The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by AKKAPHON KLACHANCHAI, 2024-01-20 04:11:03

โครงร่างวิจัยในชั้นเรียน

บทที่ ๑-๓

ก การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการอ่านและการเขียนสะกดค า ที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี อรรคพล กล้าชาญชัย งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ๒๕๖๖


จ การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการอ่านและการเขียนสะกดค า ที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี นายอรรคพล กล้าชาญชัย รหัสนักศึกษา ๖๒๑๐๐๑๐๑๑๒๑ งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ๒๕๖๖


ข ชื่อเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการอ่านและ การเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้ สมองเป็นฐาน (BBL) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ผู้วิจัย นายอรรคพล กล้าชาญชัย อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์จรรยวรรณ เทพศรีเมือง ครูพี่เลี้ยง นางสาวธิดาวัฒน์ สง่าศรี ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย ปีการศึกษา ๒๕๖๖ บทคัดย่อ งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการอ่านและการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนอนุบาล อุดรธานี จังหวัดอุดรธานีจ านวน ๔๒ คน ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านและการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา จ านวน ๕ แผนการเรียนรู้ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระ (t-test Dependent) ผลการวิจัยพบว่า


จ กิตติกรรมประกาศ


ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ..................................................................................................................................... ก กิตติกรรมประกาศ………………………………………………………………………………………………………….. ข สารบัญ............................................................................................................................. .......... ค สารบัญตาราง…………………………………………............................................................................. ฉ สารบัญภาพ………………………………………………………………………………………………………….………. ช บทที่ ๑ บทน า............................................................................................................................ ๑.๑ ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา........................................................................ ๑.๒ วัตถุประสงค์ของการวิจัย…………………………………………………………………….................. ๑.๓ สมมติฐานของการวิจัย……………………………………………………………….……………………… ๑.๔ ขอบเขตการวิจัย……………………………………………………………………………………………….. ๑.๕ นิยามศัพท์เฉพาะ………………………………………………………………………………………………. ๑.๖ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ............................................................................................. บทที่ ๒ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง........................................................................................... ๒.๑ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑.......................................... ๒.๑.๑ ความส าคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย............................................ ๒.๑.๒ คุณภาพของนักเรียน………………………………………………………………………….. ๒.๑.๓ สาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้..................................................... ๒.๑.๔ สาระการเรียนรู้หลักการใช้ภาษาไทย.......................................................... ๒.๒ การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain Based Learning)................................... ๒.๒.๑ หลักการส าคัญของการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน........................................ ๒.๒.๒ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ที่ดีตามแนวสมองเป็นฐาน.................................... ๒.๒.๓ ขั้นตอนการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน......................................................... ๒.๒.๔ แนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน............................................. ๒.๒.๕ สื่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน...................................................... ๒.๓ มาตราตัวสะกด............................................................................................................... ๒.๓.๑ การอ่านค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา............................................................. ๒.๓.๒ การเขียนค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา........................................................... ๒.๔ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน.................................................................................................. ๒.๔.๑ ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน.............................................................


ง สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า ๒.๔.๒ องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน..................................... ๒.๔.๓ การวัดพฤติกรรมทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัยหรือสติปัญญา....................... ๒.๔.๔ เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย............................................. ๒.๕ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง......................................................................................................... ๒.๕.๑ งานวิจัยด้านการสอนเกี่ยวกับมาตราตัวสะกด.............................................. ๒.๕.๒ งานวิจัยด้านภาษาไทยที่เกี่ยวกับ BBL.......................................................... บทที่ ๓ วิธีด าเนินการวิจัย...............................................…………………………….......................... ๓.๑ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง............................................................................................ ๓.๒ แบบแผนการวิจัย........................................................................................................... ๓.๓ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย............................................................................................... ๓.๔ การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ.................................................................. ๓.๕ การเก็บรวบรวมข้อมูล.................................................................................................. ๓.๖ การวิเคราะห์ข้อมูล....................................................................................................... ๓.๗ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล...................................................................................... บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล..................................................................................................... ๔.๑ สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล.......................................................... ๔.๒ ล าดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล........................................................... ๔.๓ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล..................................................................................................... บทที่ ๕ สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ............................................................................. ๕.๑ วัตถุประสงค์ของการวิจัย............................................................................................... ๕.๒ สมมติฐานของการวิจัย................................................................................................... ๕.๓ สรุปผลการวิจัย.............................................................................................................. ๕.๔ อภิปรายผลการวิจัย....................................................................................................... ๕.๕ ข้อเสนอแนะ.................................................................................................................. บรรณานุกรม.............................................................................................................................. ภาคผนวก


จ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า


ฉ สารบัญตาราง เรื่อง หน้า


ช สารบัญภาพ เรื่อง หน้า


๑ บทที่ ๑ บทน า ๑.๑ ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีความส าคัญอย่างยิ่งในการติดต่อสื่อสารของคนไทย และภาษาไทยยัง เป็นวิชาพื้นฐานของการศึกษาที่ท าให้นักเรียนสามารถต่อยอดน าทักษะความรู้ไปใช้ในการเรียนรู้ใน รายวิชาต่าง ๆ ภาษาไทยจึงถือได้ว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยอันทรงคุณค่าที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังเป็นสื่อแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณีและ สุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ าค่าควรแก่การเรียนรู้ ดังนั้นควรมีการปลูกฝังให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะด้าน การอ่านและการเขียนภาษาไทยที่ถูกต้อง เพื่อเป็นการอนุรักษ์และสืบสานภาษาไทยให้คงอยู่สืบไป กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๕๑) การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้ก าหนดให้สาระการเรียนรู้ภาษาไทยเป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ต้องฝึกฝนให้เกิด ความช านาญ ในด้านการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อสามารถน าไปใช้ ในชีวิตจริง โดยได้บรรจุวิชาภาษาไทยเป็นวิชาทักษะพื้นฐานแห่งการเรียนรู้ ประกอบไปด้วย ๕ สาระการ เรียนรู้คือ ๑) สาระการอ่าน ๒) สาระการเขียน ๓) สาระการฟัง การดู และการพูด ๔) สาระหลักการใช้ ภาษา และ ๕) สาระวรรณคดีและวรรณกรรม กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๕๑) ทักษะการอ่านและการเขียน ยังเป็นหนึ่งในสาระการเรียนรู้ที่ นักเรียนจ าเป็นจะต้องศึกษา ซึ่งสาระที่ ๑ การอ่าน จะอยู่ในมาตรฐานการเรียนรู้ท ๑.๑ และสาระที่ ๒ การเขียน จะอยู่ใน มาตรฐานการเรียนรู้ ท ๒.๑ เป็นหลักสูตรที่นักเรียนต้องได้เรียนรู้ตั้งแต่ระดับ ประถมศึกษาปีที่ ๑ จนถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ทั้งสองทักษะเป็นทักษะที่มนุษย์ทุกคนต้องใช้ในการ สื่อสารกันใน ชีวิตประจ าวัน โดยทักษะด้านการอ่านเป็นทักษะในขั้นแรกที่มีความส าคัญต่อชีวิตของมนุษย์ เราเป็น อย่างมาก การอ่านจะช่วยให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ทางสมอง โดยทักษะการอ่านเป็นทักษะ ส าคัญที่ ช่วยขยายประสบการณ์ในการเรียนรู้ของมนุษย์ ทั้งยังช่วยให้สามารถใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ นอกจากนี้ทักษะการอ่านยังได้รับการยอมรับว่าเป็นสิ่งแรกที่น าไปสู่ความส าเร็จในด้านการเรียนของ นักเรียน ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการอ่านเป็นสิ่งแรก อาจกล่าวได้ว่า หากนักเรียนอ่าน หนังสือ ไม่ออก อ่านช้า อ่านสะกดค าไม่ได้ ขาดความเข้าใจในเนื้อหาที่อ่าน และไม่สามารถจดจ า เรื่องราว ที่อ่าน ได้ ย่อมส่งผลท าให้การเรียนรู้ในรายวิชาต่าง ๆ ไม่ได้ตรงตามผลสัมฤทธิ์ที่ตั้งไว้ไปด้วย ฉะนั้นการอ่านจึง เป็นบันไดขั้นแรกที่น าไปสู่ความส าเร็จอีกหลาย ๆ ด้าน


นอกจากทักษะทางด้านการอ่านที่ส าคัญแล้ว ทักษะการเขียนก็มีความส าคัญเช่นเดียวกัน เพราะการเขียนที่ถูกต้องก็จะท าให้การสื่อสารระหว่างผู้เขียนและผู้อ่านมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น โดย ทักษะการเขียนเป็นหนึ่งในทักษะที่มนุษย์ทุกคนต้องใช้ในการติดต่อสื่อสารกันในชีวิตประจ าวัน จึงจ าเป็น ที่จะต้องมีการฝึกฝนเพื่อให้เกิดความช านาญและมีประสิทธิภาพในการใช้ภาษาเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยทักษะ การเขียนถือได้ว่าเป็นทักษะการสื่อสารที่มีวิธีการที่ยากและมีความซับซ้อนกว่า ทักษะในด้านอื่น ๆ เพราะ การเขียนจะช่วยให้ผู้ส่งสารสามารถถ่ายทอดความเข้าใจ ความรู้สึกนึกคิด รวมไปถึงจินตนาการออกมา ทางการเขียนเพื่อสื่อความหมายให้ผู้อื่นได้เข้าใจ การเขียนจึงเป็น เครื่องมือในการสื่อความหมายที่คงทน ถาวร เป็นลายลักษณ์อักษร และยังเป็นหลักฐานที่ดีกว่าทักษะ ด้านอื่น ทักษะการเขียนใช้เป็นเครื่องมือใน การถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมที่ส าคัญ ที่ช่วยให้คนรุ่นหลังทราบความเป็นมาของอดีตจนถึงปัจจุบัน การเขียนนับเป็นการสื่อสารที่มีวิธีการที่ซับซ้อนกว่าทักษะอื่น เพราะผู้ที่มีความสามารถทางด้านการฟัง พูด อ่าน ได้ดีจึงจะช่วยให้สามารถถ่ายทอด ความเข้าใจ ความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการผ่านตัวอักษรเพื่อ สื่อความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจ ฉะนั้น ผู้เขียนจึงต้องพยายามเขียนค าให้ถูกต้อง และใช้ภาษาที่ถูกต้องจึงจะ เรียกได้ว่าเป็นการเขียนที่มี ประสิทธิภาพ ในการเขียนนอกจากต้องค านึงถึงเนื้อความตามวัตถุประสงค์ ส านวนภาษาที่สละสลวย ถูกต้องตามหลักภาษาแล้ว ยังต้องค านึงถึงการสะกดค าด้วย เพราะการเขียน สะกดค าที่ถูกต้อง นอกจากจะท าให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย และรวดเร็วแล้วยังช่วยให้ผู้เขียนเกิดความมั่นใจใน ตนเองทุกครั้ง ที่เขียน จากที่ผู้วิจัยได้ศึกษาพบว่า ปัญหาการอ่านและเขียนที่ส าคัญในระดับชั้นประถมศึกษา คือ การอ่านและการเขียน โดยเฉพาะเรื่องการสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตราซึ่งพบปัญหาหลายประการ จาก การได้เก็บรวบรวมปัญหาจากการเขียนในแบบฝึกทักษะภาษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔/๑๐ ใน ชั่วโมงการเรียนการสอนในรายวิชาภาษาไทย ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ ท าให้เห็นว่านักเรียนมี ปัญหาในการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด โดยนักเรียนส่วนใหญ่จะเขียนตามการอ่านออก เสียง ปัญหาการอ่านออกเสียงที่ไม่ถูกต้องก็ส่งผลท าให้การเขียนสะกดค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตราไม่ ถูกต้องตามไปด้วย อีกทั้งปัญหาที่เกี่ยวกับการจ า ตัวสะกดในมาตราตัวสะกด มาตรากน มาตรากก มาตรา กดและมาตรากบไม่ได้ จึงท าให้นักเรียนไม่สามารถอ่านและเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตราได้ถูกต้อง ในด้านกรอบคิดทางการศึกษาที่ผู้วิจัยจะน ามาใช้ในการแก้ไขปัญหาการอ่านและการเขียนสะกด ค า ที่ไม่ตรงตามมาตรา คือ การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน หรือ BBL ซึ่งเป็นเทคนิคที่น าความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของสมองและการท างานของสมอง มาใช้เป็น เครื่องมือในการออกแบบการ จัดการเรียนการสอน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับภาวการณ์ พัฒนาของสมอง ซึ่งท าให้นักเรียนมี ความสามารถสูงสุดเต็มศักยภาพของแต่ละคน เพื่อให้สมองเรียนรู้ ได้ดีนั้นขึ้นอยู่กับ


อารมณ์เป็นส าคัญ ดังนั้นจึงควรสร้างบรรยากาศเชิงบวกในชั้นเรียน เพื่อจะได้กระตุ้น ให้นักเรียนเกิดความ สนใจในสิ่งที่เรียน สร้างบรรยากาศที่ท้าทาย ยั่วยุให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างสนุกสนาน ทั้งนี้ต้อง ค านึงถึงความสามารถในการเรียนรู้ของสมองและพัฒนาการตามวัยของแต่ละคนด้วย ทิศนา แขมมณี(๒๕๕๖) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน หรือ BBL (Brain Based Learning) เป็นการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน ท าให้มีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าสอนแบบ ปกติ เพราะการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน หรือ BBL (Brain Based Learning) ท าให้นักเรียนมี คะแนนผลสัมฤทธิ์และความพึงพอใจหลังเรียนสูงกว่าการจัดการเรียนรู้แบบปกติ เพราะการใช้รูปแบบการ สอนที่มีการพัฒนากระบวนการสอน โดยใช้แนวคิดและทฤษฎีที่เหมาะสมกับธรรมชาติของวิชาและ นักเรียนผ่านกระบวนการที่เชื่อมโยงกัน และได้รับการฝึกฝนอย่างถูกวิธีช่วยให้นักเรียนพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนได้ดีดังนั้น เมื่อได้เรียนวิชาภาษาไทยตามรูปแบบการสอนที่มุ่งเน้นให้นักเรียน คลายสมอง ด้วยกิจกรรมผ่อนคลาย กิจกรรมบันเทิงต่าง ๆ เช่น เกม การ์ตูน เพลง นั่งสมาธิการบริหารสมอง (Brain gym) จึงท าให้นักเรียนเกิดสมาธิผ่อนคลาย สามารถรับรู้ได้เต็มประสิทธิภาพ จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่ากระบวนการสอนมีบทบาทเป็นอย่างมากในการเรียน การสอน ในยุคปัจจุบัน การพัฒนาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพระหว่างนักเรียนกับผู้สอนนั้นท าให้มีความเข้าใจใน บทเรียนมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการอ่านและการเขียน สะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีจึงเป็นการพัฒนาทักษะทางด้านการอ่าน และการเขียนในครั้งนี้จะใช้วิธีการประเมินนักเรียน โดยการวัดประเมินผลก่อนเรียนและหลังเรียน ๑.๒ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๑. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการอ่านและการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรง ตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๒. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๔ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ที่ได้รับการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่าน และการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ด ด ด


