ซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยง ลำดวน ตะโฮ โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาการโรงแรม ประเภทวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ ปีการศึกษา 2566
ซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยง ลำดวน ตะโฮ โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาการโรงแรม ประเภทวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ ปีการศึกษา 2566
ก ใบรับรองโครงงาน วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ เรี่อง ซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยง โดย นางสาวลำดวน ตะโฮ รหัส 66307010045 ได้รับการรับรองให้นับเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรประกาศนียบัตร วิชาชีพชั้นสูงสาขาวิชาการโรงแรม ประเภทวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ........................................................ ...................................................... (นางสาวพรรณพ ดวงแก้วกูล) (..........................................) หัวหน้าแผนกวิชา รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ วันที่.....เดือน...............พ.ศ...... วันที่.....เดือน...............พ.ศ...... ................................................. ครูประจำวิชา (นางสาวพรรณพ ดวงแก้วกูล)
กิตติกรรมประกาศ โครงงานเรื่อง ซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยง ของนักศึกษาแผนกวิชาการโรงแรมวิทยาลัย อาชีวศึกษาเชียงใหม่ ฉบับนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เนื่องจากได้รับ ความกรุณา ความอนุเคราะห์การ สนับสนุนและการให้คำแนะนำแนวทางในการดำเนินงานจากหลายท่าน ขอขอบพระคุณ นางสาวนัชพร สาครธำรง ครูที่ปรึกษาวิชาโครงการและนางสาวนพรรณพ ดวงแก้วกูล ครูประจำวิชา ที่ให้คำปรึกษาโครงงานแนะนำและให้ข้อคิดต่างๆ ในโครงงาน ตลอดจน แก้ไขข้อบกพร่อง จนรายงานโครงงานฉบับนี้เสร็จสมบูรณ์ และสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ลำดวน ตะโฮ
ชื่อ : นางสาวลำดวน ตะโฮ ชื่อโครงงาน : ซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยง สาขาวิชา : การโรงแรม ประเภทวิชา : อุตสาหกรรมท่องเที่ยว อาจารย์ประจำวิชาโครงงาน : นางสาวนพรรณพ ดวงแก้วกูล อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน : นางสาวนัชพร สาครธำรง ปีการศึกษา : 2566 บทคัดย่อ โครงงาน เรื่อง ซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยง มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา 1) เพื่อพัฒนา รูปแบบของซองใส่ช้อน ส้อม 2) เพื่อลดการใช้ของพลาสติกใส่ช้อน ส้อม และ 3) เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ ผ้าทอกะเหรี่ยง ใช้แบบสำรวจความต้องการและแบบประเมินความพึงพอใจเป็นเครื่องมือที่ใช้ในดำเนิน ระยะเวลา ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2566 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ จาก ผลการวิเคราะห์แบบสำรวจความคิดเห็น ความต้องการ รูปแบบซองใส่ข้อนส้อมจากผ้าหอกะเหรี่ยง ได้ผล การวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ จำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสำรวจ จำนวน 50 คน ส่วนใหญ่เลือกรูปแบบซอง ใส่ช้อนส้อมแบบที่ 1 จำนวน 27 คน คิดเป็นร้อยละ 54 สำหรับสีของชองใส่ช้อน ส้อม ส่วนใหญ่เลือกสี ม่วงจำนวน 27 คน คิดเป็นร้อยละ 54 และสำหรับลวดลายการของใส่ช้อนล้อม ส่วนใหญ่เลือกในรูปแบบ ที่ 1 จำนวน 34 คนคิดเป็นร้อยละ 68และจากผลการวิเคราะห์แบบประเมินความพึงพอใจของใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยงได้ผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ จำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบประเมินความพึง พอใจ จำนวน 50 คน เมื่อจำแนกตามเพศ ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 45 คน คิดเป็นร้อยละ 90 ด้าน การจำแนกตามช่วงรายได้ส่วนใหญ่อยู่ช่วงต่ำกว่า 9,000 บาท จำนวน 45 คน คิดเป็นร้อยละ 90 ด้าน การจำแนกตามช่วงในช่วงอายุ 15-20 ปี จำนวน 45 คน คิดเป็นร้อยละ 90 และจากผลการวิเคราะห์การ จัดลำดับความพึงพอใจของผู้ประเมินแบบประเมินพึงพอใจซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยง ได้ผล วิเคราะห์ โดยเรียงลำดับผลการวิเคราะห์ พบว่า ค่าเฉลี่ยมากที่สุด (̅=4.74) คือ ซองใส่ช้อนส้อมจากผ้า ทอกะเหรี่ยงสามารถสร้างความประทับใจให้คนที่ใช้บริการได้รองลงมา (̅=4.68) มีจำนวนเท่ากัน คือ ความประณีตรูปแบบการทอลวดลาย ซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยง ซองใส่ซ้อน ส้อมจากผ้าทอ กะเหรี่ยง สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้และค่าเฉลี่ยลำดับสุดท้าย (̅=4.6) คือ สีซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้า ทอกะเหรี่ยง สามารถเพิ่มความสวยงามบนโต๊ะอาหาร ตามลำดับ
สารบัญ เรื่อง ใบรับรองโครงงาน กิตติกรรมประกาศ บทคัดย่อ สารบัญตาราง สารบัญภาพ บทที่ 1 บทนำ หน้า ก ข ค ง จ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1.2 วัตถุประสงค์ของโครงงาน 1.3 ขอบเขตของโครงงาน 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.5 นิยามศัพท์ 1 1 2 2 2 บทที่ 2 แนวคิดทฤษฎีและงานศึกษาที่เกี่ยวข้อง 2.1 ความรู้เกี่ยวกับผ้าทอกะเหรี่ยง 2.2 ความรู้เกี่ยวกับการเย็บผ้า 2.3 ความรู้เกี่ยวกับลวดลายของผ้ากะเหรี่ยง 2.4 ความรู้เกี่ยวกับการปักผ้ากะเหวี่ยง 2.5 ความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือในการรับประทานอาหาร 2.6 ความรู้เกี่ยวกับสถิติการปนเปื้อนจุสินทรีย์ในภาชนะสัมผัสอาหารหลังการ ชุ่มน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรค 2.7 งานศึกษาที่เกี่ยวข้อง บทที่ 3 วิธีดำเนินการศึกษา 3.1 กลุ่มตัวอย่าง 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในดำเนินโครงงาน 3.3 การดำเนินโครงงาน 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.5 การวิเคราะห์และสรุปผล 3 12 16 21 23 24 29 31 31 32 33 33 บทที่ 4 ผลการศึกษาโครงงาน 4.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลแบบสำรวจความคิดเห็น ความต้องการ รูปแบบซองใส่ช้อน ส้อม 4.2 ผลการวิเคราะห์ ข้อมูลแบบสอบถามความพึงพอใจในการใช้ ซองใส่ช้อน ส้อม จากผ้าทอกะเหรี่ยง 4.3 ข้อมูลเกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ 36 39 44
สารบัญ (ต่อ) เรื่อง บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายและข้อเสนอแนะ หน้า 5.1 สรุปผลการศึกษา 5.2 อภิปรายผล 5.3 ข้อเสนอแนะในการศึกษา บรรณานุกรม 454647 ภาคผนวก ภาคผนวก ก แบบเสนอโครงร่างโครงงาน ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ภาคผนวก ค ภาพประกอบ ภาคผนวก ง แบบสอบถาม ภาคผนวก จ แบบรายงานผลการนำไปใช้ประโยชน์ ประวัติผู้จัดทำ
สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า ตารางที่ 1 ตารางแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบ แบบสำรวจ โดยจำแนกตามเพศของผู้ตอบแบบสำรวจ 36 ตารางที่ 2 ตารางแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบ แบบสำรวจ โดยตามรายได้ของผู้ตอบแบบสำรวจ 37 ตารางที่ 3 ตารางแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบ แบบสำรวจ โดยตามอายุของผู้ตอบแบบสำรวจ 37 ตารางที่ 4 ตารางแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบ แบบสำรวจความคิดเห็นรูปแบบของใส่ช้อนส้อม 38 ตารางที่ 5 ตารางแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบ แบบสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกสีของซองใส่ช้อนส้อม 38 ตารางที่ 6 ตารางแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบ แบบสำรวจความคิดเห็นของลวดลายซองใส่ช้อน ส้อม 39 ตารางที่ 7 ตารางแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบ แบบประเมินความพึงพอใจ โดยจำแนกตามเพศของผู้ตอบแบบสำรวจ 39 ตารางที่ 8 ตารางแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบ แบบประเมินความพึงพอใจ โดยจำแนกตามอายุของผู้ตอบแบบสำรวจ 40 ตารางที่ 9 ตารางแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบ แบบประเมินความพึงพอใจ โดยจำแนกตามรายได้ของผู้ตอบแบบสำรวจ 40 ตารางที่ 10 ตารางแสดงการวิเคราะห์ความพึงพอใจของผู้ตอบแบบประเมินซองใส่ ช้อนส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยง โดยการหาค่าเฉลี่ย (̅) และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) 41
บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่ให้บริการเกี่ยวกับห้องพักและการบริการอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งในปัจจุบันการบริการอารหารและเครื่องดื่มนั้นต้องใส่ใจเรื่องความสะอาดและความปลอดภัยของผู้บริโภ คเป็นหลัก อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้สำหรับผู้บริโภค ต้องมีความสะอาดไม่มีการปนเปื้อนสารเคมีหรือ มีฝุ่นละอองหรือมีสิ่งปนเปื้อนปลอมปนในภาชนะและเครื่องมือในการรับประทานอาหาร โดยปัจจุบันโรงแรมจึงนิยมใช้การนำกระดาษทิชชูถุงพลาสติกมาห่ออุปกรณ์ในการรับประทานอาหารเพื่อป้ องกันฝุ่นละอองหรือสารเคมีปนเปื้อนตกใส่ ซึ่งปัญหาที่ตามมานั่นก็คือเกิดความลำบากในการที่ลูกค้าต้อง แกะกระดาษหรือพลาสติก และเกิดการสิ้นเปลือง เกิดขยะจากการแกะทิ้ง หากเราใช้ทรัพยากรที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้นั้น ก็จะช่วยเรื่องการลดปริมาณขยะหรือ ของที่ใช้แล้วทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ซึ่งการจะใช้ห่อหุ้มเครื่องอุปกรณ์นั้นเราสามารถนำผ้ามาใช้ในการห่อหุ้มห รือการป้องกันฝุ่นละอองตกหล่นได้ เราควรจะหาบรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ โดยบรรจุภัณฑ์ ที่กลับมาใช้ซ้ำได้มีหลากหลายไม่ว่าจะเป็นกล่องใส่ภาชนะตลับไม้รวมถึงผ้าโดยที่ผ้ามาห่อหุ้มภาชนะจะช่วย ลดต้นทุนในการใช้ขยะฟุ่มเฟือย และข้าพเจ้าได้เล็งเห็นว่าในท้องถิ่นที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่มีการ ทอผ้ากะเหรี่ยง ที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ซึ่งข้าพเจ้าเล็งเห็นว่าผ้าทอกะเหรี่ยงมีสีสันที่สวยงาม บ่งบอกถึงเอกลักษณ์และวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยง ซึ่งผ้าทอกะเหรี่ยงสามารถที่จะนำกลับมาใช้ซ้ำได้ และเนื้อผ้าการทอเป็นเนื้อผ้าที่ระเอียด คงรูป ดังนั้นผู้จัดทำจึงได้นำผ้าทอกะเหรี่ยงมาออกแบบเพื่อสามารถนำมาเป็นผลิตภัณฑ์ในการใส่ช้อนส้อ มเพื่อให้บริการผู้ที่มาใช้บริการห้องอาหารนาฎวัฒนา แผนกวิชาการโรงแรมวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าด้านสุขอนามัยและสร้างความประทับใจแก่ผู้ใช้บริการ 1.2 วัตถุประสงค์ของโครงงาน 1.2.1 เพื่อพัฒนารูปแบบของซองใส่ช้อน ส้อม 1.2.2 เพื่อลดการใช้ของพลาสติกใส่ช้อน ส้อม 1.2.3 เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ผ้าทอกะเหรี่ยง 1.3 ขอบเขตโครงงาน 1.3.1 เชิงปริมาณ - ซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยง จำนวน 30 ชิ้น 1.3.2 เชิงคุณภาพ - ซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยงมีลวดลายที่สวยงาม ซักทำความสะอาดได้ง่าย และสามารถนำมาใช้ได้จริง
