The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ratsameenilnate, 2022-08-12 10:45:28

ส่วนที่1

ส่วนที่1

1

หนว่ ยท่ี 1

ระบบความปลอดภยั ในงานไฟฟ้ าและอิเล็กทรอนกิ ส์

หวั ข้อเรอื่ ง

ดา้ นความรู้
1. คณุ สมบตั ิของไฟฟา้
2. อนั ตรายของไฟฟ้าต่อร่างกายมนุษย์
3. ข้อควรปฏิบตั ใิ นการใชไ้ ฟฟา้ อยา่ งถูกต้องปลอดภัย
4. การปฏิบตั ิงานดา้ นไฟฟา้ ที่ปลอดภัย
5. การช่วยเหลอื ผูป้ ระสบอันตรายจากไฟฟ้าดูด
6. การปฐมพยาบาลผปู้ ระสบอันตรายจากไฟฟ้าดดู
7. บทสรปุ

ดา้ นทกั ษะ
1. ปฏบิ ัตงิ านด้านไฟฟ้าท่ปี ลอดภัย
2. ชว่ ยเหลือผูป้ ระสบอันตรายจากไฟฟา้ ดูด
3. ปฐมพยาบาลผูป้ ระสบอนั ตรายจากไฟฟ้าดูด

ดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม
1. เตรียมความพรอ้ มดา้ น วสั ดุ อปุ กรณส์ อดคลอ้ งกบั งานได้อย่างถูกต้อง
2. มีความรับผิดชอบ ปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องในเรื่องความปลอดภัยและอุบัติภัยต่างๆ และสำเร็จภายใน

เวลาทีก่ ำหนดอย่างมีเหตแุ ละผลตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง

จดุ ประสงค์การสอน/การเรยี นรู้

• จุดประสงค์ทวั่ ไป / บรู ณาการเศรษฐกจิ พอเพียง

1. เพื่อใหม้ ีความรู้เก่ียวกบั อันตรายของไฟฟ้าต่อรา่ งกายมนุษย์ การปฏบิ ตั งิ านทางด้านไฟฟ้าและ
อิเลก็ ทรอนกิ ส์ที่ปลอดภัย และการปฏิบตั ิงานทางดา้ นการซ่อมบำรงุ เกี่ยวกบั ไฟฟา้ และการชว่ ยเหลือผปู้ ระสบ
อนั ตรายจากไฟฟ้า (ดา้ นความร้)ู

2. เพอ่ื ให้มที ักษะในการปฐมพยาบาลผูถ้ ูกไฟฟา้ ดูด (ดา้ นทักษะ)
3. เพอื่ ใหม้ เี จตคติทดี่ ตี ่อการเตรียมความพร้อมดา้ นการเตรยี ม วสั ดุ อปุ กรณ์ และการปฏบิ ตั ิงานอยา่ ง
ถกู ต้อง สำเรจ็ ภายในเวลาที่กำหนด มีเหตุและผลตามหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง (ด้านคณุ ธรรม จริยธรรม)

• จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม / บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพียง

1. อธบิ ายอนั ตรายของไฟฟ้าต่อร่างกายมนุษย์ ได้ (ดา้ นความรู้)
2. ยกตัวอยา่ งการปฏบิ ัตงิ านทางดา้ นไฟฟา้ และอิเล็กทรอนกิ ส์ท่ีปลอดภัย (ดา้ นความรู้)
3. ยกตวั อยา่ งการปฏบิ ตั งิ านทางด้านการซ่อมบำรงุ เกี่ยวกบั ไฟฟา้ ได้ (ด้านความรู้)
4. บอกวิธกี ารชว่ ยเหลอื ผปู้ ระสบอนั ตรายจากไฟฟา้ ได้ (ด้านความรู้)

2

5. สาธิตการปฐมพยาบาลผถู้ กู ไฟฟา้ ดดู (ดา้ นทักษะ)
6. เตรยี มความพร้อมด้าน วสั ดุ อปุ กรณส์ อดคลอ้ งกบั งานได้อยา่ งถูกต้อง (ด้านคณุ ธรรม จริยธรรม/
บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง)
7. ปฏบิ ัติงานได้อย่างถกู ต้อง และสำเร็จภายใน เวลาทีก่ ำหนดอยา่ งมีเหตแุ ละผลตามหลกั ปรัชญาของ
เศรษฐกจิ พอเพียง (ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม/บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง)

เน้อื หาสาระการสอน/การเรยี นรู้
• ด้านความรู้(ทฤษฎี)

1.1 คณุ สมบตั ิของไฟฟ้า

ไฟฟา้ จดั เปน็ พลงั งานชนิดหนึ่ง ชว่ ยอำนวยความสะดวกแก่มวลมนุษย์ ชว่ ยให้มนุษยบ์ นโลกมคี วามเป็นอยู่
ที่ดีมากขึ้น โดยใช้ไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงานจ่ายไปให้กับอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ ให้สามารถทำงานได้
ปจั จบุ นั มีความต้องการใชพ้ ลงั งานไฟฟา้ ในการดำเนนิ ชีวติ ประจำวัน และทำกจิ กรรมต่างๆ เพิ่มมากข้นึ ทกุ ขณะ สง่ ผล
ต่อการก่อให้เกิดโอกาสที่จะขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า เพราะไม่สามารถหาแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้ามาเพิ่มเติมได้
เพียงพอ การผลติ ไฟฟ้าและการนำไฟฟ้าไปใชง้ าน แสดงดังรปู ที่ 1.1

รปู ท่ี 1.1 การผลิตไฟฟ้าและการนำไฟฟ้าไปใชง้ าน

ไฟฟ้าเป็นพลังงานที่สามารถเปลีย่ นแปลงรูปพลงั งานได้ โดยอาศัยค่าแรงดันและกระแส จ่ายไปให้อุปกรณ์
เครอื่ งมือ และเคร่ืองใช้ไฟฟ้าให้เกิดการทำงาน โดยจ่ายไปในรูปกระแสไหล ไฟฟา้ เคล่ือนที่ได้ดีในวัตถุตัวนำจำพวก
โลหะชนิดต่างๆ เช่น ทองคำ ทองแดง เงิน เหล็ก ตะกั่ว และอะลูมิเนียม เป็นต้น ไฟฟ้าไม่สามารถเคลื่อนที่ผ่านไป
ไดห้ รือเคล่อื นท่ีไปไดล้ ำบากในวัตถุที่เปน็ พวกฉนวน เชน่ พลาสตกิ ยาง แก้ว ไม้ และเซรามิก เป็นตน้ ไฟฟ้าเป็นสิ่งท่ี
มองไม่เห็น ไม่สามารถรับรู้ได้นอกจากไปสัมผัสโดยตรง ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้สัมผัสถูกไฟฟ้า จึงมักเรียกว่าภยั มืด

3

การทดสอบว่าสายไฟฟ้ามีไฟฟ้าหรือไม่ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ติดตั้งพร้อมใช้งานมีไฟฟ้าหรือไม่ จะต้องทดลองใช้
อปุ กรณ์ไฟฟา้ เหล่านน้ั หรือใช้เครอื่ งมือวดั ไฟฟา้ ตรวจวดั ทดสอบดู

ไฟฟ้ามีประโยชน์อนันต์และมีโทษมหันต์ เป็นคำกล่าวที่ทันสมัยอยู่เสมอ ผู้ที่ใช้ไฟฟ้าทุกคนจำเป็นต้อง
คำนงึ ถงึ ความปลอดภยั ในการใชง้ านทกุ คร้ัง และใช้งานด้วยความระมัดระวงั โดยไมต่ กอยู่ในความประมาท

1.1.1 ประโยชน์ของไฟฟา้
ประโยชน์ของไฟฟ้า มีมากมายมหาศาล ถูกนำไปใช้งานอย่างแพร่หลายทั่วไป เช่น งานการผลิต

ทางอุตสาหกรรม งานทางการเกษตร งานดา้ นส่ือสารโทรคมนาคม งานดา้ นใหบ้ รกิ าร งานดา้ นอำนวยความสะดวก
และการใหค้ วามรู้ ความบนั เทงิ เป็นตน้ ประโยชนข์ องไฟฟ้าเม่ือพจิ ารณาทางด้านการนำไปใชง้ าน แบ่งออกไดด้ ังน้ี

1. ให้ความร้อน โดยเปล่ยี นพลงั งานไฟฟ้าให้เปน็ ความร้อน เชน่ เตาไฟฟ้า เตาอบ เตารดี ไฟฟา้ หม้อ
หงุ ข้าวไฟฟา้ เครอ่ื งเป่าผม และหวั แร้งบัดกรี เปน็ ตน้

2. ให้ความเย็น โดยเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นความเย็น เช่น ตู้แช่แข็ง ตู้เย็น ตู้น้ำเย็น และ
เครอ่ื งปรบั อากาศ เปน็ ต้น

3. ให้พลังงานกล โดยเปล่ียนพลงั งานไฟฟา้ ใหเ้ ป็นพลงั งานกล เช่น มอเตอร์ พดั ลม สวา่ นไฟฟา้
เครือ่ งซักผ้า และเคร่ืองดูดฝุ่น เป็นตน้
4. ให้อำนาจแม่เหล็ก โดยเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นสนามแม่เหล็ก เช่น กระดิ่ง ไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้า ลำโพง และ
แม่เหลก็ ไฟฟา้ เปน็ ต้น

5. ให้แสงสว่าง โดยเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นแสงสว่าง เช่น ไฟฉาย หลอดไฟฟ้า และการเกิด
ประกายไฟจากการเชอ่ื มไฟฟ้า เป็นต้น

6. ให้ความสะดวกสบาย โดยจ่ายพลังงานไฟฟ้าไปให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เกิดการทำงาน
ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดต่างๆ เช่น เครื่องรับวิทยุ เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องขยายเสียง เครื่องเล่นวีดีทัศน์
คอมพวิ เตอร์ โทรศัพท์ และวทิ ยสุ ่ือสาร เป็นต้น

1.1.2 โทษของไฟฟ้า
โทษของไฟฟ้ามีมากมายมหาศาลเช่นเดียวกัน ส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ไฟฟ้าอย่างผิดวิธี ขาด

ความระมัดระวงั หรือใช้ไฟฟ้าด้วยความประมาทเลินเล่อ ก่อให้เกิดอันตรายตามมาอยา่ งมากมาย ทั้งต่อทรัพย์สนิ
เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ชำรุดเสียหาย และทำให้เกิดเพลิงไหม้ เป็นต้น หรือต่อร่างกายมนุษย์ เช่น
ร่างกายพกิ าร และเสยี ชวี ติ เป็นตน้ จงึ จำเป็นต้องมีการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดข้ึนจากการใช้ไฟฟา้ อันตรายเกิดจาก
ไฟฟ้าแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ ไฟฟ้าช็อต (Short Circuit) และไฟฟ้าดูด (Electric Shock) ทั้งสองลักษณะนี้มี
สาเหตุของการเกดิ ที่ตา่ งกนั และอนั ตรายท่ไี ดร้ ับกต็ า่ งกันด้วย

4

1. ไฟฟ้าช็อต หรอื เรยี กอีกชือ่
ว่าไฟฟ้าลัดวงจร คือ สภาวะท่ีกระแสไฟฟ้าไหลได้
ครบวงจร โดยไม่ผ่านอุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่อง ใช้
ไฟฟา้ หรือภาระ (Load) ผลของไฟฟ้าช็อต จะ
ทำให้เกดิ ความรอ้ นสูง เม่ือความร้อนถงึ จดุ ลุก
ไหม้ ทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นได้ การเกิดไฟฟ้า ช็อต
แสดงดังรปู ท่ี 1.2

รปู ท่ี 1.2 เพลงิ ไหมเ้ กดิ จากไฟฟ้าช็อต

2. ไฟฟ้าดูด คือ สภาวะที่กระแสไฟฟ้า
ไหลผ่านร่างกายมนุษย์ลงพื้นดิน หรือไหลผ่าน
ร่างกายมนุษย์ครบวงจร จะก่อให้เกิดอาการเกร็ง
ของกล้ามเนื้อ จนร่างกายมนุษย์ไม่สามารถดิ้น
หรือสะบดั ให้หลดุ ออกจากไฟฟ้าได้ ผลท่ีเกดิ จาก
ไฟฟ้าดูดอาจทำให้พิการ หรือถึงเสียชีวิตได้ การ
เกดิ ไฟฟา้ ดูด แสดงดังรปู ที่ 1.3

รปู ที่ 1.3 ไฟฟา้ ดูด

1.2 อันตรายของไฟฟา้ ตอ่ ร่างกายมนษุ ย์
ไฟฟ้าเป็นพลังงานที่สามารถเคลื่อนที่ได้ การนำไฟฟ้าไปใช้งานโดยใช้ปริมาณของแรงดันที่แหล่งกำเนิดไฟฟ้า

ผลติ ขึ้นมา และปริมาณของกระแสทเ่ี กิดจากภาระต้องการใช้งาน คณุ สมบัติของไฟฟา้ คอื กระแสไหลผ่านได้ดีในวัตถุ
ตัวนำจำพวกโลหะทุกชนิด โดยที่ขณะกระแสไหลไม่สามารถมองเห็น เพียงแต่รับรู้ได้จากการที่อุปกรณ์ เครื่องมือ
และเครื่องใช้ไฟฟ้าเกิดการทำงาน และจากการตรวจวัดด้วยเครื่องมือวัดทดสอบทางไฟฟ้า หรือจากการสัมผัส
โดยตรงของร่างกายมนุษย์ที่ทำให้เกิดกระแสไหลครบวงจร นั่นคือเป็นผลของการเกิดไฟฟ้าดูดร่างกายมนุษย์เป็น
ตัวนำไฟฟ้าเช่นเดียวกับตัวนำอื่นๆ ไฟฟ้าสามารถผ่านร่างกายไปได้อย่างสะดวก ดังนั้นจึงควรระมัดระวังไม่ ให้
ร่างกายทุกส่วนสัมผัสถูกตัวนำไฟฟ้าที่ต่อรับพลังงานอยู่กับแหล่งกำเนิดไฟฟ้า หรือในขณะที่มีกระแสไหลผ่านตัวนำ
ไฟฟ้าเหล่าน้ัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่ส่วนหนงึ่ สว่ นใดของรา่ งกายมนษุ ยส์ ัมผสั อยกู่ ับพ้ืนนำ้ พืน้ ดนิ พื้นปูน หรือ
โลหะท่ีต่อถงึ พืน้ ดนิ หรือพนื้ นำ้ กระแสสามารถไหลผ่านรา่ งกายลงสูพ่ ้นื ดินหรอื พ้นื น้ำได้สะดวก หรอื ในอีกกรณหี น่ึง
ที่รา่ งกายมนุษยส์ มั ผัสถูกสายตัวนำไฟฟ้าพรอ้ มกันมากกว่าหน่ึงเสน้ ร่างกายมนษุ ยจ์ ะกลายเป็นภาระไฟฟ้าทันทีแทน
เครื่องใช้ไฟฟ้า จะทำให้เกิดกระแสไหลผ่านร่างกายมนุษย์ครบวงจร เรียกการเกิดกระแสไหลในลักษณะนี้ว่าไฟฟ้า
ดูด การถูกไฟฟ้าดูดของร่างกายมนษุ ย์จากการสัมผสั ส่วนท่ีมีไฟฟ้า สามารถแยกตามลักษณะของการสัมผัสไฟฟ้าได้
2 แบบ คือ การสัมผัสโดยตรง (Direct Contact) และการสัมผสั โดยอ้อม (Indirect Contact)

5

1.2.1 การสัมผัสไฟฟา้ โดยตรง

การสัมผัสไฟฟ้าโดยตรง คือ เป็น

กรณีที่ส่วนของร่างกายคนสัมผัสถูกส่วนที่มีไฟฟ้าจา่ ย

มาโดยตรง เชน่ สายไฟฟา้ ร่วั เพราะฉนวนชำรุด มคี นใช้
มือจับสายไฟฟ้าที่รั่ว และจากการที่ใช้นิ้วมือหรือโลหะ
ขนาดเล็ก เช่น ลวด ไขควง หรือโลหะอื่นๆ แหย่เข้าไป
ในรูเต้ารับไฟฟ้า เป็นต้น ลักษณะการสัมผัสไฟฟ้า
โดยตรงนี้ จะมีผลให้เกิดกระแสจำนวนมากไหลผ่าน
เข้าสู่ร่างกายคนไปลงดิน ทำให้เกิดอันตรายมาก คน
อาจพิการหรือถึงเสียชีวิตได้ การสัมผัสไฟฟ้าโดยตรง

แสดงดังรปู ที่ 1.4 รปู ที่ 1.4 การสัมผัสไฟฟ้าโดยตรง

1.2.2 การสมั ผัสไฟฟ้าโดยอ้อม

การสัมผัสไฟฟ้าโดยอ้อม เป็นการ รปู ที่ 1.5 การสมั ผัสไฟฟา้ โดยอ้อม
สัมผัสทคี่ นไม่ได้สัมผัสกับส่วนที่มีไฟฟ้าโดยตรง แต่เกิด
จากคนสัมผัสกับอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือเครื่องใช้ ไฟฟ้า
ตามปกติ ซึ่งโดยปกติจะไม่มีไฟฟ้าจ่ายออกมาที่ตัวถัง
โลหะ แตถ่ า้ เม่ืออปุ กรณ์ไฟฟ้า หรือเครื่องใช้ ไฟฟ้าเกิด
ไฟฟ้ารั่ว จึงมีไฟฟ้าจ่ายอยู่ที่ตัวถังโลหะของอุปกรณ์
ไฟฟ้า หรือเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น เมื่อคนไปสัมผัสจึงเกดิ
กระแสไหลผ่านเขา้ สู่รา่ งกายคนไปลงดิน เช่นเดยี วกับ
การสัมผัสส่วนที่มีไฟฟ้า การสัมผัสไฟฟ้าโดยอ้อมมี
อนั ตรายสงู มาก เพราะจาก

การขาดความระมัดระวังของผใู้ ช้งาน การสัมผสั ไฟฟา้ โดยอ้อม แสดงดงั รปู ท่ี 1.5

ร่างกายคนเมื่อถูกไฟฟ้าดูด จะเกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อจนไม่มีแรงสะบัดให้หลุดออกจากไฟฟ้าได้ ผล

ของไฟฟ้าดูดอาจทำให้บาดเจ็บ พิการ หรืออาจถึงเสยี ชีวิตได้ อันตรายที่เกิดขึน้ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของ

กระแสที่ไหลผ่านร่างกายไป กระแสไหลผ่านน้อยเกิดอันตรายน้อย กระแสไหลผ่านมากเกิดอันตรายมาก

ความสมั พันธข์ องปริมาณกระแสไหลผา่ นรา่ งกายคนมีผลตอ่ ปฏิกิรยิ าที่เกิดขน้ึ แสดงดงั ตารางท่ี 1.1

6

ตารางที่ 1.1 ความสัมพันธ์ของปรมิ าณกระแสไหลผ่านรา่ งกายคนมีผลต่อปฏิกิริยาท่ีเกดิ ข้ึน

ปริมาณกระแสไหลผ่าน ปฏิกริ ยิ าทีเ่ กดิ ขน้ึ
ร่างกายคน
ยงั ไม่มีผลหรอื ไม่รู้สึก
ต่ำกว่า 0.5 มิลลิแอมป์ (mA) รูส้ กึ จ๊กั จห้ี รือกระตุกเลก็ น้อย
1 mA รู้สึกสั่นเล็กน้อย แต่ไม่เจ็บ คนส่วนใหญส่ ามารถหนไี ด้ แต่
5 mA การเคลอื่ นที่อย่างไม่ระวงั จะทำใหเ้ กดิ อนั ตรายได้
รู้สึกเจ็บปวด สูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อ นี่คือปริมาณ
6 – 25 mA (ผหู้ ญงิ ) กระแสทีร่ ่างกายไมส่ ามารถขยบั เขยอ้ื นได้
9 – 30 mA (ผู้ชาย) ได้รับความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก อวัยวะที่เกี่ยวกับการ
หายใจหยุดทำงาน กล้ามเนื้อหดตัวอย่างรุนแรง กล้ามเนื้อข้อ
50 – 150 mA ตอ่ จะแขง็ ทำให้เสียชีวติ ได้
หวั ใจหยดุ เต้น กลา้ มเนอื้ หดตัว เสน้ ประสาทถูกทำลาย ทำ
1 – 4.3 แอมแปร์ (A) ให้เสียชวี ติ
10 A หัวใจหยุดเต้น และถกู เผาไหม้อย่างรุนแรง เสียชวี ิต
15 A กระแสเกินค่าต่ำสุดที่ฟิวส์ หรือเซอร์กิตเบรกเกอร์จะตัด
วงจร

นอกจากน้นั ระยะเวลาที่กระแสไหลผ่านร่างกายคน จะสง่ ผลถึงอันตรายที่จะเกิดขึน้ น้อยหรือมากดว้ ย กระแสไหลผ่าน

ใช้เวลาน้อยเกิดอันตรายน้อย กระแสไหลผ่านใช้เวลามากเกิดอันตรายมาก ระยะเวลาที่ถูกไฟฟ้าดูด ดังน้ันถ้าไม่มี