๑.๓ สมมติฐานการวิจัย ๑. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔/๑๐ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี กลุ่มตัวอย่างจ านวน ๔๒ คน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ในการอ่านและการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตราโดยใช้ การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๒. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔/๑๐ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี กลุ่มตัวอย่างจ านวน ๔๒ คน มีคะแนนหลังเรียนที่สูงกว่าก่อนเรียน ๑.๔ ขอบเขตการวิจัย ๑.๔.๑ ประชากร กลุ่มประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จ านวน นักเรียนทั้งหมด ๔๘๔ คน จ านวน ๑๒ ห้อง โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา ๒๕๖๖ ๑.๔.๒ กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔/๑๐ โรงเรียนอนุบาล อุดรธานี อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จ านวนนักเรียนทั้งหมด ๔๒ คน ๑.๔.๓ ตัวแปรที่ศึกษา ๑) ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้การอ่านและการเขียน เรื่อง การอ่านและ การเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ๒) ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียน อนุบาลอุดรธานีที่เรียนวิชาภาษาไทย ในการอ่านและการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้การ จัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ๑.๔.๔ ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย คือ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ ๑.๔.๕ เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาสาระของการวิจัยครั้งนี้คือ เนื้อหาวิชาภาษาไทย ในการอ่านและการเขียน สะกดค าที่ไม่ ตรงตามมาตรา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้จ านวน ๕ แผน ดังนี้


๑.๔.๕ เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาสาระของการวิจัยครั้งนี้ คือ เนื้อหาวิชาภาษาไทย ในการอ่านและการเขียน สะกด ค าที่ไม่ตรงตามมาตรา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้จ านวน ๕ แผน ดังนี้ แผนที่ ๑ ค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดแม่กน แผนที่ ๒ ค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดแม่กก แผนที่ ๓ ค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดแม่กบ แผนที่ ๔ ค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดแม่กด ๑ แผนที่ ๕ ค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดแม่กด ๒ ๑.๕ นิยามศัพท์เฉพาะ ๑. ค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา หมายถึง ค าที่มีตัวสะกดหลายตัวในมาตราตัวสะกดเดียวกัน และออกเสียงเหมือนตัวสะกดเดียวกัน ในที่นี้คือ ค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตราในหนังสือเรียนรายวิชา พื้นฐานภาษาไทย ภาษาพาที ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ฉบับกระทรวงศึกษาธิการ ๒. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔/๑๐ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี กลุ่มตัวอย่าง จ านวน ๔๒ คน ที่เรียนการอ่านและการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมอง เป็นฐาน (BBL) ๓. ค่าประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ หมายถึง การหาประสิทธิภาพของบทเรียนจากการใช้ การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ตัวเลข ๘๐ ตัวแรก หมายถึง คะแนนเฉลี่ยจากการท ากิจกรรม ระหว่างเรียนของนักเรียน โดยคิดเป็นค่าไม่ต่ ากว่าร้อยละ ๘๐ ส่วนตัวเลข ๘๐ ตัวหลัง หมายถึง คะแนน เฉลี่ย จากการท าแบบทดสอบหลังเรียนของนักเรียน โดยคิดเป็นค่าไม่ต่ ากว่าร้อยละ ๘๐ ๔. การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (BBL) หมายถึง การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้น นักเรียนเป็นส าคัญ และมีความสอดคล้องกับเรื่องสมองและการท างานของสมองมาใช้ในการจัด กระบวนการเรียนรู้ ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมระหว่างครูผู้สอนและนักเรียน การจัดสิ่งแวดล้อมภายใน ห้องเรียนการออกแบบและการใช้สื่อมาประกอบในการเรียนการสอน เพื่อท าให้เกิดการเรียนรู้ต่าง ๆ และ นักเรียนสามารถเรียนรู้ผ่านการท างานของสมองได้อย่างเต็มตามศักยภาพของสมองที่เกิดขึ้นในห้องเรียน โดยมีล าดับขั้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วย ๕ ขั้นตอน ดังนี้


๑๐๙ ๑. ขั้นกิจกรรมบริหารสมอง (Brain Gym/Brain Break) เป็นขั้นน าเข้าสู่บทเรียน โดยการใช้ กิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวาให้การ ท างานของสมองทั้งสองส่วนมีความสัมพันธ์กัน ก่อนการเริ่ม เข้าสู่บทเรียน ๒. ขั้นน าเสนอข้อมูลความรู้ (Present) เป็นขั้นที่ผู้สอนน าเสนอความรู้ แนะน า ความรู้ให้แก่ นักเรียน โดยผู้สอนอาจจะใช้บัตรค า หรือสื่อการสอนต่าง ๆ เข้ามาช่วยในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้การจัดการ เรียนการสอนมีประสิทธิภาพและดึงดูดความสนใจของนักเรียน ในขั้นนี้ผู้สอนจะเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ นักเรียน ๓. ขั้นลงมือเรียนรู้ ฝึกท า และฝึกฝน (Learn-Practice) ในขั้นนี้นักเรียนจะได้ลงมือ ปฏิบัติ ด้วยตนเอง หลังจากที่ได้รับความรู้จากผู้สอนแล้ว ในขั้นนี้อาจจะเป็นการน ากิจกรรม มาช่วยให้นักเรียนได้ลง มือปฏิบัติด้วยตนเอง เพื่อเป็นการทดสอบความรู้และความเข้าใจ ๔. ขั้นสรุปความรู้ (Summary) ในขั้นที่ ๔ เป็นขั้นสรุปความรู้หลังจากที่ได้เรียนในขั้นนี้ผู้สอน อาจจะท าใบงานหรือแบบฝึกหัดมาช่วยการจัดกระบวนการเรียนรู้การให้นักเรียนได้ท าใบงานหรือแบบฝึกหัด จะท าให้นักเรียนได้ฝึกฝนและทบทวนความรู้ที่ได้ เรียนมาในขั้นที่ ๒ และขั้นที่ ๓ ๕. ขั้นประยุกต์ใช้ความรู้ (Apply) เป็นขั้นที่ประยุกต์เรื่องที่เรียนน าไปใช้ปฏิบัติจริง ๑.๖ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ๑. การอ่านและการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ในงานวิจัยนี้มีประสิทธิภาพและสามารถใช้เป็นสื่อการเรียนวิชาภาษาไทยที่ช่วยให้นักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้นได้ ๒. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาที่ได้รับการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย ในการอ่านและการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) เพิ่มขึ้นทั้ง ก่อนเรียนและหลังเรียน


บทที่ ๒ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการอ่านและการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตาม มาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนอนุบาล อุดรธานี จังหวัดอุดรธานีมีเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๒.๑ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ๒.๑.๑ ความส าคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ๒.๑.๒ คุณภาพนักเรียน ๒.๑.๓ สาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้ ๒.๑.๔ สาระการเรียนรู้หลักการใช้ภาษาไทย ๒.๒ การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain Based Learning) ๒.๒.๑ หลักการส าคัญของการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ๒.๒.๒ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ที่ดีตามแนวสมองเป็นฐาน ๒.๒.๓ ขั้นตอนการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ๒.๒.๔ แนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ๒.๒.๕ สื่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ๒.๓ มาตราตัวสะกด ๒.๓.๑ การอ่านค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา ๒.๓.๒ การเขียนค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา ๒.๔ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๒.๔.๑ ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๒.๔.๒ องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๒.๔.๓ การวัดพฤติกรรมทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัยหรือสติปัญญา ๒.๔.๔ เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย ๒.๕ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๒.๕.๑ งานวิจัยด้านการสอนเกี่ยวกับมาตราตัวสะกด ๒.๕.๒ งานวิจัยด้านภาษาไทยที่เกี่ยวกับ BBL ๒.๑ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ได้ ก าหนดเป็นกรอบและทิศทางการพัฒนาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของสถานศึกษา เพื่อให้เป็น


แนวทางการจัดการเรียนการสอนให้เป็นแนวเดียวกันทั้งประเทศตามมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งผู้ศึกษาได้ศึกษา ในหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑.๑ ความส าคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจ าชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และ เสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้าง ความเข้าใจ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ท าให้สามารถประกอบธุรกิจ การงานและด ารงชีวิต ร่วมกันในสังคม ประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูล สารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ ให้ทันต่อการ เปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนน าไปใช้ ในการพัฒนาอาชีพ ให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อที่แสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษทางวัฒนธรรม ประเพณี สุนท รียภ าพ เป็นสมบัติล้ าค่ าคว รแก่ก า รเ รียนรู้ อนุ รักษ์และสืบส านให้คงอยู่คู่ช าติตลอดไป (กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๕๑: ๑๒) จากที่กล่าวมาข้างต้นในหัวข้อความส าคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช่วยให้ผู้วิจัย สามารถ เห็นถึงความส าคัญของการเรียนการสอนในรายวิชาภาษาไทยเพิ่มมากขึ้น เพราะภาษาไทยเป็นภาษาประจ า ชาติที่ต้องใช้ในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นในสังคมไทย อีกทั้งต่อยอดพัฒนาบุคคลให้มีความสามารถในด้านต่าง ๆ และด ารงอยู่ได้ในสังคม จึงมีความจ าเป็นที่นักเรียนต้องเรียนรู้ในรายวิชาภาษาไทย ๒.๑.๒ คุณภาพของนักเรียน เมื่อส าเร็จการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ นักเรียนต้องมีความรู้ความสามารถดังนี้ ๑. อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นท านองเสนาะได้ถูกต้อง อธิบายความหมายโดยตรง และความหมายโดยนัยของค า ประโยค ข้อความ ส านวนโวหารจากเรื่องที่อ่าน เข้าใจค าแนะน า ค าอธิบายใน คู่มือต่าง ๆ แยกแยะข้อคิดเห็นและข้อเท็จจริง จับใจความส าคัญของ เรื่องที่อ่านและน าความรู้ ความคิดจาก เรื่องที่อ่านไปตัดสินใจแก้ปัญหาในการด าเนินชีวิต มีมารยาท และมีนิสัยรักการอ่าน และเห็นคุณค่าสิ่งที่อ่าน ๒. มีทักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัดและครึ่งบรรทัด เขียนสะกดค าแต่งประโยคและ เขียนข้อความ ตลอดจนเขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยค าชัดเจนเหมาะสม ใช้แผนภาพโครง เรื่องและแผนภาพ ความคิด เพื่อพัฒนางานเขียน เขียนเรียงความ ย่อความ จดหมายส่วนตัว กรอกแบบรายการต่าง ๆ เขียนแสดง ความรู้สึกและความคิดเห็น เขียนเรื่องตามจินตนาการอย่าง สร้างสรรค์ และมีมารยาทในการเขียน ๓. พูดแสดงความรู้ ความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังและดู เล่าเรื่องย่อหรือสรุปจากเรื่องที่ฟัง และดู ตั้ง ค าถาม ตอบค าถามจากเรื่องที่ฟังและดู รวมทั้งประเมินความน่าเชื่อถือจากการฟังและดู โฆษณาอย่างมีเหตุผล พูดตามล าดับขั้นตอนเรื่องต่าง ๆ อย่างชัดเจน พูดรายงานหรือประเด็นค้นคว้า จากการฟัง การดู การสนทนา และพูดโน้มน้าวได้อย่างมีเหตุผล รวมทั้งมีมารยาทในการฟัง ดู และพูด


๔. สะกดค าและเข้าใจความหมายของค า ส านวน ค าพังเพย และสุภาษิต รู้และเข้าใจ ชนิดและหน้าที่ ของค าในประโยค ชนิดของประโยค ค าภาษาถิ่นและค าภาษาต่างประเทศในภาษาไทย ใช้ค าราชาศัพท์และค า สุภาพได้อย่างเหมาะสม แต่งประโยค แต่งบทร้อยกรองประเภทกลอนสี่กลอนสุภาพและกาพย์ยานี ๑๑ ๕. เข้าใจและเห็นคุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน เล่านิทานพื้นบ้าน ร้องเพลง พื้นบ้านของ ท้องถิ่น น าข้อคิดเห็นจากเรื่องที่อ่านไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง และท่องจ าบทอาขยาน ตามที่ก าหนดได้ จากที่กล่าวมาข้างต้นในหัวข้อคุณภาพนักเรียน ช่วยให้ผู้วิจัยสามารถออกแบบการเรียนการสอนให้มี ความสอดคล้องและครอบคลุมกับเนื้อหารายวิชาเรียนที่นักเรียนจ าเป็นจะต้องได้รับเมื่อส าเร็จการศึกษาในชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๖ ๒.๑.๓ สาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความช านาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารการเรียนรู้ อย่างมี ประสิทธิภาพ และเพื่อน าไปใช้ในชีวิตจริง ซึ่งการเรียนภาษาไทยมีเนื้อหาการเรียนรู้หรือสาระการเรียนรู้ที่ ส าคัญและมาตรฐานการเรียนรู้ที่พัฒนาผู้เรียน ดังนี้ ๑. การอ่าน การอ่านออกเสียงค า ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว ค าประพันธ์ชนิดต่าง ๆ การอ่านใน ใจเพื่อสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์สังเคราะห์ความรู้จากสิ่งที่อ่านเพื่อน าไปปรับใช้ในชีวิตประจ าวัน ๒. การเขียน การเขียนสะกดตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสาร โดยใช้ถ้อยค าและ รูปแบบต่าง ๆ ของ การเขียน ซึ่งรวมถึงการเขียนเรียงความ ย่อความ รายงานชนิดต่าง ๆ การเขียนตามจินตนาการวิเคราะห์ วิจารณ์ ๓. การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก พูดล าดับเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล การพูดในโอกาสต่าง ๆ ทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ และ การพูดเพื่อโน้มน้าวใจ ๔. หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมกับ โอกาสและบุคคล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่าง ๆ และอิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทย ๕. วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษา ข้อมูลแนวความคิด คุณค่า ของงานประพันธ์ และความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และท าความ เข้าใจบทเห่บทร้องเล่นของเด็ก เพลงพื้นบ้าน ที่เป็นภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณีเรื่องราว ของสังคมในอดีตและความงดงามของภาษา เพื่อให้เกิดความซาบซึ้งและภูมิใจในบรรพบุรุษที่ได้สั่งสมสืบทอด มาจนถึงปัจจุบัน


มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยประกอบไปด้วย ๕ สาระ ดังนี้ สาระที่ ๑ การอ่าน มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อน าไปใช้ ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการด าเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ ๒ การเขียน มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียน เรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษา ค้นคว้าอย่างมี ประสิทธิภาพ สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดง ความรู้ความคิด และความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทยการเปลี่ยนแปลงของภาษา และพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและ วรรณกรรมไทยอย่าง เห็นคุณค่าและน ามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง จากที่กล่าวมาข้างต้นในหัวข้อสาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้ช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจถึงสาระ การเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้ในรายวิชาภาษาไทย เพื่อให้ผู้วิจัยสามารถออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ ในแต่ละสาระการเรียนรู้ให้มีความเหมาะสมกับผู้เรียนและมาตรฐานที่ก าหนด ซึ่งสาระการเรียนรู้และ มาตรฐานการเรียนรู้ในรายวิชาภาษาไทยประกอบไปด้วย ๕ สาระ ได้แก่ สาระที่ ๑ การอ่าน สาระที่ ๒ การ เขียน สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพูด สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย และสาระที่ ๕ วรรณคดีและ วรรณกรรม


