NSKnowledge Management [48] สื่อการสอน 1. ใบงาน 2. กรณีศึกษา 3. กระดาษ Flip chart 4. Power point และเอกสารประกอบการเรียนในระบบ e learning 5. อุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์ประกอบการสอน วิธีการประเมินผล 1. ประเมินความครบถ้วน ถูกต้อง ชัดเจน ได้ใจความของคำตอบในใบงาน 2. Quiz เมื่อสิ้นสุดการสอน ตัวอย่างกรณีศึกษา Dx. Psoriasis คุณ อดิศักดิ์ อายุ 59 ปี เริ่มมีอาการตอนอายุประมาณ 15-16 ปี มีสะเก็ดสีขาว กลางศีรษะ คิดว่าเป็นรังแค จึงเอาหวีมาหวีออก จากนั้นสะเก็ดขาวกระจายทั่วศีรษะ ไปดื่มแอลกอฮอล์ มีอาการคันที่ผิวหนัง ผิวหนังบริเวณหน้ามีลักษณะเป็น ขุยๆ จึงไปพบแพทย์ แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นผื่นที่มาจากการแพ้แอลกอฮอล์และให้ยามารับประทาน อาการทุเลา 10 ปีก่อนมาโรงพยาบาล ไปป่า แล้วรับประทานปลาทูเค็มคลุกข้าว ประมาณสามคำ จากนั้นมีอาการคัน และ มีตุ่มใสขึ้นทั่วตัว นอนไม่ได้ ตอนเช้าตุ่มใสบริเวณส่วนบนของร่างกายยุบ แต่บริเวณขาไม่ยุบ และค่อยๆ กลายเป็นปื้นหนา แดงๆ และเริ่มลามเป็นทั้งขา จึงไปพบแพทย์ แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นสะเก็ดเงิน และให้ยามา รับประทาน แต่อาการไม่ดีขึ้น จึงไปรักษาตามที่ต่างๆ ไม่ว่าจะรับประทานยาสมุนไพรและทำฉายแสงอาทิตย์ เทียมที่ศูนย์วิจัยแม่ฟ้าหลวง อาการไม่ทุเลา จึงเปลี่ยนไปรักษาที่โรงพยาบาลมหาราช แพทย์ให้ยากดภูมิคุ้มกัน และยาทา นัดติดตามผลทุก 3 เดือน ตรวจเลือดทุก 6 เดือน ปัจจุบันอาการดีขึ้น
NSKnowledge Management [49] ยาที่ผู้ป่วยได้รับ - methotrexate Emthexate tab 2.5 mg q วันอังคาร เช้า 2 เม็ด เย็น 1 เม็ด - folic acid 5 mg 1 tab OD - Daivobet 15 g ointment ทา เช้า – เย็น - Topicorte 0.25% cream ทา เช้า – เย็น - Dermovate cream ทา เช้า – เย็น - Skin cream 120 g ทา เช้า – เย็น แนวทางการอภิปราย สมรรถนะการใช้ยาสมเหตุผลที่ 1 – 4 ประเด็นเนื้อหาหลักข้อที่ 4 – 5 – 9 กรอบแนวคิดที่ 1 – 2 – 6 1. สรรพคุณของยา และผลข้างเคียงของยา อาการและอาการแสดงเมื่อขาดยาหรือ ได้รับยามากเกินไป 2. ประวัติการใช้ยา พฤติกรรมการกินยา การซื้อยากินเอง 3. การสื่อสารกับผู้ดูแลในการใช้ยา การจัดยาให้ผู้ป่วยและการสังเกตอาการที่เกิดจาก ผลข้างเคียงของการใช้ยา ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับอาจารย์ โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ชนิดหนึ่ง ลักษณะของโรคคือผื่นสีแดงค่อนข้างหนาและมีขุย สีขาว คล้ายรังแคติดที่ผิวแต่มักจะรุนแรงกว่า มีสะเก็ดออกมามากกว่า กระจายอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกาย โดยร้อยละ 80 ของผู้ป่วย ผื่นสะเก็ดเงินมักเริ่มต้นที่ศีรษะก่อนจะกระจายไปยังส่วนอื่น ตำแหน่งที่พบบ่อยคือบริเวณศอกและเข่า หรือตำแหน่งที่มีการเกาหรือเสียดสี ผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงินจะ มีอาการคันร่วมด้วย โดยโรคสะเก็ดเงินไม่ใช่โรคติดต่อ ไม่มีการติดเชื้อและไม่แพร่เชื้อ การรักษาโรคสะเก็ดเงินเป็นการรักษาให้โรคสงบ แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากมีสิ่งมากระตุ้น โรคจะสามารถกำเริบได้อีกโดยในการรักษาแพทย์จะเลือกรักษาตามความรุนแรง แบ่งออกเป็น • กรณีเป็นน้อย รักษาโดยใช้ยาทาเฉพาะที่ เช่น ยา Daivobet 15 g ointment Topicorte 0.25% cream Dermovate cream Skin cream เพื่อลดอาการอักเสบ ตัวยามักมีข้อจำกัดในการใช้ จึงควรใช้ภายใต้คำแนะนำและการควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ • กรณีมีผื่นหนาและเป็นมาก รักษาโดยใช้ยากินร่วมกับยาทา หรือรักษาด้วยวิธีอื่น ได้แก่ ฉาย แสงอาทิตย์เทียม • กรณีดื้อต่อการรักษาวิธีใดอาจใช้วิธีอื่นมารักษาแทน เช่น ใช้ยาฉีดชีวภาพ
NSKnowledge Management [50] ข้อมูลยา Daivobet ointment เป็นอนุพันธ์วิตามินดี 3 ที่สังเคราะห์ขึ้น ออกฤทธิ์จับกับ vitamin D receptors ที่ epidermal cells มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งเซลล์ผิวหนังในโรคสะเก็ดเงินและทำให้เซลล์มีการเปลี่ยนแปลง ตามปกติ Topicorte cream เป็นยา steroid ชนิดทา รักษาโรคสะเก็ดเงิน บรรเทาอาการปวด อาการคัน ช่วยให้ ความชุ่มชื้นถนอมผิว ขนาดความแรงปานกลางถึงค่อนข้างสูง หากใช้ติดต่อกันนานๆ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง จาก steriodได้ ดังนั้นควรหยุดใช้ยาเมื่อสามารถควบคุมอาการได้หรือหายเป็นปกติแล้ว แต่หากใช้ยาแล้ว อาการไม่ดีขึ้น ควรกลับไปพบแพทย์อีกครั้งหนึ่ง วิธีการใช้คือ ให้ทาบางๆบริเวณที่ต้องการรักษาวันละ 2 ครั้ง Dermovate cream / Clobetasol การใช้ยา ▪ ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา เสมอ ▪ ใช้ยานี้ให้ครบตามที่แพทย์กำหนด แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม ▪ ยา Clobetasol เป็นยาสำหรับใช้กับผิวหนังเท่านั้น ห้ามนำมารับประทาน และห้ามใช้ทาบริเวณปาก จมูก และดวงตา ▪ ล้างมือก่อนและหลังใช้ยานี้ แต่หากใช้ยาที่มือก็ห้ามล้างมือ ▪ ทำความสะอาดบริเวณที่ต้องทายาให้สะอาดและเช็ดให้แห้งก่อนใช้ ▪ ห้ามใช้ยานี้ทาลงบนใบหน้า รักแร้ หรือขาหนีบ ยกเว้นเป็นคำสั่งจากแพทย์ ▪ ห้ามใช้ผ้าพันแผล ผ้าปิดแผล หรือเครื่องสำอางบริเวณที่ใช้ยา นอกจากแพทย์จะแนะนำให้ใช้ได้ ▪ หากลืมใช้ยา ให้ใช้ทันทีที่นึกขึ้นได้ หากใกล้ถึงเวลาใช้ยาในรอบถัดไป ให้ข้ามไปใช้ยาในรอบต่อไป และห้าม เพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า ▪ ห้ามให้ผู้อื่นใช้ยานี้ และห้ามใช้ยาของผู้อื่น ▪ แจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการไม่ดีขึ้น หรือแย่ลง ▪ หากสงสัยว่าตนใช้ยาเกินกว่าปริมาณที่กำหนด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที ▪ ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรถึงวิธีเก็บยาและวิธีกำจัดยาที่ไม่ได้ใช้แล้วอย่างเหมาะสม ▪ เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ห้ามแช่แข็ง เก็บให้พ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
