ใบความรูค้ รง้ั ท่ี 1
วชิ าเศรษฐกจิ พอเพยี ง รหสั วชิ า ทช31001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย
เรื่องการแก้ปัญหาชุมชน , สถานการณ์ของประเทศกบั ความพอเพียง และสถานการณโ์ ลกกับความพอเพยี ง
***************************************************************************************
เศรษฐกิจพอเพยี ง เปน็ ปรัชญาทช่ี ถี้ งึ แนวทางการดํารงอยู่ และปฏบิ ตั ติ นใหด้ ําเนินไปในทางสายกลางของประชาชนใน
ทุกระดับ ต้ังแตร่ ะดับครอบครวั ระดบั ชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพฒั นา การบริหารประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนา
สงั คมและเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทนั โลกในยคุ โลกาภิวฒั น์ เพ่อื นํามาซ่ึงความเจริญเปน็ สง่ิ ท่ีทุกสังคมปรารถนา และ
พยายามหาหนทางไปสเู่ ปาู หมายดว้ ยวิธีการต่างๆตามระบบความคิด ความเช่ือ และกําหนดอดุ มการณ์ เปูาหมาย
นโยบาย และกลยทุ ธ์การพฒั นาทม่ี ผี ลสบื เน่ืองไปถงึ วถิ ีการดาํ รงชีวิตต่างๆ ของคนในสงั คมจุดเปลย่ี นสังคมไทยเมื่อย้อน
ไปมองในอดตี จะพบวา่ สงั คมดง้ั เดมิ เป็นสงั คมท่มี ีวิถีชีวิตแบบเรียบงา่ ย มีเศรษฐกิจแบบพื้นฐานเปน็ การผลิตเพ่ือยงั ชพี
สําหรบั บริโภคใช้สอยในครวั เรอื นและในชมุ ชนมิใชเ่ พื่อการแลกเปลี่ยนวัตถุดิบในการผลิตสําหรับการยงั ชพี แต่ไดม้ าจาก
สภาพธรรมชาตทิ อ่ี ยรู่ อบตัว ปัจจยั เหล่าน้ี ทําให้ชาวชนบทมีความใกล้ชดิ ผกู พัน และตระหนกั ในส่งิ แวดล้อมซึง่
แสดงออกในรูปความเชอ่ื และพิธกี รรมทย่ี กย่องต่อการรกั ษาสมดุลของธรรมชาติ นอกจากน้นั ความความสมั พันธใ์ น
ระบบเครือญาตแิ ละความสัมพันธ์ทางสายเลือด จงึ สอดคล้องต่อการใช้ทรัพยากรรว่ มกันทัง้ การแบ่งปันผลผลิต การ
พึง่ พาอาศัยในดา้ นต่างๆ ลักษณะท้ังหมดนจี้ งึ ทําใหส้ ังคมไทยในอดีตดาํ รงอยู่อย่างสงบ พึ่งพาตนเองได้ และมีความ
พอเพียงต่ออัตภาพ โดยสามารถสบื ทอดเอกลักษณด์ งั กล่าวต่อเนอื่ งอยา่ งไม่ขาดสายตลอดมาเป็นเวลาหลายร้อยปีการ
เปล่ียนแปลงคร้ังใหญ่ของสงั คมเกิดขน้ึ เมื่อสงั คมไทยเขา้ สู่ระบวนการพัฒนาไปสู่ความทนั สมยั ภายหลงั สงครามโลก
ครั้งท่ี 2 สิน้ สดุ ลง ปรากฏการณ์ดังกลา่ ว เริ่มต้นเม่อื ประเทศมหาอํานาจใช้อํานาจทั้งในรูปแบบความรู้ทางวิชาการ
โครงการความชว่ ยเหลอื ตา่ งๆเขา้ มาครอบงํา การกําหนดวาทกรรม เพ่ือสร้างความหมายใหม่ของส่ิงท่ีเป็นคู่ตรงขา้ มกับ
คาํ วา่ เศรษฐกิจพอเพยี ง คือคําว่า พฒั นา (Development) และ ดอ้ ยพฒั นา (Underdevelopment) ออกเปน็
ประเทศที่พัฒนาแลว้ และ ประเทศทย่ี งั ด้อยพฒั นา ต่อมาไดแ้ พร่ขยายความหมายสู่กล่มุ ประเทศในเอเชยี ละตนิ
อเมรกิ า แอฟริกา รวมท้ังประเทศไทย ซ่งึ ถูกใหค้ วามหมายว่าเป็นประเทศด้อยพัฒนาประเทศหนึ่ง ทําให้เกิดกระแส
ความต้องการพัฒนาไปสู่ความทนั สมยั ตามแบบประเทศตะวันตก จนในทีส่ ุดไดผ้ ลักดันให้เกดิ การพัฒนาอยา่ งชัดเจน
เป็นครัง้ แรกคือ แผนพฒั นาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับท่ี 1 พุทธศักราช 2504ฉะนั้นจงึ มกี ารให้ความหมายสงั คม
ทพ่ี ฒั นาว่า เปน็ สังคมที่มีความทันสมยั ตามแบบสงั คมตะวันตก ซง่ึ สามารถกระทาํ ไดด้ ้วยวิธีการมุง่ พฒั นาเศรษฐกจิ และ
การปฏิรปู โครงสรา้ งสังคมต่างๆไมว่ า่ จะเป็นทางด้านการเมือง การศกึ ษา ความเช่ือ ใหส้ อดคลอ้ งกบั แนวคิดของความ
ทันสมัย( Westernization ) อย่างเต็มท่ี เหตุผลดังกลา่ วจงึ มผี ลทําใหเ้ ปูาหมายและแนวทางการพฒั นาประเทศในอดีต
มงุ่ ไปสู่การทาํ ใหส้ ังคมไทยทันสมยั ตามแบบสงั คมตะวนั ตก ไม่ว่าจะเป็นการมงุ่ เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจในลักษณะของ
วถิ กี ารผลติ แบบทนุ นยิ ม โดยการสง่ เสริมการขยายตัวของอุตสาหกรรมและการคา้ การใช้เทคโนโลยที ท่ี นั สมัยพร้อมๆ
กบั การปฏริ ปู การเมอื ง การศึกษาศาสนา เพื่อใหโ้ ครงสรา้ งสงั คมมีการแบง่ แยกหนา้ ที่เฉพาะด้าน มีผลทาํ ให้เกดิ ความ
ชาํ นาญ สามารถเพ่ิมประสทิ ธิภาพการทํางานให้สงู ขึ้น และเอ้ือต่อการพฒั นาไปสู่ความทนั สมัย การเปลยี่ นแปลง