2 ระยะเวลาดำเนินงาน ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2566 ถึง วันที่ 19 มกราคม 2567 สถานที่ดำเนินงาน วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.4.1 สามารถนำมาใช้ในการบริการอาหารและเครื่องดื่ม 1.4.2 ผู้ใช้บริการเกิดความประทับใจ 1.4.3 ที่ใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยงมีความคงทน ใช้งานได้ยาวนาน 1.5 นิยามศัพท์ ผ้าทอกะเหรี่ยงเป็นผ้าที่แข็งแรงทนทาน และใช้งานได้นาน ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม เป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมความสวยงามและสะอาดจากสิ่งสกปรกและปลอดภัยจากสารเคมี
บทที่ 2 แนวคิดทฤษฎีและงานศึกษาที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาเรื่อง ซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยง ผู้จัดทำโครงการได้รวบรวมแนวคิด ทฤษฎีและหลักการต่าง ๆ จากเอกสารและงานศึกษาที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 2.1 ความรู้เกี่ยวกับผ้าทอกะเหรี่ยง 2.2 ความรู้เกี่ยงกับการเย็บผ้า 2.3 ความรู้เกี่ยวกับลวดลายของผ้ากะเหรี่ยง 2.4 ความรู้เกี่ยวกับการปักผ้ากะเหรี่ยง 2.5 ความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือในการรับประทานอาหาร 2.6 ความรู้เกี่ยวกับการปนเปื้อนในภาชนะสัมผัสอาหารหลังการจุ่มน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรค 2.7 งานศึกษา/งานวิจัยที่เกี่วข้อง 2.1 ความรู้เกี่ยวกับผ้าทอกะเหรี่ยง 2.1.1 ความเป็นมาของผ้าทอกะเหรี่ยง ผ้าทอกะเหรี่ยงจัดเป็นงานช่างฝีมือประเภทผ้าและผลิตภัณฑ์จากผ้า ที่นิยมทำกัน มานานและในชุมชนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงแทบทุกบ้านถือเป็นศิลปะพื้นบ้านชนิดหนึ่ง โดยจะทอด้วย เครื่องทอผ้าแบบกี่เอวจะมีลักษณะพิเศษสามารถเคลื่อนย้ายไปทอในที่ต่าง ๆ ได้อย่างง่าย จากคำ บอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ว่าการทอผ้า มีมาตั้งแต่สมัยปูย่าตายายและได้สืบทอดต่อมา กี่ทอผ้าในยุค ก่อนทำจากไม้สัก เพราะเป็นไม้เนื้ออ่อนผ่าตัดแต่งเป็นรูปทรงง่าย ส่วนลวดลายที่ทอนั้นก็มีเพียงไม่กี่ ลาย เช่น ลายเมล็ดฟักทอง ลายดอกพริก ลายแมงมุม และลายหัวเต่า ซึ่งลวดลายได้รับแรงบันดาล ใจจากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้นนอกจากนี้ยังนิยมใช้ลูกเดือยปักตกแต่งบนผืนผ้าอย่างสวยงาม สำหรับวัตถุดิบหลักที่นำมาใช้การทอผ้า คือ ฝ้าย เพราะดูดความชื้นได้ง่ายผู้สวมใส่จะรู้สึกเย็นสบาย เหมาะกับอากาศเมืองร้อน อีกทั้งยังปลูกได้ทั่วไป นับเป็นเอกลักษณ์ด้วยผ้าทอพื้นเมืองชาวเขาเผ่า กะเหรี่ยงอย่างแท้จริง 2.1.2 ด้าย ด้าย คือ สิ่งที่ทำด้วยใย เป็นต้นว่าใยฝ้าย ปั่นเป็นเส้นสำหรับเย็บ ถัก หรือทอผ้า การเริ่มทำ เกี่ยวกับการเย็บผ้าหรือจะทำชิ้นงานสักชิ้น ปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ เส้นด้าย ด้ายเย็บผ้า คุณภาพ ปัจจุบันมีหลายแบรนด์และหลายแบบ มีความนิ่ม ความฟูที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับการ ใช้งานของแต่ละคน ที่สำคัญควรเลือกใช้ให้พอดีกับการใช้งานจะดีที่สุด มีการแบ่งประเภทการใช้งาน ที่หลากหลาย ซึ่งอาจสร้างความปวดหัว และความสับสนในการเลือกกการใช้งานด้ายเย็บผ้าชนิดต่าง ๆ หากเลือกใช้อย่างเหมาะสมกับชิ้นงาน จะทำให้งานสวยงาม จำเป็นที่จะต้องทราบ คุณสมบัติ ประเภทเส้นด้ายแต่ละประเภท เพื่อนำมาใช้งานได้อย่างถูกต้องและสร้างความทนทานให้กับชิ้นงาน
4 1) ประเภทของด้าย ด้ายเย็บผ้าฝ้าย ด้ายเย็บผ้าฝ้าย มีความทนทานต่อความร้อนได้ดี จึงเหมาะแก่งานตัดเย็บและยัง สามารถรองรับกับเครื่องรีดที่ให้ความเร็วสูง มีความยืดหยุ่นทนต่อการขัดถูเป็นอย่างดีเยี่ยม ด้ายเย็บ ผ้าคุณภาพ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเสื้อผ้าเวลาทำความสะอาด โดยเส้นด้ายที่ทำจากผ้าฝ้ายเป็นเส้น ใยยาวที่ทำจากหวีการเผาไหม้การหมักและการบิดสูงและสามารถทนต่อชื้นและแบคทีเรียได้ดีด้วย ด้ายเย็บผ้าโพลีเอสเตอร์ ด้ายเย็บผ้าโพลีเอสเตอร์มีคุณสมบัติในการซึมผ่านได้ดีและผ้าโพลีเอสเตอร์ นอกจากนี้ยังมี ความทนทานต่อกรดและด่างความสามารถในการป้องกัน UV จุดเด่นโพลีเอสเตอร์คือจะมีควันดำที่ แข็งแกร่งมากควันสีขาว โพลีเอสเตอร์ง่ายต่อการจุดไฟใกล้เปลวไฟ ความรู้สึกของโพลีเอสเตอร์ ค่อนข้างหยาบ ด้ายเย็บผ้าฝ้าย&โพลีเอสเตอร์ ด้ายเย็บผ้าฝ้ายกับโพลีเอสเตอร์ มีการผสมกับความแข็งแรงสูง ทนต่อการขัดถูได้ดี โดยทำมา จากเส้นใยโพลีเอสเตอร์ 65% และเส้นใยฝ้าย 35% จึงเหมาะแก่การเย็บผ้าหรือจะทำชิ้นงานสักชิ้น และยังมีการหดตัวต่ำยืดหยุ่นได้ดีและทนความร้อนได้ดี ด้ายเย็บผ้าไนลอน เส้นด้ายไนล่อนเป็นเส้นด้ายใยสังเคราะห์เหมือนเส้นใยธรรมชาติมีคุณสมบัติที่แข็งแรง และ ราคาถูกกว่าเส้นใยธรรมชาติ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ทดแทนเส้นด้ายประเภทอื่น ๆ คุณสมบัติกระด้าง อาจไม่เหมาะสมกับงานตัดเย็บเสื้อผ้า แต่อาจเหมาะสมกับงานประเภททำสาย เทปหรือสายรัด 2) เบอร์เส้นด้าย โดยปกตอแล้ว เราจะเห็นเส้นด้ายมีเป็นจำนวนมาก และมีหลากหลายขนาด ก่อนที่จะแยก เส้นด้ายออกมาเป็นเบอร์นั้น จะต้องผ่านการนำเส้นใยที่มีความละเอียดมาปั่นรวมกันทำให้เป็นเกลียว ผลลัพธ์จะมีขนาดที่ใหญ่ เบอร์ยิ่งสูง เส้นด้ายยิ่งเล็ก เส้นด้ายเส้นเล็กก็ต้องใช้ใยฝ้ายเส้นเล็กและความ ยาวมากขึ้น ทำให้เส้นใยฝ้ายมีความละเอียดมาก ราคาเส้นใยฝ้ายก็จะยิ่งสูงตาม ขนาดของ เบอร์เส้นด้ายจะมีดังนี้ เบอร์ที่ใหญ่สุดเบอร์ 1 ลักษณะ จะมีขนาดใหญ่ ไม่สามารถนำมาใช้งานได้ ต้องนำไปเข้า กระบวนการ ปั่นรวมกันทำให้เป็นเกลียว เบอร์5,7,10 ลักษณะเส้นด้ายจะมีความหยาบ แข็งแรงทนต่อแรงดึง สามารถนำไป ประยุกต์ใช้ผ้าทำกระเป๋า ผ้าหุ้มเบาะโซฟา เบอร์ 16,20 ลักษณะ เส้นด้ายมีขนาดหยาบถึงปานกลาง ไม่แข็งกระด้างมากนัก สามารถ นำไปประยุกต์ใช้ผ้าที่ใช้ทั่วไป เบอร์ 32,40 ลักษณะ เส้นด้ายมีขนาดเล็ก มีความอ่อนนุ่ม อบอุ่น ไม่หยาบกระด้าง สามารถ นำไปประยุกใช้ ผ้าตัดเสื้อ ผ้าปูที่นอน
5 เบอร์ 60,80 ลักษณะ เส้นใยมีความละเอียด มีขนาดเล็กจนเล็กสุด และต้องใช้เส้นใย เกรดพิเศษ ที่มีความยาวมากกว่าของเส้นใยทั่ว ๆไป สามารถนำไปประยุกใช้ ผ้าปูที่นอน ซึ่งมีความ อ่อนนุ่ม พลิ้วไหว 3) คุณสมบัติของเส้นด้ายแต่ละชนิด ด้ายถัก ด้ายถักมีคุณสมบัติเส้นไหมเนื้อเงาสวมใส่เย็นสบาย ไม่ร้อน สวมใส่ไม่ระคาย เคืองไม่แข็งเหมือนเชือก รีดแล้วไม่ยืดเหมือนเส้นใยจากอะคริลิคผ่านกระบวนการทำสีด้วยระบบ อุตสาหกรรม จึงทำให้สีไม่ตก และที่สำคัญ คือ เส้นไหมมีขนาดกำลังดี ไม่เล็ก ไม่ใหญ่จนเกินไป ตอบ โจทย์คนรักงานถักโดยเฉพาะ รูปที่ 1 ด้ายถัก ที่มา : https://www.singtor.in.th/yarn-type/ ไหมถัก ไหมปัก มีคุณสมบัติ ที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในกลุ่มคนรักงานเย็บปักถักร้อย เป็นไหมที่สามารถแยกออกเป็น 6 เส้นเล็ก ๆ ได้ จับกลุ่มสีสวย หลายสไตล์ ราคาย่อมเยา ในการปักจะใช้ จำนวนเส้นไหมไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับผ้าและผู้ออกแบบ ผลิตจากฝ้ายอียิปต์ 100% จึงมีความนุ่มและมันเงา
6 รูปที่ 2 ด้ายปัก ที่มา : https://www.singtor.in.th/yarn-type/ ด้ายลินิน ด้ายลินิน เป็นเส้นด้ายจากธรรมชาติ ที่มีความเเข็งแรงมาก เส้นมีขนาดยาว เหมาะสำหรับงานเย็บหนังหรืองานเย็บหนังสือ โดยผลิตมาจากต้น flax ลักษณะของด้าย มีเส้นใยที่ยาว หนามากกว่าฝ้าย ใช้สำหรับเย็บสมุด ถักสร้อย ถักกระเป๋า และงานประดิษฐ์อื่น ๆ ขนาดเส้นสม่ำเสมอ เหนี่ยวแน่น ทนทาน รูปที่ 3 ด้ายลินิน ที่มา : https://www.singtor.in.th/yarn-type/
7 ด้ายสปัน ด้ายสปัน มีความเหนียว แข็งแรงทนทาน เหมาะแก่การเย็บกระสอบ ใช้เย็บเบาะ รถยนต์กระเป๋า รองเท้า ด้ายสปันมีหลายสีและหลายขนาด รูปที่ 4 ด้ายสปัน ที่มา : https://www.singtor.in.th/yarn-type/ 2.1.3 การย้อมสีธรรมชาติ โลกปัจจุบันมีการใช้สารเคมีหลายอย่างทำให้เกิดสารพิษเข้าสู่ร่างกาย คนส่วนมาก ย้อนกลับเข้ามาสู่โลกอย่างเดิมที่มีการใช้สารเคมีให้น้อยลงเพื่อความปลอดภัยระยะยาวของมนุษย์ทาง หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องล้วนแล้วแต่เข้ามาดูแลรณรงค์และสนับสนุนให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ กับร่างกายมนุษย์ไม่จะเป็นการลดเลิกใช้สารตะกั่วในน้ำมันเบนซินการลดการใช้สาร CFC ในเครื่องทำความ เย็นและกระป๋องสเปรย์การลดใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช แต่หันมาใช้เชื้อจุลินทรีย์ในการกำจัดแทนเป็น ต้น ในวงการสิ่งทอมีการใช้งานสีเคมีในการย้อมผ้าอย่างกว้างขวาง แต่ในความเป็นจริงแล้วเรายังมีสีอีกชนิด หนึ่งที่เป็นภูมิปัญญาของเรามาตั้งแต่โบราญนั้นก็คือสีจากธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นสีแดงที่ได้จากกระเจี๊ยบ สี ส้ม ที่ได้จากแก่นขนุน สีดำ ที่ได้จากลูกมะเกลือ สีน้ำตาล ได้จากหมาก สีเขียว ได้จากใบหูกวาง สีเหลือง ได้ จากใบขมิ้น สีชมพู ได้จากไม้ฝาง สีชมพูอมส้ม ได้จากสนิมตะปู สีน้ำเงิน ได้จากดอกอัญชัน การศึกษาถึงความเป็นไปได้ที่จะใช้สีธรรมชาติในการย้อมผ้าจึงเป็นที่มาของเรื่องย้อมผ้า จากสี ธรรมชาติในสมัยโบราณได้ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านในการนำวัตถุดิบจากธรรมชาติมาใช้ในการย้อมสีทำให้ได้ สีสันที่หลากหลายยิ่งขึ้นโดยที่ไม่เป็นอันตรายต่อคนสัตว์ และสิ่งแวดล้อม สีย้อมธรรมชาติส่วนใหญ่ได้จากพืช เปลือกไม้ ใบไม้และรากไม้มีขั้นตอนเพื่อที่จะทำให้เกิดเป็นสีต่าง ๆ
8 ได้สวยงามแปลกตาต่างจากสีวิทยาศาสตร์ขั้นตอนสำหรับการย้อมผ้าจากสีธรรมชาตินั้น บางชนิดจะต้องใช้มีขั้นตอนหรือเวลาที่นานและยุ่งยากพอสมควรซึ่งจะทำให้ได้สีสันสวยงาม ตามธรรมชาติสีจากเปลือกไม้รากไม้ดอกผลหรือจากสัตว์บางชนิดที่นำมาย้อมผ้าจะให้สีที่สวย แบบธรรมชาติสีไม่บูดฉาดโทนสีธรรมชาติเหล่านจะทำให้ผ้านุ่มนวลเย็นตา อดีตสีที่นำมาย้อมฝ้ายนั้นจะได้จากวัสดุธรรมชาติซึ่งสามารถหาวัตถุดิบได้ตามท้องถิ่นไม่ว่าจะ เป็นเปลือกไม้รากไม้ดอกผลหรือจากสัตว์บางชนิด แต่เนื่องจากกรรมวิธีในการสกัดสีจากธรรมชาติ ค่อนข้างยุ่งยากและวัตถุดิบเริ่มหายากอีกทั้งสีสันที่ได้ไม่มีความหลากหลายคุณภาพในการย้อมไม่ดีนัก จึงมีการนำสีที่ได้จากระบวนการทางวิทยาศาสตร์หรือสีเคมีมาใช้ในการย้อมซึ่งช่วยให้สะดวกรวดเร็ว รวมทั้ง ยังให้สีสันต่าง ๆ มากมายสามารถไล่ระดับสีได้จึงทำให้ผู้ที่ใช้กรรมวิธีการย้อมสีธรรมชาติลดน้อยลงมาก ปัจจุบันสีที่นำมาย้อมเส้นใยฝ้ายสามารถแบ่งได้เป็นสีธรรมชาติและสีวิทยาศาสตร์สีที่ได้จากธรรมชาติ ทั้งหมดได้มาจากพืชและสัตว์บางชนิดสีที่ได้จากพืชจะนำมาจากส่วนต่าง ๆ ได้แก่ เปลือก รากแก่น ใบ ดอก และผลที่มาใช้และกระบวนการในการย้อมสีธรรมชาตินั้นแต่ละท้องถิ่นก็จะมีความแตกต่างกันสีสันที่ได้จึง แตกต่างกันไป 1) การย้อมผ้า การย้อมผ้าเรื่องของการย้อมสีต้องขึ้นกับชนิดของผ้าด้วยเช่นผ้าฝ้ายผ้าลินิน ผ้า เลยอง ผ้ามัสลินหรือวิสโคส สามารถย้อมสีได้ทุกชนิดผ้าไหมควรใช้สี vat และสี Reactive เนื่องจาก ส่วนผสมของสีทั้งสามไม่มีส่วนผสมของด่างอย่างแก่เพราะด่างเป็นอันตรายต่อเส้นไหมทำให้เส้นไหมเสื่อม คุณภาพ ใยไหมลดความเหนียวและความเป็นเงามันลงไปถ้าจำเป็นต้องใช้สีที่มีส่วนผสมของด่างมาย้อมสี เช่น โซดาไฟให้ลดปริมาณของด่างให้น้อยกว่าปกติที่ใช้กับการย้อมผ้าฝ้ายและเมื่อย้อมผ้าเสร็จแล้วให้รีบล้าง ผ้าในน้ำสะอาดสีที่จะนำมาย้อมแต่ละชนิดมีสารเคมีที่มีการย้อมที่แตกต่างกันสีบางชนิดใช้สารเคมีเป็นกรดสี บางชนิดใช้สารเคมีเป็นด่างสารเคมีเหล่านี้ต่างก็ทำปฏิกิริยากับโลหะ ดังนั้น อุปกรณ์และภาชนะที่นำมาใช้ เตรียมสีย้อมไม่ควรใช้อุปกรณ์ที่มีส่วนผสมของโลหะประเภททองแดงสังกะสีและอลูมิเนียมเพราะสารเคมีจะ ไปกัดโลหะเหล่านี้ห้ผุกร่อนเกิดเป็นสนิมติดผ้าหรือทำให้สีย้อมเปลี่ยนไปบางสีเมื่อย้อมไปแล้วทำให้ผ้าดูเก่า ไม่สวย 2) การย้อมสีไหม ชาวบ้านจะทำการย้อมสีไหมที่จะนำมาทอผ้าปัจจุบันนิยมที่จะย้อมด้วยสี สังเคราะห์ (สีเคมี) ซึ่งง่ายและสะดวกในการทำส่วนการย้อมด้วยสีธรรมชาตินั้นปัจจุบันมีจำนวนลดลง เนื่องจากขั้นตอนการทำมีความยุ่งยากและวัตถุดิบหายากสามารถแยกจำแนกการย้อมสีได้ดังนี้ การย้อมสีสังเคราะห์ 1. เตรียมด้ายและสีที่จะทำการย้อมสี 2. ก่อไฟต้มน้ำให้เดือดแล้วใส่สีลงไปตามต้องการ 3. เอาเส้นด้ายที่ต้องการย้อมมาลงในถังต้มน้ำที่เดือด 4. เอาเส้นด้ายที่ย้อมสีแล้วยิ่งลมให้แห้ง การย้อมสีธรรมชาติ
