The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทบาทของวัดกับการจัดสวัสดิการชุมชนเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบาง(ศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา ต.กลางดง อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by กลุ่มวิจัย สสว.8, 2023-08-09 22:34:08

การจัดการความรู้ เรื่อง "บทบาทของวัดกับการจัดสวัสดิการชุมชนเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบาง"

บทบาทของวัดกับการจัดสวัสดิการชุมชนเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบาง(ศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา ต.กลางดง อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย)

- 2 - คำนำ การจัดการความรู้ (KM) เรื่อง “บทบาทของวัดกับการจัดสวัสดิการชุมชนเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบาง” ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ เป็นการรวบรวม และแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ในการจัดสวัสดิการโดยชุมชนเพื่อชุมชน ของศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา ตำบลกลางดง อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย เพื่อประโยชน์ในการพัฒนา เป็นองค์ความรู้ และถ่ายทอด แบ่งปันความรู้อย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถเข้าถึงความรู้ และนำความรู้ที่ได้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ใช้ในการแก้ปัญหา และต่อยอดการเรียนรู้ รวมถึงการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศ และองค์ความรู้นอกส่วนราชการเพื่อการแก้ปัญหาและสร้างนวัตกรรม จนเกิดกระบวนการที่เป็นเลิศ และผลลัพธ์ที่ดีสู่ประชาชนอย่างยั่งยืน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานหลักในการทำหน้าที่ เกี่ยวกับการพัฒนาสังคม การสร้างความเป็นธรรมและความเสมอภาคในสังคม การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพ และความมั่นคงในชีวิต สถาบันครอบครัว และชุมชน เพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติและเป้าหมายการพัฒนา ประเทศ ภายใต้แผนปฏิบัติราชการ ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2566 - 2570) ของกระทรวงฯ มีวิสัยทัศน์ คือ “ประชาชนเข้าถึงโอกาส และการคุ้มครองทางสังคม มีความมั่นคงในชีวิต” ซึ่งสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ๘ เล็งเห็นประโยชน์ในการจัดการความรู้ อันจะก่อให้เกิด ความยั่งยืนในการช่วยให้ประชาชนเข้าถึงโอกาส ผ่านการบูรณาการความร่วมมือของชุมชนและหน่วยงาน ต่างๆ เอกสารวิชาการเล่มนี้จึงจัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอองค์ความรู้ในเรื่อง “บทบาทของวัดกับการจัดสวัสดิการ ชุมชนเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบาง” ซึ่งจะช่วยให้เห็นแนวทาง กระบวนการ รวมไปถึงปัจจัยแห่งความสำเร็จ (Key Success Factors) อันเป็นประโยชน์ในการจัดสวัสดิการชุมชนต่อไป กลุ่มการวิจัยและการพัฒนาระบบเครือข่าย สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 8 พฤษภาคม 2566


- 1 - ชุดความรู้ตามแผนการจัดการความรู้ (KM) สสว.8 ปี 2566 “บทบาทของวัดกับการจัดสวัสดิการชุมชน เพื่อดูแลกลุ่มเปราะบาง” สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ มีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้ (1) พัฒนางานด้านวิชาการ เกี่ยวกับการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้สอดคล้องกับพื้นที่และกลุ่มเป้าหมาย (2) ส่งเสริม และสนับสนุนงานด้านวิชาการ องค์ความรู้ ข้อมูลสารสนเทศ และให้คำปรึกษาแนะนำแก่หน่วยงานบริการ ทุกกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ให้บริการในความรับผิดชอบของกระทรวง รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง องค์กรภาคเอกชน และประชาชน (3) ศึกษา วิเคราะห์ สถานการณ์และสภาพแวดล้อม เพื่อคาดการณ์ แนวโน้ม ของสถานการณ์ทางสังคมและผลกระทบ รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะการพัฒนาสังคมและการจัดทำ ยุทธศาสตร์ในพื้นที่กลุ่มจังหวัด (4) สนับสนุนการนิเทศงาน ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน เชิงวิชาการ ตามนโยบายและภารกิจของกระทรวง ในพื้นที่กลุ่มจังหวัด และ (5) ปฏิบัติงานร่วมกับ หรือสนับสนุน การปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ปลัดกระทรวงมอบหมาย” ความเป็นมา ของการจัดการความรู้ (Knowledge Managenment) กรมพัฒนาสังคม และสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ.2545 มีฐานเทียบเท่ากองหรือสำนัก ปัจจุบันมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 11 แห่งกระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ มีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้ สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุน วิชาการหรือในชื่อย่อว่า “สสว.” เป็นหน่วยงานราชการส่วนกลางที่ ตั้งอยู่ในภูมิภาค โดยจัดตั้งตาม กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ


- 2 - สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุน วิชาการ 8 ดำเนินการขับเคลื่อนงาน ตามภารกิจในพื้นที่รับผิดชอบ 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร ตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย และอุตรดิตถ์ ภายใต้วิสัยทัศน์ “ศูนย์กลางวิชาการด้านการพัฒนา สังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในระดับพื้นที่” โดยมีพันธกิจดังนี้ 1) บูรณาการงานพัฒนาสังคม เพื่อจัดวางยุทธศาสตร์เชิงพื้นที่ 2) ส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการพัฒนาสังคมให้กับทุกภาคส่วน 3) ศึกษาวิจัยและพัฒนาวิชาการด้านการพัฒนา สังคม 4) ติดตามและประเมินผลเชิงนโยบายและการบริหารเชิงยุทธศาสตร์ในระดับพื้นที่ 5) พัฒนาหน่วยงาน เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ 4 ประการ อันได้แก่ 1) เป็นคลังความรู้และนวัตกรรม ด้านการพัฒนาสังคมและสวัสดิการสู่การพัฒนาระบบบริการขององค์กรภาคีเครือข่าย 2) หน่วยงาน พม. ภาคี เครือข่ายด้านการพัฒนาสังคมและสวัสดิการมีการบูรณาการแผนงานโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายยุทธศาสตร์ และความต้องการของพื้นที่ 3) เชื่อมโยงระบบเครือข่ายด้านการพัฒนาสังคมและสวัสดิการที่เข้มแข็ง และ 4) เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ที่มีขีดสมรรถนะสูง ปัจจุบันสถานการณ์ความยากจน เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งแนวโน้มการของกลุ่ม ผู้เปราะบางก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนเป็นสังคม ผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ศักยภาพด้านต่างๆ ลดลง การเข้าถึงสวัสดิการภาครัฐของกลุ่ม ผู้เปราะบางนั้นไม่อาจเป็นไปได้อย่างทั่วถึง เนื่องจากข้อจำกัดต่างๆ ดังนั้นการขับเคลื่อน การจัดสวัสดิการสู่กลุ่มเปราะบางโดยชุมชน จึงเป็นส่วนสำคัญในการบรรเทาทุกข์ และช่วยเหลือได้สอดคล้องกับความต้องการ ต่อสภาพปัญหาของครัวเรือน ซึ่งจะเข้าถึง กลุ่มและครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น