๒.๑.๔ สาระการเรียนรู้หลักการใช้ภาษาไทย สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทยการเปลี่ยนแปลงของ ภาษา และพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ ตารางที่ ๑ ตารางมาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัดสาระหลักการใช้ภาษาไทย ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๔ ๑. สะกดค าและบอกความหมายของค าใน บริบทต่าง ๆ ค าในแม่ ก กา มาตราตัวสะกด การผันอักษร ค าเป็น ค าตาย ค าพ้อง ๒. ระบุชนิดและหน้าที่ของค าในประโยค ชนิดและหน้าที่ของค า ได้แก่ - ค านาม - ค าสรรพนาม - ค ากริยา - ค าวิเศษณ์ ๓. ใช้พจนานุกรมค้นหาความหมายของค า การใช้พจนานุกรม F F


ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๔ ๔. แต่งประโยคได้ถูกต้องตามหลักภาษา ประโยคสามัญ - ส่วนประกอบของประโยค - ประโยค ๒ ส่วน - ประโยค ๓ ส่วน ๕. แต่งบทร้อยกรองและค าขวัญ กลอนสี่ ค าขวัญ ๖. บอกความหมายของส านวน ส า น วน ที่ เป็ น ค าพัง เพ ย แ ล ะ สุภาษิต ๗. เปรียบเทียบภาษาไทยมาตรฐานกับ ภาษาถิ่นได้ ภาษาไทยมาตรฐาน ภาษาถิ่น จากการศึกษาเรื่องหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระ การ เรียนรู้ภาษาไทย ระดับประถมศึกษาตอนปลาย ท าให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับรายละเอียดของรูปแบบหลักสูตร ทั้งในด้านความส าคัญ คุณภาพนักเรียน มาตรฐาน และตัวชี้วัด ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นประโยชน์ในด้านการจัดท า แผนการเรียนรู้และข้อสอบให้สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ที่ก าหนด ๒.๒ การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain Based Learning) ในปัจจุบันมีกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมประสิทธิภาพในการเรียนเกิดขึ้นอย่าง มากมาย ซึ่ง การจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับพัฒนาการของสมองแต่ละช่วงวัยของนักเรียนต้องค านึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคล และจัดกิจกรรมโดยเปิดโอกาสให้นักเรียนได้มีประสบการณ์ อันหลากหลาย เพื่อการพัฒนาใน ทุกด้านของนักเรียน ซึ่งการจัดการเรียนรู้ที่ช่วยส่งเสริมทักษะ กระบวนการคิดอย่างได้ผลมีหลากหลายการ จัดการเรียนรู้ แต่มีหนึ่งการจัดการเรียนรู้ที่มีความน่าสนใจจนมีการน าไปประยุกต์ใช้กันอย่างมากมาย ได้แก่ การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain Based Learning) ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้หนึ่งที่ สอดคล้องกับพัฒนาการทางด้านสมอง ซึ่งในแต่ละช่วงวัยจะมีพัฒนาการทางสมองที่แตกต่างกันไป รวมไปถึง ความแตกต่างของแต่ละบุคคล ดังนั้นในการจัดการเรียนรู้จะต้องมีความสอดคล้องกับพัฒนาการสมองของ นักเรียน เพื่อให้การเรียนการสอนในชั้นเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น


๒.๒.๑ หลักการส าคัญของการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน Jensen (2000) กล่าวถึง การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เพื่อให้การเรียนรู้เกิดกับตัวของนักเรียนมาก ที่สุดและรูปแบบ การเรียนการสอนที่จะบรรลุผลสูงสุดในการเรียนมี ๑๒ ประการ ดังนี้ ๑. สมองเรียนรู้พร้อมกันทุกระบบ แต่ละระบบมีหน้าที่ต่างกัน มีสมองเป็นผู้ด าเนินการที่สามารถท าสิ่ง ต่าง ๆ ได้หลายอย่างในเวลาเดียวกันโดยผสมผสานทั้งด้านความคิด ประสบการณ์และอารมณ์รวมถึงข้อมูลที่มี อยู่หลากหลายรูปแบบ เช่น สามารถชิมอาหารพร้อมกับ ๆ ได้กลิ่นของอาหาร เป็นต้น การกระตุ้นสมองส่วนหนึ่งย่อมส่งผลกับส่วนอื่น ๆ ด้วยการเรียนรู้ทุกอย่างมีความส าคัญ ดังนั้น การจัด ๒. การเรียนรู้มีผลมาจากด้านสรีรศาสตร์ ทั้งสุขภาพพลานามัย การพักผ่อนนอนหลับ ภาวะ โภชนาการ อารมณ์และความเหนื่อยล้า ซึ่งต่างส่งผลกระทบต่อการจดจ าของสมอง ผู้สอนหรือครูควรให้ความ ใส่ใจ มิใช่สนใจเฉพาะความรู้สึกนึกคิดหรือสติปัญญาของนักเรียนเพียงด้านเดียว ๓. สมองเรียนรู้โดยการหาความหมายของสิ่งที่ต้องการเรียนรู้การค้นหาความหมายจึงเป็นสิ่งที่มีมา ตั้งแต่เกิด สมองจ าเป็นต้องเก็บข้อมูลในส่วนที่เหมือนกันและค้นหาความหมายเพื่อตอบสนอง ต่อสิ่งเร้าที่เพิ่ม ขึ้นมา ดังนั้นการสอนที่มีประสิทธิภาพจ าเป็นต้องยอมรับว่าการให้ความหมายของสิ่งต่าง ๆ เป็นเอกลักษณ์ของ แต่ละบุคคลและความเข้าใจของนักเรียนย่อมอยู่บนพื้นฐานของ ประสบการณ์แต่ละคนด้วย ๔. สมองได้ค้นหาความหมายโดยการค้นหารูปแบบ (Pattern) ในสิ่งที่เรียนรู้การค้นหา ความหมาย เกิดขึ้นจากการเรียนรู้แบบแผน ขั้นตอน การจัดระบบข้อมูล เช่น ๓+๓=๖ หรือ ๖+๖ = ๑๒ แสดงว่า ทุกครั้ง ที่บวกเลข ผลลัพธ์จะเพิ่มขึ้นตามจ านวน นักเรียนสามารถเรียนรู้แบบแผนของความรู้ ได้และตรงกันข้ามเมื่อ นักเรียนไม่ได้เรียนรู้ สมองก็ย่อมจะเรียนรู้ได้น้อยลง แบบแผนการสอนที่มี ประสิทธิภาพ จึงต้องเชื่อมโยง ความคิดที่กระจัดกระจายและข้อมูลที่หลากหลายเพื่อน ามาจัดเป็น ความคิดรวบยอดได้ ๕. อารมณ์มีผลต่อการเรียนรู้อย่างมาก อารมณ์เป็นสิ่งส าคัญต่อการเรียนรู้แบบแผน นักเรียน ไม่ สามารถแยกอารมณ์ออกจากความรู้ความเข้าใจได้อารมณ์เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ความสร้างสรรค์การ เรียนรู้ได้รับอิทธิพลจากอารมณ์ความรู้สึก และทัศนคติ ๖. กระบวนการทางสมองเกิดขึ้นทั้งในส่วนรวมและส่วนย่อยในเวลาเดียวกัน หากมองข้าม ส่วนรวม หรือส่วนย่อยไปส่วนใดส่วนหนึ่งย่อมจะท าให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ยาก ๗. สมองเรียนรู้จากการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการสัมผัส การจับต้อง และการลงมือกระท า จึงท าให้เกิดการเรียนรู้หากได้รับประสบการณ์ตรงจากสิ่งแวดล้อมมากเท่าใด จะยิ่งเพิ่มการเรียนรู้ให้มากขึ้น เท่านั้น การเรียนรู้จากการบอกเล่า การจัดตามค าบอก และการฟังอย่างเดียว อาจท าให้มีปฏิสัมพันธ์ต่อ สิ่งแวดล้อมน้อย ย่อมส่งผลให้สมองเกิดการเรียนรู้น้อยลง ๘. สมองเรียนรู้ได้ทั้งในขณะรู้ตัวและไม่รู้ตัว นักเรียนสามารถเกิดการเรียนรู้จากการได้รับ ประสบการณ์และสามารถจดจ าได้โดยไม่เพียงแต่ฟังจากคนอื่นบอกอย่างเดียว นอกจากนี้นักเรียนยัง ต้องการ เวลาเพื่อจะเรียนรู้ด้วย รวมทั้งนักเรียนยังจ าเป็นต้องรู้ด้วยว่าจะเรียนรู้ได้อย่างไรเท่า ๆ กับจะ เรียนรู้อะไร


๙. สมองใช้การจ าอย่างน้อย ๒ ประเภท คือ การจ าที่เกิดจากประสบการณ์ตรงและการท่องจ า การ จัดการเรียนการสอนที่ท าให้นักเรียนได้เกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์และได้สัมผัส เรียนรู้โดยตรงย่อมให้ผล ดีกว่าการเรียนรู้แบบท่องจ า ซึ่งนักเรียนจะไม่สามารถให้รายละเอียดเพิ่มเติม จากสิ่งที่ท่องจ ามาได้ ๑๐. สมองเข้าใจและจดจ าเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้รับการปลูกฝังอย่างเป็นธรรมชาติเกิดการเรียนรู้ จาก ประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพที่สุดเกิดจากประสบการณ์ ๑๑. สมองจะเรียนรู้มากขึ้นจากความท้าทายและการไม่ข่มขู่ บรรยากาศในชั้นเรียนจึงควรจะ เป็นการ ท้าทายแต่ไม่ควรข่มขู่นักเรียน ๑๒. สมองแต่ละคนเป็นลักษณะเฉพาะตัว ดังนั้นรูปแบบการเรียนรู้และวิธีการเรียนรู้จึงเป็น เอกลักษณ์ส่วนบุคคล ในกระบวนการเรียนการสอนต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ในสิ่งที่ชอบ บางคน ชอบเรียนเวลาครูพาไปดูของจริง แต่บางคนชอบนั่งฟัง ชอบจดบันทึก บางคนชอบบรรยากาศ ห้องเรียนเงียบ ๆ แล้วจะเรียนได้ดีแต่บางคนชอบให้มีเสียงเพลงเบา ๆ ทั้งนี้เพราะสมองทุกคนต่างกัน จากที่กล่าวมาข้างต้นในหัวข้อหลักการส าคัญของการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจ ในหลักการของการจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐานมากอย่างขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ที่ผู้วิจัยสามารถน า หลักการนี้ไปใช้ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้องหรือเขียนแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมอง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ที่ดีตามแนวสมองเป็นฐาน Caine and Caine (1990) กล่าวว่า ปัจจัยหรือสิ่งที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของสมองอันก่อให้เกิด ประสิทธิภาพในการเรียนรู้ว่ามีอยู่ หลายปัจจัยด้วยกันมี ดังต่อไปนี้ ๑. บรรยากาศการเรียนรู้ (Learning Atmosphere) มีความส าคัญต่อการเรียนรู้โดย ประกอบด้วย สภาพแวดล้อมในห้องเรียน ท่านั่งที่สบาย แสงและเสียง สื่อการเรียนรอบข้าง รวมทั้ง ปัจจัยด้านผู้สอนที่ สามารถอ านวยความสะดวกในการเรียน ยั่วยุอารมณ์ในการเรียน รวมถึงสร้างความมั่นใจให้แก่นักเรียนโดย ไม่ให้มีการเย้ยหยันกันเกิดขึ้น ๒. การเรียนรู้แบบองค์รวม (Holistic Learning) เป็นการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และเจตคติของนักเรียน ซึ่งมีผลกระทบต่อการเรียนรู้ทั้งสิ้น ถ้าหากนักเรียนมีอารมณ์ในเชิงไม่ ดี ผู้สอนจะต้อง ปรับแก้ไข แต่ถ้าหากนักเรียนมีอารมณ์ในเชิงสร้างสรรค์ ผู้สอนควรดึงออกมาใช้ให้เกิด ประโยชน์ เพราะจะ ช่วยให้การเรียนรู้เกิดเป็นความจ าที่คงทน ๓. สมองกับการนอนหลับสนิท (Deep Sleep) มีช่วงเวลาตั้งแต่ ๔-๑๐ ชั่วโมง แล้วแต่บุคคล ซึ่งหาก นักเรียนนอนหลับสนิท สมองจะได้พักผ่อนและประมวลข้อมูลได้ตามสบาย โดยสมองได้มีเวลาท าความสะอาด จิตใจ จัดเครือข่ายเซลล์สมองใหม่ และประมวลเหตุการณ์ทางอารมณ์ ๔. การตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ (Goal Setting) ส่งผลต่อการส่งเสริมความสามารถและจูงใจไปสู่การ ท างานให้ประสบความส าเร็จ จะดีที่สุดเมื่อนักเรียนเป็นผู้ตั้งเองและมีลักษณะเป็นรูปธรรม ๕. อุปสรรคการเรียนรู้ (Treats) ซึ่งประกอบด้วยด้านอารมณ์ ด้านการคิด ด้านวัฒนธรรมและสังคม และด้านร่างกาย อุปสรรคที่เกิดขึ้นจะท าให้สมองของนักเรียนรับรู้อาการตกใจหรืออันตรายดังกล่าว จึงส่งผล


ให้ความสามารถในการคิด การวางแผน การแก้ปัญหา การหาข้อมูลข่าวสาร การคิดสร้างสรรค์ ทักษะการ ตัดสินใจลดต่ าลงได้ ๖. อาหารและโภชนาการ (Diet and Nutrition) ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งเสริมการเรียนรู้ จึงควรเลือกให้ เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายนักเรียน ๗. ความตั้งใจในการเรียนรู้ (Attention) ซึ่งไม่จ าเป็นต้องตั้งใจเต็มที่ตลอดเวลา อาจมีการลด ความเครียดเป็นบางระยะ เพราะช่วงความสนใจของนักเรียนตั้งแต่เริ่มต้นเสนอเนื้อหาจนจบเนื้อหามีอยู่ ประมาณ ๒๐-๒๕ นาทีเท่านั้น ๘. ระดับความคงทนในการเรียนรู้ (Retention Rate Level) ขึ้นอยู่กับการได้รับข้อมูล ข่าวสารนั้น มีอัตราดังนี้ การอ่านร้อยละ ๑๐ การได้ยินร้อยละ ๒๐ การมองเห็นร้อยละ ๓๐ การฟัง และการเห็นร้อยละ ๕๐ การฟังประกอบกับการเห็นและการพูดร้อยละ ๗๐ การฟังประกอบกับการเห็น การพูดและการท าร้อยละ ๙๐ ๙. การเรียนรู้แบบเน้นและผ่อนคลาย (Focused and Diffused Learning) ควรกระท า สลับกันไป โดยมีการเน้นหรือมีใจจดจ่อ ๒๐-๒๕ นาที และเรียนแบบผ่อนคลาย ๒-๕ นาที การประมวลข้อมูลทางสมองจึง จะส่งผลดีที่สุด ๑๐. การเรียนรู้สามขั้นตอน (Input, Integration and Output) เป็นความเชื่อมโยงของปัจจัยป้อน ปัจจัยด้านการบูรณาการและปัจจัยผลผลิต ซึ่งหากปัจจัยป้อนไม่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับชีวิตของนักเรียน ปัจจัยผลผลิตก็ย่อมจะอยู่ในระดับต่ าด้วยเช่นกัน ๑๑. การฟักตัวในการเรียนรู้ (Incubation) เป็นกระบวนการเพื่อให้แนวคิด ความรู้ และข้อมูล ข่าวสารมีการชะลอตัวหรือการปล่อยทิ้งไว้ชั่วขณะจนกว่าจะมีการรู้แจ้ง ๑๒. คุณสมบัติของข้อมูลข่าวสารที่ท าให้จ าได้ดีที่สุด (Qualities of Informations) ควรมี ความสัมพันธ์กับประสาทสัมผัส อยู่ในบริบทของอารมณ์ มีคุณสมบัติโดดเด่นหรือแตกต่างมีความสัมพันธ์อย่าง หนักแน่น มีความจ าเป็นต่อการอยู่รอด มีความส าคัญในทางส่วนตัว มีการท าซ้ า บ่อย และเป็นสิ่งแรกหรือสิ่ง สุดท้ายในการเรียน จากที่กล่าวมาข้างต้นในหัวข้อปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ที่ดีตามแนวสมองเป็นฐานช่วยให้ ผู้วิจัย สามารถเห็นถึงปัจจัยที่มีผลต่อการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เพื่อให้ผู้วิจัยสามารถน าปัจจัยในด้านต่าง ๆ ที่ ส่งผลต่อการเรียนรู้ที่ดีตามแนวสมองเป็นฐาน มาใช้ในการจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานได้ อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ


๒.๒.๓ ขั้นตอนการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (๒๕๔๙: ๘๖) ได้น าเสนอขั้นตอนการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ซึ่งมีขั้นตอน ในการจัดการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้ ๑. ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน บทเรียนเป็นขั้นการเร้าความสนใจของนักเรียนให้อยากรู้และเกิด ความคุ้นเคยใช้ทฤษฎีการ เรียนรู้อย่างมีความสุข ทฤษฎีการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสุนทรียภาพและลักษณะ นิสัยศิลปะ ดนตรีกีฬา (โดยใช้เพลง ภาพ การแสดงท่าทาง การวาดรูป การเล่าเรื่อง การใช้ค าถาม) ๒. ขั้นเสนอความรู้ ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความสุขโดยเรียนรู้จากง่ายไปหายาก เป็นขั้นสร้างประสบการณ์ ให้กับนักเรียน โดยผู้สอนสามารถใช้สื่อจริงเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ของนักเรียน ๓. ขั้นฝึกทักษะ ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมและการเรียนรู้ เพื่อพัฒนากระบวนการคิดเป็นการลด ความเครียด นักเรียนจะช่วยกันท ากิจกรรมกลุ่มและสร้างผลงานคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล ท าให้เกิด ความหลากหลายและมีทักษะทางสังคม ๔. ขั้นสรุปความรู้ ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อพัฒนากระบวนการคิด โดยใช้ Mind mapping วิธีนี้จะท าให้เกิดการ สรุปรวบยอดและเข้าถึงความจ าได้ดีที่สุด เป็นการฝึกการเชื่อมโยงทาง ความคิด การเขียนและเรียบเรียงเป็น ตัวหนังสือและใช้ทฤษฎีการเรียนรู้ เพื่อพัฒนา สุนทรียภาพ และลักษณะนิสัย ศิลปะ ดนตรี กีฬา โดยใช้ศิลปะ เข้ามาตกแต่งช่วยท าให้เกิด การผ่อนคลายทางอารมณ์ท าให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีขึ้น ๕. ขั้นการน าความรู้ไปใช้ เป็นขั้นที่ประยุกต์เรื่องที่เรียนน าไปใช้ปฏิบัติจริง จากที่กล่าวมาข้างต้น ในหัวข้อขั้นตอนการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ช่วยให้ผู้วิจัยสามารถ เข้าใจ ขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เพื่อให้ผู้วิจัยสามารถน าขั้นตอนในแต่ละขั้นตอนของการ จัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน มาใช้ในการจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดสมองเป็นฐานได้อย่าง เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ซึ่งประกอบไปด้วยขั้นตอนทั้งหมด ๕ ขั้น ดังนี้ ขั้นที่ ๑ ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน ขั้นที่ ๒ ขั้นเสนอความรู้ ขั้นที่ ๓ ขั้นฝึกทักษะ ขั้นที่ ๔ ขั้นสรุปความรู้ และขั้นที่ ๕ ขั้นการน าความรู้ไปใช้ ๒.๒.๔ แนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ครูควรเข้าใจแนวทางในการจัดการเรียนรู้ ในแบบนี้เพื่อเปิด โอกาสให้นักเรียนได้พัฒนาศักยภาพในการเรียนรู้ เรียนอย่างมีความสุข สนุกสนานให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการ เรียนการสอนปฏิบัติจริง ซึ่งทั้งนี้ครูจ าเป็นจะต้องหายุทธศาสตร์ที่ เหมาะสมในการจัดการเรียนรู้ให้มากที่สุด แนวทางในการจัดการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้


Myrah and L. Erlauer. (1999) ได้เสนอแนวทางในการจัดการเรียนรู้แบบใช้สมองเป็นฐาน โดยเสนอ ผ่านกลยุทธ์และเชื่อว่ายุทธศาสตร์เหล่านี้เป็นกลไกส าคัญในการจัดการเรียนรู้แบบใช้สมองเป็นฐาน ดังต่อไปนี้ ๑. ครูผู้สอนต้องส ารวจนักเรียนว่ามีพัฒนาการอย่างไรและศึกษาการท างานของ สมองที่ สอดคล้องกับการเรียนรู้ของนักเรียน ๒. การเรียนรู้ต้องมีการเคลื่อนที่เพราะสมองท างานได้ดี เมื่อมีเลือดสูบฉีดและ ออกซิเจนไป เลี้ยงสมองอย่างเต็มที่ การเปลี่ยนบรรยากาศและสถานที่ในการเรียนรู้ก็ เช่นเดียวกัน เป็นวิธีหนึ่งที่จะท าให้ นักเรียนเปลี่ยนอิริยาบถ ผ่อนคลาย น าไปสู่การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๓. การใช้ดนตรีเข้ามามีส่วนร่วมในการสอน เช่น การสอนเด็กปฐมวัยเกี่ยวกับ ตัวเลขก็อาจใช้ การนับเลขจากการกดโทรศัพท์ที่มีเสียงของแต่ละปุ่มต่างกัน และสามารถ เชื่อมโยงในการติดต่อสื่อสารถึง ผู้ปกครองทางบ้าน เพื่อจะได้เปิดกว้างในเรื่องของจินตนาการ ตามไปด้วยหรือแม้กระทั่งการทดสอบ ก็สามารถ ใช้ดนตรีช่วยในการคิดหรือผ่อนคลายความตึงเครียด ๔. การใช้อุปมา อุปมัย การเล่านิทาน การใช้ค าผวน หรือการเล่าเรื่องข าขัน ยุทธศาสตร์นี้ ช่วยให้นักเรียนมีความเชื่อมโยงและเกิดความเข้าใจในโครงสร้างมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดความฉลาด ทางอารมณ์ที่เกิดตามมาจากกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง ๕. การใช้สี จากการวิจัยทางสมองพบว่าการใช้สีมาช่วยในการเรียนรู้ท าให้เกิดความจ า เพิ่มขึ้น อีก ๒๕% และการไล่สี เช่น สีน้ าเงิน สีฟ้า สีเขียว สีเหลือง สีส้ม สีแดง จะช่วยให้สมองมีการจัดระบบ ความคิดอย่างมีแบบแผนและพบว่าอิทธิพลของสีก็ส่งผลต่อ อารมณ์ความรู้สึกของนักเรียน ๖. การจัดเวลาในการสอนให้เหมาะสม โดยประมาณ ๒๐ นาทีต่อครั้งหรือหนึ่งหัวข้อการ เรียน ไม่ใช้เวลาในการทบทวนสิ่งที่เรียนมาแล้วมากจนเกินไป ๗. สนับสนุนให้นักเรียนได้เรียนโดยการจัดท าโครงการหรือฝึกงาน โดยปฏิบัติจริง กิจกรรม ดังกล่าว ท าให้นักเรียนมีประสบการณ์ในการเรียนรู้จริงและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริง นักเรียนได้ใช้ความฉลาด ที่หลากหลายมาช่วยในการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้ นักเรียนได้น าเสนอผลงานที่ได้จากการเรียนรู้ในโครงการของ ตน ให้นักเรียนได้เรียนรู้ตาม แบบฉบับของตนเองและส่งเสริมให้นักเรียนน าการวิจัยเข้าไปมีส่วนร่วมในการ ตัดสิน กระบวนการเรียนรู้ของตนเอง จากที่กล่าวมาข้างต้นในหัวข้อแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ช่วยให้ผู้วิจัย สามารถ เข้าใจถึงแนวทางในการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เพื่อให้ผู้วิจัยสามารถน าแนวทางใน การจัดการ เรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน มาใช้ในการจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ให้ได้อย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ก ก ก ก


๒.๒.๕ สื่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ปัจจัยที่ส าคัญสิ่งหนึ่งที่จะท าให้การจัดการเรียนรู้ เป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้สอนจะต้องเลือกใช้สื่อและนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้อง เหมาะสมกับสมอง ของนักเรียน ซึ่งสื่อที่ควรใช้น ามาใช้ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน มีดังนี้ ๑. สื่อของจริงต่าง ๆ มีความจ าเป็นยิ่งส าหรับวัยประถมไม่มีสื่อใดจะท าให้ นักเรียนสร้าง ความรู้ได้ดีเท่ากับสื่อของจริง เพราะสื่อของจริงอยู่ในชีวิตประจ าวัน เข้าใจได้ สัมผัสได้ การที่เราต้องเลือกสื่อ อื่นเข้ามาใช้ ก็เพราะสื่อของจริงนั้นใช้ไม่ได้ทุกกรณีไป ถ้าคุณครูอธิบายปากเปล่า อย่างเดียว ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ความไม่เข้าใจของนักเรียน ๒. เรียนรู้จากสถานที่และเหตุการณ์จริง การลงไปสัมผัสพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ต่าง ๆ เช่น ป่า ภูเขา ล าห้วย ที่ราบ ห้วย หนอง คลอง บึง หรือการเข้าไปในสถานที่จริงอื่น ๆ เช่น ตลาด โรงพยาบาล วัด ช่วย ให้การเรียนรู้ดีขึ้น แต่ครูจ าเป็นต้องออกแบบกระบวนการสอนก่อนและหลังลงสนามให้ดี เช่น ถ้าออก ภาคสนามแล้ว นักเรียนจะเรียนรู้อะไร ใบงาน (worksheet) ชนิดไหนที่ต้องใช้ ไม่ควรแจกกระดาษเปล่าให้ นักเรียนเขียนสรุปสิ่งที่เรียนรู้ ๓. กระดานเคลื่อนที่ คุณครูควรใช้กระดานเคลื่อนที่เพื่อน าเสนอความรู้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การติดบัตรตัวอักษร บัตรตัวเลข ติดแถบประโยค ชาร์ต บทกลอน หรือบทเพลงและแขวนถุงสิ่งของแทน จ านวน เป็นต้น ๔. บัตรค า บัตรตัวเลขชาร์ต สื่อการเรียนรู้ที่จ าเป็นมาก ได้แก่ บัตรภาพ บัตรค า บัตรตัวเลข และชาร์ต สิ่งเหล่านี้ ท าให้ข้อมูลที่ครูป้อนเข้าไป ความรู้ที่เด็กก าลังคิด ความคิดที่เด็ก ก าลังไตร่ตรอง คิด ค านวณ เกิดเป็นภาพจริงขึ้นบนบอร์ด ปัญหาที่ส าคัญก็คือ ข้อมูลและความรู้ลอด อยู่ในอากาศ ต้องคิดเอาเอง ในสมอง โดยไม่มีตัวช่วยบนบอร์ดเลย จากที่กล่าวมาข้างต้นในหัวข้อสื่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ช่วยให้ผู้วิจัยสามารถ เข้าใจ ถึงสื่อที่มีความเหมาะสมส าหรับใช้ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เพื่อให้ผู้วิจัยสามารถน าสื่อที่มี ความเหมาะสมส าหรับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ซึ่งมีสื่อที่หลากหลายที่สามารถน ามาใช้ในการ จัดการเรียนรู้ เช่น การใช้บัตรค า กระดานเคลื่อนที่ และสื่อมือประกอบในการจัดการเรียนรู้ จากการศึกษาเรื่องการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain Based Learning) ท าให้ ได้รับ ความรู้เกี่ยวกับรายละเอียดของการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain Based Learning) ทั้งในด้าน หลักการส าคัญ ปัจจัยที่ส่งผล ขั้นตอน แนวทาง และสื่อในการจัดการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain Based Learning) ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นประโยชน์ในด้านการจัดท าแผนการเรียนรู้ให้มีความเหมาะสมและมี ประสิทธิภาพ


๒.๓ มาตราตัวสะกด ก าชัย ทองหล่อ (๒๕๕๐: ๗๓) กล่าวว่า มาตราตัวสะกด หมายถึง พยัญชนะที่ประกอบอยู่ ท้ายสระ และมีเสียงประสมเข้ากับสระ มาตราตัวสะกดมีอยู่ ๘ มาตรา แบ่งเป็นตัวสะกดที่ตรงตาม มาตราและไม่ตรง ตามมาตรา ได้แก่ แม่กก แม่กด แม่กบ แม่กน แม่กง แม่กม แม่เกย และแม่เกอว ค าที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา คือ ค าที่สะกดด้วยรูปพยัญชนะตัวอื่น ๆ ที่ไม่ตรงตาม มาตรากับชื่อ ของมาตราตัวสะกด แต่ออกเสียงท้ายพยางค์หรือท้ายค าเป็นเสียงเดียวกับมาตรา ตัวสะกดนั้น มี ๔ มาตรา ได้แก่ แม่กน พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้คือ น ญ ณ ร ล ฬ ตัวอย่างค าเช่น คูณ หาร เณร อนุบาล วาฬ พยาบาล สัญญาณ บุญ เจริญ ปีขาล อุบล ยุคล และสมดุล แม่กก พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้คือ ก ข ค ฆ ตัวอย่างค าเช่น เลข โรค เมฆ สุนัข เชื้อโรค บริโภค ความสุข วิหค วัคซีน เทคนิค ยุคสมัย วรรคตอน อบายมุขและบริจาค แม่กด พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้คือ ด จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ต ถ ท ธ ศ ษ ส ตัวอย่าง ค าเช่น ธุรกิจ ส าเร็จ ประโยชน์ ราชสีห์ พืช เอกราช กฎหมาย ปฏิบัติ ประเสริฐ ผลิต บาท โกรธ กระดาษ รส เลิศ สุภาษิต ชีวิตและสังเกต แม่กบ พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้คือ ป พ ฟ ภ ตัวอย่างค าเช่น ธูป บาป อาชีพ รูปภาพ ไมโครเวฟ ลิฟต์ ยีราฟ โลภ นภ และปรารภ ๒.๓.๑ การอ่านค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา การอ่านเป็นกระบวนการฝึกภาษา เป็นพื้นฐานของการใช้ภาษาที่ดี มีประสิทธิภาพชั้นสูง ต่อไป หาก ครูไม่สอนการอ่านค าในระยะเริ่มแรก นักเรียนจะขาดทักษะในการอ่าน ท าให้เมื่ออ่าน หนังสือมากขึ้นจะสับสน จนอ่านหนังสือไม่ออกเขียนหนังสือผิดตลอดไป สุพัตรา ศรีธรรมมา (๒๕๖๒: ๒๗) ได้กล่าวถึง วิธีการอ่านค าที่ สะกดไม่ตรงตามมาตรา มีข้อในการ ปฏิบัติดังนี้ ๓.๑.๑ เริ่มต้นจากการจ าตัวสะกดที่สะกดไม่ตรงตามมาตราให้ได้ ก ก ๓.๑.๒ ต่อจากนั้น ฝึกเริ่มฝึกอ่านแจกลูกในมาตราตัวสะกดที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา จะให้ สะกดค าไปทีละค าไล่ไปตามล าดับของสระ ดังนี้ (อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ) โดยผู้สอน ก าหนดพยัญชนะต้นให้แก่ นักเรียน เช่น - สัญญาณ สะกดว่า สอ – อะ – นอ - สัน - วาฬ สะกดว่า วอ – อา – นอ – วาน - เณร สะกดว่า นอ – เอ – นอ – เนน ๓.๑.๓ แล้วจึงอ่านโดยไม่แจกลูกสะกดค า เช่น สัญญาณ ปลาวาฬ และเณร เป็นต้น


