ฝ่ายส่งเสริมพัฒนาอาชีพประมง ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยกลุ่มขยายผล กลุ่มงานส่งเสริมพัฒนาอาชีพประมง ได้เล็งเห็นความสำคัญของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เนื่องจากปัญหาความเสื่อมโทรมของท้องทะเล อีกทั้งจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการ ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะ เพิ่มมากขึ้น เช่น การท่องเที่ยวทางทะเล การทำประมงที่ผิดกฎหมาย ตลอดจนเกิดชุมชนและ เมืองชายฝั่ง ก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมของทรัพยากร เช่น พื้นที่ป่าชายเลนลดลงอย่างรวดเร็ว ปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้ลดลงอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำ ทำให้ทรัพยากร สัตว์น้ำมีปริมาณลดน้อยลงเป็นอย่างมากจนบางชนิดอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากมีการใช้ ประโยชน์ที่เกินสมดุลธรรมชาติ การถูกคุกคาม และการทำลายทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งความหลากหลายทางชีวภาพ โดยขาดจิตสำนึก และขาดการบริหารจัดการที่มี ประสิทธิภาพ
โดยศูนย์ฯ คุ้งกระเบนให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง การศึกษาเรียนรู้ ใช้ประโยชน์ และสร้างจิตสำนึก ตระหนักในคุณค่าของ ทรัพยากร การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล และฟื้นฟูการประมงชายฝั่ง อย่างยั่งยืนทั้งในพื้นที่จังหวัดชายฝั่งทะเล เพื่อให้มีความอุดมสมบูรณ์ มั่งคั่ง สมดุล และ เป็นการใช้ประโยชน์และบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน เพื่อให้ทรัพยากรสัตว์น้ำฟื้นฟูกลับสู่ความสมบูรณ์ รวมถึงปรับปรุงแนวทางการบริหาร จัดการทรัพยากรทางทะเลให้มีประสิทธิภาพ และเป็นการสร้างความยั่งยืนของท้อง ทะเลไทยให้คงอยู่ต่อไปในอนาคต นำไปสู่ประโยชน์แท้แก่มหาชนชาวไทย
ทางศูนย์ฯ คุ้งกระเบน ได้ดำเนินโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ฯ โดยการดูแลรักษาทรัพยากรของประเทศในแง่ของการสร้างความตระหนักนำไปสู่การสร้าง จิตสำนึกในการรักษาทรัพยากรของประเทศที่นำไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ที่ตั้งอยู่บน พื้นฐานของทรัพยากรของประเทศที่มีอยู่ ณ ตอนนี้ ช่วยกันอนุรักษ์รักษา ฟื้นฟู พัฒนา และ นำไปสู่การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนให้กับประเทศไทย ซึ่งตรงกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ และภายใต้การน้อมนำพระราช กระแสของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “การรักทรัพยากรคือการรักชาติ รักแผ่นดิน” มาสู่การปฏิบัติโดยแท้จริง
“...ประเทศไทยเราเป็นประเทศที่มีความสมบูรณ์มาแต่โบราณกาล ด้วยเหตุที่มีทรัพยากรธรรมชาติ หลากหลายทั้ง พืช สัตว์ และแร่ธาตุ สมดังคำที่กล่าวว่า “ทรัพย์ในดิน สินในน้ำ” ทรัพยากรเหล่านี้ให้ คุณประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนทุกหมู่เหล่า ในด้านการยังชีพ อีกทั้งสร้างภาวะสมดุลให้แก่สภาพแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติทุกๆ สิ่งมีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันหากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หมดสิ้นสูญไปก็จะส่งผลกระทบ ต่อสิ่งอื่นๆ ต่อสภาวะแวดล้อม และท้ายที่สุดต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ทรัพยากรธรรมชาติเป็นสมบัติของ เราพวกเราทุกคน ไม่ใช่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะเราทุกคนจึงมีหน้าที่จะต้องช่วยกันปกปักรักษา ทรัพยากรอันมีค่าให้ดำรงอยู่ ช่วยกันปลูกฝัง และสืบทอดเจตนารมณ์เรื่องการอนุรักษ์ให้แก่อนุชนเพื่อให้ ประเทศของเรายังมีทรัพยากรที่จะเอื้ออำนวยประโยชน์ให้แก่มหาชนสืบเนื่องต่อไป...” พระราโชวาท สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 30 ตุลาคม 2550