- 3 - เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวข้างต้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการจัดความรู้ให้เป็นระบบ ให้มีการ แลกเปลี่ยนแบ่งปันความรู้ และสามารถเข้าถึงความรู้ได้ รวมไปถึงการส่งเสริมการเรียนรู้ การสร้างเสริมแนวทาง เพื่อให้สามารถนำองค์ความรู้ไปใช้ใน การขับเคลื่อนการดำเนินงานอันเป็น ประโยชน์ สำนักงานส่งเสริมและ สนับสนุนวิชาการ 8 จึงได้จัดทำชุดองค์ ความรู้ “บทบาทของวัดกับการจัด สว ัสดิการชุมช นเพื่อดูแลกลุ่ม เปราะบาง” นี้ขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทาง ในการส่งเสริมการจัดสวัสดิการชุมชน จากวัดในชุมชนเพื่อชุมชน และสังคม เพื่อเผยแพร่ให้ใช้เป็นสาธารณประโยชน์ ต่อไป โดยได้คัดเลือกพื้นที่ดำเนินการจัดการความรู้ เพื่อศึกษาบทบาทของวัดกับการจัดสวัสดิการชุมชน เพื่อดูแลกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ ตำบลกลางดง อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย ซึ่งศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา นั้นมีรูปแบบการจัดสวัสดิการชุมชน ที่โดดเด่นและให้ความช่วยเหลือต่อกลุ่มเปราะบางมาเป็นระยะเวลา ยาวนานกว่า 18 ปีแล้ว


- 4 - แนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชนเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบาง ในปัจจุบันการจัดสวัสดิการส่วนมากนั้นมาจากพื้นฐานปัจจัยสี่ โดยบ้านและวัดนั้นมีบทบาทสำคัญ ในการดูแลสวัสดิการชุมชน โดยเฉพาะวัดเนื่องจากวัดนั้นเปรียบดังศูนย์รวมใจของชุมชน ที่คอยให้การสนับสนุน ช่วยเหลือชุมชนทั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ กำลังปัญญา ตามความสามารถและความสอดคล้องกับบริบท ของชุมชนมาโดยตลอด “ชุมชน” (Community) ถูกนิยามใน 2 ขอบเขตคือ 1) อาณา เขตตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ เช่น หมู่บ้านตำบล อำเภอ จังหวัด เป็นต้น และ 2) ขอบเขตการ ให้บริการหรือชุมชนตามหน้าที่ ที่เกิดขึ้นจากกลุ่มบุคคลที่มารวมกัน เพื่อวัตถุประสงค์ หรือผลประโยชน์ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ การรวมกลุ่ม บุคคลที่มีหน้าทางสังคมหรือ สถานภาพเดียวกันเข้าไว้เป็นชุมชน เดียวกัน เช่น กลุ่ม เด็ก เยาวชน สตรีกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอย กลุ่มสหภาพแรงงาน กลุ่มผู้บริโภค กลุ่มชาวนา กลุ่มลูกจ้างแรงงาน กลุ่มผู้ประกอบการค้า กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มแม่ชี และอื่น ๆ “สวัสดิการสังคม” คือระบบการจัดบริการสังคม เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคมและพัฒนาสังคม รวมท ั้งการส่งเสริมความมั่นคงทางสังคมเพื่อให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้ในระดับมาตรฐาน โดยบริการดังกล่าวจะต้องตอบสนองความต้องการพื้นฐานของประชาชน ให้ได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิต อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ทั้งในด้านการศึกษาที่ดี การมีสุขภาพอนามัย การมีที่อยู่อาศัย การมีงานทำ การมีรายได้ การมีสวัสดิการแรงงาน การมีความมั่นคงทางสังคม การมีนันทนาการ และบริการทางสังคมทั่วไป โดยระบบบริการสังคมต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิที่ประชาชนต้องได้รับและเข้ามามีส่วนร่วมใน ระบบการจัดบริการสังคมในทุกระดับ


- 5 - “สวัสดิการชุมชน” เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านสวัสดิการสังคม โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบสวัสดิการอย่างเป็นทางการของรัฐ โดยอาศัย ทุนทางสังคมชุมชนเป็นพื้นฐาน มีความรู้จักคุ้นเคยกันอย่างดี จนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกันในชุมชน ใช้ทุนทางสังคม โดยชุมชนเป็นกลไกขับเคลื่อนระบบสวัสดิการชุมชนเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบสวัสดิการ ภาคบังคับของรัฐ “ครัวเรือนเปราะบาง” หมายถึง ครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยและมีบุคคล ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น เช่น ครอบครัวยากจนที่มีเด็กเล็ก แม่เลี้ยงเดี่ยว ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง มีปัญหาที่อยู่อาศัย จำเป็นต้องร่วมกันพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มดังกล่าว อย่างเร่งด่วน จริงจัง และต่อเนื่อง “กลุ่มเปราะบาง” คือครัวเรือนที่มีบุคคลเปราะบางซึ่งเป็นบุคคลในภาวะพึ่งพึงที่ต้องได้รับความช่วยเหลือ และดูแลจากครอบครัว เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยติดเตียง เป็นต้น และ/หรือเป็นครัวเรือนที่มี รายได้น้อย (ครัวเรือนที่มีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีไม่เกิน 100,000 บาท) สถาบันทางพระพุทธศาสนา เ ด ิ ม ม ิ ไ ด ้ ม ี ก า ร ส ร ้ า ง ส ถ า น ที่ เพื่อสงเคราะห์ประชาชนชัดเจน การ สงเคราะห์ชาวบ้านของวัดในอดีตที่ เป็นรูปธรรมมากที่สุด คือเรื่องของ การสงเคราะห์ด้านการศึกษา เนื่องจากวัดเองเป็นศูนย์กลางของ ชุมชน จึงเปรียบเสมือนศูนย์กลาง การเรียนรู้โดยมีพระสงฆ์เป็นทั้ง ครูผู้สอนหนังสือและยังช่วยอบรม ศีลธรรมแก่ชาวบ้านในชุมชน เมื่อ การเวลาเปลี่ยนไปการศึกษาอยู่ใน อำนาจหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ บทบาทของวัดจึงมีการปรับเปลี่ยนโดยให้ความสงเคราะห์ต่อประชาชนด้าน อื่นๆ เพิ่มขึ้นด้วย


- 6 - ในปัจจุบันการใช้ชุมชนเป็นฐานในการปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชนในชุมชนได้รับความสนใจ เป็นอย่างมาก หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้นำความคิดนี้มาประยุกต์ในงานต่าง ๆ เช่น การจัดตั้งศูนย์ สงเคราะห์ราษฎรประจำหมู่บ้าน การจัดการฝึกอบรม ฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ของมูลนิธิอนุเคราะห์และฟื้นฟูคนพิการ เป็นต้น องค์ประกอบสำคัญของการใช้ชุมชนเป็นฐานในการปฏิบัติงาน โดยทั่วไปประกอบด้วย 1. การสร้างองค์กรประชาชน (local people’s organization) โดยการรวมกลุ่ม ประชาชนในชุมชน แบบเป็นทางการหรือแบบไม่เป็นทางการก็ได้ 2. การสร้างเครือข่ายในการติดต่อสื่อสารกันระหว่างบุคคลและกลุ่มบุคคลที่อยู่ใน ชุมชนนั้น (social network) 3. จัดการฝึกอบรมให้องค์กรประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจและความสามารถในการทำงานเฉพาะด้าน (specific training) 4. การแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน (set up committee) โดยให้ประชาชนใน ชุมชนเป็นผู้พิจารณา คัดเลือกตามระบอบประชาธิปไตยและกำหนดบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบ 5. กำหนดกรอบกิจกรรมหรือลักษณะของงานที่จะทำ (specific activities) 6. การติดต่อประสานงานและร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (coordination and cooperation) 7. การติดต่อประเมินผล (monitoring and evaluating) เพื่อขจัดปัญหาและอุปสรรค ในการดำเนินงาน (ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช 2542: 119-120)


