่านจับใจความสำคัญ หมายถึง การอ่านเพื่อจับใจความหรือข้อคิด ความคิดสำคัญหลักของ ข้อความ หรือเรื่องที่อ่าน เป็นข้อความที่คลุมข้อความอื่น ๆ ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ไว้ทั้งหมด 1. ใจความสำคัญเป็นข้อความที่ทำหน้าที่คลุมใจความของข้อความอื่นๆ ในตอนนั้นๆ ได้หมด ข้อความนอกนั้น เป็นเพียงรายละเอียดหรือส่วนขยายใจความสำคัญเท่านั้น 2. ใจความสำคัญของข้อความหนึ่ง ๆ หรือย่อหน้าหนึ่ง ๆ ส่วนมากจะมีเพียงประการเดียว 3. ใจความสำคัญส่วนมากมีลักษณะเป็นประโยค อาจจะเป็นประโยคเดียวหรือประโยคซ้อนก็ได้แต่ในบางกรณี ใจความสำคัญไม่ปรากฏเป็นประโยค เป็นเพียงใจความที่แฝงอยู่ในข้อความตอนนั้นๆ 4. ใจความสำคัญที่มีลักษณะเป็นประโยคส่วนมากจะปรากฏอยู่ต้นข้อความในการอ่านใดๆ ก็ตาม จุดมุ่งหมาย เพื่อจับใจความสำคัญของข้อความที่ได้อ่าน ดังนั้นถ้ารู้จักสังเกตประโยคที่เป็นใจความสำคัญ ของข้อความ แต่ละข้อความและรู้จักแยกใจความหลักออก จากใจความรองได้ก็จะท าให้เราเข้าใจ ในสิ่ง ที่อ่านได้อย่าง ถูกต้องและรวดเร็ว ใบความรู้ที่ 1 เรื่อง ความรู้พื้นฐานการอ่านจับใจความ สำคัญ ความหมาย ลักษณะของใจความ


12 การอ่านจับใจความสำคัญให้เข้าใจง่ายและรวดเร็วผู้อ่านควรมีแนวทางและพื้นฐานดังนี้ 1. สำรวจส่วนประกอบของหนังสือ เช่น ชื่อเรื่อง คำนำ สารบัญ ฯลฯ เพราะส่วนประกอบของ หนังสือจะทำให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องหรือหนังสือที่อ่านได้กว้างขวางและรวดเร็ว 2. ตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่านเพื่อเป็นแนวทางใช้กำหนดวิธีอ่านให้เหมาะสมและจับใจความ หรือหาคำตอบได้ รวดเร็วขึ้น โดยจับใจความให้ได้ว่าใคร ท าอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่อย่างไร แล้ว น ามาสรุปเป็น ใจความสำคัญ 3. มีทักษะในการใช้ภาษา สามารถเข้าใจความหมายของคำศัพท์ต่าง ๆ มีประสบการณ์หรือ ภูมิหลังเกี่ยวกับ เรื่องที่อ่าน มีความเข้าใจลักษณะของหนังสือเพราะหนังสือแต่ละประเภทมีรูปแบบการแต่ง และเป้าหมายของ เรื่องที่แตกต่างกัน 4. ใช้ความสามารถในด้านการแปลความหมายของคำ ประโยค และข้อความต่าง ๆ อย่างถูกต้อง รวดเร็ว 5. ใช้ประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องที่อ่านมาประกอบจะช่วยให้เข้าใจและจับใจความได้ง่ายขึ้น หลักในการอ่านจับใจความสำคัญ สรุปการอ่านจับใจความ สรุปการอ่านจับใจความสำคัญ หมายถึง การอ่านที่ต้อง การแยกแยะเรื่องที่อ่านให้ได้ว่า ส่วนใดเป็นใจความหรือข้อความที่สำคัญที่สุด และส่วนใด เป็นข้อความประกอบ การจับใจความจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่าผู้เขียนต้องการสื่ออะไรอย่าง ถูกต้อง โดยผู้อ่านต้องใช้ความสามารถทางภาษา ประสบการณ์หรือภูมิหลังในด้านการแปล ความหมายของคำข้อความ เพื่อจับใจความได้รวดเร็วขึ้น


13 วิธีจับใจความสำคัญมีหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับความชอบอย่างไร เช่น การขีดเส้นใต้การใช้สีต่างกัน แสดงความสำคัญมากน้อยของข้อความ การบันทึกย่อเป็นส่วนหนึ่งของการอ่านจับใจความสำคัญที่ดีแต่ผู้ที่ย่อ ควรย่อด้วยสำนวนภาษาและสำนวนของตนเอง ไม่ควรย่อโดยการตัดเอาข้อความสำคัญมาเรียง ต่อกัน เพราะ อาจทำให้ผู้อ่านพลาดสาระสำคัญบางตอนไป อันเป็นเหตุให้การตีความผิดพลาด คลาดเคลื่อนได้วิธีจับใจความ สำคัญมีดังนี้ 1. พิจารณาทีละย่อหน้า 2. ตัดส่วนที่เป็นรายละเอียดออกได้เช่น ตัวอย่าง สำนวนโวหาร อุปมาอุปไมย (การเปรียบเทียบ) ตัวเลข สถิติตลอดจนคำถามหรือคำพูดของผู้เขียนซึ่งเป็นส่วนขยายใจความสำคัญ 3. สรุปใจความสำคัญด้วยสำนวนภาษาของตนเอง ใจความสำคัญของข้อความในแต่ละย่อหน้าจะปรากฏดังนี้ 1. ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนต้นของย่อหน้า 2. ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนกลางของย่อหน้า 3. ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนท้ายของย่อหน้า 4. ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนต้นและตอนท้ายของย่อหน้า 5. ผู้อ่านสรุปขึ้นเอง จากการอ่านทั้งย่อหน้า ในกรณีใจความสำคัญหรือความคิดสำคัญอาจอยู่รวม ในความคิด ย่อย ๆ โดยไม่มีความคิดที่เป็นประโยคหลัก วิธีจับใจความสำคัญ การพิจารณาตำแหน่งใจความ


14 1. สร้างนิสัยรักการอ่าน โดยพยายามฝึกอ่านข้อความทุกประเภท แม้แต่ป้ายประกาศ ต่าง ๆ ก็ควรอ่าน การฝึกอ่านบ่อย ๆ จะทำให้เกิดนิสัยรักการอ่าน อ่านหนังสือได้เร็วช่างสังเกต และจดจำ ข้อความต่าง ๆ ได้ดีขึ้น 2. หัดใช้พจนานุกรมเมื่ออ่านแล้วพบศัพท์ที่ไม่เข้าใจอย่าท้อถอยหรือปล่อยผ่าน การใช้พจนานุกรมจะทำให้ นักเรียนรู้คำศัพท์มากขึ้น 3. จดบันทึกการอ่านขณะที่อ่านควรมีสมุดจดบันทึก เพื่อบันทึกถ้อยคำที่น่าสนใจ แปลกใหม่ ไพเราะ มีคติ ข้อคิด ความรู้ใหม่ๆ หรือข้อความที่นักเรียนประทับใจ โดยบันทึกชื่อ หนังสือและผู้เขียนไว้ด้วย และหากเป็น หนังสือที่นักเรียนต้องอ่านบ่อย ๆ อาจใช้ปากกาขีดเน้น ข้อความ หรือแปะกระดาษสีคั่นหน้าที่มีข้อความ ดังกล่าว 4. ฝึกจับใจความสำคัญทีละย่อหน้า การอ่านจับใจความสำคัญนั้น ควรเริ่มต้นจากการจับใจความสำคัญ ในแต่ละย่อหน้าให้ได้ถูกต้องแม่นยำเสียก่อน เพราะงานเขียนที่ดีนั้นแม้ใจความหลายอย่างแต่ใน 1 ย่อหน้า มีใจความสำคัญเพียง 1 ใจความเท่านั้น หากเรื่องมีหลายย่อหน้า แสดงว่า มีใจความสำคัญหลายใจความ เมื่อนำ ใจความสำคัญของแต่ละย่อหน้า มาพิจารณาร่วมกันก็จะท าให้สามารถจับใจความสำคัญของเรื่องได้ใน ที่สุด วิธีการฝึกฝนเป็นนักอ่านจับใจความสำคัญ เป็นอย่างไรบ้างคะนักเรียน อ่าน เนื้อหาแล้ว เข้าใจกันมั้ยเอ่ย ถ้าเข้าใจ แล้ว ไปศึกษาตัวอย่าง การอ่านจับใจความกันเลยค่ะ เข้าใจค่ะคุณครู


