The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หน่วยที่ 10 อุปกรณ์ควบคุมในวงจรไฟฟ้า (วันชัย)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wanplugsa2518, 2021-07-23 03:39:26

หน่วยที่ 10 อุปกรณ์ควบคุมในวงจรไฟฟ้า (วันชัย)

หน่วยที่ 10 อุปกรณ์ควบคุมในวงจรไฟฟ้า (วันชัย)

หน่วยท่ี 10
อุปกรณ์ควบคุมในวงจรไฟฟ้า

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
จุดประสงคท์ ัว่ ไป

เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่ โครงสร้างและหลักการทางานของ
อุปกรณ์ควบคุมชนิดต่างๆ ในวงจรไฟฟ้า ตรวจเช็คและเลือกใช้อุปกรณ์ควบคุมชนิดต่างๆ ใน
วงจรไฟฟ้าของเครอื่ งทาความเย็นไดถ้ ูกต้องและเหมาะสม

จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม
1. บอกหน้าทข่ี องอุปกรณ์ควบคุมชนดิ ตา่ งๆ ในวงจรไฟฟา้ ได้ถกู ตอ้ ง
2. อธบิ ายโครงสร้างและหลักการทางานของอปุ กรณ์ควบคมุ ชนิดต่างๆ ในวงจรไฟฟา้

ได้ถูกตอ้ ง
3. ตรวจสอบอุปกรณค์ วบคุมชนิดต่างๆ ในวงจรไฟฟ้าไดถ้ กู ตอ้ ง
4. เลอื กใช้อุปกรณค์ วบคมุ ชนดิ ตา่ งๆ ในวงจรไฟฟา้ ได้ถกู ตอ้ ง

สาระการเรยี นรู้
10.1 อุปกรณ์ชว่ ยสตารต์ มอเตอร์หรอื เคอร์เรนต์รีเลย์
10.1.1 เคอร์เรนต์รีเลย์แบบขดลวด
10.1.2 เคอร์เรนตร์ เี ลยแ์ บบสารกงึ่ ตัวนาหรือเทอร์มิสเตอร์
10.2 อปุ กรณ์ป้องกันมอเตอรไ์ ฟฟ้า
10.3 ตวั ควบคุมอุณหภมู ิ
10.3.1 ตัวควบคมุ อุณหภมู แิ บบกระเปาะ (Bulb bellow type)
10.3.2 ตวั ควบคุมอุณหภมู ิแบบไมเมทอล (Bimetallic type)
10.3.3 ตัวควบคุมอุณหภมู ิแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic type)
10.4 หลอดไฟตเู้ ยน็
10.5 สวติ ชป์ ระตูตูเ้ ยน็
10.6 มอเตอร์พดั ลมตู้เย็น
10.7 ดีฟรอสไทเมอร์
10.8 ดฟี รอสเทอรโ์ มสเตต
10.9 ดฟี รอสฮีสเตอร์
10.10 เทอรโ์ มฟวิ ส์
10.11 เดรนฮสี เตอร์

240 เครื่องทำควำมเยน็ (2104-2007)

แบบทดสอบกอ่ นเรียนหน่วยท่ี 10
เรอ่ื ง อปุ กรณ์ควบคุมในวงจรไฟฟา้

วิชา เครอ่ื งทาความเยน็ รหัสวิชา 2104-2007 ระดับชน้ั ปวช. 2

สาขางานไฟฟ้ากาลงั วิทยาลยั เทคนคิ พิษณุโลก

ข้อสอบแบบปรนัย ทั้งหมดมี 10 ขอ้ เวลา 10 นาที คะแนนเต็ม 10 คะแนน

คาสัง่ จงทาเครื่องหมาย X หนา้ คาตอบทถ่ี ูกท่ีสดุ ลงในกระดาษคาตอบ
1. รีเลยท์ ี่ใชใ้ นวงจรไฟฟา้ ของระบบเครื่องทาความเย็นมีหนา้ ที่อะไร

ก. ตัดวงจรไฟฟ้าของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์เม่ือมีกระแสเกินพกิ ดั
ข. ตัดวงจรไฟฟา้ ของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์เมอ่ื อณุ หภูมิในระบบถึงคา่ ที่กาหนด
ค. ควบคุมกระแสทไ่ี หลเข้าขดลวดรันของมอเตอรค์ อมเพรสเซอร์
ง. ชว่ ยสตารต์ และควบคุมกระแสที่ไหลเข้าขดลวดสตาร์ตของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์
2. อุปกรณ์เคอร์เรนต์รีเลย์มขี ้วั ขดลวดกระแสเป็นตัวอักษรใดกับอกั ษรใด
ก. ขว้ั 1–S
ข. ขั้ว R–S
ค. ขัว้ 1–M
ง. ขว้ั C–S
3. โอเวอรโ์ หลดทาหนา้ ที่อะไรในวงจรไฟฟา้ ของตู้เย็น
ก. ตดั และต่อกระแสที่ไหลผ่านขดลวดสตาร์ต
ข. ป้องกันกระแสไหลเกินปกติของมอเตอร์
ค. ชว่ ยปลดกระแสล็อคโรเตอร์แอมป์
ง. ช่วยในการสตาร์ตมอเตอร์
4. การตรวจสอบความปกติของโอเวอรโ์ หลดด้วยวิธีการใดที่ใหผ้ ลชัดเจนที่สุด
ก. การตรวจสอบดว้ ยการใช้เทอร์โมมเิ ตอร์วัดค่าความร้อนของโอเวอร์โหลด
ข. การตรวจสอบดว้ ยการใช้มลั ติมเิ ตอรว์ ัดความต้านทานหนา้ สัมผัสของโอเวอรโ์ หลด
ค. การตรวจสอบด้วยการใช้มัลติมิเตอร์วัดสภาวะ NC-NO หนา้ สัมผัสของโอเวอร์โหลด
ง. การตรวจสอบดว้ ยการจา่ ยกระแสไฟฟา้ ผา่ นตัวโอเวอรโ์ หลดจนเกนิ พิกดั และสังเกตการ

เปิดวงจร
5. การตรวจสอบสภาวะปกตขิ องขว้ั และหน้าสัมผสั ของดีฟรอสไทเมอร์ทาได้อยา่ งไร

ก. ใช้มลั ติมิเตอรต์ รวจสอบขั้วและหน้าสัมผสั
ข. ใช้คีมหมุนปมุ่ ปรับดา้ นหลังของดฟี รอสไทเมอร์
ค. สังเกตการทางานของวงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์
ง. สังเกตการทางานของวงจรดีฟรอสฮีสเตอร์

เครอื่ งทำควำมเยน็ (2104-2007) 241

6. การใช้หลักการขยายตัวหรือหดตัวของโลหะสองชนิดท่ีมีค่าสัมประสิทธิการขยายตัวไม่เท่า
เปน็ หลักการทางานของตัวควบคมุ อณุ หภมู ชิ นิดใด

ก. ชนดิ กระเปาะ
ข. ชนิดไบเมทอล
ค. ชนิดควบคุมกระแส
ง. ชนดิ อิเล็กทรอนิกส์
7. ตัวควบคมุ อุณหภูมชิ นิด Bulb bellow type มีสว่ นประกอบที่สาคัญอะไรบ้าง
ก. สปริง เบลโล กระเปาะ ไมโครสวิตช์
ข. ขดลวด สปรงิ แผ่นเหล็ก อาร์เมเจอร์
ค. แผน่ เหลก็ อารเ์ มเจอร์ เบลโล กระเปาะ
ง. สปรงิ อาร์เมเจอร์ ขดลวด ไมโครสวิตช์
8. ในต้ทู าน้าเย็นควรจะเลอื กใชต้ วั ควบคุมอณุ หภูมิแบบใด
ก. ตัวควบคุมอุณหภมู ิแบบกระเปาะ
ข. ตวั ควบคุมอุณหภมู ิแบบไบเมทอล
ค. ตัวควบคุมอณุ หภมู แิ บบอิเล็กทรอนกิ ส์
ง. ตัวควบคุมอณุ หภมู แิ บบเอ็นทีซีเทอร์มิสเตอร์
9. หน้าสัมผสั ของดฟี รอสไทเมอรท์ ่ใี ช้ควบคมุ การทางานของวงจรทาดีฟรอสคือหมายเลขอะไร
ก. หมายเลข 1
ข. หมายเลข 2
ค. หมายเลข 3
ง. หมายเลข 4
10. ดฟี รอสฮสี เตอรใ์ นวงจรไฟฟ้าของตู้เยน็ ทาหน้าที่ตรงกบั ข้อใด
ก. ชว่ ยกระจายความรอ้ นในอแี วปปอเรเตอร์
ข. ปอ้ งกันการเกิดความรอ้ นของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์
ค. ละลายนา้ แข็งในอีแวปปอเรเตอร์
ง. ตัดต่อวงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์

242 เครอื่ งทำควำมเยน็ (2104-2007)

อปุ กรณ์ควบคมุ ในวงจรไฟฟา้
ในระบบทาความเย็นคอมเพรสเซอร์ถือว่าเป็นหัวใจสาคัญที่ต้องให้ความสาคัญเป็น

อันดับแรกเพราะหากคอมเพรสเซอร์ไม่สามารถทางานได้หรือทางานได้แต่ไม่ปลอดภัยหรือไม่
สมบรู ณ์ก็ตาม ผลท่ตี ามมาก็คือประสทิ ธภิ าพในการทาความเยน็ กไ็ ม่สมบรู ณ์ตามไปด้วย ดังน้ัน
จึงควรให้ความสาคัญกับคอมเพรสเซอร์ในหลายๆ เรื่องเช่นการเลือกชนิดอุปกรณ์ช่วยสตาร์ต
มอเตอร์คอมเพรสเซอร์ อุปกรณ์ป้องกันกระแสไหลเกิน หรืออุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมให้มอเตอร์
หยุดพักการทางานชั่วคราวเม่ือระบบมีความเย็นตามท่ีต้องการ ในการท างานของเคร่ืองท า
ความเย็น เพ่ือให้มีประสิทธิภาพสูงสุดมีอายุการใช้งานท่ียาวนานและสามารถป้องกันความ
เสยี หายทอ่ี าจเกดิ ข้นึ ไดใ้ นขณะท่เี ครอ่ื งทาความเย็นทางาน ประกอบด้วยอุปกรณ์ดงั ตอ่ ไปนี้

10.1 อุปกรณช์ ่วยสตาร์ตมอเตอร์หรอื เคอร์เรนต์รีเลย์ (Current relay)
โดยทวั่ ไปแลว้ ในวงจรไฟฟา้ ของเครอ่ื งทาความเย็นรเี ลย์จะทาหน้าท่ชี ่วยในการ

สตารต์ มอเตอร์คอมเพรสเซอร์ ซ่งึ รเี ลยท์ ่ีใช้ในวงจรต้เู ยน็ โดยท่ัวไป แบ่งออกเปน็ 2 ชนิด ดังนี้
10.1.1 เคอร์เรนต์รีเลย์แบบขดลวด คือรีเลย์ (Relay) ท่ีใช้ต่อเข้ากับ

วงจรไฟฟ้าของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์เพอื่ ทาหน้าที่เปน็ สวิตช์อัตโนมัตติ ัดและตอ่ ขดลวดสตาร์ต
ของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ โดยอาศัยหลักการของกระแสไฟฟ้าและอานาจแม่เหล็กมาควบคุม
การทางาน เคอร์เรนต์รีเลย์ มีทั้งแบบ 3 ขั้วและแบบ 4 ขั้ว ดังรูปที่ 10.1 และมีวงจรไฟฟ้า
ภายใน ดงั รปู ที่ 10.2