ดังกล่าวยอ่ มทําใหว้ ถิ ีชวี ิต โลกทัศน์ ระบบความเช่ือ และคุณค่าตา่ งๆของคนในสงั คม ไม่ว่าจะเป็นสงั คมเมืองหรือสังคม
ในชนบทผันแปรไปจากเดมิ
ผลของการพัฒนาในด้านบวก ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของอตั ราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกจิ ความเจริญทาง
วัตถุ และสาธารณปู โภคต่างๆ ระบบส่อื สารที่ทันสมยั หรอื การขยายปรมิ าณและการกระจายการศกึ ษาอยา่ งท่ัวถึง
แตผ่ ลบวกเหลา่ น้ี ก็ยังคงกระจายไปสคู่ นในสังคมชนบทหรือดอ้ ยโอกาสได้นอ้ ย ซง่ึ ส่วนมากจะเป็นการกระจกุ อยู่ใน
เมืองหลวงหรอื ตวั จงั หวัดทส่ี ําคญั ในขณะทผ่ี ลลบก็คือ เกิดการขยายตัวของอุตสาหกรรม การสง่ เสริมการเกษตร
แผนใหม่ เพ่ือการคา้ และสง่ ออก และจากการขยายตวั ของภาครฐั ไปสูช่ นบท ได้ส่งผลให้ชนบทเกดิ การออ่ นแอใน
หลายด้าน ทั้งการต้องพึ่งพิงของตลาดและพ่อค้าคนกลาง โดยเฉพาะความเสื่อมโทรมของทรพั ยากรธรรมชาติ และ
ระบบนเิ วศน์วทิ ยา ระบบความสมั พนั ธแ์ บบเครอื ญาติ และการรวมกลุ่มกนั ตามประเพณี เพ่ือการจดั การทรัพยากร
ทมี่ ีอยู่แตกสลายลง รวมทง้ั ภูมิปญั ญาท่เี คยสัง่ สมกนั มาเร่มิ ถูกลืมเลอื นสญู หายไป วกิ ฤติเศรษฐกิจเมื่อ ปพี ุทธศักราช
2540 ที่เกิดจากปญั หาเศรษฐกจิ ขยายตวั แบบฟองสบู่ และปญั หาความอ่อนแอของชนบท รวมทงั้ ปญั หาสงั คมอ่ืนๆ
ทเ่ี กดิ ขน้ึ ลว้ นแล้วแต่เป็นขอ้ พิสูจน์และยนื ยนั ปรากฏการณ์นีไ้ ดเ้ ปน็ อย่างดี ผลทเ่ี กิดข้นึ ก่อให้เกดิ คาํ ถามและข้อสงสัย
ต่อแนวทางการพฒั นาไปสู่ความทันสมัยตามแบบตะวันตก ( Development through Westernization ) ท่ีมีความ
เช่อื กนั ก่อนหน้าว่า ถูกตอ้ งและเหมาะสมน้นั จะเหมาะสมกับบรบิ ทของสงั คมไทยต่อไปอีกหรอื ไม่ จึงเกดิ แนวคดิ
ทฤษฎที เ่ี กย่ี วข้องกบั การพัฒนาทโ่ี ต้แยง้ ทฤษฎคี วามทนั สมัยเชน่ ทฤษฎีพงึ่ พงิ ( Dependency Theory) แนวคิด
การพฒั นาการแบบยง่ั ยนื หรือแนวคดิ วฒั นธรรมชุมชน เป็นต้น ความเป็นมาของเศรษฐกจิ พอเพียงเปน็ ความต้องการ
ของมนษุ ย์ โดยภาพรวม มี 2 ระดับ คือ
1. ความตอ้ งการทางกายภาพ เปน็ ความต้องการพ้นื ฐานของชวี ติ เปน็ ความตอ้ งการเพื่อให้ชวี ติ ดํารงอยู่ตาม
ควรแก่เอกตั ภาพ หากพิจารณาในทางพุทธศาสนา คือ ความตอ้ งการปัจจยั เพอื่ ความมีอยู่ เปน็ อยู่ ไดแ้ ก่ ปจั จยั 4 คอื
อาหาร เครื่องนุ่งหม่ ท่ีอยู่อาศัย และยารักษาโรค เป็นความต้องการอนั มีขอบเขตจาํ กัดต่อคณุ ภาพชีวิต
2. ความต้องการทางจติ ภาพ เปน็ ความตอ้ งการทางจติ ใจในวิถสี งั คมเพื่อตอบสนองสิ่งทนี่ อกเหนือจากกายภาพ มีท้ัง ภา
วตัณหา คือ ความอยากมี อยากเปน็ และวิภาวตัณหา ความไม่อยากมี ไม่อยากเปน็ เชน่ ความต้องการด้านความรัก
ความสขุ ที่ตนเองคาดหวัง การมชี อื่ เสยี งเกยี รติยศ เพื่อใหส้ ังคมยอมรับ เป็นความตอ้ งการเสพสง่ิ ปรนเปรอ ที่ไม่มี
ขอบเขตหรือไม่จํากัด ตลอดจนการปฏิเสธส่งิ ทต่ี นเองไมต่ ้องการ เช่น ไม่ต้องการอยู่อย่างโดดเดีย่ ว ไมต่ อ้ งการความ
ลม้ เหลวในชวี ิต ไมต่ ้องการให้ใครมาดูถกู ดูหมิน่ เป็นตน้ ประเทศไทยและสงั คมไทยท่ผี ่านมาจนปจั จุบัน นับวา่ มีความ
โชคดีอยา่ งมหาศาล ทมี่ ีพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวทรงเปน็ ปราชญ์ที่มอี ัจฉริยภาพ ในหลาย ๆ ดา้ น ประเทศไทย ณ
วันนี้ พระเจา้ อยหู่ ัว รชั กาลท่ี 9 ทรงเปน็ พระอจั ฉริยะกษตั ริยใ์ นทุก ๆ ดา้ น โดยเฉพาะทางดา้ นการเกษตร เศรษฐกิจ
และสังคม พระองคท์ รงเล็งเห็นระบบทุนนยิ มท่จี ะเข้าทาํ ลายสังคม โลก และสงั คมไทย สดุ ที่เยยี วยาในเร็ววนั กอปร
ดว้ ยพระองค์ไดเ้ สด็จพระราชดาํ เนินเยีย่ มเยยี นพสกนิกรในทีต่ า่ ง ๆ โดยเฉพาะในชนบทตลอดมา การเสดจ็ ของพระองค์
นอกจากเพ่ือเป็นมิ่งขวัญแก่เหล่าอาณาประชาราษฎรแ์ ล้ว พระองค์ยงั ไดท้ รงศึกษาปญั หาดา้ นตา่ ง ๆ จนทรงเข้าพระทัย
อยา่ งถ่องแท้ แลว้ หาวธิ แี ก้ไขไดอ้ ย่างเหมาะสม ตามข้อเท็จจรงิ และสภาพสังคมอย่างดีย่งิ ดว้ ยพระอจั ฉริยภาพในการ