บุคคลอื่นช่วยเหลืออย่างทันท่วงที อันตรายที่ได้รับก็จะสาหัสมากขึ้น คือหัวใจเต้นรัวเร็วหรือช้า ซึ่งอาจได้รับ

อันตรายถงึ เสียชวี ิต เมอื่ ระยะเวลาที่ถูกไฟฟ้าดดู นานเกินกวา่ ระยะเวลากำหนดท่ีบอกไว้ แสดงดงั ตารางท่ี 1.2

ตารางท่ี 1.2 ความสมั พนั ธ์ของปริมาณกระแสไหลผา่ นร่างกายคนกับระยะเวลาท่ที ำให้เสียชวี ิต

ปรมิ าณกระแสไหลผ่าน ระยะเวลา หมายเหตุ
รา่ งกายคน

15 mA นานกวา่ 2 นาที

20 mA นานกวา่ 1 นาที

30 mA นานกว่า 35 วนิ าที เสยี ชีวติ
100 mA นานกวา่ 3 วนิ าที

500 mA นานกว่า 0.11 วนิ าที

1 A นานกวา่ 0.01 วนิ าที

7

1.3 ขอ้ ควรปฏิบตั ิในการใช้ไฟฟา้ อยา่ งถูกต้องปลอดภยั
การใช้ไฟฟ้าทุกครั้งควรคำนึงถึงความปลอดภยั ใช้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ มีความคุ้มค่า เกิดประโยชนส์ งู สุด

และใช้อย่างประหยัด ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยประหยัดพลังงานแล้ว ยังมีผลดีต่อส่วนรวมของประเทศในแง่ของ
การอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกด้วย ผู้ใช้ไฟฟ้าจึงจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการใช้
ไฟฟา้ อย่างถูกตอ้ ง ขอ้ ควรปฏิบัติในการใช้ไฟฟ้าอยา่ งถูกต้องปลอดภัย ปฏบิ ตั ิไดด้ ังนี้

1. ควรตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนจ้างงานหรือทำสัญญากับบริษัท หรือช่างที่จะดำเนินการออกแบบ และเดิน
สายไฟติดต้งั ระบบไฟฟ้าว่าเปน็ ผู้ทมี่ ีประสบการณ์ มีความรูค้ วามชำนาญเชอ่ื ถือได้เทา่ นั้น

2. อุปกรณ์การตดิ ต้ังทางไฟฟ้าต้องเปน็ ชนดิ ที่ไดร้ บั การรับรองจากมาตรฐานต่างๆ ท่ีน่าเช่อื ถอื เช่น
สำนักงานมาตรฐานผลติ ภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.), UL, VDE และ IEC เปน็ ต้น เครือ่ งหมายมาตรฐานอปุ กรณ์ไฟฟา้
ประเทศต่างๆ แสดงดังรปู ท่ี 1.6

มอก. มาตรฐานไทย มาตรฐานอเมริกา มาตรฐานเยอรมนั มาตรฐานยโุ รป
รปู ที่ 1.6 เครอ่ื งหมายมาตรฐานอุปกรณไ์ ฟฟ้าประเทศต่างๆ

3. การเดินสายไฟ และติดต้ังอปุ กรณไ์ ฟฟ้า ตอ้ งเปน็ ไปตามกฎการเดินสายและติดตง้ั อปุ กรณ์ไฟฟ้าของการ
ไฟฟา้ นครหลวง และการไฟฟ้าสว่ นภูมภิ าค หรือมาตรฐานการตดิ ต้ังทางไฟฟา้ ทกี่ ารไฟฟ้าทง้ั สองยอมรบั

4. กอ่ นใช้เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ผู้ใช้ตอ้ งอา่ นและศกึ ษาคมู่ ือแนะนำการใช้งานให้เขา้ ใจ และปฏิบัติตามคำแนะนำ
อย่างเคร่งครดั

5. ทกุ คร้งั ท่ีจะใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ควรตรวจสอบสายไฟ เต้าเสยี บ และเต้ารับ ที่จะใชง้ านว่ามรี อ่ งรอยของการ
ชำรุดหรือไม่
6. เครื่องใชไ้ ฟฟ้าท่มี เี ปลือกหุ้มภายนอกทำดว้ ยโลหะทุกชนิด หรอื เคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ ท่ีอาจมี
ไฟฟ้ารั่วมากับน้ำ จำเป็นต้องต่อสายดินของเครื่องใช้
ไฟฟ้าเข้ากับระบบสายดิน หมายถึงจะต้องมีการติดต้ัง
ระบบสายดินที่ถูกต้องภายในบ้าน และใช้เตาเสียบชนิดมี
ขั้วสายดิน กับเต้ารับชนิดมีขั้วสายดินที่เป็นมาตรฐาน
เดียวกัน เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ เช่น ตู้เย็น เตารีด หม้อหุง
ขา้ ว เตาไมโครเวฟ เตาไฟฟ้า กระทะไฟฟา้ หมอ้ ต้มน้ำร้อน
เครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องปรับอากาศ และเครื่องซักผ้า เป็น
ต้น ลักษณะเต้าเสียบเต้ารับชนิดมีขั้วสายดิน แสดงดังรูปท่ี
1.7

8

รปู ที่ 1.7 เต้าเสียบเตา้ รับชนิดมีขัว้ สาย
ดนิ

7. เมื่อร่างกายเปียกชื้น ห้ามแตะต้องส่วนที่มี รปู ท่ี 1.8 เครื่องทำนำ้ อนุ่ ทมี่ ีระบบตัด
ไฟฟา้ หรอื เคร่ืองใช้ไฟฟ้าโดยเด็ดขาด เพราะอาจมีไฟรั่วที่ ไฟร่วั
อุปกรณ์เหล่านั้น และความต้านทานต่อไฟฟ้าของผิวหนัง
ที่เปียกชื้นจะลดลงอย่างมาก ทำให้กระแสไฟฟ้าสามารถ
ไหลผ่านร่างกายได้สะดวก ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้า
ขณะท่ีร่างกายเปยี กช้นื เช่น การใช้เคร่ืองทำนำ้ อุ่นในการ
อาบน้ำ นอกจากจะต้องติดตั้งสายดินแล้ว จะต้องติดตั้ง
เครื่องตัดไฟรั่วช่วยเสริมการทำงานร่วมกับสายดินให้
ปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วย เครื่องทำน้ำอุ่นที่มีระบบตัดไฟร่ัว
แสดงดังรปู ท่ี 1.8

8. ในการเดินสายไฟ หรือลากสายไฟไปใช้งานนอกอาคารเป็นการชั่วคราว หรือถาวร เช่น งานก่อสร้าง ต่อเติม
ปรบั ปรงุ นอกอาคาร นอกจากอุปกรณ์ไฟฟา้ และสายไฟฟ้าต้องเป็นชนิดที่กันนำ้ และทนทานต่อสภาวะแวดล้อมทาง
กลและแสงแดดแล้ว วงจรไฟฟา้ หรือเต้ารบั นน้ั ต้องมีเครอ่ื งตัดไฟร่ัวด้วยจงึ จะปลอดภัย

9. ควรแยกวงจรไฟฟ้าทน่ี ้ำอาจทว่ มถึงออกต่างหาก เชน่ ในบริเวณชนั้ ล่างของอาคาร เพ่ือให้สามารถปลด
ไฟออกไดท้ นั ทีเมือ่ เกิดนำ้ ท่วม หรอื อาจติดตั้งเครอื่ งตัดไฟรว่ั ร่วมดว้ ยกไ็ ด้

10. หม่ันตรวจสอบอุปกรณต์ ดิ ตัง้ ทางไฟฟา้ และเครื่องใชไ้ ฟฟา้ เป็นประจำอยา่ งน้อยปลี ะ 1 คร้งั
11. ฝึกให้เป็นคนช่างสังเกตสิ่งผิดปกติจากสี กลิ่น

เสยี ง และการสมั ผัสอุณหภูมิ รวม ทัง้ การใช้เคร่ืองมือง่ายๆ
ในการตรวจสอบ เช่น ไขควงลองไฟ เป็นต้น การสังเกต
เช่น สีของสายไฟเปลี่ยนไป มีกลิ่นเหม็นไหม้ มีรอยเขม่า
หรอื รอยไหม้ มอื จับสวิตช์ไฟหรอื เต้าเสียบแล้วรสู้ ึกอุ่น เป็น
ต้น เหล่านี้แสดงว่ามีความร้อนผิด ปกติเกิดขึ้น อาจเกิด
จากจุดต่อต่างๆ ไม่แน่น เต้าเสียบ เต้ารับหลวม เป็นต้น
การใช้ไขควงลองไฟทดสอบไฟร่วั แสดงดังรูปที่ 1.9

รูปท่ี 1.9 การใชไ้ ขควงลองไฟทดสอบ
ไฟร่วั

9

12. อย่าพยายามใช้ไฟฟ้าหรือเปิดสวิตช์เคร่ืองใช้ไฟฟ้า เชน่ พดั ลมระบายอากาศในบริเวณท่ีมีไอของสารระเหยหรือก๊าซ

ทไ่ี วไฟปกคลุมอยู่เต็มพ้ืนท่ี เชน่ กา๊ ซหุงต้ม ทินเนอร์ หรอื ไอนำ้ มันเบนซิน เปน็ ต้น

13. ระมัดระวังการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าราคาถูกจากบางประเทศที่ผลิตแบบไม่ได้มาตรฐาน นอกจากจะมีอายุ

การใชง้ านส้นั แล้ว อาจไมป่ ลอดภยั ในการใช้งานโดยเฉพาะในเร่อื งของอัคคีภัย

14. อุปกรณ์ที่มีการเสียบปลั๊กทิ้งไว้นานๆ

โดยไม่มีผู้ดูแล เช่น หลอดไฟทางเดิน หรือบันได

หม้อแปลงไฟขนาดเล็ก (อะแดปเตอร์) และเครื่อง

ชาร์จแบตเตอรี่ขนาดเล็ก เป็นต้น หากมีความจำเป็น

ต้องใช้ให้หลีกเลี่ยงการใช้ในบริเวณที่มีวัสดุที่ติดไฟได้

งา่ ยอยู่ใกล้ๆ

15. ทุกครั้งที่เลิกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ควรปิด

สวิตช์ที่เครื่องใช้ไฟฟ้าก่อน และถอดเต้าเสียบออก

จากเต้ารับทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เครื่องใช้ไฟฟ้าชำรุด

เสียหายง่าย การถอดเต้าเสียบออกจากเต้ารบั ทุกครงั้

เมอื่ เลกิ ใชง้ านเครื่องใชไ้ ฟฟ้า แสดงดังรปู ท่ี 1.10

16. อยา่ พยายามซ่อมเคร่ืองใช้ไฟฟ้าด้วยตวั เอง หรือโดยชา่ งซ่อมท่มี ีความรู้ความชำนาญไม่เพียงพอ เครื่องใช้ไฟฟ้าบาง

ประเภทจำเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์ตรวจสอบด้านความปลอดภัย เช่น เตาไมโครเวฟ ต้องมีการตรวจสอบการร่ัว

ออกมาของคลื่นไมโครเวฟ ไม่ให้มีมากเกินอัตราที่กำหนดหรือเครื่องใช้ที่มีสายดินต้องตรวจสอบความต่อเนื่องและ

ฉนวนของสายดนิ กบั สายศนู ย์ เปน็ ตน้

17. หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในขณะที่มี

ฝนตกฟ้าคะนอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นอุปกรณ์

อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์ อุปกรณ์สื่อสาร โทรทัศน์

เครื่องเล่นวีดีทัศน์ เครื่องเสียง และคอมพิวเตอร์ เป็น

ตน้ เพ่ือเป็นการปอ้ งกนั ไม่ใหเ้ คร่ืองใช้ไฟฟ้าเหลา่ นชี้ ำรุด

เสียหาย เมื่อมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียง ให้ปิด

เครื่องถอดเต้าเสียบออก รวมทั้งสายอากาศ และ

สายโทรศัพท์ออกจากเครื่องทุกครั้ง การเกิดฟ้าผ่า

แสดงดงั รูปท่ี 1.11 รปู ที่ 1.11 การเกดิ ฟ้าผา่

10

18. เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ควบคุมการเปิด
ปิดด้วยปุ่มสัมผัสอิเล็กทรอนิกส์ หรือรีโมท
คอนโทรล เช่น โทรทัศน์ เครื่องเล่นวีดีทัศน์
เครื่องเสียง และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้เมื่อปิดเครื่องแล้วยังมี
ไฟเลี้ยงวงจรควบคุมภายในเครื่องอยู่ตลอด
เวลา จึงมีโอกาสทำให้เกิดอุปกรณ์ควบคุม
ภายในชำรุดได้ หรือบางครั้งอาจทำให้เกิด
รปู ท่ี 1.12 การเกิดเพลงิ ไหมเ้ ครอื่ งคอมพวิ เตอร์ เพลิงไหม้ทรัพย์สินเสียหายได้ ดังนั้นจึงควร
ถอดเต้าเสยี บออก หรอื ตดิ ตั้งวงจรสวิตช์ตัดต่อ
วงจร เพ่ือตัดไฟออกทุกครั้งที่เลิกใช้งาน การ
เกิดเพลิงไหม้ของคอมพิวเตอร์ แสดงดังรูปท่ี
1.12
19. เมอื่ ไฟฟ้าที่จ่ายมาจากการไฟฟ้าดบั ให้ดบั สวิตชเ์ คร่ืองใชไ้ ฟฟ้าทุกชนิดทีเ่ ปดิ ค้างอยทู่ ันที เพื่อป้องกันสาเหตุที่จะ
เกดิ ขึ้น ดังนี้
 เครื่องใช้ไฟฟ้าชำรุดจากแรงดันที่ผิดปกติขณะไฟฟ้าดับไม่สนิท แรงดันอาจต่ำกว่าปกติ หรือ
ขณะทีเ่ ริ่มมไี ฟฟ้ากลบั เข้ามาใหม่ แรงดันอาจมากเกนิ ปกติ
 อปุ กรณ์ตดั วงจรอาจทำงานอีกคร้ัง เมอื่ มไี ฟกลับเขา้ มา และมเี คร่ืองใช้ไฟฟ้าที่กินไฟในการเรมิ่
ทำงานมากเปิดใช้งานอยู่ จะทำให้เกิดไฟดับอีกคร้ังได้
 อันตรายจากเครื่องใช้ไฟฟ้าท่ีมีความร้อนติดค้างอยู่ เช่น เตารดี และเตาไฟฟ้า เป็นต้น ในขณะท่ีมี
ไฟกลับเข้ามาโดยไมร่ ูต้ วั
20. ฝึกฝนให้รู้จกั วิธแี ก้ไขและปอ้ งกนั รวมท้ังชว่ ยเหลอื ปฐมพยาบาล เมื่อมอี ุบตั เิ หตุทางไฟฟา้ เกิดขึน้

1.4 การปฏบิ ัติงานดา้ นไฟฟ้าที่ปลอดภยั
การสัมผัสจับต้องไฟฟ้าถือเป็นอันตรายต่อร่างกายคนอย่างร้ายแรง ดังนั้นการปฏิบัติงานทางด้านที่ต้อง

เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าจำเป็นต้องมีความระมัดระวังอย่างมาก ต้องมั่นใจว่าเกิดความปลอดภัย ขณะปฏิบัติงานจะต้องมี
อุปกรณ์อำนวยความสะดวก และอุปกรณ์ป้องกันอันตรายที่เพียงพอ ต้องปฏิบัติงานให้ถูกขั้นตอน ทำงานอย่างเป็น
ระบบและมคี วามรอบคอบ หลักการปฏบิ ัติ งานทางด้านไฟฟ้าทปี่ ลอดภยั มีดังน้ี

1. ควรคำนึงถึงกฎแห่งความปลอดภัยทุกครั้ง ขณะทำงานหรือซ่อมบำรุงเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้า และ
อย่าทำงานด้วยความประมาท

11

2. ก่อนการปฏิบัตงิ านเก่ียวกับไฟฟ้า ต้องถือ รูปท่ี 1.13 ตัดไฟฟ้าทุกครั้งก่อนการ
วา่ เครื่องใชไ้ ฟฟ้า อปุ กรณไ์ ฟฟ้าเหลา่ น้ันมีไฟฟ้าจ่ายอยู่ ปฏบิ ัติงาน
ต้องตรวจสอบจนแน่ใจก่อนว่าไม่มีไฟฟ้าจ่ายให้แล้ว
ตัดไฟฟ้าทุกครั้งก่อนการปฏิบัติงาน แสดงดังรูปที่
1.13

3. จะปฏิบัติงานเกี่ยวกับไฟฟ้าเรื่องใด ต้องมี
ความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นก่อนการปฏิบัติงาน
หรือถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจควรสอบถามผู้รู้ และให้ผู้รู้เป็น
ผู้กระทำ

4. อุปกรณ์และเคร่ืองมือทใี่ ชใ้ นการปฏิบตั งิ าน หากมีส่วนชำรดุ หรือไม่สมบรู ณไ์ ม่ควรนำมาใชง้ าน
5. อย่าปฏบิ ตั งิ านเม่ือรสู้ ึก เหน่อื ย อ่อนเพลยี งว่ งนอน หรือรบั ประทานยาทำใหเ้ กดิ อาการงว่ งซึม
6. อย่าปฏิบัติงานในขณะมือเปียกน้ำ หรือ

ยืนอยู่บนพื้นที่เปียกน้ำ ทำให้เกิดอันตรายได้ง่าย
อันตรายเกิดจากไฟฟา้ กับน้ำ แสดงดงั รปู ที่ 1.14

7. ถ้าจำเป็นต้องปฏิบัติงานในบริเวณที่มีคน
พลุกพล่าน หรือมีการปฏิบัติงานอื่นๆ ร่วมด้วย ต้อง
แขวนป้ายหรือเขียนป้ายแสดงการงดใช้ไฟฟ้าไว้ให้
มองเหน็ ชัดเจนทกุ คร้ังก่อนเริ่มการปฏิบัติงาน

8. ถ้าจำเป็นต้องปฏิบัติงานในบริเวณที่ไม่
สามารถตัดไฟออกได้ ต้องกั้นบริเวณหรือป้องกัน
ไม่ใหผ้ ู้ไม่เก่ยี วข้องเข้าใกลไ้ ด้

รปู ที่ 1.14 อนั ตรายเกิดจากไฟฟา้ กบั น้ำ

9. การปฏิบัติงานถ้ามีการละงานไปชั่วคราว เช่น พักเที่ยง เมื่อกลับมาปฏิบัติงานต่อ ต้องตรวจสอบสวิตช์ตัดตอน
สะพานไฟ ตลอดจนเครือ่ งหมายต่างๆ ท่ีทำไว้ตอ้ งอยู่ในสภาพเดิมก่อนปฏิบัตงิ านต่อไป

10. การปฏบิ ตั ิงานแต่ละคร้งั ควรมีผรู้ ว่ มปฏบิ ัตงิ านดว้ ยอย่างน้อย 2 คน
11. การปฏิบัติงานเกี่ยวกับไฟฟ้าแรงสูง ควรใช้เครื่องช่วยป้องกันไฟฟ้าให้มากขึ้นกว่าปกติ เช่น ใช้เสื่อยาง
ฉนวนปพู ้นื สวมถุงมอื ฉนวน และปลอกแขนฉนวน เป็นต้น ก่อนการปฏบิ ัติ งานทกุ คร้ัง

12

1.5 การช่วยเหลือผูป้ ระสบอันตรายจากไฟฟ้าดูด
การช่วยเหลือผู้ประสบอันตรายจากไฟฟ้าดูดนับเป็นสิ่งจำเป็น และสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องกระทำด้วยความ

รวดเร็วอย่างถูกวิธี มีความรอบคอบ และด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้ผู้ประสบอนั ตรายมีโอกาสรอดพ้นจากอันตราย
ขัน้ ร้ายแรง และผ้ใู หค้ วามชว่ ยเหลือเกิดความปลอดภัยไม่เปน็ อนั ตรายตามไปดว้ ย สิ่งสำคัญคือผ้ใู ห้ความชว่ ยเหลอื ต้อง
รูจ้ ักวธิ ใี หค้ วามชว่ ยเหลือท่ีถูกต้อง และถกู วธิ ี การปฏิบตั ทิ ำไดด้ งั นี้

1. อย่าใช้มือเปล่าแตะต้องตัวผู้ที่กำลังติดอยู่กับสายไฟฟ้า หรือตัวนำไฟฟ้าที่มีกระแสไหลผ่าน เพื่อป้องกัน
ไมใ่ ห้ผู้ให้ความช่วยเหลือเกิดอนั ตรายตามไปด้วยอกี คน

2. รบี หาทางตดั ทางเดนิ ของไฟฟ้าก่อน โดยถอดเต้าเสียบ ตดั สวติ ช์ตัดวงจรอตั โนมตั ิ หรอื สวติ ชป์ ระธาน ถ้า
ทำไม่ได้ให้ใช้วัสดุท่ีไม่เป็นสื่อตัวนำไฟฟ้า เชน่ ผ้าแห้ง เชอื กแห้ง ไมแ้ ห้ง สายยางแห้ง หรอื ผ้าพลาสติกที่แห้งสนิท ลาก
ตัวผู้ประสบอันตรายให้พ้นจากสิ่งที่มีไฟฟ้า หรือใช้ไม้แห้งเขี่ยสายไฟฟ้าให้หลุดพ้นออกจากตัวผู้ประสบอันตราย หรือ
เขย่ี ส่วนของรา่ งกายผปู้ ระสบอนั ตรายใหห้ ลดุ พน้ ออกจากสายไฟฟ้าโดยเร็ว