NSKnowledge Management [51] ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Clobetasol การใช้ยา Clobetasol อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ได้แก่ ผิวแห้ง ระคายเคืองผิว แสบ และแดง หากอาการ ดังกล่าวไม่หายไปหรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ หากพบผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้ยา Clobetasol ดังต่อไปนี้ ควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ทันที ▪ อาการแพ้ยา เช่น ลมพิษ หายใจลำบาก หน้าบวม ริมฝีปากบวม ลิ้นบวม คอบวม ผื่นคัน ผิวหนังบวม แดง พุพอง ผิวลอกพร้อมกับมีไข้หรือไม่มีไข้ แน่นหน้าอกหรือลำคอ หายใจเสียงดัง มีปัญหาในการหายใจหรือการ พูด เสียงแหบ เป็นต้น ▪ ระดับน้ำตาลในเลือดสูง อาจมีอาการบ่งบอก เช่น สับสน รู้สึกง่วง กระหายน้ำมาก หิวมาก ปัสสาวะบ่อย ผิว แดง หายใจถี่ หรือลมหายใจมีกลิ่นหวานคล้ายผลไม้ ▪ โรคคุชชิง (Cushing's Disease) ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้อ้วนขึ้นเฉพาะร่างกายส่วนบน ผู้ป่วยอาจมีมวลน้ำหนักตัว บริเวณหลังส่วนบนหรือท้องเพิ่มขึ้น หน้ามนเป็นพระจันทร์ หรือปวดศีรษะรุนแรง ▪ มีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง เช่น สิวขึ้น ผิวแตกลาย และมีขนขี้น รวมถึงการระคายเคืองบริเวณที่ใช้ยา ปัจจัยของการกำเริบโรคสะเก็ดเงิน • ความเครียด • พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึก • การติดเชื้อบางชนิด ที่พบบ่อยคือติดเชื้อแบคทีเรียที่คอ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดอาการสะเก็ดเงิน • การแกะและเกา • การดื่มสุราและสูบบุหรี่ • น้ำหนักเกิน ผลกระทบจากโรคสะเก็ดเงิน • อาการคัน ไม่ถึงขั้นรุนแรง แต่สร้างความรำคาญ • อาการผื่นตามผิวหนังอาจส่งผลด้านบุคลิกภาพ ทำให้สูญเสียความมั่นใจ • หากเป็นนาน ๆ อาจมีอาการข้ออักเสบร่วมด้วย • หากมีอาการทางข้อแล้วไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจทำให้ข้อผิดรูปและพิการได้ ข้อควรปฏิบัติในผู้ป่วยสะเก็ดเงิน • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เกิดการแห้งของหนังศีรษะหรือผิวหนัง • หากเป็นน้อยสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ทั่วไปได้ โดยเลือกที่อ่อนโยนต่อผิว ทาโลชั่นให้ผิวชุ่มชื้นเป็น ประจำ • หากเป็นมาก ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ • หลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาผื่นสะเก็ดเงิน เพราะอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นและลุกลามได้ • พยายามอย่าเครียด ทำใจให้สบาย พักผ่อนและออกกำลังกายให้เพียงพอ
NSKnowledge Management [52] • หากติดเชื้อบางชนิด เช่น ติดเชื้อที่คอ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดสะเก็ดเงินได้ ควรรีบรักษาอาการติดเชื้อ โดยเร็ว • หลีกเลี่ยงการดื่มสุราและการสูบบุหรี่ • ควบคุมไม่ให้มีภาวะน้ำหนักเกิน Quiz หญิงไทย อายุ 45 ปี หนัก 45 กก. อาชีพข้าราชการกรมสรรพากร เบิกจ่ายตรงจากกรมบัญชีกลาง ไม่มีโรค ประจำตัว มีน้ำมูกใสๆ จากโรคหวัด ซึ่งเป็นมา 2 วัน รู้สึกรำคาญ ไม่มีอาการแน่นจมูก คำแนะนำและการรักษา ที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยรายนี้ คือข้อใด 1. ไม่ต้องใช้ยา เพราะหวัดเป็นโรคที่หายได้เอง 2. ให้ Telfast® 1 เม็ด วันละครั้ง ก่อนนอน 3. ให้ Nasotap® (brompheniramine + phenylephrine) 1 เม็ดวันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร และ เตือนว่า กินยาแล้วอาจง่วงได้ 4. ให้ chlorpheniramine 1 เม็ด ทุก 6 ชั่วโมง prn เมื่อมีน้ำมูก และเตือนว่ากินยาแล้วอาจง่วงได้ เฉลย 4. เหตุผล ผู้ป่วยมีอาการที่รบกวนคุณภาพชีวิต จึงมีข้อบ่งชี้ ให้ใช้ยา Non-sedating antihistamine แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ หลีกเลี่ยงการใช้ยาผสม เพราะสามารถใช้ยาเดี่ยว ทดแทนได้Sedating antihistamine อาจลดน้ำมูกได้บ้าง แต่ต้องชั่งน้ำหนักกับผลข้างเคียง เช่น อาการง่วง ประเด็น RDU ที่ประเมิน ข้อบ่งใช้ การใช้ยาสอดคล้องกับต้าราหรือแนวทางเวชปฏิบัติประสิทธิผลของยา ความเสี่ยงจากการใช้ยา
NSKnowledge Management [53] กรณีศึกษาที่ 4 สมรรถนะ RDU ของบัณฑิต 1. สามารถประเมินปัญหาผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา หรือมีความจำเป็นต้องใช้ยาในการรักษา 1.1 การประเมินประวัติโรคประจำตัว ประวัติการใช้ยา และประวัติการแพ้ยา/แพ้ อาหาร 1.2 ประเมินอาการข้างเคียงจากการใช้ยา 1.3 ประเมินอาการที่ดีขึ้นหรือเลวลง 1.4 ติดตามความร่วมมือในการใช้ยา อย่างต่อเนื่อง 1.5 การส่งต่อ 2. สามารถร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตามความจำเป็น 2.1 พิจารณาข้อมูลที่สำคัญของผู้ป่วยที่ เกี่ยวข้องกับการเลือกใช้ยาหรือการรักษาแบบไม่ใช้ยาในการ รักษาและการส่งเสริมสุขภาพ 2.2 พิจารณาข้อมูลที่สำคัญของผู้ป่วยเพื่อประกอบการปรับขนาดยา หยุดการให้ยา หรือเปลี่ยนยา 2.3 ประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยาและไม่ใช้ยา 2.4 ใช้ความรู้ด้านเภสัชศาสตร์ของยาที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้จากปัจจัยต่อไปนี้ เช่น พันธุกรรม อายุ ความพร่องของไต การตั้งครรภ์ ฯลฯ เพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้เกี่ยวข้องให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา 2.5 พิจารณาโรคร่วม ยาที่ใช้อยู่ การแพ้ยา ข้อห้ามการใช้ยา และคุณภาพชีวิต ที่อาจส่งผลกระทบต่อการ เลือกใช้ยา 2.6 คำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาของผู้ป่วย (เช่น ความสามารถในการกลืนยา ศาสนา) และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากวิธีการบริหารยา 2.7 พัฒนาความรู้ให้เป็นปัจจุบัน ใช้แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ และคำนึงถึงความคุ้ม ทุนในการพิจารณาการใช้ยาอย่างสมเหตุผล 2.8 เข้าใจเรื่องเชื้อดื้อยา แนวทางการป้องกันและควบคุมเชื้อดื้อยา (antimicrobial stewardship measures) 3. สามารถสื่อสารเพื่อให้ผู้ป่วยร่วมตัดสินใจในการใช้ยา โดยพิจารณาจากข้อมูลทางเลือกที่ถูกต้องเหมาะสม กับบริบทและเคารพในมุมมองของผู้ป่วย 3.1 ชี้แจงทางเลือกในการรักษา ยอมรับ ในการตัดสินใจเลือกแผนการรักษาและ เคารพในสิทธิของ ผู้ป่วย/ผู้ดูแล ในการปฏิเสธและจำกัดการรักษา 3.2 ระบุและยอมรับความแตกต่าง ระหว่างบุคคล ค่านิยม ความเชื่อ และความคาดหวัง เกี่ยวกับสุขภาพ และการรักษาด้วยยา 3.3 อธิบายเหตุผล และความเสี่ยง/ประโยชน์ของทางเลือกในการรักษาที่ ผู้ป่วย/ผู้ดูแล เข้าใจได้