วเิ คราะหป์ ัญหาอยา่ งลกึ ซงึ้ และถ่องแท้ พระองคจ์ ึงทรงกําหนดยุทธศาสตรใ์ นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของไทย เป็น 2
ลักษณะสาํ คญั คือ
1. ยุทธศาสตร์การสร้างแบบจําลอง เปน็ ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่มีความสอดคล้องกับสภาพความเปน็ อยู่
ความเป็นจรงิ ตามศกั ยภาพของเมืองไทยและสงั คมไทย โดยการวเิ คราะห์ และสังเคราะห์ นําไปแก้ไขปญั หา
2. ยุทธศาสตรแ์ บบโครงการ เปน็ ยทุ ธศาสตร์ทสี่ ะทอ้ นออกมาในลักษณะศกึ ษาค้นควา้ ทดลอง วจิ ัย จนเกิดเปน็
โครงการตามแนวพระราชดาํ ริมากมายนบั พันโครงการ
ยุทธศาสตร์ทั้ง 2 ระบบดังกล่าว ต่างเออื้ ซ่ึงกนั และกนั แต่พระองค์ทรงใหค้ วามสําคญั ในยทุ ธศาสตร์แบบจาํ ลอง
เป็นหลักพนื้ ฐาน เพราะผสู้ รา้ ง ผู้รักษา ผใู้ ช้ คือ ประชาชนทุกคน จากทที่ รงเลง็ เหน็ ความสําคัญแหง่ ยุทธศาสตร์
แบบจาํ ลองนี้เอง พระองค์ได้ทรงพยายามอธิบายและใช้แนวพระราชดาํ รนิ พี้ ัฒนาเรือ่ ยมาในลกั ษณะ “ทฤษฎีใหม่”
หรอื “โครงการพฒั นาพ้ืนทเี่ กษตรํนา้ ฝนอันเนื่องมาจากพระราชดําริ” มสี าระสาํ คัญเก่ียวกบั การทําไรน่ าสวนผสม อัน
เกิดจากทรงคดิ ขน้ึ จากภมู ิปัญญาชาวบา้ น ซงึ่ จะชว่ ยให้ชาวชนบทมีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยใช้
ศกั ยภาพและทรัพยากรท่มี ีอยู่ใหไ้ ดป้ ระโยชน์สงู สดุ และคุ้มค่า ทง้ั ทางดา้ นการพฒั นาการเกษตร เศรษฐกิจ วถิ ีชีวติ
ชุมชน ความมั่นคง วิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ การปกครอง ครอบครวั และจิตสํานึกทฤษฎีใหม่ ท่พี ระองคท์ รงคิดค้น
ไดร้ ับความสนใจทงั้ จากรฐั บาลและประชาชน ในระดับหนึ่ง แตก่ ย็ งั ไมแ่ พร่หลายและจรงิ จงั จากทกุ สว่ นฝุายมากนักแต่
พระองค์ทรงเล็งเหน็ ว่านค้ี ือทางไปสคู่ วามมัน่ คง เขม้ แขง็ และยง่ั ยนื อยา่ งแทจ้ ริงในปี พ.ศ. 2540 ประเทศไทยเกิดวกิ ฤต
ทางเศรษฐกิจอยา่ งรุนแรง ภาษาชาวบ้านเรยี กขานกันวา่ “ฟองสบู่แตก” กลา่ วคือ ดูภายนอกแล้ว เศรษฐกจิ ไทยเดนิ ไป
อยา่ งสวยงาม นา่ ทึ่งแต่ขาดพื้นฐานยึดเกาะใด ๆ เม่ือถกู กระแทกจากภาวะภายนอก ฟองสบทู่ ด่ี สู วยงาม กแ็ ตกสลาย
อย่างสิน้ เชิง เพราะไรร้ ากฐาน ท่ีเขม้ แขง็ พอการพัฒนาประเทศจาํ เปน็ ต้องทาํ ตามลาํ ดับตอน ต้องสร้างพื้นฐานคือความ
พอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบ้ืองต้นก่อน เมื่อได้พน้ื ฐานมนั่ คงพรอ้ มพอควรและปฏิบตั ิได้แล้ว จึงค่อย
สร้าง คอ่ ยเสรมิ ความเจรญิ และฐานะเศรษฐกิจชนั้ ทส่ี งู ขึ้นโดยลาํ ดบั ต่อไปเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใชเ่ ทคนคิ แต่มี
ความหมายกว้างมาก เพราะต้องรวมเอา
1) อดุ มการณบ์ างอย่าง
2) โลกทศั น์บางอย่าง
3) ความสมั พันธ์บางอย่าง
4) ค่านยิ มบางอยา่ ง
จงึ จะนับไดว้ ่าเป็นเศรษฐกจิ พอเพยี งท่แี ท้จรงิ ทงั้ 4 ประการ ทจ่ี ะกลา่ วถงึ น้ี คอื สว่ นที่เรารจู้ ักกนั ว่า วฒั นธรรมน่ันเอง
ถา้ ไม่เข้าใจเศรษฐกจิ พอเพียง ตามความหมายเชน่ นี้ เศรษฐกจิ พอเพยี งจะมีความเปน็ ไปได้แกค่ นจาํ นวนน้อย
เทา่ น้นั คอื เกษตรกรที่มีทีด่ ินของตนเอง ในปริมาณเพียงพอจะผลติ เพ่อื พอบรโิ ภคหรือทํารายได้ พอสําหรับครวั เรอื น
เทา่ นั้น ฉะน้ัน เศรษฐกิจพอเพยี งจึงนิยมกันไว้เพียงวา่ เศรษฐกิจพอเพียงคือวฒั นธรรม ไมใ่ ชเ่ ทคนคิ การเพาะปลูกหรอื
ศลี ธรรม ความไมล่ ะโมบ และการประหยัดเท่าน้ัน แมว้ า่ เป็นสว่ นที่ขาดไม่ไดข้ องเศรษฐกิจพอเพยี งก็ตาม
เศรษฐกจิ พอเพยี ง หมายถึง พอเพียงในอยา่ งน้อย 7 ประการดว้ ยกนั ไดแ้ ก่
1. พอเพียงสําหรับทกุ คน ทุกครอบครวั ไมใ่ ช่เศรษฐกิจแบบทอดท้ิงกนั
2. จิตใจพอเพยี ง ทําใหร้ กั กนั และเอื้ออาทรคนอนื่ ได้ คนที่ไม่พอจะรักคนอ่ืนไมเ่ ป็น และทาํ ลายมาก
3. ส่ิงแวดลอ้ มพอเพยี ง การอนุรักษ์และเพ่ิมพนู สิง่ แวดล้อมทําใหย้ งั ชพี และทํามาหากินได้ เช่น การทาํ เกษตร
ผสมผสาน ซงึ่ ได้ทงั้ อาหารได้ท้ังสิ่งแวดล้อม และไดท้ ั้งเงิน
4. ชุมชนเข้มแข็งพอเพยี ง การรวมตัวกนั เป็นชุมชนท่เี ข้มแข็ง จะทําให้สามารถแก้ปญั หาต่าง ๆ ได้ เช่น ปญั หา
สังคม ปัญหาความยากจน หรือปัญหาสงิ่ แวดลอ้ ม
