The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nsmu_it, 2024-03-12 05:03:57

รายงานผลกิจกรรมการจัดการความรู้ ปีงบประมาณ 2563

รายงานผลกิจกรรมการจัดการความรู้ 2563

NSKnowledge Management [47] ถอดบทเรียน “การพิจารณาการลาดํ ับภาพและการเลือกภาพในการทาตํ ําราที่ขอตําแหน่งทางวชาการได ิ ้” ครั้งที่ 4/2563 รองศาสตราจารย์ดร.ปรางทิพย์ฉายพุทธ วิทยากร ผู้ช่วยอาจารย์ภิญญาพัชญ์กตติ ิ์ธัญญธีรกุล ผู้ลขิิต ภาควิชาการพยาบาลศัลยศาสตร์จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง การพิจารณาการลําดับภาพและ การเลือกภาพในการทําตําราที่ขอตําแหน่งทางวิชาการได้โดย รองศาสตราจารย์.ดร.ปรางทิพย์ฉายพุทธ ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2563 เวลา 14.30-16.00 น. ผ่านระบบออนไลน์ Microsoft teams รายละเอียดโดย สรุปดังนี้ หลักการในการจัดลําดับภาพเพื่อให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับเนื้อหามีความสําคัญอย่างยิ่งใน การเขียนตําราทางวิชาการเนื่องจากจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนท้อเรื่องที่จะเขียนได้อย่างมีลําดับขั้นตอน โดยมีหลักในการพิจารณาลําดับภาพ ดังนี้ 1. การลําดับภาพเพื่อความเชื่อมโยง การลําดับภาพลักษณะนี้ใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการบรรยายเรื่อง ใดเรื่องหนึ่งที่มีการเริ่มต้นไปจนสิ้นสุด การลําดับภาพในลักษณะนี้มักจะเป็นการลําดับอย่างมีขั้นตอน ทําให้ นักศึกษาได้มองเห็นภาพการปฏิบัติการพยาบาลในบริบทต่างๆ เช่น การปรับระดับสายระบายน้ําในโพรงสมอง (Ventriculostomy drain) ภาพจะลําดับขั้นตอนตั้งแต่ การแคลมสายปิดระบบของชุดระบายน้ําในโพรงสมอง การปรับระดับเตียงให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง 30 องศา การปิดตาเพื่อป้องกันแสงเลเซอร์การตั้งระดับที่ถูกต้อง ตามคําสั่งการรักษา การคลายแคลมเปิดระบบของชุดระบายน้ําในโพรงสมอง การเปิดผ้าปิดตาผู้ป่วย เป็นต้น 2. การลําดับภาพเพื่ออธิบาย ในการลําดับภาพเพื่ออธิบายนี้เหตุการณ์ที่อธิบายอาจไม่ได้เกิดความ เชื่อมโยงกันอย่างชัดเจนแต่เป็นการใช้ภาพเพื่ออธิบายเนื้อหาที่ยากแก่การเข้าใจหรือจดจํา เป็นการอธิบายแจก แจงข้อเท็จจริง ความรู้อธิบายวิธีใช้ไขปัญหา เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจการมีการลําดับขั้นตอนก่อนหลัง ของเรื่องที่ ต้องการอธิบายเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายไม่สับสน เช่น ลาดํ ับจากเหตุไปสู่ผล จากใกล้ไปสู่ไกล จากง่ายไปสู่ยาก เป็นต้น การเลือกภาพในการทําตําราที่ขอตําแหน่งทางวิชาการได้นั้นนอกจากการพิจารณาภาพแล้ว ต้องพิจารณาถึงภาพรวมของเล่มตําราให้เป็นไปตามมาตรฐานของการขอตําแหน่งวิชาการดังนี้ ตํารา ต้องเป็นผลงานทางวิชาการที่เรียบเรียงขึ้นอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมเนื้อหาสาระของวิชาหรือ เป็นส่วนหนึ่งของวิชาที่สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการถ่ายทอดวิชา เนื้อหาสาระของตําราต้องมีความ ทันสมัย รูปเล่มประกอบด้วย คํานํา สารบัญ เนื้อเรื่อง การอธิบายหรือการวิเคราะห์การสรุป การอ้างอิงและ บรรณานุกรม ทั้งนี้การอ้างอิงแหล่งข้อมูลต้องทันสมัยครบถ้วยสมบูรณ์การอธิบาย สาระ ความสําคัญมีความ ชัดเจนโดยอาจใช้ตารางข้อมูล แผนภาพประกอบ ด้งนั้นการเลือกใช้ภาพที่ถูกต้องจึงมีผลต่อการขอตําแหน่ง ทางวิชาการ และมีการเผยแพร่ตํารา ในการพิจาณาคุณภาพของตํารานั้นสามารถพิจารณาได้ดังนี้


NSKnowledge Management [48] ลักษณะคุณภาพของผลงานทางวิชาการประเภทตํารา ระดับดี เป็นตําราที่มีเนื้อหาสาระทางวิชาการถูกต้องสมบูรณ์และทันสมัย มีแนวคิดและการนําเสนอที่ชัดเจนเป็น ประโยชน์ต่อการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา ระดับดีมาก ใช้เกณฑ์เดียวกับระดับดีและต้อง 1. มีการวิเคราะห์และเสนอความรู้หรือวิธีการที่ทันสมัยต่อความก้าวหน้าทางวิชาการและเป็นประโยชน์ต่อ วงวิชาการ 2. มีการสอดแทรกความคิดริเริ่มและประสบการณ์หรือผลงานวิจัยของผู้เขียนที่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความรู้ที่ เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน 3. สามารถนําไปใช้อ้างอิงหรือนําไปปฏิบัติได้ ระดับดีเด่น ใช้เกณฑ์เดียวกับระดับดีมาก และต้อง 1. มีลักษณะเป็นงานบุกเบิกทางวิชาการและมีการสังเคราะห์จนถึงระดับที่สร้างองค์ความรู้ใหม่(Body of Knowledge) ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง 2. มีการกระตุ้นให้เกิดความคิดและค้นคว้าต่อเนื่อง 3. เป็นที่เชื่อถือและยอมรับในวงวิชาการหรือวิชาชีพที่เกี่ยวข้องในระดับชาติหรือนานาชาติ ประโยชน์ที่ได้จากการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง การพิจารณาการลําดับภาพและการเลือก ภาพในการทําตําราที่ขอตําแหน่งทางวิชาการได้ด้านการดําเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการขอกําหนดตําแหน่งทาง วิชาการ ดังนี้ปัจจัยที่เอื้ออํานวยให้เกิดการพิจารณาการลําดับภาพและการเลือกภาพในการทําตําราที่ ขอตําแหน่งทางวิชาการในการเขียนตําราภาคปฏิบัติคือ 1. การระดมความคิด ในการคัดเลือกภาพที่มีความเหมาะสมกับเนื้อหาตําราเกิดการจัดทําตําราเพื่อ ขอตําแหน่งทางวิชาการ ตามเกณฑ์การขอตําแหน่ง โดยมีวิทยาการรศ.ดร.ปรางทิพย์ฉายพุทธ ที่รอบรู้และ เชี่ยวชาญเรื่องการทําตําราที่ได้มาตรฐานเป็นผู้นําในการอธิปรายการการพิจารณาการลําดับภาพและการเลือก ภาพในการทําตําราที่ขอตําแหน่งทางวิชาการ 2. การกําหนดมาตรฐานคุณภาพของตํารา ทําให้เกิดความชัดเจนในการทําตําราเพื่อขอตําแหน่งทาง วิชาการ 3. ผู้เขียนตําราในแต่ละเรื่องได้นําภาพที่เลือกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการประชุมการพิจารณาการ ลําดับภาพและการเลือกภาพในการทําตําราที่ขอตําแหน่งทางวิชาการทําให้ได้ภาพที่มีคุณภาพ มีความ สอดคล้องกับเนื้อหาและสามารถอธิบายเนื้อหาได้ชัดเจน เกิดทักษะในการเขียนตําราเพื่อขอตําแหน่งทาง วิชาการ


NSKnowledge Management [49] ถอดบทเรียน “Integrative Reviews” ครั้งที่ 5/2563 อาจารย์ดร.ฐิติพงษ์ตันคําปวน วิทยากร ผู้ช่วยอาจารย์ภิญญาพัชญ์กตติ ิ์ธัญญธีรกุล ผู้ลขิิต ภาควิชาการพยาบาลศัลยศาสตร์จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง การพิจารณาการลําดับภาพและ การเลือกภาพในการทําตําราที่ขอตําแหน่งทางวิชาการได้ โดยอาจารย์ดร.ฐิติพงษ์ตันคําปวน ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 เวลา 10.00-12.00 น. ผานระบบออนไลน ่ ์ Microsoft teams รายละเอียดโดยสรุปดังนี้ การทบทวนวรรณกรรมเพื่อการเผยแพร่ความรู้ปัจจุบันมีอยู่หลายรูปแบบที่แตกต่างกันไป Integrative reviews เป็นหนึ่งในการทบทวนวรรณกรรมเพื่อเผยแพร่ความรู้ที่ได้รับความนิยม เป็นการศึกษา ปรากฏการณ์ที่สนใจ บูรณาการณ์ความรู้และสร้างองค์ความรู้ใหม่เพื่อปิด gap of knowledge และ สอดคล้องกับคําถามการวิจัยที่เกิดขึ้น ประภทของการทบทวนงานวิจัย (Types of literature reviews) ประเภทของการทบทวนงานวิจัยในแต่ละประเภทจะเป็นตัวบ่งบอกลักษณะการทํางานวิจัยที่แตกต่าง กัน โดยแบ่งได้ดังนี้ Critical review Integrative review Literature reviews Mapping Meta-analysis Mix method review Qualitative systematic review Rapid review Realistic synthesis Scoping review State of the art review Systematic review Umbrella review ในการรวบรวมงานวิจัยแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกันชัดเจน เช่น - Literature review คือการรวบรวมงานแบบสมบูรณ์หลายๆเรื่อง จากหลายๆแหล่งข้อมูลการเขียน งาน literature review ส่วนใหญ่จะเป็นการเขียนแบบบรรยาย - Integrative review จะเน้นปรากฏการที่เราสนใจ เน้นอธิบายปัญหาใดปัญหาหนึ่ง วิธีการ สังเคราะห์ข้อมูลจะทําออกมาในรูปแบบ กราฟ หรือตารางให้เกิดความน่าสนใจ รวบรวมงานอย่างมีความคิด สร้างสรรค์นําเสนอให้เกิดความน่าสนใจซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสําคัญของการทํา Integrative review และต้องมี การอธิบาย gap of knowledge ทุกครั้ง


NSKnowledge Management [50] -Systematic review จะมีความลุ่มลึกมากกว่า integrative review เป็นการหาสิ่งที่ดีที่สุด เช่น guideline เพื่อการนําไปใช้เพราะ Systematic review จะมีการ recommendation เพื่อการนํามาใช้ ทุกครั้ง การแปลผล 1. Chronological เขียนอภิปรายผลเรียงตามช่วงเวลา ไล่จากอดีตถึงปัจจุบัน 2. Thematic เขียนตามลักษณะการรวบรวมข้อมูลที่ค้นพบ เป็นวิธีที่นิยมทํามากที่สุด 3. Methodological เขียนเน้นรูปแบบงานวิจัย ระเบียบวิธีวิจัย ความสําคัญของการทํา integrative review 1. ทําให้ผู้อ่านเกดความเชิ ื่อมั่นเนื่องจากงานได้ผ่านการวิเคราะห์และการสังเคราะห์มาอย่างดี 2. เป็นการศึกษาคร่าวๆว่าเรื่องที่ทํา Integrative review นนมั้ีความน่าสนใจมากน้อยแคไหนท ่ ี่จะ นําไปสู่กระบวนการทําวิจัย 3. ทําให้มีความชดเจนในส ั ิ่งที่ต้องการศึกษามากขึ้น 4. ทําให้เห็นถึงเทคนิคที่จะทํางานวิจัยให้ประสบความสําเร็จได้มากขึ้น เนื่องจากการ review จะทํา ให้เห็นขั้นตอนและรูปแบบการทํางานวิจัยที่หลากหลาย 5. ทําให้หลีกเหลยงการที่ําซ้ําได้ 6. ทําให้งานวิจัยมีความเป็นวิชาการมากขึ้น ดังนั้น Integrative review ไม่ใช่แค่การสรุปงานแต่เป็นการรวบรวมความรู้เพื่อสร้างองค์ความรู้ ใหม่หรือคําถามงานวิจัยใหม่เพื่อนําไปสู่ขั้นตอนของการทําวิจัย ปัญหาและอุปสรรคในการทํา integrative review 1. รูปแบบการเขียนที่เหมือนการสรุปงานทั่วๆไป (List-like writing that lack synthesis) การเขียน Integrative review ไม่ใช่แค่การสรุปงานแต่เป็นการรวบรวมความรู้เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่หรือคําถาม งานวิจัยใหม่เพื่อนําไปสู่ขั้นตอนของการทําวิจัย 2. ไม่มีการแยกแยะความเกี่ยวข้องของงานวิจัยที่ได้มา 3. ส่วนใหญ่มักจะใช้งานวิจัยที่เก่าเกินไป ไม่ทันสมัย (ควรใช้งานวิจัยที่ไม่เกิน 10 ปี) 4. ไม่มีโครงสร้างการเขียนที่แน่นอน ปัจจุบัน สามารถทําตาม PRISMA guideline ในการทํา Integrative reviews โดยเฉพาะในการตีพิมพ์ระดับนานาชาติ ขั้นตอนการทํา Integrative reviews ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การเลือกหัวข้อ (select a topic) ในการเลือกหัวข้อที่จะศึกษาเกิดจากผู้ศึกษามองเห็น ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวัน (everyday problem) อาจเป็นปัญหากว้างๆในตอนแรก จากนั้นสกัดให้แคบลงด้วย การกําหนดกลุ่มประชากรที่ต้องการศึกษา หรือเรื่องที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น หรือการระบุฐานข้อมูลที่จะศึกษา