(ก) แบบ 3 ข้วั (ข) แบบ 4 ขั้ว

รูปท่ี 10.1 แสดงลกั ษณะเคอรเ์ รนต์รีเลย์

ขดลวด (Coil) ขดลวด (Coil)

M 1M 2

ส่วนทอี่ ยู่กับท่ี สว่ นทีอ่ ยกู่ ับที่ คาปาซิเตอร์สตารต์

(Capacitor start)

S S1

สว่ นทเ่ี คล่ือนที่ได้ หนา้ สมั ผสั ปกติเปดิ (NO)
ส่วนทเ่ี คลอื่ นทีไ่ ด้
หน้าสัมผัสปกติเปิด (NO)

(ก) เคอร์เรนต์รีเลย์แบบ 3 ขว้ั (ข) เคอรเ์ รนต์รีเลย์แบบ 4 ขั้ว

รูปท่ี 10.2 วงจรไฟฟา้ ภายในเคอรเ์ รนตร์ ีเลย์

เครอื่ งทำควำมเย็น (2104-2007) 243

10.1.1.1 โครงสร้างของเคอรเ์ รนตร์ ีเลยป์ ระกอบด้วย
1) ขดลวดกระแส (Current coil) หน้าที่สร้างสนามแม่เหล็ก

ไฟฟ้าขึ้นมา ขดลวดกระแสจะพันด้วยลวดตัวนาพื้นที่หน้าตัดใหญ่และจานวนรอบไม่มากนักค่า
ความต้านทาน อยู่ระหว่าง 2 - 6 โอห์ม เพราะถูกต่ออนุกรมกับขดลวดชุดรันของมอเตอร์
คอมเพรสเซอร์

2) หนา้ สัมผสั เร่ิมหมุน (Starting contact) ซึง่ เป็นหน้าสัมผสั
สภาวะปกติเปิด (Normally Open; NO) ซึ่งเปิดและปิดด้วยน้าหนักถ่วงและสนามแม่เหล็กจาก
ขดลวด ตามลาดับเมอื่ ขดลวดอยดู่ ้านล่างหนา้ สัมผัสจะต้องเปิดและปิดเม่ือพลิกขน้ึ ซึ่งหนา้ สัมผัส
ซง่ึ จะต่ออนกุ รมกบั ขดลวดสตาร์ตของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ดงั รูปที่ 10.3

3) ข้ัวหลกั ของเคอรเ์ รนตร์ เี ลย์ทใ่ี ชใ้ นต้เู ย็นจะมีอยู่ดว้ ยกัน 3
ขวั้ ดังนข้ี ัว้ หลัก ขดสตารต์ (S) ขัว้ หลักขดรนั (M) และขว้ั หลักสาหรับจ่ายไฟเขา้ ขดลวดกระแส (L)

ขวั้ หลกั ขดสตาร์ต

ขดลวดกระแส หนา้ สมั ผัส
ข้วั หลกั ขดรนั

อาร์มาเจอร์

ข้วั ต่อ Line ขดลวดกระแส C
หนา้ สัมผัส LM
SR
S มอเตอรค์ อมเพรสเซอร์

เคอรเ์ รนต์รเี ลย์

รปู ที่ 10.3 แสดงโครงสร้างภายในและการต่อกับมอเตอรค์ อมเพรสเซอร์ของเคอร์เรนต์รีเลย์

10.1.1.2 หลกั การทางานของเคอร์เรนต์รีเลย์ หลักการทางานของ
เคอรเ์ รนต์รเี ลยแ์ บบขดลวด 3 ขวั้ มขี ้นั ตอนการทางานของวงจรไฟฟา้ ดงั น้ี

1) เม่ือต่อวงจรไฟฟ้าดังรูปที่ 10.4 (ก) ทาให้มีกระแสไฟฟ้า
ไหลผ่านขดลวดรันเพียงขดเดียวมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ไม่สามารถหมุนออกตัวได้เนื่องจาก
แรงบิดไม่เพียงพอ มีผลทาให้เกิดกระแสไฟฟ้าล็อคโรเตอร์ ( Lock rotor ampere ; LRA ) ซึ่ง
กระแสไฟฟ้าล็อคโรเตอร์เกิดขึ้นนานๆ ไมไ่ ด้ จะมีผลทาให้ขดลวดไหมเ้ สยี หายได้

244 เครือ่ งทำควำมเย็น (2104-2007)

2) เมื่อเกิดกระแสไฟฟ้าล็อคโรเตอร์ (Lock rotor ampere ;

LRA) ท่ีขดลวดรันกระแสไฟฟ้าท่ีไหลผ่านมีค่าสูงมากมีผลทาให้ขดลวดคอยล์ของเคอร์เรนต์

รีเลย์เปล่ียนสภาพเป็นอานาจแม่เหล็กจึงทาให้ดูดหน้าสัมผัส 1 กับ S ให้ต่อกัน มีผลทาให้มี

กระแส ไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดสตาร์ตด้วยทาให้มอเตอร์คอมเพรสเซอร์มีแรงบิดตอนเร่ิมออก

ตวั หมนุ เพม่ิ มากข้ึนมอเตอร์คอมเพรสเซอรจ์ ึงสามารถหมุนออกตวั ได้ ดังรปู ท่ี 10.4 (ข)

3) เมื่อมอเตอรค์ อมเพรสเซอร์หมุนออกตัวแล้ว ขดลวดคอยล์

(Coil) ของเคอรเ์ รนต์รีเลย์จะหมดสภาพการเป็นแม่เหล็ก จงึ ทาให้หน้าสัมผัส 1กับ S ไม่ต่อกัน

ทาให้ขดลวดสตาร์ตไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน กระแสไฟฟ้าจึงไหลผ่านขดลวดรันเพียงขดเดียว

ดังรูปที่ 10.4 (ค) มอเตอร์คอมเพรสเซอร์ จึงสามารถหมุนทางานตามปกติด้วยกระแสไฟฟ้า

ปกติ (Full load ampere ; FLA) ตามปกติขดลวดสตาร์ตของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ ควรจะมี

กระแสไฟฟ้าไหลผ่านในจังหวะสตาร์ตเพียงช่วงส้ันๆ ประมาณ 3–5 วินาที ถ้ากระแสไฟฟ้า

ไหลผ่านนานเกนิ ไปจะทาให้ขดลวดสตาร์ตไหม้เสยี หายได้

สายไลน์ (Line) สายนวิ ทรอล (Neutral)

มอเตอรค์ อมเพรสเซอร์ แหลง่ จา่ ยแรงดนั ไฟฟ้ากระแสสลบั
(Motor compressor) C (A.C. powersupply)

กระแสไฟฟา้ ล็อคโรเตอร์
(LRA)

ขดลวด (Coil)

S RM 1

เคอร์เรนตร์ ีเลยแ์ บบ 3 ข้วั
S (Current relay)
หน้าสมั ผสั ปกตเิ ปิด (NO)

(ก) สายนวิ ทรอล (Neutral)
สายไลน์ (Line)

มอเตอร์คอมเพรสเซอร์ แหล่งจา่ ยแรงดนั ไฟฟ้ากระแสสลบั

(Motor compressor) (A.C. powersupply)

C

กระแสไฟฟ้าล็อคโรเตอร์
(LRA)

S RM ขดลวด (Coil)

1

เปลีย่ นสภาพกลายเป็นแมเ่ หลก็ เคอร์เรนต์รเี ลยแ์ บบ 3 ข้ัว

S (Current relay)

หน้าสมั ผัสถูกดูดให้ตดิ กนั

(ข)

เครอื่ งทำควำมเยน็ (2104-2007) 245

สายไลน์ (Line) สายนวิ ทรอล (Neutral)

มอเตอรค์ อมเพรสเซอร์ แหล่งจา่ ยแรงดนั ไฟฟ้ากระแสสลับ
(Motor compressor) C (A.C. powersupply)

กระแสไฟฟ้าปกติ (FLA/RLA)

ขดลวด (Coil)

S RM 1

กลบั คืนสูส่ ภาพเดมิ เคอรเ์ รนตร์ เี ลยแ์ บบ 3 ขัว้

S (Current relay)

หน้าสัมผัสปกติเปดิ (NO)

(ค)

รูปท่ี 10.4 ขัน้ ตอนการทางานของเคอรเ์ รนตร์ ีเลยแ์ บบขดลวด

10.1.1.3 การตรวจสอบเคอร์เรนตร์ เี ลย์ สามารถทาได้โดยการใช้
มัลติมิเตอร์ (Multi meter) ย่านโอห์มเป็น เคร่ืองมือในการวัดด้วยการถอดเคอร์เรนต์รีเลย์
ออกมาจากวงจรและถือให้อยู่เหมือนตาแหน่งเดิมที่เสียบกับขั้วมอเตอร์คอมเพรสเซอร์แล้วใช้
ปลายสายท้ังสองของมัลติมิเตอร์จ้ีตรงข้ัวหมายเลข L(1)–M เข็มของมัลติมิเตอร์จะต้องชี้ที่ 0
โอห์มแสดงว่าขดลวดทนกระแสดี ต่อไปจี้ที่ L(1)-S (สาหรับแบบ 4 ข้ัว คือขัว้ L(2)–S) เข็ม
ของมัลติมิเตอร์จะต้องไม่มีการเคลื่อนไหว เพราะขั้ว L(1)–S หรือL(2) –S เป็นจุดสัมผัสของ
ขดลวด S และเป็น NO ถ้าวัดแล้วเข็มของ มัลติมิเตอร์ช้ีที่ 0 แสดงว่าหน้าสัมผัสของเคอร์เรนต์
รีเลย์อาร์คติดกันใช้งานไม่ได้ ถ้าวัด L(1)–S และ L(2) –S เข็มไม่ชี้แล้ว ให้คว่ากลับทิศทาง
ของเคอร์เรนต์รีเลย์ตรงกันข้ามคือ เอาทางขดลวดข้ึนข้างบนและใช้มัลติมิเตอร์จี้ที่เดิมคือ
L(1)–S หรือ L(2)–S เขม็ จะชที้ ี่ 0 แสดงวา่ เคอร์เรนตร์ เี ลยด์ ีใชง้ านได้ดังรูปที่ 10.5

รปู ท่ี 10.5 ขนั้ ตอนการตรวจสอบเคอร์เรนต์รีเลย์

246 เครื่องทำควำมเยน็ (2104-2007)

10.1.2 เคอรเ์ รนตร์ ีเลยแ์ บบสารกึ่งตวั นาหรือเทอร์มสิ เตอร์

เทอร์มิสเตอร์คือสารก่ึงตัวนาท่ีความต้านทานไฟฟ้าเปล่ียนแปลงตาม
อุณหภูมแิ บ่งออกเปน็ 2 แบบ

10.1.2.1 พที ีซี เทอรม์ ิสเตอร์ (PTC Thermistor) ซึง่ PTC ยอ่ มาจาก
Positive Temperature coefficient มคี ณุ สมบัติคือเมื่ออุณหภูมติ า่ คา่ ความต้านทานไฟฟา้ ตา่ และ
เมอ่ื อณุ หภูมสิ งู ความตา้ นทานไฟฟ้าจะสูงตามนิยมใช้เป็นสวติ ชอ์ ัตโนมัตขิ องมอเตอรค์ อมเพรส
เซอรด์ ังรูปท่ี 10.6 และ รปู ท่ี 10.8

10.1.2.2 เอ็นทีซี เทอรม์ ิสเตอร์(NTC Thermistor) ซ่งึ NTC ยอ่ จาก
Nagative temperature coefficient มีคุณสมบัติคือเมื่ออุณหภูมิต่าความต้านทานไฟฟ้าสูงและ
เมื่อุณหภูมิ สูงความต้านทานไฟฟ้าต่าจะใช้เป็นอุปกรณ์ตรวจสอบอุณหภูมิของอิเล็คทรอนิกส์
เทอรโ์ มสเตต ดงั รปู ที่ 10.7 และรูปท่ี 10.8