๓.๑.๔ เมื่ออ่านได้จึงอ่านตามตัวสะกดมาตราอื่น ๆ ต่อไป จากที่กล่าวมาข้างต้นในหัวข้อการอ่านค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตราท าให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับ การ อ่านค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา ก่อนจะอ่านสะกดค าที่สะกดค าไม่ตรงตามมาตรานักเรียน จ าเป็นต้องจ า ตัวสะกดที่ไม่ตรงตามมาตราให้ได้ก่อนการเริ่มอ่านสะกดค า หลังจากนั้นให้นักเรียนเริ่มอ่านแจกลูกโดยไล่ไป ตามล าดับสระไปเรื่อย ๆ โดยมีผู้สอนเป็นผู้ก าหนดค าให้แก่นักเรียนได้ฝึกอ่าน แจกลูก ๒.๓.๒ การเขียนค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา การเขียนสะกดค าให้ถูกต้องมีความส าคัญในการสื่อความหมาย เพราะถ้าเขียนสะกดค าผิดจะท าให้ ความหมายผิดไป การสื่อสารก็จะไม่ประสบผลส าเร็จ การเขียนสะกดค าเป็นทักษะที่จ าเป็นที่นักเรียนควรได้รับ การฝึกฝนอยู่อย่างสม่ าเสมอ โดยครูต้องหากิจกรรมในการเรียนการสอนให้นักเรียนจดจ าค าในการเขียนสะกด ค าที่ไม่ตรงตามมาตราได้อย่างแม่นย าและมีข้อผิดพลาดน้อย ที่สุด และการเขียนสะกดค าต้องถูกต้องตามหลัก ของการใช้ภาษาไทย เกรียงศักดิ์ นามเสริฐ (๒๕๖๐: ๒๒) ได้กล่าวถึงการสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตราว่ามีวิธีการเขียนสะกด ค าที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดอย่างไร ซึ่งค าที่สะกดไม่ตรงตามาตราตัวสะกด มักจะเป็นค าที่มาจาก ภาษาต่างประเทศ เช่น บาลี สันสกฤต เขมร อังกฤษ เป็นต้น และมีวิธีการเขียน สะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตราไว้ มีดังนี้ ๑. เห็นรูปค าและอ่านออกเสียงให้ถูกต้อง ๒. จ ารูปค าและรู้ความหมายของค า ๓. รู้หลักในการเขียนสะกดค า เช่น แม่กน พยัญชนะที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา คือ น ญ ณ ร ล ฬ ช กกกกกกกกกกกก แม่กก พยัญชนะที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา คือ ก ข ค ฆ แม่กด พยัญชนะที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา คือ ด จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ต ถ ท ธ ศ ษ ส จากการศึกษาเรื่องมาตราตัวสะกดในด้านการอ่านสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา และการเขียนสะกดค า ที่ไม่ตรงตามมาตรา ท าให้ได้ทราบถึงหลักในการอ่านและการเขียนค าที่สะกดไม่ตรงตามาตราว่ามีหลักการใน การอ่านและการเขียนอย่างไร นอกจากนี้ยังได้ทราบถึงหลักในการอ่านค าที่มีตัวการันต์ ซึ่งสามารถน าหลักการ ต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาในข้างต้นไปปรับใช้ในการเขียนแผนการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain Based Learning) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น


๒.๔ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นผลที่เกิดจากการสอนโดยใช้รูปแบบ วิธีการ อย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้วิจัยจึง ได้ศึกษารายละเอียดของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนประกอบด้วย ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียน องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวัดพฤติกรรมทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัยหรือ สติปัญญา เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทยและวัตถุประสงค์ของการใช้ เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์การ เรียนภาษาไทย โดยมีรายละเอียดดังนี้ ๒.๔.๑ ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Learning Achievement) เป็นผลที่เกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ในการจัด การศึกษานักศึกษาได้ให้ความส าคัญกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเนื่องจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นดัชนี ประการหนึ่งที่สามารถบอกถึงคุณภาพการศึกษาดังที่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นความสามารถของนักเรียน ในด้านต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียนได้รับประสบการณ์จากกระบวนการ เรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษา แนวทางในการวัดและประเมินผล การสร้างเครื่องมือวัดให้มี คุณภาพนั้น ได้มีผู้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนไว้ดังนี้ บุษกร พรหมหล้าวรรณ (๒๕๔๙: ๓๗) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้น สามารถวัดได้ทั้งด้าน ทักษะปฏิบัติ โดยการใช้แบบทดสอบภาคปฏิบัติ และการวัดทางด้านเนื้อหา โดยใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมทั้ง ๓ ด้าน คือ ด้านความรู้ ด้านความรู้สึกและด้าน ปฏิบัติการ ปราณี กองจินดา (๒๕๔๙: ๔๒) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือ ผลส าเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และประสบการณ์เรียนรู้ ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัยและทักษะพิสัย และยังได้จ าแนกผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนไว้ตามลักษณะของ วัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน อรทัย จันใด (๒๕๕๓: ๑๘) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ความสามารถในการ ที่จะพยายามเข้าถึงความรู้ หรือทักษะซึ่งเกิดจากการกระท าที่ประสานกันต้อง อาศัยความพยายามอย่างมาก ทั้งองค์ประกอบทางด้านที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญา และองค์ประกอบที่ใช้สถิติปัญญา แสดงออกในรูปของ ความส าเร็จซึ่งสามารถสังเกตและวัดได้ด้วยเครื่องมือทางจิตวิทยา หรือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทั่วไป ทิศนา แขมมณี (๒๕๕๖: ๑๐) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์คือ การท าให้ส าเร็จหรือประสิทธิภาพทางด้านการ กระท าในทักษะที่ก าหนดให้หรือด้านความรู้ ส่วนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงการเข้าถึงความรู้ การ พัฒนาทักษะในด้านการเรียน ซึ่งอาจพิจารณาจากคะแนนสอบที่ก าหนดให้คะแนนที่ได้จากงานที่ครูมอบหมาย ให้หรือทั้งสองอย่าง จากความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจึงสามารถสรุปได้ว่า ผลที่เกิดจากกระบวนการเรียนการ สอนที่จะท าให้นักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และสามารถวัดได้โดยการแสดง ออกมาทั้ง ๓ ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย


๒.๔.๒ องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บลูม (Bloom, ๑๙๗๖: ๕๒ อ้างถึงในสมชาย วรกิจเกษมสกุล, ๒๕๕๓: ๒๐-๒๒) ได้กล่าวถึง ตัว แปรที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในโรงเรียน ดังต่อไปนี้ ๑. พฤติกรรมด้านความรู้ ความคิด หมายถึง ความสามารถทั้งหลายของนักเรียนซึ่งประกอบด้วย ความถนัดและพื้นฐานของนักเรียน ๒. คุณลักษณะด้านจิตพิสัย หมายถึง สภาพการณ์หรือแรงจูงใจที่จะท าให้นักเรียน เกิดการเรียนรู้ ใหม่ ได้แก่ ความสนใจ เจตคติที่มีต่อเนื้อหาที่เรียนในโรงเรียน ระบบการเรียน ความคิดเห็นเกี่ยวกับตนเอง และลักษณะบุคลิกภาพ ๓. คุณภาพการสอน ได้แก่ การรับค าแนะน า การมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน การเสริมแรงจาก ครู การแก้ไขข้อผิดพลาด และรู้ผลว่าตนเองกระท าได้ถูกต้องหรือไม่ ๔. คุณลักษณะของนักเรียน ได้แก่ ความพร้อมทางสมอง และทางสติปัญญา ความพร้อมทางด้าน ร่างกาย และความสามารถทางด้านทักษะของร่างกาย คุณลักษณะทางจิตใจ ซึ่งได้แก่ความสนใจ แรงจูงใจ เจต คติและค่านิยม สุขภาพ ความเข้าใจเกี่ยวกับตนเอง ความเข้าใจในสถานการณ์ อายุ เพศ ๕. คุณลักษณะของผู้สอน ได้แก่ สติปัญญา ความรู้ในวิชาที่สอน การพัฒนาความรู้ ทักษะทาง ร่างกาย คุณลักษณะทางจิตใจ สุขภาพ ความเข้าใจเกี่ยวกับตนเอง ความเข้าใจในสถานการณ์ อายุ เพศ ๖. พฤติกรรมระหว่างผู้สอนและนักเรียน ได้แก่ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับนักเรียนจะต้องมี พฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อกัน เข้าใจกันมีความสัมพันธ์ที่ดี และมีความรู้สึก ที่ดีต่อกัน ๗. คุณลักษณะของกลุ่มนักเรียน ได้แก่ โครงการของกลุ่มตลอดจนความสัมพันธ์ของกลุ่มเจตคติ ความสามัคคี และภาวะผู้น าผู้ตามที่ดีของกลุ่ม ๘. คุณลักษณะของพฤติกรรมเฉพาะตัว ได้แก่ การตอบสนองต่อการเรียน การมีเครื่องมือและ อุปกรณ์พร้อมในการเรียน ความสนใจต่อบทเรียน ๙. แรงผลักดัน ได้แก่ ครอบครัวมีความสัมพันธ์ในครอบครัวดี สิ่งแวดล้อมดีและคุณธรรมพื้นฐานดี เช่น ขยันหมั่นเพียร ความประพฤติดี จากที่กล่าวมาข้างต้นในหัวข้อองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จะเห็น ได้ว่า องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทั้งพฤติกรรมด้านความรู้ คุณลักษณะด้านจิตพิสัย คุณภาพการสอน คุณลักษณะของนักเรียนและผู้สอน พฤติกรรมระหว่างผู้สอนและ นักเรียน คุณลักษณะของ พฤติกรรมเฉพาะตัวหรือเฉพาะกลุ่มและแรงผลักดัน สิ่งเหล่านี้มีความส าคัญ ในการจัดกระบวนการเรียนรู้และ การท าแผนการจัดการเรียนรู้ ท าให้ผู้สอนได้วางแผนในการสอนที่จะต้องค านึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล นักเรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกันทั้งในด้านนิสัยและด้านการรับรู้เนื้อหา ซึ่งวิจัยนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับหลักการ ใช้ภาษา ผู้สอนจึงได้เตรียมความพร้อมในการจัดกระบวนการสอนที่เสริมสร้างความรู้และมีความสนุกสนาน


และน ากิจกรรมเข้ามาช่วยในการเรียนการสอน ซึ่งจะท าให้นักเรียนมีความสนใจต่อบทเรียนมากขึ้น และ นอกจากนี้ความเข้าใจระหว่างผู้สอนและนักเรียนมีความส าคัญในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นอย่าง มาก การทราบถึงองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จึงท าให้ผู้สอนสามารถออกแบบแผนการ จัดการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ๒.๔.๓ การวัดพฤติกรรมทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัยหรือสติปัญญา การวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยหรือสติปัญญา ตามแบบของบลูม และคณะ (Bloom et al, ๑๙๗๖ อ้างถึงในสมชาย วรกิจเกษมสกุล, ๒๕๕๓: ๒๘-๓๑) ที่ใช้เป็นแนวทางในการวัดและประเมินผลด้านพุทธิพิสัย หรือสติปัญญาของนักเรียน โดยได้จ าแนกสติปัญญาของมนุษย์ตามล าดับของ ความซับซ้อนของกระบวนการ เป็น ๖ ระดับ ดังนี้ ๑. ความรู้ (Knowledge) เป็นความสามารถของนักเรียนในการจดจ า ระลึกได้ของ เนื้อหา สาระที่ได้เรียนรู้ผ่านมาแล้วถ่ายทอดสู่ผู้อ่านได้อย่างถูกต้อง แม่นย าและชัดเจน จ าแนกได้ดังนี้ ๑.๑ ความรู้ด้านเนื้อหา (Knowledge of Specifics) เป็นความสามารถใน การจดจ าเนื้อหา สาระที่ได้เรียนรู้ จ าแนกได้ดังนี้ ๑ ) ค ว าม รู้เกี่ ย ว กับ ศัพท์ แ ล ะ นิ ย าม (Knowledge of Terminology) เป็ น ความสามารถในการจดจ าสัญลักษณ์ ศัพท์ หรือนิยาม ที่ก าหนดไว้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อาทิ การวัดผล แปลว่า อะไร เป็นต้น ๒) ความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริง (Knowledge of Specifics Facts) เป็นความสามารถ ในการจดจ าสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและเรียนรู้มาแล้ว อาทิ วัน เดือน ปี สถานที่ บุคคล หรือเหตุการณ์ ฯลฯ อาทิ ก๊าซที่มนุษย์หายใจออก คือ ก๊าซอะไร เป็นต้น ๑.๒ ความรู้เกี่ยวกับวิธีด าเนินการในเนื้อหา (Knowledge of Ways and Means of Dealing with Specifics) เป็นความสามารถในการจดจ าวิธีการ ล าดับขั้นตอน เกณฑ์ หรือการจ าแนก ประเภท จ าแนกเป็นดังนี้ ๑) ความรู้เกี่ยวกับร ะเบียบป ระเพณี (Knowledge of Conventions) เป็น ความสามารถในการจดจ าประเพณี วัฒนธรรม ธรรมเนียมหรือสิ่งที่กระท ากันในสังคม เรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือใน เนื้อหาวิชา อาทิ แสตมป์ของไปรษณีย์จะติดที่ส่วนใดของซอง จดหมาย เป็นต้น ๒ ) ค ว าม รู้ เกี่ ย ว กับ แ น วโน้ม แ ล ะ ล าดับ ขั้น (Knowledge of Trend and Sequences) เป็นความสามารถในการจดจ าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้ม หรือล าดับ ขั้นตอนเรื่องใดเรื่อง หนึ่ง อาทิ บุคคลที่สูบบุหรี่ส่วนมากจะเป็นโรคอะไร เป็นต้น ๓) ความรู้เกี่ยวกับการจ าแนกประเภท (Knowledge of Classifications and Categories) เป็นความสามารถในการจดจ าประเภท หรือการจัดกลุ่มของเนื้อหาที่ได้ เรียนรู้มาแล้ว อาทิ พืช ประเภทใดไม่มีรากแก้ว เป็นต้น