NSKnowledge Management [51] ขั้นตอนที่ 2 การสืบค้น (search the literature) การสืบค้นข้อมูลนั้นมีขั้นตอนดังนี้ 1. การเลือกฐานข้อมูล โดยสามารถสืบค้นข้อมูลได้จากหลายแหล่งข้อมูล ดังนี้ - Online database ex. PubMed, Scopus, CINAHL, Ovid, ProQuest, Cochran, Google Scholar, Thai Journal (national) - Published journal - Dissertation/Thesis book 2. การกําหนดคําค้นหา (search term) สามารถกําหนดคําค้นหาได้ตามขั้นตอน ดังนี้ - การเลือกคําสามารถใช้ Mesh term ช่วยค้นหาคําที่จะใช้ในการสืบค้น เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เพียงพอใน การทบทวนววณกรรม - การกําหนดคําเชื่อม (Boolean operators) เช่น การใช้ or เป็นคําเชื่อมจะทําให้ได้จํานวนงานวิจัย มากขึ้น การใช้ and เชื่อม จะทําให้ได้จํานวนงานวิจัยน้อยลง เป็นต้น 3. การบันทึกงานวิจัยที่ได้จากการสืบค้น (search record) เป็นการบันทึกข้อมูลที่ได้จากการสืบค้น อาจจะทําการออกแบบตารางเพื่อบันทึกวันเวลาและปริมาณงานที่ค้นหาจากในแต่ละฐานข้อมูล 4. การคัดกรองงานวิจัยที่ได้จากการสืบค้น (screening document) เป็นการคัดกรองงานวิจัยเพื่อ นําไปใช้ในการเขียน Integrative reviews ด้วยการสกัดงานที่ซ้ําออก (duplicate removed) เลือกงานวิจัยที่ ตรงตาม Inclusion/Exclusion criteria และอ่านแบบ Skimming เพื่อดูว่าเนื้อหาตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ มีประโยชน์ในการนําไปใช้หรือไม่ เป็นงานวิจัยที่ทันสมัยและมีคุณภาพหรือไม่ ขั้นตอนที่ 3 การอ่าน (Review articles) ในขั้นตอนนี้ต้องใช้ทักษะการอ่านอย่างละเอียด เน้นเนื้อหาที่ สําคัญและตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะศึกษา เปรียบเทียบข้อมูล วิเคาระห์ข้อมูลเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ ขั้นตอนที่ 4 การบันทึก (Recording) เป็นการสร้างตารางบันทึกเนื้อหาจากการอ่าน ในขั้นตอนนี้ ผู้ศึกษาสามารถออกแบบตารางบันทึกได้เอง ตามวัตุประสงค์ที่ต้องการศึกษา ตัวอย่าง เช่น Source Purpose problem Simple Frame work Concepts Designs Instrument Results Implications comments ขั้นตอนที่ 5 การสร้างองค์ความรู้ใหม่ (synthesis and critique the literature) ในขั้นตอนนี้ผู้ ศกษาต้องสร้างองค์ความรู้ขึ้นมาใหม่จาการรวบรวมงานวิจัยหลายๆงานที่ได้มา และใช้ภาษาที่ไม่เหมือนกับ ต้นฉบับ ขั้นตอนที่ 6 การเขียน (write the reviews) ในขั้นตอนการเขียนองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นมา ผู้เขียนต้อง มีการอ้างอิงงานที่ได้สืบค้นมาให้ชัดเจนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการลอกเลียนแบบงาน (plagiarism) และมีการใช้ คําเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงในการเขียน


NSKnowledge Management [52] ประโยชน์ที่ได้จากการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง การพิจารณาการลําดับภาพและการเลือก ภาพในการทําตําราที่ขอตําแหน่งทางวิชาการได้ด้านการดําเนินงานด้านวิจัย รายละเอียดดังนี้ 1. ได้ความรู้ในการทํางานวิจัยหรือการเขียนบทความเพื่อให้ได้ตีพิมพ์ในวรสารระดับสากล โดยมี วทยาการทิ ี่มีประสบการณ์อ.ดร.ฐิติพงษ์ตันคําปวนที่รอบรู้และเชี่ยวชาญเรื่องการทํา Integrative reviews 2. ได้แนวคิดในการสืบค้นงาน เพื่อนํามาใช้ในการเขียนบทความ หรือประกอบการสืบค้นข้อมูลในการ ทําตํารา 3. อาจารย์ในภาควิชาได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การเขียนบทความ ปัญหาและอุปสรรค ในการเขียนบทความการทํางานวิจัย ทําให้ได้แนวทางที่จะนําไปเขียนบทความในครั้งต่อไป


NSKnowledge Management [53] ถอดบทเรียน “การทํารูบิคตาม OBE ที่สอดคล้องกับ PLOs และ CLOs ที่กําหนด” ครั้งที่ 6/2563 รองศาสตราจารย์ดร.ปรางทิพย์ฉายพุทธ วิทยากร ผู้ช่วยอาจารย์ภิญญาพัชญ์กตติ ิ์ธัญญธีรกุล ผู้ลขิิต ภาควิชาการพยาบาลศัลยศาสตร์จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง การทํารูบิคตาม OBE ที่สอดคล้องกับ PLOs และ CLOs ที่กําหนด โดย รองศาสตราจารย์.ดร.ปรางทิพย์ฉายพุทธ ในวันที่ 1 มิถุนายน 2563 เวลา 10.00-11.00 น. ผ่านระบบออนไลน์ Microsoft teams รายละเอียดโดยสรุปดังนี้ การสร้างแบบประเมินรูบิคสามารถทําได้หลายรูปแบบ เพื่อให้สอดคล้องกับ OBE การสร้างแบบ ประเมินรูบิคต้องพิจารณาตาม PLOs และ CLOs ตามที่รายวิชากําหนด โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1. พิจารณาความสอดคล้องของรายวิชากับ PLOs วิชาการปฏิบัติการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุทางศัลยกรรมจะสอดคล้องกับ PLOs ข้อที่ 2 ดังนั้น การสร้างแบบประเมินรูบิคเพื่อให้เกิดความชัดเจนจึงแบ่ง PLOs (2) สรุปได้เป็น 5 ด้าน ดังนี้ 1. ปฏิบัติการพยาบาลตามมาตรฐานวิชาชีพ 2. ปฏิบัติการพยาบาลแบบองค์รวม 3. ปฏิบัติการพยาบาลโดยบูรณาการศาสตร์ทางการพยาบาลและศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง 4. ปฏิบัติการพยาบาลใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ 5. ปฏิบัติการพยาบาลโดยการคํานึงถึงความเป็นมนุษย์และความแตกต่างทางวัฒนธรรม 2. พิจารณาความสอดคล้องของ CLO กับ PLOs ในวิชาการปฏิบัติการพยาบาลผู้ใหญและผ่สู้งอายู ุทางศัลยกรรมได้แบ่ง CLOs ออกเป็น 5 ข้อ ดังนี้ CLO1 เลือกวิธีประเมินปัญหาสุขภาพผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาทางศัลยกรรม ทั้งในระยะก่อนผ่าตัด ขณะผ่าตัดและหลังผ่าตัดได้ CLO2 ระบุข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลสําหรับผู้ป่วยผู้ใหญ่ ได้รับการรักษาทางศัลยกรรม ทั้งในระยะ ก่อนผ่าตัด ขณะผ่าตัดและหลังผ่าตัดได้ CLO3 ระบุกิจกรรมพยาบาลสําหรับผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่ได้รับการรักษาทางศัลยกรรมโดยใช้หลักฐาน เชิงประจักษ์ในการจัดการปัญหาสุขภาพ ส่งเสริมการฟื้นตัว ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ฟื้นฟูสภาพและวาง แผนการจําหน่ายโดยยึดการดูแลแบบผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางได้ CLO4 ปฏิบัติการพยาบาลตามลําดับความสําคัญ (prioritize) สําหรับผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่ได้รับการรักษา ทางศัลยกรรมได้ทั้งในระยะก่อนผ่าตัด ขณะผ่าตัดและหลังผ่าตัดได้ในการจัดการปัญหาสุขภาพ ส่งเสริมการ


NSKnowledge Management [54] ฟื้นตัว ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ฟื้นฟูสภาพและวางแผนจําหน่ายโดยยึดการดูแลแบบผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง คํานึงถึงความปลอดภัย สิทธิผู้ป่วยและจรรยาบรรณวิชาชีพได้ CLO5 ระบุผลลัพธ์ทางการพยาบาลในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่ได้รับการรักษาทางศัลยกรรม ทั้งในระยะก่อน ผ่าตัด ขณะผ่าตัดและหลังผ่าตัดได้ พิจารณา CLOs แตละข่ ้อว่ามีความสอดคล้องและตอบรับต่อ PLOs ย่อย กี่ข้ออะไรบ้าง ตัวอย่าง เช่น CLO1 มีความสอดคล้องและตอบรับต่อ PLOs ย่อย ข้อ 3 CLO2 มีความสอดคล้องและตอบรับต่อ PLOs ย่อย ข้อ 3,4,5 CLO3 มีความสอดคล้องและตอบรับต่อ PLOs ย่อย ข้อ 2,3,4,5 CLO4 มีความสอดคล้องและตอบรับต่อ PLOs ย่อย ข้อ 1,2,3,4,5 CLO5 มีความสอดคล้องและตอบรับต่อ PLOs ย่อย ข้อ 2,3,4,5 จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า CLO4 มีความสอดคล้องและตอบรับกับ PLOs ทุกข้อ จึงนําไปสู่การกําหนด น้ําหนักการให้คะแนนตามลําดับความสําคัญที่ต้องการวัด เพื่อนําไปใช้ในการสร้างแบบประเมินรูบิคต่อไป 3. พิจารณารูปแบบการวัดและประเมินผล 3.1 การวัดเป็นขั้นตอน การวัดและประเมินผลแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้ 1. การวัดกระบวนการหรือขั้นตอน (Process) 2. การวัดทักษะ (Performance) 3. การวัดผลลัพธ์ (Product) ในขั้นตอนนี้จะพิจารณาแต่ละ CLOs ว่าสามารถวัดด้วยการวัดและการประเมินใด ตัวอย่าง เช่น CLO1 จะทําการวัดและประเมินผลด้วย process เช่น นักศึกษาเลือกวิธีการเช็ดตัวเพื่อลดไข้เป็น ต้น จะเห็นได้ว่าในการการวัดและประเมินผลด้วย process นอกจากจะวัดกระบวนการแล้ว ยังสามารถวัด Critical thinking ได้ CLO4 จะทําการวัดและประเมินผลด้วย performance เป็นการวัดทักษะปฏิบัติด้วยการให้ นักศึกษาทําการสาธิตย้อนกลับ เช่น นักศึกษาแสดงการประเมินระดับความรู้สึกตัวด้วย Glasgow coma scale เป็นต้น ในการวัดด้วย performance นั้นถ้าไม่มีการสาธิตย้อนกลับจะกลายเป็นการวัดด้วย process ทันที ในการวัดผลลัพธ์นั้นจะมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์สุดท้ายโดยไม่คํานึงกระบวนการ เช่น ต้องการให้ นักศึกษาทําแผลสวย อาจารย์จะมุ่งเน้นไปที่สุดท้ายว่าแผลสวยหรือไม่ ไม่ได้พิจารณาถึงขั้นตอนการทําแผลว่า ถูกเทคนิคหรือปลอดเชื้อหรือไม่