NSKnowledge Management [54] 3.4 ประเมินความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ด่วนตัดสินและเข้าใจเหตุผลในการ ไม่ร่วมมือของผู้ป่วยที่อาจเกิดขึ้นได้และหาวิธีที่ดีที่สุดในการสนับสนุนผู้ป่วย/ผู้ดูแล 3.5 สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วย/ ผู้เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผลโดยไม่คาดหวังว่า การสั่งยานั้นจะเป็นไปตามที่ต้องการ 3.6 ทำความเข้าใจกับการร่วมปรึกษาหารือก่อนใช้ยาเพื่อผลลัพธ์ที่นำไปสู่ ความพึงพอใจของทุกฝ่ายที่ เกี่ยวข้อง 4. บริหารยาตามการสั่งใช้ยาได้อย่างถูกต้อง 4.1 เข้าใจโอกาสที่จะเกิดผลไม่พึง ประสงค์จากการใช้ยา และดำเนินการเพื่อ หลีกเลี่ยง/ลดความเสี่ยงที่จะ เกิดขึ้น ตระหนักและจัดการแก้ไขปัญหา 4.2 เข้าใจการสั่งจ่ายยาของแพทย์ตาม กรอบบัญชียาหลักแห่งชาติ 4.3 ตรวจสอบและคำนวณการใช้ยาให้ ถูกต้อง 4.4 คำนึงถึงโอกาสที่จะเกิดการใช้ยาผิด (เช่น ผิดขนาด ผิดทาง ผิดวิธี ผิดชนิด ผิด วัตถุประสงค์ ฯลฯ) 4.5 ใช้ข้อมูลที่ทันสมัยเกี่ยวกับการใช้ยา อย่างสมเหตุผล (เช่น การเก็บรักษา การ บรรจุ ฯลฯ) 4.6 ใช้ระบบที่จำเป็นเพื่อการบริหารยา อย่างมีประสิทธิภาพ (เช่น ใบMAR) 4.7 สื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับยาและการใช้ ยาแก่ผู้เกี่ยวข้องเมื่อต้องมีการส่งต่อข้อมูล การรักษา 5. สามารถให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการใช้ยาได้อย่างเพียงพอ (Provide information) 5.1 ตรวจสอบความเข้าใจและความ มุ่งมั่นตั้งใจของผู้ป่วย/ผู้ดูแลในการจัดการ เฝ้าระวังติดตาม และการ มาตรวจตามนัด 5.2 ให้ข้อมูลเกี่ยวกับยาที่ชัดเจน เข้าใจ ได้ง่าย และเข้าถึงได้กับผู้ป่วย/ผู้ดูแล (เช่น ใช้เพื่ออะไร ใช้อย่างไร อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น รายงานอย่างไร ระยะเวลาของ การใช้ยา) 5.3 แนะนำผู้ป่วย/ผู้ดูแลเกี่ยวกับ แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ในเรื่องยาและการ รักษา 5.4 สร้างความมั่นใจให้ผู้ป่วย/ผู้ดูแล ว่าจะจัดการอย่างไรในกรณีที่มีอาการไม่ดีขึ้น หรือการรักษาไม่ ก้าวหน้าในช่วงเวลาที่กำหนด 5.5 สนับสนุนผู้ป่วย/ผู้ดูแลให้มีส่วนรับผิดชอบในการจัดการตนเองเรื่องยาและภาวะเจ็บป่วย 6. สามารถติดตามผลการรักษา และรายงานผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาได้ 6.1 ทบทวนแผนการบริหารยาให้ สอดคล้องกับแผนการรักษาที่ผู้ป่วยได้รับ 6.2 ต้องมีการติดตามประสิทธิภาพของการรักษาและอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น จากการใช้ยา 6.3 ค้นหาและรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาโดยใช้ระบบการรายงานที่เหมาะสม 6.4 ปรับแผนการบริหารยาให้ตอบสนองต่ออาการและความต้องการของผู้ป่วย
NSKnowledge Management [55] 7. สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อผู้ป่วย และไม่เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม (Prescribe safely) 7.1 รู้เกี่ยวกับชนิด สาเหตุของความคลาดเคลื่อนทางยาที่พบบ่อย และ วิธีการป้องกัน การหลีกเลี่ยง และการประเมิน 7.2 ระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการสั่งยาผ่านสื่อหรือบุคคลอื่น เช่น สั่งทาง โทรศัพท์ ทาง E-mail ทาง Line หรือสั่งผ่านบุคคลที่สาม และหาแนวทางลดความเสี่ยงนั้น 7.3 บริหารยาอย่างปลอดภัยตามกระบวนการบริหารยา เช่น 7 rights 7.4 พัฒนาหาความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอ ในประเด็นใหม่ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับความ ปลอดภัยในการใช้ยา 7.5 รายงานความคลาดเคลื่อนในการใช้ยา และทบทวนการปฏิบัติเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ 8. สามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสม ตามความรู้ความสามารถทางวิชาชีพ และเป็นไปตามหลักเวชจริยศาสตร์ (Prescribe professionally) 8.1 มั่นใจว่าพยาบาลสามารถสั่งจ่ายยาได้ ตาม พรบ.วิชาชีพและ พรบ.ยาแห่งชาติ 8.2 ยอมรับความรับผิดชอบส่วนบุคคลในการสั่งยาและเข้าใจในประเด็นกฎหมายและจริยธรรม 8.3 รู้และทำงานภายใต้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการสั่งยา (ยาที่ควบคุม ยาที่ไม่มีใบอนุญาต ยาไม่มีฉลาก) 9. สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถในการใช้ยาได้อย่างต่อเนื่อง (Improve prescribing practice) 9.1 สะท้อนคิดการบริหารยาของตนเอง และการสั่งยาของผู้เกี่ยวข้อง เพื่อปรับปรุงการใช้ยาอย่างสม เหตุผล 9.2 เข้าใจและใช้เครื่องมือหรือกลไกที่เหมาะสมในการปรับปรุงการบริหารยาและการสั่งยา (เช่น patient and peer review feedback, prescribing data and analysis and audit) 10. สามารถทำงานร่วมกับบุคลากรอื่นแบบสหวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Prescribe as part of a team) 10.1 มีส่วนร่วมกับสหวิชาชีพเพื่อให้มั่นใจว่าการดูแลมีความต่อเนื่อง เชื่อมโยงกันในทุกหน่วยโดยไม่ ขัดแย้ง 10.2 สร้างสัมพันธภาพกับทีมสหวิชาชีพ บนพื้นฐานของความเข้าใจ ความไว้วางใจ และยอมรับใน บทบาทของสหวิชาชีพ
NSKnowledge Management [56] ประเด็นที่สอดคล้องกับการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในการปฏิบัติการพยาบาล 17 ประเด็น ดังนี้ 1) National Drug Policy (NDP) and concepts of RDU 1) นโยบายยาแห่งชาติ (NDP) และแนวความคิดของ RDU 2) Basic pharmacology (Pharmacodynamics) and Clinical pharmacokinetics 2) เภสัชวิทยาพื้นฐาน (เภสัช) และเภสัชจลนศาสตร์คลินิก 3) Irrational/ inappropriate use of medicine 3) การใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผล/ ไม่เหมาะสม 4) Monitoring and evaluation impact of drug therapy 4) การติดตามและประเมินผลกระทบของการบำบัดด้วยยา 5) Adherence to treatment 5) การปฏิบัติตามการรักษา 6) Benefit-risk and cost assessment and decision making in prescription 6) การประเมินผลประโยชน์-ความเสี่ยงและต้นทุนและการ ตัดสินใจในใบสั่งยา 7) RDU in common illness 7) RDU ในความเจ็บป่วยทั่วไป 8) Taking an accurate and informative drug history 8) การซักประวัติยาที่ถูกต้องและให้ข้อมูล 9) Administer drug safely 9) ใช้ยาอย่างปลอดภัย 10) Medication errors 10) ข้อผิดพลาดของยา 11) Prescribing for patients with special requirements 11) การกำหนดให้ผู้ป่วยที่มีความต้องการพิเศษ 12) Provide patients and careers with appropriate information about their medicines 12) ให้ข้อมูลที่เหมาะสมแก่ผู้ป่วยและอาชีพเกี่ยวกับยา 13) Awareness of rational approach to prescribing and therapeutics 13) ความตระหนักในแนวทางที่มีเหตุผลในการสั่งจ่ายยา และการรักษา 14) Ethics of prescribing and drug promotion 14) จรรยาบรรณในการสั่งยาและส่งเสริมยา 15) Complementary and alternative medicine 15) ยาเสริมและการแพทย์ทางเลือก 16) Multi-professional care team to improve drug use 16) ทีมงานดูแลมืออาชีพ ปรับปรุงการใช้ยา 17) Continuous professional development in RDU 17) การพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่องใน RDU