การช่วยผู้ประสบอันตรายจากไฟฟ้าดูด แสดงดัง
รูปท่ี 1.15

รูปที่ 1.15 การช่วยผู้ประสบอันตรายจากไฟฟา้ 3. เมื่อไม่สามารถทำวิธีอื่นใดได้แล้ว ให้
ดดู ใช้มีด ขวาน หรือของมีคมที่มีด้ามไม้หรือดา้ มที่
เป็นฉนวน ฟันสายไฟฟ้าให้ขาดหลุดออกจาก
ผู้ประสบภัยโดยเร็วที่สุด และต้องแน่ใจว่า
สามารถทำได้ดว้ ยความปลอดภยั

4. ในกรณีที่มีกระแสอยู่ในบริเวณทีม่ ีนำ้
ขัง อย่าลงไปในน้ำ ให้หาทางเขี่ยสายไฟฟ้า
ออกไปให้พ้นน้ำ หรือตัดไฟฟ้าออกก่อนจะลงไป
ช่วยผปู้ ระสบอันตรายทีอ่ ยู่ในบริเวณน้ัน

5. ถ้ากรณีที่เป็นสายไฟฟ้าแรงสูง ให้พยายามหลีกเลี่ยงอย่าเข้าไปใกล้ และรีบแจ้งการไฟฟ้าที่รับผิดชอบให้ทราบ
โดยเร็วทสี่ ดุ

13

1.6 การปฐมพยาบาลผู้ประสบอันตรายจากไฟฟ้าดดู

ผู้ประสบอันตรายจากกระแสไฟฟ้าดูด ส่วนมากจะหมดสติไม่รู้สึกตัว ซึ่งอาจจะไม่หายใจ และมีสภาวะหัวใจ

หยุดเต้น สังเกตได้จากอาการที่เกิดขึ้นดังนี้ ริมฝีปากเขียว สีหน้าซีดเขียวคล้ำ ทรวงอกเคลื่อนไหวน้อยมากหรือไม่

เคลื่อนไหว ชีพจรเตน้ ช้าและเบามาก หากหัวใจหยุดเต้นจะคลำชีพจรไม่พบ ม่านตาขยายค้างไม่หดเล็กลง การหมด

สติเช่นนี้ต้องรีบให้การปฐมพยาบาลทันที เพื่อให้ปอดและหัวใจทำงาน เรียกการช่วยเหลือนี้ว่า การปฏิบัติการช่วยฟนื้

คืนชีพ (Cardio Pulmonary Resuscitation ; CPR) โดยวิธีการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน (Basic Life Support ;

BLS) ได้แก่ การผายปอดด้วยการให้ลมหายใจทางปากที่เรียกว่าการเปา่ ปาก ร่วมกับการนวดหัวใจภายนอก ก่อนนำ

ผูป้ ว่ ยสง่ แพทย์

1.6.1 การผายปอดด้วยการให้ลมหายใจทางปาก

ภาวะหยุดหายใจ (Respiratory Arrest) เป็นภาวะที่มีการหยุดการทำงานของอวัยวะในระบบ

ทางเดนิ หายใจและการไหลเวียนของโลหิต ส่วนมากมกั จะพบว่ามีการหยุดหายใจก่อนเกิดภาวะหวั ใจหยุดเตน้ และถ้า

ไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้อง จะทำให้เสียชีวิตได้ การผายปอดด้วยการให้ลมหายใจทางปาก เป็นวิธีพื้นฐานท่ี

จำเป็นตอ้ งปฏบิ ัติในเบื้องต้น ทำได้ดังน้ี

1. ให้ผูป้ ว่ ยนอนหงายราบกับพื้น

จัดท่านอนให้เหมาะสม เพื่อเปิดทางให้มีอากาศ

เข้าสปู่ อดไดส้ ะดวก โดยผู้ปฐมพยาบาลจะอยู่ทาง

ด้านขวา หรือด้านซ้ายบริเวณศีรษะของผู้ป่วยก็

ได้ ลักษณะการจัดท่านอนที่ถูกต้องเหมาะสมให้

ผู้ป่วย แสดงดังรปู ท่ี 1.16

2. ใช้มือข้างหนึ่งดึงคางผู้ป่วย

หรือดันใต้คอพร้อมกับใช้มืออีกข้างดันหน้าผากให้

หน้าแหงน เปน็ วิธีปอ้ งกันไมใ่ หล้ ้ินตกไปอดุ รูปที่ 1.16 การจัดทา่ นอนท่ีถูกต้องเหมาะสมให้ผู้ป่วย

ปิดทางเดินหายใจ และต้องระวังไม่ให้นิ้วมือที่ดึงคางนั้น กด
ลึกลงไปในส่วนของเนื้อใต้คาง เพราะจะทำให้อุดกั้นทางเดิน
หายใจได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก สำหรับในเด็กแรกเกิด
ไม่ควรหงายคอมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดหลอดลม
แฟบ และเกิดอุดตันทางเดินหายใจได้ ลักษณะการใช้มือจับ
ศรี ษะผปู้ ่วยให้หนา้ แหงน แสดงดังรปู ที่ 1.17

รูปท่ี 1.17 การใช้มือจบั ศรี ษะผูป้ ่วยให้หน้าแหงน

14

3. สอดน้วิ หวั แม่มือเขา้ ในปากผปู้ ว่ ย จบั ขากรรไกรลา่ งยกข้นึ จนปากอา้ ออก

4. ล้วงเอาส่ิงอืน่ ๆ ทอี่ าจมตี ดิ คา้ งอยใู่ นปากและลำคอออกใหห้ มด เชน่ ฟนั ปลอม และเศษอาหาร เป็น

ต้น เพ่อื ไมใ่ ห้ขวางทางลม

5. ตรวจสอบการหายใจของ

ผปู้ ่วย โดยเอียงหน้ามองไปทางปลายเทา้ ผปู้ ว่ ย ให้

หูชิดปากผู้ป่วย เพื่อฟังเสียงหายใจ ตาดูการ

เคลื่อนไหวของทรวงอก ถ้าผู้ป่วยหายใจได้เอง

อย่างเพียงพอ ให้จัดท่านอนให้ผู้ป่วยใหม่ โดยจัด

ให้นอนตะแคงกึ่งคว่ำเพื่อนอนพัก การจัดท่า

นอนให้ผู้ป่วยนอนตะแคงกึ่งคว่ำ แสดงตาม

ข้ันตอนที่ 1 – 4 ตามรปู ท่ี 1.18 รปู ที่ 1.18 การจดั ท่านอนให้ผ้ปู ่วยนอนตะแคง

กึง่ ควำ่

6. ถ้าผ้ปู ่วยไม่หายใจ ให้ผปู้ ฐมพยาบาลทำการผายปอดด้วยการเปา่ ปากผู้ปว่ ย ผปู้ ฐมพยาบาลอา้
ปากให้กว้างหายใจเข้าปอดเตม็ ที่ มือข้างหนึ่งบีบจมูกผู้ป่วยให้แน่นสนิท มืออีกข้างหนึ่งยังอยู่ที่คางผู้ป่วยอยู่ แล้วจงึ
ประกบปากปดิ ปากผปู้ ่วยใหส้ นทิ พร้อมกับเป่าลมเขา้ ไป

เป็นจังหวะประมาณ 12 – 15 ครั้ง/นาที ในเด็ก
เล็กประมาณ 20 – 30 ครั้ง/นาที การผายปอด
ดว้ ยการเปา่ ลมเขา้ ปาก แสดงดงั รปู ท่ี 1.19

7. ขณะทำการเป่าปากผู้ป่วย ตาต้อง
เหลือบดูด้วยว่า หน้าอกผู้ป่วยมีอาการขยายขึ้น
ลงหรือไม่ หากไม่มีการกระเพื่อมขึ้นลงอาจเป็น
เพราะท่านอนไม่ดีหรือมีสิ่งกีดขวางทางเดิน
หายใจ ซึ่งตอ้ งรีบแกไ้ ขจัดทา่ ใหม่ และอย่าให้มีส่ิง
กีดขวางทางเดินหายใจ การดูหน้าอกผู้ป่วยขยาย
รปู ท่ี 1.19 การผายปอดด้วยการเป่าลมเข้าปาก ข้ึนลง แสดงดงั รูปท่ี 1.20

8. ถ้ากรณีที่ไม่สามารถอ้าปาก
ของผู้ป่วยได้ ให้ใชม้ ือปิดปากผ้ปู ่วยให้สนทิ และเป่า
ลมเข้าทางจมูกแทน โดยใช้วิธีการปฏิบัติใน
ทำนองเดียวกับการเป่าปาก

15

9. ขณะนำส่งโรงพยาบาล ให้
ทำการเปา่ ปากไปด้วยจนกวา่ ผู้ป่วยจะฟื้น หรอื เม่ือ
ได้รบั การช่วยเหลอื จากแพทย์เปน็ ที่เรยี บร้อยแล้ว

รูปท่ี 1.20 การดูหน้าอกผ้ปู ่วยขยายข้นึ ลง

1.6.2 การนวดหัวใจภายนอก

ภาวะหัวใจหยดุ เตน้ หมายถงึ การไหลเวียนเลือดหยดุ ลงอยา่ งส้นิ เชิง ซง่ึ ทราบได้จากการหมดสติไม่มี

การเคลื่อนไหว ไม่มีอาการไอ คลำชีพจรไม่ได้ ไม่มีการหายใจอย่างที่เป็นตามปกติ ภาวะหัวใจหยุดเต้น เกิดขึ้น

หลังจากภาวะหยุดหายใจ คนที่หยุดการหายใจและหัวใจหยุดเต้นไปแลว้ ยังมีโอกาสฟื้นขึ้นได้ ต้องรีบทำการช่วยให้

หัวใจกลับเตน้ ขึน้ มาทันทีดว้ ยการนวดหวั ใจ มวี ธิ ีการปฏบิ ตั ดิ งั นี้

1. ใหผ้ ู้ป่วยนอนราบกับพนื้ แข็งๆ หรือใช้

ไมก้ ระดานรองหลังของผูป้ ่วย ผปู้ ฐมพยาบาลนั่งคกุ เขา่ ลง

ขา้ งขวา หรือข้างซา้ ยบรเิ วณหน้าอกผู้ป่วย

2. คลำหาส่วนล่างสุดของกระดูกอกท่ี

ต่อกับกระดูกซี่โครง โดยใช้สองนิ้วสัมผัสส่วนล่างกระดูกอก

ใช้ฝ่ามืออีกข้างวางไล่ขึ้นมา ถ้าคุกเข้าข้างขวาใช้มือขวาคลำ

หาส่วนล่างกระดูกอก หากคกุ เขา่ ข้างซ้ายใช้มือ รูปที่ 1.21 ตำแหนง่ การวางมือเพ่ือนวดหวั ใจ

ซ้ายคลำหาส่วนล่างกระดูกอก ตำแหน่งการวางมือเพือ่ นวดหัวใจ แสดงดังรปู ที่ 1.21

3. วางมืออีกข้างทับบนหลังมือที่วางไว้แล้ว

ในตำแหน่งที่ถูกต้อง เหยียดนิ้วมือตรง และเกี่ยวน้ิว

มือ 2 ข้างเข้าด้วยกัน เหยียดแขนตรงโน้มตัวตั้งฉาก

กับหน้าอกผู้ป่วย ทิ้งน้ำหนักลงบนแขนขณะกด

หน้าอกผู้ป่วยให้กระดูกลดระดับลง 1.5 – 2 นิ้ว หรือ

4 – 5 ซม. เมื่อกดสุดให้ผ่อนมือขึ้นทันที โดยที่

ตำแหน่งมือไม่ต้องเลื่อนจากจุดที่กำหนด ขณะกด

รูปที่ 1.22 ตำแหนง่ การวางมือบนหน้าอกผู้ปว่ ย หน้าอกนวดหัวใจ ห้ามใช้น้ิวมอื กดลงบนซี่โครงผ้ปู ่วย
ลักษณะการวางมอื

บนหน้าอกผปู้ ว่ ย แสดงดังรูปที่ 1.22

16

4. ขณะท่ีกดหน้าอกแต่ละครั้งต้องนับจำนวนคร้ังที่กดดังน้ี หนึ่ง และสอง และ

สาม และสี่ และห้า ….. โดยกดหน้าอกทุกครั้งที่นับตัว

เลข และปล่อยมือจากการกดตอนคำว่า “และ” สลับกัน

ไปใหไ้ ด้อัตราการกดประมาณ 90 – 100 คร้งั /นาที การกด

หนา้ อกผปู้ ว่ ย แสดงดงั รปู ท่ี 1.23

5. ถ้าผู้ปฏิบัติมีคนเดียว ให้นวดหัวใจ

15 ครง้ั สลับกบั การเป่าปาก 2 ครัง้ ทำสลับกนั เชน่ นีจ้ น

ครบ 4 รอบ แล้วตรวจชีพจรและการหายใจ หากคลำ

ชพี จรไมไ่ ดต้ ้องนวดหวั ใจต่อ แต่ถ้าคลำชพี จรได้ รูปท่ี 1.23 การกดหน้าอกผู้ป่วย

และยังไมห่ ายใจต้องเปา่ ปากต่อไปอยา่ งเดียว

6. ถ้ามผี ปู้ ฏบิ ตั ิ 2 คน ใหน้ วดหัวใจ 5 ครั้ง สลับกบั การเป่าปาก 1 ครงั้ โดยขณะท่ีเปา่ ปาก อีกคน
ตอ้ งหยดุ นวดหัวใจ

7. ในกรณีช่วยเหลือเด็กอ่อน หรือเด็ก
แรกเกิด การนวดหัวใจให้ใช้นิ้วเพียง 2 นิ้ว กดบริเวณ
กึ่งกลางกระดูกหน้าอกให้ได้อัตราการกด 100 – 120
ครัง้ /นาที การนวดหัวใจเด็กออ่ น แสดงดงั รปู ที่ 1.24

8. การนวดหัวใจไม่ว่าผู้ใหญ่ หรือเด็ก
ต้องทำอย่างระมัดระวัง และถูกวิธี มิเช่นนั้นอาจทำให้
กระดูกซี่โครงหัก ตับแตก และม้ามแตกได้ โดยเฉพาะใน
เดก็ เลก็ ต้องใช้ความระมัดระวงั เป็นพเิ ศษ

รปู ที่ 1.24 การนวดหัวใจเด็กอ่อน

17

1.7 บทสรุป

ไฟฟ้าเป็นพลังงานชนิดหนึ่ง มีทั้งโทษและประโยชน์ในเวลาเดียวกัน หากใช้ถูกวิธีจะเกิดประโยชน์มากมาย
มหาศาล หากใช้ผิดวิธีจะมีโทษมากมายมหาศาลเช่นเดียวกัน ไฟฟ้าเคลื่อนที่ได้ดีในวัตถุตัวนำจำพวกโลหะชนิดต่างๆ
ไฟฟ้าไม่สามารถเคลื่อนที่ผ่านไปได้หรือเคลื่อนที่ไปได้ลำบากในวัตถุที่เป็นพวกฉนวน ไฟฟ้าสามารถไหลผ่านร่างกาย
คนได้อยา่ งสะดวก เกดิ ไฟฟ้าดูดหรือไฟฟ้าช็อต ปรมิ าณกระแสท่ีไหลผา่ นร่างกายแตกตา่ งกนั เกดิ อนั ตรายต่อร่างกาย
แตกตา่ งกนั ไป กระแสไหลผ่านนอ้ ยเป็นอนั ตรายน้อย กระแสไหลผา่ นมากเปน็ อันตรายมาก มีผลทำใหบ้ าดเจ็บ พิการ
หรอื ถึงเสียชวี ิตได้

การปฏบิ ัติงานทางดา้ นไฟฟ้าท่ีปลอดภัย ผูใ้ ชไ้ ฟฟา้ จะต้องทราบและเข้าใจคุณสมบตั ิของไฟฟ้า ต้องระมัดระวัง
ไม่ประมาท ทำงานอย่างเป็นระบบและรอบคอบ คำนงึ ถงึ กฎแหง่ ความปลอดภยั ขณะทำงาน ผู้ใช้ไฟฟา้ จึงจำเป็นต้อง
เรียนรวู้ ิธกี ารใช้ไฟฟา้ อย่างถกู ตอ้ ง และเรียนรขู้ ้อควรปฏบิ ตั ิในการใช้ไฟฟ้าอย่างถูกต้องปลอดภัย

ผู้ประสบอันตรายจากกระแสไฟฟ้าดูด ส่วนมากจะหมดสติไม่รู้สึกตัว ซึ่งอาจจะไม่หายใจ และมีสภาวะหัวใจ
หยุดเต้นด้วย การหมดสติเช่นนี้ต้องรบี ให้การปฐมพยาบาลทันที เพื่อให้ปอดและหัวใจทำงาน เรียกการช่วยเหลือนี้วา่
การปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) โดยวิธีการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน (BLS) ได้แก่ การผายปอดด้วยการให้ลม
หายใจทางปาก ร่วมกับการนวดหัวใจภายนอก ก่อนนำผู้ป่วยส่งแพทย์ การช่วยเหลือผู้ประสบอันตรายจากไฟฟ้าเป็น
สิ่งจำเป็น สำคัญอย่างยิ่ง ต้องกระทำอย่างถูกวิธี รวดเร็ว รอบคอบ และระมัดระวัง ทำให้ผู้ประสบอันตรายมีโอกาส
รอดพ้นจากอันตราย

18

หัวข้อเรื่อง
ดา้ นความรู้
1. ชนดิ เคร่ืองมือวดั ไฟฟ้าเบอื้ งต้น
2. มลั ติมิเตอรช์ นิดแอนะลอก
3. สเกลหน้าปดั มลั ตมิ ิเตอรช์ นิดแอนะลอก
4. การใช้งานมลั ติมเิ ตอร์ชนิดแอนะลอก
5. มัลติมิเตอร์ชนดิ ดิจิตอล
6. การใชง้ านมัลติมิเตอร์ชนดิ ดิจิตอล
7. บทสรปุ
ด้านทกั ษะ
1. การวัดแรงดันไฟตรงดว้ ยมัลติมเิ ตอร์
2. การวดั แรงดันกระแสตรงด้วยมัลติมเิ ตอร์
3. การวัดความตา้ นทานดว้ ยมลั ตมิ ิเตอร์

ด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม
1. เตรยี มความพร้อมดา้ น วสั ดุ อปุ กรณ์สอดคล้องกับงานไดอ้ ย่างถูกต้อง
2. มีความรับผิดชอบ ปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องในเรื่องเครื่องมือวัดไฟฟ้าเบื้องต้น และสำเร็จภายใน เวลาท่ี

กำหนดอย่างมีเหตุและผลตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง

จุดประสงคก์ ารสอน/การเรียนรู้

• จุดประสงคท์ ว่ั ไป / บรู ณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง

1. เพ่ือใหม้ ีความรเู้ กี่ยวกับการใชเ้ ครือ่ งมอื วัดไฟฟ้าเบ้ืองตน้ , ส่วนประกอบของมลั ตมิ ิเตอร์, สเกลหน้าปดั
ของมัลตมิ เิ ตอร์,ข้อควรระวงั ในการใชม้ ลั ติมิเตอร์, การวัดแรงดนั ไฟตรง, การวดั แรงดันไฟสลบั , การวัดกระแสไฟตรง,
การวดั ความตา้ นทาน, ออสซิลโลสโคป, เคร่อื งกำเนิดสญั ญาณและความถี่ (ด้านความรู)้

2. เพอื่ ให้มีทกั ษะในการวดั แรงดนั ไฟฟ้ากระแสตรงและกระแสสลบั (ดา้ นทักษะ)
3. เพ่อื ให้มเี จตคติท่ีดีตอ่ การเตรียมความพร้อมด้านการเตรยี ม วัสดุ อุปกรณ์ และการปฏิบัติงานอย่าง
ถูกต้อง สำเรจ็ ภายในเวลาทก่ี ำหนด มเี หตแุ ละผลตามหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง (ด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม)

19

• จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง

1. อธบิ ายการใชเ้ ครอ่ื งมือวดั ไฟฟา้ เบ้อื งต้น (ดา้ นความรู้)
2. วเิ คราะหส์ ่วนประกอบของมลั ติมเิ ตอร์ (ดา้ นความรู้)
3. อธบิ ายสเกลหนา้ ปดั ของมัลติมเิ ตอร์ (ดา้ นความรู้)
4. ชแ้ี จงข้อควรระวงั ในการใชม้ ลั ตมิ เิ ตอร์ (ดา้ นความรู้)
5. บอกวธิ กี ารวดั แรงดันไฟตรง (ดา้ นความรู้)
6. บอกวธิ กี ารวดั แรงดันไฟสลับ (ดา้ นความรู้)
7. อธิบายวธิ กี ารวดั กระแสไฟตรง (ดา้ นความรู้)
8. อธิบายวิธกี ารวดั ความต้านทาน (ดา้ นความรู้)
9. แสดงการวัดกระแสและแรงดันไฟตรง (ด้านทักษะ)
10. แสดงการวัดแรงดนั ไฟสลับ (ด้านทักษะ)
11. เตรียมความพร้อมดา้ น วัสดุ อปุ กรณส์ อดคล้องกบั งานได้อย่างถูกต้อง (ด้านคุณธรรม จริยธรรม/บรู ณา
การเศรษฐกิจพอเพยี ง)
12. ปฏบิ ัตงิ านไดอ้ ย่างถกู ต้อง และสำเร็จภายใน เวลาทีก่ ำหนดอย่างมเี หตแุ ละผลตามหลกั ปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพยี ง (ด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพียง)