9 ในสมัยโบราณได้ใชภูมิปัญญาชาวบ้านในการนำวัตถุดิบจากธรรมชาติมาใช้ในการย้อมสีทำให้ ได้สีสันที่หลากหลายยิ่งขึ้นโดยที่ไม่เป็นอันตรายต่อคนสัตว์สิ่งแวดล้อม แต่ยังคงดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม อันดีงามที่เป็นภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนหลักที่ใช้จะอยู่ในโทนสีเหลืองสีน้ำตาลอ่อนถึงสีน้ำตาลเข้มสี ครามสีเขียวและสีชมพูการพัฒนาสีธรรมชาติมีความเป็นไปได้ไม่ จำกัด เพราะองค์ความรู้อยู่ที่ชาวบ้าน จะทดลองใบไม้ต่างฤดูให้ผลแตกต่างเป็นเรื่องสนุกหลักการเดียว แต่สามารถนำวัสดุหลายอย่างมา ใช้ให้เกิดสีหลากหลายเป็นความรู้ที่ไม่ตายตัวสามารถต่อยอดได้เป็นทิศทางการพึ่งตนเองมีภูมิรู้อยู่กับตนเอง สามารถพัฒนาไปได้ด้วยตนเอง - ขั้นตอนการย้อมสีธรรมชาติ 1. เตรียมด้ายและเปลือกไม้ที่จะทำการยอ้ ม 2. เอาเปลือกไม้แต่ละชนิดมาผสมกันให้ได้ตามที่ต้องการ 3. ก่อไฟ ต้มน้ำให้เดือด เอาเปลือกไม้ที่เลือกไว้แล้วเอามาลงในน้ำที่กำลัง เดือดต้มไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้สีตามที่ต้องการ 4. เอาเส้นด้ายที่เตรียมไว้แล้วลงจุ่มในน้ำเดือด ๆ แล้วเอาขึ้นมาพึ่งลมให้แห้ง 3) ขั้นตอนการย้อมสีผ้า การย้อมนั้นแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ การย้อมเย็นและการย้อมร้อน การย้อมเย็น นั้นจะนิยมย้อมในหม้อดินโดยการเตรียมน้ำสีใส่ไว้ในหม้อจากนั้นนำเส้นฝ้ายไปจุ่มลงในหม้อใช้ มือคนบีบจนกระทั่งได้สีตามต้องการหรือจะทำการหมักไว้เพื่อให้สีที่ได้เข้มข้น การย้อมร้อน เป็นการนำเส้นฝ้ายไปต้มในหม้อที่ใส่น้ำสีใช้ไม้คนเพื่อให้ฝ้ายโดนน้ำสีอย่าง ทั่วถึงเมื่อได้สีตามต้องการจึงนำไปซักและตากแห้งซึ่งการย้อมร้อนมีขั้นตอนดังนี้ 1. นำเส้นฝ้ายที่จะไปทำการย้อมมาซักด้วยน้ำสะอาดเพื่อขจัดฝุ่นผงและไขต่าง จากนั้นบีบน้ำออกให้หมาดเพื่อให้สีที่ย้อมติดเส้นฝ้ายอย่างสม่ำเสมอ 2. นำเส้นฝ้ายที่บีบหมาด ๆ แล้วลงไปต้มในหม้อน้ำสีคนฝ้ายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สีเข้าไปในเส้นฝ้ายอย่างทั่วถึงประมาณ 30 นาที (ขึ้นอยู่กับชนิดของวัตถุดิบ ที่นำมาย้อม) 3. เมื่อได้สีตามต้องการนำเส้นฝ้ายขึ้นจากหม้อต้มบิดให้หมาดนำไปซักด้วยน้ำ สะอาดแล้วตากให้แห้งถ้าต้องการให้สีเข้มขึ้นสามารถนำมาต้มอีกครั้งหนึ่งจนกว่าจะ ได้สีตามต้องการ การย้อมสีต้องขึ้นกับชนิดของผ้าด้วย เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน ผ้าเลยอง ผ้ามัสลินหรือวิสโคส สามารถ ย้อมสีได้ทุกชนิดผ้าไหมควรใช้สี vat และสี Reactive เนื่องจากส่วนผสมของสีทั้งสามไม่มีส่วนผสม ของต่างอย่างแก่เพราะคา่ งเป็นอันตรายต่อเส้นไหมทำให้เส้นไหมเสื่อมคุณภาพใยไหมลดความเหนียว และความเป็นเงามันลงไปถ้าจำเป็นต้องใช้สีที่มีส่วนผสมของค่างมาย้อมสี เช่นโซดาไฟให้ลดปริมาณ ของต่างให้น้อยกว่าปกติและเมื่อย้อมผ้าเสร็จแล้วให้รีบล้างผ้าในน้ำสะอาด กะเหรี่ยงจะมีความชำนาญในการย้อมสีเส้นด้ายด้วยวัสดุจากธรรมชาติโดยจะกะด้าย ให้เพียงพอในการขึ้นเครื่องทอแต่ละครั้งให้ได้สีที่เหมือนกันการย้อมสีธรรมชาติมีวิธีแตกต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับวัสดุที่นำมาใช้ แต่ทั้งนี้ถ้าอยากให้สีติดที่ต้องนำด้ายมาผ่านกระบวนการละลายไขมัน โดยต้มน้ำเดือดประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วซักด้วยน้ำเย็นจนฝ้ายเป็นสีขาวปัจจุบันชาวบ้านใช้วิธีซักด้วย
10 ผงซักฟอกแล้วล้างออกจากนั้นนำไปย้อมสีขณะด้ายกำลังเปียก 2.1.4 อุปกรณ์ในการทอผ้า 1. แผ่นคาดหลัง (อย่ากุงไผย่) แต่เดิมนั้นทำมาจากหนังสัตว์ 2. ไม้พันผา้ (เค่อไถย่ ) คือ ไม้รั้งสำหรับรั้งและพันผ้าที่ทอแล้ว 3. ไม้กระทบ (เน่ยบะ) คือ ไม้กระทบผ้า ทำจากไม้มะเกลือ ยาวประมาณ 70 เซนติเมตร 4. ไม้แยกด้าย (กงคู๊) ไม้แยกด้าย ทำจากไม้ไผ่ยาวประมาณ 60 เซนติเมตร 5. ไม้ไบ่หรือว้าบัง เพื่อแบ่งเส้นด้ายยืน 6. ทะคู่เถิง คือ ไม้ไผ่เจาะรูทั้ง 2 ข้างสำหรับยึดเครื่องทอ 7. เส่ยถึง คือ ไม้ใส่ด้าย ทำจากไม้กลมหนาประมาณ 1 นิ้ว 8. ลุงทุ้ย คือ ไม้ม้วนด้ายพุ่งใช้สำหรบั สอดด้ายพุ่ง 9. คองญ่ายฆ่อง คือ ไม้สำหรับยันเท้าสำหรับควบคุม ให้ด้ายยืนตึง หรือย่อนในระหว่างทอ รูปที่ 5 อุปกรณ์ทอผ้า ที่มา : https://mytravelstyleblog.wordpress.com/2016/10/19/ 2.1.5 ขั้นตอนในการทอผ้า 1) การเตรียมเครื่องทอผ้า ก่อนที่จะทอผา้ จะต้องมีการเตรียมเครื่องทอผ้าตั้งแต่การ
11 ปั่นด้าย การกรอด้าย การตั้ง เครื่องทอผ้า การขึ้นด้าย มีขั้นตอนการทำดังนี้ 1. การปั่นด้าย อุปกรณ์ในการปั่นด้ายผ้าทอกะเหรี่ยงราชบุรี ประกอบด้วย หลอดกรอด้ายและเครื่องมือกรอด้าย หลอดกรอด้าย เดิมชาวกะเหรี่ยงใช้วิธีม้วนด้ายด้วยมือ ให้เป็นก้อน ปัจจุบันใช้ท่อพลาสติกแทน มีความยาวขนาด 10 เซนติเมตร 2. การกรอด้ายขวาง ด้ายขวางเป็นด้ายที่สอดเข้าไประหว่างด้ายยืน ทำให้ เกิดลวดลายต่าง ๆ เรียกว่า ลุงทุ้ย ใช้ด้ายพันกับไม้ ขนาดยาวประมาณ 1 ฟุตเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 1 เซนติเมตร 3. ตั้งไม้เครื่องทอกี่เอว หลังจากปั่นด้ายเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นำด้ายมาขึ้นด้าย 4. การขึ้นด้าย หรือการขึ้นเครื่องทอกี่เอว เป็นการนำเอาเส้นด้ายมาเรียงต่อกันอย่างมี ระเบียบตามแนวนอน โดยพันรอบกับส่วนประกอบของเครื่องทอ และก่อนที่จะมีการขึ้นด้ายจะต้องมีการ เตรียมเส้นด้ายด้วยการปั่นด้าย การตั้งเครื่องงทอ การเรียงเส้นด้าย การเปลี่ยนไม้เป็นเครื่องทอ 2) การทอผ้า มีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. เริ่มต้นคล้องด้ายลงที่หลักที่ 1 สาวเส้นด้ายผ่านหลักที่ 2,3,4,5,6,7 นำไปคล้องที่หลักที่ 8 และสาวมาคล้องที่หลักที่ 1 2. ดึงด้ายทั้งหมดให้ตึงเสมอกัน นำมาพันรอบหลักที่ 2 3. ดึงด้ายให้ตึงเสมอกันพาดผ่านด้านหน้าของไม้หลักที่ 3 ถึงไม้หลักที่ 4 เป็นจุดแยกด้าย โดยใช้ด้ายขาวอีกกลุ่มเป็นเส้นด้ายตะกอสอดเข้าไประหว่างเส้นด้ายเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กันส่วนที่ไม่ได้ คล้องตะกอแยกเส้นด้ายผ่านหลังหลักที่ 4 และส่วนที่คล้องตะกอ ดึงเส้นด้ายผ่านด้านหน้าหลักที่ 4 4. รวบด้ายทั้งสองส่วนเข้าด้วยกันให้ตึง พาดผ่านหลักที่ 5,6 พันอ้อมหลักที่ 7 5. ดึงด้ายทั้งหมดให้ตึงพร้อมอ้อมหลักที่ 8 และสาวให้ตึง ดึงกลับมาเริ่มต้นที่หลักที่ 1 ใหม่ 6. สอดไม้ทั้งหมดออกจากเครื่องทอ และนำไม้ไบ่ 1 อัน สอดเข้าไปแทนไม้ใส่ตะกอที่ 1 นำไม้ไบ่ 2 อันเข้าสอดเปลี่ยนไม้ใส่ตะกอที่ 2 และไม้ใส่ตะกอที่ 3 ซึ่งใช้ช่วยแยกด้ายเวลาทอแกะดอก ส่วน ไม้ไบ่ที่ 2 ใส่กระบอกไม้ไผ่แทน 1 อัน 3) การสร้างลวดลายบนผ้าทอกะเหรี่ยง มีเทคนิคการทอที่หลากหลายสามารถสร้างลวดลายให้มี ความสวยงาม แสดงอัตลักษณ์ของผ้าทอกะเหรี่ยงได้อย่างเด่นชัด ซึ่งสามารถแบ่งเทคนิคการทอและสร้าง ลวดลายออกได้เป็น 3 ประเภท คือ 1. การทอธรรมดาหรือทอพื้น เป็นการทอลายขัดมีโครงสร้างหลัก โดยการ สอดด้ายขวางเข้าไประหว่างด้ายยืนสลับขึ้น 1 ลง 1 หรือขึ้น 2 ลง 2 ตามจำนวนเส้นด้ายที่เรียงไว้ ขณะขึ้นเครื่องทอ ผ้าที่ได้จะมีสีเดียวตลอดทั้งผืน ผ้าเรียบสม่ำเสมอ เป็นวิธีการทอขั้นพื้นฐานใช้สำหรับทอ เย็บชุดเด็กหญิง เสื้อผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ย่ามกะเหรี่ยง การทอธรรมดาแบบด้ายยืนและด้ายพุ่งจะมีจำนวน เท่ากันทั้งผืน
12 2. การทอลายสลับสี เป็นการทอแบบธรรมดา คือ ใช้เส้นด้ายยืนและเส้นด้ายพุ่งตามปกติ แต่แทรกด้ายสีต่าง ๆ สลับกันเข้าไป ขณะเรียงเส้นด้ายยืน ส่วนการทอลายมัดหมี่จะใช้ด้ายที่ย้อมติดสี บางส่วนเป็นด้ายยืนก่อนขึ้นเครื่องทอ ใช้วิธีการทอเหมือนการทอผ้าพื้นลายมัดหมี่เป็นลายที่ทอเป็นตัวซิ่น 3. การทอลายจกหรือลายแกะดอก เป็นวิธีการทอลวดลายที่มีเทคนิคการทอ ยากที่สุด ซึ่ง มีเส้นพุ่งพิเศษที่สร้างลาดลายควบคู่กันไปขณะที่ทอ ด้วยการใช้นิ้วล้วงเข้าไปในด้ายยืนแล้วเอาด้ายสีต่าง ๆ แทรกเข้าไปขณะที่ทอสลับกับการสอดด้ายพุ่ง เมื่อทอเป็นผืนแล้ว ด้ายที่แทรกเข้าไปนั้น จะปรากฏเป็น ลวดลายนูนบนผืนผ้าทั้งผืนที่ไม่เหมือนกัน การทอลายนี้จะเห็นได้จากตีนซิ่น แต่ละลวดลายมีวิธีการแกะ ดอกแตกต่างกันออกไป 2.2 ความรู้เกี่ยวกับการเย็บผ้า การตัดเย็บเสื้อผ้า เป็นอุตสาหกรรมสิ่งทอ การตัดเย็บเสื้อผ้ามีทั้งการตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยมือจักรเย็บ ผ้าและการใช้จักรอุตสาหกรรมเข็มเดี่ยวฝีเข้มตรง สิ่งที่สำคัญอย่างมากในการประกอบอาชีพนี้คืออุปกรณ์ เครื่องใช้ที่ช่างตัดเย็บเสื้อผ้าทุกคนจะต้องเรียนรู้เรื่องอื่น ๆ การทำงานตัดเย้บเสื้อผ้านั้นต้องการความ เที่ยงตรงเป็นหลัก เครื่องมือเครื่องใช้ที่ถูกต้อง เที่ยงตรงจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงาน เกิดนิสัยที่ละเอียดถี่ถ้วน ซึ่ง วิธีการเย็บผ้าด้วยมือมีหลายวิธี ดังนี้ การสอยซ่อนด้าย 1. เริ่มจากการพับรอยตะเข็บที่เราต้องการเย็บกันก่อน อาจจะใช้เข็มหมุดกลัดไว้ 2. ผูกปมที่ปลายด้าย เริ่มเย็บจากด้านใน ด้วยการแทงเข็มขึ้นที่ใต้สันพับของตะเข็บผ้า 3. แทงเข็มลงบนสันพับตะเข็บผ้าอีกชิ้นที่ตำแหน่งเสมอกัน แล้วแทงเข็มขึ้นตรงสันพับใน ระยะประมาณ 2 มม. 4. แทงเข็มลงบนสันพับผ้าอีกชิ้นที่ตำแหน่งเสมอกัน 5. เย็บตามข้อ 2-4 ไปเรื่อย ๆ แล้วดึงเส้นด้ายให้กระชับตึงพอดี รูปที่ 6 การสอยซ่อนด้าย ที่มา : https://sites.google.com/site/karyebpha156/rup-baeb-kar-yeb-pha
13 การเนา 1. ขั้นตอนแรกใช้เข็มร้อยด้ายยาวพอสมควรผูกปมที่ปลายด้ายข้างใดข้างหนึ่งให้เป็นปม 2. ทำเครื่องหมายบนผ้าตามแบบที่ต้องการเย็บ จะใช้ชอล์กขีดผ้าหรือดินสอก็ได้ 3. เย็บโดยการแทงเข็มขึ้นและลงบนผ้าให้ระยะการแทงเข็มห่างเสมอกันเป็นแนวตรง 4. ดึงด้ายขึ้นแล้วเย็บต่อไปเหมือนเดิมจนเสร็จ 5. ตัดปลายด้ายด้วยกรรไกร รูปที่ 7 การเนา ที่มา : https://sites.google.com/site/karyebpha156/rup-baeb-kar-yeb-pha การสอย 1. เริ่มจากการใช้เข็มที่มีด้ายร้อยไว้ (ควรเป็นด้ายสีเดียวกับผ้า) แทงตรงรอยพับขอบผ้าด้านใน 2. แทงเข็มลงบนผ้าอีกผืนตรงข้ามจุดแรก แทงตรงรอยพับจากด้านนอกเขา้ ไปด้านในอย่าเพิ่งดึง เข็มให้สุด ค้างไว้อย่างงั้นก่อน 3. แทงเข็มขึ้นจากจุดเดิมบนผ้าชิ้นเดิมไป 4-5 มม. แล้วดึงเข็มขึ้นให้สุด 4. แทงเข็มลงบนผ้าอีกชิ้นในจุดที่ตรงกับจุดที่เราแทงเข็มขึ้นมาในขั้นตอนก่อน แล้วก็แทงเข็ม ขึ้นจากจุดนี้ไปอกี 4-5 มม. แล้วค่อยดึงเข็มขึ้นให้สุด 5. ทำซ้ำไปเรื่อย ๆ เลยจนสุดชิ้นงาน รูปที่ 8 การสอย ที่มา : https://sites.google.com/site/karyebpha156/rup-baeb-kar-yeb-pha