๔) ความรู้เกี่ยวกับเกณฑ์ (Knowledge of Criteria) เป็นความสามารถในการจดจ า กฎเกณฑ์ในการเกิดหลักการ ความคิดรวบยอด ความคิดเห็นและอื่น ๆ อาทิ เพราะเหตุใดจึงทราบว่าน้ าจาก ก้นมดแดงมีฤทธิ์เป็นกรด เป็นต้น ๕) ความรู้เกี่ยวกับวิธีการ (Knowledge of Methodology) เป็นความสามารถใน การจดจ าวิธีการแสวงหาความรู้ เทคนิควิธีการ และกระบวนการต่าง ๆ ที่เรียนรู้มาแล้ว อาทิ วิธีการทาง วิทยาศาสตร์คืออะไร เป็นต้น ๑ .๓ ค ว าม รู้เกี่ ย ว กับคว าม คิด ร วบย อด (Knowledge of Universals and Abstraction in a Field) เป็นความสามารถในการจดจ าขั้นสูง จ าแนกได้ดังนี้ ๑) ความรู้เกี่ยวกับหลักวิชาและการสรุปอ้างอิงทั่วไป (Knowledge of Principles and Generalizations) เป็นความสามารถในการจดจ าหลักวิชาและการสรุป อ้างอิงทั่วไปในหลักวิชานั้น ๆ อาทิ สมการทางเคมีที่มีปฏิกิริยาให้เกิดน้ าคือสมการใด เป็นต้น ๒) คว าม รู้เกี่ย วกับทฤษฎีและโค รงสร้ าง (Knowledge of Theories and Structure) เป็นความสามารถในการจดจ าทฤษฎีและโครงสร้างของสิ่งที่เรียนรู้มาแล้ว อาทิในการเดินขบวน ของชาวบ้าน เพื่อประท้วงรัฐบาลสามารถอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวด้วยทฤษฎีใด ๒. ความเข้าใจ (Comprehension) เป็นความสามารถในการสรุปความ ตีความ และขยายความจากสื่อ ความหมายที่ได้พบเห็นได้อย่างสมเหตุสมผล จ าแนกได้ดังนี้ ๑) การแปลความ (Translation) เป็นความสามารถในการถ่ายโยงความหมายจาก ภาษาที่เข้าใจยากในเรื่องประเด็นนั้น ๆ ให้เป็นภาษาที่สามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น อาทิ จุดไต้ต าตอหมายความว่า อย่างไร เป็นต้น ๒) การตีความ (Interpretation) เป็นความสามารถในการสรุปความ หรือพิจารณา ในภาพรวมให้เป็นประโยคใจความสั้น ๆ ที่มีความหมาย อาทิ พันท้ายนรสิงห์ เป็นบุคคล ลักษณะใด เป็นต้น ๓) การขยายความ (Extrapolation) เป็นความสามารถในการคาดคะเนข้อเท็จจริง ล่วงหน้าโดยใช้แนวโน้มของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว อาทิ ถ้าในประเทศไทยมีบ่อน้ ามันอย่าง เพียงพอแล้ว เศรษฐกิจของประเทศจะเป็นอย่างไร เป็นต้น ๓. การน าไปใช้ (Application) เป็นความสามารถในการน าความรู้หลักวิชาหรือทฤษฎีไป ใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเรียนหรือไม่คุ้นเคย โดยจ าแนกลักษณะข้อค าถามที่ใช้ ๕ ลักษณะ ดังนี้ ๑) ถามความสอดคล้องระหว่างหลักวิชาและการปฏิบัตินั้น ๆ อาทิ พ่อค้าขายทราย ใช้หลักการเดียวกับการขายอะไร ๒) ถามขอบเขตการใช้หลักวิชาและการปฏิบัติ อาทิ เครื่องมือประเภทนี้เหมาะสม กับงานชนิดใด ๓) ถามให้อธิบายหลักวิชาว่าเหตุการณ์นั้นเกิดจากอะไร เพราะเหตุใด อาทิ จงอธิบายเหตุผลที่ท าให้ปลาในบริเวณอ่าวไทยลดลง เป็นต้น


๔) ถามให้แก้ปัญหา เป็นการแก้ปัญหาใหม่โดยใช้หลักการเดียวกับปัญหาเดิมที่เคย ได้แก้แล้ว อาทิ ถ้าท่านไม่มีอาหารประเภทเนื้อสัตว์รับประทาน ท่านจะรับประทานอาหาร อะไรทดแทน เพื่อให้ได้รับคุณค่าของอาหารเหมือนเดิม เป็นต้น ๕) ถามเหตุผลของการปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบเหตุผลที่แท้จริงว่าจะปฏิบัติอย่างไร และเพราะเหตุใด อาทิ ชาวสวนนิยมขยายพันธุ์ต้นมะม่วง ด้วยวิธีการใด เพราะเหตุใดเป็นต้น ๔. การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นความสามารถในการแยกแยะ เพื่อหาส่วนประกอบ ย่อย ๆ ของเหตุการณ์ ว่ามีประเด็นที่ส าคัญคืออะไร แต่ละประเด็นมีความสัมพันธ์กันอย่างไรใช้ หลักการอะไร จ าแนกได้ดังนี้ ๑) การวิเคราะห์ความส าคัญ (Analysis of Elements) เป็นความสามารถใน การจ าแนกความส าคัญของประเด็นในเหตุการณ์ เหตุและผล อาทิ ในศีลห้าข้อ ข้อใดเป็นข้อ ที่ส าคัญที่สุด เป็น ต้น ๒) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (Analysis of Relationships) เป็นความสามารถใน การจ าแนกความสัมพันธ์หรือความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ย่อย ๆ เพื่อน ามาอุปมาอุปไมย อาทิ เพราะเหตุใด แสงจึงมีความเร็วมากกว่าเสียง เป็นต้น ๓) การวิเคราะห์หลักการ (Analysis of Elements) เป็นความสามารถในการระบุ เหตุการณ์ที่ใช้เชื่อมโยงเหตุการณ์ย่อย ๆ ให้อยู่กันอย่างเป็นระบบ อาทิ หลักการที่ใช้ท าให้ รถยนต์วิ่งได้คือ หลักการใด เป็นต้น ๕. การสังเคราะห์ (Synthesis) เป็นความสามารถในการผสมผสานส่วนย่อย เพื่อให้ เกิด องค์ประกอบใหม่ที่มีโครงสร้างใหม่จ าแนกได้ดังนี้ ๑ ) ก า ร สัง เ ค ร า ะ ห์ ข้ อ ค ว า ม (Production of Unique Communication) เป็นความสามารถในการสังเคราะห์ข้อความเพื่อหาข้อสรุปร่วมกันโดยการพูด การเขียน หรือวิพากษ์วิจารณ์ อาทิ ให้นักเรียนเขียนเรียงความเรื่อง “คุณลักษณะของนักเรียนไทยใน อนาคต” เป็นต้น ๒ ) ก า ร สัง เ ค ร า ะ ห์ แ ผ นง า น (Production of Plan and Propose Set of Operations) เป็นความสามารถในการก าหนดแนวทางและขั้นตอนในการปฏิบัติงานใหม่ หรือการสังเคราะห์ แผนงานเดิมเพื่อจัดท าแผนงานใหม่ที่ช่วยให้การด าเนินงานสอดคล้องกับ เกณฑ์และมาตรฐาน ได้ดีกว่าเดิม อาทิ นักเรียนจะวางแผนอย่างไรจึงจะท าให้เรียนเก่ง เป็นต้น ๓) การสังเคราะห์ทางด้านความสัมพันธ์ ( Derivation of a Set of Abstract Relations) เป็นความสามารถในการน าแนวคิดย่อย ๆ มาสัมพันธ์กันอย่างสมเหตุสมผลจน เป็นสมมติฐาน กฎ หรือทฤษฎี อาทิ ให้นักเรียนได้ก าหนดสมมติฐานในปัญหาการวิจัยที่จะ ด าเนินการ หรือให้สรุปผลที่ได้ตามจุดประสงค์ที่ก าหนดไว้ เป็นต้น ๖. การประเมินค่า (Evaluation) เป็นความสามารถในการพิจารณาตัดสินคุณค่า อาทิ ดี- เลว เหมาะ-ไม่เหมาะ ฯลฯ โดยการน ามาเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน จ าแนกได้ดังนี้


๑) การประเมินค่าโดยใช้เกณฑ์ภายใน (Judgment in Terms of Internal Evidence) เป็นความสามารถในการพิจารณาความถูกต้อง ความสมเหตุสมผล หรือความ สอดคล้องโดยใช้ เกณฑ์ภายในของประเด็นนั้น ๆ เป็นส าคัญ อาทิ การปฏิบัติได้ผลตรงตาม เป้าหมายมากหรือน้อยเพียงใด หรือ การเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นต้น ๒) การประเมินค่าโดยใช้เกณฑ์ภายนอก (Judgment in Terms of External Evidence) เป็นความสามารถในการพิจารณาความถูกต้อง ความสมเหตุสมผล หรือความสอดคล้องโดยใช้ เกณฑ์ภายนอกที่สังคม หรือระเบียบประเพณีที่ก าหนดไว้ อาทิ สิ่งที่ ด าเนินการให้ประโยชน์ ต่อสังคมในด้าน ใดบ้าง หรือผลที่ได้รับมีความสอดคล้องกับ หลักการที่ก าหนดให้หรือไม่อย่างไร เป็นต้น จากการวัดพฤติกรรม ทางการศึกษา ด้านพุทธิ พิสัย หรือสติปัญญา ที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การวัดและประเมินผลของ นักเรียนด้านพุทธิพิสัย แบ่งเป็น ๖ ระดับ ได้แก่ ความรู้ ความเข้าใจ การน าไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้วัดพฤติกรรมทางการศึกษา ด้านพุทธิพิสัย ๒ ระดับ คือ ความรู้ และความเข้าใจ จากที่กล่าวมาข้างต้นในหัวข้อการวัดพฤติกรรมทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัย หรือสติปัญญา สามารถ สรุปได้ว่า การวัดและประเมินผลของนักเรียนด้านพุทธิพิสัย แบ่งเป็น ๖ ระดับ ได้แก่ ความรู้ ความเข้าใจ การ น าไปใช้การวิเคราะห์การสังเคราะห์และการประเมินค่า ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้วัดพฤติกรรมทาง การศึกษาด้านพุทธิพิสัย ๒ ระดับ คือ ความรู้ และความเข้าใจ ๒.๔.๔ เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย ผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทยเป็นผลส าเร็จของการเรียนภาษาไทยของนักเรียนและการสอนของ ผู้สอน เช่น ผลสัมฤทธิ์การเรียนหลักการใช้ภาษา นักเรียนแต่ละคนจะประสบความส าเร็จในการเรียนรู้เรื่อง หลักการใช้ภาษาไม่เท่ากันแม้จะเรียนอยู่ในระดับชั้นเดียวกันและมีสภาพแวดล้อมในการเรียนที่คล้ายกัน ผลสัมฤทธิ์การเรียนหลักการใช้ภาษาของนักเรียนขึ้นอยู่กับความสามารถทางสมองความสนใจ และ ประสบการณ์ทางภาษาของนักเรียน การรู้ผลสัมฤทธิ์การเรียน แต่ละ ทักษะของนักเรียนจะช่วยให้ผู้สอนและ นักเรียนน าผลไปใช้พัฒนาการสอน และการเรียนให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามการวัดผลสัมฤทธิ์จ าเป็นต้องใช้ เครื่องมือที่มีมาตรฐานเพื่อผลที่วัดออกมา จะได้มีความ เชื่อถือกระบวนการวัดผลจึงต้องมีระบบซึ่งเป็น ข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับ การบริหารการใช้เครื่องมือ วัดผลวัตถุประสงค์ของการใช้เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์การ เรียนภาษาไทย ๑) เป็นการวัดพื้นฐานการเรียนภาษาไทยของนักเรียนก่อนที่กิจกรรมการเรียนจะเริ่มขึ้น ผู้สอนอาจ ท าการวัดพื้นฐานการเรียนในชั่วโมงแรกของการเปิดภาคเรียนเพื่อน าผลมาวินิจฉัยว่า นักเรียนมี พื้นฐานความรู้ ในเรื่องที่จะเรียนภาษาไทยมากหรือน้อย ผู้สอนจะได้น าผลมาใช้เป็นแนวทาง ในการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนต่อไป ๒) เป็นการวัดผลภายหลังที่นักเรียนได้เรียนเนื้อหาครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ที่ก าหนดไว้ เช่น ใน ภาคเรียนหนึ่งก าหนดให้นักเรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางภาษาไทย โดยสามารถจ า เข้าใจ น าไปใช้


วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าได้ อย่างน้อยร้อยละ ๖๐ มีเนื้อหาสาระจากแบบเรียน และหนังสืออ่าน ประกอบซึ่งเป็นสื่อใช้ฝึกความรู้ทางภาษาไทยให้นักเรียนเปลี่ยนพฤติกรรมตาม วัตถุประสงค์ การวัดผลโดยใช้ เครื่องมือวัดผลฤทธิ์จะช่วยให้ผู้สอนรู้ว่านักเรียนประสบความส าเร็จตาม เกณฑ์อย่างน้อย ร้อยละ ๖๐ หรือไม่ ถ้าค าตอบออกมาว่าไม่ ก็จ าเป็นต้องหาทางปรับปรุงแก้ไขต่อไป ๓) เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนของนักเรียนแต่ละคนกับคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม นักเรียนเพื่อพิจารณาว่าสูงหรือต่ าจากค่าเฉลี่ย เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงกิจกรรมการเรียนการสอนใน การพัฒนาให้นักเรียนแต่ละคนให้มีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนสูงขึ้นกว่าเดิม ๔) เปรียบเทียบความก้าวหน้าในการเรียนระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับคะแนนหลังเรียน การทดสอบ ก่อนเรียนจะใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนจึงด าเนินการสอนตามวัตถุประสงค์เมื่อครบ ตามเวลาที่ ก าหนดการสอน แล้วจึงทดสอบหลังเรียนด้วยข้อทดสอบชุดเดียวกับการวัดผลก่อนเรียน จากนั้นจึงน าคะแนน ทั้งสองครั้งมาเปรียบเทียบกัน เพื่อพิจารณาความแตกต่างว่าคะแนนหลังเรียน สูงขึ้นหรือต่ ากว่าเดิม ผลที่ ปรากฏจะใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแผนการสอนภาษาไทย เพื่อจัด กิจกรรมให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้น ๕) เปรียบเทียบเวลาที่ใช้ในการท าข้อสอบกับเวลาเฉลี่ยที่เป็นมาตรฐาน นักเรียนบางคนอาจ ใช้เวลา มากหรือน้อยจากเวลาที่เป็นมาตรฐานของการท าข้อสอบ การใช้เวลาที่แตกต่างกันอาจ ชี้ให้เห็นทั้งข้อดีและ ข้อบกพร่อง ข้อดีคือนักเรียนท าข้อสอบได้จึงใช้เวลาน้อยกว่าที่ก าหนดข้อบกพร่องคือ เมื่อท าข้อสอบไม่ได้จะใช้ วิธีการเดา ท าให้เสร็จเร็วกว่าเวลาที่ก าหนด นอกจากนั้นบาง คนอาจท าข้อสอบไม่ทันตามเวลา ข้อสังเกตตามที่ กล่าวมานี้จะช่วยให้ผู้สอนน ามาปรับการบริหาร เครื่องมือให้นักเรียนใช้เวลาในการท าข้อสอบได้ตามที่ก าหนด ต่อไป ๖) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการเรียนภาษาไทยระหว่างทักษะต่าง ๆ ได้แก่ ฟัง พูด อ่าน และเขียน โดยน าคะแนนที่ได้มาปรับเป็นคะแนนมาตรฐาน แล้วจึงน ามาเปรียบเทียบกัน ท าให้เห็นความแตกต่างของ คะแนนผลสัมฤทธิ์การเรียนของแต่ละทักษะ ซึ่งจะชี้ให้เห็นว่าควรปรับปรุงทักษะใดให้มีผลสัมฤทธิ์อยู่ในระดับที่ ใกล้เคียงกับทักษะอื่น ๆ ๗) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทยกับผลการเรียนวิชาอื่น ๆ โดยปรับให้เป็น คะแนน มาตรฐาน แล้วจึงน าไปเปรียบเทียบกันจะท าให้เห็นคะแนนผลสัมฤทธิ์วิชาภาษาไทยใกล้เคียง กับวิชาอื่น ๆ หรือไม่ เพื่อผู้สอนและนักเรียนจะได้ปรับปรุงผลการเรียนของแต่ละวิชาให้ดีขึ้น จากที่กล่าวมาข้างต้นในหัวข้อเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย สามารถสรุปได้ว่า การใช้ เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนมีวัตถุประสงค์ เพื่อวัดความรู้พื้นฐานก่อนเรียน วัดผลหลังเรียน เปรียบเทียบ ความแตกต่างระหว่างคะแนนของนักเรียนแต่ละคนกับคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มและเปรียบเทียบความก้าวหน้าใน การเรียนระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับคะแนนหลังเรียน ผู้วิจัยน า ความรู้นี้ไปใช้ในงานวิจัยโดยการสร้าง เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อใช้ในการพัฒนาและเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ที่เรียนหลักการใช้ภาษา เรื่อง การอ่านและการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตาม


มาตรา โดยใช้สมองเป็นฐาน (BBL) ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ และให้คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนตามวัตถุประสงค์ที่ได้ก าหนดไว้ ๒.๕ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และงานวิจัยที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกับงานวิจัยเล่มนี้ไว้อย่าง มากมาย จะเห็นได้ดังนี้ ๒.๕.๑ งานวิจัยด้านการสอนเกี่ยวกับมาตราตัวสะกด จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมาตราตัวสะกดพบงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ดังนี้ จอมพล อุ่นอ่อน และนพดล จันทร์เพ็ญ (๒๕๕๗) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะการ เขียนสะกดไม่ตรงตามมาตรา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ การวิจัย ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา ส าหรับชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๔ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน ๘๐/๘๐ และ ๒) เปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการ เขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตราของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ก่อนเรียน และหลังเรียนโดยใช้แบบฝึก ทักษะ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบ้านผึ้ง (มธุลีห์ประชาสรรค์) อ าเภอกันทรารมย์ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต ๑ ภาคเรียนที่ ๒ จ านวน ๓๗ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย ๑) แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตาม มาตรา ๒) แบบทดสอบการเขียนสะกดค า ซึ่งมีค่าความยากง่ายตั้งแต่ .๒๐-.๗๔ ค่าอ านาจจ าแนกตั้งแต่ . ๓๑-.๗๗ และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ ๐.๘๗ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน และการทดสอบค่า t ผลการวิจัยพบว่า ๑) แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตราส าหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๔ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นประกอบด้วยค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา แม่กก แม่กด แม่กบ และแม่กน ซึ่งเป็นค าที่ใช้ในชีวิตประจ าวันมีแบบฝึกประสิทธิภาพ เท่ากับ ๘๔.๐๔/๘๒.๘๘ สูงกว่า เกณฑ์มาตรฐาน ๘๐/ ๘๐ ที่ตั้งไว้และ ๒) ผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตราของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ที่ ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่าง มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑ ณัฏฐนาถ สุกสี (๒๕๕๘) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การสร้างแบบฝึกร่วมกับภาพการ์ตูนเพื่อพัฒนาการเขียน สะกดค าที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) การสร้างแบบฝึกร่วมกับภาพการ์ตูนเพื่อพัฒนาการเขียนสะกดค าที่มี ตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ส าหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๒) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกร่วมกับ ภาพการ์ตูน เพื่อพัฒนาการเขียนสะกดค า ที่มีตัวสะกดไม่ ตรงตามมาตรา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ และ ๓) เพื่อศึกษา ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อ ใช้แบบฝึกร่วมกับภาพ การ์ตูน เพื่อพัฒนาการเขียนสะกดค าที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ส าหรับนักเรียนชั้น


ประถมศึกษาปีที่ ๓ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนวัดชัยพฤกษ มาลา กรุงเทพมหานคร ที่เรียนอยู่ในภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๘ จ านวน ๓๐ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย ๑) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องตัวสะกดที่ไม่ตรง ตาม มาตรา ๒) แบบฝึกร่วมกับภาพการ์ตูนเรื่องตัวสะกดที่ไม่ตรงตามมาตรา ๓) แบบทดสอบก่อนเรียนและหลัง เรียนเรื่องตัวสะกดที่ไม่ตรงตามมาตรา และ ๔) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึก ร่วมกับภาพการ์ตูน สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า ๑) แบบฝึกร่วมกับภาพการ์ตูนเพื่อพัฒนาการเขียนสะกดค าที่มีตัวสะกดไม่ตรงตาม มาตราส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ มีประสิทธิภาพเท่ากับ ๙๑.๒๙/๘๙.๓๓ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๒) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกร่วมกับ ภาพการ์ตูน เพื่อพัฒนาการเขียน สะกดค าที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ หลังเรียนมีเกณฑ์สูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยทางสถิติที่ระดับ .๐๕ และ ๓) ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนวัด ชัยพฤกษมาลา กรุงเทพมหานคร ที่มีต่อการใช้แบบฝึกร่วมกับภาพการ์ตูน เพื่อพัฒนาการเขียนสะกดค าที่มี ตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โดยภาพรวมเห็นด้วยมาก (̅ = ๒.๙๐, S.D. = ๐.๓๐) จิตตพัฒน์ มังกรพันธุ์ (๒๕๕๘) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาหนังสือนิทาน ชุดอีสปกลอนสี่เพื่อ ส่งเสริมทักษะการเขียนสะกดค าที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ การวิจัย ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อพัฒนาหนังสือนิทาน ชุดอีสปกลอนสี่ ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ให้มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๕/๘๕ ๒) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียน สะกดค าที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้หนังสือนิทานชุดอีสปกลอนสี่ และ ๓) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้หนังสือนิทาน ชุดอีส ปกลอนสี่ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนนาคประสิทธิ์ อ าเภอสาม พราน จังหวัด นครปฐม ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๘ จ านวน ๔๓ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย หนังสือนิทานชุดอีสปกลอนสี่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบวัดทักษะการเขียนสะกดค าที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา และแบบสอบถามความ คิดเห็นของนักเรียนที่มี ต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้หนังสือนิทานชุดอีสปกลอนสี่ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย (̅ ) ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าที่ (t-test) แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (dependent) ผลการวิจัยพบว่า ๑) หนังสือนิทาน ชุดอีสปกลอนสี่ เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนสะกดค าที่มีีตัวสะกด ไม่ตรงตามมาตรา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ ๘๘.๒๕/๘๕.๙๐ ๒) ทักษะการเขียนสะกดค าที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ หลังการจัดการ เรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ .๐๕ และ ๓) ความคิดเห็นของนักเรียนชั้น


ประถมศึกษาปีที่ ๔ ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้หนังสือนิทานชุดอีสปกลอนสี่ ในภาพรวมอยู่ในระดับเห็น ด้วยมาก a ๒.๕.๒ งานวิจัยด้านภาษาไทยที่เกี่ยวกับ BBL จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ BBL พบงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ดังนี้ ธัญญรัตน์ อุยโต (๒๕๖๑) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยโดยการจัดการเรียนรู้แบบใช้สมองเป็นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ (BBL) การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะการเขียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๓ ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบใช้สมองเป็นฐาน(Brain–Based Learning : BBL) กับแบบ ปกติ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๓ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๑ ของ โรงเรียนวัดสัมปทวน จังหวัดฉะเชิงเทรา จ านวน ๕๘ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย ๑) แผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้สมองเป็นฐาน ๒) แผนการจัดการเรียนรู้แบบปกติ และ ๓) แบบวัดทักษะการเขียน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการเปรียบเทียบ ค่าเฉลี่ยด้วยสถิติ t-test for Independent Samples ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบใช้สมองเป็น ฐาน (Brain–Based Learning : BBL) มีค่าเฉลี่ยทักษะการเขียน ร้อยละ ๘๒.๐๑ ส่วนนักเรียนที่ได้รับ การจัดการ เรียนรู้แบบปกติมีค่าเฉลี่ยทักษะการเขียน ร้อยละ ๗๙.๑๑ และพบว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบใช้ สมองเป็นฐาน (Brain–Based Learning : BBL) มีทักษะการเขียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยสูงกว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ นีรนุช นิลทะการ และรัชนิวรรณ อนุตระกูลชัย (๒๕๖๒) ได้ศึกษาวิจัยการพัฒนาทักษะการเขียนค าที่ มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐาน ส าหรับ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาที่ ๓ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนค าที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐาน ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ให้มีคะแนนเฉลี่ยไม่ น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ของคะแนนเต็ม และมีจ านวน นักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ไม่น้อยกว่า ร้อยละ ๘๐ ของนักเรียน ทั้งหมด และ ๒) เพื่อศึกษาความพึงพอใจ ของนักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนบ้านดู่ใหญ่ สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาขอนแก่น เขต ๒ จ านวน ๑๕ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย ๑) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐาน กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การเขียนค าที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ทั้งหมด ๘ แผน ใช้เวลา ๘ ชั่วโมง และ ๒) แบบทดสอบวัดทักษะการเขียนค าที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา เป็นข้อสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ จ านวน ๒๐ ข้อ และ ๓) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐาน จ านวน ๑๕ ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน


ผลการวิจัยพบว่า ๑) นักเรียนมีคะแนนทักษะการเขียนค าที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา เฉลี่ยคะแนน ๑๘.๓๓ คิดเป็นร้อยละ ๙๑.๖๕ และมีจ านวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ ๘๐ จ านวน ๑๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๘๖.๖๖ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ และ ๒) นักเรียนมีคะแนนพึงพอใจต่อ การจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็น ฐาน อยู่ในระดับมากที่สุด ณัฐนันท์จันทโสก และวรางคณา เทศนา (๒๕๖๔) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านและ การเขียนสะกดค า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบสมอง เป็นฐาน (BBL) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) หาประสิทธิภาพแผน การจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐาน (BBL) ประกอบแบบฝึกทักษะ การอ่านและการเขียนสะกดค า ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๒) ศึกษา ค่าดัชนีประสิทธิผลจากการเรียนเรื่อง การอ่านและการเขียนสะกดค าของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โดย ใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐาน (BBL) และ ๓) ศึกษาความพึงพอใจหลังจากการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐาน (BBL) กลุ่มตัวอย่าง การวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๒ โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม อ าเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัด มหาสารคาม จ านวน ๓๕ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย ๑) แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านและการเขียน สะกดค า โดยใช้แบบฝึกทักษะ ร่วมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐาน (BBL) ๒) แบบทดสอบการอ่านและ การเขียนสะกดค า และ ๓) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า ๕ ระดับ (Rating Scale) จ านวน ๑๕ ข้อสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ประสิทธิภาพ และดัชนีประสิทธิผล ผลการวิจัยพบว่า ๑) แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านและการเขียนสะกดค า โดยใช้แบบฝึก ทักษะ ร่วมกับการจัดการเรียนรูแบบสมองเป็นฐาน (BBL) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ มีประสิทธิภาพเท่ากับ ๘๒.๐๗/๘๐.๘๖ ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ที่ก าหนดไว้ ๒) ค่าดัชนีประสิทธิผลของนักเรียนที่เรียนการอ่าน และการเขียนสะกดค า โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐาน (BBL) มีค่าเท่ากับ ๐.๔๖๓๙ แสดงว่านักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนคิดเป็นร้อยละ ๔๖.๓๙ และ ๓) นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๖ มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านและการเขียนสะกดค าโดยใช้แบบฝึก ทักษะ ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐาน (BBL) อยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅ = ๔.๖๑) จากที่กล่าวมาจะเห็นว่า งานวิจัยที่เกี่ยวกับมาตราตัวสะกด และวิจัยแนวคิดเกี่ยวกับ BBL ที่ผู้วิจัยได้ ท าการศึกษานี้เป็นประโยชน์อย่างมากในการจัดท าวิจัย การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านและการเขียนสะกดค า ที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีผู้วิจัยสามารถน าไปเป็นแนวทางในการ ด าเนินงานวิจัยให้เป็นไปในรูปแบบที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ เช่น งานวิจัยของ ณัฐนันท์จันทโสก และ วรางคณา เทศนา ที่ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนสะกดค า ของนักเรียนชั้น


ประถมศึกษาปีที่ ๖ โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐาน (BBL) มีการใช้เครื่องมือ คือ แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านและการเขียนสะกดค า โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบสมองเป็นฐาน (BBL) ซึ่งช่วยสร้างแรงบันดาล ใจให้ผู้วิจัยที่จะศึกษาพัฒนาเครื่องมือเพื่อให้มี ประสิทธิภาพ สอดคล้องกับงานวิจัยและน ามาเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้ดียิ่งขึ้น ผู้วิจัยจึงได้สนใจศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการอ่านและการเขียนสะกดค าที่ไม่ ตรงตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียน อ นุ บ า ล อุ ด ร ธ า นี จัง ห วั ด อุ ด ร ธ า นี โ ด ย ก า ห น ด ก ร อ บ แ น ว คิ ด ใ น ก า ร วิ จั ย ดัง ต่ อ ไ ป นี้ o o o o o o o o o o o o o o o o


บทที่ ๓ วิธีด าเนินการวิจัย การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการอ่านและการ เขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๔ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีโดยได้น าเสนอวิธีด าเนินการศึกษาตามหัวข้อ ดังนี้ ๓.๑ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ๓.๒ แบบแผนการวิจัย ๓.๓ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๓.๔ การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ ๓.๕ การเก็บรวบรวมข้อมูล ๓.๖ การวิเคราะห์ข้อมูล ๓.๗ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ๓.๑ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียน อนุบาลอุดรธานี อ าเภอ เมือง จังหวัดอุดรธานี จ านวน ๑๒ ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น ๔๔๓ คน ปีการศึกษา ๒๕๖๖ กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔/๑๐ โรงเรียน อนุบาล อุดรธานี อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จ านวนนักเรียนทั้งหมด ๔๒ คน ๓.๒ แบบแผนการวิจัย การศึกษาครั้งนี้มีแบบแผนการวิจัย (Experimental Design) กลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลัง การ ทดลอง (One group Pretest – Posttest Design) ดังตารางต่อไปนี้ ตารางที่ ๒ รูปแบบการทดลองแบบกลุ่มตัวอย่างเดียว ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่ม สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง คะแนน คะแนน E T๑ X T๒ E๑ E๒ สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง E แทน กลุ่มทดลอง (Experimental Group)