1. ปัญหาพอเพียง มีการเรยี นร้รู ่วมกนั ในการปฏบิ ัติ และปรับตวั ได้อย่างต่อเน่ือง
2. อยบู่ นพน้ื ฐานวัฒนธรรมเพียงพอ วฒั นธรรม หมายถึง วิถชี วี ติ ของกลุ่มชนทีส่ มั พันธ์อย่กู ับ
สง่ิ แวดล้อมทห่ี ลากหลาย ดังนัน้ เศรษฐกิจจึงควรสัมพันธอ์ ยู่และเติบโตขน้ึ จากฐานทางวัฒนธรรม จงึ
จะม่นั คง เชน่ เศรษฐกิจของจังหวัดตราด ขณะนี้ ไม่กระทบกระเทือนจากฟองสบู่แตก ไม่มคี นตก
งาน เพราะอยู่บนพน้ื ฐานของสง่ิ แวดลอ้ มและวฒั นธรรมท้องถิ่น ท่เี อื้อต่ออาชีพการทําสวนผลไม้ ทํา
การประมงและการท่องเทย่ี ว
3. มีความมั่นคงพอเพยี ง ไม่ใช่วูบวาบ เดยี๋ วจนเดีย๋ วรวยแบบกะทนั หนั เดยี๋ วตกงานไม่มีกินไมม่ ีใช้ ถ้า
เปน็ แบบนนั้ ประสาทมนุษย์คงทนไม่ไหวต่อความผันผวนทเ่ี ร็วเกิน จึงสขุ ภาพจติ เสยี เครียด เพยี้ น
รนุ แรง ฆา่ ตัวตาย ตดิ ยา เศรษฐกิจพอเพยี งทีม่ น่ั คงจึงทําให้สุขภาพจิตดี
เมอื่ ทุกอย่างพอเพยี งกเ็ กิดความสมดลุ ความสมดุล คือ ความเปน็ ปกติ และย่ังยืน ซงึ่ เราอาจเรยี กเศรษฐกจิ พอเพียงใน
ชอ่ื อื่น ๆ เช่น
– เศรษฐกจิ พ้ืนฐาน
– เศรษฐกิจสมดุล
– เศรษฐกิจบูรณาการ
– เศรษฐกิจศลี ธรรม
และนแ่ี หละ คือเศรษฐกิจทางสายกลาง หรือเศรษฐกจิ แบบมชั ฌิมาปฏปิ ทา เพราะเชือ่ มโยงทุกเร่ืองเขา้ ด้วยกัน ท้ัง
เศรษฐกิจ จิตใจ สังคม วัฒนธรรม ส่งิ แวดล้อม
ความหมายของเศรษฐกจิ พอเพยี ง อาจมองได้เปน็ 2 ดา้ น คือ มองอยา่ งวตั ถุวสิ ัย และมองแบบจติ วสิ ัย
1. มองอย่างวัตถุวิสัย มองภายนอก คือ ตอ้ งมีกินมใี ช้ มีปจั จยั ส่เี พียงพอ ทีเ่ ราพดู วา่ พอสมควรกบั อัตภาพ ซึ่ง
ใกล้เคยี งกบั คําว่าพ่ึงตนเอง ไดใ้ นทุกเศรษฐกจิ
2. สว่ นความหมายดา้ นจิตวิสัย หรอื ดา้ นจติ ใจภายใน คือ คนจะมีความรสู้ ึกเพียงพอไม่เท่ากัน บางคนมีเป็นลา้ น
ก็ไม่พอ บางคนมีนิดเดียวก็พอ เป็นการเพียงพอทางจิตดังน้ัน คําว่า เศรษฐกจิ พอเพียง โดยนยั คือวถิ ชี วี ติ ทพี่ อเพียง
และสมดลุ ระหว่างคนกับคน และคนกับสิ่งแวดล้อม ทง้ั ทางกายภาพและจติ ภาพ โดยมติ ิผูกพนั ในสว่ นของบุคคล
พอเพยี งทางเศรษฐกิจ คือพอกนิ พอใจ อย่างมนั่ คง และพอเพยี งทางจิตพสิ ัยท้ังอุดมการณ์ โลกทศั น์ ค่านิยมและต่อ
สังคมมิติ ในสว่ นของสังคม คือ พ้ืนฐานทางสงั คมที่พอเพียงสมดลุ เข้มแข็ง ของชมุ ชน ทงั้ ทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดลอ้ ม
การบูรณาการและวฒั นธรรมหลักพิจารณาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง1. กรอบแนวคดิ เป็นปรัชญาทชี่ ้ีแนะแนวทางการ
ดํารงอย่แู ละปฏบิ ัติตนในทางที่ควรจะเปน็ โดยมีพ้นื ฐานมาจากวถิ ีชวี ิตด้ังเดมิ ของสังคมไทย สามารถนาํ มาประยุกตใ์ ช้ได้
ตลอดเวลา และเปน็ การมองโลกเชิงระบบท่ีมีการเปลย่ี นแปลงอยู่ตลอดเวลา มงุ่ เนน้ การรอดพ้นจากภัยและวกิ ฤตเพอื่
ความมั่นคงและความย่ังยืนของการพฒั นา
2. คุณลกั ษณะ เศรษฐกิจพอเพยี งสามารถนํามาประยุกต์ใช้กบั การปฏบิ ัตติ นไดใ้ นทุกระดับ โดยเนน้ การปฏิบัติ
บนทางสายกลาง และการพัฒนาอยา่ งเป็นขั้นตอน
3. คํานยิ าม ความพอเพยี ง จะต้องประกอบด้วย 3 คณุ ลักษณะพร้อม ๆ กัน ดังนี้
-ความพอประมาณ หมายถงึ ความพอดีท่ีไมน่ ้อยเกนิ ไป และไม่มากเกินไป โดยไมเ่ บยี ดเบียนตนเอง และ
ผู้อื่น เช่น การผลติ และการบริโภคทอ่ี ยใู่ นระดบั พอประมาณ
-ความมเี หตผุ ล หมายถงึ การตัดสินใจเก่ียวกับระดับความพอเพียงนน้ั จะตอ้ งเปน็ ไปอย่างมีเหตผุ ล โดย
พจิ ารณาจากเหตุปจั จยั ทเ่ี กย่ี วข้อง ตลอดจนคาํ นงึ ถงึ ผลทีค่ าดวา่ จะเกิดขนึ้ จากการกระทาํ น้ัน ๆ อยา่ งรอบคอบ
-การมีภูมคิ ุม้ กันทด่ี ีในตวั หมายถึง การเตรียมตวั ให้พร้อมรับผลกระทบ และการเปลี่ยนแปลงดา้ นต่าง ๆ ที่
จะเกิดขึ้นโดยคาํ นงึ ถงึ ความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ีคาดวา่ จะเกิดขึน้ ในอนาคตทง้ั ใกลแ้ ละไกล
4.เงื่อนไข การตดั สนิ ใจและการดําเนินกจิ กรรมตา่ ง ๆ ให้อย่ใู นระดบั พอเพียงน้นั ต้องอาศัยทง้ั ความรู้และ
คุณธรรมเปน็ พ้นื ฐาน กลา่ วคือ
-เงอ่ื นไขความรู้ ประกอบด้วยความรอบรูเ้ กย่ี วกบั วิชาการต่าง ๆ ทีเ่ กีย่ วข้องอยา่ งรอบด้าน ความรอบคอบท่จี ะนํา