2

M

S 2

รปู ที่ 10.6 เคอรเ์ รนต์รีเลย์แบบพที ซี ี เทอรม์ ิสเตอร์

M 2M

SS

พีทีซี เทอรม์ สิ เตอร์ (PTC Thermistor) พีทีซี เทอรม์ สิ เตอร์ (PTC Thermistor)

ขณะเริ่มทางาน มีค่าความต้านทานไฟฟ้า ขณะทางาน มีค่าความตา้ นทานไฟฟา้

ประมาณ 25 โอหม์ ประมาณ 10 -30 กิโลโอหม์

รปู ที่ 10.7 วงจรไฟฟ้าภายในของเคอรเ์ รนตร์ เี ลย์แบบเทอร์มสิ เตอร์

ความต้านทาน PTC

100K NTC
10K อุณหภูมิ ( องศา C )
1K
100
10

-50
0
50

100
150
200
250
300

รปู ที่ 10.8 กราฟความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งความต้านทานไฟฟ้ากับอุณหภมู ขิ องเทอร์มิสเตอร์

เคร่ืองทำควำมเย็น (2104-2007) 247

มสิ เตอร์ 10.1.2.3 ข้ันตอนการทางานของเคอร์เรนต์รีเลยแ์ บบพที ซี ี เทอร์

แหล่งจา่ ยแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ
สายไลน์ (Line) (A.C. powersupply) สายนิวทรอล (Neutral)

C

กระแสไฟฟา้ ล็อคโรเตอร์ (LRA)

S RM 2

กระแสไฟฟ้าไหลผา่ นมาก

S

มอเตอร์คอมเพรสเซอร์ พที ซี ี เทอรม์ ิสเตอร์ (PTC Thermistor)
(Motor compressor ) ขณะเรม่ิ ทางานมคี า่ ความตา้ นทานไฟฟา้ ประมาณ 25 โอห์ม

สายไลน์ (Line) (ก) สายนวิ ทรอล (Neutral)
C
แหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้ากระแสสลบั
(A.C. powersupply)

กระแสไฟฟา้ ปกติ (FLA/RLA)

S RM 2

กระแสไฟฟา้ ไหลผ่านน้อย

S

มอเตอรค์ อมเพรสเซอร์ พที ซี ี เทอรม์ สิ เตอร์ (PTC thermistor)

(Motor compressor) ขณะทางาน มีคา่ ความต้านทานไฟฟ้าประมาณ 10 -30 กิโลโอห์ม

(ข)
รปู ท่ี 10.9 ข้ันตอนการทางานของเคอรเ์ รนต์รเี ลย์แบบเทอร์มิสเตอร์

1) เมื่อต่อวงจรไฟฟ้าดังรูปท่ี 10.9 (ก) ทาให้มีกระแสไฟฟ้า
ไหลผ่านขดลวดรันและขดลวดสตาร์ตท่ีมีพีทีซีเทอร์มิสเตอรต์ ่ออยู่มีผลทาให้มอเตอร์คอมเพรส
เซอร์สามารถหมุนออกตัวได้เนื่องจากแรงบิดเพยี งพอ

248 เคร่อื งทำควำมเย็น (2104-2007)

2) เมอ่ื มอเตอร์คอมเพรสเซอร์หมุนความต้านทานไฟฟ้าของ
พีทีซีเทอร์มิสเตอร์จะสูงข้ึนอย่างรวดเร็วเน่ืองจากมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านทาให้เกิดความร้อนแต่
จะไม่เกดิ อนั ตรายกับขดลวดสตารต์ เน่อื งจากคา่ ความต้านทานไฟฟ้าของพีทซี ีเทอร์มสิ เตอร์มีค่า
สูงมากจึงทาให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดสตาร์ตกับพีทีซีเทอร์มิสเตอร์เพียงเล็กน้อยดังน้ัน
ขดลวดสตาร์ตจึงทาหน้าท่ีช่วยขดลวดรันในการหมุนทางานมอเตอร์คอมเพรสเซอร์จึงสามารถ
หมนุ ทางานตามปกติด้วยกระแสไฟฟ้าปกติ ดังรปู ที่10.9 (ข)

10.1.2.4 การตรวจสอบเคอร์เรนต์รีเลย์แบบพีทีซี เทอรม์ ิสเตอร์
ใช้มัลติมิเตอร์วัดค่าความต้านทานไฟฟ้าระหว่างข้ัว M และขั้ว

S หรือข้ัว 2 และข้ัว 3 ซ่ึงจะได้ค่าความต้านทานไฟฟ้าประมาณ 25 โอห์ม หลังจากน้ันต่อ
วงจรไฟฟ้า ดังรูปท่ี 10.10 เม่ือจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับวงจรไฟฟ้าหลอดไฟฟ้าจะสว่างมาก
เพราะขณะเร่ิมทางาน พีทีซีเทอร์มิสเตอร์ยังมีความต้านทานไฟฟ้าน้อยทาให้กระแสไฟฟ้าไหล
ผ่านมากท้ิงไว้สักครู่หลอดไฟฟ้าจะสวา่ งน้อยลง เนื่องจากพีทีซีเทอร์มิสเตอร์มีอุณหภูมิสูงขน้ึ ทา
ให้มีความต้านทานไฟฟ้ามาก ทาให้มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านน้อยควรใช้แคล้มออนมิเตอร์วัดค่า
ของกระแสไฟฟา้ ขณะทาการตรวจสอบเพอ่ื ความปลอดภัย

พที ซี ี เทอร์มสิ เตอร์ (PTC Thermistor)

สายไลน์ (Line) สวิตชไ์ ฟฟ้า
(Switch)
แหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสสลบั
(A.C. Power supply) หลอดไฟฟา้
100 W (Lamp)

สายนิวทรอล (Neutral)

รูปท่ี 10.10 การตรวจสอบเคอรเ์ รนตร์ ีเลย์แบบเทอร์มสิ เตอร์

10.2 อุปกรณ์ปอ้ งกันมอเตอร์ไฟฟา้ (Motor protection) หรือโอเวอรโ์ หลด (Overload)
โดยทั่ว ๆ ไปมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ทใี่ ชก้ ับระบบไฟฟา้ จาเป็นจะต้องมอี ุปกรณ์

ปอ้ งกันอันตรายใหก้ ับตวั เองซ่ึงอุปกรณ์ป้องกันอันตรายกค็ ือโอเวอรโ์ หลด ดังรูปที่ 10.11

โอเวอร์โหลดแบบมสี ายเชอื่ มตอ่ โอเวอรโ์ หลดแบบ 4TM โอเวอรโ์ หลดแบบไมม่ สี ายเชื่อมตอ่

(Overload with lead) (4TM overload ) (Overload without lead)

รปู ท่ี 10.11 ลกั ษณะรปู แบบของโอเวอรโ์ หลด

เครอื่ งทำควำมเย็น (2104-2007) 249

10.2.1 ลักษณะโครงสร้างและหลักการทางานของโอเวอรโ์ หลด
โอเวอร์โหลดจะประกอบไปด้วยแผ่นโลหะ 2 แผ่นติดกัน (Bimetal

element) ทาหน้าท่ีเป็นหน้าสัมผัส (Contact) และมีลวดความร้อน (Heater) ต่ออนุกรมกับจุด
ต่อของแผ่นโลหะ ทั้งสองท้ังหมดจะบรรจุอยู่ในกล่องทรงกระบอกเล็กๆ ดังรปู ท่ี 10.12 โอเวอร์
โหลดจะต่อป้องกันขดลวดโดยต่ออยู่ท่ีปลายข้ัวสายคอมมอนหรือขั้ว C และจะทาหน้าที่ตัด
วงจรไฟฟ้าของขดลวดมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ใน 2 กรณีคือทาหน้าท่ีเป็นสวิตช์ตัดวงจรไฟฟ้า
ของขดลวดมอเตอร์เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดมอเตอร์เกินกว่าค่ากระแสไฟฟ้าปกติ
(Full load ampere or FLA)และทาหน้าที่เป็นสวิตช์ตัดวงจรไฟฟ้าของขดลวดมอเตอร์ เมื่อ
ขดลวดมอเตอร์มีอุณหภูมิสูงขึ้นเป็นจานวนมากเน่ืองจากกระแสไฟฟ้าไหลผ่านมากเกินไปหรือ
มอเตอร์ทางานนาน เกินไปโดยเม่ือขดลวดของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ร้อนจัดขดลวดความร้อน
ก็จะส่งความร้อนไปให้กับแผ่นไบเมทอลจนทาให้เกิดความร้อนสะสมข้ึนท่ีแผ่นไบเมทอลและ
แผ่นไบเมทอลก็จะแยกออกจากกันเป็นการตัดวงจรไฟฟ้าของขดลวดมอเตอร์คอมเพรสเซอร์
หรือถ้ากระแสไฟฟ้าไหลผ่านมากเกินไปตัวขดลวดความร้อนก็อาจขาดจากกันได้ โอเวอร์โหลด
จะมีวงจรไฟฟา้ ภายในดังรูปท่ี 10.13

าปิด (Cover)
แผ่นไบเมทอล (Bimetal dise)

ขดลวดความรอ้ น สลักเกลยี วทีส่ ามารถปรบั ตง้ั ได้ (Adjusting screw)
(Heater ) ขว้ั ตอ่ สายไฟฟ้า (Terminal)

ขัว้ ต่อสายไฟฟ้า านใสอ่ ุปกรณ์ (Base)
(Terminal)

รปู ที่ 10.12 ลักษณะอปุ กรณ์ภายในของโอเวอรโ์ หลด
ท่ีมา : http:// www.sensata.com

(ก) สภาวะขณะปกติ (ข) สภาวะขณะทางาน

รูปท่ี 10.13 ลกั ษณะโครงสรา้ งและวงจรไฟฟ้าภายในของโอเวอร์โหลด

250 เคร่ืองทำควำมเยน็ (2104-2007)

10.2.2 ชนิดของโอเวอร์โหลด
โดยทวั่ ไปมอเตอร์ไฟฟ้าแบบเฟสเดียวจะมีอุปกรณ์ทาหน้าที่คล้ายสวิตช์

เพ่ือจะตัดและต่อวงจรไฟฟ้าในกรณีท่ีมอเตอร์ร้อนเกินปกติกระแสไหลผ่านมอเตอร์มากผิดปกติ
อุปกรณ์ ดงั กลา่ วเรยี กว่า ตัวโอเวอรโ์ หลด (Overload) ซึง่ โอเวอร์โหลดมอี ยู่ 2 ชนิด ดังนี้

10.2.2.1 โอเวอรโ์ หลดชนิดติดต้งั ภายนอก (External overload)
โอเวอรโ์ หลดชนิดติดตั้งภายนอกจะตดิ ต้ังไว้ภายนอกคอมเพรส

เซอร์โดยจะติดตั้งไว้ท่ีโครงเหล็กท่ีเป็นตัวถังของคอมเพรสเซอร์โอเวอร์โหลดชนิดน้ีประกอบด้วย
แผน่ โลหะ 2 แผ่นประกบติดกนั เรยี กว่าไบเมทอล (Bimetal) และลวดความรอ้ น (Heater) แผ่น
โลหะจะต่ออนั ดับกับขดลวดความร้อน ดังรปู ที่ 10.14 ตวั โอเวอร์โหลดทตี่ ิดต้ังอยู่ภายนอกเรียก
อีกอย่างว่าแบบตัดเมนโดยตรงจะต่ออันดับกับข้ัวคอมมอนของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ ซ่ึง
โอเวอรโ์ หลดชนดิ น้ีใชก้ บั มอเตอร์คอมเพรสเซอร์ขนาดเล็กหรอื แบบเฟสเดยี ว