- 7 - การจัดสวัสดิการชุมชนเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบาง


- 8 - วัดเชิงผา ได้ก่อกำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2543 โดยพระครูปลัดปราโมช อธิปญฺโญ ด้วยความคิดที่จะเผยแผ่ พระพุทธศาสนา และสร้างสถานที่ปฏิบัติขัดเกลาจิตใจเพื่อศึกษาพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และประกาศพระธรรมของพระองค์ให้แก่พุทธศาสนิกชน สำนักปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา เริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2543 โดยเริ่มซื้อ ที่ดินแปลงแรก จากนั้นเมื่อวันที่ 27 เดือน ธันวาคม ปีพุทธศักราช 2544 ได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ สร้างกุฏิ หลังเล็ก ๆ 4 หลังพร้อมกัน และต่อมา จึงตั้งชื่อสถานธรรมแห่งนี้ว่า “ศูนย์ ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา” ตั้งอยู่ ณ ตำบล กลางดง อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัด สุโขทัย ศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา ได้สร้างขึ้นเพื่อรองรับการจัดอบรม ค่ายคุณธรรม และเพื่อใช้เป็นศูนย์ข้อมูลในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ทางพระพุทธศาสนา โดยมีสถานที่เก็บ รวบรวมตำราต่างๆ และเปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ รวมไปถึงมีการจัดฝึกอบรมต่างๆ และจัด กิจกรรมมากมาย เช่น กิจกรรมสร้างศาสนทายาท กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีวิถีชาวพุทธ บรรพชาสามเณรเพื่อ การศึกษาพระปริยัติธรรม กิจกรรมชุมชนสัมพันธ์(บวร) ดำนาเดือนแม่ ลงแขกเกี่ยวข้าวเดือนพ่อ ค่ายอบรม คุณธรรม จริยธรรม สำหรับเยาวชน นักเรียนและข้าราชการของหน่วยงานต่างๆ การปฏิบัติธรรมเนื่องในวันสำคัญ ของชาติ และพระมหากษัตริย์ จิตอาสาพัฒนาวัดเชิงผา (ปรับภูมิทัศน์ศาสนสถาน) เป็นต้น ข้อมูลศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา


- 9 - “วัดเชิงผาและศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผาคืออันเดียวกัน เพียงแต่วัดจะไม่สะดวกเท่าใดนัก ในการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่นการอบรม การพัฒนาคุณธรรม ประชุมสัม มนา เป็นต้น” ซึ่งในตอนแรก พระครูปลัดปราโมช อธิปญฺโญ ได้มองว่าในปัจจุบันนี้ วัดในแต่ละวัดไม่ได้มีความชัดเจนในบทบาท ของวัดในลักษณะที่เป็นสถานที่ฝึกฝน ขัดเกลาจิตใจของผู้คนให้เข้าหาธรรม โดยมากจะเป็นในลักษณะของวัด ที่เป็นสถานที่ทำบุญ ซึ่งไม่ได้มีเรื่องของกระบวนการในการฝึกฝน อบรม ขัดเกลาจิตใจที่มันชัดเจน ไม่มีการทำกิจกรรม หรือถ่ายทอดหลักธรรมเข้าสู่กิจกรรม แต่พระครูปลัดปราโมช อธิปญฺโญ เชื่อว่ามนุษย์เรานั้นสามารถพัฒนาได้ จึงมีโครงการต่างๆ เพื่อให้ผู้ที่มีความสนใจในการปฏิบัติธรรมนั้นเช้ามาร่วมทำกิจกรรมอยู่เสมอ เพื่อที่จะนำเอาผลไปใช้ ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง ในส่วนของการจัดฝึกอบรมต่างๆ นั้นก็เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้น เพื่อทำให้เยาวชนได้รู้จักการใช้เวลาว่างระหว่างปิดภาคเรียนให้เกิดประโยชน์ และเรียนรู้กระบวนการต่างๆ ในการดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและสมบูรณ์ให้มากที่สุด กลุ่มคนที่เข้ามา มีทั้งในและนอกพื้นที่ โรงเรียน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานราชการต่างๆ เข้ามาขอใช้พื้นที่


- 10 - พระครูฯ กล่าวว่า “พลังของชุมชนนั้นเกิดจากการให้ เกิดจากการมีส่วนร่วม และวัดจะต้องทำหน้าที่ คือ 1. หน้าที่ให้ความรู้ที่ถูกต้อง และ 2. เป็นแหล่งเชื่อม แหล่งประสานชุมชน ซึ่งแต่ก่อนชุมชนตรงนี้ มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แต่ก่อนก็มีความสามัคคี ปรองดอง พอมีเรื่องของผลประโยชน์บางอย่างเข้ามา และสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง ไป ต่างก็สร้างรอยร้าวให้กับคน ในชุมชน วัดจึงเข้าไปมีส่วนร่วม ในการเป็นตัวเชื่อมประสาน ในชุมชน เป็นพลังของชุมชน โดยวัดไม่ทิ้งโรงเรียน โรงเรียน ไม่ทิ้งบ้าน บ้านไม่ทิ้งวัด ทุก อย่างเอื้อต่อกัน หลักการ ทั้งหมดจะไปลงเรื่องสันติสุข ของชุมชน ความปรองดอง ของ ชุมชน วัดเป็นส่วนหนึ่งของ ชุมชน การที่เราอยู่ในชุมชน เราจะต้องช่วยเหลือชุมชน เพราะถ้าชุมชนสงบ ชุมชนสามัคคี มันจะส่งผลต่อมายังวัดให้มีความสงบ และหากต้องการให้ชุมชนสงบ หน่วยงานใด ที่พอจะช่วยให้ชุมชนเชื่อมเข้าหากันได้เราต้องคิดวิธีการเชื่อมต่อกันให้ได้ หากคนทุกคน มีสามัญสำนึกว่าเราก็เป็นหนึ่งในคนที่จะต้องอาศัยอยุ่ในชุมชนนี้ หากชุมชนนี้เจริญมั่นคง และมีความสุข เราเองก็ได้เสพสุขกับชุมชนด้วย ควรเห็นคุณค่าของชุมชน เห็นความสำคัญของชุมชน อย่าเห็นแก่ตัว จนไม่สนใจชุมชน เพราะหากชุมชนมีปัญหาเมื่อไหร่ เราเองก็จะอยู่ไม่ได้เช่นกัน” จุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจในการเริ่มทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างชุมชนสัมพันธ์และช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส


- 11 - กิจกรรมที่โดดเด่นในการจัดสวัสดิการชุมชนเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบางวัดเชิงผา กิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นนั้นเพื่อสร้าง ความสัมพันธ์ สร้างความสุข ความสามัคคี และ ความร่วมมือกันระหว่าง วัด บ้าน โรงเรียน โดยเฉพาะกิจกรรมที่โดดเด่นอย่างมาก ของศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา ซึ่งได้แก่ 1. กิจกรรมชุมชนคุณธรรมวัดเชิงผา จิตอาสาพัฒนาชุมชน “ดำนาเดือนแม่ เกี่ยวเดือนพ่อ” ที่นับว่าเป็นงานที่รวมชาวบ้าน ที่มีจิตอาสาเข้ามาร่วมกันลงแขก ดำนา เกี่ยวข้าว โดยกิจกรรมนี้จะมีการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ซึ่งได้รับความสนใจ และความร่วมมือจากหลายๆ ฝ่ายมาโดยตลอด และจะมีชาวบ้านเข้ามาร่วมกิจกรรม มาช่วยจัดโรงทาน มาช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆ เป็นประจำทุกปีกิจกรรม นี้เริ่มจากการที่พระครูฯ เห็นว่าทางศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผานั้นมีที่ดินว่างเปล่าอยู่ ท่านก็ได้เล็งเห็นว่าน่าจะได้ใช้ ประโยชน์ร่วมกันจากตรงนี้ จึงมีแนวดำริว่า “จะทำกิจกรรมอะไร ทำนาไหม” จากนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการทำนา แต่การทำนานั้น หากดำนาเองก็จะได้เฉพาะ พระ และเณร จึงได้เชิญ 3 หน่วยมาร่วมกัน ได้แก่ วัด โรงเรียน และชุมชน จึงเกิดเป็นโครงการบวรขึ้นมา และจัดกิจกรรมนี้ทุกปีสืบสานตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ซึ่งปัจจุบันเข้าปีที่ 18 แล้ว ผ ล ผ ล ิ ต ม ี ก า ร แ บ ่ ง ไ ป ยั ง 3 หน่วยงานที่ร่วมกัน โดยพระครูฯ แบ่งปันผลผลิตให้กับ 3 หน่วยงานนี้ และ “เหนืออื่นใดก็คือว่าสิ่งที่ได้ จากโ ครงกา รบว ร คือผล จ ะ ต ก กับเยาวชนเป็นหลัก นักเรียนก็จะได้ เรียนรู้การดำนาที่นี่ ผ่านการสอน โดยพ่อแม่ของเขาที่มาปลูก ว่าทำยังไง ตั้งแต่ขั้นเตรียม หว่านกล้า ดูแล ไปจนถึงวันเกี่ยว ทั้งวันดำก็มาช่วยกัน 3 หน่วยงาน และวันเกี่ยวข้าวก็มา ช่วยกัน ทั้งหมด 3 หน่วยงานเช่นกัน และผลผลิตก็แบ่งกันไปตามส่วนนั้น และศูนย์ปฏิบัติธรรมนี้จะเป็นที่รองรับ การอบรมค่ายคุณธรรม หากโรงเรียนไหนมีงบประมาณน้อย ทางวัดก็แบ่งข้าวที่ได้จากผลผลิตดำนาโครงการนี้ ให้กับแต่ละโรงเรียน ทำจนปีที่ 5 ที่ 6 หน่วยงานต่างๆ เริ่มเห็นคุณค่ามากขึ้น มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากขึ้น ทาง อำเภอก็มาช่วยมากขึ้น ทางเทศบาลก็มาเช่นกัน ทั้งอำเภอทุ่งสเลี่ยมก็จะรู้กันว่าต้องมาที่นี่เพื่อร่วมกิจกรรม โครงการบวร”


- 12 - ในระหว่างการเติบโตของต้นข้าวนั้นจะมีกลุ่มคน ที่มีจิตอาสาสูงกว่าคนทั่วไปเข้ามาช่วยดูแลนาข้าวอยู่เสมอ จนถึงช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยว ซึ่งเป็นช่วงเวลา ที่มีการจัดกิจกรรมซึ่งชาวบ้านและผู้สนใจจะเข้ามาร่วมกัน ทำกิจกรรมกันอีกครั้ง ผลผลิตที่ออกมาคือการคืนสู่สังคม ช่วยเหลือผู้ยากจน ผู้ประสบปัญหาอุทกภัย ตลอดจน เป็นอาหารกลางวันในกิจกรรมอบรม และสิ่งสำคัญ คือสามารถนำมาสอดแทรกสอนคนได้จากข้าว เพียงเม็ดเดียว โดยสอนให้รู้ว่าข้าวหนึ่งเม็ดนั้นต้องผ่าน กระบวนการมากมายเพียงใด ผ่านความเสียสละของคน มากมายเท่าใด จึงกลายเป็นข้าวให้ได้เรากิน และเมื่อ เรากินเข้าไปแล้วก็ควรใช้พลังให้เกิดประโยชน์ ซึ่งเป็นการ สอดแทรกคติธรรม เรื่องธรรมมะ ในส่วนของการประชาสัมพันธ์กิจกรรมนั้น เริ่มแรก จะมีการประชาสัมพันธ์โดยการบอกในชุมชน พอทำเป็น ประจำ สม่ำเสมอ ก็มีผู้เผยแพร่ มีคนช่วยแชร์กิจกรรม จึงกลายเป็นกระแสออกไป และเป็นที่รู้จัก กิจกรรมนี้ นับว่าเป็นกิจกรรมหลักของศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา โดย การทำนาบุญนี้ยังช่วยหล่อหลอมในเรื่องความสามัคคี การเห็นคุณค่าของการเกี่ยวข้องกับแผ่นดินอย่างไม่ทารุณ และไม่ใช้สารเคมี “กิจกรรมทำนานี้ จะใช้หลักพุทธเกษตร ไม่ทำนาด้วยความโลภ เ พ ร า ะ ห า ก เ ป ็ น ก า ร ท ำ น า ในเชิงความโลภจะนำไปสู่เรื่องเคมีและผล ที่ตามมาคือร่างกายได้รับสารเคมีเข้าไป เราจึงทำนาเชิงพุทธ เป็นการขับเคลื่อน ก า ร ท ำ น า แ บ บ ท ำ น า บ ุ ญ ท ำ เ พื่ อ 1. ให้พื้นที่ๆ มีอยู่ ไม่เป็นพื้นที่เปล่าประโยชน์ 2. ให้รู้ว่าแผ่นดินเป็นที่มาของทุกสิ่งทุกอย่าง และ 3. การทำนาไม่ใช่การทำนาเพื่อเอาข้าว แต่เป็นการทำนาเพื่อเอาบุญ และทำนา เพื่อเอาคน เอาคนเข้ามาแล้วสอดแทรก ด้วยบุญ โดยให้การทำนานั้นเป็นสื่อกลาง เป็นสะพานเชื่อม เป็นสะพานบุญ ให้คน เข้ามาเอาบุญ”