ความร้เู หล่าน้นั มาพจิ ารณาให้เชือ่ มโยงกนั เพ่ือประกอบการวางแผน และมีความระมัดระวังในขัน้ ปฏิบัติ
-เงอ่ื นไขที่จะตอ้ งเสริมสร้าง ประกอบดว้ ยมีความตระหนักในคณุ ธรรม มคี วามซ่อื สัตย์สุจริต และมีความอดทน มี
ความเพยี รใช้สติปญั ญาในการดาํ เนินชวี ิต
5.แนวทางปฏบิ ัติ / ผลที่คาดวา่ จะได้รับ จากการนําปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งมาประยกุ ตใ์ ช้ คือ การพฒั นา
ทส่ี มดุลและยงั่ ยนื พรอ้ มรับต่อการเปลยี่ นแปลงในทุกด้าน ท้ังด้านเศรษฐกิจ สังคม ส่งิ แวดลอ้ ม ความรูแ้ ละเทคโนโลยี
ดังน้ัน คําว่า เศรษฐกจิ พอเพียง โดยนยั คอื วถิ ีชีวติ ที่พอเพียง และสมดุลระหวา่ งคนกบั คน และคนกับ
สงิ่ แวดล้อม ท้งั ทางกายภาพและจิตภาพ โดยมติ ิผกู พนั ในส่วนของบุคคล พอเพยี งทางเศรษฐกจิ คอื พอกนิ พอใจ อยา่ ง
มัน่ คง และพอเพียงทางจิตพสิ ัยทั้งอดุ มการณ์ โลกทัศน์ ค่านิยมและต่อสังคมมิติ ในส่วนของสงั คม คือ พน้ื ฐานทาง
สังคมที่พอเพียงสมดลุ เขม้ แข็ง ของชมุ ชน ทง้ั ทางเศรษฐกิจ สง่ิ แวดล้อม การบรู ณาการและวัฒนธรรม
การปรบั ตวั ของเศรษฐกจิ พอเพยี งภายใต้การปรับเปลีย่ นของสงั คมไทย
ปรากฏการณ์ทางสงั คม เป็นเรอ่ื งที่ซบั ซ้อนและเชื่อมโยงกนั ในหลายๆมิติ การจะบูรณาการ มโนทัศนต์ ่าง ๆ เพ่ือทาํ
ความเข้าใจปรากฏการณ์สังคมจงึ เปน็ สง่ิ สําคัญ เพอ่ื วเิ คราะหถ์ งึ โครงสรา้ งวัฒนธรรมซ่งึ เป็นวิถีชวี ิตท้ังหมดของมนุษย์
จึงจาํ เปน็ ต้องพจิ ารณา 3 องค์ประกอบไปพรอ้ มกนั คือ
1.ระบบการผลิต หรอื ระบบการทาํ มาหากนิ การต่อส้เู พ่อื ให้ชีวติ อยู่รอดของมนุษยท์ ําให้เกิดระบบการ
ผลติ เกิดการคดิ ค้นและพฒั นาเทคโนโลยีต่างๆซ่งึ ในสงั คมด้ังเดิมของมนุษย์อาศยั พึ่งพาธรรมชาตเิ ปน็ หลกั ทําใหค้ น
รู้จกั จัดการระบบความสัมพันธ์กบั ธรรมชาตโิ ดยสรา้ งความเชื่อต่างๆขนึ้ จนทําใหเ้ กิดเปน็ ระบบคุณคา่ เกิดการนับถอื
ศาสนาและพธิ กี รรมตา่ งๆ นอกจากน้นั การท่ีมนุษย์ได้อยรู่ ่วมกันเปน็ กลุ่ม จึงจาํ เป็นต้องจัดระบบความสมั พนั ธใ์ นการ
อยู่รว่ มกันนี้ให้เหมาะสม ทําใหเ้ กดิ จารีตประเพณี ระบบกฎเกณฑ์ และพิธีกรรมตา่ งๆเป็นแนวทางและบรรทดั ฐาน
ให้สมาชกิ ของชุมชนทง้ั รนุ่ ปัจจุบนั และรุน่ ตอ่ ไปได้ถือปฏบิ ัติ ระบบกฎเกณฑ์และประเพณีตา่ งๆจะถกู ถ่ายทอดโดยมี
การเปลยี่ นแปลงและพฒั นาเพ่ือให้สอดคล้องกับสภาพสิ่งแวดลอ้ มทเี่ ปล่ยี นแปลงไป จงึ ทําให้บางส่วนท่ีไม่เหมาะสม
กับสภาพส่ิงแวดล้อมใหม่ ต้องยกเลิกไปไม่มถี ือปฏิบัตกิ ันอีก
2.ระบบการอยู่รว่ มสัมพันธ์กัน เช่น ครอบครัว เครอื ญาตแิ ละชมุ ชนรวมท้ังความสมั พันธ์ระหว่าง
ชุมชน แนวคิดดงั กลา่ ว แสดงความเก่ียวพันและเช่อื มโยงระหวา่ งระบบความสัมพนั ธท์ างเศรษฐกจิ ระบบคุณคา่
และโลกทศั น์ กับความสัมพนั ธ์ทางสงั คมต่างๆ วา่ การเปลีย่ นแปลงประเทศไปสู่ความทันสมยั ตามแบบทนุ นยิ ม
การค้า ท่ีเนน้ ความเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกจิ พร้อมๆกบั การจดั ระเบียบสังคมใหม่ เพอ่ื ให้เอ้ือต่อความทนั สมัย
นน้ั แม้วา่ ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ คือ ความทันสมยั ทาํ ใหค้ ณุ ภาพชีวติ ส่วนหน่ึงของคนดีขน้ึ แต่ในขณะเดยี วกันในอีกด้านหน่งึ
กลับพบว่า การพัฒนาดา้ นวัตถแุ ละการจดั ระเบียบความสมั พนั ธท์ างสงั คมแบบใหมน่ ้ี ได้ทําลายสายสัมพันธท์ าง
สงั คมและวัฒนธรรมตั้งเดิมซงึ่ เปน็ รากฐานของความสุข ความมัน่ คง และความเข้มแข็งของชมุ ชนลง ผลกระทบ
สาํ คัญอีกประการหนึง่ ก็คือ ศักยภาพในการรกั ษาอํานาจเพ่ือตอบสนองความต้องการของตนเอง รวมท้ังการรกั ษาสม
ดุลยภาพระหวา่ งมนุษยก์ ับธรรมชาติ มนุษยก์ ับมนุษย์ และกายกบั จิตของมนษุ ย์ อันเป็นพื้นฐานของความสมั พันธ์ท่ี
จะทาํ ให้เกิดความพอเพียงตอ้ งถกู กระทบกระเทือน จงึ มีผลทําให้แตล่ ะชมุ ชนต้องพยายามหาหนทางเพ่ือปรบั ตวั ให้
สามารถดํารงอยไู่ ด้ แต่ด้วยความท่แี ตกตา่ งกัน อาทิ ลกั ษณะกายภาพ สภาพภมู ิศาสตร์ ทรพั ยากรของแตล่ ะ
ชมุ ชน ทําใหเ้ กิดการแสวงหาทางออกเพ่ือรักษาความพอเพียง ซง่ึ เปน็ ทางรอดของแต่ละชมุ ชน มรี ะดับลกั ษณะและ