NSKnowledge Management [57] กรอบแนวคิดในการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล 10 ข้อ 1.ข้อบ่งชี้ (Indication) ใช้ยาเมื่อมีความจำเป็น (เกิดประโยชน์มากกว่าโทษ) 2.ประสิทธิผล (Efficacy) ยานั้นเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยอย่างแท้จริง โดยอาจพิจารณาจากกลไก การออกฤทธิ์ มีหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุนเพียงพอ 3.ความเสี่ยง (Risk) คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นหลักมีประโยชน์มากกว่าโทษ และไม่มีข้อห้ามใช้ใน ผู้ป่วย 4.ค่าใช้จ่าย (Cost) ใช้ยาอย่างพอเพียงและคุ้มค่า 5.องค์ประกอบอื่น ๆ ที่จำเป็น (Other considerations) รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง รับผิดชอบและใช้ยา อย่างเป็นขั้นตอนตามมาตรฐานทางวิชาการ 6.ขนาดยา (Dose) ใช้ยาถูกขนาด 7.วิธีให้ยา (Method of administration) 8.ความถี่ในการให้ยา 9.ระยะเวลาในการให้ยา (Duration of treatment) 10. การยอมรับของผู้ป่วยและความสะดวกในการใช้ยา (Patient compliance) หัวข้อการสอน การพยาบาลผู้ป่วยใช้ยาสมเหตุผล สมรรถนะการใช้ยาสมเหตุผลที่กำหนด 1. สามารถประเมินปัญหาผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา หรือมีความจำเป็นต้องใช้ยาในการรักษา 1.1 การประเมินประวัติโรคประจำตัว ประวัติการใช้ยา และประวัติการแพ้ยา/แพ้ อาหาร 1.2 ประเมินอาการข้างเคียงจากการใช้ยา 1.3 ประเมินอาการที่ดีขึ้นหรือเลวลง 1.4 ติดตามความร่วมมือในการใช้ยา อย่างต่อเนื่อง 1.5 การส่งต่อ 2. สามารถร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตามความจำเป็น 2.1 พิจารณาข้อมูลที่สำคัญของผู้ป่วยที่ เกี่ยวข้องกับการเลือกใช้ยาหรือการรักษาแบบไม่ใช้ยาในการ รักษาและการส่งเสริมสุขภาพ 2.2 พิจารณาข้อมูลที่สำคัญของผู้ป่วยเพื่อประกอบการปรับขนาดยา หยุดการให้ยา หรือเปลี่ยนยา 2.3 ประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยาและไม่ใช้ยา 2.4 ใช้ความรู้ด้านเภสัชศาสตร์ของยาที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้จากปัจจัยต่อไปนี้ เช่น พันธุกรรม อายุ ความพร่องของไต การตั้งครรภ์ ฯลฯ เพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้เกี่ยวข้องให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา 2.5 พิจารณาโรคร่วม ยาที่ใช้อยู่ การแพ้ยา ข้อห้ามการใช้ยา และคุณภาพชีวิต ที่อาจส่งผลกระทบต่อการ เลือกใช้ยา
NSKnowledge Management [58] 2.6 คำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาของผู้ป่วย (เช่น ความสามารถในการกลืนยา ศาสนา) และ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากวิธีการบริหารยา 4. บริหารยาตามการสั่งใช้ยาได้อย่างถูกต้อง 4.1 เข้าใจโอกาสที่จะเกิดผลไม่พึง ประสงค์จากการใช้ยา และดำเนินการเพื่อ หลีกเลี่ยง/ลดความเสี่ยงที่จะ เกิดขึ้น ตระหนักและจัดการแก้ไขปัญหา 4.3 ตรวจสอบและคำนวณการใช้ยาให้ ถูกต้อง 4.4 คำนึงถึงโอกาสที่จะเกิดการใช้ยาผิด (เช่น ผิดขนาด ผิดทาง ผิดวิธี ผิดชนิด ผิด วัตถุประสงค์ ฯลฯ) 4.5 ใช้ข้อมูลที่ทันสมัยเกี่ยวกับการใช้ยา อย่างสมเหตุผล (เช่น การเก็บรักษา การ บรรจุ ฯลฯ) 4.7 สื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับยาและการใช้ ยาแก่ผู้เกี่ยวข้องเมื่อต้องมีการส่งต่อข้อมูล การรักษา 5. สามารถให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการใช้ยาได้อย่างเพียงพอ (Provide information) 5.1 ตรวจสอบความเข้าใจและความ มุ่งมั่นตั้งใจของผู้ป่วย/ผู้ดูแลในการจัดการ เฝ้าระวังติดตาม และการ มาตรวจตามนัด 5.2 ให้ข้อมูลเกี่ยวกับยาที่ชัดเจน เข้าใจ ได้ง่าย และเข้าถึงได้กับผู้ป่วย/ผู้ดูแล (เช่น ใช้เพื่ออะไร ใช้อย่างไร อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น รายงานอย่างไร ระยะเวลาของ การใช้ยา) 5.3 แนะนำผู้ป่วย/ผู้ดูแลเกี่ยวกับ แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ในเรื่องยาและการ รักษา 5.4 สร้างความมั่นใจให้ผู้ป่วย/ผู้ดูแล ว่าจะจัดการอย่างไรในกรณีที่มีอาการไม่ดีขึ้น หรือการรักษาไม่ ก้าวหน้าในช่วงเวลาที่กำหนด 5.5 สนับสนุนผู้ป่วย/ผู้ดูแลให้มีส่วนรับผิดชอบในการจัดการตนเองเรื่องยาและภาวะเจ็บป่วย ประเด็นเนื้อหาหลักที่กำหนด (เลือกจาก 17 ประเด็นเนื้อหาหลัก) 4. Monitoring and evaluation impact of drug therapy, adverse effects properly and reporting drug related problems 5. Adherence to treatment 9. Administer drug safely 10. Medication errors 11. Prescribing for patients with special requirements
NSKnowledge Management [59] ผลการเรียนรู้ที่กำหนด 1. มีความเข้าใจในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย 2. สามารถประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อสื่อสารการใช้ยาอย่างสมเหตุผลกับผู้ป่วยและครอบครัวได้ วัตถุประสงค์การเรียนรู้ เมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอน ผู้เรียนสามารถ 1. อธิบายโอกาสของการเกิดความคลาดเคลื่อนทางยา 2. วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิดจากความคลาดเคลื่อนทางยา กระบวนการจัดการเรียนรู้ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 1. บรรยายเรื่องการบริหารยาอย่างสมเหตุผลในผู้ป่วย (10 นาที) 2. แบ่งกลุ่มนักศึกษา กลุ่มละไม่เกิน 10 คน เพื่อร่วมกันวิเคราะห์กรณีศึกษาและอภิปรายในประเด็น โอกาส และการป้องกันการเกิดความคลาดเคลื่อนทางยา ข้อพึงระวังและอาการแสดงที่สำคัญ ที่เกิดจากความ คลาดเคลื่อนของการใช้ยา และการสื่อสารกับผู้ป่วย ครอบครัวและผู้ดูแล เพื่อลดหรือป้องกันการเกิดความ คลาดเคลื่อนทางยา (20 นาที) 3. สุ่มนักศึกษาเพื่อนำเสนอผลการวิเคราะห์กรณีศึกษาในประเด็นที่มอบหมาย อาจารย์เพิ่มเติมในประเด็นที่ นักศึกษายังอธิบายเหตุและผลไม่ชัดเจน/ไม่ถูกต้อง 4. สุ่มนักศึกษาให้แสดงบทบาทสมมติหัวข้อ การสื่อสารกับผู้ป่วย ครอบครัวและผู้ดูแล เพื่อลดหรือป้องกันการ เกิดความคลาดเคลื่อนทางยา (10 นาที) 5. เปิดโอกาสให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นและซักถามเพิ่มเติม(10 นาที) 6. ผู้สอนสรุปประเด็นสำคัญ (10 นาที) สื่อการสอน 1. ใบงาน 2. กรณีศึกษา 3. กระดาษ Flip chart 4. Power point และเอกสารประกอบการเรียนในระบบ e learning 5. อุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์ประกอบการสอน