15 ตัวอย่างการอ่านใจความ ในกิจกรรมที่มนุษย์ต้องกระทำการฟังเป็นกิจกรรมที่คนทำรองลงมาจาก การหายใจ เท่านั้น การฟังมีความสำคัญต่อความสำเร็จในชีวิตส่วนตัว อาชีพ สังคมและครอบครัว ถ้าคน ได้เรียนรู้ถึงการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ วิธีสรุปใจความสำคัญ ใคร กิจกรรมที่มนุษย์ต้องกระทำ ทำอะไร การฟัง เมื่อไร ขณะทำงาน อย่างไร มีความสำคัญต่อความสำเร็จในชีวิตส่วนตัว ผลเป็นอย่างไร การฟังอย่างมีคุณภาพ สรุปใจความ คนทำงานได้เรียนรู้ถึงการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ


16 เพลง หมายถึง ถ้อยคำที่นักประพันธ์เรียงร้อย หรือเรียบเรียงขึ้น ซึ่งประกอบด้วย เนื้อร้องทำนอง จังหวะ ทำให้เกิดความไพเราะสร้างความเพลิดเพลินให้แก่ฟัง มีคุณคําด้านวรรณศิลป์ ทั้งด้านการ เลือกสรรคำ ที่ใช้ในการแต่ง การเรียบเรียงประโยค และการใช้โวหาร เพลงนั้นอาจให้ข้อคิดแก่ผู้ฟังในการดำเนินชีวิตด้วย สำเนียงขับร้อง ทำนองดนตรี กระบวนวิธีรำระบำ โดยเพลงสร๎างสรรค์จาก เครื่อง ดนตรีหรือการขับร้อง 1. เพลงไทยเดิม หมายถึง เพลงที่มีการขับร้องด้วยวิธีการแบบไทยพร้อมการบรรเลงดนตรีไทยไปด้วย 2. เพลงไทยลูกกรุง เป็นเพลงที่บอกเล่าถ่ายทอดความรู้สึกของสังคม และคนเมืองหลวง ตลอดจนเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้น การถ่ายทอดอารมณ์การขับร้อง น้ำเสียงจะมีรูปแบบ ประณีตละเอียดอ่อน ออกมานุ่มนวล 3. เพลงลูกทุ่ง คือเพลงที่สะท้อนวิถีชีวิต สภาพสังคมอุดมคติและวัฒนธรรมไทย โดยมีท่วงทำนองคำร้อง สำเนียงและลีลาการ ร้องการบรรเลงที่เป็นแบบแผน มีลักษณะเฉพาะซึ่งใหบรรยากาศ ความเป็นลูกทุ่ง 4. เพลงไทยสากล เป็นเพลงที่ขับร้องในภาษาไทย โดยเริ่มจากนำทำนองไทยเดิมใส่เนื้อร้องบรรเลงและขับร้อง โดยใช้มาตรฐานของ โน้ตเพลงแบบสากลจนเป็นเพลงไทยแนวใหม่ การอ่านบทเพลง มีหลักการอ่านดังนี้ 1. อ่านอย่างนิจพิเคราะห์ 2. อ่านอย่างมีวิจารณญาณ โดยใช้เหตุผลประกอบการคิดวิเคราะห์ตามเนื้อความใน บทเพลง 3. ตีความเนื้อเพลงให้เข้าใจตามสภาพความเป็นจริง ใบความรู้ที่ 2 เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญจากบทเพลง ความหมาย รูปแบบของเพลง หลักการอ่านเพลง


17 ใจความสำคัญ 1. ทำไมครูที่นี่มีน้อยนักเด็กๆ มักถามถึงครูอยู่เสมอครูคนใหม่อยู่ไหนกัน เล่าเออ เด็กชะเง้อคอยครูอยู่ทุกวัน 2.“ครูมากมายมีไหมในวันนี้ จะยินดีมุ่งบ้านป่าอาสาสอน ร่วมทุกข์สุข กับเด็กในดงดอน เอื้ออาทรสอนสั่งอย่าง ตั้งใจ” 3. จงไปเถิดเด็กน้อยรอคอยอยู่ ต้องการครูนำทางไปทุกหน ถิ่นภายในป่า กว้างยังมืดมน เพียงคู่คนเทียนส่อง ทางสว่างคอย 4. ครูจบแล้วทำไมไม่ยอมกลับ หรือใครจับครูไว้ที่ไหนหนอ 5. เด็กเพียรถามหน้าเศร้านั่งเฝ้ารอ น้ำตาคลอที่นี่ไม่มีครู น้ำตาคลอ ที่นี่ไม่มีน้ำตาคลอที่นี่ไม่มีครู เพลง ที่นี้ไม่มีครู ทำไมครูที่นี่มีน้อยนักเด็กๆ มักถามถึงครูอยู่เสมอครูคนใหม่อยู่ไหน กันเล่าเออ เด็กชะเง้อคอยครูอยู่ทุกวัน ครูมากมายมีไหมในวันนี้ จะยินดีมุ่งบ้านป่าอาสาสอน ร่วมทุกข์สุข กับเด็กในดงดอน เอื้ออาทรสอนสั่งอย่างตั้งใจ จงไปเถิดเด็กน้อยรอคอยอยู่ต้องการครูนำทางไปทุกหน ถิ่นภายใน ป่ากว้างยังมืดมน เพียงคู่คนเทียนส่องทางสว่างคอย ครูจบแล้วทำไมไม่ยอมกลับ หรือใครจับครูไว้ที่ไหนหนอ เด็กเพียร ถามหน้าเศร้านั่งเฝ้ารอ น้ำาตาคลอที่นี่ไม่มีครู น้ำตาคลอที่นี่ไม่มีครูน้ำตาคลอที่นี่ไม่มีครู ศิลปิน : วงแฮมเมอร์ ตัวอย่างการอ่านจับใจความบทเพลง