รปู แบบทีแ่ ตกตา่ งกันออกไป เช่น บางชมุ ชนรักษาความพอเพียงไวด้ ว้ ยการสรา้ งระบบความสัมพันธ์ท่ีไม่พยายาม
พ่ึงพิงผ้อู นื่ โดยทาํ การผลติ เพ่ือผูบ้ ริโภคของตนเอง และใช้ทรัพยากรท่ีมีอย่ใู หม้ ากท่ีสดุ ไมเ่ น้นการผลิตแบบการคา้
หรือหากจะตอ้ งมีบา้ งก็สามารถสรา้ งระบบการจัดการท่เี อ้ือให้เกดิ การบรู ณาการแลกเปล่ียนสินคา้ รวมทง้ั กจิ กรรมทาง
เศรษฐกจิ อ่ืนๆใหด้ าํ รงอยใู่ นบรบิ ทเดยี วกัน หรือในบางชมุ ชนกเ็ ลือกวิธกี ารอยรู่ อด โดยการผนวกตนเองเขา้ ไปกบั ระบบ
เศรษฐกิจทุนนิยมการคา้ ด้วยการสร้างกระบวนการจัดระเบียบสังคมใหม่ ท่ีเอื้อใหเ้ กดิ ความเป็นประชาสงั คม (Civil
Society) เพือ่ รักษาความเปน็ ศักยภาพแห่งความพอเพียง และอาํ นาจต่อรองกับเศรษฐกจิ ภายนอก ไมว่ า่ จะเปน็ การ
สร้างความสัมพันธ์ทางสงั คม ทีอ่ ย่บู นพ้นื ฐานของความไวว้ างใจต่อกัน ซงึ่ ถือว่า เปน็ ทนุ ทางสังคมท่สี าํ คัญ สามารถชว่ ย
ใหช้ มุ ชนรวมกลุ่มกนั เพ่ือการจัดการปญั หาตา่ งๆ รวมทงั้ กําหนดแนวทางการพัฒนาของตนเอง อันเปน็ เงือ่ นไขสาํ คัญ
ของการดํารงอยู่ของเศรษฐกิจพอเพยี ง
3. ระบบความเช่ือ อนั ประกอบดว้ ย ระบบคณุ ค่าทางวฒั นธรรม ความไวว้ างใจทางสงั คมนเ้ี กิดขนึ้ ไดโ้ ดย
เงื่อนไขสําคญั 2 ประการ คอื ประการแรก ด้วยการสร้างบรรทัดฐานแบบพึ่งพาอาศัยกันที่ตั้งอยูบ่ นพนื้ ฐานและ
กฎเกณฑ์กติกาของความสัมพันธแ์ บบเท่าเทยี มกนั ขน้ึ มา พร้อมท้งั พฒั นากระบวนการบงั คับทางสังคมและการขัดเกลา
ทางสังคม เพ่อื ให้บรรทัดฐานดังกลา่ วเปน็ ทีย่ อมรบั อย่างกว้างขวางและย่ังยืน ประการท่สี อง การสร้างเครือข่ายทีท่ ําให้
บคุ คลมาสัมพันธ์กันในเรื่องเก่ียวกับชมุ ชน เช่น การพฒั นาความสัมพันธแ์ บบวสิ าสะ (Association) และ
ความสมั พันธแ์ บบแนวราบ (Cooperation) เพื่อใหส้ มาชิกไดส้ ร้างนสิ ัยของความร่วมมือกัน ทาํ ให้สามารถผลกึ กําลัง
กันดาํ เนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้ รวมทง้ั ปลกู ฝงั ใหเ้ กดิ จิตสํานึกสาธารณะและความไว้วางใจกัน จนในท่สี ดุ สามารถพัฒนา
ไปสูค่ วามเป็นชมุ ชน แบบประชาสงั คม (Civic Community) ซงึ่ มีศักยภาพตอบสนองความตอ้ งการของตนเองไดเ้ ป็น
อย่างดี และทาํ ใหส้ ามารถสรา้ งระบบการจัดการในการรักษาความพอเพียงของตนเองไวไ้ ด้ ไมว่ า่ จะเป็นการเปลี่ยน
บริบทแวดลอ้ มไปอย่างไร ทําใหเ้ กดิ เป็นคุณคา่ ทางความเช่อื รว่ มกัน จนนําไปส่รู ะบบคุณค่าทางวัฒนธรรมอื่นๆตามมา
องค์ประกอบทัง้ สามสว่ นมคี วามสมั พันธ์กันอย่างใกลช้ ิด เม่ือเกดิ การเปลยี่ นแปลงขนึ้ ในระบบใดระบบหนง่ึ ก็จะสง่ ผล
ต่อเนื่องทําใหเ้ กดิ การเปลีย่ นแปลงขึน้ ในระบบอืน่ ๆดว้ ย ซึ่งในทส่ี ุดก็จะทาํ ให้โครงสรา้ งสงั คมหรือวฒั นธรรมท้งั หมด
เปล่ยี นแปลงเปน็ พลวตั และมีความหลากหลายไม่คงที่
สรปุ ได้ว่า เง่ือนไขสาํ คัญของการดาํ รงอยขู่ องเศรษฐกจิ พอเพียงภายใตบ้ รบิ ททเ่ี ปล่ยี นแปลงไปสูค่ วามทันสมยั
และความสัมพันธท์ างการผลิตแบบทนุ นิยมการค้า ก็คือ ศักยภาพของชมุ ชนในการจัดระเบยี บทางสงั คมใหม่ทีม่ ผี ลต่อ
การเปล่ยี นแปลงโลกทศั น์ ระบบคณุ คา่ และบรรทัดฐานที่ทําให้ชุมชนสามารถสร้างศักยภาพในการปรับตัวอยา่ งมี
อาํ นาจต่อรองและดาํ รงความสามารถในการตอบสนองความต้องการของตนเองไว้ได้ ท่ามกลางบรบิ ทท่ีเปลยี่ นแปลง
ไปน่ันเอง
เศรษฐกจิ พอเพยี งท้ังสว่ นบุคคลและสงั คม สามารถนาํ มารวมประสานใหเ้ กิดความเข้มแข็งเป็นรปู ธรรมจาก
การปรบั วถิ ีทางวฒั นธรรมท่ีมีอยใู่ นลกั ษณะภูมิปญั ญาท้ังทางกายภาพดา้ นวัตถพุ สิ ยั และจิตภาพดา้ นจิตพสิ ยั ให้เกิด
ความเหมาะสม เพ่ือใหบ้ ุคคลและสงั คมดาํ รงอยู่อยา่ งสันติสุข ตามเอกกัตบุคคลและสงั คมอยา่ งมนั่ คง รวมขึ้นเป็น
วฒั นธรรมพอเพยี ง เป็นชวี ิตทพี่ อเพยี ง โดยมีแนวคดิ ดังน้ี
1. ชวี ิตท่ีพอเพยี ง หมายถงึ ชีวิตทีเ่ พยี งพอแลว้ โดยสามารถใช้พลังแหง่ ความทะเยอทะยานนาํ พา โดยไม่เกิน
ขดี ความสามารถทจ่ี ะไปถงึ มิฉะน้ันจะพบความหายนะ