NSKnowledge Management [55] 3.2 การวัดแบบ Holistic scoring เป็นการวัดแบบ mixes การวัดแบบนี้ทําได้แต่ใความยุ่งยาก เนื่องจากเป็นการวัดทุกอย่างรวมกัน ประโยชน์ที่ได้จากการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง การทํารูบิคตาม OBE ที่สอดคล้องกับ PLOs และ CLOs ที่กําหนด ด้านการดําเนินงานด้านอื่นๆ (การขอกําหนดตําแหน่งทางวิชาการ) ดังนี้ปัจจัยที่ เอื้อเอื้ออํานวยให้เกิดการทํารูบิคตาม OBE ที่สอดคล้องกับ PLOs และ CLOs ที่กําหนด ในการเขียนตํารา ภาคปฏิบัติคือ 1. การกําหนดแบบประเมินที่เป็นรูปธรรม วัตถุประสงค์การสร้างแบบประเมินรูบิคชัดเจน โดยมีวิทยาการ รศ.ดร.ปรางทิพย์ฉายพุทธ ได้อธิบายถึงความเข้าใจความสอดคล้องของ PLOs และ CLOs ที่ชัดเจน ผู้เขียนตําราสามารถนําไปประกอบการเขียนตําราได้ 2. กระบวนการคิดที่มีแบบแผน จากการพิจารณาความสอดคล้องและการตอบรับของ PLOs กับ CLOs รูปแบบการวัดและประเมินผลทําให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในแต่ละPLOs และ CLOs ลักษณะการ วัดและการประเมินผล สามารถนําไปใช้เป็นแนวทางในการสร้างแบบประเมินที่ชัดเจน


NSKnowledge Management [56] การทํารูบิคเพื่อวัด Psychomotor skills ครั้งที่7/2563 รองศาสตราจารย์ดร.ปรางทิพย์ฉายพุทธ วิทยากร ผู้ช่วยอาจารย์ภิญญาพัชญ์กตติ ิ์ธัญญธีรกุล ผู้ลขิิต ภาควิชาการพยาบาลศัลยศาสตร์จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการทํารูบิคเพื่อวัด Psychomotor skills โดย รองศาสตราจารย์.ดร.ปรางทิพย์ฉายพุทธ ในวันที่ 1 มิถุนายน 2563 เวลา 11.00- 12.00 น. ผ่านระบบออนไลน์ Microsoft teams รายละเอียดโดยสรุปดังนี้ การวัดการประเมินผลสามารถวัดด้วยกระบวนการหรือขั้นตอน (Process) ทักษะ (Performance) และผลลัพธ์ (Product) ในการวัด Psychomotor skills นั้นจะเน้นที่การวัดทักษะอย่างเดียวและจะวัดทักษะ ที่สอดคล้องกับ PLOs (2) ที่สรุปได้ 5 ด้าน ดังนี้ 1. ปฏิบัติการพยาบาลตามมาตรฐานวิชาชีพ 2. ปฏิบัติการพยาบาลแบบองค์รวม 3. ปฏิบัติการพยาบาลโดยบูรณาการศาสตร์ทางการพยาบาลและศาสตร์ที่เกี่ยวของ้ 4. ปฏิบัติการพยาบาลใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ 5. ปฏิบัติการพยาบาลโดยการคํานึงถึงความเป็นมนุษย์และความแตกต่างทางวัฒนธรรม การประเมิน Psychomotor skills 1. การประเมินด้วย Process จะเป็นทักษะในการเตรียมก่อนที่จะให้การพยาบาลผู้ป่วย เช่น การ เตรียมอุปกรณ์ให้ถูกต้องครบถ้วน 2. การประเมินด้วย Performance จะมุ่งเน้นให้นักศึกษาปฏิบัติการพยาบาลตามมาตรฐานวิชาชีพ จึงมีข้อควรปฏิบัติในการสร้างแบบประเมิน ดังนี้ 2.1. ต้องทราบมาตรฐานของขั้นตอนการปฏิบัติการพยาบาล (procedure) ที่ถูกต้อง 2.2. กําหนดจุดเด่นหรือจุดมุ่งเน้นของทักษะการปฏิบัติการพยาบาลที่นักศึกษาต้องปฏิบัติได้ 100 % (เช่น การเจาะหลัง procedure ที่นักศึกษาทุกคนต้องผ่านและต้องปฏิบัติได้คือการจัดท่า ผู้ป่วยเพื่อเจาะหลัง เป็นต้น) 2.3. การสร้างแบบประเมินทักษะการปฏิบัติการพยาบาล ต้องระบุให้ชัดเจนว่าประเมินอะไร เรื่องใด เมื่อใด เพื่อให้เกิด Reliability ของการประเมิน เช่น ให้นักศึกษาสาธิตการประเมินระดับ ความรู้สึกตัวในระหว่างเจาะหลังอย่างน้อย 1 ครั้ง 2.4. กําหนดระดับความสามารถของนักศึกษา โดยการกําหนดทักษะการปฏิบัติการพยาบาล ที่นักศึกษาต้องผ่าน 100% ทักษะการปฏิบัติการพยาบาลที่ยินยอมให้ผ่านได้โดยไม่ถึง 100% โดย


NSKnowledge Management [57] คํานึงถึง ความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นหลักซึ่งจะสอดคล้องกับ PLOs ในการปฏิบัติการพยาบาลตาม มาตรฐานวิชาชีพ 3. การประเมินด้วย Product ไม่ถือว่าเป็นการวัด Psychomotor skills เนื่องจากไม่เห็นถึงขั้นตอน แต่หากต้องการวัดจริงๆก็สามารถวัดได้เช่น รายงานกรณีศึกษา สามารถวัด Psychomotor skills ได้จาก ทักษะการสืบค้นข้อมูลเพื่อทํารายงาน แต่ต้องกําหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน หรือให้นักศึกษาสร้างนวัตกรรม เช่น สร้างนวัตกรรมเพื่อป้องกันภาวะสมองเคลื่อนหลังเจาะหลัง แต่ต้องกําหนดคุณลักษณะของ product และ การให้คะแนนที่ชัดเจน ประโยชน์ที่ได้จากการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง การทํารูบิคเพื่อวัด Psychomotor skills ด้านการดําเนินงานด้านอื่นๆ (การขอกําหนดตําแหน่งทางวิชาการ) ดังนี้ปัจจัยที่เอื้ออํานวยให้เกิดการสร้าง แบบประเมินรูบิคเพื่อวัด Psychomotor skills ในการเขียนตําราภาคปฏิบัติคือ 1. การพยาบาลตามมาตรฐานวิชาชีพ เป็นตัวกําหนดการสร้างแบบประเมินรูบิคเพื่อวัด Psychomotor skills ที่ชัดเจน โดยมีวิทยาการ รศ.ดร.ปรางทิพย์ฉายพุทธได้อธิบายถึงวิธีการวัด Psychomotor skills ด้วย 3 ขั้นตอน process, performance และ product ทําให้มีแนวทางในการสร้าง แบบประเมินที่ชัดเจนสอดคล้องกับ PLOs กับ CLOs 2. กระบวนสร้างแบบประเมินที่มีแบบแผน จากการอธิบายถึงขั้นตอนการวัดที่ชัดเจน รูปแบบการวัด ในแต่ละรูปแบบทําให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างแบบประเมินรูบิคเพื่อวัด Psychomotor skills ที่สามารถนําไปใช้เป็นแนวทางในการสร้างแบบประเมินได้อย่างชัดเจน


NSKnowledge Management [58] การทํารบูิคเพอวื่ัดทักษะทั่วไปทางการพยาบาลศลยกรรมั ครั้งที่ 8/2563 รองศาสตราจารย์ดร.ปรางทิพย์ฉายพุทธ วิทยากร ผู้ช่วยอาจารย์ภิญญาพัชญ์กตติ ิ์ธัญญธีรกุล ผู้ลขิิต ภาควิชาการพยาบาลศัลยศาสตร์จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการทํารูบิคเพื่อวัดทักษะทั่วไป ทางการพยาบาลศัลยกรรม โดย รองศาสตราจารย์.ดร.ปรางทิพย์ฉายพุทธ ในวันที่ 1 มิถุนายน 2563 เวลา 13.00-14.30 น. ผ่านระบบออนไลน์ Microsoft teams รายละเอียดโดยสรุปดังนี้ การวัดทักษะทั่วไปทางการพยาบาลศัลยกรรมเป็นการวัดที่เหมือนกันทุกส่วนในภาพกว้าง หมายถึง นักศึกษาทุกคนที่เข้าเรียนต้องถูกวัดส่วนนี้เหมือนกัน ดังนั้นกรรมการรายวิชาจะเป็นคนกําหนดมาตรฐานใน การวัดส่วนนี้ต้องมีการกําหนด performance ทั่วไปของการพยาบาลศัลยกรรมที่ต้องการจะวัดให้สอดคล้อง กับ CLOs โดยแบ่งการวัดทั้วไปทางการพยาบาลศัลยกรรมออกเป็น 2 ประภทดังนี้ 1. การวัด Soft skill (30%) ถือเป็นทักษะทั่วไปที่ต้องมีการวัด โดยต้องกําหนดการวัดให้สอดคล้องกับ CLOs ทั้ง 5 ข้อ คือ CLO1 เลือกวิธีประเมินปัญหาสุขภาพผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาทางศัลยกรรม ทั้งในระยะก่อนผ่าตัด ขณะผ่าตัดและหลังผ่าตัดได้ CLO2 ระบุข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลสําหรับผู้ป่วยผู้ใหญ่ ได้รับการรักษาทางศัลยกรรม ทั้งในระยะ ก่อนผ่าตัด ขณะผ่าตัดและหลังผ่าตัดได้ CLO3 ระบุกิจกรรมพยาบาลสําหรับผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่ได้รับการรักษาทางศัลยกรรมโดยใช้หลักฐานเชิง ประจักษ์ในการจัดการปัญหาสุขภาพ ส่งเสริมการฟื้นตัว ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ฟื้นฟูสภาพและวางแผนการ จําหน่ายโดยยึดการดูแลแบบผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางได้ CLO4 ปฏิบัติการพยาบาลตามลําดับความสําคัญ (prioritize) สําหรับผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่ได้รับการรักษา ทางศัลยกรรมได้ทั้งในระยะก่อนผ่าตัด ขณะผ่าตัดและหลังผ่าตัดได้ในการจัดการปัญหาสุขภาพ ส่งเสริมการ ฟื้นตัว ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ฟื้นฟูสภาพและวางแผนจําหน่ายโดยยึดการดูแลแบบผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง คํานึงถึงความปลอดภัย สิทธิผู้ป่วยและจรรยาบรรณวิชาชีพได้ CLO5 ระบุผลลัพธ์ทางการพยาบาลในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่ได้รับการรักษาทางศัลยกรรม ทั้งในระยะก่อน ผ่าตัด ขณะผ่าตัดและหลังผ่าตัดได้ ตัวอย่างการวัด soft skill ใน CLO1 เช่น วัดความกระตือรือร้นในการตอบคําถาม ปฏิสัมพันธ์ในการ ตอบคําถาม ทักษะการสื่อสาร การวัด soft skill ของ CLO4 ด้วยการวัดทักษะการ approach ผู้ป่วยความ นุ่มนวลในการให้การพยาบาล การเคารพสิทธิผู้ป่วยเป็นต้น ซึ่งในส่วนนี้กรรมการวิชาต้องร่วมกันกําหนดว่า ทักษะทั่วไปใน soft skill ที่ต้องการวัดมีอะไรบ้างเพื่อให้การวัดให้เป็นไปในแบบเดียวกัน


NSKnowledge Management [59] 2. การวัดทักษะทั่วไป เป็นการวัดทักษะเบื้องต้นที่นักศึกษาต้องมีเช่น ความรู้ทางการพยาบาล ทักษะ การให้การพยาบาลพื้นฐาน (Fundamental nursing) ที่สําคัญที่ต้องมีและต้องสอดคล้องกับ CLO เช่นกัน เช่น การดูแลผู้ป่วยก่อนผ่าตัด ทักษะทั้วไปที่นักศึกษาต้องมีคือการประเมินอาการปวด (pain scale) การบริหารการหายใจ (deep breathing exercise) การบันทึกทางการพยาบาล เป็นต้น โดยต้องมี resource ให้นักศึกษาได้ศึกษาและเป็นไปในแนวทางเดียวกันเพื่อให้เกิด validity ในการวัดผล (ตําราหลักที่จะใช้ในการ เรียนการสอน) ตัวอย่างการกําหนดเกณฑ์การวัด (การกําหนดคะแนนนั้นขึ้นกับกรรมการวิชา) ประโยชน์ที่ได้จากการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง การทํารูบิคเพื่อวัดทักษะทั่วไปทางการ พยาบาลศัลยกรรม ด้านการดําเนินงานด้านอื่นๆ (การขอกําหนดตําแหน่งทางวิชาการ) ดังนี้ปัจจัย ที่เอื้ออํานวยให้เกิดการ สร้างแบบประเมินการวัดทักษะทั่วไปทางการพยาบาลศัลยกรรม ในการเขียนตํารา ภาคปฏิบัติคือ กระบวนสร้างแบบประเมินที่มีแบบแผน โดยมีวิทยาการ รศ.ดร.ปรางทิพย์ฉายพุทธ ได้อธิบาย ถึงวิธีการวัดทักษะทั่วไปทางการพยาบาลศัลยกรรมที่ชัดเจนสอดคล้องกับ CLOs รูปแบบการวัดในแต่ละ รูปแบบทําให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างแบบประเมินรูบิคการวัดทักษะทั่วไปทางการพยาบาล ศัลยกรรม ที่สามารถนําไปใช้เป็นแนวทางในการสร้างแบบประเมินได้อย่างชัดเจน Psychomotor skills 70% General skill Specific skill cognitive Soft skill 30%