18 คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ (10 คะแนน) 1. คำว่า ดอกหญ้า ในเพลงหมายถึงใคร ตอบ............................................................................................. ............................................................... 2. ป่าปูน ในเพลงหมายถึงที่ไหน ตอบ.................................................................................................... ......................................................... 3. ข้อความที่ขีดเส้นใต้หมายถึงที่ไหน อยู่บนสวรรค์แต่เป็นคนชั้นติดดิน ตอบ................................................................................................ ............................................................ 4. “จะสวมมงกุฎดอกหญ้าถ่ายรูปปริญญาหวนมาบ้านเรา” คำว่า หวนมา หมายถึงอะไร ตอบ........................................................................................................................................................... 5. เนื้อหาของเพลงต้องการสะท้อนให้เห็นสิ่งใด ตอบ............................................................................................................................................................. กิจกรรมที่ 1 พิชิตคำถาม เพลง ดอกหญ้าในป่าปูน “หัวใจติดดินสวมกางเกงยีนส์เก่าๆ ใส่เสื้อตัวร้อยเก้าเก้า กอดกระเป๋าใบเดียว ติดกาย กราบลาแม่พ่อหลังจากเรียนจบม.ปลาย ลาทุ่งดอกคูน ไสวไปอาศัยชายคาป่าปูน เอาแรงเป็นทุน แลกกับเงินเดือนต่ำๆ เก็บ เงินเข้าเรียนภาคค่ำ ก่อความหวังบนทางเปื้อนฝุ่น สังคมเมืองใหญ่ขาด แคลนน้ำใจเจือจุน ใช้ความอดทนเติมทุน ให้ยืนสู้ไหวทุกวัน อยู่บนสวรรค์แต่เป็นคนชั้นติดดิน เป็นผู้รับใช้จนชิน หูได้ยินแต่คำสั่งงาน แต่ยังยิ้มได้หัวใจ เหมือนดอกหญ้าบาน ถึงอยู่ในที่ต่ำชั้น แต่ก็บานได้ทุกเวลา หัวใจติดดินสวม กางเกงยีนส์ เก่า ๆ ใส่เสื้อตัวร้อยเก้า เก้า แต่ใจสาวบ่ด้อยราคา หวังไว๎วันหนึ่งเรียนจบชั้นที่เฝ้ารอมา จะสวม มงกุฎดอกหญ้าถ่ายรูปปริญญาหวนมาบ้านเรา” ศิลปิน : ต่ายอรทัย คะแนนที่ได้……………


19 คำชี้แจง ให้นักศึกษาอ่านบทเพลงเรารักแม่ แล้วจับใจความจากประเด็นที่กำหนดให้ เพลง เรารักแม่ ศิลปินรวม RS ถ้ามีใครสักคนที่อดทนทุกเวลา พร้อมยอมเหนื่อยล้าเพื่อเราโดยไม่เกรง ถ้ามีใครสักคนที่ยอมรับความเจ็บไว้เอง คิดถึงตัวเองไม่เท่าเรา ถ้ามีใครสักคนที่ตีเราทั้งน้ำตา แล้วก็เป็นคนที่ทายาให้เรา ถ้ามีใครสักคนที่คอยเช็ดตัวให้ทุเลา ค่ำคืนที่เราไม่สบาย ร้อยล้านความผิดของเราที่ใครเค้าไม่ใยดี มีคนๆ นี้คนเดียวที่ให้อภัย ปากบ่นว่าแสนระอา ว่าเราไม่ดีเท่าใคร แต่ในใจก็รักไม่เปลี่ยน อยากขอบคุณฟ้า ให้เรามาเป็นลูกแม่ รักดีดี รักไม่มีแต่ ไม่เคยได้รับจากใคร มีเพียงคนนี้ ชีวิตก็วางให้ได้ คำเล็กๆ ที่ไม่ยิ่งใหญ่ อยากบอกด้วยหัวใจ เรารักแม่ ถ้ามีใครสักคนห่วงกังวลทุกนาที แม้เราวันนี้เติบโตสักเท่าใด ถ้ามีใครสักคนแอบไปร้องไห้อย่างน้อยใจ เมื่อเราทำเป็นเหมือนรำคาญ กิจกรรมที่ 2 เรารักแม่


20 ร้อยล้านความผิดของเราที่ใครเค้าไม่ใยดี มีคนๆ นี้คนเดียวที่ให้อภัย ปากบ่นว่าแสนระอา ว่าเราไม่ดีเท่าใคร แต่ในใจก็รักไม่เปลี่ยน อยากขอบคุณฟ้า ให้เรามาเป็นลูกแม่ รักดีดี รักไม่มีแต่ ไม่เคยได้รับจากใคร มีเพียงคนนี้ ชีวิตก็วางให้ได้ คำเล็กๆ ที่ไม่ยิ่งใหญ่ อยากบอกด้วยหัวใจ เรารักแม่ อยากขอบคุณฟ้า ให้เรามาเป็นลูกแม่ รักดีดี รักไม่มีแต่ ไม่เคยได้รับจากใคร มีเพียงคนนี้ ชีวิตก็วางให้ได้ คำเล็กๆที่ไม่ยิ่งใหญ่ อยากบอกด้วยหัวใจ บอกกับฟ้าไม่ว่าชาติใด ขอเป็นลูกแม่ได้ไหม ทุกชาติเลย 1. คำว่า “ใครสักคนที่ทนทุกเวลา” นักศึกษาคิดว่าหมายถึงใครในเพลงนี้เพราะเหตุใดจึงทนทุกตลอดเวลา ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. จากเนื้อเพลงนี้ผู้แต่งกล่าวถึงเรื่องใด ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. นักศึกษาอ่านเนื้อเพลงแล้วมีความรู้สึกอย่างไรกับเนื้อเพลงนี้ ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. คำว่า “ถ้ามีใครสักคนแอบไปร้องไห้อย่างน้อยใจ เมื่อเราทำเป็นเหมือนรำคาญ” จากข้อความนี้นักศึกษา คิดอย่างไร ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 5. จากเนื้อเพลงนี้นักศึกษาคิดว่า แม่มีความรักกบลูกทุกคนหรือไม่ เพราะเหตุใด ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. คะแนนที่ได้……………


21 บทความ หมายถึง ข้อเขียนร้อยแก้วที่มุ่งให้สาระความรู้หรือความ คิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งแก่ ผู้อ่าน เนื้อหาของบทความส่วนใหญ่จะต้อง เป็นประเด็นที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์ และอยู่ในความสนใจของคน ในสังคม และผู้เขียนจะต้องสอดแทรกข้อเสนอเชิงวิชาการ หรือความคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์ไว้ด้วย บทความมีลักษณะบางประการคล้ายคลึงกับการเขียนข่าวและเรียงความ เพราะเป็นการเขียนที่รวม เอาการเขียนทั้งสองแบบดังกล่าวเข้าไว้ด้วยกัน กล่าวคือ “ข่าว” เขียนขึ้นเพื่อจะบอกข้อเท็จจริงว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร และทำไม โดยประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงอย่างตรงไปตรงมา ทันต่อเหตุการณ์ การพิจารณาบทความ องค์ประกอบของบทความ บทความส่วนใหญ่ มีองค์ประกอบ 4 ส่วน คือ 1. ชื่อเรื่อง เป็นส่วนแรกของบทความที่สร้างความสนใจแก่ผู้อ่าน หนังสือพิมพ์หรือนิตยสารอาจ ตีพิมพ์ชื่อเรื่องด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่เพื่อสร้างความสนใจ หากชื่อเรื่องมีขนาดยาว ก็อาจตีพิมพ์ส่วนที่เป็นชื่อ เรื่องรอง ด้วยตัวอักษรขนาดเล็กลง 2. บทนำ คือ ส่วนที่อยู่ย่อหน้าแรกของบทความ มีลักษณะเป็นการกล่าวนำเรื่อง โดยให้ความรู้ เบื้องต้น บอกเจตนาและผู้เขียนหรือตั้งคำถาม ซึ่งผู้เขียนจะใช้กลวิธีต่าง ๆ ในการเขียนให้ผู้อ่านสนใจติดตาม เนื้อเรื่อง 3. เนื้อหา เป็นส่วนสำคัญที่สุดของบทความ เพราะเป็นส่วนที่รวบรวมความรู้ สาระต่าง ๆ และ ความคิดเห็นของผู้เขียน 4. บทสรุป คือส่วนสุดท้ายของบทความที่ผู้เขียนใช้สรุปเนื้อหาและสร้างความประทับใจแก่ผู้อ่าน โดยใช้กลวิธีหลายประการ เช่น การชักจูงใจให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง การให้ข้อคิด การหาแนวร่วม การตั้งคำถามให้ผู้อ่านนำไปคิดต่อ การเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหา การให้ทางเลือกเพื่อนำไปสู่ การ ตัดสินใจ การทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป เป็นต้น บทความในหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร อาจแบ่งได้เป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้ 1. บทความบรรยายเหตุการณ์ เป็นบทความที่บรรยายเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นเหตุการณ์ในความสนใจ ของสังคม มีจุดมุ่งหมายเพื่อรายงานให้ผู้อ่านทราบความเป็นไปของบ้านเมืองและมีส่วนร่วมรับรู้ในเหตุการณ์ นั้น ใบความรู้ที่ 3 เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญจากบทความ ความหมาย ประเภทของบทความ