2.1 ชนิดเครอ่ื งมือวัดไฟฟ้าเบื้องตน้

การศึกษาหรือการเกีย่ วข้องทางด้านไฟฟา้ และอเิ ล็กทรอนิกส์ จำเปน็ ตอ้ งเก่ียวข้องกับปริมาณไฟฟา้ หลายชนิด

เชน่ แรงดนั กระแส ความตา้ นทาน และกำลงั ไฟฟ้า เปน็ ตน้ ปรมิ าณไฟฟ้าเหลา่ น้ไี ม่สามารถตรวจสอบตรวจวัดค่าได้

ด้วยการสัมผัส การได้ยินด้วยหู การดูด้วยตา หรือการดมกลิ่น การจะตรวจสอบตรวจวัดปริมาณไฟฟ้าเหล่านี้ได้

จำเป็นต้องใช้เครื่องมือวัดไฟฟ้า (Electrical Instruments) ชว่ ยในการวัดและช่วยในการแสดงค่าปริมาณไฟฟ้าท่ีถูกต้อง

ออกมา

เครื่องมือวัดไฟฟ้าเบื้องต้นที่ควรทราบ ได้แก่

มัลตมิ ิเตอร์ (Multimeter) ซง่ึ ถอื ไดว้ ่าเปน็ เครอื่ งมือวัด

ไฟฟ้าที่จำเป็นต่อช่างไฟฟ้า ช่างอิเล็กทรอนิกส์ และ

ช่างที่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับปริมาณไฟฟ้าต่างๆ ซึ่ง

สามารถวดั ปริมาณไฟฟ้าได้หลายชนิด มีราคาถูก เล็ก

กะทัดรัด พกพาไปได้สะดวก มัลติมิเตอร์ที่ผลิตมาใช้

งานแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ มัลติมิเตอร์ชนิด

แอนะลอก (Analog Multimeter) เป็นมัลติมเิ ตอร์ที่การ (ก) มัลติมิเตอรช์ นดิ แอนะลอก

20

แสดงค่าปริมาณไฟฟ้าใช้เข็มชี้บ่ายเบนชี้ค่าปริมาณ (ข) มัลตมิ ิเตอร์ชนดิ ดิจติ อล
ไฟฟ้าที่วัดได้ออกมา และมัลติมิเตอร์ชนิดดิจิตอล รปู ที่ 2.1 มลั ตมิ เิ ตอร์แตล่ ะชนิด
(Digital Multimeter) เป็นมัลติมิเตอร์ที่การแสดงค่า
ปริมาณไฟฟ้า ใช้แสดงค่าด้วยตัวเลขบอกค่าปริมาณ
ไฟฟ้าที่วัดได้ออกมา รูปร่างลักษณะ มัลติมิเตอร์แต่ละ
ชนดิ แสดงดังรูปที่ 2.1

มัลติมิเตอร์เป็นมิเตอร์ที่สามารถนำไปใช้วัด
ปริมาณไฟฟ้าได้หลายชนิด การใช้งานจำเป็นต้องต่อ
ขั้ววัดและปรับแต่งคา่ ใหถ้ กู ตอ้ งกอ่ นนำไปใชง้ าน

2.2 มัลติมิเตอรช์ นิดแอนะลอก

มัลติมิเตอร์ชนิดแอนะลอก หรือมัลติมิเตอร์ชนิดเข็มชี้ เป็นมัลติมิเตอร์พื้นฐานที่ถูกนำมา ใช้งานยาวนาน

หลายสบิ ปแี ลว้ จนถึงปจั จุบนั กย็ งั เป็นทน่ี ิยมใช้งานอยู่ เพราะด้วยคณุ สมบตั ิทดี่ ีหลายประการของมลั ติมิเตอรช์ นิดน้ี ท่ี

พิเศษคือ สามารถวัดตรวจสอบดี เสีย ชนิด และขา ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้หลายประเภท การจะนำมัลติมิเตอร์

ชนดิ แอนะลอกไปใชง้ าน จำเป็นตอ้ งศึกษาทำความเข้าใจในส่วนประกอบ และรายละเอียดต่างๆ ของมัลตมิ ิเตอร์ชนิด

นี้ก่อนการใช้งาน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้อย่างถูกต้อง เกิดความปลอดภัยในการใช้งาน ลักษณะรูปร่างและ

สว่ นประกอบของมลั ติมิเตอร์ชนดิ แอนะลอกแบบหนงึ่ แสดงดังรปู ที่ 2.2

มัลติมิเตอร์ชนิดแอนะลอกตามรูปที่ 2.2

เป็นมัลติมิเตอร์แบบหนึ่งที่มีขายทั่วไป มีราคาถูก 2 1
ใช้งานได้ดี ส่วนประกอบต่างๆ ไม่แตกต่างไป

จากมัลติมิเตอร์แอนะลอกแบบอื่น ตัวเลขท่ีช้ี 3

แสดงไว้ บอกชื่อของส่วนประกอบ หน้าที่การ

ทำงาน และการใช้งาน มรี ายละเอียดดังน้ี 4 5
หมายเลข 1 เป็นหน้าปัดแสดงสเกล 6

บอกค่าตา่ งๆ ของปรมิ าณไฟฟ้าทวี่ ัดได้

หมายเลข 2 เป็นไดโอดเปล่งแสง (LED) 7 8
จะเปล่งแสงสว่างออกมา แสดงถึงการต่อวงจร 9
(Continuity) เม่ือต้งั ยา่ นวัดโอห์ม (Ω) ทยี่ ่าน x1

ในขณะชอ็ ตปลายสายวัดเขา้ ด้วยกนั

หมายเลข 3 เป็นเข็มชี้ของมเิ ตอร์ รูปที่ 2.2 สว่ นประกอบมัลติมิเตอร์ชนดิ

แอนะลอก

21

หมายเลข 4 เป็นสกรูใช้ปรบั แต่งให้เข็มชี้ในสภาวะมิเตอร์ไม่ทำงาน ชี้ที่ตำแหน่งซ้ายมือสุดของสเกลพอดี (ท่ี

, 0 V, 0 A) ช่วยใหม้ เิ ตอร์อยู่ในสภาวะพร้อมใช้งาน และขณะใชง้ านจะแสดงค่าท่ีวดั ได้ออกมามีค่าถูกต้อง
หมายเลข 5 เป็นปุ่มปรับให้เข็มชี้ของมิเตอร์ชี้ที่ตำแหน่งศูนย์โอห์มพอดี (0 Ω.ADJ) ใช้ร่วมกับการตั้งย่านวัด

โอหม์ (Ω) โดยขณะท่ชี ็อตปลายสายวัดมิเตอร์เข้าดว้ ยกัน เข็มมิเตอรจ์ ะ ต้องบา่ ยเบนไปทางขวามือชท้ี ่ีตำแหน่ง 0 Ω
พอดี ถา้ เขม็ ช้ีไมอ่ ย่ทู ต่ี ำแหนง่ 0 Ω พอดตี ้องปรับปมุ่ นีช้ ่วย เพือ่ ทำใหก้ ารวัดความตา้ นทานมีคา่ ถูกต้อง

หมายเลข 6 เป็นขั้วต่อเอาต์พุต (OUTPUT) ใช้สำหรับวัดความดังของเสียงจากเครื่องขยายเสียง หรือ
เครือ่ งรบั วทิ ยุ วดั ออกมาเปน็ หน่วยเดซิเบล (dB) ใชง้ านร่วมกับขวั้ หมายเลข 9

หมายเลข 7 เปน็ สวติ ชป์ รบั เลอื กยา่ นวดั ค่าปริมาณไฟฟ้าที่เหมาะสม สามารถปรับหมุนไดร้ อบตวั
หมายเลข 8 เปน็ ขั้วต่อสายวัดมิเตอรข์ วั้ บวก (+) ใช้สำหรับตอ่ สายวัดสแี ดง
หมายเลข 9 เป็นข้ัวต่อสายวดั มิเตอรข์ วั้ ลบ (-COM) ใช้สำหรับต่อสายวดั สดี ำ

2.3 สเกลหนา้ ปัดมลั ติมเิ ตอรช์ นดิ แอนะลอก

สเกลหน้าปัดของมัลติมิเตอร์ชนิดแอนะลอก หรือชนิดเข็มชี้ จะมีสเกลแสดงค่าปริมาณไฟฟ้าหลายชนิด

ปริมาณไฟฟ้าแต่ละชนิดแสดงค่าออกมาแตกต่างกัน ทำให้สเกลที่กำหนดไว้ที่หน้าปัดแต่ละสเกลมีความแตกต่างกัน

ถูกแยกออกเป็นสเกลหลายช่องหลายแถว แต่ละช่องแต่ละแถวใช้แสดงปริมาณไฟฟ้าแต่ละชนิดโดยเฉพาะ การใช้งาน

และการอา่ นคา่ เป็นสิ่งจำเป็นต้องทำความเข้าใจ เพื่อการใช้งานมีความถูกต้อง ลักษณะสเกลหน้าปัดของมลั ติมิเตอร์ชนิด

แอนะลอก แสดงดงั รูปท่ี 2.3

สเกลหน้าปัดมัลติมิเตอร์ชนดิ แอนะลอก ตามรูปที่ 2.3 แสดงสเกลค่าปรมิ าณไฟฟา้ แตล่ ะชนดิ ของมัลติมิเตอร์

แบบหนึ่ง ถกู กำกบั ไว้ดว้ ยหมายเลข เพอื่ บอกชื่อปริมาณไฟฟา้ แตล่ ะสว่ นอธบิ ายรายละเอียดได้ดังน้ี

หมายเลข 1 คือสเกลโอห์ม

() ใช้สำหรับอ่านค่าความต้านทานที่

วัดได้ออกมา เมื่อตั้งย่านวัดความ 1 8
2
ตา้ นทานหรือย่าน  3 5
หมายเลข 2 คือสเกลแรงดัน 4 6
7
ไฟตรง กระแสไฟตรง และแรงดันไฟ
สลับ (DCV, A & ACV) ใช้สำหรับอ่านค่า

แรงดันไฟตรง เม่อื ต้งั ยา่ นวัดแรงดัน รปู ที่ 2.3 สเกลหนา้ ปดั มัลตมิ ิเตอร์ชนดิ แอนะลอก

ไฟตรง (DCV) ใช้สำหรับอ่านค่ากระแสไฟตรง เมื่อตั้งย่านวัดกระแสไฟตรง (DCmA) และใช้สำหรับอ่านค่าแรงดันไฟสลับ
เมอื่ ต้ังย่านวัดแรงดันไฟสลับ (ACV)

หมายเลข 3 คือสเกลแรงดันไฟสลับเฉพาะย่าน 10 โวลต์ (AC 10 V) ใช้สำหรับอ่านค่าแรงดันไฟสลับเมื่อต้ัง
ย่านวัดที่ 10 ACV

22

หมายเลข 4 คือสเกลค่าอัตราขยายกระแสไฟตรงของตัวทรานซิสเตอร์ (hFE) ใช้สำหรับอ่านค่าอัตราขยาย
กระแสไฟตรงของตัวทรานซสิ เตอรเ์ มื่อตั้งย่านวดั โอห์ม () ทต่ี ำแหน่ง x10 (hFE)

หมายเลข 5 คือสเกลค่ากระแสรั่วไหล (Leakage Current) ของตัวทรานซิสเตอร์ (ICEO) ใช้สำหรับอ่าน
ค่ากระแสรัว่ ไหลของตัวทรานซิสเตอรท์ ่ีขาคอลเลกเตอร์ (C) และขาอมิ ติ เตอร์ (E) เมอื่ ขาเบส (B) เปิดลอย ขณะต้ังย่าน
วัดโอห์ม () ที่ x1 (150 mA), x10 (15 mA), x100 (1.5 mA) และ x1k (150 A) นอกจากนั้นยังใช้แสดงค่ากระแส
ภาระ (Load Current) ในการวดั ไดโอด (LI) ใช้สำหรบั อา่ นกระแสภาระท่ีไหลผา่ นไดโอด เมอ่ื วดั ดว้ ยย่านวัดโอห์ม ()

หมายเลข 6 คือสเกลค่าแรงดนั ภาระ (Load Voltage) ในการวดั ไดโอด (LV) ใชส้ ำหรบั อ่านแรงดนั ภาระท่ีตก
ครอ่ มไดโอด เมอื่ วดั ด้วยย่านวัดโอหม์ () เป็นการวัดค่าในเวลาเดยี วกบั การวัด LI

หมายเลข 7 คือสเกลคา่ ความดังของสัญญาณเสียง บอกคา่ การวดั ออกมาเป็นเดซิเบล (dB) ใช้สำหรับอ่านค่า
ความดงั ของสญั ญาณเสียง เมื่อต้งั ย่านวดั ท่แี รงดนั ไฟสลบั (ACV)

หมายเลข 8 คือกระจกเงา ใช้สะท้อนเข็มชี้ เพื่อช่วยให้การอ่านปริมาณไฟฟ้าค่าต่างๆ มีความถูกต้องที่สุด
โดยขณะอา่ นค่าต้องให้ตำแหน่งเข็มช้จี รงิ และเข็มชใี้ นกระจกเงาซ้อนทับกันพอดี

2.4 การใชง้ านมัลติมิเตอร์ชนดิ แอนะลอก
มัลติมิเตอร์ชนิดแอนะลอก สามารถใช้วัดหาปริมาณไฟฟ้าค่าต่างๆ ได้หลายชนิด เช่น แรงดันไฟตรง (DCV)

แรงดันไฟสลับ (ACV) กระแสไฟตรง (DCmA) และความตา้ นทาน () เป็นต้น สงิ่ สำคญั ในการใช้งานของมลั ติมิเตอร์
ชนิดนี้ อยู่ที่ค่าที่อ่านออกมาได้จากการบ่ายเบนไปของเข็มชี้ ถูกแสดงค่าออกมาเป็นสเกลที่แบ่งไว้ การอ่านค่าท่ี
ถูกต้องของค่าที่เขม็ ชีช้ ีบ้ อกไว้จำเป็นตอ้ งใช้ค่าการแบ่งออกเป็นอัตราส่วน จากค่าตัวเลขท่ีบอกไว้ในตำแหน่งใกลเ้ คยี ง
ทั้งด้าน ซ้ายและด้านขวาของเข็มชี้ อัตราส่วนท่ีแบ่งออกมีความแตกต่างกันไปในแต่ละสเกลและแต่ละค่า ซึ่งสิ่งนี้เอง
เป็นผลทำให้การอ่านค่าเกิดความผิดพลาดได้ง่าย การจะนำมัลติมิเตอร์ชนิดแอนะลอกไปใช้งาน จำเป็นต้องศึกษาทำ
ความเข้าใจการใช้งานและการอ่านค่าให้ถูกต้องเสียก่อน

2.4.1 การวัดแรงดนั ไฟตรง (DCV)
การวัดแรงดนั ไฟตรง โดยปรับสวติ ช์เลือกย่านวัดไปที่ DCV มลั ติมเิ ตอร์ชนดิ แอนะลอกร่นุ มาตรฐาน

จะมยี า่ นวัดแรงดนั ไฟตรงท้งั หมด 7 ย่านวัดเต็มสเกล คือ ยา่ น 0.1 V, 0.5 V, 2.5 V, 10 V, 50 V, 250 V และ 1,000
V การตัง้ ยา่ นวดั ท่ี DCV แสดงดังรูปท่ี 2.4 การอ่านค่าแรงดนั ไฟตรง อ่านที่หนา้ ปดั รปู ที่ 2.3 หมายเลข 2 สเกล DCV,
A & ACV ข้ันตอนการวดั ค่าปฏิบัติดังนี้

23

-+

รูปท่ี 2.4 ยา่ นวัดแรงดนั ไฟตรง (DCV) รูปท่ี 2.5 การต่อมลั ตมิ ิเตอรว์ ัดแรงดนั ไฟตรง (DCV)

1. เสียบสายวดั สีแดงเขา้ ทขี่ ั้วต่อข้ัวบวก (+) เสียบสายวดั สดี ำเข้าทีข่ ้วั ตอ่ ข้วั ลบ (-COM) ของมิเตอร์ นำสายวัด
ทงั้ สองเส้นไปวดั ค่าแรงดันไฟตรงทต่ี ้องการ

2. ปรบั สวิตชเ์ ลอื กยา่ นวดั DCV ไปย่านท่ีเหมาะสม หากไมท่ ราบคา่ แรงดนั ไฟตรงท่ตี ้อง การวดั ให้ปรับต้ังยา่ น
วัดไปทีย่ า่ นสงู สดุ ไวก้ ่อนท่ีย่าน 1,000 V

3. การวดั แรงดันไฟตรง ต้องนำมเิ ตอรไ์ ปต่อวัดแบบขนานกบั วงจร (ต่อครอ่ มอุปกรณ์) และขณะวัดต้องคำนึง
ถึงขั้วของมิเตอร์ให้ตรงกับขั้วของแรงดันที่วัด โดยยึดหลักดังนี้ ใกล้บวกแหล่งจ่ายแรงดัน ต่อวัดด้วยขั้วบวก (+) ของ
มเิ ตอร์ ใกลล้ บแหลง่ จา่ ยแรงดัน ต่อวัดด้วยขว้ั ลบ (–) ของมิเตอร์ การต่อมลั ตมิ เิ ตอร์วดั แรงดันไฟตรง แสดงดงั รูปท่ี 2.5

4. การตั้งย่านวัด การใช้สเกล และการอ่านค่า แสดงได้ตามตารางท่ี 2.1

ตารางท่ี 2.1 การต้ังยา่ นวดั การใชส้ เกล และการอ่านคา่ แรงดันไฟตรง (DCV)

ยา่ นตง้ั วัด สเกลใชอ้ า่ น การอ่านคา่ ค่าทวี่ ดั ได้ หมายเหตุ
0.1 V 0 – 10 ใช้ 0.01 คณู คา่ ทอ่ี า่ นได้ 0 – 0.1 V ใชส้ เกลสดี ำใต้
0.5 V 0 – 50 ใช้ 0.01 คูณคา่ ท่ีอา่ นได้ 0 – 0.5 V กระจกเงา 3 ย่าน
2.5 V 0 – 250 ใช้ 0.01 คูณค่าท่ีอ่านได้ 0 – 2.5 V คือ 0 – 10,
10 V 0 – 10 0 – 10 V
50 V 0 – 50 อ่านโดยตรง 0 – 50 V 0 – 50
250 V 0 – 250 อ่านโดยตรง 0 – 250 V และ 0 – 250
0 – 10 อา่ นโดยตรง 0 – 1,000 V
1,000 V ใช้ 100 คูณคา่ ที่อา่ นได้

24

ตัวอย่างที่ 2.1 ตั้งย่านมัลติมิเตอร์ไว้ที่ DCV เพื่อวัดแรงดันไฟตรง เข็มชี้มิเตอร์ชี้ค่าออกมาตามรูปที่ 2.6 จงอ่านค่า
แรงดันไฟตรงทกุ ยา่ นวัดบนสเกลหน้าปดั

วธิ ีทำ
อา่ นค่าแต่ละย่านวัดเต็มสเกล (สเกลสีดำใต้กระจกเงา
DCV)

ย่าน 0 – 10 V อ่านได้ = 6.4 V
ย่าน 0 – 50 V อา่ นได้ = 32 V
ย่าน 0 – 250 V อา่ นได้ = 160 V รูปที่ 2.6 เขม็ ชแ้ี สดงคา่ ย่านวัดแรงดนั ไฟตรง

ตอบ (DCV) ใช้ในตัวอย่างที่ 2.1
2.4.2 การวัดแรงดันไฟสลับ (ACV)

การวัดแรงดันไฟสลับ โดยปรับสวิตช์เลือกย่านวัดไปที่ ACV มัลติมิเตอร์ชนิดแอนะลอกรุ่น
มาตรฐาน จะมีย่านวดั แรงดนั ไฟสลบั ทงั้ หมด 4 ยา่ นวัดเต็มสเกล คอื ยา่ น 10 V, 50 V, 250 V และ 1,000 V การต้ัง
ย่านวัดที่ ACV แสดงดังรูปที่ 2.7 การอ่านค่าแรงดันไฟสลับ อ่านที่หน้าปัดรูปที่ 2.3 หมายเลข 2 สเกล DCV, A &
ACV และหมายเลข 3 สเกล AC 10 V ข้นั ตอนการวัดค่าปฏบิ ัติดงั น้ี

รปู ท่ี 2.7 ยา่ นวดั แรงดนั ไฟสลบั รูปท่ี 2.8 การต่อมลั ตมิ เิ ตอร์วัดแรงดนั ไฟสลบั (ACV)

(ACV)