NSKnowledge Management [60] การทํารบูิคเพอวื่ัดทักษะเฉพาะทางการพยาบาลผใหญู้ทางศ่ลยกรรมั ครั้งที่ 9/2563 รองศาสตราจารย์ดร.ปรางทิพย์ฉายพุทธ วิทยากร ผู้ช่วยอาจารย์ภิญญาพัชญ์กตติ ิ์ธัญญธีรกุล ผู้ลขิิต ภาควิชาการพยาบาลศัลยศาสตร์จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการทํารูบิคเพื่อวัดทักษะเฉพาะ ทางการพยาบาลผู้ใหญ่ทางศัลยกรรมโดย รองศาสตราจารย์.ดร.ปรางทิพย์ฉายพุทธ ในวันที่ 1 มิถุนายน 2563 เวลา 14.30-16.00 น. ผ่านระบบออนไลน์ Microsoft teams รายละเอียดโดยสรุปดังนี้ การสร้างแบบประเมินเพื่อวัดทักษะเฉพาะทางการพยาบาลผู้ใหญ่ทางศัลยกรรมที่สําคัญคือต้องนิยาม (definition) ของ performance นั้นให้ชัดเจน ว่าถูกต้องคืออย่างไร ไม่ถูกต้องคืออย่างไร เพื่อให้แบบประเมิน นั้นมี Reliability และ validity มีขั้นตอนที่ต้องคํานึงถึงดังนี้ 1. กําหนดทักษะเฉพาะที่ต้องการวัดให้ชัดเจนว่าต้องการประเด็นอะไร เช่น ทักษะการเจาะหลัง 2. ประเมินทักษะเฉพาะที่กําหนดเรื่องอะไร เช่น ประเมิน Psychomotor skills 3. ประเมินทักษะเฉพาะที่กําหนดเมื่อใด เช่น ก่อน ขณะ และหลังเจาะหลัง ตัวอย่างการสร้างแบบประเมินวัดทักษะเฉพาะทางการพยาบาลศัลยกรรม ขั้นตอน ทักษะปฏิบัติ ปฏิบัติ ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง ไม่ปฏิบัติ ในการทดสอบความรู้ที่เป็นความรู้เฉพาะนั้นหากการประเมินมี Scale ที่แตกต่างควรแยกแบบ ประเมินความรู้เฉพาะออกมาจากการวัดทักษะปฏิบัติ ข้อควรคํานึงถึงในการวัดความรู้เฉพาะ 1. การทดสอบความรู้เฉพาะต้องสามารถทดสอบได้ตั้งแต่ส่วนของบทนํา เนื้อหา ข้อบ่งชี้ 2. การวัดทักษะหรือความรู้เฉพาะนั้นต้องคํานึงถึงวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ทุกครั้งว่ามีความสอดคล้องกับ วัตถุประสงคหร์ ือไม่ 3. การออกข้อสอบวัดทักษะความรู้ที่ดีนั้น ต้องเรียงลําดับตามเนื้อหา 4. การออกข้อสอบวัดความรู้เฉพาะที่ดีจะทําให้นักศึกษาสามารถบูรณาการความรู้และนําไปเสริม ทักษะการปฏิบัติการเฉพาะได้


NSKnowledge Management [61] ในการวัดความรู้เฉพาะ (cognitive) และทักษะเฉพาะ (psychomotor skills) จะทําให้เกิดความ ชัดเจนและโดดเด่นของทักษะที่ต้องการวัด การทํารูบิคเพื่อวัดทักษะเฉพาะทางการพยาบาลผู้ใหญ่ทางศัลยกรรมจะสามารถพัฒนาคุณภาพการ ปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษาได้ดังนั้นจึงต้องคํานึงถึงการปรับปรุงคุณภาพของนักศึกษา ในกรณีที่นักศึกษา ไม่ผ่านการทดสอบ ว่าจะมีการปรับปรุงคุณภาพอย่างไร ประโยชน์ที่ได้จากการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง การทํารูบิคเพื่อวัดทักษะเฉพาะทางการ พยาบาลผู้ใหญ่ทางศัลยกรรม ด้านการดําเนินงานด้านอื่นๆ (การขอกําหนดตําแหน่งทางวิชาการ) ดังนี้ปัจจัยที่ เอื้ออํานวยให้เกิดการ สร้างแบบประเมินการวัดทักษะทั่วไปทางการพยาบาลศัลยกรรม ในการเขียนตํารา ภาคปฏิบัติคือ กระบวนสร้างแบบประเมินทักษะเฉพาะที่มีแบบแผน โดยมีวิทยาการ รศ.ดร.ปรางทิพย์ ฉายพุทธ ได้อธิบายถึงวิธีการวัดทักษะเฉพาะทางการพยาบาลผู้ใหญ่ทางศัลยกรรมที่ชัดเจนสอดคล้องกับ CLOs ทําให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างแบบวัดทักษะเฉพาะทางการพยาบาลผู้ใหญ่ ทางศัลยกรรม ที่สามารถนําไปใช้เป็นแนวทางในการสร้างแบบประเมินได้อย่างชัดเจน และได้แนวทางในการ พัฒนาคุณภาพนักศึกษาเมื่อไม่ผ่านการประเมินทําให้การวัดทักษะเฉพาะเกิดความสมบูรณ์


NSKnowledge Management [62] Emergency Nurse Practitioner: ENP ผู้ช่วยศาสตราจารย์ช่อผกา สทธุิพงศ์วิทยากร ผู้ช่วยอาจารย์ภิญญาพัชญ์กตติ ิ์ธัญญธีรกุล ผู้ลขิิต ภาควิชาการพยาบาลศัลยศาสตร์จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง การพยาบาลเฉพาะทางหลักสูตร เวชปฏิบัติฉุกเฉิน (Emergency Nurse practitioner) โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ช่อผกา สุทธิพงษ์ในวันที่ 19 สิงหาคม 2563 เวลา 13.00-14.00 น. ณ ห้องประชุม 704 คณะพยาบาลศาสตร์ (บางกอกน้อย) รายละเอียด โดยสรุปดังนี้ วัตถุประสงค์การพยาบาลเฉพาะทางหลักสูตรเวชปฏิบัติฉุกเฉิน (Emergency Nurse practitioner) 1. เพิ่มพูนสมรรถนะของพยาบาลในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉินทั้งในระยะก่อนถึง โรงพยาบาล ในโรงพยาบาล และการส่งต่อผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาล 2. ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านนโยบาย กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ฉุกเฉินสถานการณ์ปัญหาสุขภาพ ฉุกเฉิน รวมทั้งบทบาทของพยาบาลเวชปฏิบัติฉุกเฉิน 3. ประเมินและจัดการทรัพยากรเพื่อการรักษาผู้ป่วยทั้งในภาวะปกติและในภาวะภัยพิบัติ 4. ใช้เครื่องมือสื่อสารและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน รวมทั้งประสานงาน กับทีมบุคลากรทางการแพทย์ฉุกเฉิน ระยะเวลาในการศึกษาและหน่วยกิต อบรม 18 สัปดาห์มี 18 หน่วยกิต แบ่งออกเป็นภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ภาคทฤษฎี 11 หน่วยกิต (1 หน่วยกิตมี 15 ชม.) ภาคปฏิบัติ 7 หน่วยกิต (1 หน่วยกิตมี 60 ชม.) รายวิชาในหลักสูตร แบ่งออกเป็น 7 วิชา ดังนี้ วิชาที่ 1 ระบบสุขภาพและระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน วิชาที่ 2 การประเมินภาวะสุขภาพขั้นสูงและการตัดสินใจทางคลินิกสําหรับพยาบาลเวชปฏิบัติฉุกเฉิน วิชาที่ 3 แนวคิดหลักสําหรับพยาบาลเวชปฏิบัติฉุกเฉิน วิชาที่ 4 การพยาบาลเวชปฏิบัติสําหรับผู้ป่วยฉุกเฉิน วิชาที่ 5 การพยาบาลเวชปฏิบัติสําหรับผู้ป่วยบาดเจ็บและสาธารณภัย วิชาที่ 6 ปฏิบัติทักษะพิเศษทางการพยาบาลเวชปฏิบัติฉุกเฉิน วิชาที่ 7 ฝึกปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์พยาบาลเวชปฏิบัติฉุกเฉิน


NSKnowledge Management [63] โดยมีรายละเอียดของแต่ละวิชาดังนี้ วิชาที่ 1 ระบบสุขภาพและระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน • สถานการณ์ปัญหาสุขภาพและนโยบายการแพทย์ฉุกเฉินระดับชาติและระดับท้องถิ่น • ระบบการเบิกจ่ายทางสุขภาพและค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์ฉุกเฉิน • บทบาทบุคลากรและทรัพยากรในการจัดระบบการแพทย์ฉุกเฉิน • แนวทางการวัดและจัดการผลลัพธ์การพยาบาลเวชปฏิบัติฉุกเฉิน • แนวทางการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อการพัฒนาคุณภาพการบริการ การแพทย์ฉุกเฉิน วิชาที่ 2 การประเมินภาวะสุขภาพขั้นสูงและการตัดสินใจทางคลินิกสําหรับพยาบาลเวชปฏิบัติฉุกเฉิน • แนวคิดการสํารวจความผิดปกติของปัญหาสุขภาพฉุกเฉิน • แนวคิดการคัดแยกปัญหาสุขภาพตามความเร่งด่วน (Triage) • การตรวจพิเศษ การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการประเมินผลเบื้องต้น • แนวคิดการประเมินขนาดและความรุนแรงของสถานการณ์ฉุกเฉิน • EMS nursing and medication documentation วิชาที่ 3 แนวคิดหลักสําหรับพยาบาลเวชปฏิบัติฉุกเฉิน • บทบาทหน้าที่พยาบาลเวชปฏิบัติฉุกเฉิน ณ ศูนย์รับแจ้งเหตุก่อนถึง ในสถานพยาบาลและ ระหว่าง สถานพยาบาล • การติดต่อสื่อสารและการสั่งการปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉิน • การบริหารยาและสารน้ําช่วยชีวิต ยาในภาวะฉุกเฉิน • การใช้เครื่องมือแนวปฏิบัติมาตรฐานในภาวะฉุกเฉินและมตรฐานรถพยาบาล • การบันทึกและพัฒนาฐานข้อมูล • การจัดการด้านจิตใจในภาวะฉุกเฉิน วิชาที่ 4 การพยาบาลเวชปฏิบัติสําหรับผู้ป่วยฉุกเฉิน • ระบุอาการนําและภาวะฉุกเฉินที่เป็นอันตรายต่อชีวิต • อธิบายพยาธิสรีระ จิตสังคมของผู้ป่วยที่มีภาวะฉุกเฉิน • ระบุปัจจัยเพิ่มความรุนแรงและแนวทางการจัดการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน • ระบุการใช้หัตถการ ยา และสารน้ําสําหรับปัญหาฉุกเฉินเฉพาะโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ • Emergency management in neonatal and pediatric


NSKnowledge Management [64] วิชาที่ 5 การพยาบาลเวชปฏิบัติสําหรับผู้ป่วยบาดเจ็บและสาธารณภัย • Emergency nurse practitioner management in disaster and mass-incident • Management for traumatic patients • Toxicological and miscellaneous emergencies • Management issue in specific population trauma วิชาที่ 6 ปฏิบัติทักษะพิเศษทางการพยาบาลเวชปฏิบัติฉุกเฉิน 1. Advanced life support 1.1 ACLS provider 1.2 advanced initial trauma care for nurse 1.3 pre-hospital trauma care for nurse 2. Mass casualty 2.1 management of mass casualty and disaster 3. Dispatcher 3.1 emergency medical dispatcher: EMD 4. Emergency nursing procedure 5. ฝึกปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วย 5.1 ฝึกปฏิบัติการพยาบาลในระยะก่อนถึงสถานพยาบาล 5.2 ฝึก triage 5.3 ฝึกปฏิบัติในหอผู้ป่วยฉุกเฉิน วิชาที่ 7 ฝึกปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์พยาบาลเวชปฏิบัติฉุกเฉิน • ปฏิบัติการ dispatch ประเมินข้อมูลที่เกิดเหตุเพื่อคัดกรองจัดลําดับความเร่งด่วน • ช่วยชีวิตเบื้องต้น โดยสื่อสารประสานกับหน่วยรักษาพยาบาลปลายทาง • Resuscitation ณ จุดเกิดเหตุจนกระทั่งถึงห้องฉุกเฉินเพื่อช่วยชีวิตและบรรเทาอาการ • ประสานงานกับทีมทั้งในภาวะอุบัติเหตุและฉุกเฉินรายบุคคล จํานวนมากและภาวะภัยพิบัติ • การประสารงานเพื่อส่งต่อไปยังสถานพยาบาลปลายทาง ภายหลังศึกษาการพยาบาลเวชปฏิบัติฉุกเฉินตามทฤษฎีแล้วนั้น ก็จะนําความรู้ไปสู่การฝึกปฏิบัติ สิ่งที่ขาดไม่ได้สําหรับการเรียนการพยาบาลเวชปฏิบัติฉุกเฉินผู้เรียนทุกคนต้องผ่านการอบรมการช่วยฟื้นคืนชีพ ขั้นสูง (ACLS) นอกจากนั้นยังต้องศึกษาและฝึกปฏิบัติเรื่องการจัดการเมื่อเกิด อุบัติภัยหมู่ (mass casualty) และสาธารณภัย (disaster) ก่อนจบการศึกษาต้องผ่านการสอบ OSCE ทั้งหมด 2 ครั้ง โดยมีเนื้อหาในการสอบ ดังนี้