22 2. บทความเชิงวิเคราะห์ เป็นบทความที่ผู้เขียนนำเสนอเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นข่าวหรืออยู่ในความ สนใจของประชาชน โดยจำแนกออกเป็นประเด็นต่าง ๆ อย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น 3. บทความเชิงวิจารณ์ เป็นบทความที่ผู้เขียนต้องการเสนอความคิดเห็นของคนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ เป็นข่าว หรือเรื่องที่กำลังอยู่ในความสนใจของประชาชนส่วนใหญ่ การเสนอความคิดเห็นอาจเป็นไปใน ลักษณะโต้แย้ง ไม่เห็นด้วย เสนอแนะแนวทาง หรือชี้ให้เห็นข้อบกพร่อง 4. บทความเชิงวิชาการ เป็นบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสาขาวิชาใดสาขาวิชาหนึ่ง บทความ เชิงวิชาการที่นำเสนอในหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร ส่วนใหญ่ไม่มีความยาวมากนัก นอกจากนี้ ข้อมูลยังมีความ ถูกต้องน่าเชื่อถือน้อยกว่าบทความในวารสารวิชาการ


23 คำชี้แจง ให้นักศึกษาอ่านบทความต่อไปนี้ แล้วตอบคำถาม ตำลึง เป็นผักที่คนไทยรู้จักและนิยมรับประทานยอดของมันมาเป็นเวลานานแล้ว เนื่องจากเป็นผักที่มี รสหวาน อร่อย และมีกลิ่นหอม สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลาย อย่างเช่น แกงจืดใส่หมูสับ ลวกจิ้ม น้ำพริก หรือกระทั้งผัดไฟ แดงก็อร่อยสูสีกับผักบุ้งไฟแดง ใครจะรู้ว่าตำลึงที่เห็นกันอยู่ ดาษดื่นนี้ จะอุดมไป ด้วย เบต้า-แคโรทีน ซึ่งสารตัวนี้เมื่อ รับประทานเข้าไปร่าง กายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่ง มีประโยชน์อย่าง มากต่อการป้องการเกิดมะเร็งรวมทั้งยังรักษา โรคหัวใจด้วย (หนังสือพิมพ์มติชนวันที่ 22 มกราคม 2567 หน้า 16) 1. เหตุใดคนไทยจึงนิยมรับประทานตำลึง ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. คุณสมบัติพิเศษของตำลึงคืออะไร ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การรับประทานตำลึงนอกจากมีประโยชน์แล้ว ยังมีส่วนสนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงอย่างไร ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. เราสามารถรับประทานตำลึงเพื่อทดแทนสิ่งใดได้บ้าง ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. ถ้าคนในสังคมหันมารับประทานตำลึงและปลูกตำลึงรับทานเองจะเป็นผลดีอย่างไรบ้าง ตอบ…………………………………………………………………………………………………………………………………………… กิจกรรมที่3 เรื่อง ตำลึง คะแนนที่ได้……………


24 ในชีวิตประจำวันของเรามีเหตุการณ์สำคัญ ๆ เกิดขึ้นในแต่ละวัน เราซึ่งเป็นสมาชิก คนหนึ่งของสังคม ควรจะได้รู้ข่าวเหตุการณ์ความเป็นไปในชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งบางข่าวอาจเกี่ยวข้องหรือมีผลต่อเราโดยตรง การรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ จะช่วยทำให้เรารู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ดังนั้น จึงควรมีความรู้เกี่ยวกับข่าวด้วย เพื่อประโยชน์ในการเลือกอ่านข่าว ความหมายของข่าว ข่าว คือ เนื้อหาที่รายงานเหตุการณ์ที่น่าสนใจ ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อาจเป็นข่าวเกี่ยวกับ ด้าน ใดก็ได้ เช่น ข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวกีฬา ส่วนประกอบของข่าว โดยทั่วไปมักแบ่งข่าวออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. พาดหัวข่าว เป็นข้อความกะทัดรัด ความหมายพอเป็นที่เข้าใจ นิยมพิมพ์ด้วยตัวอักษรหนา สะดุด ตา มองเห็นง่าย พาดหัวข่าวนี้จะเป็นส่วนเรียกร้องความสนใจ 2. ตัวข่าว คือ ข้อความทั้งหมดในข่าว ซึ่งไม่ใช่พาดหัวข่าว ตัวข่าวจะประกอบด้วย - วรรคนำ คือ ส่วนสรุปข่าว หรือส่วนสำคัญของข่าวที่นำมาเกริ่นไว้ในตอนแรก ก่อนเข้าสู่เนื้อข่าว - เนื้อข่าว คือ ส่วนที่เป็นรายละเอียดของข่าว คุณค่าของข่าว คุณภาพของข่าวอาจพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ 1. ความถูกต้อง ข่าวที่มีคุณภาพต้องเสนอเนื้อหาที่ถูกต้องในทุก ๆ ด้าน เช่นข้อมูลเกี่ยวกับบุคคล เวลา สถานที่ และเหตุการณ์ เป็นต้น 2. ความสมดุล ข่าวที่มีคุณภาพต้องมีลักษณะที่ได้สมดุลกัน ระหว่างข้อเท็จจริงกับการรายงานข่าว โดยไม่เอาตัวเข้าไปพัวพันกับการเขียนข่าว 3. ความชัดเจน ข่าวบางอย่างมีความเป็นมาสลับซับซ้อน หากเสนออย่างตรงไปตรงมา ผู้อ่านอาจจะ ไม่เข้าใจจึงต้องมีการขยายความหรือเท้าความให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น 4. ความกะทัดรัด ข่าวที่ดีต้องไม่เขียนอย่างเยิ่นเย้อ แต่ควรจะมีลักษณะที่กะทัดรัดชัดเจน ตรงไปตรงมา 5. ความใหม่สด ข่าวที่ดีจะต้องถึงผู้อ่านอย่างรวดเร็ว ทันอกทันใจ และทันต่อเหตุการณ์อยู่เสมอ การ ใช้ภาษาในข่าว ใบความรู้ที่ 4 เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญจากข่าว


