โคลงโคลงโคลงโขลง่ โขล้ง โคลงโคลง
โคลงโขล่งโคลงโคลงโขลง โคล่งโคล้ง
โขลงโคลงโคล่งโคลงโคลง โคลงโคลง่
โคลงโขล่งโขลงโคลงโคล้ง โขล่งโคล้งโคลงโขลง
(เหนือฝ่ังมหานที : เพ็ญ ภคั ตะ)
การใชศ้ าสตร์และศลิ ป์
ในการอา่ นทานองเสนาะ
ทานอง
การอา่ นทานองเสนาะแบง่ ทานองไดเ้ ป็ น ๒ ประเภท
๑. ทานองเฉพาะของคาประพนั ธแ์ ตล่ ะประเภท คอื กลอน กาพย์
โคลง รา่ ย และฉนั ท์ มลี กั ษณะแตกตา่ งกนั ผอู้ า่ นจงึ ควรจา
ทานองของคาประพนั ธ์โดยหาบทตน้ แบบไว้
๒. ทานองหลากลลี า หมายถงึ การใชท้ ว่ งทานองอนื่ ๆ ใสใ่ น
คาประพนั ธ์ เชน่ ทานองเพลงไทยเดมิ แหล่ ทานองสวด
ทานอง เพลงพ้ืนบา้ น เสภา หนุ่ กระบอก และเหเ่ รอื
เป็ นตน้
กลอน
บดั เดยี๋ วดงั /หงา่ งเหงง่ /วงั เวงแวว่ สะดงุ้ แลว้ /เหลียวแล/ชะแงห้ า
เห็นโยค/ี ขรี่ งุ้ /พงุ่ ออกมา ประคองพา/ขน้ึ ไปจน/บนบรรพต
แลว้ สอนวา่ /อยา่ ไว/้ ใจมนุษย์ มนั แสนสดุ /ลกึ ลา้ /เหลือกาหนด
ถงึ เถาวลั ย์/พนั เกีย่ ว/ทเี่ ลีย้ วลด ก็ไมค่ ด/เหมอื นหนึ่งใน/น้าใจคน
(พระอภยั มณี)
กาพย์ยานี ๑๑
ระฆงั /ดงั หงา่ ง ๆ ฆอ้ งใหญก่ วา้ ง/ครางหงึ่ ๆ
กลองหนงั /ดงั ตงึ ๆ ตกี ระดงึ /ดงั กรงิ่ ๆ
นกั เลง/รอ้ งเพลงพลาง ตรงหน้าตา่ ง/ไขวห้ า้ งหยงิ่
เอาหลงั /น่งั เอยี งองิ มอื ถือฉิ่ง/ตดี งั ๆ
(ประถม ก กา ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาต)ิ
กาพย์สรุ างคนางค์ ๒๘
มดี ารากร วนั นน้ั จนั ทร
เห็นสน้ิ ดนิ ฟ้ า เป็ นบรวิ าร
มาลคี ลีบ่ าน ในป่ าทา่ ธาร
ใบกา้ นอรชร
ชืน่ ชะผกา
สารพนั จนั อนิ เย็นฉ่าน้าฟ้ า
แตนตอ่ คลอรอ่ น วายพุ าขจร
รนื่ กลนิ่ เกสร
วา้ วอ่ นเวียนระวนั
กาพยเ์ ร่ือง พระไชยสุริยา
คาประพนั ธท์ ปี่ รากฏแบบเรียนวรรณคดลี านา
และภาษาพาทใี นชน้ั ประถมปี ที่ ๑-๓
กลอน
- กลอนสี่
- กลอนสภุ าพ
- กลอนสกั วา
- กลอนดอกสรอ้ ย
กาพย์
- กาพยย์ านี ๑๑
- กาพย์สรุ างคนางค์ ๒๘
ฉนั ท์
- วชิ ชุมมาลาฉนั ท์
การใช้ศิลปะในการอ่านทานองเสนาะ
• การเอื้อนเสยี ง เปลง่ เสยี งจากลาคอเป็ นทานองโดยไมเ่ ป็ นเน้ือรอ้ งเพอื่ ให้
ครบจงั หวะหรอื เต็มตามทานองเพลง
• การทอดเสยี ง อา่ นหรอื เออื้ นเสยี งใหย้ าวกวา่ ปกติ สว่ นมากมกั ทอดเสยี ง
วรรคสดุ ทา้ ยตอนจบของคาประพนั ธ์
• การหลบเสยี ง โดยการหกั เหใหพ้ ลกิ กลบั จากเสยี งสงู ลงมาเป็ นตา่ หรือ
จากเสยี งตา่ ขนึ้ ไปเป็ นเสยี งสงู
การใช้ศิลปะในการอ่านทานองเสนาะ
• การคร่นั เสยี ง โดยทาเสยี งสะดดุ สะเทอื นใหเ้ สยี งส่นั หรือมีลูกคอ เกดิ จาก
การทกี่ ลา้ มเนื้อในกลอ่ งเสยี งเคลือ่ นไหวเป็ นเสยี งพลวิ้ ขน้ึ ลงเป็ นคลืน่
• การครวญเสยี ง เป็ นการทาเสยี งใหฟ้ งั ดเู ศรา้ ครวญคร่า อาลยั อาวรณ์
ควรอา่ นออกเสยี งชา้
• การกระแทกเสยี ง โดยการอา่ นกระชากเสยี งใหด้ งั ผดิ ปกตใิ นโอกาสที่
แสดงความโกรธหรือความไมพ่ อใจหรอื เมอื่ ตอ้ งการเน้นเสยี ง
ตวั อยา่ งการใชศ้ ลิ ปะในการอา่ น
ลกู ก็แลดแู มแ่ มด่ ลู กู ตา่ งพนั ผกู เพียงวา่ เลือดตาไหล
สะอน้ื ร่าอาลาดว้ ยอาลยั แลว้ แขง็ ใจจากนางตามทางมา
ถงึ หน้าวงั ดงั หนึ่งใจจะขาด คดิ ถงึ บาทบพติ รอดศิ ร
โอผ้ า่ นเกลา้ เจา้ ประคณุ ของสนุ ทร แตป่ างกอ่ นเคยเฝ้ าทกุ เชา้ เยน็
การใชศ้ าสตร์ในการอา่ นทานองเสนาะ
จงั หวะ
ระยะทสี่ ม่าเสมอหรือระยะทกี่ าหนดไวเ้ ป็ นตอน
สาหรบั หยดุ เสยี งระยะสน้ั
คาประพนั ธ์แตล่ ะประเภทแบง่ จงั หวะเป็ นวรรค ๆ
อา่ นแตกตา่ งกนั ไป
การใชศ้ าสตร์ในการอา่ นทานองเสนาะ
การใชศ้ าสตร์ในการอา่ นทานองเสนาะ
จงั หวะ
การใช้ศิลปะในการอ่านทานองเสนาะ
รสถอ้ ย รสภาพ
รสความ รสคลอ้ งจอง
รสทานอง
ฝึ กอา่ นบทอาขยานใหไ้ พเราะ