การดําเนินงานอย่างเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา และจะย้อนกับในการหวนดูทรัพย์สิ่งสินตน ศักยภาพมาก ล้นมีให้เห็น ชาวบ้านไทยได้ประโยชน์ ประโยชน์แท้แก่มหาชน เมื่อทำงานกันด้วยความชํานาญ มีจิตสํานึกในการอนุรักษ์ทรัพยากร การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ก็จะเกิดประโยชน์กับมหาชน ประเทศชาติ ในความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ตามนโยบายประเทศไทย 4.0 (แผนแม่บทระยะ 5 ปีที่เจ็ด โครงการอนุรักษ์ พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี) มั่นคง คือ ความมั่นคงทางทรัพยากร ต้องรู้ชนิด จำนวน ที่จะอนุรักษ์อะไร และอนุรักษ์อย่างไร มั่งคั่ง จากทรัพยากรที่มีและมีภูมิปัญญากำกับ ในการใช้ประโยชน์ ทำมาศึกษา วิจัย พัฒนาต่อยอด เป็นผลิตภัณฑ์ เพิ่มมูลค่า เกิดรายได้ เป็นความมั่งคั่ง ยั่งยืน ต้องมีจิตสํานึกในการอนุรักษ์ทรัพยากร รู้จักการใช้ประโยชน์การใช้อย่างยั่งยืน ต้องรู้ชนิด จำนวนถึงจะบริหารจัดการ เป็นเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยความพอประมาณ เป็นเหตุผล และมี ภูมิคุ้มกันที่ต้องใช้เงื่อนไขความรู้เงื่อนไขคุณธรรม ที่นําไปสู่เศรษฐกิจสังคมสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมที่ สมดุล พร้อมรับกับการเลี่ยนแปลง ทรัพยากรนั้นต้องปลูกได้ ขยายได้ มิใช่นําออกมาจากป่าอย่าง เดียว ซึ่งไม่มีการทดแทนก็จะหมด อีกทั้งนโยบายต่างก็ต้องยั่งยืนต่อเนื่อง จึงจะเป็นความยั่งยืน
ทรัพยากรทางทะเลในประเทศไทยมียุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล (พ.ศ. 2555 – 2559) ได้กำหนดให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของชาติในการแสวง ประโยชน์จากทะเล ในห้วงเวลาดังกล่าว และมุ่งเน้นการสร้างเสถียรภาพ ความปลอดภัย เสรีภาพ และสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินกิจกรรมทางทะเลของทุกภาคส่วนอย่าง ยั่งยืน จึงได้ดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล เพื่อ ผลักดันให้เกิดกฎหมายเพื่อรักษาผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งล้วนเป็นหน่วยงานที่ร่วมสนองพระราชดำริ อพ.สธ. เป็นส่วนใหญ่ เช่น กองทัพเรือ กรม ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมประมง กรมป่าไม้กรมอุทยานฯ และอีกหลายหน่วยงาน ซึ่งตระหนักในปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
การดูแลรักษาทรัพยากรและนำไปสู่การใช้ประโยชน์ เช่น ปัญหาการทำลาย สิ่งแวดล้อมโดยมนุษย์ ปัญหาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับทางทะเล ปัญหาทรัพยากรและ การทำประมง การบริหารและการจัดการผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล การแย่งชิง ทรัพยากรในทะเลระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ภายในชาติและระหว่างประเทศ รวมทั้งปัญหา อื่นๆ ที่จะนำไปสู่การทำลายทรัพยากรทางทะเลที่เป็นแหล่งรวมทรัพยากรกายภาพ ทรัพยากรชีวภาพ รวมถึงทรัพยากรวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของประเทศไทย และเกี่ยวพัน กับประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย (โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) คู่มือการดำเนินงานฐาน ทรัพยากรท้องถิ่น พุทธศักราช 2560)
ข้อมูลติดต่อ กลุ่มขยายผล กลุ่มงานส่งเสริมพัฒนาอาชีพประมง ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่อยู่ : หมู่ที่ 4 ตำบลคลองขุด อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี เบอร์โทรศัพท์ : 039 – 433216 - 8 แฟกซ์ : 039 – 433209 อีเมล์ : [email protected]