T๑ แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน รูปแบบการสอนโดยใช้สมองเป็นฐาน (BBL) T๒ แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest) E๑ แทน คะแนนเฉลี่ยจากการท ากิจกรรมระหว่างเรียนของนักเรียนโดยคิดเป็นค่าไม่ต่ า กว่า ร้อยละ ๘๐ E๒ แทน คะแนนเฉลี่ยจากการท าแบบทดสอบหลังเรียนของนักเรียน โดยคิดเป็นค่าไม่ต่ ากว่าร้อย ละ ๘๐ ๓.๓ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่องการอ่านและ การเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ๑. แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย เรื่องการอ่านและการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีซึ่งประกอบไปด้วยแผนจ านวน ๕ แผน คือ แผนที่ ๑ ค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดแม่กน แผนที่ ๒ ค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดแม่กก แผนที่ ๓ ค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดแม่กบ แผนที่ ๔ ค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดแม่กด ๑ แผนที่ ๕ ค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดแม่กด ๒ ๒. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการอ่านและการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรง ตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนอนุบาล อุดรธานี จังหวัดอุดรธานีแบบปรนัย ๒๐ ข้อ ๓.๔ การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ ผู้วิจัยได้ก าหนดรายละเอียดของการสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือในการวิจัย ดังนี้ ๑. แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย การอ่านและการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา โดย ใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้าง ดังนี้ ๑.๑ ศึกษาและวิเคราะห์แนวคิดต่าง ๆ เกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมทาง การศึกษา


๑.๒ ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย คู่มือครูหนังสือเรียนวิชาภาษาไทย ภาษาพาที ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โดยกระทรวงศึกษาธิการ ๑.๓ ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนอนุบาลอุดรธานี กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ๑.๔ ก าหนดเนื้อหาและระยะเวลาในการวิจัย สร้างตารางวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ การอ่านและการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้สมองเป็นฐาน (BBL) ใช้เวลาในการด าเนินการวิจัย ทั้งหมดเป็นเวลา ๑๐ สัปดาห์ โดยสอน ๒ สัปดาห์ ต่อ ๑ ชั่วโมง รวมระยะเวลาทั้งสิ้น ๕ ชั่วโมง ๑.๕ จัดท าแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การอ่านและการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) แผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย มาตรฐานตัวชี้วัด จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระส าคัญ สาระการเรียนรู้ สมรรถนะที่ส าคัญของนักเรียน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ชิ้นงาน/ภาระงาน กระบวนการจัดการเรียนรู้ สื่อ/แหล่งการเรียนรู้การวัดและการประเมินผล ๑.๖ น าแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นน าเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบ เรื่องการ ใช้ภาษา ความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์ กิจกรรมการเรียนรู้ และ การประเมินผล ๒. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการอ่านและการเขียนสะกดค าที่ไม่ ตรงตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) เพื่อเสริมกระบวนการจัดการเรียนรู้ จ านวน ๒๐ ข้อ ๔ ตัวเลือก ให้ครอบคลุมเนื้อหาสาระและผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ๒.๑ ศึกษาทฤษฎี วิธีสร้าง เทคนิคการเขียนข้อสอบแบบเลือกตอบ คู่มือการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ เรื่องการอ่านและการเขียนสะกดค าที่ ไม่ตรงตาม มาตรา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ๒.๒ สร้างตารางวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหาหลักการใช้ภาษา เรื่องการอ่าน และการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ๒.๓ สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย แบบปรนัย จ านวน ๒๐ ข้อ ๔ ตัวเลือก ให้ครอบคลุมเนื้อหาสาระและผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ๒.๔ น าแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จ านวน ๓ ท่าน ซึ่งเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้าน การสอนวิชาภาษาไทย การวิจัย และด้านการวัดผลและประเมินผลเพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาใช้ ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบ มีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +๑ เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดสอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ให้คะแนน ๐ เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดสอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ให้คะแนน -๑ เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดไม่สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง


๒.๕ น าผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่างข้อ ค าถามของแบบทดสอบกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยหาค่า IOC ซึ่งมีค่าเท่ากับ ๑.๐๐ ทุกข้อ ๒.๖ น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ก าลัง เรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ปีการศึกษา ๒๕๖๖ ที่เรียนวิชาภาษาไทย ผ่านมาแล้วและไม่ใช่ กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย จ านวน ๔๒ คน แล้วน าคะแนนได้มาวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (P) และหาค่าค า อ านาจจ าแนก (r) เป็นรายข้อ ๒.๗ น าข้อสอบที่คัดเลือกแล้วจ านวน ๒๐ ข้อ ไปทดสอบเพื่อหาค่าความเชื่อมั่น ของ แบบทดสอบทั้งฉบับโดยใช้สูตร KR-๒๐ ของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน (Kuder-Richaedson Method) ๒.๘ น าแบบทดสอบที่ได้ไปวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ปี การศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างใน การทดลองภาคสนามต่อไป ก ก ก ๓.๕ การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ด าเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างตามล าดับ ดังนี้ ๑. ก่อนการทดลองให้นักเรียนท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย หลักการใช้ ภาษา เรื่องการอ่านและการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรงตามมาตรา ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ๒. ผู้วิจัยด าเนินการสอนกลุ่มตัวอย่างด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น โดยให้นักเรียน เรียนรู้ และปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ มีการวัดและการประเมินผลด้วยการตอบค าถามคุณครูซึ่งประกอบด้วย แผนการ จัดการเรียนรู้ จ านวน ๕ แผน คือ แผนที่ ๑ ค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดแม่กน แผนที่ ๒ ค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดแม่กก แผนที่ ๓ ค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดแม่กบ แผนที่ ๔ ค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดแม่กด ๑ แผนที่ ๕ ค าที่สะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดแม่กด ๒ ๓. เมื่อสิ้นสุดการทดลองแล้ว น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย (ชุดเดิม) ไป ทดสอบนักเรียนอีกครั้ง จากนั้นน าผลที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติต่อไป


๓.๖ การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านและการเขียนสะกดค าที่ไม่ตรง ตามมาตรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (BBL) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ผู้ด าเนินการวิจัย ใช้โปรแกรมส าเร็จรูปทางสถิติส าหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์ ตามขั้นตอนดังนี้ ๑. ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และร้อยละ ๒. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ระหว่างก่อนเรียนและ หลังเรียนโดยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t – test for Dependent Sample) ๓.๗ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยเลือกใช้สถิติ ดังนี้ ๑. สถิติพื้นฐาน ใช้ค่าเฉลี่ย (x̅) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยใช้โปรแกรม ส าเร็จรูปทางสถิติ ส าหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์ ๒. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพของเครื่องมือโดยใช้โปรแกรมส าเร็จรูปTest Analysis Program (TAP) ๒.๑ ค่าความยากง่าย (P) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๒.๒ ค่าอ านาจจ าแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๒.๓ ค่าความเชื่อมั่นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน KR-๒๐ ของคูเดอร์ ริ ชาร์ดสัน (Kuder-Richardson Method) เมื่อ แทน ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ P แทน สัดส่วนของผู้ที่ตอบถูกในแต่ละข้อ q แทน สัดส่วนของผู้ท าผิดในข้อหนึ่ง ๆ n แทน จ านวนข้อสอบแบบทดสอบ S2 1 แทน ความแปรปรวนของคะแนนทั้งฉบับ ๒.๔ หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ค่าดัชนี ความสอดคล้อง (IOC) เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้อง


∑ แทน ผลรวมของความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จ านวนของผู้เชี่ยวชาญ ๓. หาค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) หาค่าคะแนนเฉลี่ย ̅ ค านวณจากสูตร เมื่อ ̅ แทน คะแนนเฉลี่ย ∑ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จ านวนนักเรียนของกลุ่มตัวอย่าง ๔. หาค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนจากการทดสอบใช้สูตร ดังนี้ เมื่อ SD แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑ ̅ แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนนแต่ละตัวยกก าลังสอง (∑ ̅)2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวยกก าลังสอง N แทน จ านวนนักเรียนของกลุ่มตัวอย่าง ๕. สถิติที่ใช้ทดสอบสมมุติฐาน โดยใช้โปรแกรมส าเร็จรูปทางสถิติส าหรับข้อมูลทาง สังคมศาสตร์ (SPSS for Windows) ๕.๑ สถิติที่ใช้ทดสอบความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับ หลังเรียน คือ การทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Sample) และ (t-test for one Sample) จากวิธีการด าเนินการวิจัย ผู้วิจัยใช้ประชากร คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียน อนุบาลอุดรธานี จ านวน ๑๒ ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น ๔๔๓ คน และกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๔/๑๐ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี จ านวน ๔๒ คน โดยใช้ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย รูปแบบการทดลองใช้แบบกลุ่มตัวอย่างเดียว ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ คือ แผนการสอน และแบบทดสอบหลังเรียน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบทดสอบหลังเรียนจ านวน ๒๐ ข้อ และวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สูตรค านวณทางสถิติ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบด้วยโปรแกรม SPSS


บรรณานุกรม กรมวิชาการ. (๒๕๕๑). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๕๑). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. _______. (๒๕๕๒). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. _______. (๒๕๕๒). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพมหานคร: กระทรวงศึกษาธิการ. ก าชัย ทองหล่อ. (๒๕๕๐). หลักภาษาไทย. กรุงเทพฯ: รวมสาส์น. เกศสุดา ใจค า. (๒๕๕๒) การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน. วารสารมหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น, ๓(๑), ๖๒–๗๐. เกรียงศักดิ์ นามเสริฐ. (๒๕๖๐). การพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนสะกดค า โดยใช้แผนผัง ความคิด นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ จอมพล อุ่นอ่อน และนพดล จันทร์เพ็ญ. (๒๕๕๗). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดไม่ตรง ตามมาตรา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔. วารสารบัณฑิตวิทยาลัยพิชญทรรศน์, ๙(๑), ๑–๗. จิตตพัฒน์ มังกรพันธุ์. (๒๕๕๘). การพัฒนาหนังสือนิทาน ชุด อีสปกลอนสี่ เพื่อส่งเสริมทักษะ การเขียนสะกดค าที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร. ชนาธิป พรกุล. (๒๕๕๔). การสอนกระบวนการคิดทฤษฎีและการน าไปใช้. กรุงเทพฯ: วี พริ้นท์. ณัฏฐนาถ สุกสี. (๒๕๕๘). การสร้างแบบฝึกร่วมกับภาพการ์ตูนเพื่อพัฒนาการเขียนสะกดค า ที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร. ณัฐนันท์ จันทโสก และวรางคณา เทศนา. (๒๕๖๔). การพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนสะกด ค าของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สมองเป็นฐาน (BBL). วารสารวิชาการสถาบันพัฒนาศักยภาพก าลังคนเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก, ๑(๒), ๑๐๒–๑๑๓. ทิศนา แขมมณี. (๒๕๕๖). รูปแบบการเรียนการสอนทางเลือกที่หลากหลาย. พิมพ์ครั้งที่ ๘, กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.


_______. (๒๕๕๓). ศาสตร์การสอนองค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพ. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ทัศนีย์ ศุภเมธี. (๒๕๔๒). วิธีสอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา. กรุงเทพฯ: ธนะการพิมพ์. ธัญญรัตน์ อุยโต (๒๕๖๑). การพัฒนาทักษะการเขียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโดยการจัดการ เรียนรู้แบบใช้สมองเป็นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหา บัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. เธียร พานิช. (๒๕๔๔). การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับธรรมชาติการเรียนรู้ของ นักเรียน. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิสดศรีสฤษดิ์วงศ์. นีรนุช นิลทะการ และรัชนิวรรณ อนุตระกูลชัย. (๒๕๖๔). การพัฒนาทักษะการเขียนค าที่มีตัวสะกด ไม่ตรงตามมาตรา ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐาน ส าหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาที่ ๓. วารสารมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตร้อยเอ็ด, ๑๐(๒), ๔๐๖–๔๑๕. สมชาย วรกิจเกษมสกุล. (๒๕๕๓). ระเบียบวิธีการวิจัยทางพฤติกรรม ศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ ๒, อุดรธานี: อักษรศิลป์อุดรธานีการพิมพ์. บุษกร พรหมหล้าวรรณ. (๒๕๔๙). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติต่อการเรียน วิชานาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ที่ได้รับการสอนโดยการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนแบบ ๔ MAT. ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาการอุดมศึกษา, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. ปราณี กองจินดา. (๒๕๔๙). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และทักษะการคิด เลขในใจของนักเรียนที่ได้รับการสอนตามรูปแบบซิปปาโดยใช้แบบฝึกหัดที่เน้นทักษะ การคิดเลขในใจกับนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้คู่มือครู. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (หลักสูตรและการสอน). พระนครศรีอยุธยา: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนครศรีอยุธยา. พรหมศร. (๒๕๕๖) อ้างถึงในสุพัตรา ศรีธรรมมา. (๒๕๖๒). การพัฒนาความสามารถในการอ่านและ การเขียนสะกดค า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โดยการจัดการเรียนรู้แบบ PWIM ร่วมกับแผนผังความคิด. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร. พรพิไล เลิศวิชา. (๒๕๕๒). สอนภาษาไทยตามแนวคิด Brain -based Learning. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. พัชราภรณ์ นามทอง. (๒๕๖๑). การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านและการเขียนสะกดค า ภาษาไทย ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐาน ประกอบแบบฝึกทักษะ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. ระวิวรรณ สิทธิโชติ. (๒๕๕๒). การพัฒนาแผนการเรียนรู้ภาษาไทยเรื่องการอ่านสะกดค าตรงตาม มาตราตัวสะกดชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ด้วยการจัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับหลักพัฒนาการ


และการเรียนรู้ของสมอง (BBL). วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์. (2549). นวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้. มหาสารคาม: ภาควิชาหลักสูตรและ การสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. วิลาวัณย์ สุภิรักษ์. (๒๕๕๐). การพัฒนาแบบฝึกทักษะภาษาไทยเรื่องการเขียนสะกดค าไม่ตรง ตามมาตราตัวสะกด ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. สมชาย วรกิจเกษมสกุล. (๒๕๕๓). ระเบียบวิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ ๒, อุดรธานี: อักษรศิลป์อุดรธานีการพิมพ์. สุนันทา สายแวว. (๒๕๕๒). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดค าที่ประสมสระลดรูป สระเปลี่ยนรูป ที่สะกดตรงตามมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี. สุธาทิพย์ ชัยแก้ว. (๒๕๖๔). การพัฒนาความสามารถในการอ่าน การเขียนสะกดค าและการเรียนรู้ อย่างมีความสุขของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวคิดสมองเป็นฐาน. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาหลักสูตรและวิธีสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. ส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๔๔). หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔. กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ. อรทัย จันใด. (๒๕๕๓). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาสกลนคร. วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. Caine, R. N., & Caine, G. (1990). Understanding a brain based approach to learning and teaching Educationall Leadership. Jensen, E. (2000). Brain-Base Learning. San Diego,CA The Brain Store Pubishing.


Click to View FlipBook Version