14 ด้นถอยหลัง 1. เริ่มจากการมัดปมไหม จากนั้นแทงเข็มจากด้านล่างขึ้นมาด้านบน เพื่อความสวยงามควรกำหนด ไกด์ไลน์ไว้ก่อน 2. จากนั้นส่งเข็มกลับด้านล่างผ้าด้วยการแทงลงไป ห่างจากจุดแรกครึ่งนิ้ว 3. แทงเข็มขึ้นจากด้านล่างห่างจากจุดที่แทงลงไปครึ่งนิ้ว 4. ปักกลับไปยังจุดเดิมที่เราแทงเข็มลงไปก่อนหน้านี้ 5. แทงเข็มขึ้นมาบนผ้าอีกครั้งห่างจากจุดแทงขึ้นครั้งก่อนครึ่งนิ้ว 6. เย็บย้อนกลับ แทงเข็มกลับไปยังจุดเดิมที่เพิ่งแทงเข็มลงไปก่อนหน้า แล้วปักไปด้านหน้าด้วย ขนาดความกว้างยาวเท่า ๆ กัน 7. ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ขนาดของรอยเย็บควรจะห่างเท่า ๆ กัน รูปที่ 9 การด้นถอยหลัง ที่มา : https://sites.google.com/site/karyebpha156/rup-baeb-kar-yeb-pha ตะเข็บเย็บหุ้มแบบที่ 1 1. มัดปมปลายด้ายให้เรียบร้อย จากนั้นแทงเข็มจากตะเข็บผ้าด้านในขึ้นมา จะเห็นว่าปมด้ายถูก ซ่อนไว้ใต้ผ้าแล้ว แล้วแทงเข็มให้ห่างจากขอบผ้าเล็กน้อย 2. แทงเข็มจากด้านล่างขึ้นมาให้ห่างจากจดุ เดิมประมาณครึ่งนิ้ว 3. ปัดเข็มขึ้นลงเช่นเดิม ทำซ้ำจนกว่าจะจบชิ้นงาน รูปที่ 10 ตะเข็บหุ้มแบบที่ 1 ที่มา : https://sites.google.com/site/karyebpha156/rup-baeb-kar-yeb-pha
15 ตะเข็บเย็บหุ้มแบบที่ 2 1. เริ่มจากการวาดแบบก่อนค่ะ จากนั้นกะระยะการปักและจะให้ต้องตีกรอบลวดลายด้วยการเย็บ แบบด้นถอยหลัง 2. จากนั้นปักจากกึ่งกลางของเส้นขอบ แทงจากด้านล่างขึ้นมาด้านบน จากนั้นแทงเข็มบริเวณด้าน นอกของเส้นขอบที่อยู่ตรงข้ามกับจุดแรก แล้วนกลับมาแทงเข็มขึ้นบริเวณใกล้ ๆ จุดแรกอีกครั้ง 3. ทำซ้ำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนเต็มพื้นที่ รูปที่ 11 ตะเข็บหุ้มแบบที่ 2 ที่มา : https//sites.google.com/site/karyebpha156/rup-baeb-kar-yeb-pha ปมฝรั่ง 1. ปักเข็มขึ้นมาจากด้านล่างผ้า จากนั้นใช้เข็มพันรอบไหม 2-3 รอบ 2. ปักลงไปที่จุดเดิม เปลี่ยนตำแหน่งหามต้องการ ทำซ้ำจนเต็มขึ้นงาน รูปที่ 12 ปมฝรั่งเศส ที่มา : https//sites.google.com/site/karyebpha156/rup-baeb-kar-yeb-pha ลายปักริมผ้าห่ม 1. เริ่มจากการประกบผ้า 2 ขึ้นเข้าด้วยกัน 2. มัดปมไหมปีก จากนั้นแทงเข็มขึ้นจากใต้ผู้ชั้นบน ให้ปมซ่อนอยู่ตรงกลางระหว่างผ้าทั้ง 2 ขึ้น แทงเข้ามา 1 ชม. และดึงเข็มขึ้นต้านบน 3. กลับไปแทงเข็มจากผู้ขึ้นล่างสุดขึ้นมา แทงตรงรูเริ่มต้น
16 4. ค่อย ๆ ดึงเริ่มจะเห็นรำมุมปักเริ่มกลายเป็นห่วงกลมเล็ก ๆ ให้สอดเข็มเข้าไปในห่วงนั้นแล้วจึงตึง ให้ตึงในห่วงนั้นแล้วจึงตึงให้ห่วงปิดสนิท 5. แหงเข็มขึ้นมาจากด้านล่างผ้าทั้ง 2 ขึ้นให้เท่ารอยปักแรก โดยให้ห่างจากรอยเติม 5 มม. 6. ค่อย ๆ ตึงเข็ม เพื่อให้ไหมกลายเป็นห่วงกลมเล็ก ๆ และสอดเข็มเข้าไปในห่วง ตึงไหมให้ 7. ขยับไปแพงเข็มจากข้างล่างห่างไป 5 มม. ทำช้ำอีเดิม เย็บได้ตามที่ต้องการ รูปที่ 13 ลายปักริมผ้าห่ม ที่มา : https//sites.googe.com/site/karyebpha156/rup baeb kar-yeb-pha 2.3 ความรู้เกี่ยวกับลวดลายของผ้ากะเหรี่ยง 2.3.1 เอกลักษณ์และศิลปะสวดลายบนผืนผ้า ผ้าทอชนผ่ากะเหรี่ยงกะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชนเผ่ากลุ่มหนึ่งที่เรารู้จักกันอย่างคุ้นซินแบบชื่อที่เรียกกันในภาค กลางของไทยกะเหรี่ยงเป็นชนผ่าที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเมื่อ 200 กว่าปีที่แล้วนับว่าเป็นกลุ่ม ชนเผ่าที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศไทยมีถิ่นที่อยู่อาศัยกระจายอยู่หลายพื้นที่ทั้งพื้นที่ภูเขาสูงและพื้นที่ ราบกะเหวี่ยงที่พบในประเทศไทยอาจแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม กะเหรี่ยงสะกอ (หรือที่เรียกกันว่าปกากะญอ กะเหรี่ยงโปว์กะเหรี่ยงปะโอและกะเหวี่ยงบะเวและที่เรามักจะ พบเห็นสักษณะการแต่งกายแบบชนผ่าและเอกลักษณ์ผืนผ้าทอที่สะท้อนถึงทักษะความเชี่ยวขาญในด้าน ศิลปะการสร้างสวดลายบนผืนผ้าที่งตงามนั้นส่วนมากจะพบเห็นอยู่ใน 2 กลุ่มใหญ่ นั่นคือกลุ่มกะเหรี่ยงโปว์ และกลุ่มกะเหรี่ยงสะกอหรือปกากะญอผู้หญิงชาวกะเหรี่ยงได้รับการกล่าวขานว่าเป็นชนผ่าผู้มีฝีมือในการ หอผ้าที่เก่งที่สุดเผ่าหนึ่งด้วยจะได้รับการถ่ายทอดความรู้ทักษะฝีมือการทอผ้ามาจากผู้เป็นแม่ตั้งแต่ยังเป็น เด็กหญิงในวัยประมาณ 10 ปีผู้หญิงขาวกะเหรี่ยงมักจะทอเสื้อผ้าไว้ใช้สวมใส่ในชีวิตประจำวันทั้งของตนเอง และสมาชิกในครอบครัวหรือทอเก็บไว้ใช้ในงานพิธีสำคัญ ๆ เช่นงานแต่งงานงานประเหณีสำคัญต่าง ๆ ผ้า ทอกะเหรี่ยงมีลักษณะเป็นผ้าทอหน้าแตบที่ใช้เครื่องมือทอแบบห้างหลังหรือที่เรียกกันว่ากี่เอวผ้าที่ทอจะถูก กำหนดตามความต้องการใช้งานตั้งแต่เริ่มตันทอเช่นผ้าทอสำหรับเสื้อผ้าทอสำหรับผ้าชื่นผ้าทอสำหรับผ้า โพกศีรษะหรือผ้าทอสำหรับทำเป็นย่ามเป็นตันศิลปะลวดลายบนผืนผ้าของชนากะเหรี่ยงมืเอกลักษณ์โตต เด่นที่แสดงถึงตัวตนของชนเผ่ากะเหรี่ยงที่สีบทอดมาจากบรรพบุรุษสวดลายต่าง ๆ มักเกิดจากการสังเกต การใช้จินตนาการนำเอาลักษณะเด่นจากสิ่งที่พบเห็นในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัวทั้งพืชพรรณ ดอกไม้ต้นไม้สัตว์น้อยใหญ่ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันตลอดไปจนถึงประเพณีและคตินิยมของชนเผ่า
17 มาประยุกดิ์ถ่ายทอดลงสู่สวดลายบนผื่นผู้ได้อย่างงดงามด้วยเทคนิคการสร้างสรรค์ลวดลายที่หลากหลายทั้ง การจกการหอยกดอกการมัดหมีการปักด้วยด้ายหรือไหมพรมหลากสีการปักประตับตกแต่งด้วยเมล็ดลูก เดือยเป็นตันอกลักษณ์สวดลายที่มีลักษณะเป็นลวดลายตั้งเดิมที่ปรากฏบนผืนผ้าหอกะเหรี่ยงที่สืบทอดต่อ กันมาจากบรรพบุรุษหลายชั่วอายุคนเป็นสวดลายที่พบได้ในกะเหรี่ยงโปวและปกากะญอแทบทุกพื้นที่เช่น ลักษณะลายเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนรูปแบบต่าง ๆ ลายตอกไม้สายเส้นตรงสายกากบาทเป็นต้นชื่อขอสวด ลายผ้าทอกะเหวี่ยงนั้นอาจไม่มีชื่อหรือความหมายที่เป็นภาษาไทยที่จะเข้าใจได้โดยง่ายเนื่องจากเป็นชื่อ เรียกสวดลายโบราณตั้งเติมของซนผ่าที่ถูกเรียกขานและถ่ายทอดต่อ ๆ กันมานับตั้งแต่บรรทบุรุษตัวยภาษา ของชนเผ่ากะเหรี่ยงในแต่ละท้องถิ่นนั่นเองแต่อย่างไรก็ตามตัวอย่างลักษณะสวดลายที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์ เฉพาะของผ้าทอขนผ่ากะเหรี่ยงนี้เองหากเราเห็นผืนผ้าที่มีเอกลักษณ์ในลักษณะเช่นนี้เราก็สามารถรับใด้ ทันทีว่านี่คือผ้าทอแห่งชนเผ่ากะเหรี่ยง การทอผ้าของชนเผ่าชาวกะเหรี่ยงเป็นการทอแบบวิถีดั้งเดิมเรียกว่าทอแบบบกี่เอวหรือการทอแบบ ห้างหลังโดยใช้อุปกรณ์เครื่องหอขนาดเล็กเรียกว่ากี่เอวลักษณะการทอผ้าแบบที่เอวนี้ผู้ทอจะต้องนั่งกับพื้น เหยียดขาขนานตรงไปข้างหน้าทั้งสองข้างมีสายคาด (สายคาดอาจทำด้วยแผ่นหนังหรือผ้าที่ทบกันหลาย ๆ ชั้นหรือเชือกที่ฝันเป็นเกลียวให้แข็งแรง) ที่ผูกติตตัวยต้ายเส้นยืนคาตรัดโอบไปด้านหลังของเอวอีกค้านหนึ่ง จะผูกมัดกับเสาเรือนหรือโคนตันไม้หรือหลักที่มีความเช็งแรงก็ใด้การทอด้วยที่เอวจะใช้การขยับเคลื่อนตัว ของผู้ทอบังคับเส้นต้ายยืนให้ตึงหรือหย่อนได้ตามต้องการทำให้ผู้ทอสามารถเลือกสถานที่ทอได้ตามความ พอใจโยกย้ายได้สะดวกผู้ที่ทอด้วยกี่เอวจะมีขนาศผ้าหน้าแคบ ๆ ด้วยฝีมืออันล้ำเลิศผสานกับเทคนิคและภูมิ ปัญญาที่สั่งสมและถูกถ่ายทอดสั่งสอนมาจากบรรพบุรุษสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคนทั้งเทศนิคการมัดหมี่ จกขิดและยกดอกผ้าของชนผ่ากระเหรี่ยงจึงมีความงดงามโดดเด่นด้วยสีสันตระการรตาและผู้คนทั่วไปยังคง พบเห็นรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องแต่งกายของชนเผ่ากะเหรี่ยงด้วยเสื้อหลากสีสันจนเป็นที่ต้องตา ต้องใจของคนเมืองของนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติให้ต้องซื้อหากลับไปสวมใส่จนถึงปัจจุบันนี้ 2.3.2 ผ้าปักประดับ" ลูกเดือย" เอกสักษณ์ผ้าชนผ่ากะเหรี่ยงการปีกและประดับบนผืนผ้าทอที่หญิงขาวกะเหรี่ยงบรรจงปัก อย่างประณีตด้วยการใช้วัสดุจากธรรมชาติอย่าง" ลูกเดือย" ตกแต่งเป็นสวดลายต่าง ๆ อย่างงคงามนี้มีการ สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษและถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของผ้าทอชนเผ่ากะเหรี่ยงอย่างหนึ่งที่สะท้อน ตัวตนของความเป็นชนผ่ากะเหรี่ยงไต้อย่างชัดเจนและยังคงพบเห็นเครื่องแต่งกายที่มีการปักประดับด้วยลูก เดือยสำหรับหญิงชาวกะเหรี่ยงได้โดยทั่วไปในปัจจุบันลูกเดือยเป็นเมล็ดพืชชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเมล็ดกลมรี หรือมนมีทั้งสีขาวสีเกือบเหลืองเป็นพืชที่ส่วนใหญ่ซนผ่ากะเหรี่ยงจะปลูกไว้ในไร่นาเพื่อใช้เมล็ดที่แก่มาปัก ประดับตกแต่งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายโดยเพาะเสื้อของหญิงชาวกะเหรี่ยง ถือเป็นเครื่องประดับชนิดหนึ่งที่ใช้ ในการตกแต่งเสื้อผ้าเพื่อทราบสวยงาม (เสื้อผู้ชายกะเหรี่ยงจะไม่ปักลูกเดือย)
18 รูปที่ 14 ผ้าปักประดับ" ลูกเดือย" ที่มา : https//www.facebook.com/747846345288638/photos/ 2.3.3 ผ้าไหมยกดอก ผ้ายกดอกแบบกะเหรี่ยงทักษะมีมือซนผ่าขาวตอยหากเอ่ยถึงผ้าไหมยกดอกผู้คนทั่วไปคงจะรู้จัก และคุ้นชินตากับภาพลักษณ์ของผ้าไหมที่มีลวดลายงดงามแวววับด้วยเส้นด้ายพิเศษที่นำมาทอสอดแทรกให้ ลวดลายมีความโดดเด่นเป็นพิเศษทั้งดิ้นเงินดิ้นทองผ้าไหมยกดอกที่ผู้คนรู้จักทั่วไปก็ เช่น ผ้าไหมยกดอก ลำพูนผ้ายกเมืองนครผ้ายกทองบ้านจันทร์โสมาแห่งจังหวัดสุรินทร์เช่นนี้เป็นต้น แต่คงมีน้อยคนนักหรือแทบ จะไม่มีใครที่จะรู้จักเสียเลยก็ว่าได้ที่จะรู้จักผ้าไหมยกดอกแบบกะเหรี่ยงผ้าทอชนเผ่ากะเหรี่ยงที่มีความง คงามประณีตตัวยทักษะฝีมือชนเผ่ากระเหรี่ยงที่อยู่บนตอยสูงซนผ่ากะเหรี่ยงบ้านซีแบรตำบลแม่ตื่นอำเภอ อมก๋อยจังหวัดเชียงใหม่เป็นกลุ่มหนึ่งที่มีทักษะฝีมือในการทอผ้าไหมยกดอกด้วยกี่เอวตามวิถีการทอผ้าของ ชนเผ่ากะเหรี่ยง แต่มีการพัฒนายกระตับฝีมือการทอผ้าที่มีความแตกต่างจากการทอผ้าฝ้ายที่มีความคุ้นชิน แต่เติมเป็นการทอผ้าไหมซึ่งมีกระบวนการที่มากขึ้นและยากขึ้นและด้วยพื้นฐานในทักษะฝีมือการทอผู้ของ ชนชาวกะเหรี่งที่มีมา แต่เด็กที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักทอมืออาชีพก็มีความสมารถในการทอผ้าไหมด้วย เทคนิคการทอยกดอกได้อย่างละเอียดสวยงามโดยที่ยังคงเอกลักษณ์การใช้ที่เอวตามแบบฉบับของชนเผ่า และสามารถทอลวดลายได้หลากหลายอีกด้วยผ้าไหมยกตอกของชนผ่ากะเหรี่ยงนส่วนใหญ่จะนิยมทอเป็น ผ้าคลุ่มไหล่หรือเป็นผ้าที่นำมาเย็บเป็นเสื้อสำหรับสวมใส่ตามแบบฉบับของชนผ่าและถึงแม้ว่าผ้าแต่ละผืน กว่าจะทอเสร็จสำเร็จต้องใช้เวลานานกว่าครึ่งเดือนหรือเป็นดือน แต่ก็เป็นความภาคภูมิใจของกะเหรี่ยงบ้าน
19 ชิแบรที่ใช้ทักษะฝีมือสืบทอดการทอผ้าตามวัฒนธรรมของชนเผ่าที่มีมาตั้งแต่เตี่กอยู่แล้วนั้นสร้างสรรค์ พัฒนาผลงานผ้าไหมยกดอกที่งดงามและตั้งใจที่จะถ่ายทอดการทอผ้ายกดอกที่เอวนี้ให้กับชนเผ่ารุ่นลูกรุ่น หลานให้คงอยู่ต่อไป รูปที่ 15 ผ้าไหมยกดอก 1 ที่มา : https//www.kleepocrafts.com/th/product/638911/product-638911 รูปที่ 16 ผ้าไหมยกดอก 2 ที่มา : https://www.kleepocrafts.com/th/product/638911/product 638911