- 13 - การทำนาบุญในปัจจุบันนี้ ได้รับความร่วมมือร่วมใจกัน ทั้งในระดับชุมชน ระดับตำบล ระดับอำเภอ และระดับจังหวัด ท่านเจ้าคณะจังหวัดและนายก องค์การบริหารส่วนจังหวัด สุโขทัยเอง ก็ให้การสนับสนุน และร่วมกิจกรรมเช่นกัน ในส่วน ของการจัดหาเมล็ดพันธ์ข้าว นั้นพระครูฯ เป็นผู้จัดหา และคัดเลือก จากนั้นชาวบ้านก็ จะช่วยกันเตรียม ในวันงาน กลุ่ม แม่บ้านจะมาช่วยกัน ทำอาหาร ซึ่งในระยะหลังนี้จะ มาร่วมเป็นโรงทาน โดยชาวบ้านแจ้งขอสนับสนุนด้วยตนเอง ไม่ได้มีการขอใดๆ บางปีมีผู้เข้ามาร่วมกิจกรรมกัน มากกว่า 300 คน ในส่วนของผลผลิตที่ได้ต่อปีอยู่ที่ประมาณ 80 - 120 กระสอบปุ๋ย ซึ่งทำการเก็บรักษา ไว้ที่บ้านโยม ทำนาบุญนี้ถือเป็นการผลิตอาหารไร้เคมี ซึ่งกิจกรรมนี้ยังไม่เคยมีการถอดบทเรียนของที่นี่มาก่อน และในส่วนของชาวบ้านจิตอาสาที่เข้ามาร่วมกิจกรรมนี้นั้นจะเป็นพลังช่วยนำร่องการพัฒนาชุมชน คือพอเกิดกลุ่ม จิตอาสานี้ขึ้น เมื่อมีงาน มีกิจกรรมอื่นก็จะได้รับความร่วมมือ ความช่วยเหลือมากขึ้น เสมือนเป็นกิจกรรม ซึ่งรวบรวมชาวบ้านจิตอาสาให้เข้ามาเป็นกำลังให้ชุมชนในการทำกิจกรรมอื่นๆ ต่อไป


- 14 - 2. กิจกรรมสร้างศาสนทายาททางศาสนา (บรรพชาสามเณร) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วย จรรโลงพระพุทธศาสนา แต่ในปัจจุบัน นี้นับวันบุคลากรเริ่มขาดแคลน ลดน้อย ถอยลง ทางศูนย์ปฏิบัติธรรมจึงจัด กิจกรรม การบวชเรียนขึ้น เพื่อเป็นการ สร้างบุคลากรทางศาสนาให้สืบทอด ต่อไปในอนาคต ด้วยทางวัดนั้นมีโรงเรียนโชติคุณ วิทยานุสรณ์ ซึ่งโรงเรียนวัดแห่งนี้ สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ทั่วประเทศมีทั้งหมด 800 กว่า โรงเรียน บางโรงเรียนเปิดสอนถึง ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และในจังหวัด สุโขทัย มีทั้งหมด 3 โรงเรียน ซึ่งมีการเปิดรับบรรพชานักเรียนชายที่จบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เข้า รับการบรรพชาเป็นสามเณร เพื่อศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การศึกษาแผนกสามัญศึกษา เรียนตาม แบบทั่วไปที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด (เช่น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ วิทย์ คณิต สังคม ธรรม พระพุทธศาสนา) ซึ่งเปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้ที่สนใจ ให้ได้เข้าเรียนในระบบ ศึกษาเล่าเรียน ศึกษาพระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า สืบทอดพระพุทธศาสนา และเรียนรู้วิถีชีวิตแบบใหม่ในชายผ้าเหลือง ซึ่งบวชฟรี เรียนฟรี และมีทุนการศึกษา ดำเนินการมาแล้วกว่า 20 ปี การประชาสัมพันธ์กิจกรรมโครงการสร้างศาสนทายาททางศาสนานี้ พระครูสมุห์ญาณวรุตม์ อรุโณ (รองผู้อำนวยการ) และครูเจียน กันทะบุตร จะมีการออกไปแนะแนวทั้งในพื้นที่และต่างจังหวัด หากบ้านไหน มีลูกหลานที่ต้องการบวชเรียน ใครที่ต้องการเรียน ก็สามารถสมัครเข้าสู่กิจกรรมนี้ได้ การแนะแนวจะไป ประชาสัมพันธ์ตามโรงเรียน ตามวัด ตามหมู่บ้าน จากอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ก็มีมาสมัครเรียน ซึ่งพระครูสมุห์ญาณวรุตม์ อรุโณ นั้น ท่านเองก็เป็นลูกหม้อของโรงเรียนโชติคุณ วิทยานุสรณ์แห่งนี้เช่นกัน ท่านได้บวชเรียน เป็นสามเณรตั้งแต่ปี 2551 เมื่อจบระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโครงการบรรพชาภาคฤดูร้อน สร้างศาสนทายาท พระครูปลัดปราโมช อธิปัญฺโญ ก็ได้ส่งท่านไปศึกษาต่อที่จังหวัดแพร่ เมื่อจบ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก็ได้ทุนของพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นทุนเฉลิมราช กุมารี ไปศึกษาต่อที่จังหวัดเชียงใหม่ จนจบระดับ ชั้นปริญญาตรี จึงได้กลับมาเป็นครูสอน


- 15 - ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการ และยังดำรงตำแหน่งเป็นเลขานุการเจ้าคณะตำบล อยู่ในกลุ่มงานของเลขาอำเภอ รวมไปถึงตำแหน่งรองเจ้าอาวาสวัดเชิงผาด้วย ซึ่งท่านพระครูสมุห์ญาณวรุตม์ อรุโณ ก็ได้เริ่มต้นจากการเป็นเณรวัดเชิงผาแห่งนี้ ปัจจุบันนี้ทางศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผาส่งเรียนอยู่ที่จังหวัดแพร่ มีเรียนระดับปริญญาตรี อยู่ 3 รูป และเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย อยู่อีก 3 รูป นอกจากนี้ยังมีโครงการ บวชเรียนภาคฤดูร้อนของเยาวชน ซึ่งตอนหลังเทศบาลมีงบช่วยสนับสนุน ในการบวชภาคฤดูร้อนของเยาวชน ที่มาบวช ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา คือสิ่งที่ครูเจียน ที่เป็นทั้งครูแนะแนวและครูผู้สอน นั้นได้กล่าวด้วยความชื่นชมถึงกิจกรรม อันเป็นสาธารณประโยชน์นี้“และก็จะมีอีกโครงการหนึ่ง เป็นบวชภาคฤดูร้อนในช่วงปิดเทอม ซึ่งจะเป็นการบวช ระยะสั้นเพื่อเพื่อส่งเสริมให้เยาวชนได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ในช่วงปิดเรียนภาคฤดูร้อน ปลูกฝังคุณธรรม ทางศาสนาแก่เยาวชน ให้มีความยึดมั่นในคุณธรรมจะได้นำไปปฏิบัติ ซึ่งจะช่วยพัฒนาเยาวชนให้สามารถ ปรับพฤติกรรมไปในทางที่พึงประสงค์ ไม่มั่วสุมกับแหล่งอบายมุข อีกทั้งยังช่วยให้มีศีลธรรมที่ดีงาม ได้ฝึกบังคับ จิตใจของตนเอง และเพื่อเผยแผ่ธรรมสู่เยาวชนอีกด้วย” “โครงการนึงของพระอาจารย์ฯ ที่ผมยอมรับเลย คือเค้า จ ะ ไ ป บ ว ช ภ า ค ฤ ด ู ร ้ อ น เ ด ็ ก ท ี ่ พ ่ อ แ ม ่ แ ย ก ท า ง กั น หรือบางที เด็กที่พิการ พ่อแม่แยกทางหรืออยู่กับยาย เค้าจะ รับมาบวชเรียนแล้วพระอาจารย์ส่งตั้งแต่เล็กๆ จนจบปริญญาไป หลายรุ่นเลย ค่าใช้จ่ายอะไรไม่ได้เสียเลย สิ่งหนึ่งก็คือมันมี โรงเรียนของพระอาจารย์ โรงเรียนโชติคุณวิทยานุสรณ์ โรงเรียน ระดับมัธยมต้น อยู่กับสำนักงานพุทธฯ คนที่บวชเรียนเค้าก็จะ เรียนต่อ ม.1,2,3 แต่ก่อนชื่อวัดเหมืองนาวิทยา เมื่อ 3 ปี ให้หลัง ก็ขออนุญาตเปลี่ยนชื่อเพราะย้ายจากวัดเหมืองนามาที่นี่ กิจกรรมนี้ทำมา 20 กว่าปี บวชสามัคคีก็มี เป็นโครงการที่ว่า ช่วยเหลือเด็กยากจน เด็กด้อยโอกาส เอามาเรียนตั้งแต่เล็กๆ ส่ง เรียนตั้งแต่เป็นเณร ซึ่งเด็กส่วนมากพ่อแม่แยกทางกัน อยู่กับย่า อยู่กับยาย ไม่มีโอกาสได้เรียนเลย บางส่วนเป็นเด็กเกเร เค้าเอา มาฝาก ครูก็อบรมทั้งการเรียน ทั้งทางจิตใจ”