25 การใช้ภาษาในข่าวทั้งภาษาในพาดหัวข่าวและตัวข่าว มีลักษณะที่สำคัญได้แก่ 1. ใช้คำง่าย ๆ สั้น ๆ อ่านแล้วเข้าใจได้ทันที เช่น - เตรียมหลักทรัพย์ 9 ล้านบาท ยื่นประกัน “จ่ามี” 2. ใช้สมญานาม โดยเฉพาะในการพาดหัวข่าว เช่น - “ปีศาจแดง” เต็มทีม ปีศาจแดง คือ ทีมฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 26 3. ใช้คำที่มีความหมายรุนแรง เช่น - จวกได้จวกไป สันติภาพไม่โต้ 4. การใช้อักษรย่อเสนอข่าว เช่น - คอนเสิร์ต กพค. เพื่อเด็กยากไร้ หลักการอ่านและพิจารณาข่าว ในการอ่านข่าวควรพิจารณาตามโครงสร้างของข่าว ดังนี้ 1. พิจารณาพาดหัวข่าว หากนักเรียนสังเกตการพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์ จะพบว่าส่วนสำคัญ ที่สุดของข่าวจะพาดหัวด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ ส่วนที่สำคัญรองลงมาจะใช้อักษรขนาดเล็กลงตามลำดับ ดังนั้น ในการอ่านและพิจารณาข่าว ควรอ่านพาดหัวข่าวใหญ่ก่อน แล้วจึงพาดหัวข่าวต่อมา 2. พิจารณาความนำ เมื่ออ่านและพิจารณาพาดหัวข่าวและทราบเรื่องราวสั้น ๆ ของข่าวนั้น 3. พิจารณาเนื้อข่าว ซึ่งเนื้อข่าวเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เป็นข่าวหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับ 4. พิจารณาการใช้สำนวนภาษา สำนวนภาษาในการเขียนข่าว มีข้อบกพร่องหลายประการ ทั้งในการ เขียนสะกดคำ การใช้คำย่อ การใช้คำผิดระดับภาษา การใช้คำแสลง ข้อควรคำนึงในการอ่านข่าว การอ่านข่าว ก่อนที่จะเชื่อควรพิจารณาให้รอบคอบ ต้องใช้ดุลยพินิจในการอ่าน เพราะบางครั้ง ผู้เสนอข่าวอาจเพิ่มเติม ข้อความบางอย่างเข้าไป หรือใช้คำที่มีความหมายรุนแรงขึ้น ซึ่งถ้าไม่พิจารณาให้ดีอาจเข้าใจไปตามนั้นได้ การอ่านข่าว อาจอ่านข่าวเรื่องเดียวกันจากหนังสือหลายเล่ม แล้วนำมาเปรียบเทียบกัน หรืออ่าน แล้วนำมา สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบุคคลอื่นเพิ่มเติม ตัวอย่างการอ่านจับใจความข่าว เคอิโงะตามหาพ่อ มีเด็กชายคนหนึ่งชื่อ เคอิโงะ ซาโต อายุ ๙ ปีมานั่งตามหาพ่อ โดยมีเพียงรูปถ่ายใบเดียวเท่านั้น ที่พอจะเป็นหลักฐาน ยิ่งเมื่อวานมีนักข่าวสอบถามรายละเอียดก็ยิ่งพบความน่าเวทนา เมื่อเด็กคนนี้เป็น ลูกครี่ง มีพ่อ ชื่อคัทซูมิซาโต เป็นชาวญี่ปุ่นที่กลับ ประเทศไปตั้งแต่เคอิโงะยังแบเบาะ ส่วนแม่เป็นคน พิจิตรเข้ามาทา งานที่กรุงเทพมหานคร ทิ้งให้เคอิโง้ะ อยู่กับญาติๆ จนเมื่อปีพ.ศ. 2551 เกิดป่วยหนักจึงกลับมาอยู่ที่พิจิตร ทั้งสองคนพากันมานั่งอยู่หน้าอุโบสถวัดท่าหลวง เพื่อดักรอนักท่องเที่ยวชาว ญี่ปุ่น เผื่อจะมีใครรู้จักแต่ก็ไม่เคย ได้รับข่าวดีเลย จนกระทั้งแม่ของเคอิโงะเสียชีวิตลงในเดือน เมษายน เคอิโงะก็มานั่งรอพ่ออยู่พียงลำพัง สร้างความเวทนาให้แก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระเมตตา รับสั่งใหร้องราชเลขาธิการ ติดต่อผู้ว่า ราชการจังหวัดพิจิตรและสถานทูตไทยในประเทศญี่ปุ่นประสานกับ


26 ทางการและสื่อมวลชน ในญี่ปุ่นช่วยกันค้นหาจนเจอตัวคัทซูมิซาโต จนกระทั่งเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คัทซูมิซาโต ก็เดินทาง มาถึงประเทศไทย โดยมีเคอิโงะไปรอรับที่สนามบินสุวรรณภูมิ ที่มา : http://www.kroobannok.com/blog/๒๔๙๘๔ วิธิีการสรุปใจความสำคัญข่าว ใคร เด็กชายเคอิโงะ ซาโต ทำอะไร ตามหาพ่อ ที่ไหน จังหวัดพิจิตร เมื่อไหร่ ช่วงเดือนเมษายน อย่างไร สื่อมวลชนช่วยเหลือประสานงานจนได้พบพ่อ ในเดือนตุลาคม สรุปใจความสำคัญ เด็กชายเคอิโงะ ซาโตตามหาพ่อ นายคัทซูมิ ซาโต ชาวญี่ปุ่นเพียงลำพังที่วัดท่า หลวง จังหวัดพิจิตร หลังจากที่แม่เสียชีวิตในเดือนเมษายนสื่อมวลชนได้ให้ความ ช่วยเหลือประสานงานจนพบนายคัทซูมิและทำให้ พ่อลูกได้เจอกัน