20 2.3.4 ผ้าซิ่น เครื่องแต่งกายที่สะท้อนถึงความเป็นสตรีชนเผ่ากะเหรี่ยงผ้านเป็นเครื่องแต่งกายที่สะท้อนถึงความ เป็นสตรีชนผ่ากะเหรี่ยงใต้อย่างขัดเจนผู้ชื่นกะเหรี่ยงนิยมทอด้วยฝ้ายเป็นผ้าหน้แคบที่ทอตัวอย่างกี่เอวจึง ต้องใช้ผ้าที่ทอเหมือนกัน 2 ฝืนมาเย็บต่อกันจึงจะได้ผ้าขึ้น 1 ผืนผ้าซิ่นกะเหรี่ยงที่เรามักคุ้นชินตาตัวย เอกลักษณ์ลวดลายสี สันที่โตตเด่นก็คือผ้าชิ้นของกลุ่มกะเหรี่ยงโปว์(หรือโผล่ง) และผ้าชิ้นกลุ่มกะเหรี่ยง สะกอ (หรือปาเกอกะญอ) ที่มีสีสันสดใสผ้าชื่นกะเหรี่ยงมีทั้งเทดนิคการหอลายสลับสีการสร้างสวดลายด้วย เทคนิคการจกชิดและมัดหมี (ผ้าซิ่นมัดหมีของขนผ่ากะเหรี่ยงจะเป็นผ้ามัดหมี่เส้นยืนซึ่งจะแตกต่างจากผ้า มัดหมี่ของภาคอีสานซึ่งเป็นมัดหมี่เส้นพุ่ง) หรืออาจมีการผสมผสานกันระหว่างมัดหมีและจกซิตนผืนเตียว กันลักษณะลวดลายของผืนผ้าซิ่นกะเหรี่ยงยังคงเอกสักษณ์ลวดลายโบราณตั้งเดิมที่สืบทอดต่อเนื่องมาตั้งแต่ บรรพบุรุษที่มาของสวดลายก็ด้วยการสร้างสรรค์ตามจินตนาการและการเลียนแบบลักษณะของธรมชาติ สัตว์หรือสิ่งของเครื่องใช้และสิ่งแวดล้อมรอบตัวบางลวดลายจะใช้เฉพาะในผู้ขึ้นของหญิงสาวหรือบาง ลวดลายจะใช้ในพิธีการที่สำคัญเช่นผ้าชิ้นที่เป็นผ้าสำหรับใช้ในงานหมั้นตามประเพณีชาวกะเหรี่ยงโปงที่สืบ ทอดมาจากบรรพบุรุษโดยนับตั้งแต่โบราณกาสมานั้นในพิธีหมั้นของขายหญิงขาวกะเหรี่ยงฝ้ายชายจะต้อง นำผ้าชื่นทอมือมามอบให้กับผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงโดยในตัวผืนผ้าชั้นนั้นก็จะปรากฎวดลายเฉพาะที่บ่งบอกได้ว่า ผ้าผืนนี้ใช้เพื่อพิธีหมั้นนี้เท่านั้นหากไม่ปรากฏลายนั้นก็จะไม่ถือว่าผ้าผืนนั้นเป็นผ้าสำหรับใช้ในงานหมั้นก็จะ ประกอบพิธีหมั้นไม่ได้ผู้หญิงขาวกะเหรี่ยงทุกคนที่มีลูกชายจึงจะต้องทอผ้าชื่นที่มีลักษณะลายพิเศษนี้เก็บไว้ เพื่อให้ลูกขายนำไปมอบให้ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงในวันหมั้นถือเป็นประเพณีสืบต่อกันมาในทุกครอบครัวของชนเผ่า กะเหรี่ยงโปวเช่นนี้เป็นดันผ้าซิ่นจึงถือเป็นเอกลักษณ์ที่แสดงถึงตัวคนของซนผ่ากะเหรี่ยงที่มีความชัดเจน ที่สุดและยังคนิยมการแต่งกายในชีวิตประจำวันตัวผ้าชิ้นตามวัฒนธรรมของชนเผ่ามาจนถึงปัจจุบันนี้
21 รูปที่ 17 ผ้าซิ่น ที่มา : https//wwaw.facebook.com/7478463452886.38/photos/ อย่างไรก็ตามด้วยภาวะทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมในสังคมเมืองที่มีการ เปลี่ยนแปลงไปสังคมชนผ่ากะเหรี่ยงก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกันในปัจจุบันอาจมีชุมชนเผ่ากะเหรี่ยงใน หลาย ๆ พื้นที่อาจมีการทอผ้าน้อยลงผ้าชิ้นที่ใช้สวมใส่ในชีวิตประจำวันจึงมักนิยมซื้อหาจากท้องตลาดมา สวมใส่กันมากขึ้นเพื่อความสะดวกและง่ายต่อการดำเนินชีวิต แต่ก็ยังคงมีอีกหลายพื้นที่โดยเฉพาะกลุ่ม กะเหรี่ยงบนดอยสูงที่ยังคงทอผ้าตัวยตัวเองเพื่อใช้สวมใส่ในครอบครัวและใช้สำหรับพิธีสำคัญตามวัฒนธรรม ของชนเผ่า แต่ถึงอย่างไรชนเผ่ากะเหรี่ยงก็ยังคงเอกลักษณ์ที่สะท้อนวิถีแห่งชนเผ่าไว้อย่างเหนียวแน่ไม่แพ้ กลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ 2.4 ความรู้เกี่ยวกับการปักผ้ากะเหวี่ยง ศิลปะการปักผ้านอกจากเป็นงานฝีมือที่มีความละเอียดอ่อน ช่วยฝึกความอดทน สมาธิ และความคิดสร้างสรรศชั้นตีแล้ว ยังเป็นตัวสะท้อนถึงวัฒนธรรมของท้องถิ่นต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เหมือนผ้า ปักของชาวกะเหรี่ยงที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตอันเรียบง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ พึ่งพิงป่าและน้ำมาตั้งแต่โบราณกาล ซึ่งในการปักผ้ากะเหรี่ยงนั้นแต่เดิมมีเพียงการปักลูกเดือยเท่านั้น แต่ต่อมามีการประยุกต์ปักเป็นลายตอกไม้ ต่าง ๆ ซึ่งจะง่ายขึ้น สำหรับคนที่ไม่ชอบทอลายเพราะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและต้องใช้ความชำนาญ
22 รูปที่ 18 ผ้าปักลายดอกไม้ 1 ที่มา : http://www.facebook.com/747846345288638/photos/ รูปที่ 19 ผ้าปักลายดอกไม้ 1 ที่มา : http://www.facebook.com/747846345288638/photos/
23 2.5 ความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือในการรับประทานอาหาร อุปกรณ์ เครื่องมือของใช้ในการรับประทานอาหารแบบตะวันตกหรืออาหารฝรั่งจะ ประกอบด้วย มืด ข้อน ล้อม, แก้วต่างๆ และ จานชาม สำหรับบทความนี้ผมจะเขียนเฉพาะส่วนที่เป็น มีด ช้อน ล้อมสไตล์การรับประทานอาหารแบบตะวันตก จะเป็นการรับประทานแบบคนละจานหรือ คนละถ้วยแยกกัน เรียกว่าจานใครจานมันไปเลย ไม่ค่อยตักจากจานกลางโต๊ะมาทานแบบอาหารไทย หรืออาหารจีน (มีบ้างแต่น้อย จะพูดเรื่องรูปแบบการบริการในบทต่อๆ ไป) นอกจากนั้นยัง รับประทานครั้งละอย่าง รับประทานอย่างหนึ่งหมดเรียบร้อยแล้วจึงรับประทานอย่างที่สองต่อไป เรียกว่าทานเป็นคอร์ส (Course) เช่น ทานซุปเสร็จแล้วจึงทานปลา เป็นต้น ทานซุปก็ใช้ช้อนซุป ทาน ปลาก็ใช้อุปกรณ์ทานปลา นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมต้องมีเครื่องมือในการรับประทานอาหารหลายอย่าง เครื่องมือจำพวก มีด ช้อน ส้อม เหล่านี้ รวมๆ จะเรียกว่า Flatware หรือ Cuttery 1. Joint Fork ส้อมหลัก หรืออาจเรียกว่าส้อมโต๊ะ 2. Joint Spoon ข้อนหลัก หรือซ้อนโต๊ะ 3. Joint Knife มีดหลัก หรือมีดโต๊ะ 5. Dessert Fork อมสำหรับรับประทานอาหารหวาน 6. Dessert Spoon ข้อนสำหรับรับประทานอาหารหวาน 7. Dessert Knife มีดสำหรับรับประทานอาหารหวาน 8. Fish Fork ส้อมสำหรับรับประทานพวกปลาหรือซีฟู้ด 9. Fish Knife มีดสำหรับรับประทานอาหารพวกปลาหรือซีฟู้ด มีดสำหรับประทานอาหารพวกปลาหรือซีฟู้ด เราก็เรียกกันง่ายๆ ว่ามืดปลา โตยมืตจะไม่มีฟันแบบใบ เลื่อย และไม่มีคม เพราะเนื้อปลาหรือซีฟู้ดไม่เหนียวเหมือนเนื้อสัตว์อื่นๆ เช่น เนื้อวัวหรือเนื้อหมู 10. Butter Knife มีดสำหรับทาเนยลงบนขนมปัง คนไทยหรือคนเอเชียจะรับประทานข้าวเป็นหลัก แต่ขาวตะวันตกจะรับประทานเนื้อสัตว์เป็นหลักโตย มีขนมปังด้วย การทานชนมปังก็จะทานกับเนย (Butter) ห้องอาหารบางแห่งอาจไช้ Dessert Spoon ในการทาเนย บางแห่งก็ให้ใช้มีตใหญ่ที่ใช้ตัดเนื้อทาเนยไปเลย 11. Soup Spoon ซ้อนสำหรับประทานซุป ซุปของชาวตะวันตกจะเป็นอาหารที่รับประทานได้หมดจานเสย ไม่มีสิ่งที่เป็นสิ่งที่แยกทิ้งเหมือนคน เอเชีย เช่น ต้มย่ำกุ้งยังมีข่า ตะศร้ ไขมะกรูตที่ปนอยู่ในซุป 12. Tea spoon ซ้อนสำหรับคนชาสำหรับดื่ม 13 Coffee spoon ข้อนสำหรับคนกาแฟสำหรับดื่ม 14. Oyster Fork ล้อมสำหรับรับประทานหอยนางรม 15. Snail Fork ส้อมสำหรับรับประทาน Snail (หอยทาก) 16. Snail Tongs คีมสำหรับคีบหอยทากเพื่อการยกขึ้นมาจิ้มด้วยส้อม
24 รูปที่ 20 อุปกรณ์รับประทานอาหาร ที่มา : https://trainingreform.comvindex.php/component/k2/tem/77-new-training 2.6 ความรู้เกี่ยวกับสถิติการปนเปื้อนจุสินทรีย์ในภาชนะสัมผัสอาหารหลังการชุ่มน้ำร้อนเพื่อฆ่า เชื้อโรค การปนเปื้อนจุลินทรีย์ในภาชนะสัมผัสอาหารหลังการจุ่มน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรค จากการสอบถาม ผ่านทางสื่อออนไลน์และข้อร้องเรียนเข้ามาที่กรมอนามัยรวมถึงที่ศูนย์ตำรงธรรมเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและ ความปลอดภัยกรณีร้านอาหารหรือศูนย์อาหารที่ จัดให้มีหม้อหุงข้าวตั้งน้ำร้อนไว้ให้ลูกค้านำซ้อนส้อมหรือ ตะเกียบมาจุ่มลวกในหม้อน้ำเพื่อทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคซึ่งอาจจะไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้และยัง เป็นแหล่งแพร่กระจายของโรคนั้นสำนักสุขาภิบาลอาหารและน้ำกรมอนามัยจึงนำข้อมูลวิชาการที่ พอหาได้ ในกรณีดังกล่าวมาสรุปเป็นสาระสำคัญตังนี้ความสะอาดปลอดภัยของอาหารนั้นเป็นสิ่งสำคัญนอกจากใน เรื่องของคุณภาพอาหารและคุณค่าทางโภชนาการแล้วยังจำเป็นต้องมีการจัดการค้นสุขาภิบาลอาหารซึ่ง เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคที่จะก่อให้เกิดโรคเกี่ยวกับอาหารหรือ กล่าวได้ต้องมีการจัดการควบคุมช่องทางสื่อกลาง ใต้แก่ ภาชนะอุปกรณ์ผู้สัมผัสอาหารสถานที่จำหน่าย / ปรุงประกอบอาหารสัตว์แมลงนำโรคที่อาจปนเปื้อนแล้วส่งต่อเชื้อโรคสารเคมีมาสู่ผู้บริโภคจนทำให้เกิดการ เจ็บป่วยด้วยโรคจากเชื้อโรคและสารเคมีที่ปนเปื้อนมากับอาหารจากสถิติโรคที่เกิดจากอาหารและน้ำเป็นสื่อ ในปีพ.ศ. 2557 พบผู้ป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษ 134,747 รายคิดเป็นอัตราป่วย 207.52 รายต่อประชากร แสนรายผู้ป่วยด้วยโรคอุจาระร่วงเฉียบพลันรวมทั่วประเทศ 1,108,427 รายอัตราป่วย1,704 35 รายต่อ ประชากรแสนรายทั้งนี้มีผู้เสียชีวิตตัวยโรคอุจาระร่วงเฉียบพลันในปี 2557 จำนวนทั้งสิ้น 17 คนทั่วประเทศ คิดเป็นอัตราป่วยตาย 0.03 ต่อแสนประชากรสำหรับผู้ป่วยด้วยโรคอหิวาตกโรคในปี 2557 มีผู้ป่วย 12 ราย อัตราป่วย 0.02 ต่อประชากรแสนรายไม่มีผู้เสียชีวิตด้วยโรค อหิวาตกโรคซึ่งภาพรวมจากปี 2551-2557 ส่วนใหญ่มีแนวโน้มลลงและอัตราป่วยตายลดลงจาก ข้อมูลการดำเนินการของสำนักสุขาภิบาลอาหารและน้ำกรมอนามัยพบว่าจำนวนร้านอาหารและแผง ลอยจำหน่ายอาหารทั้งหมด 144,550 แห่ง (ไม่รวมกรุงเทพมหานคร) และตลาดสดประเภทจำนวน
25 1,505 แห่ง (ไม่รวมกรุงเทพมหานคร) ยังไม่รวมลาตประเภทหรือตลาดนัตที่มีการรวบรวมประมาณ5,377 แห่งปัญหาข้อร้องเรียนและสุขลักษณะที่พบส่วนใหญ่จะมีในเรื่องภาชนะอุปกรณ์ไม่สะอาดมีขี้แมลงสาบใช้ ผ้าชี้ริ้วเช็ดจานภาชนะไม่ใต้มาตรฐานทำด้วยวัสดุผิดประเภทใช้ภาชนะผิดประเกทรวมถึงกรณีการลวกร้อน ตังกล่าวจากการศึกษาวิจัยการปนเปื้อนจุลินทรีย์ในภาชนะสัมผัสอาหารหลังการจุ่มน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรค (กรองทองแก่นคำหลักสูตรสาธารณสุขศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อมคณะสาธารณสุข ศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น)การปนเปื้อนจุลินทรีย์จากการฆ่าเชื้อโรคในภาชนะสัมผัสอาหารด้วยการจุ่ม น้ำร้อนในภาชนะสัมผัสอาหารก่อนและหลังการสุ่มน้ำร้อนการปนเป็นจุลินทรีย์รรมในภาชนะสัมผัสอาหาร พบว่ามีการปนเปื้อนจุลินทรีย์รวมจากภาชนะสัมผัสอาหารประเภทช้อน / ส้อมซ้อนโต๊ะตะเกียบไม้ / ตะเกียบพลาสติกมีการปนเปื้อนจุลินทรีย์รวมก่อนการนำภาชนะสัมผัสอาหารจุ่มด้วยน้ำร้อนร้อยสะ 60.18 และหลังการจุ่มกาชนะสัมผัสอาหารตัวยน้ำร้อนจากผู้บริโภคร้อยละ 38.46 พบว่าก่อนและหลังการน ำ ภาชนะสัมผัสอาหารจุ่มน้ำร้อนพบการปนเปื้อนจุลินทรีย์รวมไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p value = 0.660) การปนเปื้อนโคลิฟอร์มแบศทีเรียและฟิคัลโคลีฟอร์มแบทีเรียในภาชนะสัมผัสอาหารก่อนและหลัง การจุ่มด้วยน้ำร้อนการปนเปื้อนโตลิฟอร์มแบศทีเรียในภาชนะสัมผัสอาหารพบว่ามีการปนเปื้อนโคลิฟอร์ม แบคทีเรียจากภาชนะสัมผัสอาหารประเภทช้อน / ส้อมซ้อนโต๊ะตะเกียบไม้/ ตะเกียบพลาสติกมีการ ปนเปื้อนโคลิฟอร์มแบคทีเรียก่อนการนำภาชนะสัมผัสอาหารจุ่มน้ำร้อนร้อยละ48.46 และหลังการจุ่ม ภาชนะสัมผัสอาหารด้วยน้ำร้อนจากผู้บริโภคร้อยละการนำภาชนะสัมผัสอาหารจุ่มน้ำร้อนพบการปนเปื้อน โคลีฟอร์มแบคทีเรียไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ 24.05พบว่าท่อนและหลังทางสถิติ (p-value - 0.658) ใน ส่วนของการปนเปื้อนฟิคัลโคลิฟอร์มแบคทีเรียในภาชนะสัมผัสอาหารทั้งก่อนและหลังการจุ่มน้ำร้อนพบการ ปนเปื้อนฟิคัลโคลิฟอร์มแบคทีเรียไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = 0057) การปนเปื้อน จุลินทรีย์กลุ่มที่ ก่อให้เกิดโรคเชื้อ Staphylococcus aureus ในภาชนะสัมผัสอาหารก่อนและหลังการจุ่ม น้ำร้อนพบว่ามีการปนเปื้อน Staphylococcus aureus อาหารประเภทช้อน / ส้อมช้อนโต๊ะตะเกียบไม้ / ตะเกียบพลาสติกมีการปนเปื้อน Staphylococcus aureus ก่อนการนำภาชนะสัมผัสอาหารจุ่มมด้วยน้ำ ร้อนร้อยละ 50.22 และหลังการจุ่มภาชนะสัมผัสอาหารด้วยน้ำร้อนจากผู้บริโภคร้อยละ 29.08 พบว่าก่อน และหลังการนำภาชนะสัมผัสอาหารจุ่มน้ำร้อนพบการปนเปื้อน Staphylococcus aureus ไม่ต่างกันอย่าง มีนัยสำคัญทางสติ (P-value = 0.134) ในน้ำร้อนที่ใช้สำหรับจุ่มภาชนะสัมผัสอาหารจากการตรวจการ ปนเปื้อนคลิฟอร์มแบทีเรียและฟิคัลโคลิฟอร์มในน้ำร้อนจากหม้อหุงข้าวไฟฟ้า พบว่ามีการปนเปื้อนโคลีฟอร์มแบคทีเรียในน้ำร้อนมากที่สุดร้อยละ ๗๘ .๕๘ และพบการปนเปื้อนฟิคัล โคลิฟอร์มแบคทีเรียมากที่สุดร้อยละ 84.62 จากการเก็บตัวอย่างน้ำร้อนในหม้อหุงข้าวไฟฟ้าผู้ประกอบการ จำหน่ายอาหารเตรียมไว้บริการผู้บริโภคตลอดช่วงวันที่เปิดทำการจำหน่ายอาหารเวลาโดยประมาณ 07.00- 21:00 น. เป็นประจำทุกวัน การปนเปื้อนจุลินทรีย์รวมโคสิฟอร์มแบคทีเรียในภาชนะสัมผัสอาหารทั้งก่อนและหลังการจุ่ม น้ำร้อนซึ่งเป็นตัวนำบ่งชี้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานทางสุขาภิบาลอาหารสอดคล้องกับงานวิชัยของเยาว สักษณ์ชยรัตน์ (2550) ที่พบการปนเปื้อนจุลินทรีย์รวมโคลิฟอร์มแบคทีเรียในภาชนะสัมผัสอาหารประเภท ช้อน / ล้อมร้อนโต๊ะและตะเกียบไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานก่อนการประยุกติใช้ระบบ HACCP