NSKnowledge Management [65] 1. Dispatcher 2. Pre-hospital emergency trauma 3. Pre-hospital medical trauma 4. Overcrowding ER and fast track 5. Resuscitation in ER 6. Inter-facility hospital 7. Mass casualty CASE STUDY: trauma, non-trauma, EMS, inter-facility, Case report ประโยชน์ที่ได้จากการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง Emergency Nurse Practitioner: ENP ด้านการดําเนินงานด้านการศึกษา รายละเอียดดังนี้ 1. ได้ความรู้เกี่ยวกับการเรียนเฉพาะทางในสาขาหลักสูตรเวชปฏิบัติฉุกเฉิน (Emergency Nurse practitioner) การจัดการเรียนการสอน ลักษณะการเรียนการสอน รูปแบบการฝึกอบรม 2. ได้ความรู้มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนวิชาสาธารณภัยและการสอนเฉพาะทาง 3. อาจารย์ในภาควิชาได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การเขียนบทความ ปัญหาและอุปสรรค ในการเขียนบทความการทํางานวิจัย ทําให้ได้แนวทางที่จะนําไปเขียนบทความในครั้งต่อไป


NSKnowledge Management [66] ถอดบทเรียน “การพฒนาขั อสอบปรน ้ ัยเพื่อประเมินความรู้ทางการแพทย์” ครั้งที่ 11/2563 อาจารย์คัทลียา คงเพ็ชร วิทยากร ผู้ช่วยอาจารย์ยุทธพิชัย โพธิ์ศรีผลู้ิขิต ภาควิชาการพยาบาลศัลยศาสตร์จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการพัฒนาข้อสอบปรนัยเพื่อ ประเมินความรู้ทางการแพทย์ในวันที่ 16 กันยายน 2563 เวลา 13.00-13.30 น. ณ ห้องประชุม 704 คณะพยาบาลศาสตร์ (บางกอกน้อย) รายละเอียดโดยสรุปดังนี้ ในการจัดทําข้อสอบปรนัยมีหลักการพื้นฐานของข้อสอบปรนัย ดังนี้ 1. การวางแผนและจัดทําตารางกําหนดเนื้อหาข้อสอบ 2. การสร้างโจทย์และตัวเลือกข้อสอบปรนัย 3. ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการสร้างข้อสอบปรนัย 4. การผลิตข้อสอบและการจัดสอบ 5. การตรวจและการวิเคราะห์ข้อสอบปรนัย 6. การจัดทําคลังข้อสอบ โครงสร้างของข้อสอบปรนัย ประกอบด้วย 1. Content guidelines 2. Format guidelines 3. Stem guideline 4. Option guidelines ปัญหาที่พบได้บ่อยในการออกข้อสอบ คือ Objective, Stem, Option ในการออกข้อสอบปรนัยเพื่อทดสอบความรู้ทางการแพทย์จึงมีข้อควรปฏิบัติดังนี้ 1. ข้อแนะนําพื้นฐานของการเขียนข้อสอบปรนัย ด้านเนื้อหาข้อสอบ ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ 1. ข้อสอบ 1 ข้อควรมุ่งเน้นประเมินความรู้เพียงเรื่องเดียว 2. หลีกเลี่ยงการถามความรู้ในรายละเอียดปลีกย่อยที่ไม่มีการใช้ทางคลินิก 3. หลีกเลี่ยงการถามความรู้ในเรื่องที่ยังมีความขัดแย้งกันในแนวปฏิบัติล 4. หลีกเลี่ยงการลอกประโยคหรือข้อความจากตําราโดยตรง


NSKnowledge Management [67] 5. หลีกเลี่ยงการนําเสนอข้อสอบที่ประเมินความรู้ในเรื่องเดียวกันสองข้อในข้อสอบชุด เดียวกัน ด้านการจัดรูปแบบข้อสอบ ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ 1. เลือกใช้คําศัพท์หรือประโยคที่ง่ายต่อการทําความเข้าใจ 2. หลีกเลี่ยงการนําเสนอข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาของโจทย์ข้อนั้น 3. จัดให้มีการตรวจสอบเนื้อหา คําศัพท์และรูปประโยคที่ใช้ในข้อสอบแต่ละข้อก่อน นําไปใช้ ด้านการเขียนโจทย์ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ 1. เขียนโจทย์ให้มีความชัดเจน ผู้สอบทุกคนอ่านแล้วมีความเข้าใจตรงกัน 2. เรียบเรียงเนื้อหาให้ใจความสําคัญของข้อสอบอยู่ในโจทย์ 3. หลีกเลี่ยงการเขียนโจทย์ที่มีรูปประโยคเป็นเชิงปฏิเสธ ด้านการเขียนตัวเลือก ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ 1. เขียนตัวเลือกให้มีประสิทธิภาพให้มีจํานวนมากที่สุดเท่าที่เหมาะสมกับบริบท 2. จัดให้ตัวเลือกที่ถูกต้องมีการกระจายตําแหน่งไปให้มีจํานวนพอๆ กันในทุกตัวเลือก 3. เขียนตัวเลือกแต่ละข้อให้เป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกัน 4. เขียนตัวเลือกให้ทุกตัวเลือกมีความเป็นเนื้อเดียวกัน (Homogeneous) 5. เขียนตัวเลือกแต่ละข้อให้มีความยาวพอๆ กัน 6. หลีกเลี่ยงการใช้ตัวเลือก “ถูกทุกข้อ” หรือ “ไม่มีข้อถูก” *การทําข้อสอบที่ดีนั้นต้องจัดทําข้อสอบก่อนทําการเรียนการสอน* 2.การวิเคราะห์ข้อสอบปรนัย ประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ๆ ดังนี้ 2.1 การวิเคราะหข์ ้อสอบรายขอ้ -ความยากง่ายของข้อสอบ (item difficulty, p) (สัดส่วนของผู้สอบที่ตอบข้อสอบข้อนั้นถูก) ข้อสอบที่ดีค่า p อยู่ในช่วง 0.45-0.75 p ต่ํากว่า 0.25 เป็นข้อสอบที่ยากเกินไป p สูงกว่า 0.91 เป็นข้อสอบที่ง่ายเกินไป -ความสามารถในการจําแนกผู้สอบตามระดับความสามารถ (item discrimination, r) ข้อสอบที่ดีควรจะมีค่า r มากกว่า 0.2


NSKnowledge Management [68] 2.2การวิเคราะห์ข้อสอบโดยรวม (Test analysis) High-stakes exam: 0.9 or higher Medium-stakes exam: 0.8-0.89 Low-stakes exam: 0.70-0.79 3.การนําผลการวิเคราะห์ข้อสอบไปใช้ภายหลังจากได้วิเคราะห์ข้อสอบแล้ว ต้องนําผลการวิเคราะห์ไปใช้ใน การปรับปรุงคุณภาพข้อสอบ ดังนี้ 1. ปรับแก้คะแนนสอบ 2. ปรับปรุงคุณภาพข้อสอบ 3. การบริหารคลังข้อสอบ 4. การพัฒนาคุณภาพการสอน 4. ข้อจํากัดของการวิเคราะห์ข้อสอบ การจัดสอบเป็นกลุ่มที่ขนาดไม่ใหญ่พอ การกระจายตัวของระดับความสามารถแตกต่างกัน 5. การจัดทําคลังข้อสอบ หัวใจของการจัดทําคลังข้อสอบคือ Security, Retrievability, Flexibility เครื่องคอมพิวเตอร์ของคลังข้อสอบ: ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ ไม่เชื่อมต่อเครือข่าย อยู่ในห้องที่ใช้ทําข้อสอบโดยเฉพาะ มีรหัสป้องกัน และจํากัดจํานวนผู้ทราบรหัส มีเครื่องสํารองไฟฟ้า ดูแลเรื่องการป้องกันไวรัสอยู่เสมอ มีการ backup ข้อมูล ประโยชน์ที่ได้จากการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง การพัฒนาข้อสอบปรนัยเพื่อประเมิน ความรู้ทางการแพทย์ด้านการดําเนินงานด้านการศึกษา รายละเอียดดังนี้ 1. อาจารย์ในภาควิชาได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการออกข้อสอบ เพื่อที่จะใช้ใน การพัฒนาแนวทางและคุณภาพในการออกข้อสอบ 2. ได้นําความรู้มาพัฒนาแนวทางการสร้างคลังข้อสอบของภาควิชา


NSKnowledge Management [69] 2.4 ภาควิชาการพยาบาลสาธารณสขศาสตรุ์ ถอดบทเรียน “ทําอยางไรให ่ ้มีบริการวิชาการตอบโจทยความต์ ้องการของสังคม” ครั้งที่ 1/2563 รองศาสตราจารย์ดร. ปิยะธิดา นาคะเกษียร วิทยากร อาจารย์สุรัสวดีไวว่อง ผู้ลิขติ ภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุขศาสตร์จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “ทําอย่างไรให้มีบริการ วิชาการตอบโจทย์ความต้องการของสังคม” โดยได้ดําเนินการแลกเปลี่ยนเรียรู้ในวันที่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 12.00-13.00 น. ณ ห้อง 306 คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล พื้นที่ศาลายา รายละเอียดสรุปได้ดังนี้ จากสถานการณ์ความต้องการการบริการวิชาการ มีหลายประเด็นที่ภาควิชาควรต้องวางแผนบริการ วิชาการและเชื่อมโยงกับงานวิจัย เช่น การเพิ่มมูลค่า การเพิ่มคุณค่าและความเข้มแข็งทางบริการวิชาการแก่ สังคมของภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุขสาตร์ 1. งานเพิ่มมูลค่า งานนั้นทําแล้วได้กล่อง ได้ความดีได้มีส่วนช่วยประเทศชาติและรับใช้สังคม 2. งานเพิ่มคุณค่า ทําแล้วได้เงิน ได้กําไร 3. งานที่ได้ทั้งมูลค่า และคุณค่า 4. ภาควิชามีชุมชนต้นแบบ เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ของภาควิชาฯ มีอาจารย์และนักศึกษาต่างชาติ มาดูงาน เช่น ที่มหาสวัสดิ์และมีรูปแบบชุมชนเมืองอีกชุมชนเป็นต้นแบบให้ผู้ที่มาดูงานหรือมาแลกเปลี่ยน เรียนรู้ได้เห็น อะไรเป็นความท้าทายของงานบริการวิชาการ 1. เวลา เนื่องจากภาควิชาฯมีรูปแบบการเรียนการสอน 5 วัน ทั้งปริญาตรีปริญญาโท ปริญญาเอก และ หลักสูตรเฉพาะทาง ทําให้ต้องวางแผนให้ดีเอาเวลาจากงานหลายหลักสูตรมาทําให้เกิดงานบริการวิชาการ 2. ยึดติดกับรูปแบบบริการวิชาการแบบเดิม เช่น โครงการบรรยายให้ความรู้โดยทําเป็นครั้งคราว และ ไม่สามารถนํามาขมวดเป็นงานให้ภาควิชาฯและให้กับตัวเราไม่ได้ ยังไม่สามารถตอบโจทย์คณะฯได้ยัง ออกแบบไม่ครบวงรอบ เช่น การรับใช้สังคม Social Engagement, University Engagement 3. ยังไม่มีความชํานาญด้านการตลาด เอาความรู้ไปแปรรูปเป็นเงินไม่เป็น ยังต่อยอดการเงินไม่ได้