27 คำชี้แจง ให้นักศึกษาอ่านข่าวต่อไปนี้ แล้วตอบคำถาม ไทยเข้ม เฝ้าระวัง "โรคแอนแทรกซ์" จากลาว ติดเชื้อรู้ตัวช้าถึงตายได้วช้าถึงตายได้ กรมปศุสัตว์พบ “โรคแอนแทรกซ์” ในลาว จากการกินเนื้อวัว-ควายดิบ ยกระดับมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันโรค เข้มงวดด่านกักกันสัตว์ตามแนวชายแดนไทย-ลาว ตรวจสอบการลักลอบนำเข้า น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในขณะนี้กรมปศุสัตว์ได้แจ้งเตือน การพบโรคแอนแทรกซ์ ซึ่งเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนในประเทศลาว โดยมีสาเหตุจากการบริโภคเนื้อ โค-กระบือดิบ โดยเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2567 มีรายงานข่าวต่างประเทศว่า พบผู้ป่วยโรคแอนแทรกซ์ 3 รายที่ เมืองสุขุมา แขวงจำปาสัก ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งโรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน โดยโรคนี้มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacillus anthracis) สัตว์ที่เป็นโรคนี้ส่วน ใหญ่เกิดจากการหายใจเอาสปอร์ของเชื้อแบคทีเรียที่ปนเปื้อนอยู่ในดินหรือหญ้าเข้าสู่ร่างกาย หรือจากการกิน น้ำและอาหารที่มีเชื้อปะปนเข้าไป เมื่อเชื้อเข้าตัวสัตว์จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น พร้อมสร้างสารพิษทำให้สัตว์ป่วย และตายในที่สุด ทั้งนี้ ระหว่างสัตว์ป่วย เชื้อถูกขับออกมากับอุจจาระปัสสาวะหรือน้ำนม เมื่อเปิดผ่าซาก เชื้อสัมผัสกับ อากาศจะสร้างสปอร์ทำให้คงทนในสภาพแวดล้อมได้นาน โค กระบือ แพะ และแกะที่ป่วยจะมีอาการ แบบเฉียบพลันคือ จะตายอย่างรวดเร็ว มีเลือดสีดำคล้ำไหลออกตามทวารต่างๆ ซากไม่แข็งตัว สำหรับคนที่ผ่า ซากหรือบริโภคเนื้อสัตว์ป่วยด้วยโรคนี้แบบสุกๆ ดิบๆ จะพบแผลหลุมตามนิ้วมือ แขน หรือช่องปากและมี อาการเจ็บปวดในช่องท้อง โรคนี้ทำให้คนตายได้หากตรวจพบโรคช้า ที่มา https://www.sanook.com/news/9274302 กิจกรรมที่ 4 เรื่อง โรคแอนแทรกซ์


28 วิธิีการสรุปใจความสำคัญข่าว ใคร ………………………………………………………………………………………………………………………….. ทำอะไร ………………………………………………………………………………………………………………………….. ที่ไหน ………………………………………………………………………………………………………………………….. เมื่อไหร่ ………………………………………………………………………………………………………………………….. อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………….. สรุปใจความสำคัญ ………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………….. คะแนนที่ได้……………


29 คำชี้แจง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว โดยทำเครื่องหมายกากบาท ( X ) ทับตัวอักษร ก , ข, ค และ ง หน้าคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว เพลง ร่มสีเทา เพลงโดย วัชราวลี ฉันเฝ้าถามความสุขอยู่ที่ไหน ชายที่เขาเดินผ่านฉันเข้ามา บอกกับฉันขอร่มสักคัน แต่ว่าที่มือเขาก็มีหนึ่งคัน ก็แปลกใจ ท่ามกลางหยดฝนโปรยปราย เขาก็ถามฉันว่าอยากสุขไหม ลองหุบร่มในมือสักพักหนึ่ง และเงยหน้ามองวันเวลา มองหยดน้ำที่มันกระทบตา ยังเปียกอยู่ใช่ไหม หรือไม่มีฝน บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอน ถ้ามองจากตรงนี้ เดี๋ยวก็มืด แล้วก็สว่าง อาจจะมีฝนก่อเป็นพายุ หรือลมลอยปลิวอยู่แค่นั้น สุขที่เคยเดินทางตามหามานาน ไม่ได้ไกลที่ไหน อยู่แค่นี้เอง ยิ้มฉันยิ้มมากกว่าทุกครั้ง สุขที่ฉันตามหามาแสนนาน อยู่ตรงนี้ แค่เพียงเข้าใจ อย่าไปยึด ถือมันและกอดไว้ ก็แค่ร่มเท่านั้น เท่านั้น บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอน ถ้ามองจากตรงนี้ เดี๋ยวก็มืด แล้วก็สว่าง อาจจะมีฝนก่อเป็นพายุ หรือลมลอยปลิวอยู่แค่นั้น สุขที่เคยเดินทางตามหามานาน ไม่ได้ไกลที่ไหน อยู่แค่นี้เอง ฉันเห็นเธอถือร่มผ่านมา เต็มไปด้วยร่องรอย และคราบน้ำตา ฉันได้เห็นแล้วมันปวดใจ ไม่ใช่เพียงแค่เธอที่ทุกข์ ฉันก็เป็นเหมือนเธอ เธอได้ยินไหม อยากขอให้เธอลองโยนร่มที่ถือเอาไว้หนัก แบบทดสอบหลังเรียน แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ บทเพลง บทความ ข่าว จำนวน 10 ข้อ (10 คะแนน) เวลา 10 นาที


30 โยนมันออกไป บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอน ถ้ามองจากตรงนี้ เดี๋ยวก็มืด แล้วก็สว่าง อาจจะมีฝนก่อเป็นพายุ หรือลมลอยปลิวอยู่แค่นั้น สุขที่เคยเดินทางตามหามานาน ไม่ได้ไกลที่ไหน อย่าไปยึด อย่าไปถือ อย่าไปเอามากอดไว้ ก็จะไม่เสียใจ ตลอดชีวิต ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าใคร จะทุกข์ จะสุขแค่ไหน ก็อยู่ที่จะมอง 1. ข้อใดคือจุดมุ่งหมายสำคัญของบทเพลงนี้ ก. เพื่อให้ผู้ฟังตระหนักถึงอาการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่อาจคาดหมายได้ ข. เพื่อให้ผู้ฟังลองสัมผัสกับสายฝนเพื่อให้ได้รับรู้ความสดชื่นที่ได้จากธรรมชาติ ค. เพื่อให้ผู้ฟังได้เปรียบเทียบเหตุการณ์ที่ผู้เขียนเคยประสบกับสิ่งที่ผู้ฟังเคยประสบ ง. เพื่อให้ผู้ฟังได้มองเห็นคุณค่าของบางสิ่งที่หลายครั้งมองข้ามไปเพราะความเคยชิน 2. ประโยคใดกล่าวได้ว่าเป็นใจความสำคัญของเพลงข้างต้น ก. อย่าไปยึด อย่าไปถือ อย่าไปเอามากอดไว้ ก็จะไม่เสียใจตลอดชีวิต ข. สุขที่ฉันตามหามาแสนนานอยู่ตรงนี้ แค่เพียงเข้าใจอย่าไปยึดถือมัน ค. บนท้องฟูาไม่มีอะไรแน่นอนถ้ามองจากครั้งนี้ เดี๋ยวก็มืดเดี๋ยวก็สว่าง ง. เธอได้ยินไหมอยากขอให้เธอลองโยนร่มที่ถือเอาไว้หนัก โยนมันออกไป 3. จากเพลง ร่มสีเทา ผู้แต่งให้ร่มเป็นสัญลักษณ์ของอะไร ก. ความรัก ข. ความทุกข์ ค. ความสุข ง. สิ่งที่ใช้กันฝน อ่านเรื่องที่กำหนดให้ต่อไปนี้ แล้วตอบคำถามข้อ 4 - 6 การทอผ้าเป็นงานศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านในทั่วทุกภาคของประเทศไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ และมักมี เอกลักษณ์เฉพาะของท้องถิ่นที่ทำให้ดูสวยงามและแปลกตาแตกต่างกันไปในทีนี้จะนำศิลปหัตถกรรมการทอผ้า บาง ชนิดที่ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ มาอธิบายเพื่อเป็นตัวอย่าง คือ การทอผ้า ไหม และการ ทอผ้าจก การทอผ้าไหม ผ้าไหมเป็นงานหัตถศิลป์ที่รู้จักกันทั่วโลกด้วยคุณภาพที่มีเอกลักษณ์ใน ความงดงาม และความ คงทนของเนื้อผ้า มีลวดลายและเคล็ดลับวิธีที่แตกต่างกันไปตามแต่ละภาค ผ้าไหม มัดหมี่ เป็น ภูมิปัญญาชาวบ้านภาคอีสาน ที่สั่งสมและถ่ายถอดต่อ ๆ กันมาภายในครอบครัว ผ้าไหมมัดหมี่เป็น ผ้าที่ทอขึ้นจากเส้นใยที่ผ่านการมัดเพื่อสร้างลวดลายก่อนย้อมสีและทอ เวลาย้อมส่วนที่ถูก มัดไว้ก็จะไม่ติดสีจึง ทำให้เกิดลวดลาย ถ้าต้องการหลายสีก็ต้องมัดและย้อมทับหลายครั้ง จนกว่าจะได้สีครบตามต้องการ หลังจากย้อมสีแล้วก็จะแก้เชือกที่มัดออก นำเส้นด้ายกรอเข้ากับหลอด เพื่อทอเป็นผืนผ้าต่อไป การทอผ้า