26 ในส่วนของการปนเปื้อนในน้ำร้อนของหม้อต้มพบการปนเปื้อนโคลิฟอร์มแบคทีเรียร้อยละ 78.57 ซึ่ง การปนเปื้อนจุลินทรีย์ในน้ำร้อนเนื่องมาจากอุณหภูมิของน้ำร้อนไม่ร้อนมากพอที่ จะทำลายเชื้อจุลินทรีย์ใด้ อุณหภูมิความร้อนของหม้อหุงข้าวไฟฟ้าจากการสำรวจจะอยู่ในช่วง 27.50-43.50 องศาเซลเซียสซึ่งเป็น ช่วงที่เชื้อโรคสามารถขยายตัวได้ แต่บางช่วงระบบทำความร้อนของหม้อหุงข้าวไฟฟ้าทำงานที่ระบบ Rice Cooking อุณหภูมิสูงถึง 44.50 องศาเซลเซียส แต่เมื่อพิจารณาของการเปิดหม้อหุงข้าวไฟฟ้าและตั้ง อุณหภูมิทิ้งไว้ทั้งวันอย่างน้อยวันสะ 12 ชั่วโมงพบว่าการปนเปื้อนส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะของการสะสมที่มี บางช่วงน้ำร้อนในหม้อหุงข้าวไฟทำไม่ร้อนจากระบบการทำงานของหม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่ระบบอุ่น (Keep Warm) โดยจะพบการปนเปื้อนจากการเก็บตัวอย่างในช่วงเวลา 17:00 1800 น. มากที่สุดทั้งก่อนและหลัง การนำภาจนะสัมผัสอาหารจุ่มน้ำร้อนและในส่วนของการปนเปื้อนจุลินทรีย์กสุ่มที่ก่อให้เกิดโรคเชื้อ Staphylococcus aureus ตรวจพบการปนเปื้อนในภารนะสัมผัสอาหารก่อนการจุ่มน้ำร้อนร้อยละ 80.45 และการปนเปื้อนหลังลุ่มภาชนะสัมผัสอาหารด้วยน้ำร้อนร้อยละ 52.38 สอดคล้องกับงานวิจัยของ มณฑลเลิศคุณาวนิชกุล (2544) ที่พบการปนเปื้อนกลุ่มเชื้อก่อโรคชนิดนี้ที่ศูนย์อาหารกลางคืน มหาวิทยาลัยวลักษณ์และพบการปนเปื้อนมากที่สุดในภาชนะสัมผัสอาหารประเภทตะเกียบไม้ / ตะเกียบ พลาสติกก่อนสุ่มน้ำร้อนอาจจะเนื่องมาจากความกำของตะเกียบซึ่งทำจากไม้ไผ่อาจมีรอยแต่กร้าวดูคซึมน้ำ น้ำมันได้ง่ายและจาสะอาดภาชนะสัมผัสอาหารที่ทำจากไม้ข้อควรตระหนักคือต้องล้างให้สะอาดและทำให้ แห้งสนิทก่อนจากการล้างทำความนำไปเก็บไว้ใช้งานต่อไป แต่เนื่องจากแผงลอยจำหน่ายอาหารต้องเปิด บริการตั้งแต่เวลาประมาณ 07:00-21:00 น. ในแต่ละวันจึงต้องมีการล้างและหมุนเวียนการใช้ภาชนะสัมผัส อาหารเป็นประจำจึงอาจทำให้กิตการปนเปื้อนจุสินทรีได้ง่ยหากกาชนะสัมผัสอาหารมีความขึ้นและล้างทำ ความสะอาดไม่ดีพอรรมทั้งลักษณะของผู้บริโภคที่ส่วนใหญ่จะทำการเลือกหยิบจับตะเกียบไม้ / ตะเกียบ พลาสติกก่อนนำมาใช้รับประทานสมอและแผงลอยจำหน่ายอาหารประเภทอาหารพื้นเมือง (อาหารอีสาน) ที่พบการปนเปื้อนจุลินทรีย์มากที่สุดในภาชนะสัมผัสอาหารสอดคล้องกับการศึกษาของบริบูรณ์และคณะ (2543) ทำการศึกษาความปลอดภัยของส้มตำในเขตกรุงเทพมหามหานครและปริมณฑลพบว่ามีการ ปนเปื้อนเชื้อ E.coli และเชื้อโรคอาหารเป็นพิษจากสhมตำสาเหตุอาจจะเนื่องมาจากเป็นอาหาร ประเภทปรุงรับประทานสตเป็นส่วนใหญ่โดยไม่ได้ปรุงอาหารให้ผ่านความร้อนจึงมีโอกาสปนเปื้อนได้ ง่ายกว่าอาหารที่ผ่านประกาย การปรุงตัวยความร้อนที่สามารถทำลายเชื้อจุลินทรีย์ใด้ผู้จำหน่ายอาหารต้องหยิบจับอาหารหลาย ๆ อย่างรวมกันรวมทั้งต้องทำการตำส้มตำล้างภาชนะอุปกรณ์จึงอาจเกิดการปนเปื้อนได้ง่ายจากการตรวจ พบการปนเปื้อนจุลินทรีย์ตังกล่าวซึ่งมีโอกาสทำให้เกิดการเจ็บปัวยจากโรคที่มีอาหารเป็นสื่อใต้การปนเปื้อน โลหะหนักในน้ำร้อนจากหมือหุงข้าวไฟพบการปนเปื้อนตะกั่วที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 87.50 และ โครเมียมที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 69.23 จากการแยกประเภทผิวเคลือบภาชนะของหม้อพบว่าการ ปนเปื้อนตะกั่วในน้ำร้อนประเภทภาชนะผิวเคลือบที่พบการปนเปื้อนมากที่สุดคือวัสดุเทฟลอนเซรามิกส์ อลูมิเนียมและสังกะสีตามลำตับซึ่งวัสดุเทฟลอนนั้นเป็นพลาสติกชนิด Fluorocarbon มีสีน้ำตาลหรือสีเทา ผิวเรียบเป็นมันมีความคงทนต่ออุณหภูมิได้สูงล้างทำความสะอาดได้ง่ายปัจจุบันจึงเป็นที่นิยมใช้แต่จุดอ่อน ของวัสตุเทฟลอนคือตัวสารเคลือบเทฟลอน
27 จะหลุดกะเหาะออกมาได้ง่ายเมื่อใช้ไปสักระยะหนึ่งและมีการญครูดไปมาชองภาชนะสัมผัสอาหารกับ หม้อหุงข้าวไฟฟ้าซึ่งสารเคลือบกับเนื้อโลหะไม่ตีเท่าที่ควรในส่วนของวัสตุที่เป็นเซรามิกส์อลูมิเนียมและ สังกะสีนั้นอาจจะเกิดจากการละลายของสารคลือบผิวที่อาจจะมีส่วนผสมของตะกั่วเมื่อได้รับความร้อนเป็น ระยะเวลานานและการปนเปื้อนของโครเมียมก็เช่นกันบางส่วนอาจจะเกิดจากการละลายของสารในผิว เคลือบภาขนะและบางส่วนอาจจะมาจากการละลายของโครเมียมจากซ้อนส้อมที่มีการเคลือบผิวด้วย โครเมียมแผงลอยจำหน่ายอาหารจะประทับตราสัญลักษณ์เครื่องหมายแผงลอยจำหน่ายอาหารไว้เป็นตัว เลขที่ช้อน / ส้อมในส่วนของบริเวณที่ใช้ตักอาหารซึ่งอาจจะมีส่วนของการละลายของสารเคลือบที่อยู่ใน ภาชนะสัมผัสอาหารจากการสังเกตของผู้วิจัยและคำบอกเล่าของผู้ประกอบการแผงลอยจำหน่ายอาหาร บอกว่าที่ไม่นำภาชนะสัมผัสอาหารแช่ไว้ในน้ำร้อนตลอดเวลาเพราะเคยนำมาแช่ไว้ลอดเวลาแล้วซ้อน / สัอม เปลี่ยนสีไปจากสีเติมมีลักษณะของสีออกเป็นสีคล้ำ ๆ ต้องเปลี่ยนช้อน / ส้อมใหม่เพราะดูแล้วไม่นำใช้จึง เปลี่ยนวิธีให้ผู้บริโภคที่มาใช้บริการหยิบจับแช่เอาเอง แต่ก็พบว่ามีช้อน / สัอมบางส่วนใช้ไปนาน ๆ จะมี ลักษณะสีออกคล้ำ ๆ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กระทรวงสธารณสุข (2550) ขณะนี้คนไทยเสี่ยงภัยจากสารอันตรายที่ปนเปื้อนมากับอาหารบริโภคมากขึ้นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยเฉพาะภาชนะใส่อาหารที่มีสีเคลือบหรือมีลวดลายในถ้วยชามกระเบื้องเคลือบตินผาหรือเซรามิกส์ต่าง ๆ ที่มีวงขายทั่วไปตามตสาดสดตลาดนัดชาวบันมักนิยมเสือกส่วนที่มีสวดลายสวยงาม แต่ไม่รู้ถึงอันตรายที่ แอบแฝงอยูในสีที่ใช้เคลือบลวดลายเนื่องจากสีเหล่านี้จะมีสารตะกั่วเป็นส่วนผสมเมื่อถูกความร้อนจะ สลายตัวออกมาปนเปื้อนกับอาหารโดยเฉพาะอาหารที่มีสภาพเป็นตรดการปนเปื้อนสารตะกั่วไม่สมารถ มองเห็นได้เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะอิดการสะสมในร่างกายโดยไม่รู้ตัวจากการศึกษาพบว่าสารตะกั่วในภาชนะ จะปนเปื้อนมากับอาหารถึงร้อยละ 55 ตามหลักวิชาการและมาตรฐาน Food Code ในประเทศต่าง ๆ จะกำหนดอุณหภูมิไว้ที่ 80-40 องศาเซลเซียสนาน 24 นาทีหากจะทำลายชื้อไวรัสต้องใช้อุณหภูมิ ๔๐ องศาเซลเซียสขึ้นไปนาน4 นาทีโดย เชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคส่วนใหญ่เจริญได้ดีที่อุณหภูมิ 5-63 องศาเซลเซียสและการใช้ความร้อนทำลาย เชื้อจุลินทรีย์มีหลายรูปแบบตังนี้-การต้มที่ 900 องศาเซลเซียสทำลายเชื้อจุลินทรีย์ได้เป็นส่วนใหญ่ตัวแบบ ที่เรียไวรัสและเชื้อราจะตายเมื่อนำไปต้มในน้ำเดือดเพราะส่วนใหญ่จะไม่สามารถทนความร้อนที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสมากกว่า 5 นาทีใด้ยกเว้นจุลินทรีย์ที่มีสปอร์ซึ่งสปอร์ของแบคทีเรียซึ่งทนความร้อนได้ มากกว่าจะไม่ตายทั้งหมดการต้มนี้ทำลายเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดตับอักเสบได้-Pasteurization เป็นวิธีที่ใช้ ทำลายแบคที่เรียในเหล้าองุ่นและไนนมสดโดยอุ่นให้ได้อุณหภูมิ 63 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 30 นาทีหรือ 72 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 20 วินาทีวิธีนี้สามารถทำสายเชื้อไวรัสส่วนใหญ่อีกทั้งเชื้อราและแบคทีเรีย แต่ ไม่ทำลายสปอร์ -Sterilization การนึงโดยใช้ความดันน้ำใช้หม้อนึ่งความดันไอ 15 ปอนด์ / ตารางนิ้ว อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียสนาน 10-15นาทีเป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากเนื่องจากมีประสิทธิภาพในการฆ่า เชื้อจุลินทรีย์ได้ทุกชนิด กรมอนามัยจึงมีแนวทางและข้อแนะนำเกี่ยวกับภาชนะอุปกรณ์ดังนี้การล้างภาชนะด้วย วิธี 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ขจัดเศษอาหารและล้างตัวยน้ำผสมน้ำยาล้างจาน
28 ขั้นตอนที่ 2 ล้างด้วยน้ำสะอาดอย่างน้อย 2 ครั้ง ขั้นตอนที่ 3 ฆ่าเชื้อโรคด้วยการทำให้แห้งโดยตากแดดหรืออบตัวยความร้อนและในกรณีมีการ ระบาดของโรคอุจจาระร่วงอย่างแรงแนะนำให้เน้นการผ่าเชื้อโรคโคยแช่ภาชนะอุปกรณ์ด้วยน้ำเดือด 80-90 องศเซลเซียสเป็นเวลาอย่างน้อย 4 นาทีหรือแชในน้ำผสมน้ำปูนคลอรีนเข้มชัน 900 พีพีเอ็มนนอย่างน้อย 2 นาทีการใช้หม้อหุงข้าวต้มน้ำร้อนไว้บริการลูกค้าเป็นการประยุกต์ใช้ของผู้ประกอบการซึ่งประสิทธิภาพใน การฆ่าเชื้อโรคขึ้นกับอุณหภูมิและระยะเวลาในการสัมผัสวามร้อนควรไม่น้อยกว่าตัวเลขที่กำหนดข้างตัน แต่ การใช้หม้อหุงข้าวอาจเสี่ยงต่อสารโลทหะหนักถ้าตัวหม้อต้มไม่ได้มาตรฐานหรือกาชนะที่ใช้ไม่ได้มาตรฐาน รวมทั้งการทาสีที่ภาชนะตามเอกสารการศึกษาที่แนบมาด้วยสำหรับอุปกรณ์สำหรับลวกซ้อนที่ออกแบบมา โดยเฉพาะคือทำด้วยสแตนเลสสามารถตั้งอุณหภูมิได้ตามที่กำหนดและแช่อุปกรณ์ตะอดเวลาจะมี ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคดีกว่าการประยุกต์ใช้หม้อหุงข้าว การฆ่าเชื้อโรคที่อยู่บนภาชนะอุปกรณ์ด้วยความร้อนนั้นนอกจากจะขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อโรค อุณหภูมิและระยะเวลาแล้วยังมีปัจจัยตันอื่น ๆ เช่นประเภทชนิดของภาชนะสภาพของการใช้งานกับอาหาร ที่มีไขมันสีการทนความร้อนของวัสดุเป็นต้น แนวทางปฏิบัติในการเลือกใช้อุปกรณ์หรือหม้อสำหรับลวกช้อนส้อมที่ไว้บริการตามสถานที่ต่าง ๆ มีดังนี้ 1. หม้อหุงข้าวที่นำมาใช้ต้มน้ำร้อนไว้บริการลูกค้าเป็นการประยุกต์ใช้ของผู้ประกอบการซึ่ง ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคขึ้นกับอุณหภูมิและระยะเวลาในการสัมผัสวามร้อนซึ่งควรไม่น้อยกว่า80-40 องศาเซลเซียสเป็นเวลาอย่างน้อย 4 นาทีและการใช้หม้อหุงข้าวประเกทที่เคลือบผิวภาชนะด้วยเทพตอน เซรามิกส์นำมาต้มน้ำร้อนนั้นอาจเสี่ยงต่อสารโลหะหนักจำพวกตะกั่วและโครเมียม 2. อุปกรณ์สวกช้อนควรออกแบบมาโดยเฉพาะทำด้วยสแตนเลสสามารถตั้งอุณหภูมิได้ตามที่ กำหนดและมีการป้องกันไฟฟ้ารั่ว-ดูด 3. การใช้สิทาภาชนะหรือภาชนะที่มีลวดลายอาจมีส่วนผสมของตะกั่วซึ่งอาจสลายตัวออกมา เมื่อถูกความร้อนตามรายละเอียดที่แนบมานี้ 4. อุปกรณ์ประเภทกามน้ำเครื่องต้มน้ำไฟหรือเครื่องต้มน้ำไฟฟ้าแบบขั้วเปลือยซึ่งไม่ผ่าน มาตรฐานมอก. ไม่ควรนำมาใช้พราะเป็นอุปกรณ์ที่มีอันตรายตามคำสั่งของคณะกรรมการคุ้มครอง ผู้บริโภคที่ 06/2525 ทั้งนี้ในการลวกช้อนส้อมนั้นหากอุณหภูมิและเวลาไม่ใต้ตามที่กำหนดในข้อ 1 หรือภาชนะมีไขมัน และเศษอาหารอาจทำให้เชื้อโรคบางกลุ่มมีการเจริญเติบโตได้เช่นกลุ่มเทอร์โมฟิลิก ได้แก่ สายพันธุ์คลอสตรี เดียมซึ่งเจริญได้ในอุณหภูมิ 45-55 องศาเซลเซียสดังนั้นควรเน้นการเลือกการล้างการจัดเก็บภาชนะตาม หลักสุขาภิบาลอาหารซึ่งเป็นวิธีที่ประหยัดและปลอดภัย ข้อแนะนำสำหรับผู้บริโภคข้อสังเกตความสะอาดของภาชนะต่าง ๆ ความสะอาดของภาชนะตามหลักสุขาภิบาลอาหารขอแนะนำข้อสังเกดเบื้องต้นดังนี้ 1. วัสดุที่ใช้เริ่มตั้งแต่การเลือกใช้ภาชนะต้องทำจากวัสดุที่ไม่เป็นพิษเป็นมิตรกับสิ่งแวดส้อม รูปทรงทำความสะอาดได้ง่ายทนทานไม่แตกหักง่ายใช้ถูกประเภทอาหารเช่นการเลือกใช้ถุงพลาสติก