รปู ที่ 10.14 แสดงลักษณะและสว่ นประกอบของโอเวอร์โหลดชนดิ ติดต้งั ภายนอก
10.2.2.2 โอเวอร์โหลดชนิดตดิ ตง้ั ภายใน (Internal overload)
โอเวอร์โหลดชนิดติดตั้งภายในเป็นจุดสัมผัสสวิตช์ที่จะทาการ

ตัดวงจรออกเมื่อมอเตอร์ร้อนเกินกว่าปกติหรือกินกระแสเกินกว่าปกติ ตัวโอเวอร์โหลดจะ
ประกอบด้วยแผ่นโลหะไบเมทอล (Bimetal elemen) และจุดสัมผัสเทอร์โมสเตต (Thermostat
contact) ดังรูปที่ 10.15 โดยทั่วไปตัวโอเวอร์โหลดจะติดตั้งไว้ภายในโดยจะ ังไว้ในขดลวดของ
มอเตอร์ถ้าเป็นมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ขนาดเล็ก (แบบเฟสเดียว) จุดสัมผัสโอเวอร์โหลดจะต่อ
โดยตรงกับขั้วคอมมอนของมอเตอร์แต่ถ้าเป็นมอเตอร์คอมเพรสเซอร์มีขนาดใหญ่หรือแบบสาม
เฟสจุดสัมผัสโอเวอร์โหลดจะต่ออันดับเข้ากับวงจรคอนโทรลคือขดลวดคอยล์แมคเนติคของชุด
แมคเนตคิ คอนแทคเตอร์

รูปที่ 10.15 แสดงลักษณะของโอเวอรโ์ หลดชนิดตดิ ต้ังภายใน

เคร่ืองทำควำมเย็น (2104-2007) 251

10.2.3 การตรวจสอบโอเวอรโ์ หลด
การตรวจสอบโอเวอรโ์ หลดมกี ารตรวจสอบอยู่ 2 วิธี
10.2.3.1 ใช้มลั ติมเิ ตอร์ยา่ นโอห์ม วัดทข่ี ัว้ ท้ังสองของโอเวอรโ์ หลด

ถ้าเขม็ ชี้ของมัลติมิเตอร์ชขี้ ึ้นไปทางขวามือแสดงวา่ โอเวอร์โหลดดแี ต่ถ้าเขม็ ช้ีของมัลติมเิ ตอร์ไม่ช้ี
ขน้ึ ไปทางขวาแสดงวา่ เสีย ดังรปู ท่ี 10.16

รูปท่ี 10.16 การตรวจสอบโอเวอรโ์ หลดโดยการใช้มัลติมิเตอร์

10.2.3.2 ทดสอบต่อวงจรไฟฟา้ ดงั รปู ท่ี 10.17 โดยเปดิ สวิตช์
ไฟฟ้าใหก้ บั หลอดไฟฟ้าทลี ะดวงจนกระทง่ั โอเวอรโ์ หลดตัดวงจรแสดงว่าโอเวอร์โหลดดีและควรใช้
แคลม้ ออนมิเตอรว์ ดั คา่ กระแสไฟฟา้ ขณะทาการทดลองเพอ่ื ความปลอดภัย

รปู ท่ี 10.17 การตรวจสอบโอเวอรโ์ หลดโดยการตอ่ วงจรไฟฟ้า

10.3 ตวั ควบคุมอณุ หภมู ิ (Temperature control) หรอื เทอรโ์ มสเตต (Thermostat)
ตวั ควบคุมอุณหภูมิเป็นอปุ กรณ์ทาหนา้ ที่ควบคมุ อุณหภูมขิ องเคร่อื งทาความ

เย็นและเคร่ืองปรับอากาศให้อยู่ในอุณหภูมิที่ต้องการโดยอัตโนมัติ ด้วยวิธีการส่ังหยุดการ
ทางานของวงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์และอุปกรณ์ท่ีเกี่ยวข้องเมื่ออุณหภูมิลดลงถึงค่าท่ีตั้งไว้
และอุณหภูมิในส่วนความเย็นของเครื่องทาความเย็นจะค่อยๆ เพ่ิมสูงข้ึนจนถึงระดับที่ถูก
กาหนดไว้ตัวควบคุมอุณหภูมิจะกลับมาส่ังวงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง

252 เครอ่ื งทำควำมเยน็ (2104-2007)

ทางานอีกคร้ังเพื่อรักษาอุณหภูมิของเคร่ืองทาความเย็นให้เป็นไปตามกาหนดไว้โดยทั่วไปตัว
ควบคมุ อุณหภูมิ แบ่งออกเป็น 3 แบบคอื

1) ตัวควบคมุ อุณหภมู ิแบบกระเปาะ (Bulb bellow type)
2) ตวั ควบคุมอุณหภูมิแบบไบเมทอล (Bimetal type)
3) ตวั ควบคุมอุณหภมู ิแบบอิเลคทรอนิกส์ (Electronic type) หรือเอน็ ทซี ีเทอร์
มสิ เตอร์

10.3.1 ตัวควบคมุ อุณหภมู แิ บบกระเปาะ (Bulb bellow type)
สว่ นประกอบทส่ี าคญั 3 ส่วน คอื กระเปาะรบั อณุ หภูมเิ บลโลและทอ่

แคปพิลลาร่ีโดยสารทาความเย็นจะบรรจุอยู่ภายในกระเปาะและเบลโลสารทาความเย็นทบ่ี รรจุ
อยู่นั้นมีคุณสมบัติในการขยายตัวและหดตัวเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลง กล่าวคือถ้าอุณหภูมิสูง
สารทาความเย็นในท่อแคปพิลลารี่จะขยายตัวถ้าอุณหภูมิต่าสารทาความเย็นในท่อแคปพิลลาร่ี
ก็จะหดตัวซ่ึงจะมีผลทาให้เบลโลยืดและหดตามการขยายตัวของสารทาความเย็น ดังรูปที่
10.18

รูปที่ 10.18 แสดงลกั ษณะของตวั ควบคุมอุณหภมู ิแบบกระเปาะ

BELLOWS

BULB

SPRING TERMINAL
ADJUSTING SCREW MICRO SWITCH

รูปที่ 10.19 โครงสร้างภายในของสวิตชค์ วบคมุ อณุ หภมู ิแบบกระเปาะ

10.3.1.1 หลักการทางานของตัวควบคุมอุณหภมู ิแบบกระเปาะ
หลกั การทางานของตวั ควบคุมอุณหภูมจิ ะใช้ความดันจากการ

ขยายตวั และหดตวั ของแก๊สหรือของเหลวที่บรรจไุ ว้ภายในกระเปาะทีต่ ่อไปยังเบลโลเมื่ออุณหภูมิ
สูงข้ึนท่ีกระเปาะจะได้รับความร้อนทาให้ความดันภายในกระเปาะสูงขึ้น และเม่ืออุณหภูมิลดลง
ความร้อนท่ีกระเปาะก็จะลดลงด้วยทาให้ความดันภายในกระเปาะลดลงด้วย จากการขยายตัว
และหดตัวทาให้ความดันที่ เบลโลยืดและหดตัวมีผลใหห้ น้าสัมผัสปิดและเปิดวงจรไฟฟ้าและใน
ตัวควบคุมอุณหภูมิชนิดกระเปาะที่ใช้งานจริงจะมีสวิตช์ ควบคุมการทางานของสปริงที่ไป

เครือ่ งทำควำมเย็น (2104-2007) 253

ควบคุมการยืดและหดตัวของเบลโลอกี ทีหน่ึง ดังน้นั สามารถควบคุมอุณหภูมิให้มีค่าสูงและต่าท่ี
ตาแหน่งต่างๆ ได้ โดยการปรับการทางานของปมุ่ ปรบั สปริง ดงั รูปที่ 10.19 และรูปที่10.20

หน้าสัมผัสปกติปดิ (N.C. contact) หน้าสมั ผัสจะจากออก

เบลโล (Bello) เมอ่ื อุณหภมู ิสงู ขึ้นมผี ลให้ เบลโล (Bello) เมอื่ อณุ หภูมลิ ดลงมีผลให้
สารทาความเย็นในท่อ สารทาความเยน็ ในท่อ
ทอ่ แคปพลิ ลารี่บรรจุ แคปพิลลารีม่ คี วามดนั
สารทาความเยน็ แคปพิลลารม่ี ีความดนั ต่าลงทาให้เบลโลหดตัว
สูงขึน้ ทาใหเ้ บลโลขยายตัว ทอ่ แคปพลิ ลาร่ีบรรจุ

สารทาความเยน็

กระเปาะเชค็ อุณหภูมิ (Bulb) กระเปาะเชค็ อณุ หภูมิ (Bulb)

รูปที่ 10.20 ลักษณะการทางานของตัวควบคุมอณุ หภมู แิ บบกระเปาะ

10.3.1.2 การตรวจสอบตัวควบคุมอณุ หภูมิแบบกระเปาะ
การตรวจสอบตวั ควบคมุ อุณหภมู ิแบบกระเปาะสามารถ

กระทาได้ 2 วธิ ีดังน้ี
1) วิธีการวัดความต้านทานของหน้าสัมผัสโดยการใช้มัลติ

มิเตอร์ย่านโอห์มวัดที่หน้าสัมผัสซ่ึงโดยสภาวะปกติตัวควบคุมอุณหภูมิชนิดกระเปาะท่ียังไม่ใช้
งานหรือยังไม่ได้ต่อเข้าไปในวงจรไฟฟ้าหน้าสมั ผสั จะอยู่ในสภาวะปิด (NC) เสมอแตว่ ธิ ีการนผี้ ล
การวัดอาจจะผิดพลาดไดถ้ ้าหน้าสัมผสั เสยี เน่ืองจากการช๊อตละลายติดกนั ดังรปู ท่ี 10.21

รปู ท่ี 10.21 แสดงการตรวจสอบหนา้ สัมผสั โดยการวัดค่าวามตา้ นทาน

2) วิธีการตรวจสอบจดุ ตดั และจุดตอ่ กระทาได้โดยการใช้
ความเย็นทดสอบแล้วใช้มัลติมิเตอร์ย่านโอห์มวัดที่หน้าสัมผัสโดยที่อุณหภูมิต่าตัวควบคุม
อุณหภูมจิ ะตัดและเมอ่ื อุณหภมู ิสูงข้นึ ตัวควบคุมอุณหภมู จิ ะตอ่ ดงั รูปที่ 10.22

254 เคร่อื งทำควำมเยน็ (2104-2007)

รปู ท่ี 10.22 การตรวจสอบหน้าสัมผัสโดยการใช้ความเย็นทดสอบจดุ ตัดและจุดต่อ

การปรับช่วงอุณหภูมิพักเครื่องในขณะท่ีตัวควบคุมอุณหภูมิ
จะทาหน้าที่ปิดวงจรไฟฟ้าเพ่ือสั่งการให้มอเตอร์คอมเพรสเซอร์ทางานเราจะเรียกว่า จุดต่อ
(Cut in) และเปิดวงจรไฟฟ้าเพื่อส่ังการใหม้ อเตอรค์ อมเพรสเซอรห์ ยดุ ทางานเราเรียกวา่ จดุ ตัด
(Cut out) ช่วงระยะเวลาระหว่างจุดต่อกับจุดตัด เรียกว่า ช่วงอุณหภูมิพักเครื่อง (Differential)
หรือค่าส่วนต่างของอุณหภูมิซ่ึงจะมากหรือน้อยจะขึ้นอยู่กับการปรับตั้งค่าให้มีความเหมาะสม
กับประเภทของเครอื่ งทาความเย็น ดงั รปู ท่ี 10.23