NSKnowledge Management [60] วิธีการประเมินผล 1. ประเมินความครบถ้วน ถูกต้อง ชัดเจน ได้ใจความของคำตอบในใบงาน 2. Quiz เมื่อสิ้นสุดการสอน ตัวอย่างกรณีศึกษา คุณลำดวน อายุ40 ปี สถานภาพสมรส สมรส ระดับการศึกษา ประถมศึกษาปีที่ 6 อาชีพ รับจ้าง อาการสำคัญ : ปวดท้องมาก อ่อนเพลีย ไม่มีแรง 2 วันก่อนมาโรงพยาบาล ประวัติเจ็บป่วยปัจจุบัน : 5 วันก่อนมาโรงพยาบาล ผู้ป่วยเริ่มมีอาการปัสสาวะบ่อย ไม่มีปัสสาวะแสบขัด ไม่มีปัสสาวะขุ่น หิวน้ำบ่อย กิน น้ำวันละ 2-3 ลิตร คลื่นไส้อาเจียน 2 ครั้ง ท้องเสีย 1 ครั้งไม่มีไข้ ไม่ได้มาโรงพยาบาล 3 วันก่อนมาโรงพยาบาล เริ่มมีอาการเหนื่อยหอบ ซึม อ่อนเพลีย ปวดท้องหนัก ไปโรงพยาบาลตากสิน หมอ วินิจฉัย อาหารเป็นพิษ ให้ยาตามอาการ อาการไม่ทุเลาลง 2 วันก่อนมาโรงพยาบาล ปวดท้องมาก ไปคลินิก นอนให้น้ำเกลือ ก่อนมาโรงพยาบาล ได้ x-ray ท้อง ที่คลินิก จึงส่งตัวมาโรงพยาบาล ประวัติอดีต ผู้ป่วยไม่มีโรคประจำตัว และไม่เคยรู้ว่าเป็นโรคเบาหวาน ผู้ป่วยเคยรักษาความดันโลหิตต่ำกับ คลินิกแถวบ้าน ได้ยามารับประทาน รักษาต่อเนื่อง 5 ปี อาการดีขึ้นหมอที่คลินิกให้หยุดยาได้เมื่อ 1 เดือนก่อน หากผู้ป่วยไม่สบายหรือเกิดอาการเจ็บป่วย หากไม่รุนแรงผู้มักจะซื้อยากินเองที่ร้านขายยา หรือรักษาตาม คลินิก ขณะอยู่ที่บ้านผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เอง ผู้ป่วยรู้ว่าเป็นเบาหวานขณะที่อยู่โรงพยาบาล ที่ ER เจาะ DTX = 495 mg% มีอาการอ่อนเพลีย ซึม ร่วมด้วย จึง Admit การวินิจฉัยโรค: Diabetic Ketoacidosis with Acute Appendicitis
NSKnowledge Management [61] การรักษาที่ได้รับ Order for one day Order for continuous - NSS 1000 ml + KCL 40 mEq IV rate 150 ml/hr. - POCT glucose q 1 hr. with stat - Bl. For electrolyte , HbA1c - ABG q 2hr. with stat - RI (1:1) IV 7 unit/hr. - RI 10 unit v stat - NSS 1000 ml v than 350 ml/hr. in hr. - NPO - Record V/S ,I/O q 4 hr. - O2 cannular 3 LPM - Retain foley’s cath - Med : Cef 2 g IV OD - Metronidazole 500 mg IV q 8 hr. แนวทางการอภิปราย สมรรถนะการใช้ยาสมเหตุผลที่ 1 , 2 , 4 , 5 , 6 ประเด็นเนื้อหาหลักข้อที่ 4 , 5 , 9 , 10 , 11 กรอบแนวคิดที่ 1 , 2 , 6 1. สรรพคุณของยา และผลข้างเคียงของยา 2. ประวัติการใช้ยา พฤติกรรมการกินยา การซื้อยาเอง 3. การสื่อสารกับผู้ป่วย ในการใช้ยา การให้ยาผู้ป่วยและการสังเกตอาการที่เกิดจากผลข้างเคียงของการใช้ยา ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับอาจารย์ ปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน 1. กรรมพันธุ์ ในครอบครัวที่มีพ่อ แม่ พี่น้อง เป็นเบาหวาน 2. ภาวะเครียดกระตุ้นให้ร่างกายมีการหลั่งฮอร์โมน เช่น Catecholamine, Cortisol, Angiotensin, Vasopressin ไปยับยั้งการหลั่งอินซูลินและกระตุ้นการหลั่งกลูคากอน ทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือด สูงขึ้น 3. การติดเชื้อ ปฏิกิริยา Immune ทำให้มีภาวะ cell ของตับอ่อนถูกทำลายเป็นผลให้ร่างกายไม่ สามารถสร้างอินซูลิน
NSKnowledge Management [62] การควบคุมโรคเบาหวาน 1. การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม 2. การออกกำลังกาย 3. การควบคุมด้วยยารับประทาน/ยาฉีดอินซูลิน 4. การดูแลทางด้านอารมณ์และจิตใจ การรักษา ภาวะ DKA 1. การให้อินซูลินทดแทน ในผู้ป่วยที่มีภาวะ DKA และ HHNK จะมีภาวะน้ำตาลในกระแสเลือดสูงมาก ดังนั้นการรักษาจึงมุ่งที่จะให้อินซูลิน เพื่อให้นำระดับน้ำตาลกลับมาสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด โดยใน ระยะแรกจะให้อินซูลินที่ออกฤทธิ์สั้น เช่น RI (Short-acting insulin หรือ Regular insulin) ฉีดเข้า ทางหลอดเลือดดำทุกชั่วโมง หรือนิยมหยดให้ทางหลอดเลือดดำ เพราะออกฤทธิ์ได้เร็วและได้รับใน ปริมาณที่แน่นอน ขณะที่ให้อินซูลินทางหลอดเลือดต้องติดตามและประเมินระดับน้ำตาลในเลือดทุก 1 ชั่วโมงโดยนิยมเจาะทางปลายนิ้ว เพื่อติดตามผลการรักษา และป้องกันการเกิดภาวะ Hypoglycemia จากการรักษา 2. การให้สารน้ำทดแทนอย่างรวดเร็วและให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย โดยระยะเริ่มต้น ผู้ป่วย จะได้รับการให้ 0.9% NSS (Isotonic solution) เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณเลือดไหลเวียนให้ดีขึ้น ประมาณ 1-2 ลิตร ใน 2 ชั่วโมงแรก โดยพิจารณาปรับสารน้ำตาม Serum osmolalityปริมาณและอัตราเร่ง ของสารน้ำ ขึ้นกับลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วย เช่น ความดันโลหิต ปริมาณปัสสาวะ ซึ่งตรวจวัดทุก 1 ชั่วโมง ระดับ Blood sugar, Hematocrit และระดับ Na+ ในเลือด 3. การให้อิเลคโตรลัยท์ทดแทน เนื่องจากมีการสูญเสียอิเลคโตรลัยท์ออกไปทางปัสสาวะพร้อมกับ น้ำตาลและน้ำ จึงจำเป็นต้องได้รับการทดแทน โดยการให้ในรูป KCI หยดเข้าทางหลอดเลือดดำ ส่วน HCO3 อาจพิจารณาให้เฉพาะในรายที่มีภาวะกรดรุนแรงมาก โดยให้ในรูป NaHCO3 เพราะการรักษา ด้วยสารน้ำและอินซูลิน จะช่วยแก้ไขภาวะกรดอยู่แล้ว ส่วนอิเลคโตรลัยท์ชนิดอื่นๆ สามารถทดแทน ด้วยการปรับตัวของร่างกายตามธรรมชาติ และจากสารอาหาร ไม่จำเป็นต้องให้การทดแทนทางหลอด เลือดดำ ทั้งนี้จะได้รับการพิจารณารักษา หรือทดแทนเป็นรายกรณีไป