29 PP ชนิตถุงร้อนใช้บรรจุอาหารผลิตจากพลาสติกประเกทโพลิโพพิลีน (PP) ซึ่งถุงมีลักษณะใสทนต่อ ไขมันและความร้อนได้ดี 2. ขั้นตอนการล้างาาชนะที่ใช้แล้วให้อย่างถูกต้องและสะอาดมีอ่างล้าง 3 และภาชนะที่ล้าง สะอาดแล้วเก็บคว่ำให้แห้งขั้นตอน 3. การเก็บภาชนะให้สะอาดเป็นระเบียบป้องกันการปนเปื้อนของฝุ่นละอองเชื้อโรคเช่นช้อน วางนอนเรียงเป็นทางเตียวในในภาชนะโปร่งสะอาดหรือวางตั้งเอาด้ามขึ้นในภาชนะโปร่งสะอาดและมี การปกปิดเก็บสูงจากพื้นอย่างน้อย 50 ชม. 2.7 งานศึกษาที่เกี่ยวข้อง กันทนา ใจสุวรรณ. (2563) "รูปแบบการจัดการความรู้ภูมิปัญญาผ้าทอกะเหรี่ยงบ้านพะมอลอ ตำบลบ้านกาด อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ช่องสอน " การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบนการ จัดการความรู้ภูมิปัญญาผ้าทอกะเหรี่ยง บ้านพะมอลอ ตำบสบ้านกาศอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยใช้กระบวนการจัดการความรู้ โดยประยุกต์ใช้โมเดลเชกิ (SECI Model และแบบสอบถาม ผลการวิจัย พบว่ารูปแบบการทอผ้าที่ใช้ในหมู่ บ้านพะมอลอ เป็นกี่เอว (backstrap loom) ซึ่งเป็นการทอตัวยเครื่อง ทอขนาตเล็กโดยใช้เข็มขัดคาดหลัง (backstrap) เข็มขัดหรี่อสายคาดหลังอาจทำด้วยผ้า แผ่นหนัง หรือ เชือกที่มีความแข็งแรง ใช้การขยับเคลื่อนตัวของผู้หอบังคับเส้นด้ายให้ตึงหรือหย่อนได้ตามความต้องการ จุดเด่นของการทอผู้ด้วยกี่เอวคือเป็นเครื่องมือที่สามารถหาได้ง่าย ขนาดเล็ก พกพาสะดวก ขั้นตอนไม่ ซับซ้อน และสามารถทำลวดลายได้แต่ขนาดไม่กว้าง ผู้วิจัยทำการพัฒนารูปแบบการจัดการความรู้ใน ลักษณะ "ศูนย์การเรียนรู้เชกิเชอู" ที่มีบทบาทเพื่อส่งเสริม รักษา ถ่ายทอด ในรูปแบบของการจัดทำเป็น หลักสูตรเพื่อพัฒนาทักษะและอาชีพ เปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้บนแหล่งเรียนรู้ของชุมชนจากอัตลักษณ์ผ้าทอ กะเหรี่ยง มีการจัดทำสื่อการเรียนรู้และเพิ่มมูลคำให้แก่ผลิตภัณฑ์ผ้าหอกะเหรี่ยงสู่เศรษฐกิจชุมชนโดยใช้ ต้นทุนทางวัฒนธรรม พิชญลักษณ์ พิชญกุล. (2563) "การพัฒนากลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด กลุ่มทอผ้ากะเหรี่ยง บ้านหล่ายแก้ว จังหวัดเซียงใหม่" งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือการพัฒนากลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด ของกลุ่มหอผ้ากะเหรี่ยงบ้านหล่ายแก้วจังหรัดเชียงใหม่โดยใช้แนวศิตการจัดการเชิงกลยุทธ์ส่วนประสมทาง การตลาดและการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมโดยดำเนินการร่วมกับสมาชิกกลุ่มทอผ้ากะเหรี่ยงบ้านห ล่ายแก้วอำเภอดอยเต่าจังหวัดเซียงใหม่ในช่วงปี พ.ศ. 2559-2560 ซึ่งกลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาดเซ็ง รุกที่นำมาใช้ในชุมชนคือ 1) การแปรรูปผลิตภัณฑ์เดิมให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีอัตลักษณ์ความเป็นกะเหรี่ยง โผล่งและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ 3 ชนิดคือผ้าพันคอที่ใช้เส้นใยฝ้ายที่มีขนาดเล็กลงผสมกับเส้นใยไหมอีรี่ใน การทอกระเป๋ขนาดใหญ่และกระเป๋าขนาดเล็กที่ใช้วัตถุติบเป็นผู้หอมือของชุมชน 2) การตั้งราคาให้สูงขึ้น และการขยายไปสู่กชุ่มลูกค้าตลาดกลางและตลาดบน 3) การเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าโดยการ จำหน่ายในงานแสดงสินค้าและการฝากขายสินค้าและ 4) การประชาสัมพันธ์ผ่านรายการโทรทัศน์นิตยสาร และเฟสบุ๊คแฟนเพจการดำเนินการส่งผลให้กลุ่มทอผ้ากะเหรี่ยงบ้านหลายแก้วมีรายไต้เพิ่มขึ้นจาก 336,000
30 บาทต่อปีเป็น 715,000 บาทต่อปีคิดเป็นร้อยละ 12.80 สามารถรักษาวัฒนธรรมตั้งเติมของชุมซนและมีคน สนใจเข้าเยี่ยมมาชมศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมผ้าทอกะเหรี่ยงอย่างต่อเนื่อง ตุนท์ ชมชื่น.(2561) "การเสริมสร้างศักยภาทการผลิต ผลิตภัณฑ์ชุมขน "ผ้าทอกะเหรี่ยง"ตาม แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงและเศรษฐกิจสร้างสรรค์: กรณีชุมชนตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองจังหวัดเชียงราย" การวิจัยเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการผลิต ผลิตภัณฑ์ชุมชน "ผ้าทอกะเหรี่ยง"ตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กรณีขุมชนตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองจังหวัดเชียงราย เป็นการวิจัยปฏิบัติการอย่าง มีส่วนร่วม โดยดำเนินในพื้นที่ชุมชนตำบลแม่ยาวอำเภอมือง จังหวัดเชียงราย มีสตรีผู้ผลิตผ้าทอกะเหรี่ยง เข้าร่วมโครงการ 50 คน จาก 3 ชุมชน คือชุมขนบ้านรวมมิตร ชุมชนบ้านห้วยขม และชุมชนแคววัวดำ ผลการวิจัยพบว่า ผ้าทอกะเหรี่ยงเป็นผู้ทอที่คงความเป็นเอกลักษณ์ติมในความเป็นวัฒนธรรมของชนเผ่า กะเหรี่ยงทั้งในด้านวิธีการขั้นตอนการทอและลวดลายต่าง ๆ การเสริมสร้างศักยภาพการผลิต ผลิตภัณฑ์ ชุมชน "ผ้าทอผ้ากะเหวี่ยง" มีกระบวนการคำเนินงาน 5 ชั้นตอน โดยมีผลการคำเนินงานที่สำคัญ คือ สตรีที่ เข้าร่วมโครงการ มีความมั่นจ ภาคภูมิใจ พึ่งพอใจในการพัฒนาสินค้าผลิตภัณฑ์ผ้าทอกะเหรี่ยงและความ คิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องอยู่ในระดับเห็นด้วยอย่างยิ่งและมีความความพึงพอใจต่อผลิตภัณฑ์ผ้าทอกะเหรี่ยงใน ระดับมาก วราภรณ์ วงศ์ปถัมภ์(2560) "การออกแบบและตัดเย็บชุดสตรีมุสลิมจากผ้าทอกะเหรี่ยงการวิจัย ครั้งนี้วัตถุประสงค์เพื่อออกแบบตัดเย็บและตัดเย็บชุดสตรีมุสลิมจากผ้าทอกะเหรี่ยงประชากรที่ใช้ในการ วิจัยครั้งนี้ สตรีมุสลิมที่มาร่วมงาน 60 ปี มูลนิธิศูนย์กลางอิสลามแห่งประทศไทยในระหว่างวันที่ 2-4 เมษายน 2559 กลุ่มตัวย่างได้จากกรสุ่มแบบบังเอิญจำนวน 100 คน อุปกรณ์ที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยคิดเป็นร้อยละและหาค่าเฉลี่ย ผลการศึกษาพบว่าพบว่าผู้ตอบ แบบสอบถามส่วนใหญ่มีอายุ 50 ปี มีการศึกษาในระดับปริญญาตรีอาชีพเป็นแม่บ้านมีรายได้ต่อเดือน 20.001-25,000 บาท พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีชุดสตรีมุสลิมรูปทรง4ไลน์คิด เหตุผลในการ ตัดสินใจเลือกซื้อชุดสตรีมุสลิมคือเรื่องรูปแบบของชุด แหล่งซื้อชุดสตรีมุสลิมพบว่าจากร้านค้าผลิตภัณฑ์ มุสลิมคิด มีชุดสตรีมุสลิม ต่ำกว่า15 ชุด เห็นด้วยกับการนำผ้าทอกะเหรี่ยงมาตกแต่งในชุดสตรีมุสลิม ถ้ามี การนำผ้าทอกะเหรี่ยง มาตกแต่งเป็นชุดสตรีมุสลิมส่วนใหญ่เลือกซื้อ พอใจซื้อชุดสตรีมุสลิมที่ตกแต่งด้วยผ้า ทอกะเหรี่ยง คือ ราคา 1,500 ผลการศึกษาพบว่าด้านความพึงพอใจต่อการตัดเย็บชุดสตรีมุสลิมจากผ้าทอ กะเหรี่ยง ทั้ง 3 ชุด มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจมากคือ ชุดสตรีมุสลิมรูปแบบที่ 3 ( =3.99) รองลงมาคือ ชุด สตรีมุสลิม รูปแบบที่ 1 ( = 393) และชุดสตรีมุสลิมรูปแบบที่ 2 ( = 3.83) ตามลำดับ
บทที่ 3 วิธีดำเนินการศึกษา ในการดำเนินโครงการซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนา รูปแบบของที่ใส่ช้อน ส้อม 2) เพื่อลดการใช้ของพลาสติกใส่ช้อน ส้อม 3) เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ผ้าทอ กะเหรี่ยง ซึ่งผู้จัดทำโครงการได้คำเนินการศึกษาดังนี้ 3.1 กลุ่มตัวอย่าง 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในดำเนินโครงการ 3.3 ขั้นตอนการดำเนินโครงการ 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.5 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่าง ครูอาจารย์ เจ้าหน้าที่ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ จำนวน 100 คน โดย วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง 3.2 เครื่องมือในโครงงาน 3.2.1 แบบสำรวจ ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นการออกแบบรูปแบบของซองใส่ช้อน ส้อม จำนวน 50 ชุด 3.2.2 แบบสอบถามความพึงพอใจ ผู้ทดลองใช้ครูอาจารย์ เจ้าหน้าที่ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ ผู้จัดทำโครงการใช้แบบสำรวจ จำนวน 100 ชุด เป็นเครื่องมือเพื่อรวบรวมข้อมูลความพึงพอใจ โดยผู้จัดทำ โครงการได้แยกแบบสำรวจและแบบสอบถามความพึงพอใจ แบบสำรวจ ข้อมูลเกี่ยวกับการออกแบบซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยง ส่วนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสำรวจ ประกอบด้วย เพศ อายุรายได้ ส่วนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับการตอบแบบสำรวจความคิดเห็นรูปแบบการใช้ สี ลวดลายของใส่ช้อน ส้อม และขนาดของซองใส่ช้อน ส้อม ส่วนที่ 3 ข้อมูลเกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ แบบสอบถามความพึงพอใจ ซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยง ส่วนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยสอบถามเกี่ยวกับเพศ อายุ รายได้อาชีพ โดยที่ผู้ตอบตามความเป็นจริง (Check-list)
32 ส่วนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับการตอบแบบสอบถามความคิดเห็นระดับความพึงพอใจซองใส่ช้อน ส้อม จากผ้าทอกะเหรี่ยง ผู้จัดทำโครงการได้ใช้มาตราวัดแบบ Rating scale 5 ระดับ ตามมาตราวับแบบลิเคิร์ท (Likert's Scale) อ้างจาก บุรินทร์ รุจจนพันธุ์ (2553) ในการวัดระดับความพึงพอใจ ดังนี้ 5 หมายถึง มากที่สุด 4 หมายถึง มาก 3 หมายถึง ปานกลางหรือพอใช้ 2 หมายถึง น้อยหรือต่ำกว่ามาตรฐาน 1 หมายถึง น้อยที่สุดหรือต้องปรับปรุงแก้ไข เกณฑ์การประเมินแบบสอบถามความคิดเห็น มี 5 ระดับโดยผู้จัดทำโครงการได้เลือกวิธีการของ เร็นสิส เอ ลิเคิร์ท ดังนี้ (Likert, Rensis A 2504) 4.50 - 5.00 หมายถึง เห็นด้วยอยู่ระดับมากที่สุด 3.50 - 4.49 หมายถึง เห็นด้วยอยู่ระดับมาก 2.50 - 3.49 หมายถึง เห็นด้วยอยู่ระดับปานกลาง 1.50 - 2.49 หมายถึง เห็นด้วยอยู่ระดับน้อย 1.00 - 1.49 หมายถึง เห็นด้วยอยู่ระดับน้อยมาก ส่วนที่ 3 ข้อเสนอแนะซึ่งเป็นคำถามปลายเปิดเพื่อให้ผู้ตอบแบบสอบถามแสดงความคิดเห็น การสร้างเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ โดยมีการสร้างเครื่องมือดังนี้ 1) ผู้จัดทำโครงการได้จัดทำแบบสำรวจการออกแบบเกี่ยวกับซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะหรี่ยง 2) ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับชองใส่ช้อน ส้อมและความพึงพอใจต่อผลิตภัณฑ์ 3) นำแบบสอบถามความคิดเห็นที่จัดทำขึ้นให้กับครูประจำวิชา เพื่อตรวจสอบความถูกต้องตาม เนื้อหาและนำมาปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ 4) นำแบบสอบถามความคิดเห็นที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วเสนอต่อครูประจำวิชาอีกครั้ง 3.3 การดำเนินโครงการ 3.3.1 การวางแผน (P) - กำหนดชื่อเรื่องและศึกษารวบรวมข้อมูลปัญหา ความสำคัญของโครงการ 3.3.2 ขั้นตอนการดำเนินการ (D) - สำรวจความต้องการรูปแบบชองใส่ช้อนส้อมของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ - ออกแบบผลิตภัณฑ์ - จัดทำของใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยงตามผลการสำรวจและออกแบบ 3.3.3 ขั้นตอนการตรวจสอบ (C) - ทดสอบใช้ผลิตภัณฑ์กับบริการอาหารและเครื่องดื่มแก่แขกและผู้มาเยี่ยมชมวิทยาลัยฯ - ประเมินความพึงพอใจในการใช้ผลิตภัณฑ์