NSKnowledge Management [70] ลักษณะงานบริการวิชาการที่คณะฯมีเป็นอย่างไร และภาควิชาเราตอบโจทย์หรือไม่ 1. มีงานบริการวิชาการที่รับใช้สังคมหรือไม่ 2. เพิ่มความเข้มแข็งบริการวิชาการให้กับภาควิชาฯ 3. งานบริการวิชาการเพื่อพัฒนาวิชาชีพ ตอบโจทย์จากหลักสูตรเฉพาะทางต่างๆที่มีหรืออบรมระยะสั้น ต่างๆ ซึ่งเราทําเพื่อพยาบาลของเรา งานรับใช้สังคม หรือ CSR ของภาควิชาฯ มี 2 โจทย์ใหญ่ที่เรารับมา เช่น University Engagement ต้องทําครบ 4 ด้าน 1. Partnership หลักฐานการทําโครงการบริการวิชาการนั้นเป็นหุ้นส่วนหรือไม่มีหนวยงานร่ ่วมหรือไม่ 2. Mutual benefit มผลประโยชน ี ์ร่วมกัน ว่าเกิดผลลัพธ์มีอะไรเกิดขึ้น ทั้ง out come และ out put 3. Scholarship ที่นับเข้ากับเกณฑ์ของสภาการพยาบาลได้มีวิจัยเกิดขึ้นในโครงการบริการวิชาการ หรือไม่มีวิจัย อย่างน้อยมีบทความ ถอดบทเรียน หรือเกิดชุดความรู้บางอย่างออกมา เช่น ทําไปแล้วเกิดคู่มือ สร้างคู่มือได้สร้างแบบคัดกรองแบบใหม่ได้หรือเกิดผลงานทางวิชาการได้ถ้ายังไม่ถึงระดับวิจัย มีหลกฐานการั เกิด Scholarship ต้องวางแผนเชิงระบบ เช่น มีนักศกษาปร ึ ิญญาตรีเข้ามาในวิชาไหนต้องเขียนให้ชัดเจน ต้องเขียนให้ตรงกันทั้งตัวโครงการและประมวลรายวิชาด้วย 4. Social impact ออกแบบโครงการที่วัดผลกระทบได้ Impact ต้องออกแบบตั้งแต่แรกกับเจ้าของพื้นที่ เช่น เราจะทําโครงการเกี่ยวกับ NCD ในพื้นที่วัดอัตราการป่วยรายใหม่ลดลงหรือไม่ผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อน ลดลงหรือมา - Impact เชิงสุขภาพ อัตราป่วยลดลง - Impact เชิงเศรษฐกิจ - Impact เชิงสังคม คุณภาพชีวิตดีขึ้น - Stakeholde ประโยชน์ที่ได้จากการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “ทําอย่างไรให้มีบริการวิชาการตอบโจทย์ ความต้องการของสังคม” ด้านการศึกษาและด้านวิจัยนั้น ได้นําไปใช้ในการวางแผนการบริการวิชาการบูรณา การการจัดการเรียนการสอนและการทําวิจัย


NSKnowledge Management [71] 2.5 ภาควิชาการพยาบาลสูติศาสตร์-นรเวชวี ิทยา ถอดบทเรียน “Maternal Weight,Placental Expression of Growth Factors, and Birth Weight” ครั้งที่ 1/2563 อาจารย์ดร.รุ่งนภา รู้ชอบ วิทยากร อาจารย์ดร.กุลธิดา หัตถกิจพาณิชกุล ผู้ลขิิต ภาควิชาการพยาบาลสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “Maternal Weight, Placental Expression of Growth Factors, and Birth Weight” โดยอาจารย์ดร.รุ่งนภา รู้ชอบ ในวันที่ 29 มกราคม 2563 เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุมเพชรรัตน์คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล (บางกอกน้อย) ความเป็นมาและความสําคัญ : ทารกแรกเกิดน้ําหนักน้อย (<2,500 กรัม) หรือมากกว่าปกติ (≥4,000 กรัม) มีกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อภาวะสุขภาพ เช่น มีอัตราการเสียชีวิตในช่วง 1 ปีแรกหลังคลอด ปัญหา ทางด้านพัฒนาการในวัยเด็ก และการเกิดโรคเบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูงในวัยผู้ใหญ่การทบทวน วรรณกรรมพบว่า ดัชนีมวลกายก่อนการตั้งครรภ์ของมารดา และน้ําหนักที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์เป็นปัจจัยที่ สามารทํานายน้ําหนักทารกแรกเกิดได้อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติอย่างไรก็ตาม กลไกทางชีววิทยาที่อธิบาย ความสัมพันธ์ของน้ําหนักมารดาต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์นั้นมีความซับซ้อนและยังไม่ชัดเจน วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาอํานาจการทํานายของน้ําหนักของมารดา (ดัชนีมวลกายและน้ําหนักที่ เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์) การแสดงของยีนในรก (Vascular endothelial growth factor A และ placental growth factor) และตัวแปรร่วม (อายุมารดา เชื้อชาติน้ําหนักรวม) ต่อน้ําหนักทารกแรกเกิด รูปแบบการวิจัย : ความสัมพันธ์เชิงทํานาย วิธีการดาเนํ ินการวิจัย : กลุ่มตัวอย่างเป็นสตรีตั้งครรภ์ที่ไม่มีโรคหรือภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ จํานวน 44 ราย ภายหลังคลอด ผู้วิจัยเก็บตัวอย่างรกไปแยกวิเคราะห์ RNA และการแสดงออกของยีนโดยใช้วิธี quantitative real-time polymerase chain reaction วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ และการวิเคราะห์เส้นทาง (path analysis) ผลการวิจัย : ระดับของ Placental growth factor mRNA อายุมารดา น้ําหนักรก และเชื้อชาติของ มารดา เป็นปัจจัยที่ทํานายน้ําหนักทารกแรกเกิดได้อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p <.05) ดัชนีมวลกายไม่สามารถ ทํานายน้ําหนักทารกแรกเกิดได้ในขณะที่น้ําหนักที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์สามารถปรับเปลี่ยนระดับการ แสดงออกของยีน vascular endothelial growth factor A และทั้งสองตัวแปรมีอิทธิพลร่วมต่อการทํานาย น้ําหนักทารกแรกเกิดได้อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p <.05)


NSKnowledge Management [72] ถอดบทเรียน “ผลของโปรแกรมส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างมารดา-ทารกต่อการตอบสนองความต้องการ ของทารกและความรักใคร่ผกพูันระหว่างมารดา-ทารกในมารดาที่มีบตรคนแรกุ ” ครั้งที่ 2/2563 อาจารย์สุดหทัย ประสงค์ วิทยากร อาจารย์ดร.กุลธิดา หัตถกิจพาณิชกุล ผู้ลขิิต ภาควิชาการพยาบาลสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “ผลของโปรแกรม ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างมารดา-ทารกต่อการตอบสนองความต้องการของทารกและความรักใคร่ผูกพัน ระหว่างมารดา-ทารกในมารดาที่มีบุตรคนแรก” โดยอาจารย์สุดหทัย ประสงค์ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุมเพชรรัตน์คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล (บางกอกน้อย) ความเป็นมาและความสําคัญ : การตอบสนองความต้องการของทารก เป็นความสามารถที่มารดา แสดงออกเพื่อให้ทารกได้รับสิ่งที่ต้องการ ซึ่งเกิดขึ้นจากการรับรู้การแปลความหมายสื่อสัญญาณของทารกที่ แสดงออกมา หากมารดาสามารถอ่านและแปลความหมายจากสื่อสัญญาณของทารกได้อย่างถูกต้อง จะสามารถตอบสนองความต้องการของทารกได้อย่างเหมาะสมและรวดเร็ว แต่ในทางตรงกันข้ามหากมารดา ไม่สามารถรับรู้และแปลสื่อสัญญาณทารกได้ถูกต้อง จะส่งผลให้มารดาตอบสนองความต้องการของทารก ไม่เหมาะสมกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างมารดากับทารก จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่ามารดาที่มีบุตรคน แรกมีปัญหาในการเลี้ยงดูทารก เนื่องจากไม่สามารถแปลความหมายพฤติกรรมทารกและตอบสนองความ ต้องการของทารกได้ต้องการความดูแลช่วยเหลือจากบุคลากรการแพทย์โดยเฉพาะในช่วง 1 สัปดาห์แรกหลัง จําหน่ายออกจากโรงพยาบาล จากปัญหาดังกล่าวจึงมีการศึกษาเกี่ยวกับผลของโปรแกรมส่งเสริมความสามารถ ในการรับรู้และการตอบสนองความต้องการของทารก แต่การศึกษาที่ผ่านมาเป็นการวัดผลในระยะสั้นก่อน ออกจากโรงพยาบาล ทําให้สือสัญญาณทารกบางประเภทยังไม่ปรากฎ ดังนั้นผู้วิจัยจึงพัฒนารูปแบบโปรแกรม ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างมารดา-ทารก ให้มีเนื้อหาครอบคลุมขึ้นและวัดผลระยะยาวขึ้นเป็น 1 เดือน วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างมารดา-ทารกต่อการตอบสนอง ความต้องการของทารกและความรักใคร่ผูกพันระหว่างมารดา-ทารกในมารดาที่มีบุตรคนแรกเมื่อทารกอายุ 1 เดือน รูปแบบการวิจัย : การวิจัยกึ่งทดลอง วิธีการดําเนินการวิจัย : กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดาที่มีบุตรคนแรกและทารกในหอผู้ป่วยหลังคลอด โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร จํานวน 51 คู่แบ่งเป็นมารดาและทารกกลุ่มควบคุม 25 คู่และกลุ่มทดลอง 26 คู่กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติจากเจ้าหน้าที่หอผู้ป่วยหลังคลอด ส่วนกลุ่มทดลองได้รับการพยาบาลตามปกติร่วมกับโปรแกรมส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างมารดา-ทารก เก็บ รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามการตอบสนองของมารดาต่อความต้องการ


NSKnowledge Management [73] ของทารก และแบบสอบถามความรักใคร่ผูกพันของมารดาหลังคลอด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณา การทดสอบค่าที (Independent t-test) และสถิติ Mann-Whitney U ผลการวิจัย : กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการตอบสนองความต้องการของทารกและความรักใคร่ ผูกพันระหว่างมารดา-ทารกหลังการทดลอง สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (Z = -5.878, p <.05 c และ t = -6.116, p = <.05) ประโยชน์ที่ได้จากการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “ผลของโปรแกรมส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ ระหว่างมารดา-ทารกต่อการตอบสนองความต้องการของทารกและความรักใคร่ผูกพันระหว่างมารดา-ทารกใน มารดาที่มีบุตรคนแรก” ด้านการวิจัยนั้น คือ ผลงานวิจัยนี้อธิบายว่า โปรแกรมส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่ง มารดา-ทารกในระยะหลังคลอด ช่วยให้มารดาที่มีบุตรคนแรกกับทารกมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างเหมาะสม ส่งเสริม ให้มารดาอ่านสื่อสัญญาณทารกและตอบสนองความต้องการของทารกได้ดีเพิ่มความรักใคร่ผูกพันระหว่าง มารดา-ทารกมากกว่าการได้รับการพยาบาลตามปกติเมื่อทารกอายุ 1 เดือน ดังนั้นพยาบาลสามารถนํา โปรแกรมไปใช้เป็นรูปแบบในการสอนสื่อสัญญาณทารกและการตอบสนองความต้องการของทารก เพื่อ ส่งเสริมให้มารดาที่มีบุตรคนแรกสามารถตอบสนองความต้องการของทารกได้อย่างเหมาะสมและเกิดความรัก ใคร่ผูกพันระหว่างมารดา-ทารก นอกจากนี้สามารถนําวีดีทัศน์เรื่อง “สื่อสัญญาณทารกและการตอบสนอง ความต้องการของทารก” ไปเผยแพร่เพื่อให้มารดาที่มีบุตรคนแรกหรือผู้ที่สนใจสามารถรับชมได้และควรเปิด บริการให้คําปรึกษามารดาที่มีปัญหาในช่วง 1 สัปดาห์แรกหลังจําหน่ายออกจากโรงพยาบาล


NSKnowledge Management [74] 2.6 ภาควิชาการพยาบาลอายุรศาสตร์ ถอดบทเรียน “Update Diabetes management ๒๐๑๙” ครั้งที่๑/๒๕๖๓ รศ.พรรณิภา บุญเธียร วิทยากร อ.ดร.ศรนริ ัตน์ศรีประสงค์ผลู้ิขิต ภาควิชาการพยาบาลอายุรศาสตร์จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “Update Diabetes management ๒๐๑๙” โดย รศ.พรรณิภา บุญเธียร ในวันที่๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๓.๐๐ – ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๙๐๑ คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล พื้นที่บางกอกน้อย รายละเอียดสรุปได้ดังนี้ ความชุกของผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะทวีปเอเซีย ใช้ค่ารักษาพยาบาลมากถึง ๔๕.๖ ล้านบาทต่อปีเป้าหมายของการดูแลรักษาเบาหวาน ตามแนวทางเวชปฏิบัติสําหรับโรคเบาหวาน ๒๕๖๐ คือ การดํารงชีวิตประจําวันอย่างเหมาะสม และการใช้ยาควบคุมเบาหวานและปัจจัยเสี่ยง เพื่อป้องกัน ภาวะแทรกซ้อนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยปัจจับที่ควบคุม คือค่า HbA๑c ไขมันในเลือด ความดันโลหิต การไม่ สูบบุหรี่และการควบคุมน้ําหนัก โดยมีการจัดการโรคเบาหวานอย่างครอบคลุม โดยมีคลินิกเบาหวานที่มี คุณภาพเป็นศูนย์กลางการให้คําแนะนํา ปรึกษา รักษาและติดตามประเมินเพื่อให้ผู้เป็นเบาหวานเป็นผู้ดูแล ประเมินความเสี่ยง ป้องกันเบาหวาน ให้คําปรึกษา และติดตามในกลุ่มพ่อแม่พี่น้อง บุตรหายของผู้ป่วย มีการ ค้นหาโรคลดความเสี่ยงในชุมชนและองค์กร สําหรับสมาคมเบาหวานของอเมริกาได้เสนอ AACE/ACR Comprehensive Type Diabetic Management Algorithm ๒๐๑๙ ตาม Link นี้ https://www.aace.com/pdfs/diabetes/AACE_๒๐๑๙_Diabetes_Algorithm_FINAL_ES.pdf ประโยชน์ที่ได้จากการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “Update Diabetes management ๒๐๑๙” ด้านการดําเนินงานด้านการศึกษา ดังนี้สามารถนําความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการ สอนทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติในการพยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวาน หรือมีโรคร่วมเป็น เบาหวาน ทั้งในระดับนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิตและมหาบัณฑิต


NSKnowledge Management [75] ถอดบทเรียน “การนําเสนอสื่อเพื่อการเรยนออนไลน ี ”์ ครั้งที่๒/๒๕๖๓ อ.ดร.ศรนริ ัตน์ศรีประสงค์วทยากริ ผศ.ธนิษฐา สมัย ผู้ลิขิต ภาควิชาการพยาบาลอายุรศาสตร์จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “การนําเสนอสื่อเพื่อการเรียน ออนไลน์” โดย อ.ดร.ศรินรัตน์ศรีประสงค์ในวันพุธที่๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ – ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๙๐๑ คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล พื้นที่บางกอกน้อย รายละเอียดสรุปได้ดังนี้ - การนําเสนอสื่อเพื่อการเรียนออนไลน์โดยมีเทคนิคการสร้างสื่อให้น่าสนใจ คือ สื่อความหมายได้ รวดเร็ว เนื้อหาเป็นลําดับ สื่อนําเสนอต้องสะดุดตา น่าสนใจ ดึงดูด ตัวหนังสือไม่เยอะ - พฤติกรรมการเข้าถึงสื่อ : เข้าถึงด้วยอุปกรณ์หลากหลาย ใช้สื่อดิจิทัลรูปแบบใหม่ต้องการโต้ตอบ มีปฏิสัมพันธ์กับสื่อ ชอบความสะดวกรวดเร็ว ให้ความสําคัญกับ content แชร์เรื่องที่สนใจ เป็นประโยชน์ - ทําเรื่องยากให้เข้าใจง่าย : ใช้ภาพช่วยสื่อสาร เพราะคนเราจําภาพได้65% จําเนื้อหาที่มีแต่ ตัวหนังสือได้ 100% - นําเสนอให้น่าสนใจ จะสื่อสารอะไร ผ่านสื่อช่องทางไหน ให้กับใคร - แนวคิดการออกแบบ คือ 1.Content : ถูกต้อง ชัดเจน เข้าใจง่าย 2.Design : สวย สร้างสรรค์ช่วย สื่อสาร ใช้งานง่าย - ตัวอย่างการเรียนการสอนออนไลน์ : Google Forms, Quizizz, Padlet, Kahoot, Mentimeter ประโยชน์ที่ได้จากการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “การนําเสนอสื่อเพื่อการเรียนออนไลน์” ด้านการดําเนินงานด้านการศึกษา และด้านวิจัย รายละเอียดดังนี้ ด้านการศึกษา 1. การใช้สื่อในการจัดการเรียนการอสน 2. บทบาทของครูในการใช้สื่อการเรียนการสอน 3. บทบาทของครูในการเรียนรู้แบบ Active Learning 4. การประยุกต์ใช้สื่อให้เหมาะสมกับบริบทของมหาวิทยาลัย


NSKnowledge Management [76] ด้านวิจัย 1. การพัฒนาสื่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ 2. การใช้สื่อการสอน เชิงมัลติมีเดีย เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา 3. การพัฒนาสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์การสอนบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 4. การพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนโดยใช้สื่อวีดิทัศน์เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน


NSKnowledge Management [77] ถอดบทเรียน “KM : EFFECTIVE LRC FOR COVID-๑๙” ครั้งที่๓/๒๕๖๓ อาจารย์ดร.ศรินรัตน์ศรประสงค ี ์วิทยากร ผู้ช่วยอาจารยปว์ ิตรา จริยสกุลวงศ์ผลู้ิขิต ภาควิชาการพยาบาลอายุรศาสตร์จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “KM : EFFECTIVE LRC FOR COVID-๑๙” โดย อ.ดร.ศรินรัตน์ศรีประสงค์ ในวันพุธที่๙ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐-๑๑.๐๐ น. ณ ห้องประชุมออนไลน์ Microsoft Team คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล พื้นที่บางกอกน้อย รายละเอียดสรุปได้ดังนี้ การจัดกิจกรรม KM ในครั้งนี้เนื้อหาจะครอบคลุมประเด็นเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนของภาค วิชาการพยาบาลอายุรศาสตร์การจัดการเรียนการสอนหลักสูตรใหม่ทีสอดคล้องกับเกณฑ์ของสภาการ พยาบาลและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างภาควิชาต่างๆ โดยที่ในรายวิชาปฏิบัติ (พยคร ๓๘๕) ภาควิชาการ พยาบาลอายุรศาสตร์มีการจัดการเรียนการสอนใน LRC สลับกับการฝึกปฏิบัติบนหอผู้ป่วย โดยที่ LRC มีการ แบ่งเป็นชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ทั้งหมด ๗ ชุด ตามสมรรถนะของนักศึกษาตามเกณฑ์ขั้นต่ําของรายวิชาที่ กําหนดในสมุดประสบการณ์ประกอบด้วย ชุดที่๑ การดูดเสมหะจาก tracheostomy tube แบบระบบปิดและเปิด และการให้ออกซิเจนแบบ ต่างๆ และการพ่นยาขยายหลอดลม ชุดที่๒ การประเมินและบันทึก neuro sign การบริหารยารับประทานและการ drip อาหารผ่านทาง NG tube และเครื่อง drip อาหารและการทําความสะอาดช่องปาก


NSKnowledge Management [78] ชุดที่๓ การฉีดยาทาง IV และคํานวณอัตราหยดโดย dirp set manual & infusion pump การฉีดยาทาง subcutaneous และการฝึกปฏิบัติหัตถการด้วย sterile technique ชุดที่๔ การเปลี่ยนเชือกผูก endotracheal tube การใส่เครื่องป้องกันร่างกาย การทําแผลและเปลี่ยน เชือกผูก tracheostomy tube และการฝึกปฏิบัติหัตถการด้วย sterile technique ชุดที่๕ การทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์และส่วนปัสสาวะผู้ป่วยหญิง การทําความสะอาดอวัยวะ สืบพันธุ์และการใส่ condom ในผู้ป่วยชาย และการใส่เครื่องป้องกันร่างกาย ชุดที่๖ การประเมินและการดูแลผู้ป่วยใช้เครื่องช่วยหายใจ การประเมินและการเตรียมผู้ป่วยในการ หย่าเครื่องช่วยหายใจ และการใส่เครื่องป้องกันร่างกาย ชุดที่๗ การเปิดเส้นใน IVF การเจาะเลือด และการฝึกปฏิบัติหัตถการด้วย sterile technique : ป้องกัน อุบัติการณ์ของมีคมทิ่มตํา ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นวิชาปฏิบัตินักศึกษาได้มีการประเมินเกี่ยวกับรูปแบบการจัดการเรียนการสอน ว่า การจัดมีความเหมาะสมเนื่องจากมีการจํากัดจํานวนคนตามนโยบายทําให้ไม่เกิดความแออัดและสามารถทํา หัตถการได้ทั่วถึง ได้ทบทวนความรู้ในการทําหัตถการ ทําให้ชํานาญและมั่นใจมากขึ้น ทําให้ปฏิบัติได้จริง โดยนักศึกษาแสดงความคิดเห็นต่อห้อง LRC ที่บางกอกน้อยว่าอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ครบ ไม่เหมือนที่ใช้จริงบนหอ ผู้ป่วย ในขณะที่ศาลายาสถานที่กว้างขวาง อุปกรณ์พร้อมมากกว่า แต่นักศึกษาจะต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่าย มากขึ้นในการเดินทางไปศาลายา ส่วนรูปแบบการจัดการเรียนการสอนใน LRC มีนักสึกษาจํานวน ๓ กลุ่มเห็น ว่าควรมีการจัดการฝึกแบบมีสถานการณ์เพราะจะทําให้สามารถเห็นลําดับการพยาบาลรวมถึงนําไปประยุกต์ใช้ บนวอร์ดได้จริง นักศึกษาจํานวน ๑ กลุ่มเห็นว่าการจัดเป็นชุดการเรียนรู้แบบในปัจจุบันดีอยู่แล้วเนื่องจาก นักศึกษาทุกคนมีโอกาสได้ฝึกทีละคน ในขณะที่การทําเป็นสถานการณ์นั้น นักศึกษาอาจได้ฝึกไม่ทั่วถึง และ นักศึกษาจํานวน ๓ กลุ่มเห็นว่าควรมีการจัดทั้งรูปแบบชุดฝึกทักษะและรูปแบบสถานการณ์ นอกจากนี้ยังมีผลการสํารวจที่พบว่านักศึกษามากกว่าร้อยละ ๕๐ ได้ฝึกปฏิบัติตามชุดฝึกทักษะที่ LRC คนละมากกว่า ๓ ครั้ง ยกเว้นชุดฝึกทักษะเรื่องการทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์และส่วนปัสสาวะผู้ป่วยหญิง การทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์และการใส่ condom ในผู้ป่วยชาย ที่พบว่านักศึกษาประมาณร้อยละ ๓๐ ไม่ได้ฝึกปฏิบัติใน LRC โดยนักศึกษาส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่าอุปกรณ์ไม่เพียงพอ ต้องรอผลัดเปลี่ยนกันทําจึงทําให้ ไม่ทันเวลา นอกจากนี้นักศึกษาบางส่วนยังมีความเห็นว่าชุดฝึกทักษะบางชุดอาจไม่จําเป็นต้องจัดใน LRC เพราะสามารถฝึกที่หอผู้ป่วยได้เช่น การประเมินทางระบบประสาท การบริหารยาลดความดันโลหิต ยา ละลายลิ่มเลือด การทําความสะอาดช่องปาก การฝึกปฏิบัติหัตถการด้วย sterile technique และป้องกัน อุบัติการณ์ของมีคมทิ่มตํา อย่างไรก็ตามนักศึกษาส่วนใหญ่มีความพึงพอใจการจัดชุด procedure ต่างๆ อยู่ใน ระดับมาก และนักศึกษาเสนอการจัดระยะเวลาในการฝึกระหว่าง LRC กับการฝึกบนหอผู้ป่วย ให้เป็นแห่งละ ๒ วันติดต่อกันและสลับกันไปมา นอกจากนี้นักศึกษาในสัดส่วนใกล้เคียงกันที่คิดว่าเป็นไปได้น้อย และอาจจะ เป็นไปได้ที่การฝึกใน LRC จะสามารถทดแทนการปฏิบัติจริงบนหอผู้ป่วยได้ในกรณีเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-๑๙ โดยนักศึกษาเสนอแนะว่าควรมีการจัดเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ให้มีความสมจริงและมีความ


NSKnowledge Management [79] ใกล้เคียงบนหอผู้ป่วยมากที่สุด รวมถึงการจัดกสถานการณ์ให้ได้มีการฝึกคิดมากขึ้น รวมไปถึงจัดทําคลิปวิดิโอ ให้มีความเป็นปัจจุบันมากที่สุด ในส่วนของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นั้น ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เสนอแนะว่าในการจัดการเรียนการสอนใน LRC ควรทําให้กับสอดคล้องกับ outcome base และ competency base ของสภาการพยาบาล และมีการ เชื่อมโยงผู้ป่วยที่มีปักยาในระบบต่างๆ เข้าไป โดยจัดเป็นสถานการณ์สมมติเพื่อให้นักศึกษาได้คิดต่อยอดจาก procedures พื้นฐาน นอกจากนี้ยังสมารถเน้นไปถึงบทบาทของพยาบาลในการทํางานร่วมกับ multidisciplinary ในทีมได้ซึ่งในวิธีการดําเนินการอาจทําให้สอดคล้องกับวิชาทฤษฎีโดยให้อาจารย์ผู้รับผิดชอบในแต่ละหน่วย การสอนระบุoutcome ที่ต้องการให้นักศึกษาได้หลังจากนั้นก็มาออกแบบสถานการณ์ให้สอดคล้องกันไป ซึ่งสถานการณ์ที่ออกแบบนั้นสามารถใช้ได้ทั้งในทฤษฎีและนํามาใช้ในวิชาปฏิบัติใน LRC ด้วย โดยที่ในช่วงแรก อาจจะเริ่มทําจากหน่วยที่ไม่ซับซ้อนมากนัก อาจารย์ดร.ศรินรัตน์ศรีประสงค์ได้แบ่งปันรูปแบบที่ใช้ในการ จัดการเรียนการสอนให้กับนักศึกษาใน LRC ว่าเริ่มจากให้นักศึกษาแต่ละคนระบุทักษะที่ตนเองจําเป็นต้องได้ ตามเกณฑ์ที่กําหนด จากนั้นให้สมาชิกในกลุ่มช่วยกันออกแบบสถานการณ์ที่ผนวกทักษะที่นักศึกษาแต่ละคน ต้องการเข้าไป และอาจารย์จะเป็นผู้พิจารณาและปรับสถานการณ์ให้มีความสมเหตุสมผลและคล้ายเหตุการณ์ จริง พร้อมทั้งเพิ่มเติมสถานการณ์ต่างๆ เข้าไปเพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกคิดและแก้ปัญหา พร้อมทั้งตั้งคําถามใน ระหว่างการฝึกในสถานการณ์นั้นๆ