NSKnowledge Management [63] ยาอินซูลิน อินซูลินออกฤทธิ์สั้น (Short-acting insulin หรือ Regular insulin) เริ่มออกฤทธิ์หลังจากได้รับ ประมาณ (onset) 30 นาที โดยจะออกฤทธิ์เต็มที่ (peak) ภายใน 2 – 3 ชั่วโมง และคงอยู่ในกระแสเลือดนาน (duration) 4 – 6 ชั่วโมง เป็นอินซูลินที่มีโครงสร้างเหมือน Human insulin ไม่ได้มีการดัดแปลงโครงสร้าง ใดๆ • แนะนำให้ฉีดก่อนอาหาร 30 นาที • ลักษณะใส (Clear solution) • ฉีดทางใต้ผิวหนัง (Subcutaneous injection) หรือ ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ(Intravenous injection) ตามคำสั่งการรักษา อินซูลินออกฤทธิ์นานปานกลาง (Intermediate-acting insulin) ได้แก่ เอ็นพีเอช (neutrl protamine suspension: NPH), Humulin N หรือ เลนท์ (Lente) โดยมี protamine sulfate เป็นส่วนผสมเพื่อช่วยให้ อินซูลินออกฤทธิ์ได้นานขึ้น ใช้เวลาเริ่มออกฤทธิ์ (onset) 2 – 4 ชั่วโมง โดยจะออกฤทธิ์เต็มที่ (peak) ในช่วง 8 – 14 ชั่วโมง หลังจากได้รับ และคงอยู่นาน (duration) 14 – 24 ชั่วโมง • ลักษณะเป็นสารละลายแขวนตะกอน (suspension) ต้องคลึงขวดก่อนใช้ เมื่อคลึงแล้วน้ำยา จะเป็นสีขาวขุ่น • ฉีดทางใต้ผิวหนัง (Subcutaneous injection) • ห้ามฉีดเข้าหลอดเลือด (Intravenous injection) ภาวะแทรกซ้อนจากการฉีดอินสุลิน 1. การแพ้อินซูลิน: อาจเป็นปฏิกิริยาเฉพาะที่ เกิดเป็นผื่นแดงหรือน้ำตาลบริเวณที่ฉีดยา มักเกิดขึ้นใน 1- 4 สัปดาห์หลังเริ่มยา บางคนที่เคยรับ insulin มาแล้ว อาจเกิดได้ภายใน 2-3 วัน หลังได้รับ insulin ครั้งใหม่ ปฏิกิริยาการแพ้ที่รุนแรงนั้นจะเกิดเป็นลมพิษทั่วตัว มี angioedema และเกิดปฏิกิริยา anaphylaxis ได้ 2. ไขมันบริเวณที่ฉีดฝ่อเป็นรอยบุ๋ม (Lipoatrophy) เกิดจากสิ่งไม่บริสุทธิ์ที่มีอยู่ใน insulin ที่ฉีด บางคน ไขมันอาจโป่งออก (Fat hypertrophy) การเปลี่ยนบริเวณที่ฉีดหมุนเวียนกันไป หรือเปลี่ยนยาเป็น ชนิดที่บริสุทธิ์ขึ้นจะช่วยป้องกันปัญหานี้ได้ 3. การเกิดเป็นไตนูนแข็ง สาเหตุเกิดจากการฉีดซ้ำตำแหน่งเดิม หรือเกิดจากอินซูลินไม่ดูดซึม 4. การดื้อต่อ insulin เกิดจากร่างกายสร้าง antibody ต่อ insulin ที่ได้รับเข้าไป ทำให้ไม่สามารถ ควบคุมระดับน้ำตาลได้
NSKnowledge Management [64] Quiz ชายไทย อายุ 48 ปี มีโรคประจำตัว DM วันนี้ตรวจเลือด ผลเลือด BS 110 mg% LDL-C 160 mg/dL HDL-C 50 mg/dL และ Triglyceride 450 mg/dL แพทย์ประเมินแล้วให้ได้รับยาลดไขมันในเลือด Simvastatin monotherapy เหมาะสมที่สุด เพื่อลด CVD risk สมรรถนะที่ใช้ประเมิน RDU คือข้อใด 5. สมรรถนะที่ 1 สามารถประเมินปัญหาผู้ป่วย เกี่ยวกับความจำเป็นต้องใช้ยาในการรักษา 6. สมรรถนะที่ 4 บริหารยาตามการสั่งใช้ยาได้อย่างถูกต้อง 7. สมรรถนะที่ 5 สามารถให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการใช้ยาได้อย่างเพียงพอ 8. สมรรถนะที่ 7 สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อผู้ป่วย และไม่เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม เฉลย 4 เหตุผล Triglyceride ที่ไม่เกิน 500 mg/dL ยังไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อ acute pancreatitis การลด CVD risk ใช้simvastatin monotherapy ได้ ไม่ต้องให้combination กับยาใดๆ เพราะยาบางอย่าง เช่น fibric acid ไม่ได้ช่วยให้ลด CVD risk เพิ่มขึ้น แต่จะมีความเสี่ยงจากอันตรกิริยาที่นำไปสู่ rhabdomyolysis ได้ ประเด็น RDU ที่ประเมิน ข้อบ่งชี้ ประโยชน์ของยา หลักฐานเชิงประจักษ์ การใช้ยาสอดคล้องกับตำราหรือ แนวทางเวชปฏิบัติ ความเสี่ยงจากการใช้ยา อันตรกิริยา
NSKnowledge Management [65] 2. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้สายสนับสนุน 2.1 กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หัวข้อเรื่อง “การแบ่งปันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้สู่การขอตำแหน่งชำนาญการ ครั้งที่ 1” รศ.ดร.สมสิริ รุ่งอมรรัตน์ คุณอำนวย นายกณพ คำสุข วิทยากร นางสาวดารานิตย์ กิ่งวัน ผู้ลิขิต คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยงานพัฒนาคุณภาพและบริหารความเสี่ยง จัดกิจกรรม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ หัวข้อเรื่อง “การแบ่งปันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้สู่การขอตำแหน่งชำนาญการ ครั้งที่ 1” วันที่ 24 มีนาคม 2566 เวลา 09.00-11.00 น. เพื่อเป็นแรงจูงใจและแรงผลักดันในการขอตำแหน่ง กิจกรรมใน ครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก นายกณพ คำสุข นักวิชาการพัฒนาคุณภาพ เป็นวิทยากรแลกเปลียนเรียนรู้ โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดในรูปแบบออนไลน์ ผ่านระบบ Microsoft Teams นายกณพ คำสุข ได้กล่าวถึงแรงจูงใจและแรงผลักดันในการขอตำแหน่ง โดยมีการตั้งคำถามกับตัวเอง ดังนี้ 1. เมื่อไหร่จะขอตำแหน่งต้องรอถึงตอนไหน 2. ถ้าเราทำได้เราจะได้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นต่อเดือน 7,000 บาท 3. เราจะมีการเติบโต/ความก้าวหน้าในสายวิชาชีพ 4. การเปลี่ยนความคิดของตัวเอง เช่น ทำไมตัวเองไม่ลงมือทำ จะรอถึงเมื่อไหร่ เป็นต้น
NSKnowledge Management [66] ลำดับต่อมานายกณพ คำสุข ได้กล่าวถึงขั้นตอนในเริ่มทำการขอตำแหน่งผู้ชำนาญการพิเศษ ดังนี้ 1. STEP ที่ 1 ใช้ระยะเวลาจำนวน 1 วัน ในการทบทวนกระบวนการทำงาน และสืบค้นหาข้อมูล 2. STEP ที่ 2 ใช้ระยะเวลาจำนวน 3 วัน โดยเข้าไปศึกษาแบบฟอร์มจากกองทรัพยากรบุคคล มหาวิทยาลัยมหิดลที่ web site : https://op.mahidol.ac.th/hr/supportstaff/ เพื่อดูวิธีการทำและ เริ่มลงมือทำ “ร่างวิเคราะห์งาน” โดยเริ่มดำเนินการในบทที่ 1 เพื่อมีกรอบและแนวทาง (วัตถุประสงค์) ในการ เขียนบทต่อไป หลังจากที่ได้บทที่ 1 แล้วก็ต่อด้วยบทที่ 3 ซึ่งเป็นวิธีการวิเคราะห์/แนวทางการวิเคราะห์ และ ต่อด้วยบทที่ 4-5 และ 2 ตามลำดับ เมื่อดำเนินการทำ “ร่างวิเคราะห์งาน” เสร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปนำเสนอให้ รองคณบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพพิจารณา ภาพที่ 1 เริ่มทำการขอตำแหน่งผู้ชำนาญการพิเศษ 3. STEP ที่ 3 ใช้ระยะเวลาจำนวน 1 เดือน เพื่อปรับแก้ไขตามข้อเสนอแนะที่ได้รับจากรองคณบดี ฝ่ายพัฒนาคุณภาพ 4. STEP ที่ 4 ใช้ระยะเวลาจำนวน 3-4 วัน เพื่อเก็บรายละเอียดของบทที่ 2 และบทที่ 3 ให้ครบถ้วน 5. STEP ที่ 5 ทำการแบ่ง “ร่างวิเคราะห์งาน” ออกเป็น 2 ชุด คือ ชุดที่ 1 บทที่ 2 และชุดที่ 2 บทที่ 4 และบทที่ 5 เพื่อส่งให้รองคณบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพพิจารณาตรวจสอบอีกรอบ