33 3.3.4 ขั้นตอนประเมินติดตามผล (A) - สรุปผลการประเมินความพึงพอใจ - จัดทำเล่มโครงการ 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้จัดทำโครงการได้ดำเนินการเก็บรวบข้อมูลการทำโครงการนี้ อย่างเป็นขั้นตอนดังนี้ 3.4.1 ผู้จัดทำโครงการทำการแจกแบบสอบถามให้กับกลุ่มตัวอย่างครูอาจารย์ เจ้าหน้าที่ วิทยาลัย อาชีวศึกษาเชียงใหม่ โดยวิธีการแสกนคิวอาร์โค๊ด ให้ผู้ตอบแบบสำรวจออนไลน์ตอบแบบสำรวจด้วยตนเอง จำนวน 100 ชุด 3.4.2 เก็บรวบรวมแบบสอบถามรูปแบบของซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยง ผู้จัดทำโครงงาน ได้เก็บรวบรวมข้อมูลแบบสำรวจด้วยตัวเอง จำนวน 50 ชุด 3.4.3 ตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถาม จำนวน 50 ชุด เพื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์ทางสถิติ 3.4.4 ผู้จัดทำโครงการทำการแจกแบบสอบถามความพึงพอใจให้กับกลุ่มตัวอย่างครูอาจารย์ เจ้าหน้าที่ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ โดยวิธีการแสกนคิวอาร์โค๊ด ให้ผู้ตอบแบบสำรวจออนไลน์ตอบ แบบสำรวจด้วยตนเอง จำนวน 100 ชุด 3.4.5 เก็บรวบรวมแบบสอบถามความพึงพอใจรูปแบบของซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยง ผู้จัดทำโครงงานได้เก็บรวบรวมข้อมูลแบบสำรวจด้วยตัวเอง จำนวน 100 ชุด 3.4.6 ตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถามความพึงพอใจ จำนวน 100 ชุด เพื่อนำข้อมูลไป วิเคราะห์ทางสถิติ 3.5 การวิเคราะห์และสรุปผล ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวม ผู้จัดทำโครงการได้ทำการตรวจสอบความเรียบร้อยสมบูรณ์ของ แบบสอบถามความพึงพอใจซองใส่ช้อน ส้อม และนำข้อมูลมาประมวลผลวิเคราะห์ด้วยโปรแกรม คอมพิวเตอร์สำเร็จรูปการคิดค่า ร้อยละ การหาคำเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ดังนี้ 3.5.1 การวิเคราะห์ข้อมูลส่วนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลในการวิเคราะห์ ได้แก่ การหาค่าความถี่ (Frequency) และคู่ร้อยละ (Percentage)
34 สูตรการหาค่าร้อยละ เมื่อ P แทน ร้อยละ F แทน ความถี่ที่ต้องการแปลค่าให้เป็นร้อยละ n แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด 3.5.2 การวิเคราะห์ข้อมูลส่วนที่ 2 แบบสำรวจพึงพอใจของผู้ทดลองใช้ซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอ กะเหรี่ยง ผู้ทดลองใช้ครูอาจารย์ เจ้าหน้าที่ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ จำนวน 50 คน ในวิเคราะห์ ได้แก่ การหาค่าเฉสี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) สูตรการหาค่าเฉลี่ย เมื่อ X แทน ค่าเฉลี่ย ∑x แทน ผลรวมทั้งหมดของความถี่ คูณ คะแนน N แทน ผลรวมทั้งหมดของความถี่ซึ่งมีค่าเท่ากับจำนวนข้อมูลทั้งหมด สูตรการหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน N แทน จำนวนคู่ทั้งหมด X แทน คะแนนแต่ละตัวในกลุ่มข้อมูล ∑x แทน ผลรวมของความตกต่างของคะแนนแต่ละคู่
35 3.5.3 การวิเคราะห์ข้อมูล ส่วนที่ 3 ข้อเสนอแนะ ซึ่งเป็นคำถามปลายเปิดเพื่อให้ผู้ตอ บ แบบสอบถามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับซองใส่ช้อน ส้อม โดยผู้จัดทำโครงการได้วิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบ เชิงพรรณนาบรรยายตามเหตุผลของผู้ตอบแบบสอบถาม
บทที่ 4 ผลการศึกษา จากการศึกษางานตามโครงการ ซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยง ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนารูปแบบของซองใส่ช้อน ส้อมเพื่อลดการใช้ของพลาสติกใส่ช้อน ส้อม เพื่อส่งเสริมการ อนุรักษ์ผ้าทอกะเหรี่ยง สามารถแผลการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลได้ดังนี้ 4.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลแบบสำรวจความคิดเห็น ความต้องการ รูปแบบซองใส่ ช้อนส้อม ประกอบไปด้วย 3 ตอน ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสำรวจ ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปแบบ สี และ ลายของซองใส่ช้อน ส้อม ตอนที่ 3 ข้อมูลเกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ 4.2 ผลการวิเคราะห์ ข้อมูลแบบสอบถามความพึงพอใจในการใช้ซองใส่ช้อน ส้อม จากผ้าทอกะเหรี่ยง ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบประเมิน ตอนที่ 2 ระดับความพึงพอใจซองใส่ช้อนส้อมจากผ้าทอกะเหวี่ยง ตอนที่ 3 การแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ 4.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลแบบสำรวจความคิดเห็น ความต้องการ รูปแบบซองใส่ช้อนส้อม ประกอบไปด้วย 3ขั้นตอน ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสำรวจ ตารางที่ 1 ตารางแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบ สำรวจ โดยจำแนกตามเพศของผู้ตอบแบบสำรวจ เพศ จำนวน (คน) ร้อยละ ชาย 19 38 หญิง 31 62 รวม 50 100 จากตารางที่ 1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสำรวจ โดย จำแนกตามเพศ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 31 คน คิดเป็นร้อยละ 62 และเพศชาย จำนวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 38 ตามลำดับ
37 ตารางที่ 2 ตารางแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบ สำรวจ โดยตามรายได้ของผู้ตอบแบบสำรวจ รายได้ จำนวน (คน) ร้อยละ ต่ำกว่า 9,000 บาท 11 22 10,000 - 15,000 บาท 37 74 16,000 - 20,000 บาท 2 4 21,000 - 25,000 บาท - - 26,000 - 30,000 บาท - - 31,000 - 35,000 บาท - - 36,000 - 40,000 บาท - - 41,000 - 45,000 บาท - - รวม 50 100 จากตารางที่2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสำรวจ โดย จำแนกตามรายได้ พบว่า ส่วนใหญ่จะเป็นรายได้ตั้งแต่ 10,000 - 15,000 บาท จำนวน 37 คน คิด เป็นร้อยละ 74 รองลงมา คือ ต่ำกว่า 9,000 บาท จำนวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 22 และน้อยที่สุด คือ 16,000 - 20,000 บาท จำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 4 ตามลำดับ ตารางที่ 3 ตารางแสดงผลวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบ สำรวจ โดยจำแนกตามอายุของผู้ตอบแบบสำรวจ อายุ จำนวน (คน) ร้อยละ 15-20 ปี 22 44 21-30 ปี 27 54 31-40 ปี 1 2 41-50 ปี - - 51-60 ปี - - 61 ปีขึ้นไป - - รวม 50 100 จากตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสำรวจ โดย จำแนกตามอายุ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นอยู่ในช่วงอายุ 21-30 ปี จำนวน 27 คน คิดเป็นร้อยละ 54 รองลงมา คือ ช่วงอายุ15-20 ปี จำนวน 22 คน คิดเป็นร้อยละ 44 และน้อยที่สุด คือช่วงอายุ 31-40 ปี จำนวน 1 คน อายุ40 ปีขึ้นไป ตามลำดับ
38 ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปแบบ สี และลวดลาย ซองใส่ช้อนส้อม ตารางที่ 4 ตารางแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบ สำรวจความคิดเห็นรูปแบบของใส่ช้อนส้อม รูปแบบของซองใส่ช้อน ส้อม จำนวน (คน) ร้อยละ แบบที่ 1 27 54 แบบที่ 2 4 8 แบบที่ 3 5 10 แบบที่ 4 7 14 แบบที่ 5 7 14 รวม 50 100 จากตารางที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสำรวจ ความคิดเห็นของรูปแบบซองใส่ช้อน ส้อม พบว่า มีผู้สำรวจมากที่สุด คือ แบบที่ 1 จำนวน 27 คน คิดเป็นร้อยละ 54 รองลงมา คือ แบบที่ 4,5 จำนวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 14 รองลงมา คือ แบบที่ 3 จำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 10 และน้อยที่สุด คือ แบบที่ 2 จำนวน 4 คิดเป็นร้อยละ 8 ตามลำดับ ตารางที่ 5 ตารางแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบ แบบสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกสีของซองใส่ช้อนส้อม สี จำนวน(คน) ร้อยละ สีฟ้า 3 6 สีน้ำเงิน 6 12 สีแดง 8 16 สีเขียวขี้ม้า 6 12 สีม่วง 27 54 รวม 50 100 จากตารางที่ 5 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสำรวจ ความคิดเห็นสีของใส่ช้อน ส้อม พบว่า มีผู้สำรวจมากที่สุด คือ สีม่วง จำนวน 27 คน คิดเป็นร้อยละ 54 รองลงมา คือ สีแดงจำนวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 16 และสีที่มีจำนวนเท่ากัน คือ สีน้ำเงิน สีเขียว ขี้ม้า จำนวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 12และน้อยที่สุด คือ สีฟ้า จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 6 ตามลำดับ
39 ตารางที่ 6 ตารางแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบ สำรวจความคิดเห็นของลวดลายซองใส่ช้อน ส้อม ลวดลาย จำนวน(คน) ร้อยละ แบบที่ 1 4 8 แบบที่ 2 5 10 แบบที่ 3 7 14 แบบที่ 4 34 68 รวม 50 100 จากตารางที่ 6 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสำรวจ ความคิดเห็นลวดลายซองใส่ช้อนส้อม พบว่า มีผู้สำรวจมากที่สุด คือ แบบที่ 4 จำนวน 34 คน คิดเป็นร้อยละ 68 รองลงมา คือ แบบที่ 3 จำนวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 14 รองลงมา คือ แบบ ที่ 2 จำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 10 และน้อยที่สุด คือแบบที่ 1 จำนวน 4 คิดเป็นร้อยละ 8 ตามลำดับ ตอนที่ 3 ข้อมูลเกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ สรุปความคิดเห็นของ ผู้ตอบแบบสำรวจลักษณะของใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอกะเหรี่ยง มีความคิดเห็นว่า ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติม 4.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลแบบสอบถามความพึงพอใจในการใช้ซองใส่ช้อน ส้อมจากผ้าทอ กะเหรี่ยงประกอบไปด้วย 3 ตอน ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบประเมินความพึงพอใจซองใส่ช้อนล้อมจากผ้า ทอกะเหรี่ยง ตารางที่ 7 ตารางแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบ แบบประเมินความพึงพอใจ โดยจำแนกตามเพศของผู้ตอบแบบสำรวจ เพศ จำนวน (คน) ร้อยละ ชาย 5 10 หญิง 45 90 รวม 50 100 จากตารางที่ 7 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสำรวจ โดย จำแนกตามเพศ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 45 คน คิดเป็นร้อยละ 90 และเพศชาย จำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 10 ตามลำดับ
40 ตารางที่ 8 ตารางแสดงผลวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบ สำรวจ โดยจำแนกตามอายุของผู้ตอบแบบสำรวจ อายุ จำนวน (คน) ร้อยละ 15-20 ปี 45 90 21-30 ปี 8 8 31-40 ปี 1 2 41-50 ปี - - 51-60 ปี - - 61 ปีขึ้นไป - - รวม 50 100 จากตารางที่ 8 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสำรวจ โดย จำแนกตามอายุ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นอยู่ในช่วงอายุ15-20 ปี จำนวน 45 คน คิดเป็นร้อยละ 90 รองลงมา คือ ช่วงอายุ21-30 ปี จำนวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 8 และน้อยที่สุด คือช่วงอายุ 31-40 ปี จำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2 ตามลำดับ ตารางที่ 9 ตารางแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบ แบบสำรวจ โดยจำแนกตามรายได้ของผู้ตอบแบบสำรวจ รายได้ จำนวน (คน) ร้อยละ ต่ำกว่า 9,000 บาท 45 90 9,001 - 10,000 บาท 1 2 10,001 - 20,000 บาท 3 6 20,001 - 30,000 บาท - - 30,001 - 40,000 บาท - - 40,001 - 50,000 บาท - - 50,001 บาท ขึ้นไป 1 2 รวม 50 100 จากตารางที่9 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสำรวจ โดย จำแนกตามรายได้ พบว่า ส่วนใหญ่จะเป็นรายได้ตั้งแต่ต่ำกว่า 9,000 บาท บาท จำนวน 45 คน คิด เป็นร้อยละ 90 รองลงมา คือ 10,001 - 20,000 บาท จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 6 และน้อยที่สุด คือ 9,001 - 10,000 บาท จำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2 ตามลำดับ