2. ชวี ิตทพ่ี อเพียง ไม่ใช่ชีวติ ทส่ี นั โดษ ไรค้ วามฝัน แต่คือใฝุฝันตามศกั ยภาพ ไมใ่ ชเ่ พ้อฝันโดยการกา้ วไปอยา่ งมสี ติ
3. ชีวิตท่พี อเพียง จะเปน็ ตวั กําหนดวถิ ีชวี ติ และวิถสี ังคม ให้อย่อู ย่างสง่างาม
4. ชีวิตท่ีพอเพยี ง คือชวี ติ ที่พอประมาณ มเี หตุมีผล ในการสรา้ งภูมคิ ้มุ กนั ท่ดี ีในตัวเอง การใชค้ วามรอู้ ยา่ ง
รอบคอบ และมีคุณธรรม ในการดาํ เนนิ งานทุกขนั้ ตอน
5. ชวี ิตทพ่ี อเพยี ง คือชีวิตทส่ี ํานกึ ในคุณธรรม จรยิ ธรรม มีความเพยี รพยายาม มสี ติปญั ญา ความรอบรแู้ ละ
รอบคอบให้ พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมท้งั ทางด้านวัตถแุ ละจิตใจ
6. ชีวติ ทพ่ี อเพยี ง จะไม่ก่อใหเ้ กิดการละเมดิ บรรทดั ฐานจารตี ประเพณีและวัฒนธรรมอนั ดีงามของไทย
7. ชีวติ ทพ่ี อเพยี ง จะไม่ก่อใหเ้ กดิ การเบียดเบยี น เอารดั เอาเปรียบต่อกันในสงั คม ให้เกิดความเดอื ดร้อน
8. ชีวติ ทพี่ อเพยี ง จะมีความพอเพียงทัง้ ทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม
9. โลกวุ่นวายหนอ ขดั ขอ้ งหนอ เพราะคนไมม่ ีคติบนความพอเพียง หากรจู้ กั พอเพยี ง จะพบหนทางแห่ง
ความสุขสงบ
จากแนวคดิ ด้านเศรษฐกจิ พอเพียง ดังกลา่ ว เป็นแนวคดิ ที่ยึดทางสายกลางหรือความพอดี ในการพึ่งพาตนเอง
2ระดบั คือ
1.ระดบั บคุ คล คือ ความสามารถในการดํารงชีวติ ได้อย่างไมเ่ ดือดร้อน มคี วามเป็นอยู่อย่างประมาณตนตาม
ฐานะ ตามอัตภาพ และท่สี ําคัญ ไมห่ ลงใหลไปตามกระแสของวตั ถุนยิ ม มีอสิ ระเสรีภาพไม่พนั ธนาการอยู่กับสงิ่ ใด
2.ระดับสงั คม คอื ความสามารถของชุมชน สังคม ประเทศในการผลิต และบริการ เพอื่ ให้สังคมอย่รู อดอยูไ่ ด้
โดยการพง่ึ ตนเอง
ขอบเขตเศรษฐกจิ พอเพยี ง
ทางสายกลางหรือความพอดีหรือความพอเพียง อันจะนําไปสูเ่ ศรษฐกจิ พอเพียงที่ระดบั บุคคล และสงั คม มีขอบเขต
หลักในการปฏิบตั ใิ ห้สามารถพึ่งตนเองได้ 5 ประการ คอื
1.ดา้ นจติ ใจ
1.1 มจี ติ ใจเขม้ แข็ง สามารถพ่ึงตนเองได้
1.2 มีจติ สํานึกท่ดี ี
1.3 มีความคิดเชงิ สร้างสรรค์แก่ตนเองและสังคม
1.4 มจี ิตใจเอ้ืออาทร ประนีประนอม
1.5 เหน็ แกป่ ระโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตงั้
2. ด้านสังคม
2.1 มคี วามช่วยเหลือเก้ือกลู กัน
2.2 มีความสามัคคี
2.3 มคี วามเชอื่ มโยงเปน็ เครอื ขา่ ยทเ่ี ข้มแข็ง
2.4 มคี วามเป็นอิสระในการคิดการดําเนนิ การ
3. ดา้ นเศรษฐกจิ
3.1 ลดรายจา่ ย เพมิ่ รายได้
3.2 ยดึ หลักพออยู่พอกิน พอใช้
3.3 มีการวางแผนอย่างรอบคอบในดา้ นการใช้จา่ ย
3.4 มคี วามร้คู วามสามารถในการจดั การทรัพย์สินท่ีมีอยู่
3.5 มภี มู ิคุ้มกนั ในความเสยี่ ง
3.6 มแี ผนสาํ รองเปน็ ทางเลอื ก
4. ด้านเทคโนโลยี
4.1 มีภูมิปัญญาพ้ืนฐานในการแยกแยะสงั คมทีด่ ี ไม่ดี ควรไม่ควร
4.2 รู้จกั เลอื กใช้ในสิ่งทเ่ี หมาะสมกับความต้องการ
4.3 รจู้ ักปรบั ปรงุ ใหเ้ หมาะสมกับสภาพแวดลอ้ มและความเปน็ จรงิ
4.4 มีการพฒั นาภมู ิปัญญาของตนเองให้กา้ วหน้า
5. ดา้ นทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม
5.1 รู้จกั ใชเ้ ทคโนโลยีอยา่ งชาญฉลาด สอดคล้องกับบรบิ ททางธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ ม
5.2 พยายามหาวชิ าการในการเพมิ่ มูลค่าจากภมู ปิ ัญญาที่มีอยู่
5.3 สามารถอยู่ในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีความสขุ
5.4 รจู้ ักรกั ษาพัฒนาและใชป้ ระโยชนไ์ ด้อยา่ งเหมาะสม คุม้ ค่ากบั คนหมู่มาก
5.5 ยดึ หลกั ความเข้มแข็งและยัง่ ยนื
จดุ ม่งุ หมายของระบบเศรษฐกิจพอเพยี ง
เศรษฐกจิ พอเพียงตามแนวพระราชดาํ ริ มีจุดมงุ่ หมาย ดงั น้ี
1. สามารถพ่งึ ตนเองได้
2. ให้พ้นจากความยากจน
3. ใหพ้ อมีพอกิน และมีสมั มาอาชพี
4. ใหม้ ีชวี ติ ท่เี รียบงา่ ย ประหยัด ไมฟ่ ุูงเฟูอฟุมเฟือย
5. ใหย้ ึดถือทางสายกลาง ร้จู ักพอ พอดี และพอใจ
ฐานความคิดการพฒั นาเพื่อความพอเพยี ง
ฐานความคิด การพัฒนาเพื่อความพอเพียงควรมีหลักการ ดังนี้
1. ยึดแนวพระราชดาํ ริในการพฒั นา “เศรษฐกิจพอเพียง” ตามข้ันตอน “ทฤษฎใี หม่”
2. สร้าง “พลังงานทางสังคม” โดยการประสาน “พลงั สรา้ งสรรค์” ของทุกฝาุ ยในลักษณะ “พหุภาคี” อาทิ