25 F 27 Cut In

22

17 Cut Out
15 Type B

Type A 12
Type C

Thermostat

Type A Cut In 25 F Cut Out 15 F Differentiol 10 F
Type B Cut In 27 F Cut Out 17 F Differentiol 10 F
Type C Cut In 22 F Cut Out 12 F Differentiol 10 F

รปู ที่ 10.23 แสดงการปรบั ต้ังคา่ จุดต่อและจดุ ตัด

10.3.2 ตัวควบคมุ อณุ หภูมแิ บบไบเมทอล (Bimetallic type)
จะมีโลหะไบเมทอลเป็นส่วนประกอบซ่ึงโลหะไบเมทอลน้ีเป็นโลหะ 2

ชนิดมีอัตราการขยายตัวต่างกันนามายดึ ติดกนั แน่น เมื่อได้รับความร้อนโลหะจะขยายตัวไม่เท่า
กันแต่เนื่องจากยึดติดกันแน่นจึงเกิดการโค้งงอข้ึน ในการนามาใช้ในระบบเครื่องทาความเย็น
และปรับอากาศเม่ืออุณหภูมิสูงโลหะไบเมทอลจะเกิดการโก่งตัวจึงมีผลทาให้หน้าสัมผัสต่อกัน

เครอ่ื งทำควำมเย็น (2104-2007) 255

และเม่ืออุณหภูมิต่าโลหะไบเมทอลจะกลับคืนสู่ตาแหน่งเดิมทาให้หน้าสัมผัสแยกออกจากกัน
ดงั รูปท่ี 10.24

รูปที่ 10.24 แสดงลกั ษณะตัวควบคุมอุณหภูมิแบบไบเมทอล
10.3.2.1 หลกั การทางานของตัวควบคุมอณุ หภมู แิ บบไบเมทอล
หลักการทางานของตวั ควบคุมอุณหภูมิแบบนีโ้ ดยการนาเอา

โลหะสองชนิดท่ีมีสัมประสิทธิการขยายตัวไม่เท่ากันมาประกบติดกันเม่ือได้รับความร้อนหรือ
ความเย็นจะทาใหโ้ ลหะทัง้ 2 ชนิด เกิดการขยายตวั หรอื หดตวั ทาให้แขนของโลหะเกิดการโค้งงอ
ซ่งึ ผลจากการ โค้งงอของโลหะ 2 ชนิดจะไปบังคับกลไกให้เปิดและปิดวงจรไฟฟ้าตามระดับของ
อณุ หภูมิท่ีกาหนดไว้ดังรูปท่ี10.25 และ10.26 ตัวควบคุมอุณหภูมิแบบไบเมทอลจะนิยมใช้ใน
หอ้ งปรบั อากาศเราเรยี กว่า รูมเทอรโ์ มสเตต

(NC)
()

รูปที่ 10 .25 โครงสรา้ งของตัวควบคุมอณุ หภมู แิ บบไบเมทอลในสภาวะปกติ

(NO)

()

รูปที่ 10 .26 โครงสร้างของตัวควบคมุ อุณหภมู ิแบบไบเมทอลในสภาวะทางาน

256 เครอื่ งทำควำมเย็น (2104-2007)
10.3.2.2 การตรวจสอบตวั ควบคุมอณุ หภูมแิ บบไบเมทอล
การตรวจสอบตวั ควบคมุ อุณหภูมิแบบไบเมทอลสามารถ

กระทาได้ 2 วิธีดังนี้
1) วิธกี ารวดั ความต้านทานของหน้าสมั ผสั โดยการใช้มลั ติมเิ ตอร์

ย่านโอห์มวัดท่ีหนา้ สัมผัสซึ่งโดยปกติแล้วตัวควบคุมอุณหภูมิชนิดไบเมทอลที่ยังไม่ใช้งานหรือยัง
ไม่ได้ต่อเข้าไปในวงจรไฟฟ้านั้นหน้าสัมผัสจะอยู่ในสภาวะปิด (NC) เสมอแต่วิธีการนี้ผลการวัด
อาจจะผดิ พลาดไดถ้ า้ หน้าสัมผสั เสยี เน่ืองจากการช๊อตละลายติดกัน

รปู ที่ 10.27 แสดงการตรวจสอบตวั ควบคุมอุณหภูมแิ บบไบเมทอลโดยการใช้มัลติมิเตอร์
2) วิธีการตรวจสอบการต่อและการตัดกระทาได้โดยการใช้

ความเย็นทดสอบแล้วใช้มัลติมิเตอร์ย่านโอห์มวัดท่ีหน้าสัมผัส โดยท่ีอุณหภูมิต่าตัวควบคุม
อณุ หภมู จิ ะตัดและเมื่ออณุ หภมู ิสงู ข้ึนตวั ควบคุมอุณหภมู ิจะต่อ

ปที่ 10.28 การตรวจสอบตัวควบคุมอณุ หภมู ิแบบไบเมทอลโดยการใชค้ วามเย็นทดสอบ

เคร่ืองทำควำมเย็น (2104-2007) 257

10.3.3 ตัวควบคมุ อุณหภูมิแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic type)
ตวั ควบคมุ อณุ หภูมิชนิดน้จี ะใช้อปุ กรณอ์ ิเล็กทรอนิกสท์ ่เี รียกว่าเทอร์

มิสเตอร์ (Thermister) เป็นตัวตรวจวัดเน่ืองจากเทอร์มิสเตอร์มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของ
อุณหภูมิเทอร์มิสเตอร์มาจากคาว่า Thermo + Resistor คาว่า Thermo นั้นหมายถึง ความร้อน
ดังนัน้ เทอรม์ ิสเตอร์จงึ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตวั ตา้ นทานความรอ้ น (Thermal resistor)

โครงสร้างของเทอร์มสิ เตอรเ์ ป็นสารกึง่ ตัวนาท่ที ามาจากโลหะออกไซด์
เช่น แมงกานีส นิกเกิล โคบอลด์ ทองแดงและยูเรเนียม เป็นต้นโดยสารเหล่านี้จะมีความไวต่อ
การเปล่ียนแปลงของอณุ หภมู ิ

รปู ท่ี 10.29 แสดงลกั ษณะรูปรา่ งของเทอร์มิสเตอร์

10.3.3.1 หลกั การทางานของตัวควบคมุ อุณหภมู ิแบบอิเลก็ ทรอนิกส์

หลักการทางานเม่ืออุณหภูมิโดยรอบเปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็ก

น้อยจะส่งผลทาให้ค่าความต้านทานเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและแปรผันตรงกับอุณหภูมิที่

เปลี่ยนแปลงไปดังน้ันไทริสเตอร์จึงมีคุณสมบัติที่เปล่ียนแปลงค่าความต้านทานตามอุณหภูมิ

โดยท่ัวไปเทอร์มิสเตอร์มีอยู่ด้วยกันสองแบบคือแบบ Positive temperature coefficients (PTC)

และ Negative temperature coefficients (NTC) เทอร์มิสเตอร์สองประเภทนี้มีคุณสมบัติท่ี

ตรงกันข้ามกัน กล่าวคือแบบ PTC จะมีค่าความต้านทานเพิ่มข้ึน เมื่ออุณหภูมิเพ่ิมข้ึน และจะ

เพ่ิมอย่างรวดเร็วเมื่ออุณหภูมถิ ึงจุดที่เรียกว่า Knee หรือจุดช่วงท่ีทาหน้าท่ีเสมือนเป็นสวิตซ์ ตัด

และต่อวงจร (Switching point) ส่วน NTC จะตรงกันข้ามคือค่าความต้านทานจะลดลงเม่ือ

อุณหภูมเิ พมิ่ ข้นึ ดงั รูปท่ี 10.30

ความต้านทาน PTC
NTC
100K
10K
1K
100
10

-50 อุณหภูมิ ( องศา C )
0
50

100
150
200
250
300

รูปท่ี 10.30 แสดงกราฟการทางานของตัวควบคุมอุณหภมู แิ บบ PTC และ NTC

258 เคร่อื งทำควำมเยน็ (2104-2007)

10.3.3.2 การตรวจสอบตวั ควบคมุ อุณหภูมแิ บบอิเล็กทรอนกิ ส์
ตรวจสอบตัวควบคุมอุณหภูมิแบบอเิ ล็กทรอนิกสส์ ามารถกระทาได้ 2 วิธีดังน้ี

1) วิธกี ารวดั ความต้านทานของหน้าสัมผัสโดยการใช้มลั ติมิเตอร์ยา่ น
โอหม์ วัดที่หน้าสัมผัสซงึ่ โดยปกติแล้วตวั ควบคุมอุณหภูมแิ บบอเิ ล็กทรอนิกส์ที่ยังไมใ่ ชง้ านหรอื ยัง
ไม่ได้ต่อเข้าไปในวงจรไฟฟ้าหน้าสัมผัสจะอยู่ในสภาวะปิด (NC) เสมอแต่วิธีการนี้ผลการวัด
อาจจะผิดพลาดไดถ้าหน้าสัมผัสเสียเนื่องจากการช๊อตละลายติดกัน (เฉพาะตัวที่มีการใช้งาน
แลว้ )

รูปที่ 10.31 การตรวจสอบตวั ควบคมุ อณุ หภูมแิ บบอิเล็กทรอนกิ ส์โดยการใช้มัลติมิเตอร์

2) วิธีการตรวจสอบการต่อและการตัดกระทาได้โดยการใช้ความเย็น
ทดสอบแล้วใช้มัลติมิเตอร์ย่านโอห์มวัดที่หน้าสัมผัส โดยท่ีอุณหภูมิต่าตัวควบคุมอุณหภูมิจะตัด
และเม่ืออุณหภูมสิ งู ขึ้นตวั ควบคมุ อุณหภมู จิ ะต่อ

ความต้านทาน NTC
อุณหภมู ิ ( องศา C )
100K
10K
1K
100
10

-50
0
50

100
150
200
250
300

รูปที่ 10.32 แสดงวิธกี ารตรวจสอบการตอ่ และตัดโดยการใช้ความร้อนและความเย็นทดสอบ

เครือ่ งทำควำมเย็น (2104-2007) 259

10.4 หลอดไฟต้เู ย็น (Lamp)
หลอดไฟฟา้ ตู้เย็นเปน็ อปุ กรณไ์ ฟฟ้าท่ีให้แสงสวา่ งภายในตู้เย็นเมื่อเปดิ ประตูตู้

เย็นทาให้มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าไปในไส้หลอดซ่ึงติดตั้งอยู่ภายในตู้เย็นหลอดไฟตู้เย็นน้ัน
ส่วนมากจะเป็นหลอดเกลียวมีขนาดแตกต่างกันออกไปจะมีขนาด 15–25 วัตต์ซ่ึงขนาดของ
เกลียวที่นิยมใช้กันในตู้เย็นมีอยู่ 3 ขนาดคือ แบบเกลียวเล็ก (E12) เกลียวกลาง (E14) และ
เกลียวใหญ่ (E17) ขนาดเกลยี วหลอดไฟตูเ้ ยน็ ทง้ั 3 มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางดงั น้ี

ขนาดเลก็ (S) ขนาดเส้นผ่าศนู ย์กลาง 12 มม. หรอื เกลยี ว E12
ขนาดกลาง (M) ขนาดเสน้ ผา่ ศูนย์กลาง 14 มม. หรอื เกลียว E14
ขนาดใหญ่ (L) ขนาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง 17 มม. หรอื เกลยี ว E17

รปู ที่ 10.33 แสดงลักษณะของหลอดไฟตู้เยน็ ขนาดต่างๆ
10.5 สวติ ชป์ ระตตู เู้ ย็น (Switch door)