NSKnowledge Management [80] อาจารย์จากภาควิชาการพยาบาลศัลยศาสตร์ได้แลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนใน LRC ว่าจะเน้นในการดูแลที่สําคัญสําหรับผู้ป่วยทางศัลยศาสตร์เช่น ผู้ป่วยที่ทํา ventriculostomy ผู้ป่วยที่ต้องทํา Continuous bladder irrigation : CBI และการเช็ดตา sterile ในผู้ป่วยที่ผ่าตัดตา เป็นต้น โดยใช้เป็นการสอบ OSCE ที่จะมีเวลาให้ฐานละ ๕ นาทีซึ่งจะมี๓ รูปแบบคือ มีสถานการณ์ให้ตอบโดยเขียนบรรยาย มี สถานการณ์ให้ตอบโดยใช้ตัวเลือกตอบ และมีสถานการณ์ให้ลงมือปฏิบัตินอกจากนี้อาจารย์จากหลักสูตร พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตได้ร่วมแบ่งปันวิธีการที่อาจารย์ในหลักสูตรใช้แก้ปัญหาในช่วงสถานการณ์โรค ระบาด Covid-๑๙ ที่ทําให้นักศึกษาไม่สามารถขึ้นฝึกปฏิบัติได้ในช่วงการทํา situation analysis จากเดิมที่ นักศึกษาจะต้องเป็นผู้ขึ้นไปสืบค้นข้อมูลจากหอผู้ป่วยเอง ได้มีการปรับเปลี่ยนโดยอาจารย์จะเป็นผู้ให้ข้อมูล ส่วนนั้นๆ แต่นักศึกษาจะต้องคิดมาก่อนว่าต้องการข้อมูลอะไรบ้างในสถานการณ์ที่นักศึกษาจะวิเคราะห์ ปัญหาที่พบในการจัดการเรียนการสอน คือ นักศึกษายังไม่สามารถปฏิบัติทักษะต่างๆ ได้ชํานาญทําให้ การต่อยอดไปสู่สถานการณ์การดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาตามระบบทําได้ยาก ผู้ร่วมกิจกรรมเสนอแนะว่าควรมีการ จัดห้อง LRC เพื่อให้นักศึกษาใช้เวลาว่างไปฝึกทักษะเพื่อเสริมความมั่นใจ (Self-learning) โดยมีอาจารย์เป็นผู้ ตรวจสอบว่านักศึกษาทําได้ถูกต้องหรือไม่และสามารถคิดเป็นภาระงานในส่วนบริการวิชาการสําหรับอาจารย์ ผู้รับผิดชอบดูแลนักศึกษาในการฝึกทักษะนี้จากการประเมินผลของนักศึกษาพบว่าปัญหาสําคัญของ LRC คือ อุปกรณ์ที่ล้าสมัย จํานวนไม่เพีง และไม่เหมือนกับอุปกรณ์ที่ใช้จ ริงบนหอผู้ป่วย ซึ่งปัญหานี้ รองศาสตราจารย์ดร.วิมลรัตน์ภู่วราวุฒิพานิช แจ้งว่าสามารถแจ้งได้ว่าอุปกรณ์ใดที่ต้องการเพิ่มเติม จะได้มี การเสนอไปยังคณะกรรมการเพื่อจัดงบประมาณในการจัดซื้อต่อไป ซึ่งผู้ร่วมกิจกรรมได้เสนอให้มีการจัดแบ่ง อุปกรณ์จากศาลายามาที่บางกอกน้อย รวมถึงจัด LRC ที่บางกอกน้อยให้มีความทันสมัย รวมถึงมีการเสนอ อุปกรณ์ที่ต้องการเพิ่มเติม ดังนี้ ๑. อุปกรณ์พ่นยาในรูปแบบต่างๆ เช่น MDI และ spacer ๒. เครื่อง infusion pump และ syringe pump ๓. เครื่องให้Oxygen ที่เป็นของจริง ๔. หุ่น simulation แบบที่สามารถเปลี่ยน sim card ได้


NSKnowledge Management [81] ๕. เครื่อง drip อาหาร ประโยชน์ที่ได้จากการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “KM : EFFECTIVE LRC FOR COVID-๑๙” ด้านการดําเนินงาน ด้านการศึกษาเพื่อนําไปพัฒนาการเรียนการสอนภาคปฏิบัติให้แก่นักศึกษาพยาบาล ศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่๓ ในวิชา พยคร ๓๘๕ ปฏิบัติการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ๑ สอดคล้องกับ สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิค โดยยึดตามหลักสมรรถนะทางการพยาบาลที่สภาการพยาบาลกําหนด และด้านวิจัย เริ่มเป็นแนวทางในการพัฒนารูปแบบการเรียนในห้องปฏิบัติการ LRC ในวิชา พยคร ๓๘๕ ปฏิบัติการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ๑ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะทางการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุและ การคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักศึกษาพยาบาลศาสตร ชั้นปีที่๓ คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล


NSKnowledge Management [82] ถอดบทเรียน “Effective LRC: Case-Based Learning” ครั้งที่๔/๒๕๖๓ อาจารย์ดร.ศรินรัตน์ศรประสงค ี ์วิทยากร ผู้ช่วยอาจารยปว์ ิตรา จริยสกุลวงศ์ผลู้ิขิต ภาควิชาการพยาบาลอายุรศาสตร์จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “Effective LRC: Case-Based Learning” โดย อ.ดร.ศรินรัตน์ศรีประสงค์ ในวันที่๑๖ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๒.๓๐-๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๙๐๑ คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล พื้นที่บางกอกน้อย รายละเอียดสรุปได้ดังนี้ Case-based learning หรือการเรียนรู้โดยการใช้กรณีศึกษาเป็นวิธีการเรียนรู้ที่ทําให้ผู้เรียนได้นําความรู้มา ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง ซึ่งจะเป็นการพัฒนาการกระบวนการคิดขั้นสูง ในการเรียนรู้แบบ case-based learning ผู้เรียนจะต้องทําความเข้าใจสถานการณ์วิเคราะห์ปัญหา เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา ตัดสินใจ รวมถึงการ สะท้อนคิดจากผลของทางเลือก ในขณะที่ผู้สอนมีหน้าที่ในการเตรียมกรณีศึกษา รวมถึงมุมมอง และทางแก้ไข ปัญหาที่หลากหลายซึ่งมีพื้นฐานมาจากความรู้ทางทฤษฎีและตัวอย่างจริงที่เกี่ยวข้อง และมีข้อเสนอแนะต่อวิธีการ แก้ปัญหา ลักษณะของกรณีศึกษาจะต้องประกอบไปด้วยปัญหา และวิธีการแก้ไขที่เชื่อมโยงกับความเป็นจริง มี เทคนิคในการเล่าเรื่องและมุมมองที่แตกต่าง รวมถึงประเด็นขัดแย้ง ขั้นตอนของการสร้างกรณีศึกษาจะประกอบด้วย ๔ ขั้นตอนหลักได้แก่การวางแผน การลําดับความคิด การ่วมและเรียบเรียง และการทบทวนปรับปรุง โดยที่ในขั้นแรก คือตอนการวางแผน จะประกอบไปด้วยการระ บจุดมุ่งหมาย การวิเคราะห์ผู้เรียน และการเลือกสารสนเทศที่จําเป็น ยกตัวอย่างเช่น กําหนดให้แต่ละสัปดาห์มี การเรียนรู้ที่สอดคล้องกับวิชาทฤษฎีเช่น สัปดาห์ที่๑ กําหนด ๓ ฐานได้แก่ฐานระบบทางเดินหายใจ ฐานระบบ หัวใจและหลอดเลือด และฐานระบบโรคติดเชื้อ และมีการแบ่งจํานวนผู้เรียนให้เท่าๆ กันในแต่ละฐาน รวมถึงต้อง มีการกําหนดรูปแบบการสอบ นอกจากนี้อาจมีการนําสารสนเทศเข้ามาใช้เช่น วิดีทัศน์แนะนําการใช้เครื่องช่วย หายใจ เครื่อง infusion pump โดยให้ผู้เรียนไปศึกษามาล่วงหน้า ขั้นที่สอง คือการลําดับความคิด จะประกอบด้วย การลําดับเหตุการณ์ฉาก ตัวละคร ประเด็นปัญหา ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยชายอายุ๗๐ ปีวินิจฉัยโรค Congestive Heart Failure with Pneumonia with left leg Cellulitis และมีโรคประจําตัวเป็น HT และ Primary Myelofibrosis เพื่อให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดในการดูแลผู้ป่วย นอกจากนี้ยังต้องมีจุดหักเห หรือข้อขัดแย้ง เช่น เวลา ๑๐.๐๐ น. พบว่าผู้ป่วยมีไข้สูง และซึมลง เพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดกระบวนการคิดแก้ปัญหาเพิ่มเติมเข้าไป เป็นต้น ขั้นที่สามเป็นการร่วงและเรียบเรียง ขั้นตอนนี้จะมีการกํากับการเขียนเพื่อให้ตรงตามทักษะและ สมรรถนะที่คาดหวังให้เกิดกับผู้เรียน ซึ่งจะสอดคล้องกับเกณฑ์ของคณะ และสภาการพยาบาล และขั้นตอน สุดท้ายคือต้องมีการทบทวนกระบวนการทั้งหมด เพื่อหาจุดที่อาจจะต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้น ในส่วนของการร่วมหารือในกลุ่มผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีประเด็นเรื่องความพร้อมของผู้เรียนในการ ต่อยอดจากทักษะพื้นฐานมาสู่การประยุกต์ใช้ความรู้ซึ่งมีการเสนอแนวทางแก้ไขไว้คือการทําฐานแยกสําหรับ


NSKnowledge Management [83] ฝึกทักษะเพิ่มอีกหนึ่งฐาน หรือใช้เป็นการกําหนด prerequisite หรือให้นักศึกษาจับคู่เพื่อนในการฝึกทํา โดยอาจจะมีการถ่ายวิดิโอแล้วให้อาจารย์ช่วยดูในขั้นสุดท้าย ประเด็นความพร้อมของอุปกรณ์ในห้อง LRC หากหลายๆ กลุ่มฝึกในระบบเดียวกัน อุปกรณ์อาจไม่พอ ซึ่ง มีแนวทางแก้ไข คือ อาจต้องรีบทําสถานการณ์โดยลงรายละเอียดในสถานการณ์ให้เห็นถึงอุปกรณ์ที่ต้องใช้เพื่อส่ง ข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ LRC ได้เตรียมอุปกรณ์ให้ ประเด็นการออกแบบสถานการณ์มีข้อเสนอแนะว่าควรมีการออกแบบแผนการสอนกลางเพื่อให้รูปแบบ ในแต่ละฐานเป็นไปในทางเดียวกัน โดยสถานการณ์จะต้องครอบคลุมประเด็นสําคัญในแต่ละระบบ แต่เนื่องจาก อาจารย์แต่ละท่านมีความเชี่ยวชาญต่างกัน จึงจําเป็นที่จะต้องมีการระดมความคิดและอาศัยความรวมมือจาก อาจารย์เพื่อออกแบบสถานการณ์ร่วมกัน โดยรายละเอียดในส่วนนี้จะมีการจัดขึ้นในการเสวนาการจัดการความรู้ ครั้งต่อไป ประโยชน์ที่ได้จากการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “Effective LRC: Case-Based Learning” ด้านการดําเนินงาน ด้านการศึกษาเพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอนภาคปฏิบัติในวิชา พยคร ๓๘๕ ปฏิบัติการ พยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุเพื่อให้นักศึกษาพยาบาลศาสตร ชั้นปีที่๓ คณะพยาบาลศาสตร์เกิดการ เรียนรู้จากการใช้กระบวนการคิดขั้นสูง โดยการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจะนําไปประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยบนหอ ผู้ป่วย นอกจากนี้รูปแบบการเรียนรู้แบบ case based นี้จะเป็นประโยชน์กรณีเกิดสถานการณ์ โรคระบาดรอบสอง เพราะจะช่วยทดแทนการฝึกปฏิบัติบนหอผู้ป่วยจริงกรณีผู้เรียนไม่สามารถขึ้นฝึกปฏิบัติบน หอผู้ป่วยได้และด้านวิจัย เริ่มเป็นแนวทางในการพัฒนารูปแบบการเรียนในห้องปฏิบัติการ LRC โดยใช้Case based leaning ในวิชา พยคร ๓๘๕ ปฏิบิตการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ๑ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะทางการ พยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุและการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักศึกษาพยาบาลศาสตร ชั้นปีที่๓ คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล


Click to View FlipBook Version