- 16 - “หลังจากโควิดเสร็จก็มีน้ำท่วม น้ำท่วมก็ต้องทำ ถุงยังชีพเพื่อช่วยเหลือ คือจะท่วม ช่วง ปี 2565 ประมาณ เดือนตุลาคม ท่วมในหมู่บ้านเลย ซึ่งท่วมหนักกว่าเค้า เพราะเราติดกับลำห้วย ลำห้วยแม่ถันที่ไหลมาสมทบ อันนี้ เป็นน้ำมาจากในป่า และอันนี้มีหน่วยงานจากเทศบาลเป็น หลักที่เข้ามาดูแล อำเภอและจังหวัดมีมามอบถุงยังชีพ กาชาดก็ช่วย ได้ถุงยังชีพพระราชทาน น้ำท่วมปีนี้ ได้เงิน ช่วยเหลือน้ำท่วมจากปกครอง ของจังหวัด ได้หลังคาเรือน ละ 5,000 บาท และได้รับความช่วยเหลือจากเกษตร แจกพันธ์พืช ที่พื้นที่เกษตรเสียหาย หน่วยงานกรมประมง หลังน้ำท่วมแล้วมาแจกพันธ์ปลา” ซึ่ง การเข้าถึงผู้ประสบ ปัญหาได้รวดเร็วและตรงต่อความต้องการมากที่สุด ก็ คือการช่วยเหลือจากภายในชุมชน ที่มีวัดเป็นศูนย์กลาง การกระจายความช่วยเหลือ “นอกจากนี้ทางศูนย์ ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา ยังมีการให้ความช่วยเหลือ ก ลุ่ ม เ ป ร า ะ บ า ง ใ น สถานการณ์ต่างๆ อีกด้วย เช่น ในช่วงเริ่มต้นการระบาดของ COVID - 19 ทางท่านนายกเทศบาลตำบลทุ่งเสลี่ ยม กับทางจังหวัดสุโขทัย ต้องการหา ส ถ า น ท ี ่ ท ี ่ เ ห ม า ะ ส ม ในการจัดตั้งศูนย์เพื่อให้ความช่วยเหลือ แก่ชาวบ้านที่ติดโควิด ซึ่งทางนายกฯ ได้ปรึกษากับพระอาจารย์ และทาง พระอาจารย์ฯ ได้ให้คำปรึกษาว่า “การช่วยชีวิตคนถือว่าเป็นสิ่งหนึ่ง ที่ทางวัดหรือทางศูนย์ปฏิบัติธรรมฯ จ ะ ต ้ อ ง ท ำ เ ป ็ น ง า น อ ั น ด ั บ ห นึ่ ง คือช่วยเหลือผู้ที่ติดโควิด จากนั้นก็มีการ ตั้งศูนย์ขึ้นมา ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิง ผา เป็นศูนย์พักคอย มีทาง อสม. ทางเทศบาล ทุกหน่วยงาน ต่างก็ให้ ความร่วมมือ จึงได้ทำการจัดตั้งขึ้นที่ศูนย์ ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผาซึ่งเป็นศูนย์แรก ของจังหวัด ที่จัดตั้งสำเร็จ” นอกจากนั้น คือ ผู้ป่วยเข้ามารักษาตัวในศูนย์ฯ ส่วนทางญาติของผู้ป่วย หรือผู้ที่กักตัว คือกักตัวที่บ้าน และทางพระอาจารย์ฯ ได้ช่วยเหลือโดยทำถุงยังชีพ เพื่อมอบ ให้กับญาติผู้ป่วยเหล่านั้นทั้งหมด ทุกคน ทุกหลังคาเรือน 100 กว่าชีวิตที่มีญาติ เข้ามารักษาอยู่ตรงนี้ และทางผู้นำ ผู้ใหญ่ ผู้ช่วย ก็จะไปร่วมกันมอบ


- 17 - “จริงๆ ผู้ป่วยติดเตียงจะมีทีมงานอันนึงคือทีมงานพระสงฆ์ “คิลานุปัถถะ” ก็จะเอาพวกข้าวสาร อาหารแห้งไปเยี่ยม จะมีพระประจำแต่ละตำบล พระแต่ละตำบลก็จะ 1. ลงไปตามหมู่บ้าน ประสาน อสม. ใครที่เจ็บป่วย พระจะเป็นของไปช่วยเหลือ และมีปัจจัยไปช่วยเหลือ 2. มุ่งไปที่โรงพยาบาล ทั้งไปเทศน์ สอน ไปให้กำลังใจ สมมุติว่าที่ รพ. มีคนใกล้จะสิ้นลมแล้วก็จะมีพระไปเทศน์สอน ไปเทศน์ให้กำลังใจผู้ป่วย ก็จะมีพระที่ทำหน้าที่ตรงนี้ ไปเทศน์สอนตรงนี้ คือในหมู่บ้านนี้ถ้ามีคนป่วยหนักๆ เค้าก็จะทำบุญ ทำบุญเสร็จก็จะนิมนต์พระไปเทศน์” “กิจกรรมในการอบรม หาก เป็นเยาวชนก็จะเก็บข้อมูลจากโรงเรียน จากหน่วยที่จัดว่าต้องการให้ทางวัด อบรมเพิ่มเติมด้านไหน เรื่องอะไร ก็มาวางแผนการจัดกิจกรรม ส่วนมาก เป็นการบรรยาย ลักษณะกิจกรรม ที่อยู่ในสถานปฏิบัติธรรมก็จะเป็นเรื่อง การอบรม ขัดเกลาจิตใจ เช่น ขันติ คืออะไร ความอดทนคืออะไร” ในส่วนของการฝึกอบรม จะเป็นการจัดอบรมแล้วปล่อย โดยมาก จะเป็นของหน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาขอ ใช้สถานที่และร่วมจัดกิจกรรม เคยจัดให้มีหลักสูตรอบรม โดยรับ ตัวแทนจากแต่ละโรงเรียนมาฝึกอบรม ด้วยกัน ระยะเวลาประมาณ 5 วัน ผล ที่ได้คือระหว่างการอบรมนั้นเด็กๆ ที่เข้ามามีการปรับตัวไปสู่พฤติกรรมที่ดี ขึ้น พระอาจารย์ฯ จึงมองว่าบางที สิ่งแวดล้อมอาจไม่ดีไม่มีภูมิคุ้มกันให้ แต่ปัจจุบันหลักสูตรนี้ได้หยุดไปแล้ว เพราะ ขาดทีมงาน ปัจจุบันให้บริการ สถานที่ และร่วมเป็นวิทยากรบรรยาย ซึ่งทีมงานที่ร่วมจัดกิจกรรมจะมีพระมีโยม ที่ผ่านกระบวนการอบรม และมีพระอาจารย์เป็นผู้อำนวยการโครงการ แต่พักหลังมานี้ ทีมงานน้อยลง ปัญหาบุคคลากรที่จะทำงานพัฒนา คือขาดทีมงาน ไม่สามารถจัดกิจกรรมที่ต้อง ดูแลเองทั้งหมด เนื่องจากอาจมีกิจนิมนต์จากญาติโยม จึงไม่สะดวกที่จะจัดโครงการอบรมเอง