เป็นสวติ ชท์ ่ใี ช้เปิดปิดวงจรไฟแสงสว่างและพดั ลมในตู้เย็นตัวสวิตชจ์ ะเป็นสวิตช์
แบบกดติดปล่อยดับคือภายในจุดต่อเป็นแบบหน้าสัมผัสปกติปิด (NC) เมื่อใช้ควบคุมหลอดไฟ
และเป็นแบบหน้าสัมผัสปกติเปิด (NO) เม่ือใช้ควบคุมพัดลม สวิตช์ประตูตู้เย็นจะมีรูปร่างที่
แตกตา่ งกนั ขนึ้ อยู่กับบริษัทผผู้ ลิต

รปู ที่ 10.34 แสดงลักษณะของสวติ ชป์ ระตตู เู้ ย็น
สวิตชป์ ระตตู เู้ ย็น โดยปกตถิ ้าเป็นสวิตชแ์ บบกา้ นเดยี วทีม่ ี 2 ข้วั กจ็ ะเป็นสวิตชท์ ี่
ทาหน้าท่ีควบคุมหลอดไฟในตู้เย็นหรือมอเตอร์พัดลมอย่างเดียว (ยกเว้นแบบแกนเดียวมี 3
ข้ัว) แต่ถ้ามี 2 ก้านก็จะควบคุมหลอดไฟหนึ่งก้านและควบคุมพัดลมในตู้เย็นอีกหนึ่งก้าน แบบ
หนึ่งก้านท่ีใช้ควบคุมหลอดไฟหน้าสัมผัสของสวิตช์จะเป็นแบบปกติปิด (NC) ดังรูปท่ี10.35

260 เคร่ืองทำควำมเย็น (2104-2007)

แบบสองก้านหน้าสัมผัสของสวิตช์จะเป็นแบบปกติเปิด (NO) หน่ึงข้างและเป็นแบบปกติปิด
(NC) หนึ่งขา้ งดงั รปู ท่ี 10.36

รูปที่ 10.35 แสดงโครงสร้างของสวิตชป์ ระตูตเู้ ยน็ แบบก้านเดียวมี 2 ข้ัว

รปู ที่ 10.36 แสดงโครงสร้างของสวิตชป์ ระตูต้เู ยน็ แบบสองกา้ นมี 3 ขว้ั
10.5.1 หลกั การทางานของสวติ ชป์ ระตูตูเ้ ยน็
หลักการทางานของสวิตช์ประตูตู้เย็น (ในกรณีทาหน้าที่ควบคุม

วงจรไฟแสงสว่างในตู้เย็น) คือภายในจุดต่อเป็นหน้าสัมผัสปกติปิดดังรูปที่ 10.35 เม่ือกดปุ่มลง
ไปหน้าสัมผัสไม่ต่อวงจรดังน้ันเวลาท่ีเปิดประตูตู้เย็นสวิตช์จะไม่ถูกกดจงึ ทาให้ต่อวงจรแสงสว่าง
พอปิดประตูบานประตูจะไปกดให้สวิตช์จมลงตัดวงจรแสงสว่างหลอดไฟจึงดับ (กรณีทาหน้าท่ี
ควบคุมการทางานของวงจรพัดลมภายในอีแวปปอเรเตอร์) ดังรูปที่ 10.36 เม่ือกดปุ่มลงไป
หน้าสัมผัสต่อวงจร ดังน้ันเวลาท่ีเปิดประตูตู้เย็นสวิตช์จะไม่ถูกกดจึงทาให้ตัดวงจรมอเตอร์พัด
ลมพอปิดประตบู านประตูจะไปกดใหส้ วิตชจ์ มลงไปต่อวงจรมอเตอร์พัดลมให้ทางาน

10.5.2 การตรวจสอบสวิตช์ประตตู ู้เย็น
การตรวจสอบสวิตช์ประตูตเู้ ยน็ ทาได้โดยการใช้มลั ตมิ เิ ตอร์ยา่ นโอห์ม

ตรวสอบความปกตขิ องหน้าสมั ผัสดังรปู ท่ี 10.37 ผลทอ่ี อกมาจะมีสภาวะท่ีตรงกันข้าม ระหว่าง
สวิตชป์ ระตูต้เู ยน็ ที่ใชค้ วบคมุ วงจรแสงสว่างกับควบคุมวงจรมอเตอรพ์ ัดลม

เคร่อื งทำควำมเย็น (2104-2007) 261

1

2
3

รูปที่ 10.37 การใช้มัลติมิเตอร์ตรวจสอบความปกติของหน้าสัมผสั ของสวติ ช์ประตตู เู้ ยน็

ผลจากการตรวจสอบ ซ่งึ ผลมดี ังต่อ ไปนี้ ไมก่ ดสวิตช์ เข็มเคลื่อนที่
สวิตชค์ วบคมุ วงจรแสงสวา่ ง กดสวติ ช์ เข็มไม่เคลื่อนที่
ไม่กดสวติ ช์ เขม็ ไม่เคลื่อนที่
สวิตช์ควบคมุ วงจรมอเตอร์พดั ลม กดสวิตช์ เขม็ เคล่ือนที่

10.6 มอเตอรพ์ ัดลมตู้เย็น (Fan motor)
มอเตอรท์ ่ใี ชเ้ ป็นมอเตอรก์ ระแสสลบั เฟสเดยี ว คือ เชด็ เด็ดโพลมอเตอร์ซึง่ เป็น

มอเตอรท์ ่ีมีขนาดเล็กแรงม้าและแรงบดิ เร่มิ หมุนตา่ จึงเหมาะทจ่ี ะนามาติดตง้ั ภายในต้เู ย็นแบบ
โนฟรอสเพื่อเป่าลมเย็นใหห้ มุนเวยี นทั่วทัง้ ตู้พดั ลมจะทางานในตอนทีป่ ิดประตูตู้เย็นและหยดุ
ทางานเมอ่ื เปดิ ประตูตูเ้ ย็นซ่ึงมอเตอร์พดั ลมจะมรี ูปแบบท่ีหลากหลายดงั รูปที่ 10.38

รูปที่ 10.38 แสดงลกั ษณะของมอเตอรพ์ ดั ลมตูเ้ ย็น

10.6.1 สว่ นประกอบของมอเตอรพ์ ดั ลมต้เู ย็น
สว่ นประกอบของเช็ดเด็ดโพลมอเตอร์
1) โรเตอร์ (ตวั หมุน) มลี ักษณะเป็นโรเตอร์แบบกรงกระรอก
2) ขดลวดสนามแมเ่ หลก็ จะพนั อยูร่ อบๆ แกนของตวั สเตเตอร์
3) วงแหวนทองแดง (Shaded coil)

262 เครื่องทำควำมเย็น (2104-2007)

4) สเตเตอรเ์ ป็นแผ่นเหล็กบางวางอัดซ้อนกันตรงบรเิ วณข้ัวสนามแม่
เหลก็ แตล่ ะด้านแบง่ 2 สว่ น ส่วนที่เลก็ กวา่ จะมวี งแหวนทองแดงพนั อย่รู อบๆ ดังรปู ที่ 10.39

รปู ท่ี 10.39 แสดงสว่ นประกอบของเชด็ เดด็ โพลมอเตอร์
10.6.2 หลกั การทางานของมอเตอร์พัดลมตเู้ ยน็

หลกั การทางานของเชด็ เด็ดโพลมอเตอร์จะมีขดลวดทชี่ ว่ ยหมุนคอื ลวด
ทองแดงเส้นใหญ่ที่พันอยู่กับข้ัวสนามแม่เหล็กเรียกว่าเช็ดเด็ด (Shaded coil) หรือขดลวดช่วย
หมุน (Auxiliary winding) เมื่อจ่ายไฟฟ้ากระแสสลับเข้าขดลวดสเตเตอร์ของมอเตอร์ จะเกิดเส้น
แรงแม่เหล็กเคลื่อนที่ผ่านโรเตอร์ของมอเตอร์และมีสนามแม่เหล็กส่วนหน่ึงที่ผ่าน ขดลวดเช็ด
เด็ดทาให้เกิดแรงแม่เหล็กบิดเบ้ียวไปการบิดเบ้ียวไปนี้ ทาให้เกิดแรงบิดหมุนซ่ึงทาให้โรเตอร์
หมุนได้การตรวจเช็คมอเตอร์พัดลมตู้เย็นกระทาได้ง่ายเน่ืองจากว่าเช็ดเด็ดโพลของมอเตอร์มี
ขดลวดอยูเ่ พยี งขดเดียวคอื ขดลวดรันจงึ สามารถใช้โอห์มมิเตอร์วัดความปกติของขดลวดมอเตอร์
ได้

10.7 ดีฟรอสไทเมอร์ (Defrost timer)
เปน็ อุปกรณ์ทท่ี าหน้าทกี่ าหนดเวลาการทางานของตเู้ ย็นระบบดฟี รอสโดย

อัตโนมัติและตู้เย็นระบบโนฟรอสโดยทาหน้าที่กาหนดเวลาให้คอมเพรสเซอร์ทางานและเวลา
การละลายน้าแข็งท่อี แี วปปอเรเตอร์

รูปที่ 10.40 แสดงลกั ษณะของตัวดีฟรอสไทเมอร์

เคร่ืองทำควำมเยน็ (2104-2007) 263

10.7.1 ์

โครงสร้างดฟี รอสไทเมอรแ์ สดงไว้ในรูปที่ 10.40 ทางานด้วยมอเตอร์

ขนาดเล็กทาหน้าท่ีขับเฟืองที่ทดรอบให้หมุนช้าลงเพื่อทาหน้าท่ีควบคุมการทางานของสวิต ช์

หน้าสัมผัสแบบ S.P.D.T. (Single pole double throw) การต่อใช้งานมีเครื่องหมายกาหนดขั้ว

โดยข้ัว หมายเลข 1 กับ 3 เป็นมอเตอร์และขั้ว 3 เป็นหน้าสัมผัสที่เปิดและปิดอยู่ระหว่างข้ัว 2

กบั ขั้ว 4 หรือขัว้ 1 เปน็ หนา้ สมั ผสั ท่เี ปดิ และปดิ อยู่ระหวา่ ง ข้วั 2 กับขวั้ 4 ข้นึ อยู่กบั ลักษณะการ

ผลติ ให้ดูตามเนมเพลตทต่ี วั ดีฟรอสไทเมอร์ดังแสดงรูปท่ี 10.41 และ 10.42

รูปที่ 10.41 วงจรไฟฟ้าของดฟี รอสไทเมอร์ขวั้ 3 หน้าสมั ผัสปดิ เปิดอยู่ระหว่างขัว้ 4 กบั ขว้ั 2

รูปท่ี 10.42 แสดงการทางานของดีฟรอสไทเมอร์
10.7.2 หลกั การทางานของดฟี รอสไทเมอร์

หลักการทางานของดีฟรอสไทเมอร์ในการทาดีฟรอส สาหรับตูเย็น
ระบบละลายน้าแข็งจะประกอบดวยมอเตอรขนาดเล็กเม่ือจายกระแสไฟฟาเขามอเตอรมอเตอร
จะหมุนขับเฟองทดรอบใหหมุนชาลงไปผลักกลไกทาใหหนาสัมผัสของไทเมอร์รีเลยตัดวงจรให
ระบบเคร่ืองทาความเย็นทาการดีฟรอสละลายน้าแข็ง อยูในชวงระยะเวลาประมาณ 15 นาที
และตอใหวงจรการทางานของระบบการทาความเย็นระยะเวลา 12-14 ช่ัวโมง (ระยะเวลา
แล้วแต่รุ่นท่ีนามาใช)้ ดงั รปู ที่ 10.43

264 เครอ่ื งทำควำมเย็น (2104-2007)