1. เสยี บสายวดั สีแดงเข้าท่ีขว้ั ต่อขัว้ บวก (+) เสยี บสายวัดสีดำเข้าที่ขั้วต่อขัว้ ลบ (-COM) ของมเิ ตอร์ นำสายวัด

ทัง้ สองเส้นไปวดั ค่าแรงดันไฟสลับ

2. ปรับสวิตช์เลือกย่านวัด ACV ไปย่านที่เหมาะสม หากไม่ทราบค่าแรงดันไฟสลับที่จะวัด ให้ตั้งย่านวัดไปที่

ยา่ นสูงสดุ ไวก้ อ่ นท่ี 1,000 V

3. การวัดแรงดันไฟสลับ ต้องนำมิเตอร์ไปต่อวัดแบบขนานกับวงจร (ต่อคร่อมอุปกรณ์) และขณะวัดไม่

จำเป็นตอ้ งคำนึงถงึ ข้ัวของมเิ ตอร์ สามารถวัดสลบั ขั้วได้ การต่อมัลติมเิ ตอร์วดั แรงดันไฟสลับ แสดงดงั รปู ท่ี 2.8

4. กอ่ นต่อมลั ตมิ เิ ตอรว์ ดั แรงดนั ไฟสลบั ค่าสงู ควรตัดไฟของวงจรที่จะวดั ออกก่อน เมอ่ื ต่อมลั ตมิ ิเตอร์เข้าวงจร

เรียบรอ้ ยแล้ว จึงจา่ ยไฟเข้าวงจรทต่ี อ้ งการวัด

25

5. อย่าจับสายวดั หรือตัวมัลตมิ ิเตอร์ขณะวัดแรงดันไฟสลบั ค่าสูง เมื่อวัดเสร็จเรียบร้อยควรตดั ไฟที่ทำการวัด
เสียกอ่ น จึงปลดสายวดั ของมัลตมิ ิเตอร์ออกจากวงจร

6. การตั้งยา่ นวัด การใชส้ เกล และการอ่านค่า แสดงได้ตามตารางท่ี 2.2
ตารางที่ 2.2 การต้งั ย่านวดั การใชส้ เกล และการอ่านคา่ แรงดันไฟสลับ (ACV)

ยา่ นตง้ั วดั สเกลใช้อ่าน การอา่ นคา่ ค่าที่วดั ได้ หมายเหตุ
10 V 0 – 10 อา่ นโดยตรง
50 V 0 – 50 อ่านโดยตรง 0 – 10 V ใชส้ เกล AC 10 V
250 V 0 – 250 อา่ นโดยตรง
0 – 10 ใช้ 100 คูณค่าท่ีอ่านได้ 0 – 50 V ใช้สเกลสีดำใตก้ ระจก
1,000 V
0 – 250 V เงา 3 ย่าน คอื 0 – 10,

0 – 1,000 V 0 – 50 และ 0 – 250

ตัวอย่างที่ 2.2 ตั้งย่านมัลติมิเตอร์ไว้ที่ ACV เพื่อวัดแรงดันไฟสลับ เข็มชี้มิเตอร์ชี้ค่าออกมาตามรูปที่ 2.9 จงอ่านค่า
แรงดันไฟสลับทกุ ยา่ นวัดบนสเกลหน้าปดั

วิธีทำ รูปท่ี 2.9 เข็มชี้แสดงคา่ ย่านวัดแรงดันไฟสลบั
อ่านค่าแต่ละย่านวัดเต็มสเกล (สเกลสีดำใต้กระจกเงา (ACV) ใช้ในตัวอยา่ งท่ี 2.2
ACV และสเกลสแี ดง AC 10 V ด้านลา่ ง )

ยา่ น 0 – 10 V อา่ นได้ = 3.6 V
ย่าน 0 – 50 V อา่ นได้ = 18 V
ยา่ น 0 – 250 V อ่านได้ = 90 V
ย่าน AC 10 V อ่านได้ = 3.8 V

ตอบ

2.4.3 การวดั กระแสไฟตรง (DCmA)
การวัดกระแสไฟตรง โดยปรับสวิตช์เลือกย่านวัดไปที่ DCmA มัลติมิเตอร์ชนิดแอนะลอกรุ่น

มาตรฐาน จะมีย่านวัดกระแสไฟตรงทั้งหมด 4 ย่านวัดเต็มสเกล คือ ย่าน 50 A, 2.5 mA, 25 mA และ 250 mA
(0.25 A) การตงั้ ย่านวดั ที่ DCmA แสดงดงั รปู ท่ี 2.10 การอา่ นคา่ กระแสไฟตรง อา่ นที่หนา้ ปดั รปู ที่ 2.3 หมายเลข 2
สเกล DCV, A & ACV ขัน้ ตอนการวัดค่าปฏบิ ตั ดิ ังน้ี

26

-+

รูปท่ี 2.10 ยา่ นวัดกระแสไฟตรง รปู ที่ 2.11 การต่อมัลติมเิ ตอร์วดั กระแสไฟตรง (DCmA)

1. เสียบสายวัดสีแดงเข้าที่ขั้วต่อขั้วบวก (+) เสียบสายวัดสีดำเข้าที่ขั้วต่อขั้วลบ (-COM) ของมิเตอร์ นำสาย
วัดทัง้ สองเสน้ ไปวดั คา่ กระแสไฟตรง

2. ปรับสวติ ช์เลอื กย่านวดั DCmA ไปย่านที่เหมาะสม หากไม่ทราบค่ากระแสไฟตรงที่จะวัด ให้ตั้งยา่ นวัดไป
ท่ยี ่านสูงสดุ ไวก้ อ่ นที่ 250 mA

3. การวัดกระแสไฟตรง ต้องนำมิเตอร์ไปต่ออนุกรมกับวงจร (ตัดวงจรออกนำมิเตอร์เข้าไปต่อร่วมเปน็ สว่ น
หนึ่งของวงจร) และขณะต่อวัดต้องคำนึงถึงข้ัวของมิเตอร์ให้ตรงกับขั้วของแรงดนั แหล่งจา่ ย โดยยดึ หลักดังนี้ ใกล้บวก
แหล่งจ่ายแรงดันต่อวัดด้วยขั้วบวก (+) ของมิเตอร์ ใกล้ลบแหล่งจ่ายแรงดัน ต่อวัดด้วยขั้วลบ (–) ของมิเตอร์ การ
ตอ่ มัลติมเิ ตอร์วัดกระแสไฟตรง แสดงดงั รปู ที่ 2.11

4. ย่านวัดกระแสไฟตรง 50 A เป็นย่านเดียวกับย่านวัดแรงดันไฟตรง 0.1 V ในย่านนี้ทำหน้าที่เป็นท้ัง

มเิ ตอรว์ ดั แรงดนั ไฟตรงเต็มสเกล 0.1 V และเป็นมเิ ตอรว์ ดั กระแสไฟตรงเต็มสเกล 50 A
5. การต้งั ยา่ นวดั การใช้สเกล และการอ่านค่า แสดงไดต้ ามตารางที่ 2.3

ตารางที่ 2.3 การตัง้ ยา่ นวัด การใช้สเกล และการอ่านค่ากระแสไฟตรง (DCmA)

ยา่ นตงั้ วัด สเกลใชอ้ ่าน การอ่านคา่ คา่ ทว่ี ดั ได้ หมายเหตุ
50 A 0 – 50 อ่านโดยตรงในหนว่ ย A
2.5 mA 0 – 250 ใช้ 0.01 คณู ค่าทีอ่ า่ นไดใ้ นหน่วย mA 0 – 50 A ใช้สเกลสีดำใต้
25 mA 0 – 250 ใช้ 0.1 คูณคา่ ท่ีอ่านได้ในหน่วย mA 0 – 2.5 mA กระจกเงา 3
0 – 25 mA ยา่ น คือ 0 –
0.25 A 0 – 250 อ่านโดยตรงในหน่วย mA
10, 0 – 50

0 – 250 mA และ 0 –
250

27

ตัวอย่างที่ 2.3 ตั้งย่านมัลติมิเตอร์ไว้ที่ DCmA เพื่อวัดกระแสไฟตรง เข็มชี้มิเตอร์ช้ีค่าออกมาตามรูปที่ 2.12 จง
อ่านคา่ กระแสไฟตรงทกุ ยา่ นวดั บนสเกลหนา้ ปัด

วิธีทำ
อา่ นค่าแตล่ ะย่านวัดเต็มสเกล (สเกลสีดำใต้กระจกเงา
DCmA ท่ีใชม้ ี 2 ย่าน คอื 50, 250)

ยา่ น 0 – 50 mA อ่านได้ = 46 mA
ย่าน 0 – 250 mA อา่ นได้ = 230 mA

ตอบ รปู ที่ 2.12 เขม็ ชีแ้ สดงค่ายา่ นวัดกระแสไฟตรง
(DCmA) ใช้ในตัวอย่างที่ 2.3

2.4.4 การวดั ความตา้ นทาน ()
การวัดความต้านทาน โดยปรับสวิตช์เลือกย่านวัดไปที่  มัลติมิเตอร์ชนิดแอนะลอกรุ่น

มาตรฐาน จะมีย่านวัดความต้านทานทั้งหมด 4 ถึง 5 ย่านวัดเต็มสเกล คือ ย่าน x1, x10, x100, x1k และ x10k
(บางรุ่นไม่มีย่าน x100 และบางรุ่นไม่มีย่าน x10k ) การตั้งย่านวัดที่  แสดงดังรูปที่ 2.13 การอ่านค่าความ
ต้านทาน อ่านทหี่ น้าปดั รปู ที่ 2.3 หมายเลข 1 สเกล  ขั้นตอนการวัดค่าปฏิบตั ิดังนี้

1. เสียบสายวัดสีแดงเข้าที่ขั้วต่อขั้วบวก (+)
เสียบสายวดั สดี ำเขา้ ที่ขัว้ ต่อขวั้ ลบ (-COM) ของมิเตอร์ นำ
สายวัดท้งั สองเส้นไปวดั ค่าความตา้ นทาน

2. ปรับสวิตช์เลือกไปย่านวัด  ก่อนนำโอห์ม
มิเตอร์ไปใช้วัดตัวต้านทานทุกครั้ง ในทุกย่านวัดที่ตั้งวัด
โอห์ม ต้องปรับแต่งเขม็ ชี้ของมิเตอร์ให้ชี้ค่าท่ี 0  ก่อน
รปู ท่ี 2.13 ย่านวัดความต้านทาน () เสมอ โดยช็อตปลายสายวัดทั้งสองเส้นของมิเตอร์เข้า
ดว้ ยกนั ปรบั แต่งปุม่ ปรับ 0  ADJ จนเข็มชี้ของ
มิเตอรช์ ที้ ี่ตำแหน่ง 0  พอดี ลักษณะการปรับแตง่ โอห์มมิเตอร์ให้พร้อมใช้งาน แสดงดังรูปที่ 2.14
3. นำโอห์มมิเตอร์ไปวัดค่าความต้านทานได้ตามต้องการอย่างถูกต้อง ค่าที่อ่านออกมาได้จากโอห์มมิเตอร์
คอื คา่ ความต้านทานของตวั ต้านทานตวั ทว่ี ัด ลักษณะการวัดตวั ตา้ นทานดว้ ยมลั ติมเิ ตอร์ชนดิ แอนะลอก แสดงดงั รูปท่ี
2.15
4. การตัง้ ยา่ นวัด การใช้สเกล และการอา่ นคา่ แสดงได้ตามตารางที่ 2.4

28

0

รูปท่ี 2.14 การปรับแต่งโอหม์ มเิ ตอรใ์ หช้ ท้ี ่ี 0  รปู ท่ี 2.15 การวดั ความต้านทานดว้ ยโอหม์ มิเตอร์
พอดี

ตารางที่ 2.4 การต้ังยา่ นวดั การใชส้ เกล และการอ่านคา่ ความต้านทาน ()

ย่านต้งั วดั สเกลใช้อา่ น การอา่ นคา่ คา่ ที่วัดได้ หมายเหตุ
1 อ่านโดยตรง 0 – 2 kΩ ใชส้ เกลสดี ำ
10 ใช้ 10 คณู คา่ ทีอ่ ่านได้ 0 – 20 kΩ เหนอื กระจก
100 0 –  ใช้ 100 คูณคา่ ท่ีอ่านได้ 0 – 200 kΩ เงาย่านเดียว
1k อา่ นโดยตรงในหน่วย kΩ 0 – 2 MΩ คือ 0 – 
10k ใช้ 10 คูณคา่ ท่อี ่านได้ในหน่วย kΩ
0 – 20 MΩ

ตัวอยา่ งที่ 2.4 ตง้ั ยา่ นมัลติมเิ ตอรไ์ ว้ท่ี  เพอื่ วดั ความต้านทาน เขม็ ช้ีมิเตอรช์ ี้ค่าออกมาตามรปู ท่ี 2.16 จงอ่านความ
ตา้ นทานทแี่ สดงบนสเกลหนา้ ปัดทุกหมายเลขเขม็ ช้ี

วธิ ีทำ 3 2
อา่ นค่าทกุ หมายเลขเข็มช้ี (สเกลสดี ำเหนือ 4 1
กระจกเงา )
รูปท่ี 2.16 เข็มช้ีแสดงค่ายา่ นวัดความตา้ นทาน
หมายเลข 1 อา่ นได้ = 1.4  () ใชใ้ นตัวอย่างท่ี 2.4
หมายเลข 2 อ่านได้ = 8.5 
หมายเลข 3 อ่านได้ = 42 
หมายเลข 4 อา่ นได้ = 180 

ตอบ

29

2.5 มลั ติมิเตอร์ชนดิ ดจิ ิตอล

มัลติมิเตอร์ชนิดดิจิตอล สามารถใช้วัดหาปริมาณไฟฟ้าค่าต่างๆ ได้หลายชนิดเช่นเดียวกับ มัลติมิเตอร์ชนิด

แอนะลอก เช่น แรงดันไฟตรง (DCV) แรงดันไฟสลับ (ACV) กระแสไฟตรง (DCmA) และความต้านทาน () เป็น

ต้น สิ่งสำคัญในการใช้งานของมัลติมเิ ตอรช์ นิดนี้ อยู่ที่การแสดงค่าออกมาเป็นตัวเลขอ่านค่าได้โดยตรง อ่านได้รวดเรว็

มีความถูกต้อง เที่ยงตรง เกิดความสะดวก การจะนำมัลติมิเตอร์ชนิดดิจิตอลไปใช้งาน จำเป็นต้องศึกษาทำความเข้าใจใน

ส่วนประกอบ และรายละเอยี ดตา่ งๆ กอ่ นการใช้งาน เพื่อทำใหผ้ ใู้ ช้สามารถใชง้ านได้อยา่ งถูกต้อง เกดิ ความปลอดภัย

ท้ังตวั มลั ตมิ เิ ตอรแ์ ละตวั ผูใ้ ช้งาน รูปรา่ งและสว่ นประกอบของมัลติมิเตอร์ชนิดดจิ ิตอล แสดงดงั รปู ท่ี 2.17

มัลติมิเตอร์ชนิดดิจิตอลตามรูปที่ 2.17

เป็นมัลติมิเตอร์แบบหนึ่งทีม่ ีขายทั่วไป มีราคาถกู 1

ส่วนประกอบไม่แตกต่างไปจากมัลติมิเตอร์ชนิด 7
8
ดิจิตอลแบบอื่นๆ มากนัก (บางรุ่นมีขั้ววัดปริมาณ 9
ไฟฟ้าอื่นๆ ได้เพิ่มขึ้น) ตัวเลขท่ีชี้แสดงไว้ บอกชื่อ
10
ของส่วนประกอบ หน้าที่การทำงาน และการใช้ 2
12
งาน มรี ายละเอียดดังน้ี 11 13
หมายเลข 1 เป็นหน้าปัดแสดงผลการวัด 3 4

ค่าปริมาณไฟฟ้า แสดงเป็นตัวเลขจำนวน 3 1/2 5
6
หลกั และตวั อักษร จอเปน็ ครสิ ตอลเหลว (LCD) 14
หมายเลข 2 เป็นสวิตช์เลือกค่าปริมาณ
ไฟฟา้ ทตี่ อ้ งการวัด ปรับหมนุ ไปซา้ ยหรือขวาได้ รูปท่ี 2.17 ส่วนประกอบมัลติมิเตอร์ชนิดดิจิตอล

อย่างอสิ ระ

หมายเลข 3 เปน็ ขั้วเสยี บไว้สำหรับวัดตัวทรานซิสเตอร์ เพื่อหาค่าอัตราขยายกระแส (hFE) ของตัวทรานซิสเตอร์
ใชท้ ำงานรว่ มกบั ตำแหน่งหมายเลข 13 ยา่ น hFE

หมายเลข 4 เปน็ ขั้วตอ่ สายวัดมิเตอรส์ ีแดง เพอ่ื ใช้วัดค่ากระแสไฟตรงค่าสูง (10A ) วดั ค่าไดส้ งู สุด 10 A ใช้

ทำงานร่วมกบั ข้ัวต่อหมายเลข 6 และตำแหน่งหมายเลข 12 ยา่ น 10 A

หมายเลข 5 เป็นขว้ั ตอ่ สายวดั มิเตอรส์ ีแดง เพ่ือใชว้ ัดคา่ แรงดนั ไฟตรง (DCV) แรงดัน ไฟสลับ (ACV) กระแส

ไฟตรงค่าต่ำ (DCmA) และความตา้ นทาน () ใชท้ ำงานรว่ มกบั ข้วั ตอ่ หมายเลข 6

หมายเลข 6 เป็นขั้วต่อสายวัดมิเตอร์สีดำ (COM) เป็นขั้วต่อสายวัดขั้วร่วม ใช้ร่วมกับขั้วหมายเลข 4 และขั้ว

หมายเลข 5 ใช้วัดค่าปรมิ าณไฟฟา้ ต่างๆ

หมายเลข 7 เปน็ ตำแหน่งเลอื กการปดิ สวิตช์หยุดใช้งานมิเตอร์ (OFF) เพ่ือหยดุ การจ่าย ไฟใหม้ เิ ตอร์ เป็นการ

หยดุ ทำงานของมิเตอร์

หมายเลข 8 เป็นตำแหนง่ เลือกการทำงานเปน็ โวลตม์ ิเตอร์ไฟตรง (V ) วัดแรงดันไฟตรงได้สูงสดุ 1,000 V

หมายเลข 9 เป็นตำแหน่งเลือกการทำงานเปน็ โวลต์มิเตอรไ์ ฟสลบั (V~) วดั แรงดนั ไฟสลบั ไดส้ งู สุด 750 V

30

หมายเลข 10 เป็นตำแหน่งเลือกการทำงานเป็นแอมมิเตอร์ไฟตรง (A ) วัดกระแสไฟ ตรงไดส้ ูงสดุ 200 mA
หมายเลข 11 เป็นตำแหน่งเลือกการทำงานเปน็ โอห์มมิเตอร์ () วัดความต้านทานได้สงู สุด 2,000 k
หมายเลข 12 เป็นตำแหนง่ เลือกการทำงานเป็นแอมมเิ ตอรไ์ ฟตรงคา่ สงู (10A) วดั กระแสไฟตรงได้สูงสดุ 10 A
หมายเลข 13 เป็นตำแหน่งเลอื กใช้มเิ ตอร์ทำงานเป็นเคร่ืองวัดอัตราขยายกระแส (hFE) ของตัวทรานซิสเตอร์
ใช้ทำงานรว่ มกบั ตำแหนง่ หมายเลข 3
หมายเลข 14 เปน็ ตำแหน่งเลอื กใชม้ เิ ตอรท์ ำงานเปน็ เครือ่ งวดั ตวั ไดโอด

2.6 การใช้งานมัลติมเิ ตอร์ชนิดดิจติ อล
การนำมลั ติมิเตอรช์ นิดดิจิตอลไปใช้งาน ใชไ้ ดเ้ ชน่ เดยี วกบั มลั ติมิเตอร์ชนิดแอนะลอก เม่ือต้องการวัดปริมาณ

ไฟฟ้าชนิดใด ก็ปรับสวิตช์เลือกย่านวัดหมายเลข 2 ของรูปที่ 2.17 ไปย่านปริมาณไฟฟ้าที่ต้องการวัด ถ้าไม่ทราบค่า
ปรมิ าณไฟฟ้าน้นั ให้ต้ังค่าท่ีย่านวัดสูงสุดไว้ก่อน และคอ่ ยๆ ปรบั ต่ำลงมาในยา่ นทเี่ หมาะสม มัลตมิ เิ ตอร์ชนิดดิจิตอลจะ
แสดงค่าปริมาณไฟฟ้าออกมาเป็นตัวเลขอ่านค่าได้ทันที การจะนำมัลติมิเตอร์ชนิดดิจิตอลไปใช้งาน จำเป็นต้องศึกษา
ทำความเขา้ ใจการใช้งานและการอ่านคา่ ให้ถูกต้องเสียก่อน การวัดปริมาณไฟฟา้ ชนิดตา่ งๆ ทำได้ดงั นี้

2.6.1 การวดั แรงดนั ไฟตรง (DCV)
การวัดแรงดันไฟตรงด้วยมัลติมิเตอร์ชนิดดิจิตอล โดยปรับสวิตช์เลือกย่านวัดไปที่แรงดันไฟตรง (V