31 มัดหมี่มีทั้งที่เรียกว่า มัดหมี่ด้ายเส้นยืน มัดหมี่ด้ายเส้นพุ่ง และมัดหมี่ผสม ประเทศไทยมีการทอผ้ามัดหมี่มา เป็นเวลานานแล้ว โดยเฉพาะในภาคอีสานชาวบ้านจะทอผ้ามัดหมี่กันใน หลายท้องที่และสอนต่อ ๆ กันมาใน ครอบครัว เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จ พระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภาคอีสาน ทอดพระเนตรเห็นหญิงชาวบ้านสูงอายุที่มารอรับเสด็จนุ่งผ้าไหม มัดหมี่ที่ผลิตจากชาวบ้าน และทรงตรวจ คุณภาพผ้าไหมพร้อมทั้งพระราชทานคำแนะนำให้ชาวบ้านพัฒนา การทอให้มีคุณภาพดีขึ้น หลังจากนั้นจึง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการฝึกสอนการทอผ้าไหมมัดหมี่ใน ศูนย์ศิลปาชีพ โครง การศิลปาชีพ และกลุ่มศิลปาชีพที่ตั้งขึ้นในที่ต่าง ๆ การทอผ้าจก ผ้าจกเป็นผ้าทอผืนแคบ ๆ อาจทอขึ้นจากฝ้ายหรือไหม หรือ ผสมกันทั้ง 2 อย่างก็ได้ คำว่า “จก” เป็นวิธีการทอผ้าให้เกิดลวดลายขึ้น โดยการใช้ไม้ปลายแหลม หรือขนเม่น งัดซ้อนด้ายยืนขึ้น และใช้ด้ายสีสอดไปตาม รอยซ้อนนั้น การสอดด้ายสีต่าง ๆไปตามรอยงัดซ้อนในจังหวะต่าง ๆ กัน ทำให้เกิดลวดลายคล้ายผ้าปัก ดังนั้นการทอ ผ้าจกจึงเป็นการทอและการจกลายไปพร้อม ๆ กัน ทำลวดลายสอดสลับด้วยไหมหรือ ด้ายสีต่าง ๆ ผ้าชนิดนี้นิยมใช้เป็น ส่วนประกอบตกแต่งผ้าผืนใหญ่ โดยเฉพาะผ้าซิ่น ซึ่งเมื่อประกอบด้วยผ้าจก แล้ว ก็เรียกว่า ผ้าซิ่นตีนจก การทอผ้าจกต้องใช้ความประณีตมาก ผ้าหนึ่งผืนกว่าจะทอเสร็จใช้เวลาหลายเดือน นักวิชาการด้านผ้าจึงมัก จัดให้การทอผ้าจกเป็นสุดยอดของการทอผ้า ศิลปะการทอผ้าจกสืบทอดมาจาก วัฒนธรรมของชาวไทยเชื้อสายลาวพวน ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ดังนั้น จึงถือเป็นต้นแบบของการทอผ้าชนิดนี้ เดิมมักเป็นลายหน้ากระดาน หรือลาย แถบคั่นเป็นชั้น ๆ ต่อมา ได้มีการคิดดัดแปลงเป็นลวดลายและสีสันให้หลากหลายมากขึ้น และจากการสนับสนุนของ มูลนิธิส่งเสริม ศิลปาชีพฯ ในปัจจุบันได้มีการทอผ้าจกเกิดขึ้นหลายจังหวัดในภาคเหนือ เช่น อำเภอแม่แจ่ม จังหวัด เชียงใหม่ และอำเภอลอง จังหวัดแพร 4. เพราะเหตุใดจึงเรียกผ้าไหมชนิดหนึ่งว่า “ผ้าไหมมัดหมี่” ก. เพราะกรรมวิธีการต้มเส้นไหมเป็นกรรมวิธีเดียวกันกับการต้มเส้นหมี่ ข. เพราะเส้นไหมที่นำมาทอเล็ก บาง และกลมคล้ายลักษณะของเส้นหมี่ ค. เพราะความสวยงามของผ้าไหมชนิดนี้เกิดจากเทคนิคการมัดย้อมเส้นไหม ง. เพราะผ้าไหมชนิดนี้มีต้นกำเนิดจากหมู่บ้านมัดหมี่ ทางภาคอีสานของไทย 5. คำว่า “ด้ายเส้นยืน” ในย่อหน้าที่ ๓ หมายถึงสิ่งใด ก. เส้นไหมแนวตั้งที่ใช้เป็นแกนในการทอผ้า ข. เส้นไหมแนวนอนที่ใช้ขัดกับเส้นแนวตั้ง ค. เส้นไหมที่มัดย้อมให้เกิดลวดลายแล้ว ง. เส้นไหมที่ใช้ในการพุ่งเพื่อวัดขนาดผ้า 6. จากข้อความข้างต้นข้อใด สรุปได้ไม่ถูกต้อง ก. การทอผ้าเป็นงานหัตถศิลป์ของภาคเหนือและภาคอีสานของไทย ข. มูลนิธิศิลปาชีพส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวบ้านทอผ้าเป็นอาชีพเสริม ค. การสร้างลายผ้าด้วยเทคนิคการจกต้องอาศัยระยะเวลาในการผลิต ง. มูลนิธิศิลปาชีพมักส่งเสริมให้ชาวบ้านพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพดีขึ้น