NSKnowledge Management [67] ภาพที่ 2 เริ่มทำการขอตำแหน่งผู้ชำนาญการพิเศษ Trick กระบวนการทำงานของนายกณพ คำสุข 1. เริ่มทำจากบทที่ 1 เพื่อจะได้มีกรอบ และแนวทาง (วัตถุประสงค์) 2. จัดทำ “ร่าง” เล่มวิเคราะห์แบ่งออก เป็น 2 ส่วน 1) บทที่ 2 2) บทที่ 4 และ 5 เพื่อให้รองคณบดีในกำกับหมุนเวียนในการให้ข้อเสนอแนะ อีกทั้งเจ้าของผลงานสลับแก้ไข ตามข้อเสนอแนะได้รวดเร็วยิ่งขึ้นในการจัดทำเล่มวิเคราะห์ให้สมบูรณ์ 3. บทที่ 3 เป็นวิธีการวิเคราะห์/แนวทางการวิเคราะห์ 4. ศึกษาแนวทางจากแหล่งข้อมูลที่อื่นเพื่อประกอบในการวิเคราะห์ เช่น วิทยานิพนธ์ วิเคราะห์งาน ของมหาวิทยาลัยมหิดล บทความเชิงวิชาการ เป็นต้น
NSKnowledge Management [68] ข้อเสนอแนะ การขอตำแหน่งชำนาญการพิเศษ 1. ผลงานที่เสนอขอตำแหน่ง เสนอผลงานอย่างน้อย 3 เรื่อง มีคุณภาพในดับ “ดี” และมีผลงานอย่างน้อย 2 เรื่อง ซึ่งผู้ขอแต่งตั้ง เป็นผู้ดำเนินการหลักหรือเป็นชื่อแรก หรือเป็น Corresponding Author โดยไม่กำหนดจำนวนร้อยละการมี ส่วนร่วม ทั้งนี้ ผลงานต้องประกอบด้วย กลุ่มวิชาชีพเฉพาะหรือกลุ่มสนับสนุนทางวิชาการ กลุ่มสนับสนุนทั่วไป 1. คู่มือปฏิบัติงาน หรืองานวิเคราะห์หรืองานสังเคราะห์ อย่างน้อย 1 เรื่อง และ 2. งานวิจัย หรือบทความทางวิชาการ หรือตำรา หรือ หนังสือ หรืองานแปล หรือเอกสารประกอบการบรรยาย (เอกสารประกอบการบรรยาย จำนวน 3 หัข้อเทียบได้กับ 1 เรื่อง) หรือผลงานทางวิชาการในลักษณะอื่น 1. งานวิเคราะห์หรืองานสังเคราะห์ อย่างน้อย 1 เรื่อง และ 2. คู่มือปฏิบัติงาน หรืองานวิจัย หรือบทความทางวิชาการ หรือตำรา หรือหนังสือ หรืองานแปล หรือเอกสาร ประกอบการบรรยาย (เอกสารประกอบการบรรยาย จำนวน 3 หัวข้อเทียบได้กับ 1 เรื่อง) หรือผลงานทาง วิชาการในลักษณะอื่น 2. แนะนำให้ทำวิเคราะห์งาน มากกว่าการทำวิจัย เนื่องจากความก้าวหน้าในสายอาชีพของพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุนในสายสนับสนุนทั่วไปไม่ เน้นงานวิจัย ทั้งนี้ การทำวิจัยจะต้องขอรับการพิจารณาจากคณะกรรมการจริยธกรรมการวิจัยในคนซึ่งมี ขั้นตอนหลายอย่างและใช้ระยะเวลาที่มากกว่าการทำวิเคราะห์งาน ซึ่งการทำวิเคราะห์งานเป็นกระบวนการที่ วิเคราะห์มาจากงานประจำแล้วนำมาวิเคราะห์ปรับปรุง พัฒนาวิธีการหรือกระบวนการให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม หากสนใจทำวิจัย ผู้วิจัยจะต้องขอรับการพิจารณาจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย ในคน โดยส่งเอกสารโครงการทางอิเล็กทรอนิกส์เมล์ [email protected] ภายในวันจันทร์ สัปดาห์ที่ 1 ของเดือน ก่อนเวลา 12.00 น. 3. การทำแบบ พม.01-06 3.1 แบบฟอร์ม พม.01 ผลงานที่เป็นผลการดำเนินงานที่ผ่านมา จะต้องเขียนชื่อผลงานทั้ง 3 ผลงาน ลงในแบบฟอร์มดังกล่าวให้เรียบร้อย 3.2 แบบฟอร์ม พม.02 ข้อเสนอแนวความคิด/วิธีการเพื่อพัฒนางานหรือปรับปรุงงานและแผนงาน/ โครงการหรือผลงานที่จะทำให้อนาคต เพื่อประกอบการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ชำนาญการพิเศษ 3.3 แบบฟอร์ม พม.03 แบบเสนอขอแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนักวิชาการพัฒนาคุณภาพ (ผู้ชำนาญการ พิเศษ) แนะนำให้เก็บรายละเอียดภาระงานย้อนหลัง 3 ปีโดยมีหน่วยนับ (สัปดาห์) เวลา (ชม./สัปดาห์) และจำนวนรวม (ชม.) โดยจำนวนรวมชั่วโมงการทำงานควรไม่เกิน 1,610 ชั่วโมง 3.4 แบบฟอร์ม พม.04 แบบประเมินปริมาณงานในหน้าที่ คุณภาพงานในหน้าที่ 3.5 แบบฟอร์ม พม.05 แบบประเมินสมรรถนะ 3.6 แบบฟอร์ม พม.06 แบบแสดงหลักฐานการมีส่วนร่วมในผลงาน จะต้องเขียนชื่อผลงานทั้ง 3 ผลงานลงในแบบฟอร์มฯ
NSKnowledge Management [69] Q & A คำถามจากผู้เข้าร่วมกิจกรรม Q1. วิเคราะห์งานกับสังเคราะห์งาน และงานวิจัย มีความแตกต่างกันอย่างไร A1.1 วิเคราะห์งาน คือ การพิจารณาวิเคราะห์แยกสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกเป็นส่วนๆ เพื่อทำความเข้าใจแต่ละ ส่วนให้กระจ่างเกิดความเข้าใจมากขึ้น โดยขั้นตอนของวิเคราะห์งานสรุปได้ ดังนี้ 1. กำหนดขอบเขตหรือนิยามสิ่งที่เราจะคิดวิเคราะห์ให้ชัดเจนจะวิคราะห์อะไร 2. กำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนจะวิเคราะห์เพื่ออะไร 3. พิจารณาหลักความรู้ หรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้องว่าจะใช้หลักใดเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ เช่น กระบวนการทำงาน PDCA เป็นต้น 4. ใช้หลักความรู้นั้นให้ตรงกับเรื่องที่จะวิเคราะห์ และต้องรู้ว่าควรจะวิเคราะห์อย่างไร 5. สรุปและรายงานผลการวิเคราะห์ให้เป็นระเบียบชัดเจน A1.2 สังเคราะห์งาน คือ ผลงานที่แสดงการรวบรวมเนื้อหาสาระต่างๆ หรือองค์ประกอบต่างๆ เข้า ด้วยกัน โดยต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างรูปแบบและโครงสร้างเบื้องต้น ซึ่งการคิดสังเคราะห์ ครอบคลุมถึงการค้นคว้า รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดแนวทางหรือเทคนิควิธีการการใหม่ในเรื่องนั้นๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่องานของหน่วยงาน โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1. กำหนดวัตถุประสงค์ของสิ่งที่ต้องการสังเคราะห์ 2. หาความรู้เกี่ยวกับหลักการ ทฤษฎี หรือแนวทางที่เหมาะสม เพื่อศึกษาส่วนประกอบหรือ วิเคราะห์ข้อมูลที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ 3. เลือกข้อมูลที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์มาจัดทำกรอบแนวคิดสำหรับสร้างสิ่งใหม่ 4. สร้างสิ่งใหม่ตามวัตถุประสงค์และกรอบแนวคิดที่กำหนด 5. ตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสม ปรับปรุงแก้ไข และนำไปใช้ประโยชน์ A1.3 วิจัย คือ การศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์ หรือทดลองอย่างมีระบบ โดยอาศัยอุปกรณ์ หรือวิธีการ เพื่อให้พบข้อเท็จจริง หรือหลักการไปใช้ในการตั้งกฎ ทฤษฎี หรือแนวทางในการปฏิบัติ Q2. งานวิจัยมีกี่ประเภท A2.1 การแบ่งการวิจัยออกเป็นกี่ประเภทนั้นขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งว่าจะยึดถือสิ่งใดเป็น เกณฑ์หรือเป็นหลัก ทั้งนี้ การใช้เกณฑ์ต่างๆกันจะแบ่งการวิจัยออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ไม่เหมือนกัน ซึ่งประเภทของการวิจัยจึงแบ่งกันได้หลายแบบขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่ง