) มัลติมิเตอร์ชนิดดิจิตอลรุ่นที่ใช้งานตามรูปที่ 2.17 มีย่านวัดแรงดันไฟตรงทั้งหมด 5 ย่านวัดเต็มสเกล คือ ย่าน
200 mV, 2,000 mV, 20 V, 200 V และ 1,000 V ตัวเลขที่แสดงใหเ้ ห็นบนหน้าปัดขณะวดั คา่ คือค่าแรงดันไฟตรงที่
วัดได้ การต่อวัดค่าโดยยึดหลักดังนี้ ใกล้บวกแหล่งจ่ายแรงดัน ต่อวัดด้วยขั้วบวก (+) ของมิเตอร์ ใกล้ลบแหล่งจ่าย
แรงดนั ตอ่ วดั ดว้ ยขว้ั ลบ (–) ของมเิ ตอร์ กรณที ีว่ ัดค่าแลว้ เกิดเคร่ืองหมายลบ (–) แสดงอยู่ดา้ นหน้าตัวเลขที่บอกค่าไว้
บอกให้ทราบว่าการต่อสายวัดแรงดันไฟตรงผิดขั้ว ให้สลับขั้วสายวัดใหม่ การตั้งย่านวัดและการต่อมัลติมิเตอร์ชนิด
ดิจิตอลวัดแรงดันไฟตรง แสดงดังรูปท่ี 2.18

-+

รปู ท่ี 2.18 การต่อมัลติมิเตอร์ชนิดดิจติ อลวดั แรงดันไฟตรง

31
2.6.2 การวัดแรงดันไฟสลับ (ACV)

การวัดแรงดนั ไฟสลบั ดว้ ยมัลตมิ เิ ตอรช์ นดิ ดิจิตอล โดยปรับสวิตชเ์ ลือกย่านวัดไปท่โี วลต์มิเตอร์ไฟสลับ
(V~) มัลติมิเตอร์ชนิดดิจิตอลรุ่นที่ใช้งานตามรูปที่ 2.17 มีย่านวัดแรงดัน ไฟสลับทั้งหมด 2 ย่านวัดเต็มสเกล คือ ย่าน
200 V และ 750 V ขณะวัดคา่ มเิ ตอร์จะแสดงค่าทวี่ ัดได้ออกมา การวดั แรงดันไฟสลับไม่จำเปน็ ต้องคำนึงถึงขั้ววัดของ
มิเตอร์ ใช้สลบั ขว้ั วดั ได้ การต้งั ย่านวดั และการต่อมลั ติมิเตอรช์ นดิ ตัวเลขวดั แรงดนั ไฟสลับ แสดงดังรปู ที่ 2.19

รูปท่ี 2.19 การต่อมลั ติมิเตอร์ชนดิ ดิจติ อลวัดแรงดันไฟสลับ
2.6.3 การวัดกระแสไฟตรง (DCA)

การวัดกระแสไฟตรงด้วยมัลติมิเตอร์ชนิดดจิ ิตอล โดยปรับสวิตช์เลือกย่านวัดไปทีแ่ อมมิเตอร์ไฟตรง
(A ) มัลติมิเตอร์ชนิดดิจิตอลรุ่นที่ใช้งานตามรูปที่ 2.17 มีทั้งหมด 5 ย่านวัดเต็มสเกล คือ ย่าน 200 A, 2,000 A,
20 mA, 200 mA และ 10 A การต่อวดั กระแสไฟตรงต้องต่อแบบอนุกรม ตวั เลขทีแ่ สดงให้เห็นบนหน้าปัดขณะวัดค่า
คือคา่ กระแสไฟตรงทวี่ ดั ได้ การตอ่ วดั ค่าโดยยึดหลักดังนี้ ใกลบ้ วกแหล่งจา่ ยแรงดนั ต่อวัดด้วยขวั้ บวก (+) ของมิเตอร์
ใกล้ลบแหล่งจ่ายแรงดัน ต่อวัดด้วยขั้วลบ (–) ของมิเตอร์ กรณีที่วัดค่าแล้วเกิดเครื่องหมายลบ (–) แสดงอยู่ด้านหน้า
ตัวเลขที่บอกค่าไว้ บอกให้ทราบว่าการต่อสายวัดกระแสไฟตรงผิดขัว้ ให้สลับขั้วสายวดั ใหม่ และเมื่อต้องการวดั กระแส
ไฟตรงค่าสูงเป็นแอมแปร์ตัง้ ที่ 10 A เปลีย่ นตำแหนง่ ขั้วตอ่ สายวดั เสน้ สแี ดง ไปเสยี บท่ขี ั้วตอ่ หมายเลข 4 ตามรูปท่ี 2.17
การต้ังย่านวัดและการตอ่ มลั ตมิ ิเตอรช์ นิดดจิ ิตอลวดั กระแสไฟตรง แสดงดงั รปู ท่ี 2.20

-+

รปู ที่ 2.20 การต่อมลั ติมิเตอร์ชนดิ ดิจติ อลวัดกระแสไฟตรง

32

2.6.4 การวดั ความต้านทาน ()
การวัดความต้านทานด้วยมัลติมิเตอร์ชนิดดิจิตอล โดยตั้งสวิตช์เลือกย่านวัดไปที่โอห์มมิเตอร์ ()

มัลติมิเตอร์ชนิดดิจิตอลรุ่นที่ใช้งานตามรูปที่ 2.17 มีทั้งหมด 5 ย่านวัดเต็มสเกล คือ ย่าน 200, 2,000, 20 k, 200 k
และ 2,000 k การวัดค่าความต้านทานด้วยโอห์มมิเตอร์ชนิดดิจิตอล ไม่จำเป็นต้องช็อตปลายสายวัดเข้าด้วยกัน เพื่อ
ปรับแตง่ ความถูกต้อง สามารถนำไปวดั ค่าได้เลยในทุกย่านวดั ตวั เลขท่แี สดงใหเ้ ห็นคือค่าความต้านทานท่วี ัดได้ การต้ัง
ยา่ นวดั และการตอ่ มัลตมิ เิ ตอรช์ นิดดจิ ติ อล วัดค่าความต้านทาน แสดงดังรูปท่ี 2.21

รูปท่ี 2.21 การต่อมลั ติมเิ ตอร์ชนดิ ดจิ ิตอลวัดค่าความต้านทาน

2.7 บทสรุป
เครื่องมือวัดไฟฟ้าเบื้องต้นที่ควรทราบ ได้แก่ มัลติมิเตอร์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเครื่องมือวัดไฟฟ้าที่จำเป็นต่อช่าง

ไฟฟ้า ชา่ งอเิ ล็กทรอนิกส์ และชา่ งทจี่ ำเปน็ ต้องเก่ยี วข้องกบั ปริมาณไฟฟา้ ต่างๆ มลั ติมเิ ตอร์สามารถวัดปริมาณไฟฟ้า
ได้หลายชนิด มีราคาถูก เล็กกะทัดรัด พกพาไปได้สะดวก มัลติมิเตอร์ทีผ่ ลิตมาใช้งานแบง่ ออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่
มลั ตมิ เิ ตอร์ชนิดแอนะลอก และมลั ติมิเตอรช์ นิดดิจิตอล

การวัดปริมาณไฟฟ้าชนิดไฟตรง (DC) ไม่ว่าเป็นแรงดันหรือกระแส ขณะต่อมัลติมิเตอร์วัดวงจรไฟฟ้านั้นๆ
ต้องคำนึงถึงขั้วของมัลติมิเตอร์ และขั้วแรงดันของแหล่งจ่ายในวงจร ต้องเหมือนกันโดยยึดหลักการต่อวั ดดังนี้ ใกล้
บวกต่อบวก ใกล้ลบต่อลบ จึงสามารถวัดค่าปริมาณไฟฟ้านั้นๆ ได้ ส่วนปริมาณไฟฟ้าชนิดไฟสลับ (AC) ไม่ว่าเป็น
แรงดันหรือกระแส ขณะต่อมัลติมิเตอร์วัดวงจรไฟฟ้านั้นๆ ไม่ต้องคำนึงถึงขั้วของมัลติมิเตอร์และขั้วแรงดันของ
แหล่งจ่ายในวงจร

สิง่ สำคัญทต่ี อ้ งคำนงึ ถึงก่อนนำมลั ติมิเตอร์ไปใชง้ าน คือการตง้ั ย่านวัดปริมาณไฟฟ้า ต้องตง้ั ย่านวดั ใหถ้ ูกต้องตาม
ชนดิ ของปริมาณไฟฟ้าน้ันๆ เพราะการตั้งย่านวัดผิดชนิดอาจมผี ลทำให้ มัลตมิ ิเตอร์ชำรุดเสยี หายได้ และการตั้งย่านวัด
ในค่าที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน จะช่วยให้การอ่านค่าการวัดมีความถูกต้องมากขึ้น การวัดปริมาณไฟฟ้าบางชนิด
ต้องทำการปรับแต่งมิเตอร์ก่อนการวัดค่าเสมอ เช่น การวัดความต้านทาน ซึ่งการวัดจะถูกต้องได้ ก่อนการวัดค่าต้อง
ปรบั แตง่ มิเตอร์ก่อนการใช้งานทุกครงั้

33

หนว่ ยที่ 3

แหลง่ กาเนดิ ไฟฟ้ าและประเภทของไฟฟ้ า

ด้านความรู้
• อะตอมกบั ไฟฟ้า
• ไฟฟ้าเกิดจากการเสียดสี
• ไฟฟ้าเกิดจากแรงกดดนั
• ไฟฟ้าเกิดจากความร้อน
• ไฟฟ้าเกิดจากปฏิกิริยาเคมี
• ไฟฟ้าเกิดจากแสงสวา่ ง
• ไฟฟ้าเกิดจากสนามแมเ่ หลก็
• ประเภทไฟฟ้า
• บทสรุป
ด้านทักษะ
1. ไฟฟ้าเกิดจากสนามแมเ่ หลก็

ด้านคุณธรรม จริยธรรม
1. เตรียมความพร้อมดา้ น วสั ดุ อุปกรณ์สอดคลอ้ งกบั งานไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง
2. มีความรับผิดชอบ ปฏิบตั ิงานไดอ้ ย่างถูกตอ้ งในเร่ืองเครื่องมือวดั ไฟฟ้าเบ้ืองตน้ และสาเร็จภายใน เวลาที่

กาหนดอยา่ งมีเหตุและผลตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง

จุดประสงค์การสอน/การเรียนรู้

• จุดประสงคท์ วั่ ไป / บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพียง

1. เพ่ือให้มีความรู้เกี่ยวกบั ไฟฟ้ากบั ความเจริญของโลก, ไฟฟ้าเกิดจากการเสียดสี, ไฟฟ้าเกิดจากการทาปฏิกิริยา
ทางเคมี, ไฟฟ้าเกิดจากความร้อน, ไฟฟ้าเกิดจากแสงสว่าง, ไฟฟ้าเกิดจากแรงกดดนั , ประเภทของไฟฟ้า, ไฟฟ้ากระแสตรง
, ไฟฟ้ากระแสสลบั , ทิศทางการไหลของกระแส (ดา้ นความรู้)

2. เพื่อใหม้ ีทกั ษะในการทดสอบไฟฟ้าเกิดจากสนามแม่เหลก็ (ดา้ นทกั ษะ)
3. เพ่อื ใหม้ ีเจตคติที่ดีต่อการเตรียมความพร้อมดา้ นการเตรียม วสั ดุ อปุ กรณ์ และการปฏิบตั ิงานอยา่ งถกู ตอ้ ง
สาเร็จภายในเวลาท่ีกาหนด มีเหตุและผลตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (ดา้ นคุณธรรม จริยธรรม)

34

• จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม / บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง

1. อธิบายไฟฟ้ากบั ความเจริญของโลก (ด้านความรู้)
2. อธิบายไฟฟ้าเกิดจากการเสียดสี (ด้านความรู้)
3. อธิบายไฟฟ้าเกิดจากการทาปฏิกิริยาทางเคมี (ด้านความรู้)
4. อธิบายไฟฟ้าเกิดจากความร้อน (ด้านความรู้)
5. อธิบายไฟฟ้าเกิดจากแสงสวา่ ง (ด้านความรู้)
6. อธิบายไฟฟ้าเกิดจากแรงกดดนั (ด้านความรู้)
7. แยกแยะประเภทของไฟฟ้า (ด้านความรู้)
8. อธิบายลกั ษณะของไฟฟ้ากระแสตรง (ด้านความรู้)
9. อธิบายลกั ษณะของไฟฟ้ากระแสสลบั (ด้านความรู้)
10. บอกทิศทางการไหลของกระแส (ด้านความรู้)
11. ทดสอบไฟฟ้าเกิดจากสนามแมเ่ หลก็ (ด้านทักษะ)
12. เตรียมความพร้อมดา้ น วสั ดุ อุปกรณ์สอดคลอ้ งกบั งานไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง (ด้านคุณธรรม จริยธรรม/
บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง)
13. ปฏิบตั ิงานไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง และสาเร็จภายใน เวลาท่ีกาหนดอยา่ งมีเหตุและผลตามหลกั ปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพยี ง (ด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง)

เนอ้ื หาสาระการสอน/การเรียนรู้
• ด้านความรู้(ทฤษฎี)

3.1 อะตอมกับไฟฟ้า

โครงสร้างภายในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาบนโลก เช่น วัตถุ (Material) ธาตุ (Element) หรือสสาร (Matter)
ประกอบด้วยส่วนประกอบเล็กๆ หลายส่วนรวมกัน เมื่อนำมาวิเคราะห์ตามหลักทฤษฎีอะตอม ( Atomic Theory)
พบว่าโครงสร้างภายในสิ่งเหล่านั้นประกอบไปด้วย โมเลกุล (Molecule) อะตอม (Atom) นิวเคลียส (Nucleus)
โปรตอน (Proton) นิวตรอน (Neutron) และอิเล็กตรอน (Electron) เหมือนกัน แต่สิ่งที่เรามองเห็นจากโครงสร้าง
ภายนอกของวัตถุ ธาตุ หรือสสาร มีลักษณะที่แตกต่างกันไป เพราะสิ่งเหล่านั้นมีส่วนประกอบของส่วนที่เล็กที่สุดที่
เรียกว่าโมเลกุล จะมีจำนวนโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอนไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน เช่น โมเลกุลของน้ำ (H2O)
ใน 1 โมเลกุล ประกอบด้วยอะตอมของธาตุไฮโดรเจน (H) 2 อะตอม และอะตอมของธาตุออกซิเจน (O) 1 อะตอม
หรือโมเลกุลของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ใน 1 โมเลกุล ประกอบด้วยอะตอมของธาตุคาร์บอน (C) 1 อะตอม
และอะตอมของธาตุออกซิเจน (O) 2 อะตอม เป็นต้น โครงสร้าง 1 โมเลกุลของน้ำ (H2O) และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
(CO2) แสดงดังรปู ท่ี 3.1

35

HOH HOH OCO OCO

(ก) 1 โมเลกลุ ของน้ำ (H2O) (ข) 1 โมเลกลุ ของกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2)

รูปที่ 3.1 โครงสร้าง 1 โมเลกุลของน้ำ (H2O) และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)

ส่วนประกอบภายในโครงสร้างแต่ละส่วนของวัตถุ ธาตุ หรือสสาร ที่อยู่ในรูปของโมเลกุล อะตอม นิวเคลียส

โปรตอน นิวตรอน และอเิ ล็กตรอน มีคณุ สมบตั ทิ ่แี ตกตา่ งกนั ดังนี้
1. โมเลกุล คือ ส่วนที่เล็กที่สุดของวัตถุ ธาตุ หรือสสาร ที่ยังคงแสดงคุณสมบัติเดิมอยู่ ทั้งทางด้านเคมีและ

ฟสิ ิกส์
2. อะตอม คอื ส่วนทเ่ี ลก็ ท่สี ุดของธาตุ แสดงโครงสรา้ งเดิมของธาตุน้ันๆ ออกมา เชน่ นำ้ เม่ือแยกตวั ออกจนเป็น

โมเลกลุ ยังคงสภาพเป็นน้ำอยู่ แต่ถา้ แยกตวั ออกไปอีกจะแสดงคา่ อยู่ในรูปอะตอม มองเหน็ เป็นธาตุเดิมที่มาประกอบ
ร่วมกัน จะประกอบดว้ ยดว้ ย ธาตุออกซเิ จน (O) และธาตไุ ฮโดรเจน (H) เปน็ ต้น

3. นวิ เคลียส คอื สว่ นทีอ่ ยใู่ จกลางของอะตอม อยนู่ ่ิงไมเ่ คล่ือนไหว ภายในนิวเคลียสยังประกอบด้วย โปรตอน
และนิวตรอน

4. นวิ ตรอน คอื สว่ นทอ่ี ย่ภู ายในนิวเคลียส อย่นู ง่ิ ไมเ่ คลอ่ื นไหว ไม่มปี ระจุไฟฟ้า ไม่มสี ่วนสำคญั ทางดา้ นไฟฟา้
5. โปรตอน คือ ส่วนที่อยู่ภายในนิวเคลียส อยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหว มีประจุไฟฟ้าเป็นบวก (+) มีบทบาทและมีส่วน
สำคัญทางดา้ นไฟฟ้า เกดิ อำนาจดงึ ดดู กบั อิเล็กตรอน
6. อิเล็กตรอน คือ ส่วนที่วิ่งเคลื่อนที่รอบนิวเคลียส มีประจุไฟฟ้าเป็นลบ (–) มีบทบาทและมีส่วนสำคัญ
ทางด้านไฟฟ้า โดยจะถูกดึงดูดด้วยโปรตอน เนื่องจากอิเล็กตรอนมีน้ำหนักเบาและวิ่งเคลื่อนที่รอบนิวเคลียส
ตลอดเวลา เมอ่ื มีพลังงานจากภายนอกมากระต้นุ อเิ ลก็ ตรอนจะสามารถว่งิ เคล่ือนทไี่ ปยังอะตอมอนื่ ๆ ได้โดยง่าย
อะตอมเป็นส่วนทีเ่ ลก็ ท่ีสดุ ของธาตุ ภายในอะตอมมสี ว่ นประกอบหลายส่วน รวมกันอยู่ในรูปโครงสรา้ งอะตอม
(Atomic Structure) ซึง่ ประกอบด้วยนวิ เคลียสอยู่ตรงกลางอะตอม ภายในนิวเคลยี สบรรจไุ ว้ดว้ ยโปรตอน และนิวตรอน
รวมกันอยู่เป็นกลมุ่ มอี ิเลก็ ตรอนวิ่งเคลื่อนที่วนรอบนวิ เคลียสตลอดเวลา วงโคจรของอเิ ล็กตรอนที่ว่ิงวนรอบนิวเคลียส
มีหลายวงซ้อนทับกันอยู่ ถูกเรียกว่าชั้นวงโคจร (Shell) การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียส และชั้นวงโคจร
อเิ ลก็ ตรอน แสดงดังรปู ท่ี 3.2

36

- - -
- - -

- +N+N+NN+N++NN+ - +7 -
-
-
- -

-

(ก) การเคลือ่ นทีข่ องอเิ ลก็ ตรอนรอบนิวเคลียส (ข) ชนั้ วงโคจรอิเล็กตรอน

รูปท่ี 3.2 โครงสร้างอะตอม

จากรูปที่ 3.2 แสดงโครงสร้างอะตอม รูปที่ 3.2 (ก) แสดงในลักษณะการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนรอบ
นิวเคลียส ส่วนรูปที่ 3.2 (ข) แสดงในลักษณะวงโคจรของอิเล็กตรอนที่วิ่งวนรอบนิวเคลียสแต่ละวงจะสามารถบรรจุ
จำนวนอเิ ล็กตรอนได้ไม่เทา่ กัน วงในสุดบรรจไุ ด้น้อย และวงหา่ งออกมาจะบรรจุได้เพ่ิมข้ึนเปน็ ลำดับ แตล่ ะวงโคจรแบ่ง
จำนวนอิเลก็ ตรอนออกได้ดังน้ี วงที่ 1 มี 2 ตวั วงท่ี 2 มี 8 ตัว วงท่ี 3 มี 18 ตวั และวงท่ี 4 มี 32 ตัว เปน็ ต้น

พลังงานไฟฟ้ากำเนิดขึ้นมาได้จากแหล่งกำเนิดไฟฟ้าหลายชนิด จากการค้นคว้าทดลองของนักวิทยาศาสตร์
หลายทา่ น และตงั้ เปน็ ทฤษฎีอะตอมข้นึ มา ซ่ึงกล่าวไว้ว่า ในวัตถุ ธาตุ หรอื สสารทกุ ชนิด มีประจุไฟฟ้าท้ังบวกและลบ
เป็นส่วนประกอบในโครงสร้างทุกๆ อะตอม ที่สภาวะปกติวัตถุ ธาตุ หรือสสารต่างๆ ไม่แสดงอำนาจไฟฟ้าหรือ
ศักย์ไฟฟ้าออกมา เพราะเกิดความสมดุลของประจุไฟฟ้าในทุกๆ อะตอม การจะทำให้มีการแสดงอำนาจไฟฟ้าหรือ
ศักย์ไฟฟ้าออกมา ต้องทำให้อะตอมเหล่านั้นเกิดความไม่สมดุลของประจุไฟฟ้า พลังงานไฟฟ้าสามารถกำเนิดขึ้นมาได้
จากแหล่งกำเนิดไฟฟ้าหลายชนิดแตกต่างกัน แบ่งออกได้ 6 ชนิด ดังนี้คือ เกิดจากการเสียดสี เกิดจากแรงกดดัน เกิด
จากความร้อน เกิดจากปฏิกิริยาเคมี เกิดจากแสงสว่าง และเกิดจากสนาม แม่เหล็ก แหล่งกำเนิดไฟฟ้า แต่ละชนิด
สามารถให้กำเนดิ ไฟฟา้ ออกมามากน้อยแตกตา่ งกนั ไป