- 18 - องค์ความรู้ที่ได้จากการจัดการความรู้ 1. ศักยภาพของวัดในการจัดสวัสดิการชุมชนเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบาง พบว่า วัดมีศักยภาพในระดับที่สามารถมีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการชุมชนเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบางได้ดี ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ซึ่งสามารถแบ่งเป็นทั้ง 6 มิติได้ดังนี้ 1.1 มิติด้านสุขภาพ ในด้านสุขภาพกาย มีการเยี่ยมบ้านผู้ป่วยเพื่อมอบสิ่งของช่วยเหลือ การทำนาโดยไม่ใช้สารเคมี การปลูกและกินผักตามฤดูกาล และในด้านสุขภาพใจ มีการส่งเสริมสนับสนุน การปฏิบัติธรรม การบวชสามเณรภาคฤดูร้อน และเยี่ยมผู้ป่วยในวาระสุดท้ายของชีวิต รวมไปถึงการสร้างเสริม กำลังใจต่อผู้ประสบปัญหาต่างๆ 1.2 มิติด้านเศรษฐกิจพอเพียง ในส่วนนี้จะมีการปลูกผักปลอดสารพิษ การทำนาโดยใช้หลักพุทธเกษตร การร่วมแรงร่วมใจดำนาเดือนแม่ เกี่ยวเดือนพ่อ และสัจจะการออม 1.3 มิติด้านศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม ในการบวชจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น การบวชภาคฤดูร้อน(ระยะสั้น) การบวชในโครงการสร้างศาสนทายาททางศาสนาซึ่งเรียนฟรี มีทุนให้ จนจบการศึกษา การทอดกฐิน ทอดผ้าป่า การทำนาเป็นสื่อกลางในการเชื่อมสะพานบุญสำหรับชาวบ้าน เพื่อให้ได้มาซึ่งการรวมตัวกันของจิตอาสาพัฒนาชุมชนและเกิดความเข้มแข็งของกลุ่มในการทำกิจกรรม สาธารณประโยชน์อื่นต่อไป 1.4 มิติด้านสิ่งแวดล้อม จะเป็นในเรื่องของการที่ไม่ใช้สารเคมีในการทำการเกษตรเลย ซึ่งนอกจาก จะช่วยให้ผู้คนในชุมชนปลอดภัยจากสารเคมีแล้ว สิ่งแวดล้อมในชุมชนก็ได้รับผลดีจากการไม่ใช้สารเคมีด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีการจัดอบรมค่ายคุณธรรม (อยู่กับธรรมชาติ, เกษตรวิถีพุทธ) และที่สำคัญตามที่พระครูปลัดปราโมช อธิปัญฺโญ ผู้ก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผาได้กล่าวไว้ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกิจกรรมทั้งหลายนั้นคือ การเห็นคุณ ของแผ่นดิน การใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์ 1.5 มิติด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม มีการเริ่มต้นการประชาสัมพันธ์กันปากต่อปากในชุมชน จนเมื่อเกิด การทำซ้ำ ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ มีการใช้แพลตฟอร์มในการประชาสัมพันธ์กิจกรรมของวัดผ่านทาง Facebook Fanpage 1.6 มิติด้านสวัสดิการ เกิดจิตอาสาช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทางชุมชนให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการเข้าไปให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาทุกข์ แก้ไขปัญหา ส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น มีการแบ่งปันผลผลิตที่ได้จากกิจกรรม ดำนาเดือนแม่ เกี่ยวเดือนพ่อ เป็น 3 ส่วน (วัด ชุมชน และโรงเรียน) ซึ่งทางวัดได้แบ่งปันผลผลิตนั้นให้กับผู้ยากไร้และผู้ประสบปัญหาในกรณีฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม ฯลฯ และนอกจากนี้ยังมีการจัดถุงยังชีพเพื่อเยี่ยมบ้านกลุ่มเปราะบางอีกด้วย


- 19 -


- 20 - 2. Key Success factor ศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา “ศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา” มีที่ตั้งอยู่ในชุมชนเชิงผา บริเวณโด่แม่ถัน ติดกับเชิงผาแม่ถัน และถ้ำเชิงผา ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของอำเภอทุ่งเสลี่ยม มีหน้าผาที่มองเห็นวิวทิวทัศน์สวยงาม ในมุมทิศตะวันออกจะเห็น เป็นรูปช้างหมอบ ทิศเหนือจะเห็นเป็นรูปถันของสาว มีพระพุทธรูปอยู่บริเวณป่าปงเปียง “ชุมชนเชิงผา” เป็นชุมชนชาวพุทธที่อยู่รวมกันและใช้แนวคิด “บวร” ในการสร้างเสริมความสัมพันธ์ และจัดสวัสดิการในชุมชน ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการรวมพลังเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการ แก้ปัญหาและพัฒนาชุมชน “บวร” ซึ่งนับว่าเป็นแนวคิดสำคัญซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จของศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา ผ่านความร่วมแรง ร่วมใจกันของสถาบันหลักในชุมชน นำพากิจกรรมก้าวสู่การเป็นวัฒนธรรม ที่ถือปฏิบัติจนเป็นประเพณีหลัก ของชุมชน สู่ระดับตำบล อำเภอ และจังหวัด โดยมีปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จของศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา ดังนี้ 1. คน (Man) 1.1 ผู้ริเริ่ม “ท่านพระครูปลัดปราโมช อธิปญฺโญ เจ้าอาวาส ผู้ริเริ่มดำเนินกิจกรรมโครงการต่างๆ ซึ่งโครงการแรกที่พระครูได้ริเริ่มทำกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์ ดำนาเดือนแม่เกี่ยวเดือนพ่อนั้น มีจุดเริ่มต้นมาจาก การที่ท่านพระครูฯ มองเห็นที่ดินซึ่งไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ จึงดำริให้ร่วมกันทำกิจกรรมโดยมีแนวทาง ในการใช้แนวคิด “บวร” เป็นกลยุทธในการดึงความร่วมมือ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายผลส่งต่อความร่วมมือ ไปยังกิจกรรมอื่นๆ ต่อไป โดยความสำเร็จนี้มีต้นกำเนิด เกิดขึ้นมาจากการมีผู้นำ ที่คิดดี คิดกว้าง คิดไกล และคิดให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน 1.2 สมาชิกในชุมชนวัดเชิงผา อันได้แก่ สถาบันหลักในชุมชน ผู้ร่วมคิดร่วมทำ กลุ่มเครือข่าย ในชุมชน และการรวมตัวของกลุ่มต่างๆ นั้นรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน มีความผูกพันกับชุมชนและสมาชิก ในชุมชน ก่อให้เกิดความรัก ความหวงแหน ต้องการที่จะร่วมกันพัฒนาชุมชนของตนให้มีสภาพแวดล้อมที่ดี น่าอยู่ และสมาชิกในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี จึงเป็นพลังให้สมาชิกในชุมชนวัดเชิงผามีความเข้มแข็ง สมัครสมานสามัคคี ร่วมกันพัฒนาชุมชน 1.3 จิตอาสา และผู้มีส่วน ร่วมในกิจกรรมที่มาจากหน่วยงานต่างๆ อันได้แก่ ภาครัฐ เอกชน หน่วยงานและ องค์กรต่างๆ ที่เข้ามาร่วมทำกิจกรรม อย่างสม่ำเสมอ ทำให้เกิดพลังขับเคลื่อน กิจกรรมตามโครงการที่จัดทำขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังช่วยประชาสัมพันธ์ กระจ่ายข่าวสารกิจกรรมให้ศูนย์ปฏิบัติธรรม วัดเชิงผาได้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น