32 “คลองรังสิตเป็นคลองที่ขุดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีวัตถุประสงค์แน่ชัดว่า เพื่อใช้เป็นคลองชลประทานในการเกษตรโดยเฉพาะนาข้าว แต่ปัจจุบัน ดูเหมือนว่า คลองรังสิตจะไม่ได้ทำหน้าที่เดิมเต็มที่นัก และริมคลองสองฝั่งโดยเฉพาะในช่วงที่ยังไม่ไกลกิโลเมตรจากถนน พหลโยธินมากเท่าไร ก็มองหาท้องนาไม่ค่อยพบแล้ว” 7. ข้อความนี้มีประโยคใจความสำคัญของตอนใดของเรื่อง ก. ตอนต้น ข. ตอนกลาง ค. ตอนท้าย ง. ไม่ปรากฏประโยคใจความสำคัญ ข่าว ราคายางไม่คุ้มค่าแรง จากการสำรวจของทีมข่าว พบว่า ราคายางในปัจจุบัน กก.ละประมาณ 50 บาท ไม่คุ้มกับค่าแรงที่ แรงงานได้รับ โดยเฉพาะแรงงานรับจ้างกรีดยางพาราซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวพม่า ทำให้แรงงานดังกล่าวทยอย เดินทางกลับประเทศ และจะกลับมารับจ้างกรีดอีกครั้งหากราคายางฯ กก. ละ 80 บาทขึ้นไปขณะที่ แรงงานคนไทย หันไปรับจ้างทำงานภาคการก่อสร้าง ซึ่งได้รับค่าแรงวันละ 300 บาท มากกว่ารับจ้างกรีดยาง ทำให้ขณะนี้สวนยางพาราหลายแห่งถูกปล่อยทิ้งไว้เกษตรกรสวนยางจึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้อง เร่งรัดช่วยเหลือ ราคายางพาราที่ตกต่ำเวลานั้นซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดมากกว่าการช่วยเหลือด้วยแนวทางอื่น ๆ ไทยพีบีเอสนิวส์ 8. จากข่าวข้างต้นนักเรียนคิดว่าเป็นปัญหาที่เกิดในการประกอบอาชีพใด ก. สวนปาลม์ ข. สวนยางพารา ค. นายหน้าค้าแรงงาน ง. ทาไรทำนา 9. ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากสาเหตุใดเป็นหลัก ก. ราคายางพาราตกต่ำเหลือกิโลกรัมละ 50 บาท ข. ราคายางพาราตกต่ำเหลือกิโลกรัมละ 80 บาท ค. แรงงานไทยไม่นิยมรับจ้างทำสวนยางพารา ง. แรงงานพม่ากลับประเทศ 10. ทำไมเกษตรกรชาวสวนยางจึงไม่จ้างแรงงานไทยแทนแรงงานพม่า ก. แรงงานไทยนิยมทำประมง ข. แรงงานไทยนิยมทำงานก่อสร้าง ซึ่งมีรายได้ดีกว่า ค. คนไทยนิยมทำสวนทำนาของตัวเอง ง. แรงงานไทยไม่กล้าไปกรีดยางเนื่องจากเกิดปัญหาความไม่สงบ


33 เฉลย แบบทดสอบก่อนเรียน กิจกรรมที่ 1 เรื่อง พิชิตคำถาม กิจกรรมที่ 2 เรื่อง เรารักแม่ กิจกรรมที่ 3 เรื่อง ตำลึง กิจกรรมที่ 4 เรื่อง โรคแอนแทรกซ์ แบบทดสอบหลังเรียน


34 1. คำว่า ดอกหญ้า ในเพลงหมายถึงใคร ตอบ ผู้หญิงสาวต่างจังหวัดมาทำงานในเมืองหลวง 2. ป่าปูน ในเพลงหมายถึงที่ไหน ตอบ ในเมืองหลวง 3. ข้อความที่ขีดเส้นใต้หมายถึงที่ไหน อยู่บนสวรรค์แต่เป็นคนชั้นติดดิน ตอบ เมืองหลวง 4. “จะสวมมงกุฎดอกหญ้าถ่ายรูปปริญญาหวนมาบ้านเรา” คำว่า หวนมา หมายถึงอะไร ตอบ กลับมา 5. เนื้อหาของเพลงต้องการสะท้อนให้เห็นสิ่งใด ตอบ ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความพยายามต่อสู้กับอุปสรรค เพื่อความสำเร็จ เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน 1. ง 2. ข 3. ข 4. ค 5. ก 6. ก 7. ก 8. ข 9. ก 10 ข เฉลยกิจกรรมที่ 1 เรื่อง พิชิตคำถาม


35 1. คำว่า “ใครสักคนที่ทนทุกเวลา” นักศึกษาคิดว่าหมายถึงใครในเพลงนี้เพราะเหตุใดจึงทนทุกตลอดเวลา ตอบ หมายถึง แม่ เพราะ แม่เป็นผู้หญิงที่มีความอดทนสูง แม้ว่าสิ่งที่ลูกทำนั้นจะหนักหนาแค่ไหน หรือทำ ให้แม่เสียใจมากเพียงใด แม่ก็ทนได้เพื่อลูก 2. จากเนื้อเพลงนี้ผู้แต่งกล่าวถึงเรื่องใด ตอบ ความรักที่แม่มีต่อลูก และความรักของลูกที่มีต่อแม่เช่นกัน 3. นักศึกษาอ่านเนื้อเพลงแล้วมีความรู้สึกอย่างไรกับเนื้อเพลงนี้ ตอบ รู้สึกรักแม่ เพราะแม่คอยอบรมสั่งสอน คอยดูแล และให้อภัยเสมอแม้ว่าเราจะเคยทำผิดพลาดก็ตาม แม่ ก็ยังคงรักและหวังดีต่อเราเสมอ 4. คำว่า “ถ้ามีใครสักคนแอบไปร้องไห้อย่างน้อยใจ เมื่อเราทำเป็นเหมือนรำคาญ” จากข้อความนี้นักศึกษา คิดอย่างไร ตอบ บางครั้งแม่อาจจะน้อยใจ ที่เราไม่สนใจ ไม่มีเวลาให้ ดังนั้นเราควรที่จะดูแลเอาใจใส่แม่เหมือนที่แม่รัก และคอยดูแลเราตลอดมา 5. จากเนื้อเพลงนี้นักศึกษาคิดว่า แม่มีความรักกบลูกทุกคนหรือไม่ เพราะเหตุใด ตอบ แม่มีความรักและความหวังดีให้กับลูกๆเสมอ คอยส่งเสริมเมื่อลูกๆประสบความสำเร็จ ให้กำลังใจ และ ให้อภัยเมื่อลูกทำผิดพลาด 1. เหตุใดคนไทยจึงนิยมรับประทานตำลึง ตอบ เพราะตำลึงเป็นผักพื้นบ้านที่นิยมรับประทานกันมานาน หาง่าย เพราะส่วนใหญ่จะมีอยู่ ตามธรรมชาติ ครั้นจะปลูกก็ง่าย ดูแลไม่ยาก นอกจากนั้นตำลึกผักพื้นบ้านมีประโยชน์ทางยา สามารถ ต้านโรคมะเร็งได้ 2. คุณสมบัติพิเศษของตำลึงคืออะไร ตอบ มีรสหวาน อร่อย และมีกลิ่นหอม ประกอบอาหารได้หลายอย่าง มีสารเบต้า-แคโรทีน ที่ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ มีสารต้านมะเร็ง รักษาโรคหัวใจได้ เฉลยกิจกรรมที่ 2 เรื่อง เรารักแม่ เฉลยกิจกรรมที่ 3 เรื่อง ตำลึง


36 3. การรับประทานตำลึงนอกจากมีประโยชน์แล้ว ยังมีส่วนสนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง อย่างไร ตอบ ทำให้เราประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดเงิน สนับสนุนพื้นผักพื้นบ้าน 4. เราสามารถรับประทานตำลึงเพื่อทดแทนสิ่งใดได้บ้าง ตอบ ทดแทนเบต้า-แคโรทีน วิตามินเอ 5. ถ้าคนในสังคมหันมารับประทานตำลึงและปลูกตำลึงรับทานเองจะเป็นผลดีอย่างไรบ้าง ตอบ มีผลดีมาก เพราะนอกจากจะทำให้เกิดประโยชน์โดยตรงต่อร่างกาย แล้วยังเป็นการประหยัดสอดคล้อง กับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงอีกด้วย เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน 1. ง 2. ข 3. ข 4. ค 5. ก 6. ก 7. ก 8. ข 9. ก 10 ข


Click to View FlipBook Version