3.2 ไฟฟา้ เกิดจากการเสียดสี

ไฟฟ้าเกิดจากการเสียดสี เป็นไฟฟา้ ท่ีถูกคน้ พบมาเปน็ เวลายาวนานแลว้ เกิดขน้ึ ไดจ้ าก
การนำวตั ถตุ า่ งกนั 2 ชนดิ ทเี่ หมาะสมกนั มาขัดสีกัน
ในบริเวณที่มีอากาศแห้ง เช่น จากการใช้แท่งยาง
กับผ้าขนสัตว์ แท่งแก้วกับผ้าแพร หวีกับผมและ
แผ่นพลาสติกกับผ้าสำลี เป็นต้น ผลของการขัดสี

37

ดังกล่าวทำให้เกิดความไม่สมดุลขึ้นของประจุไฟฟ้า
ในวัตถุทั้งสอง เนื่องจากเกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้า
ในขณะเสียดสีกัน วัตถุทั้งสองจะแสดงศักย์ ไฟฟ้า
ออกมาแตกต่างกัน วัตถุชนิดหนึ่งแสดงศักย์ ไฟฟ้า
บวก (+) ออกมา วัตถุอีกชนิดหนึ่งแสดงศักย์ ไฟฟ้า
ลบ (–) ออกมา ไฟฟ้าเกิดจากการเสียดสี แสดงดัง
รูปที่ 3.3

รูปที่ 3.3 ไฟฟา้ เกดิ จากการเสยี ดสี

จากรูปที่ 3.3 แสดงไฟฟ้าเกิดจากการเสียดสี โดยนำผ้าขนสตั ว์กับแท่งยางมาเสียดสีกัน ทำให้ประจุไฟฟ้าลบ
(–) จากผ้าขนสัตว์วิ่งเคลื่อนที่เข้าไปในแท่งยาง ส่งผลให้ผ้าขนสัตวม์ ีศักย์บวก (+) มากกว่า แสดงศักย์ไฟฟ้าบวก (+)
ออกมา และแท่งยางมีศักย์ลบ (–) มากกว่า แสดงศักย์ไฟฟ้าลบ (–) ออกมา การตรวจสอบไฟฟ้าเกิดจากการเสียดสี
โดยนำแท่งยางไปดูดเศษวสั ดุชน้ิ เลก็ ๆ เบาๆ เชน่ เศษกระดาษชนิ้ เลก็ ๆ หรือเส้นผม เปน็ ต้น สามารถดูดสง่ิ เหลา่ นี้ได้
นำหลักการไฟฟา้ เกิดจากการเสยี ดสไี ปใช้สรา้ งเคร่ืองกำเนดิ ไฟฟา้ สถติ

3.3 ไฟฟ้าเกิดจากแรงกดดนั
ไฟฟา้ เกิดจากแรงกดดัน เป็นไฟฟ้าท่ีเกดิ ขึ้นจากการใช้วัสดุทส่ี ามารถเกิดไฟฟ้าขึ้นมาได้เม่ือมีแรงไป

กดลงบนวัสดนุ นั้ วัสดุท่ีนิยมนำมาใช้งาน ได้แก่ผลึกแร่ควอตซ์ (Quartz Crystal) โดยนำผลึกแร่ควอตซ์ไปทำเป็นแผ่น
บาง นำแผ่นโลหะประกบติดด้านบนและด้านล่างของผลึกแรค่ วอตซ์ เชื่อมต่อสายไฟออกจากแผ่นโลหะทั้งสอง เป็น
ขั้วจ่ายแรงดันไฟฟ้าออกมา ไฟฟ้าถูกกำเนิดขึน้ ในผลกึ แรค่ วอตซ์ในขณะมีแรงกดดัน หรือแรงสัน่ สะเทือนไปกระทำท่ี
ผลกึ แร่ควอตซ์ การตรวจสอบไฟฟา้ ที่เกดิ จากผลกึ แร่ควอตซ์ ทำไดโ้ ดยใช้โวลต์มเิ ตอร์วัดแรงดัน ไปวัดคร่อมที่ข้ัวโลหะ
ทง้ั สอง โวลต์มเิ ตอร์จะแสดงคา่ แรงดนั ออกมา โครงสรา้ งผลกึ แร่ควอตซก์ ำเนิดไฟฟา้ แสดงดังรูปท่ี 3.4

- DCmV+

(ก) ผลกึ แร่ควอตซ์ (ข) ทดสอบการเกิดไฟฟา้ จากผลกึ แรค่ วอตซ์
รูปท่ี 3.4 ไฟฟา้ เกิดจากแรงกดดัน

38

ผลกึ แรค่ วอตซ์ในขณะท่ีไม่มีแรงกดดนั หรอื ไม่มีแรงส่ันสะเทือนมากระทำ จะยังไม่กำเนิดไฟฟ้าขนึ้ มา เนื่องจาก
อิเล็กตรอนในแต่ละอะตอมมีพลังงานไม่เพียงพอไม่เกิดการเคลื่อนที่ เมื่อมีแรงกดดันหรือแรงสั่นสะเทือนไปกระทำท่ี
แผ่นโลหะทั้งสอง ส่งไปให้ผลึกแรค่ วอตซ์มีพลังงานมากระตุ้นใหอ้ ิเล็กตรอนในแตล่ ะอะตอมเกิดการเคลื่อนทีร่ ะหวา่ ง
อะตอม ทำให้แผน่ โลหะทง้ั สองเกิดความไม่สมดลุ ของศักย์ไฟฟา้ ขน้ึ แสดงเป็นแรงดันส่งออกมาท่ีขั้วต่อ สามารถนำผลึกแร่
ควอตซ์ไปผลิตเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าได้หลายชนิด เช่น ลำโพงคริสตอล คริสตอลไมโครโฟน และตัวกำเนิดความถี่คริสตอล
(Crystal Oscillator) เปน็ ต้น

3.4 ไฟฟ้าเกดิ จากความรอ้ น

ไฟฟ้าเกิดจากความร้อน เป็นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากการใช้ลวดโลหะต่างชนดิ กัน 2 เส้น หรือใช้แผ่นโลหะต่างชนิด
กนั 2 แผน่ เช่น ทองแดง และเหล็ก นำปลายดา้ นหนงึ่ ของโลหะท้ังสองหมุนตีเกลยี วหรือประกบติดกัน ยึดให้แน่น
ดว้ ยการเชอื่ มหรอื ใชห้ มดุ ยึดติด ปลายโลหะทีเ่ หลอื อกี ด้านทำให้แยกหา่ งออกจากกัน เมื่อใช้ความรอ้ นเผาท่ีปลายด้าน
ติดกันของโลหะทั้งสอง ส่งผลให้โลหะทั้งสองบริเวณปลายด้านได้รับความร้อนเกิดการแยกตัวของประจุไฟฟ้า จ่าย
ศกั ย์ไฟฟ้าออกมา การตรวจสอบไฟฟ้าท่ีเกิดจากโลหะท้งั สอง ทำได้โดยใช้โวลต์มิเตอร์วัดแรงดนั ไปวดั ครอ่ มท่ีขั้วโลหะท้ัง
สองด้านปลายแยกห่างจากกัน โวลต์มิเตอร์จะแสดงค่าแรงดันออกมา อุปกรณ์ที่สร้างใช้งานจริงของไฟฟ้าเกิดจากความ
ร้อน มีช่อื เรยี กว่า เทอร์โมคปั เปลิ (Thermocouple) โครงสรา้ งไฟฟา้ เกดิ จากความร้อน แสดงดงั รปู ท่ี 3.5

- DCmV+

(ก) เทอรโ์ มคัปเปลิ (ข) ทดสอบการเกดิ ไฟฟา้ จากเทอร์โมคัปเปลิ

รูปท่ี 3.5 ไฟฟ้าเกิดจากความรอ้ น

ในขณะที่เทอร์โมคัปเปิลยังไม่ได้รับความร้อนที่รอยต่อ จะยังไม่กำเนิดไฟฟ้าขึ้นมา เป็นเพราะอิเล็กตรอนใน
แต่ละอะตอมของโลหะมพี ลังงานไมเ่ พยี งพอไม่เกดิ การเคล่ือนที่ เมื่อมีความร้อนจา่ ยใหท้ ่ีรอยต่อ มีพลังงานมากระตนุ้
ให้อิเล็กตรอนในแต่ละอะตอมเกิดการเคลื่อนที่ระหว่างอะตอม ทำให้แผ่นโลหะทั้งสองเกิดความไม่สมดุลของ
ศักย์ไฟฟ้าขึ้น แสดงเป็นแรงดันส่งออกที่ขั้วต่อ นำหลักการไปใช้ผลิตอุปกรณ์ได้หลายชนิด เช่น เครื่องตรวจวัด
อณุ หภมู ิ และอุปกรณค์ วบคมุ การทำงานดา้ นอณุ หภมู ิ เป็นตน้

39

3.5 ไฟฟา้ เกิดจากปฏกิ ริ ิยาเคมี

ไฟฟ้าเกิดจากปฏิกริ ิยาเคมี เปน็ ไฟฟ้าเกิดข้ึนจากการนำแทง่ โลหะตา่ งกันมา 2 ชนดิ เช่น แท่งทองแดง และ
แท่งสังกะสี จุ่มลงในกรดกำมะถันเจือจาง (H2SO4) ที่บรรจุลงในถ้วยแก้ว ผลดังกล่าวทำให้เกิดการแยกตัวของประจุ
ไฟฟ้าขึ้นที่แท่งโลหะทั้งสอง มีประจุไฟฟ้าลบ (–) ไปรวมตัวอยู่ดา้ นแท่งสังกะสี ทำให้แท่งสังกะสีแสดงศกั ย์ไฟฟ้าลบ
(–) ออกมา มปี ระจุไฟฟ้าบวก (+) ไปรวมตวั อยดู่ า้ นแทง่ ทองแดง ทำใหแ้ ท่งทองแดงแสดงศักย์ไฟฟ้าบวก (+) ออกมา
การตรวจสอบไฟฟ้าเกดิ จากปฏิกิรยิ าเคมี ทำไดโ้ ดยใชโ้ วลต์มเิ ตอร์วัดแรงดัน วัดครอ่ มทขี่ วั้ โลหะท้ังสอง โวลต์มิเตอร์จะ
แสดงค่าแรงดันออกมา ไฟฟ้าเกิดจากปฏิกิริยาเคมีแบบพื้นฐานมีชื่อเรียกว่า โวลตาอิกเซลล์ (Voltaic Cell) ไฟฟ้าเกิด
จากปฏิกิรยิ าเคมีทีผ่ ลิตมาออกมาใชง้ านจรงิ มีชือ่ เรียกว่า แบตเตอร่ี (Battery) ไฟฟา้ เกิดจากปฏิกริ ยิ าเคมี แสดงดงั รูปท่ี
3.6

(ก) ทดสอบการเกดิ ไฟฟ้าจากปฏิกริ ิยาเคมี (ข) แบตเตอรี่

รปู ที่ 3.6 ไฟฟา้ เกิดจากปฏกิ ริ ิยาเคมี

แบตเตอรีเ่ ป็นอปุ กรณ์ให้กำเนิดไฟฟ้าเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมี ท่ีผลิตข้ึนมาใช้งานจรงิ ใช้หลักการทำงานของ
โวลตาอิกเซลล์ มาพัฒนาโดยสร้างให้มีจำนวนเซลล์ไฟฟ้าภายในเพิ่มมากขึ้น นำเซลล์ไฟฟ้ามาต่อร่วมกัน ทำให้ได้ค่า
แรงดนั และกระแสเพ่ิมสูงขึน้ นำไปใช้งานกันอุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อเิ ล็กทรอนิกสไ์ ด้อย่างกว้างขวางมากมาย

3.6 ไฟฟ้าเกิดจากแสงสวา่ ง
ไฟฟ้าเกิดจากแสงสว่าง เป็นไฟฟ้าเกิดขึ้นจากการใช้อุปกรณ์จำพวกสารกึ่งตัวนำ (Semi conductor) ที่มี

ความไวต่อแสงมาต่อใช้งาน เมื่อมีแสงมาตกกระทบบนสารกึ่งตัวนำ จะสามารถให้กำเนิดไฟฟ้าออกมาได้ อุปกรณ์ที่
นำมาใช้งานอย่างแพร่หลายมีชื่อเรียกว่า เซลล์แสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์ (Solar Cell) โครงสร้างเซลล์แสงอาทิตย์
ผลิตมาจากสารกึ่งตัวนำต่างชนิดกัน 2 ชนิด ต่อชนกัน ชนิดหนึ่งมีศักย์ไฟฟ้าบวก (+) อีกชนิดหนึ่งมีศักย์ไฟฟ้าลบ (–)

40

เมอ่ื มีแสงส่องมาตกกระทบสารก่ึงตัวนำที่ต่อชนกนั จะทำให้เกิดการแยกตัวของศักย์ไฟฟ้า จ่ายเปน็ แรงดนั ออกมา ไฟฟ้า
เกิดจากแสงสวา่ ง แสดงดังรปู ท่ี 3.7

+ DCV-

N
P

(ก) เซลล์แสงอาทติ ย์ (ข) ทดสอบการเกิดไฟฟ้าจากแสงสวา่ ง

รปู ที่ 3.7 ไฟฟ้าเกิดจากแสงสว่าง
เซลล์แสงอาทิตย์ ผลิตมาจากสารกึ่งตัวนำซิลิคอน (Silicon ; Si) มี 2 ชนิด คือ ชนิด P ที่มีโปรตอน หรือ
ศักย์ไฟฟ้าบวก (+) มากกว่าปกติ และสารชนิด N ที่มีอิเล็กตรอน หรือศักย์ไฟฟ้าลบ (–) มากกว่าปกติ นำมาประกบ
ตดิ กนั ส่วนนอกของสารชนิด P และสารชนดิ N ถกู ปิดด้วยแผ่นโลหะอีกชั้น ใชต้ ่อเปน็ ขว้ั จา่ ยแรงดนั ออกมา ด้านสาร
ชนิด P มขี ้วั ไฟฟ้าออกมาเป็นบวก (+) ด้านสารชนิด N มขี ้วั ไฟฟา้ ออกมาเป็นลบ (–) แผ่นโลหะดา้ นสารชนิด N เจาะ
เป็นชอ่ งมีฉนวนโปร่งใสปดิ ทับด้านบนอกี ชนั้ เพ่อื ใช้รบั แสงให้สอ่ งมาตกกระทบสารกึ่งตวั นำชนดิ N

3.7 ไฟฟ้าเกิดจากสนามแมเ่ หล็ก

ไฟฟ้าเกิดจากสนามแม่เหล็ก เกิดขึ้นได้จากการใช้เส้นลวดตัวนำเคลื่อนที่ตัดผ่านสนาม แม่เหล็ก หรือใช้
สนามแม่เหล็กเคลื่อนที่ตัดผ่านเส้นลวดตัวนำ ผลการเคลื่อนที่ตัดผ่านกันทำให้เส้นลวดตัวนำกำเนิดแรงดันขึ้นมา
เรียกว่าแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนำ (Induced Electromotive Force ; Induced EMF) การเคลื่อนที่ตัดผ่านกันของ
สนามแม่เหล็กและเส้นลวดตัวนำ จะต้องทำอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ไฟฟ้าเกิดจากสนามแม่เหล็ก เป็นการกำเนิด
ไฟฟ้าที่มีความสำคัญต่อการใช้งานมาก ถกู นำไปใช้งานอย่างกว้างขวาง และแพร่หลาย อุปกรณ์ที่ผลิตข้ึนมาใช้งานจริง
มชี ื่อเรยี กว่า เครื่องกำเนดิ ไฟฟ้า (Generator) ไฟฟ้าเกิดจากสนามแม่เหล็ก แสดงดงั รปู ที่ 3.8

41

(ก) เครื่องกำเนดิ ไฟฟา้ (ข) ทดสอบการเกดิ ไฟฟา้ จากสนามแมเ่ หล็ก

รูปที่ 3.8 ไฟฟา้ เกดิ จากสนามแม่เหล็ก

3.8 ประเภทไฟฟา้

ไฟฟา้ ท่ผี ลติ ข้ึนมาใชง้ าน สามารถใหก้ ำเนิดข้ึนมาไดจ้ ากแหลง่ กำเนิดไฟฟา้ หลายชนิดแตกต่างกันดังที่
กลา่ วมา แตจ่ ะผลิตพลังงานไฟฟ้าออกมาเหมือนกัน เพยี งแตพ่ ลังงานไฟฟ้าทไ่ี ด้ออกมามีคณุ สมบตั ิในตัวเองที่แตกต่าง
กันไป ในรูปแบบของไฟฟ้าที่กำเนดิ ขึ้นมา ซึ่งสามารถแบ่งไฟฟ้าออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ไฟฟ้าสถิต (Static
Electricity) และไฟฟ้ากระแส (Current Electricity) ไฟฟ้าทั้งสองประเภทมีคุณลักษณะของการให้กำเนิด และการ
นำไฟฟา้ ไปใชป้ ระโยชน์ท่ีแตกตา่ งกัน

3.8.1 ไฟฟ้าสถิต

ไฟฟ้าสถติ เป็นไฟฟ้าทเี่ กดิ ขึ้นได้เองตามธรรมชาติ เช่น ฟา้ รอ้ ง ฟา้ แลบ ฟา้ ผ่า และจากการเสยี ดสีของ
วัตถุแตกต่างกัน 2 ชนิด เป็นต้น การเกิดไฟฟ้าสถิต สาเหตุเกิดมาจากความไม่สมดุลของประจุไฟฟ้าบวก (+) และ
ประจไุ ฟฟา้ ลบ (–) ทีส่ องตำแหน่งแตกต่างกัน หรอื ที่วตั ถุ 2 ชนดิ แตกตา่ งกนั เกดิ ความตา่ งศักย์ไฟฟ้าขึ้นมาพร้อมจะ
ถ่ายเทประจุไฟฟ้าเข้าหากัน เมื่อมีความต่างศักย์ไฟฟ้ามากพอ แสดงให้เห็นได้จากปรากฏการณ์ธรรมชาติเกิดข้ึน
ในขณะฝนฟ้าคะนอง จะเกดิ การถา่ ยเทประจุไฟฟ้าระหว่างก้อนเมฆที่อยู่ใกลก้ นั เรยี กวา่ ฟา้ แลบ และการถ่ายเทประจุ
ไฟฟา้ จากกอ้ นเมฆลงสู่พื้นดิน เรยี กว่า ฟา้ ผ่า การเกิดฟ้าแลบ และฟา้ ผา่ แสดงดังรปู ท่ี 3.9

นอกจากน้ันไฟฟา้ สถิตยังสามารถผลิตขน้ึ มาไดด้ ว้ ยเครื่องกำเนดิ ไฟฟา้ สถิต มีชือ่ เรยี กว่า เครื่องกำเนิด
ไฟฟ้าสถิตแวนเดอกราฟ (Van de Graaff Static Generator) ใช้หลักการเสียดสีกันของวัตถุต่างชนิดที่เหมาะสมกัน 2
ชนิด ทำให้เกิดการแยกตัวของประจุไฟฟ้าบวก (+) และประจุไฟฟ้าลบ (–) เกิดเป็นความต่างศักย์ไฟฟ้าขึ้นมา เครื่อง
กำเนิดไฟฟ้าสถติ แวนเดอกราฟ แสดงดังรปู ท่ี 3.10

42

รูปที่ 3.9 การเกิดฟ้าแลบและฟา้ ผ่า รปู ท่ี 3.10 เครื่องกำเนดิ ไฟฟ้าสถิตแวนเดอก
ราฟ

ไฟฟ้าสถิต ถูกนำไปประยุกต์ใช้งานอย่างแพร่หลาย นิยมนำไปใช้งานโดยอาศัยคุณสมบัติประจุไฟฟ้า
ต่างกันจะดูดกัน ไปใชด้ ดู วัสดุช้ินเล็กๆ ให้ไปเกาะกับสิ่งทต่ี ้องการ สามารถพัฒนาไปใช้ประโยชน์กับอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิด
ต่างๆ เช่น เครื่องพิมพ์เลเซอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องกำจัดฝุ่นละออง เครื่องทำอากาศบริสุทธิ์ เครื่องพ่นสี และ
เครอื่ งผลิตกระดาษทราย เป็นตน้

3.8.2 ไฟฟา้ กระแส
ไฟฟา้ กระแส เป็นไฟฟา้ ทผ่ี ลติ ขึ้นมาใชง้ านจากแหลง่ กำเนิดไฟฟ้าแตกต่างกัน แตก่ ารจา่ ยไฟฟ้าไปใช้