- 21 - 2. ทรัพยากร 2.1 ศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผามีทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นแหล่งต้นทุนในการทำโครงการต่างๆ ได้แก่ ที่ดินสำหรับทำการเกษตร ความอุดมสมบูรณ์ แหล่งน้ำและดินดี รวมไปถึงสภาพอากาศที่เหมาะสม แก่การเพาะปลูก 2.2 การจัดค่ายธรรมะ อบรมและโครงการสร้างศาสนทายาทนั้น ทางศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผามี สถานที่สำหรับการจัดกิจกรรมและมีโรงเรียนที่ได้รับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ ในการฝึกอบรมและจัดการเรียน การสอนตามหลักสูตร 2.3 ศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา ได้รับปัจจัย ข้าวของเครื่องใช้ สำหรับอุปโภคและบริโภค จากการสนับสนุนของผู้มีจิตศรัทธานำมาถวายจำนวนมาก จึงทำให้ทางศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผานั้น มีเครื่องอุปโภค บริโภคสำหรับการจัดสรร แบ่งปันตามความเหมาะสมและจำเป็นให้แก่ผู้ประสบปัญหาได้ 2.4 จากการทำกิจกรรมทำนาจะได้ข้าวปีละ 80-120 กระสอบปุ๋ย หลังจากแบ่งสันปันส่วน เรียบร้อยแล้ว ส่วนหนึ่งที่ทางศูนย์ปฏิบัติธรรมได้รับจัดสรรมา จะเป็นทุนต่อยอดสำหรับใช้ในการประกอบอาหาร เมื่อมีการจัดฝึกอบรม และเป็นอาหารเณรในโรงเรียน รวมไปถึงแบ่งปันสู่ที่ประสบปัญหาได้ 2.5 ได้รับการสนับสนุนของคนในชุมชน และภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยหมัก กล้าพันธ์ไม้ ในการทำกิจกรรม อาหารและเครื่องดื่มเมื่อมีการจัดงานซึ่งช่วยสนับสนุนและอำนวยความสะดวก ให้การดำเนิน กิจกรรมสำเร็จลุล่วง 3. กลยุทธ์การขับเคลื่อน องค์ประกอบที่หนุนเสริมให้เกิดความสำเร็จของศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผานั้นส่วนหนึ่งเกิดขึ้น จากการนำแนวคิด “บวร” เข้ามาใช้เป็นกรอบแนวคิดในการนำไปสู่การดำเนินกิจกรรม และการใช้กระบวนการ มีส่วนร่วม ซึ่งเปิดโอกาสให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการร่วมคิด ร่วมทำ มีบทบาทร่วมกันในทุกส่วน ก่อให้เกิด ความไว้วางใจกัน และเกิดบรรยากาศของการร่วมงานที่มีความเป็นกันเอง ทางศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผาเองก็ได้มองว่า บทบาททุกบทบาทมีความสำคัญ จึงทำให้ การร่วมงานกันนั้นมีกระบวนการทำงานที่มีความประสานรวมกันเป็นหนึ่ง และนอกจากนี้ยังมีโครงการต่างๆ ที่ช่วยเสริมสร้างการพัฒนาทีมงานให้เข้มแข็ง ให้เป็น Teamwork ซึ่งนำไปสู่การสร้างความยั่งยืนในการจัด สวัสดิการชุมชนเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบางของศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา


- 22 -


- 23 - ศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา ต.กลางดง อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย


- 24 - ศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา ต.กลางดง อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย


- 25 - โรงเรียนโชติคุณวิทยานุสรณ์วัดเชิงผา ต.กลางดง อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย


- 26 - ที่ปรึกษา นางสาวเรืองลักษณ์ ทิพย์ทอง ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริม และสนับสนุนวิชาการ 8 คณะทำงานจัดการความรู้ 1. นายนครินทร์ เข็มทอง นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ 2. นางสาวรัชนี สังขพร นักพัฒนาสังคมชำนาญการ 3. นายสันติภาพ ทองบุญมา นักพัฒนาสังคมชำนาญการ 4. นางสาวศศิยาภรณ์ เศรษฐ์ธนโชค นักพัฒนาสังคมชำนาญการ 5. นางสาวรำไพพรรณ ชัยบุญเรือง นักพัฒนาสังคมปฏิบัติการ 6. นางสาวณัฐพร ทัพซ้าย เจ้าพนักงานพัฒนาสังคมปฏิบัติงาน 7. นายธนพล มีสีบัว นักพัฒนาสังคม 8. นายชาญณรงค์ ปิติพุทธิพงค์ นักพัฒนาสังคม 9. นางสาวชนกพร พรมภา พนักงานบริการ 10. นางวิมลทิพย์ พันชน พนักงานบริการ เขียน เรียบเรียง ออกแบบ นางสาวณัฐพร ทัพซ้าย เจ้าพนักงานพัฒนาสังคมปฏิบัติงาน


- 27 - จัดทำโดย : สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปีที่จัดทำ : 2566 ที่อยู่ : เลขที่ 94 หมู่ 5 ตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ 53190 โทรศัพท์ : 055-406-009 E-mail : [email protected] Website : http://tpso-8.m-society.go.th Facebook : สสว แปด อุตรดิตถ์ Youtube : TPSO8 UTTARADIT Line OA : @096aftxx TikTok : tpso8 เล่ม KM “บทบาทของวัดกับการจัดสวัสดิการชุมชนเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบาง” ศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา ต.กลางดง อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย


Click to View FlipBook Version