NSKnowledge Management [70] สรุปผลของกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จากการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หัวข้อเรื่อง “การแบ่งปันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้สู่การ ขอตำแหน่งชำนาญการ ครั้งที่ 1” ทำให้มีบุคลากรสายสนับสนุนมีแรงผลักดัน ตื่นตัว สนใจ ที่จะทำผลงาน และทำให้บุคลากรมีผลงานที่จะดำเนินการเพื่อขอตำแหน่งชำนาญการพิเศษ ดังนี้ หน่วยงาน หัวข้อเรื่อง 1. งานประชาสัมพันธ์และพัฒนาภาพลักษณ์องค์กร 1. วิเคราะห์กระบวนการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ 2. คู่มือการดูแลเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ 2. งานห้องสมุด 1. วิเคราะห์กระบวนการให้บริการกับนักศึกษา 3. งานบริการการศึกษา 1. วิเคราะห์รูปแบบการสัมภาษณ์แบบ Online กับ Onsite เพื่อนๆ อาจนำแรงจูงใจ แรงผลักดัน และวิธีการดำเนินงานของผม เริ่มทำขอตำแหน่งผู้ชำนาญการ พิเศษเป็นแรงผลักดันได้นะครับ
NSKnowledge Management [71] 3. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกลุ่มผู้เกษียณอายุราชการ สายวิชาการและสายสนับสนุน 3.1 ถอดบทเรียน “ถ่ายทอดความรู้ผู้เกษียณอายุราชการ สายวิชาการและสายสนับสนุน ปี 2566” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ฉันทิกา จันทร์เปีย นางอริยา ธัญญพืช รองศาสตราจารย์พัสมณฑ์ คุ้มทวีพร รองศาสตราจารย์ ดร.ดวงรัตน์ วัฒนกิจไกรเลิศ อาจารย์กาญจนา ครองธรรมชาติ ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุดารัตน์ สุวรรณเทวะคุปต์วิทยากร นางสาวดารานิตย์ กิ่งวัน ผู้ลิขิต คณะกรรมการพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้และการจัดการความรู้ จัดกิจกรรมถ่ายทอดความรู้ ผู้เกษียณอายุราชการ สายวิชาการและสายสนับสนุน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2566 เวลา 13.30-15.30 น. ณ ห้องประชุมสงวนสุข ฉันทวงศ์ (1111) ชั้น 11 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บางกอกน้อย โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ฉันทิกา จันทร์เปีย รองคณบดีฝ่ายบริหาร นางอริยา ธัญญพืช ผู้ช่วยคณบดี รองศาสตราจารย์พัสมณฑ์ คุ้มทวีพร อาจารย์ประจำภาควิชาการพยาบาล รากฐาน รองศาสตราจารย์ ดร.ดวงรัตน์ วัฒนกิจไกรเลิศ อาจารย์ประจำภาควิชาการพยาบาลอายุรศาสตร์ อาจารย์กาญจนา ครองธรรมชาติ อาจารย์ประจำภาควิชาการพยาบาลกุมารเวชศาสตร์ และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุดารัตน์ สุวรรณเทวะคุปต์ อาจารย์ประจำภาควิชาการพยาบาลกุมารเวชศาสตร์ เป็นวิทยากร โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รัตติมา ศิริโหราชัย อาจารย์ประจำภาควิชาการพยาบาล ศัลยศาสตร์ และ อาจารย์ ดร.เสาวลักษณ์ สุขพัฒนศรีกุล อาจารย์ประจำภาควิชาการพยาบาลรากฐานเป็น ผู้ดำเนินรายการ ซึ่งสรุปประเด็นต่างๆ ที่น่าสนใจได้ดังนี้
NSKnowledge Management [72] ความภาคภูมิใจต่อคณะพยาบาลศาสตร์ “คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นอันดับ 1 ของประเทศ” ความภาคภูมิใจที่ได้ปฏิบัติงานที่คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่เป็นอันดับ 1 ของประเทศ เป็นคณะฯ ที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป “มีส่วนทำให้นักศึกษาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน” ได้เห็นพัฒนาการของลูกศิษย์ที่จบจากคณะฯ ที่ได้รับการยอมรับจากที่ทำงาน และมีความ เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน “ทำงานให้คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีชื่อเสียง” เป็นส่วนนึงในการดำเนินการโครงการส่งเสริม สนับสนุนและคุ้มครองการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งใน ขณะนั้นประเทศไทยยังไม่มีโครงการนี้ พร้อมทั้งยังได้ร่วมงานกับ UNICEF Thailand จวบจนกระทั่งทุกวันนี้ ถ้าใครพูดถึง “นมแม่” จะต้องนึกถึงคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นอันดับแรก “โอกาสที่คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มอบให้” ความภาคภูมิใจที่ได้รับเกียรติให้ทำงานในตำแหน่งบริหาร “ผู้ช่วยคณบดี” เพราะเป็นบุคลากร สายสนับสนุนคนแรกที่ได้รับเกียรติอันทรงคุณค่านี้ แนวทางการทำงานอย่างมีความสุข “ความสุขอยู่รอบตัวเรา” ขึ้นต้นด้วยคำว่า “ความสุข” คำนี้อยู่ที่ว่าเราจะเอามาใช้อย่างไร คิดยังไง รู้สึกยังไงมากกว่า ดังนั้น การทำงานอย่างมีความสุข คือ สิ่งที่เราลงมือทำขอให้ใส่ใจกับสิ่งนั้นๆ อย่าท้อ เราต้องทุ่มเทอย่าง เต็มความสามารถ ขอให้เราได้ลงมือทำ ความสำเร็จและความภาคภูมิใจจะทำให้เรามีความสุขเกิดขึ้นในหัวใจ ของเรา “การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ก่อให้เกิดพลังบวก” ได้รับพลังงานดีๆ คือ ความช่วยเหลือจากน้องๆ ทุกสายงาน ไม่ว่าจะสายวิชาการ หรือสายสนับสนุน จนทำให้เกิดความรักความหวังดี และความสามัคคีที่มีต่อกัน ทำให้เกิดพลังบวกในการทำงาน แล้วนำพาให้ ตัวเองและคณะฯ ประสบความสำเร็จไปด้วยกัน “ความเชื่อใจ ไว้ใจ ให้เกียรติกัน” การทำงานเราต้องทำงานด้วยความไว้ใจ เชื่อใจ ให้เกียรติกัน ไม่เปรียบเทียบกับใคร มองในสิ่งที่เรามี และมีวินัยต่อการทำงาน เราก็จะทำงานด้วยกันอย่างมีความสุข
NSKnowledge Management [73] สิ่งที่อยากฝากไว้กับคณะฯ และรุ่นน้อง “เราเป็นคนสำคัญของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล” ให้พวกเราชาวคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คิดอยู่เสมอว่า เราเป็นคนสำคัญของคณะฯ และเรามีหน้าที่ที่จะต้องทำ ไม่ว่าจะอยู่ในสายวิชาการ หรือสายสนับสนุน ขอให้เราทำงานในหน้าที่ของเรา ให้ดีที่สุด เพื่อที่จะขับเคลื่อนคณะฯ ของเราให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป “จงแสดงความกล้า” อยากให้น้องๆ กล้าที่จะคิด กล้าที่จะทำ กล้าที่จะแสดงออก เพราะความกล้าจะทำให้เราประสบ ความสำเร็จ และแข่งกับตัวเองไม่ต้องคิดไปแข่งกับใคร (ไม่ต้องไปมองว่าเพื่อนเก่งกว่า) แล้วเราจะประสบ ความสำเร็จในชีวิต “การถูกดุ ทำให้เราพัฒนาขึ้น” เวลาที่ถูกดุจะไม่รู้สึกว่าถูกดุ เพราะว่าคนที่ทำงานแล้วถูกดุ คือ คนที่ทำงาน สิ่งที่เราถูกดุ คือสิ่งที่เขา อยากให้เราพัฒนาในทางที่ดีขึ้น ดังนั้นขอให้พวกเราชาวคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีความสามัคคี มีความรักและหวังดี ช่วยเหลือกันแบบนี้ตลอดไป