รูปที่ 10.43 แสดงการทางานของดีฟรอสไทเมอร์
10.7.3 การตรวจสอบดฟี รอสไทเมอร์

การตรวจสอบดีฟรอสไทเมอร์ใช้มัลติมิเตอร์ย่านโอห์มมาทาการวัดที่
ข้ัวของดีฟรอสไทเมอร์ซึ่งจะมีผลการวัดดังน้ีการวัดข้ัว 1 กับข้ัว 3 เข็มมิเตอร์จะเคลื่อนท่ีช้ีค่า
ความต้านทานเพราะเปน็ การวัดขดลวดของตัวมอเตอร์น้ันเองการวดั ข้ัว 1 กับขวั้ 4 เข็มมเิ ตอร์ช้ี
ท่ี 0 โอห์ม เพราะเป็นการวัดหน้า สัมผัสปกติปิด และวัดขั้ว 1 กับข้ัว 2 เข็มมิเตอร์จะไม่
เคล่อื นท่ี เพราะเปน็ การวัดหน้าสมั ผสั ปกติเปดิ

รปู ท่ี 10.44 แสดงการตรวจสอบตัวดฟี รอสไทเมอร์
10.8 ดีฟรอสเทอรโ์ มสเตต (Defrost thermostat)

เปน็ อปุ กรณท์ ใี่ ชใ้ นขบวนการทาดีฟรอสตู้เย็นโดยจะทาหน้าที่ ปิดและเปิดวงจร
การทางาน ของดีฟรอสฮีสเตอร์เพ่ือละลายน้าแข็งท่ีอีแวปปอเรเตอร์ซึ่งจะทาการปิดวงจรให้
ดีฟรอสฮีสเตอร์ทางานเม่ืออุณหภูมิที่บริเวณตัวดีฟรอสเทอร์โมสเตตติดต้ังอยู่ต่ากว่าอุณหภูมิที่
กาหนดไว้ และจะเปิดวงจรหยุดการทางานของดีฟรอสฮีสเตอร์เม่ืออุณหภูมิที่บริเวณตัวดีฟรอส
เทอร์โมสเตตตดิ ตั้ง อยูส่ งู กว่าอุณหภูมทิ ีก่ าหนดไว้

เคร่อื งทำควำมเยน็ (2104-2007) 265

ตัวอย่าง ดีฟรอสเทอร์โมสเตต เปิด 75F˚. ปิด 40F˚. (Defrost thermostat. open
75F. close 40F˚. Re)

รปู ที่ 10.45 แสดงลักษณะของตัวดฟี รอสเทอร์โมสเตต

10.8.1 หลักการทางานของตวั ดฟี รอสเทอรโ์ มสเตต
การทางานของดีฟรอสเทอร์โมสเตตจะใชห้ ลกั การขยายตวั ของโลหะ

สองชนิดที่ประกบกันเป็นแผ่น เมื่อได้รับความร้อนโลหะสองชนิดจะขยายตัวไม่เท่ากัน จะเป็น
ผลให้เกิดการโค้งงอของแผ่นไบเมทอลนั้น ผลจากการโค้งงอของแผ่นไบเมทอล จะไปบังคับ
กลไกทาให้หน้าสัมผัสอยู่ในสภาวะเปิด และเม่ือได้รับความเย็นโลหะสองชนิดจะเกิดการหดตัว
กลบั สูส่ ภาวะเดมิ ไปบังคับกลไกทาให้หนา้ สัมผัสอยู่ในสภาวะปิดซ่ึงจะนาผลการปิดและเปิดของ
หน้าสัมผัสน้ีไปควบคุมการทาดีฟรอสเพื่อทาการละลายน้าแข็งท่ีตัวอีแวปปอเรเตอร์ของตู้เย็น
ดงั รูปที่ 10.46 และ 10.47

รปู ท่ี 10.46 แสดงสภาวะการทางานเมื่อดีฟรอสเทอร์โมสเตตได้รบั ความร้อน

266 เครือ่ งทำควำมเยน็ (2104-2007)

รปู ที่ 10.47 แสดงสภาวะการทางานเมื่อดีฟรอสเทอร์โมสเตตไดร้ บั ความเย็น
10.8.2 การตรวจสอบเช็คตัวดฟี รอสเทอรโ์ มสเตต
การตรวจเสอบช็คตัวดีฟรอสเทอร์โมสเตตทาได้โดยการใช้มัลติมิเตอร์

ย่านโอห์มวัดค่าความต้านทานตัวดีฟรอสเทอร์โมสเตตโดยในสภาวะปกติหน้าสัมผัสเป็นปกติ
เปิดอยู่ดังน้ันเม่ือทาการวัดเข็มของมิเตอร์จะไม่มีการเคลื่อนไหวดังน้ันการท่ีจะทาการทดสอบ
ความปกติของหน้าสัมผัส (การต่อ) จะต้องนาตัวดีฟรอสเทอร์โมสเตตไปแช่ในน้าแข็ง ที่มี
อุณหภูมิที่ต่ากว่าท่ีกาหนดไว้ท่ีตัวของดีฟรอสเทอร์โมสเตตแล้วทาการวัดอีกครั้งเข็มของมิเตอร์
จะเคล่อื นไหวช้ีบนสเกลเพอื่ คา่ ความต้านทานของตวั ดีฟรอสเทอรโ์ มสเตตได้

รปู ที่ 10.48 แสดงการตรวจสอบความปกติของหนา้ สัมผสั แบบปดิ (การต่อวงจร)

เครอ่ื งทำควำมเยน็ (2104-2007) 267

รปู ที่ 10.49 แสดงการตรวจสอบความปกติของหนา้ สัมผัสแบบเปิด (การตดั วงจร)
10.9 ดีฟรอสฮีสเตอร์ (Defrost heater)
เป็นอุปกรณ์ทใ่ี ช้ความร้อนในการละลายนา้ แข็งท่อี ีแวปปอเรเตอรข์ องตูเ้ ย็นซ่ึงมี

ลักษณะที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับการออกแบบของตู้เย็นอาจจะเป็นแบบขดลวดความร้อนท่ีมี
ฉนวนหุ้มบรรจุในท่ออะลูมิเนียมขดลวดความร้อนท่ีบรรจุไว้ในหลอดแก้วหรือขดลวดความร้อน
ท่ีมฉี นวนหุ้มบรรจุไว้ในท่อทองแดงหรอื ทอ่ เหลก็ ดังรปู ที่ 10.50

รูปที่ 10.50 แสดงลักษณะของดฟี รอสฮีสเตอร์
10.9.1 การตรวจสอบดฟี รอสฮีสเตอร์

การตรวจสอบดีฟรอสฮีสเตอรเ์ บ้ืองตน้ โดยการใช้มัลติมเิ ตอรย์ า่ นโอห์ม
ค่าความต้านทานขดลวดซ่ึงปกติแล้วขดลวดของดีฟรอสฮีสเตอร์ก็จะมีค่าความต้านทานต่างกัน
ออกไปตามแบบและขนาดท่ีนามาใช้

268 เครอื่ งทำควำมเย็น (2104-2007)

รูปที่ 10.51 แสดงการตรวจสอบดฟี รอสฮีสเตอร์
10.10 เทอรโ์ มฟิวส์ (Thermo fuse)

เป็นอุปกรณ์ท่ีใช้เป็นตัวควบคุมอุณหภูมิหรือกาหนดอุณหภูมิของการทาดีฟรอส
ใน
อีแวปปอเรเตอร์ไม่ให้ร้อนจนเกินค่าท่ีกาหนดซ่ึงส่วนใหญ่ในตู้เย็นจะนิยมใช้กันคือ 72 องศา
เซลเซยี ส หรอื ค่าอ่นื ๆ ขน้ึ อยูก่ บั ระบบท่ีกาหนดการใช้มาว่ามีคา่ สงู สุดของความร้อนกี่องศา

รปู ที่ 10.52 แสดงลกั ษณะของเทอร์โมฟิวส์
10.10.1 การทางานของเทอร์โมฟิวส์

การทางานของตัวเทอร์โมฟิวส์จะทาการตัดต่อวงจรด้วยความร้อน
จากตัวดีฟรอสฮีสเตอร์ซ่ึงในสภาวะปกติจะทาการตอ่ วงจรและจะตดั วงจรแบบถาวรเมื่ออุณหภูมิ
มีค่าสูงเกินกว่าค่าท่ีกาหนดไว้ท่ีตัวของเทอร์โมฟิวส์ซึ่งจะมีค่าที่แตกต่างกันออกไปแล้วแต่ขนาด
ทน่ี ามาใชใ้ นวงจรแต่ละวงจร ดังรูปท่ี 10.53

เครื่องทำควำมเยน็ (2104-2007) 269

รปู ที่ 10.53 แสดงลักษณะการทางานของเทอร์โมฟิวส์
10.10.2 การตรวจสอบเทอรโ์ มฟวิ ส์

การตรวจสอบเทอร์โมฟิวส์โดยการใช้มัลตมิ เิ ตอร์ยา่ นโอห์มค่าความ
ต้านทานซึ่งปกติแล้วเทอร์โมฟิวส์ก็จะมีค่าความต้านทานต่างกันออกไปตามแบบและข นาดที่
นามาใช้

รปู ที่ 10.54 แสดงการตรวจสอบเทอรโ์ มฟวิ ส์
10.11 เดรนฮีสเตอร์ (Drain heater)

เป็นอุปกรณ์ท่ีใช้ความร้อนในกระบวนการระเหยน้าให้หมดจากกระบวนการ
ละลายน้าแข็งท่ีอีแวปปอเรเตอร์ของตู้เย็นซ่ึงส่วนใหญ่จะติดต้ังไว้ตรงบริเวณท่อน้าท้ิงหรือถาดท่ี
รองรบั น้าโดยตัวเดรนฮสี เตอรจ์ ะมีลักษณะทแี่ ตกต่างกนั ขน้ึ อยูก่ ับการออกแบบมาใช้งานดังรปู ที่
10.55

รูปที่ 10.55 แสดงลักษณะของเดรนฮีสเตอร์

270 เครื่องทำควำมเยน็ (2104-2007)

10.11.1 การทางานของเดรนฮสี เตอร์
การทางานของตวั เดรนฮสี เตอรเ์ ม่อื จา่ ยกระแสไฟฟา้ เข้าไปในวงจรทา

ให้ขดลวดเกดิ ความร้อนข้ึนมาและนาความรอ้ นท่ีได้ไประเหยน้าในบริเวณทอ่ นา้ ท้ิงหรอื ถาดรอง
น้าของตู้เย็นโดยอปุ กรณท์ ่ีทาหน้าท่ีเปิดและปิดการทางานของเดรนฮีสเตอร์คอื เทอรโ์ มฟวิ สห์ รือ
กระบวนการทางานของดีฟรอสไทเมอรด์ ังแสดงในรูปท่ี 10.56

รปู ที่ 10.56 แสดงลกั ษณะการควบคุมการทางานของเดรนฮีสเตอร์
10.11.2 การตรวจสอบเดรนฮีสเตอร์
การตรวจสอบเดรนฮีสเตอรโ์ ดยการใช้มลั ติมเิ ตอรย์ า่ นโอหม์ ค่าความ

ต้านทานซ่ึงปกติแล้วเดรนฮีสเตอร์ก็จะมีค่าความต้านทานต่างกันออกไปตามแบบและขนาดที่
นามาใช้

รูปที่ 10.57 แสดงการตรวจสอบเดรนฮีสเตอร์

เครอื่ งทำควำมเยน็ (2104-2007) 271

สรุป
ในวงจรไฟฟ้าทใี่ ช้ควบคุมการทางานของระบบเคร่ืองทาความเย็นเพอื่ ใหม้ ีประสทิ ธิภาพ

สูงสุดมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและสามารถป้องกันความเสียหายท่ีอาจเกิดข้ึนได้ขณะท่ีเครื่อง
ทาความเย็นเริม่ ทางานหรอื หยดุ การทางานโดยการตดั หรอื จ่ายไฟฟ้าให้กบั วงจรท่ีระบบควบคุม
รวมถึงการควบคุมเพ่ือป้องกันอันตรายกับวงจรไฟฟ้าและอุปกรณ์อื่น ๆ ของระบบเครื่องทา
ความเย็น ซ่ึงประกอบด้วยอุปกรณ์ต่อไปน้ี อุปกรณ์ช่วยสตาร์ตมอเตอร์ (เคอร์เรนต์รีเลย์แบบ
ขดลวด , เคอร์เรนต์รีเลย์แบบสารก่ึงตัวนา) อุปกรณ์ป้องกันมอเตอร์ไฟฟ้า (โอเวอร์โหลด)
ตัวควบคุมอุณหภูมิ อุปกรณ์ให้แสงสว่าง (หลอดไฟตู้เย็น , สวิตช์ประตูตู้เย็น) มอเตอร์พัดลม
ตู้เยน็ ดีฟรอสไทเมอร์ ดฟี รอสเทอรโ์ มสเตต ดีฟรอสฮสี เตอร์ เทอร์โมฟวิ ส์ เดรนฮีสเตอร์

272 เครอื่ งทำควำมเย็น (2104-2007)
แบบเสนอเพาเวอรพ์ อยต์

1 /56 2/56
3 /56 4 /56
5 /56 6 /56

เครื่องทำควำมเยน็ (2104-2007) 273
แบบเสนอเพาเวอรพ์ อยต์

7 /56 8 /56
9 /56 10 /56
11 /56 12 /56

274 เคร่อื งทำควำมเย็น (2104-2007)
แบบเสนอเพาเวอร์พอยต์

13 /56 14 /56
15 /56 16 /56
17 /56 18 /56

เคร่อื งทำควำมเย็น (2104-2007) 275
แบบเสนอเพาเวอรพ์ อยต์

19 /56 20 /56
21 /56 22 /56
23 /56 24 /56

276 เคร่อื งทำควำมเย็น (2104-2007)
แบบเสนอเพาเวอร์พอยต์

25 /56 26 /56
27 /56 28 /56
29 /56 30 /56

เคร่อื งทำควำมเย็น (2104-2007) 277
แบบเสนอเพาเวอรพ์ อยต์

31 /56 32 /56
33 /56 34 /56
35 /56 36 /56

278 เคร่อื งทำควำมเยน็ (2104-2007)
แบบเสนอเพาเวอร์พอยต์

37/56 38 /56
39 /56 40 /56
41 /56 42 /56

เคร่อื งทำควำมเยน็ (2104-2007) 279
แบบเสนอเพาเวอรพ์ อยต์

43 /56 44 /56
45/56 46 /56
47 /56 48 /56

280 เคร่อื งทำควำมเย็น (2104-2007)
แบบเสนอเพาเวอร์พอยต์

49 /56 50 /56
51 /56 52 /56
53 /56 54 /56

เครือ่ งทำควำมเย็น (2104-2007) 281
แบบเสนอเพาเวอรพ์ อยต์

55 /56 56 /56

282 เครอื่ งทำควำมเย็น (2104-2007)

แบบฝกึ หดั หน่วยที่ 10
เร่ือง อปุ กรณ์ควบคุมในวงจรไฟฟ้า

คาสัง่ จงตอบคาถามต่อไปนี้
1. เคอร์เรนต์รีเลย์ทาหน้าทอี่ ะไรในวงจรไฟฟ้าตู้เยน็
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. โอเวอรโ์ หลดทาหน้าทอ่ี ะไรในวงจรไฟฟา้ ตเู้ ยน็
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ตวั ควบคมุ อณุ หภูมทิ าหนา้ ที่อะไรในวงจรไฟฟา้ ตเู้ ย็น
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. โอเวอรโ์ หลดมีก่ชี นดิ อะไรบ้าง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5. ตวั ควบคุมอณุ หภมู ิมีกี่ชนิด อะไรบา้ ง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

เครอ่ื งทำควำมเยน็ (2104-2007) 283

แบบทดสอบหลังเรียนหนว่ ยท่ี 10
เร่ือง อปุ กรณค์ วบคมุ ในวงจรไฟฟา้

วชิ า เครอ่ื งทาความเยน็ รหสั วิชา 2104 - 2007 ระดบั ชน้ั ปวช. 2
สาขางานไฟฟา้ กาลัง วิทยาลัยเทคนิคกาแพงเพชร
ขอ้ สอบแบบปรนยั ทั้งหมดมี 10 ขอ้ เวลา 10 นาที คะแนนเต็ม 10 คะแนน

คาส่งั จงทาเครื่องหมาย X หนา้ คาตอบที่ถูกทีส่ ดุ ลงในกระดาษคาตอบ
1. โอเวอรโ์ หลดทาหน้าท่ีอะไรในวงจรไฟฟ้าของตเู้ ย็น

ก. ตัดและตอ่ กระแสทไ่ี หลผา่ นขดลวดสตาร์ต
ข. ปอ้ งกันกระแสไหลเกินปกติของมอเตอร์
ค. ชว่ ยปลดกระแสล็อคโรเตอรแ์ อมป์
ง. ช่วยในการสตาร์ตมอเตอร์
2. ดีฟรอสฮสี เตอร์ในวงจรไฟฟา้ ของตเู้ ย็นทาหน้าทตี่ รงกับขอ้ ใด
ก. ช่วยกระจายความรอ้ นในอีแวปปอเรเตอร์
ข. ป้องกันการเกิดความรอ้ นของมอเตอรค์ อมเพรสเซอร์
ค. ละลายนา้ แข็งในอีแวปปอเรเตอร์
ง. ตดั ต่อวงจรมอเตอรค์ อมเพรสเซอร์
3. การตรวจสอบความปกติของโอเวอรโ์ หลดดว้ ยวิธีการใดทีใ่ ห้ผลชัดเจนท่ีสุด
ก. การตรวจสอบด้วยการใช้เทอรโ์ มมเิ ตอรว์ ัดค่าความร้อนของโอเวอรโ์ หลด
ข. การตรวจสอบดว้ ยการใช้มัลติมเิ ตอรว์ ดั ความต้านทานหนา้ สัมผสั ของโอเวอร์โหลด
ค. การตรวจสอบด้วยการใช้มลั ติมิเตอรว์ ัดสภาวะ NC - NO หนา้ สัมผัสของโอเวอร์ โหลด
ง. การตรวจสอบด้วยการจา่ ยกระแสไฟฟา้ ผา่ นตวั โอเวอรโ์ หลดจนเกนิ พกิ ัดและสงั เกตการ

เปดิ วงจร
4. อุปกรณ์เคอร์เรนตร์ ีเลย์ มีขวั้ ขดลวดกระแส เปน็ ตัวอักษรใดกบั อกั ษรใด

ก. ขว้ั 1 – S
ข. ขัว้ R – S
ค. ขั้ว 1 – M
ง. ขว้ั C – S

284 เครื่องทำควำมเยน็ (2104-2007)

5. ในตู้ทานา้ เยน็ ควรจะเลอื กใช้ตัวควบคมุ อณุ หภมู แิ บบใด
ก. ตวั ควบคุมอณุ หภมู ิแบบกระเปาะ
ข. ตวั ควบคุมอณุ หภูมิแบบไบเมทอล
ค. ตวั ควบคุมอณุ หภูมิแบบอเิ ลก็ ทรอนิกส์
ง. ตวั ควบคุมอณุ หภมู ิแบบเอ็นทซี ีเทอร์มิสเตอร์

6. รเี ลย์ทใี่ ช้ในวงจรไฟฟา้ ของระบบเครื่องทาความเย็นมีหนา้ ทอี่ ะไร
ก. ตัดวงจรไฟฟา้ ของมอเตอรค์ อมเพรสเซอร์เม่อื มกี ระแสเกนิ พกิ ัด
ข. ตัดวงจรไฟฟ้าของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์เมือ่ อณุ หภูมิในระบบถึงค่าที่กาหนด
ค. ควบคุมกระแสทไ่ี หลเข้าขดลวดรันของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์
ง. ชว่ ยสตารต์ และควบคุมกระแสทไ่ี หลเขา้ ขดลวดสตาร์ตของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์

7. หนา้ สัมผัสของดีฟรอสไทเมอรท์ ่ใี ช้ควบคมุ การทางานของวงจรทาดฟี รอสคือหมายเลขอะไร
ก. หมายเลข 1
ข. หมายเลข 2
ค. หมายเลข 3
ง. หมายเลข 4

8. ตัวควบคมุ อุณหภูมิชนิด Bulb bellow type มสี ว่ นประกอบท่ีสาคญั อะไรบา้ ง
ก. สปรงิ เบลโล กระเปาะ ไมโครสวิตช์
ข. ขดลวด สปริง แผน่ เหล็ก อารเ์ มเจอร์
ค. แผน่ เหล็ก อารเ์ มเจอร์ เบลโล กระเปาะ
ง. สปรงิ อารเ์ มเจอร์ ขดลวด ไมโครสวิตช์

9. การตรวจสอบสภาวะปกติของขวั้ และหนา้ สัมผสั ของดฟี รอสไทเมอรท์ าได้อยา่ งไร
ก. ใช้มลั ติมเิ ตอรต์ รวจสอบข้ัวและหน้าสัมผสั
ข. ใชค้ ีมหมุนปุ่มปรบั ด้านหลังของดีฟรอสไทเมอร์
ค. สังเกตการทางานของวงจรมอเตอรค์ อมเพรสเซอร์
ง. สงั เกตการทางานของวงจรดฟี รอสฮสี เตอร์

10. การใช้หลักการขยายตัวหรือหดตัวของโลหะสองชนิดท่ีมีค่าสัมประสิทธิการขยายตัวไม่เท่า
เปน็ หลกั การทางานของตัวควบคุมอณุ หภมู ชิ นิดใด

ก. ชนดิ กระเปาะ
ข. ชนดิ ไบเมทอล
ค. ชนดิ ควบคุมกระแส
ง. ชนดิ อเิ ล็กทรอนิกส์

เครอ่ื งทำควำมเยน็ (2104-2007) 285

เอกสารประกอบการอ้างอิง

1. มงคล พนู โตนด. เครื่องทาความเยน็ . บริษัทศูนย์หนงั สือเมอื งไทยจากดั : นนทบรุ ,ี 2557
2. สมเกยี รติ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา. เครอ่ื งทาความเย็นและปรบั อากาศ 1. บริษทั

พัฒนาวชิ าการ(2535) จากดั : กรงุ เทพฯ , 2550
3. สนอง อม่ิ เอม. เครื่องทาความเย็นและเครอ่ื งปรบั อากาศรถยนต.์ อมรนิ ทร์พร้ินติ้ง

แอนดพ์ ับลิซชิ่ง จากดั (มหาชน), 2540.
4. สมศกั ด์ิ สโุ มตยกุล. เคร่อื งทาความเย็นและปรับอากาศ. บริษทั ซีเอ็ดยเู คชั่น จากดั

( มหาชน ), 2539.
5. ชัยสวสั ด์ิ เทียนวบิ ูลย์. การทาความเย็นและปรบั อากาศ. โรงพิมพ์ ก. วิวรรธน์, 2523.
6. นกุ ูล แก้วมะหงิ ษ.์ เคร่ืองทาความเย็น (ภาคปฏิบัติ). สานกั พมิ พ์ ศนู ยส์ ่งเสริมอาชีวะ ,

2557


Click to View FlipBook Version