งาน จะต้องเกิดจากการเคล่ือนท่ีของอิเล็กตรอนในเวลาใชง้ านเหมือนกัน โดยจะมกี ระแสไหลในวงจรไฟฟ้า ปอ้ นไปให้
เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดต่างๆ ทำงาน เกิดประโยชน์ต่อการใช้งานอย่างกว้างขวาง ถูกนำไปใช้งานอย่างแพร่หลาย ไฟฟ้า
กระแสแบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ชนิด คือ ไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current) และไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current)

1. ไฟฟ้ากระแสตรง เป็นไฟฟ้าที่กำเนิดขึ้นมาจากแหล่งกำเนิดไฟฟ้า ที่มีขั้วไฟฟ้าจ่ายศักย์ไฟฟ้าออกมา
แน่นอนตายตัว คือ มีศักย์บวก (+) ขั้วหนึ่ง และมีศักย์ลบ (–) อีกขั้วหนึ่ง แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อนำไปใช้งานจะ
เกิดกระแสไหลในทิศทางเดยี วตลอดเวลา และมีระดับแรงดนั จ่ายออกมาคงที่ตลอดเวลาเชน่ เดียวกัน แหลง่ กำเนิดไฟฟ้า
กระแสตรงที่ผลิตออกมาใช้งาน เช่น ถ่านไฟฉาย และแบตเตอรี่รถยนต์ เป็นต้น แหล่งจ่ายแรงดนั ไฟตรง แสดงดังรูปท่ี
3.11

43

+ +12 V
-

0

(ก) แบตเตอรี่ (ข) สัญลักษณ์ (ค) ระดับแรงดนั ไฟตรงจ่ายออกมา

รูปท่ี 3.11 แหล่งจา่ ยแรงดนั ไฟตรง

2. ไฟฟ้ากระแสสลับ เป็นไฟฟ้าที่กำเนิดขึ้นมาจากแหล่งกำเนิดไฟฟ้า ที่มีขั้วไฟฟ้าจ่ายศักย์ไฟฟ้าออกมา
ไม่แน่นอน แต่ละขั้วไฟฟ้าสามารถจ่ายศักย์ไฟฟ้าออกมาเปลี่ยนแปลงสลับไปสลับมาทั้งศักย์ไฟฟ้าบวก (+) และ
ศักย์ไฟฟ้าลบ (–) เมื่อนำไปใช้งานจะเกิดกระแสไหลมีทิศทางกลับไปกลับมาเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และมีระดับแรงดัน
จ่ายออกมาเปล่ียนแปลงตลอดเวลาไมค่ งท่ี บางเวลามคี ่าสูง บางเวลามคี ่าต่ำ แหล่งกำเนิดไฟฟา้ กระแสสลับที่ผลิตมา
ใช้งาน ได้แก่ เคร่ืองกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Generator) แหลง่ จ่ายแรงดนั ไฟสลับ แสดงดงั รูปท่ี 3.12

+311 V
0

-311 V

(ก) เคร่ืองกำเนิดแรงดันไฟสลับ (ข) (ค) ระดบั แรงดันไฟสลบั จ่ายออก
สญั ลักษณ์

รปู ที่ 3.12 แหล่งจ่ายแรงดนั ไฟสลบั

ไฟฟ้ากระแสสลับเป็นไฟฟ้าที่ถูกนำไปใช้งานในปริมาณมากที่สุด มีบทบาท มีความสำคัญต่อการใช้งาน
การคิดค้นวิธีผลิตไฟฟ้าขึ้นมาใช้งานจึงเป็นเรื่องท้าทาย การให้กำเนิดแรงดันไฟสลับ จะสามารถใช้พลังงานในการ
ขบั เคล่ือนเคร่ืองกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับให้ทำงานได้หลายวธิ ี เชน่ ใชพ้ ลงั น้ำ สร้างไวใ้ นรปู เข่ือนเก็บกักน้ำ ใช้พลังลม

44

สร้างไว้ในรูปกงั หันลม และใช้เช้ือเพลิงหลายชนิด เช่น ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน ก๊าซชีวภาพ และปรมาณู เป็นตน้
ไปขับเคลื่อนให้เครื่องจักรกลทำงาน ส่งไปขับเคลื่อนเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ การกำเนิดไฟฟ้าด้วยเขื่อน และ
กงั หนั ลม แสดงดงั รปู ท่ี 3.13

(ก) กำเนดิ ไฟฟ้าด้วยเขื่อน (ข) กำเนดิ ไฟฟ้าด้วยกังหนั ลม

รูปที่ 3.13 วธิ ีการผลติ ไฟฟ้ากระแสสลับ

การเก็บกักน้ำไว้ในเขื่อน นอกจากไว้สำรองน้ำเพื่อการเกษตรแล้ว ยังนำไปใช้ประโยชน์ช่วยขับเคลื่อนกังหัน
ไปป่นั เครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลบั ให้กำเนดิ ไฟฟา้ ข้ึนมา ถอื เปน็ แหลง่ กำเนิดไฟฟา้ ท่สี ำคัญของประเทศแหลง่ หนง่ึ

แต่ดว้ ยการสร้างเข่ือนมีความยุ่งยากหลายประการ และการสรา้ งเขอื่ นเพิ่มข้ึนใหม่ทำได้ยากมากขึ้น จึงหันมา
หาวิธีการกำเนิดไฟฟา้ วธิ ีอื่นชว่ ยทดแทน และเพือ่ ใหท้ นั กับความต้องการใช้งานทม่ี ีเพ่มิ มากขนึ้ ทุกขณะ การใช้กังหันลม
ช่วยในการขับเคลื่อนเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ จึงถูกพัฒนามาใช้งาน เพราะทำได้ง่ายกว่า และลมในประเทศ
ไทยก็มมี ากพอในการขับเคล่อื นกังหนั ชว่ ยปั่นใหก้ ำเนิดไฟฟา้ ข้ึนมา

3.9 บทสรุป

แหล่งกำเนิดไฟฟ้าคือแหล่งให้กำเนิดพลังงานไฟฟ้า เพื่อใช้ป้อนอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดต่างๆ ไปทำให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงพลังงานไปอยู่ในรูปพลังงานต่างๆ ไฟฟ้าเกิดขึ้นได้จากแหล่งกำเนิดหลายชนิดแตกต่างกันไป แบ่งออกได้
เป็น 6 ชนิด คือ ไฟฟ้าเกิดจากการเสียดสี เกิดขึ้นจากการนำวัตถุต่างกัน 2 ชนิดมาเสียดสีกัน ไฟฟ้าเกิดจากการทำ
ปฏกิ ริ ยิ าทางเคมี ทำไดโ้ ดยใช้แท่งโลหะ 2 แทง่ จุ่มลงในกรดกำมะถันเจือจาง ไฟฟา้ เกดิ จากความร้อน ทำได้โดยใช้โลหะ
2 ชนิดเช่ือมตดิ กนั ทีป่ ลายด้านหนึ่ง และให้ความร้อนท่ปี ลายด้านเชื่อมติดกนั นัน้ ไฟฟา้ เกิดจากแสงสว่าง กำเนิดขึ้นได้
จากอุปกรณ์เซลลแ์ สงอาทติ ย์ เป็นอุปกรณ์จำพวกสารกึง่ ตัวนำ ไฟฟ้าเกิดจากแรงกดดนั ผลิตได้จากแร่ควอตซ์ เมื่อมี
แรงกดดันหรอื แรงสั่นสะเทือนให้แร่ควอตซ์ และไฟฟ้าเกิดจากสนาม แม่เหล็ก โดยการตัดผา่ นกนั ของเส้นลวดตัวและ
สนามแมเ่ หลก็

45

ไฟฟ้าสถติ เป็นไฟฟ้าทีเ่ กิดขึน้ เองตามธรรมชาติ หรือเกิดจากการเสยี ดสีของวัตถุ 2 ชนดิ ส่วนไฟฟ้ากระแส
เกดิ ขึ้นจากแหล่งกำเนิดไฟฟ้าหลายชนิด ขณะเกิดไฟฟา้ ต้องมีการเคลื่อนท่ีของอเิ ล็กตรอนตลอดเวลา ไฟฟ้ากระแสตรง
เป็นไฟฟ้าทที่ ิศทางการไหลของกระแสมีทิศทางเดยี ว ส่วนไฟฟา้ กระแสสลับมีทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้าสลับไป
สลบั มาตลอดเวลา

46

หนว่ ยที่ 4

กฎของโอหม์ กาลงั ไฟฟ้ า และพลงั งานไฟฟ้ า

ด้านความรู้
• อะตอมกบั ไฟฟ้า
• ไฟฟ้าเกิดจากการเสียดสี
• ไฟฟ้าเกิดจากแรงกดดนั
• ไฟฟ้าเกิดจากความร้อน
• ไฟฟ้าเกิดจากปฏิกิริยาเคมี
• ไฟฟ้าเกิดจากแสงสวา่ ง
• ไฟฟ้าเกิดจากสนามแม่เหลก็
• ประเภทไฟฟ้า
• บทสรุป
ด้านทกั ษะ
1. การใชส้ มการกฎของโอหม์
2. การแกป้ ัญหาวงจรไฟฟ้าดว้ ยกฎของโอหม์
3. การคานวณหาคา่ กาลงั ไฟฟ้า

ด้านคณุ ธรรม จริยธรรม
1. เตรียมความพร้อมดา้ น วสั ดุ อปุ กรณ์สอดคลอ้ งกบั งานไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง
2. มีความรับผิดชอบ ปฏิบตั ิงานไดอ้ ย่างถูกตอ้ งในเร่ืองเคร่ืองมือวดั ไฟฟ้าเบ้ืองตน้ และสาเร็จภายใน เวลาที่

กาหนดอยา่ งมีเหตแุ ละผลตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

จุดประสงค์การสอน/การเรียนรู้

• จุดประสงคท์ วั่ ไป / บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง

1. เพื่อใหม้ ีความรู้เกี่ยวกบั ศกั ยไ์ ฟฟ้า,กฎของโอห์ม กาลงั ไฟฟ้ากบั กฎของโอห์ม พลงั งานไฟฟ้า
(ด้านความรู้)

2. เพอ่ื ใหม้ ีทกั ษะในการเขียนสมการกฎของโอห์ม การแกป้ ัญหาวงจรไฟฟ้าดว้ ยกฎของโอห์มและ
ค่ากาลงั ไฟฟ้า (ด้านทักษะ)

3. เพื่อใหม้ ีเจตคติที่ดีต่อการเตรียมความพร้อมดา้ นการเตรียม วสั ดุ อปุ กรณ์ และการปฏิบตั ิงานอยา่ ง
ถูกตอ้ ง สาเร็จภายในเวลาที่กาหนด มีเหตแุ ละผลตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (ด้านคณุ ธรรม จริยธรรม)

47

• จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม / บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง

1. บอกความหมายของประจุไฟฟ้าและศกั ยไ์ ฟฟ้า (ด้านความรู้)
2. เปรียบเทียบความสมั พนั ธ์ของปริมาณไฟฟ้าจากกฎของโอห์ม (ด้านความรู้)
3. บอกความสมั พนั ธข์ องกาลงั ไฟฟ้ากบั กฎของโอหม์ (ด้านความรู้)
4. อธิบายความหมายของพลงั งานไฟฟ้า (ด้านความรู้)
5. เขยี นสมการกฎของโอห์ม (ด้านทักษะ)
6. แสดงวิธีการคานวณแกป้ ัญหาวงจรไฟฟ้าดว้ ยกฎของโอห์ม (ด้านทักษะ)
7. แสดงวิธีการคานวณหาคา่ กาลงั ไฟฟ้า (ด้านทักษะ)
8. เตรียมความพร้อมดา้ น วสั ดุ อุปกรณ์สอดคลอ้ งกบั งานไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง (ด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณา
การเศรษฐกิจพอเพียง)
9. ปฏิบตั ิงานไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง และสาเร็จภายใน เวลาที่กาหนดอยา่ งมีเหตแุ ละผลตามหลกั ปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียง (ด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง)

4.1 ศักย์ไฟฟ้าและประจุไฟฟ้า

ประจุไฟฟ้า (Electric Charge) และศักย์ไฟฟ้า (Electric Potential) เป็นปริมาณทางไฟฟ้าที่เกิดขึ้นมาในเวลา
พร้อมกัน มีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด จนไม่สามารถแยกปริมาณทั้งสองออกจากกันได้ การ
กล่าวถึงศักย์ไฟฟ้าจะต้องมีประจุไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และถ้ากล่าวถึงประจุไฟฟ้าจะต้องมีศักย์ไฟฟ้าเข้ามา
เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน ปริมาณไฟฟ้าทั้งสองเป็นตัวแสดงให้ทราบถึงจำนวนไฟฟ้าที่กำเนิดขึ้นมาว่ามีมากน้อยเพียงไร
ความหมายของประจุไฟฟ้าและศักย์ไฟฟ้า เปน็ ดงั นี้

ประจุไฟฟ้า คือ ขั้วของไฟฟ้าที่แตกต่างกัน แบ่งออกได้เป็น 2 ขั้ว คือ ขั้วบวก (+) หรือประจุบวก (Positive
Charge) และขั้วลบ (–) หรือประจุลบ (Negative Charge) ในทุกๆ อะตอมจะประกอบด้วยประจุบวกหรือโปรตอน
และประจลุ บหรอื อิเล็กตรอนรวมกนั อยู่ ในสภาวะปกตปิ ระจุไฟฟา้ ทง้ั สองมีค่าสมดลุ กนั หรือเท่ากัน

ศักย์ไฟฟ้า คือ ค่าของไฟฟ้า หรือปริมาณของไฟฟ้าที่แสดงออกมาในขณะเกิดความไม่สมดุลของประจุไฟฟ้า
แบ่งออกได้เปน็ 2 คา่ คือ ศักย์บวก (Positive Potential) หมายถงึ การมีประจไุ ฟฟา้ บวกมากกวา่ ประจุไฟฟ้าลบ และ
ศกั ย์ลบ (Negative Potential) หมายถงึ การมปี ระจุไฟฟา้ ลบมากกว่าประจไุ ฟฟ้าบวก

ประจไุ ฟฟา้ และศักย์ไฟฟ้ามีพลังงานในตัวเอง สามารถเคล่อื นที่และเปล่ียนแปลงค่าได้ และพร้อมจะเคลื่อนท่ี
และเปล่ยี นแปลงค่าตลอดเวลา เม่ืออย่ใู นสภาวะท่ีเหมาะสมและเอ้ืออำนวย ประจุไฟฟ้าหรือศักย์ไฟฟ้ามีอำนาจไฟฟ้า
แผ่ออกรอบตัวเองในรูปของเส้นแรง (Line of Force) เรียกว่า เส้นแรงสนามไฟฟ้า (Electric Field Lines) ส่งผลต่อ
พลังงานหรือแรงท่ีเกิดขึ้น

48
เสน้ แรงสนามไฟฟ้าเกดิ ขึน้ ท่ีประจุไฟฟ้ามลี ักษณะดังน้ี ถา้ เปน็ ประจุไฟฟ้าบวก (+) เสน้ แรงสนามไฟฟา้ จะเคล่ือนที่
ออกจากประจุ ถ้าเป็นประจุไฟฟ้าลบ (–) เส้นแรงสนามไฟฟ้าจะเคลื่อนที่เข้าหาประจุ เส้นแรงสนามไฟฟ้าจะเกิดข้นึ
มากหรือนอ้ ย ขึ้นอยกู่ ับปริมาณศักย์ไฟฟ้าที่เกิดข้นึ เส้นแรงสนามไฟฟ้าท่เี กดิ ขนึ้ รอบประจุไฟฟา้ แสดงดงั รปู ท่ี 4.1

+-

(ก) ประจุไฟฟา้ บวก (ข) ประจุไฟฟา้ ลบ

รูปที่ 4.1 เสน้ แรงสนามไฟฟ้าเกดิ ข้ึนรอบประจุไฟฟา้

คณุ สมบตั ิของประจุไฟฟ้าและศกั ย์ไฟฟ้าแตล่ ะชนิด เป็นดงั นี้
➢ ประจุไฟฟ้าและศักย์ไฟฟ้ามีค่าต่างกันจะดูดกัน เช่น ประจุไฟฟ้าบวกดูดกับประจุไฟฟ้าลบ เกิดเส้นแรง
สนามไฟฟ้ารวมกนั จากประจไุ ฟฟ้าทัง้ สองรวมเปน็ ชุดเดียวกนั
➢ ประจุไฟฟ้าและศักย์ไฟฟ้ามีค่าเหมือนกันจะผลักกัน เช่น ประจุไฟฟ้าบวกผลักกับประจุไฟฟ้าบวก หรือ
ประจุไฟฟ้าลบผลักกับประจุไฟฟ้าลบ เกิดเส้นแรงสนามไฟฟ้าแยกจากกันของประจไุ ฟฟ้าแต่ละตัว การดึงดูดกันและ
การผลกั กันของประจไุ ฟฟ้า แสดงดงั รูปที่ 4.2

+- ++

(ก) ประจุไฟฟา้ ต่างกนั ดูดกัน (ข) ประจุไฟฟ้าเหมือนกันผลกั กนั

รปู ที่ 4.2 การดงึ ดูดกันและการผลักกนั ของประจุไฟฟา้

49

4.2 กฎของโอห์ม

กฎของโอห์ม (Ohm’s Law) ถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ จอร์จ ไซมอน โอห์ม (George
Simon Ohm) กฎของโอห์มกำหนดข้ึนมาจากความสัมพันธ์ของแรงดนั กระแส และความต้านทาน เกดิ ขึน้ ตามความ
เป็นจริงของการทำงานในวงจรไฟฟ้า คือ วงจรไฟฟ้าวงจรหนึ่งต้องประกอบด้วยส่วนประกอบอย่างน้อย 3 ส่วน คือ
แรงดัน กระแส และความต้านทาน จงึ จะสามารถทำให้วงจรไฟฟ้าวงจรน้ันทำงานได้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงไปของแต่ละ
สว่ นทส่ี ัมพนั ธก์ นั ย่อมมผี ลต่อการทำให้วงจรไฟฟ้าทำงานเปลย่ี นแปลงไปด้วย

ความสัมพันธ์ของปริมาณไฟฟา้ ท้ังสามเก่ียวข้องกัน ตามหน่วยมาตรฐาน คือ กระแสมีหนว่ ยเป็นแอมแปร์ (A)
แรงดันมีหน่วยเป็นโวลต์ (V) และความต้านทานมีหน่วยเปน็ โอห์ม () มีความสัมพันธ์กันดังนี้ จำนวนกระแสที่ไหล
ในวงจรไฟฟ้า เปลี่ยนแปลงตามค่าแรงดันที่จ่ายให้กับวงจรนั้น แต่เปลี่ยนแปลงเป็นส่วนกลับกับความต้านทานใน
วงจร คำกล่าวนสี้ ามารถเขียนออกมาเปน็ สภาวะการทำงานได้ 2 สภาวะดังน้ี

1. ถ้ากำหนดให้ความต้านทาน (R) ในวงจรคงที่ กระแส (I) ในวงจรจะไหลไดม้ ากเมอ่ื จ่ายแรงดัน (E) ให้วงจร
มาก และกระแส (I) ในวงจรจะไหลได้น้อย เม่อื จ่ายแรงดนั (E) ในวงจรน้อย เขยี นความสัมพนั ธ์ออกมาได้ดังรูปที่ 4.3
และเขยี นเป็นสมการไดด้ งั สมการที่ (4 – 1)

I = 0.3 A + I = 0.6 A

+ RE R
10  6 V 10 
E
3V

-

-

(ก) แรงดนั น้อยกระแสไหลน้อย (ข) แรงดันมากกระแสไหลมาก

รปู ที่ 4.3 เมื่อความตา้ นทานคงท่ี กระแสไหลเปลย่ี นแปลงตามแรงดัน

I  E เมือ่ R คงท่ี .....(4-1)

50

2. ถ้ากำหนดให้แรงดัน (E) ในวงจรคงที่ กระแส (I) ในวงจรจะไหลได้มากเมื่อต่อตัวต้านทานในวงจรมีค่า
ความต้านทาน (R) น้อย และกระแส (I) ในวงจรจะไหลได้น้อยเมื่อต่อตัวต้านทานในวงจรมีค่าความต้านทาน (R) มาก
เขยี นความสมั พันธอ์ อกมาไดด้ ังรูปที่ 4.4 และเขียนเป็นสมการไดด้ ังสมการท่ี (4 – 2)

+ + R
10 
I = 0.3 A I = 0.6 A

E RE
6V 20  6 V

--

(ก) ความต้านทานมากกระแสไหลน้อย (ข) ความต้านทานนอ้ ยกระแสไหลมาก

รปู ที่ 4.4 เม่ือแรงดันคงท่ี กระแสไหลเปลี่ยนแปลงตามความต้านทาน

I  1 เมอ่ื E คงท่ี .....(4-2)
R

จากสมการท่ี (4 – 1) และ (4 – 2) นำมาเขยี นเปน็ สมการทางไฟฟ้า เรยี กว่ากฎของโอห์มเขียนเป็นสมการ
ไดด้ งั น้ี

I = E .....(4-3)
R

เม่อื I = กระแส หน่วยแอมแปร์ (A)
E = แรงดนั หนว่ ยโวลต์ (V)

R = ความตา้ นทาน หน่วยโอหม์ ()


Click to View FlipBook Version