ภาครัฐ องค์กรพฒั นาเอกชน นกั วชิ าการ ธรุ กจิ เอกชน ส่อื มวลชน ฯลฯ เพ่อื ใชข้ ับเคลอ่ื นกระบวนการพัฒนา
ธรุ กจิ ชมุ ชน
3. ยดึ “พืน้ ท่ี” เปน็ หลัก และใช้ “องค์กรชมุ ชน” เปน็ ศนู ย์กลางการพัฒนา สว่ นภาคีอืน่ ๆ ทาํ หน้าท่ีช่วย
กระตนุ้ อาํ นวยความสะดวกส่งเสรมิ สนับสนุน
4. ใช้ “กิจกรรม” ของชุมชนเปน็ “เครอ่ื งมอื ” สรา้ ง “การเรยี นรู้” และ “การจดั การ” ร่วมกนั
พร้อมทง้ั พฒั นา “อาชพี ทหี่ ลากหลาย” เพื่อเป็น “ทางเลือก” ของคนในชุมชน ซง่ึ มีความแตกต่างทั้งดา้ น
เพศ วยั การศึกษา ความถนดั ฐานะเศรษฐกจิ ฯลฯ
5. สง่ เสริม “การรวมกลุม่ ” และ “การสรา้ งเครอื ขา่ ย” องคก์ รชุมชนเพ่ือสร้าง “คณุ ธรรม
จรยิ ธรรม” และ “การเรยี นร้ทู ีม่ คี ณุ ภาพ” อย่างรอบด้าน อาทิ การศึกษา สาธารณสุข การฟืน้ ฟู
วัฒนธรรม การจดั การส่ิงแวดล้อม ฯลฯ
6. วจิ ยั และพัฒนา “ธุรกจิ ชุมชนครบวงจร” (ผลติ – แปรรปู – ขาย – บรโิ ภค) โดยใหค้ วามสําคญั ตอ่ “การมี
สว่ นร่วม” ของคนในชุมชน และ “ฐานทรพั ยากรของท้องถ่ิน” ควรเรม่ิ พัฒนาจากวงจรธุรกจิ ขนาดเล็กใน
ระดบั ท้องถ่นิ ไปส่วู งจรธุรกจิ ทใี่ หญ่ข้ึนระดับประเทศ และระดบั ตา่ งประเทศ
7. พฒั นาเศรษฐกิจชมุ ชนท่ีมี “ศักยภาพสงู ” ของแตล่ ะเครือขา่ ย ใหเ้ ป็น “ศูนย์การเรยี นรูธ้ ุรกจิ ชมุ ชน” ท่ีมี
ขอ้ มลู ข่าวสารธรุ กจิ นั้น ๆ อย่างครบวงจร พรอ้ มท้ังใช้เป็นสถานท่ีสําหรบั ศึกษา ดงู าน และฝกึ อบรม
การประยุกตใ์ ชร้ ะบบเศรษฐกิจพอเพียงต่อการดําเนนิ ชีวติ
การประยุกต์ใชป้ รัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งในการดําเนนิ ชวี ติ เพ่ือนาํ ไปสคู่ วามสามารถในการพ่ึงพาตนเองได้ สามารถอยู่
ในสงั คมอยา่ งมีความสุขตามอัตภาพ ควรพิจารณาดังนี้
1. โดยพื้นฐานกค็ ือ การพึ่งตนเอง เปน็ หลักทําอะไรอย่างเป็นขน้ั เป็นตอน รอบคอบ ระมัดระวัง
2. พจิ ารณาถงึ ความพอดี พอเหมาะ พอควร
3. การสร้างสามคั คีให้เกดิ ข้นึ บนพนื้ ฐานของความสมดุลในแต่ละสัดส่วนแตล่ ะระดบั
4. ครอบคลุมท้ังทางด้านจติ ใจ สังคม เทคโนโลยี ทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม รวมถึงเศรษฐกจิ
ผลกระทบท่ีเกดิ ขึ้นและการกลับไปใช้หรอื สรา้ งวาทกรรมแบบใหมข่ ึน้ มาเพื่อแกไ้ ขปัญหานัน้ ทางออกสาํ คัญเพ่ือ
แกป้ ญั หาจะต้องเริ่มตน้ ด้วยการตัดวงจรแห่งการพ่งึ พิงท่เี กิดจากความไมเ่ สมอภาคกัน โดยการสร้างอํานาจต่อรองให้
เพ่ิมขึน้ เพราะตราบเท่าทส่ี ังคมไทยยังคงมีความสัมพนั ธ์ ในลักษณะการพง่ึ พงิ อยู่ ไม่วา่ จะเปน็ การพ่งึ พงิ ต่อสงั คมโลก
หรอื การพึง่ พิงของชนบทท่ีมตี ่อภาคสังคมเมือง อาํ นาจตอ่ รองจะไม่เกิดข้นึ และยงิ่ มโี อกาสเป็นไปได้น้อย ที่
ประชาชนเหล่านี้ จะกําหนดทางเลอื ก การพัฒนาด้วยตนเอง แม้แต่ประเทศไทย ในภาพรวมก็ตาม ทผี่ า่ นมา
การกา้ วเขา้ สสู่ งั คมทนั สมัย ไปพร้อมกับการปรับตัวในโลกยุคโลกาภวิ ัฒน์ มผี ลทําใหก้ ารพง่ึ พิงกระจายลงไปสู่ทุกภาค
ส่วน อาทิ ทางเศรษฐกิจ สงั คม และการเมอื งอยา่ งแน่นแฟูนนั้นคอื ประชาชนพ่งึ พิงรัฐ ขณะทีร่ ัฐในฐานะสังคม
ส่วนหนึง่ ของโลก กจ็ ําต้องพง่ึ พิงตลาด เทคโนโลยี องค์ความรู้ และอิทธิพลของประเทศท่ีเหนือกว่าอย่างหลีกเลย่ี ง
ไม่ได้ สง่ิ เหล่าน้ีคือคาํ อธิบายว่า เพราะเหตุใดสังคมไทยซึ่งดูเหมอื นว่ามีความทนั สมัยอย่างเตม็ ที่ แต่ในขณะเดียวกนั ก็
กลับสญู เสยี อํานาจและอิสระในการตดั สินใจ กําหนดทางเลือกการพฒั นา สญู เสยี อํานาจ ในการดําเนินชวี ิต รวมท้งั
สญู เสีย ความสามารถ ในการสนองตอบตอ่ ความต้องการ และ การแก้ไขปัญหาของตนเองตลอดเวลาที่ผ่านมา
ประเทศตะวนั ตก ได้ใชอ้ ํานาจครอบงาํ โดยผา่ นกระบวนการวาทกรรมทําให้เกดิ อดุ มคติ ( Ideal – type)
ของการพฒั นาด้วยวิธีการสรา้ ง ( Construct ) แบบจําลองปรากฏการณ์ทางสังคมผา่ นการเชอื่ มโยงมโนทัศน์
ต่างๆ เพ่ือให้เกิดความทันสมัยข้นึ ในสังคมไทย โดยแบบ อุดมคตกิ ารพฒั นาทส่ี ร้างขึน้ แบ่งเปน็ สองขั้วที่แตกต่าง
กนั อันได้แก่สงั คมทันสมัยท่พี ัฒนาแลว้ กบั สงั คมล้าสมัยท่ีด้อยพัฒนา ท้ังนเ้ี พื่อผลักดนั ให้สังคมไทยเหน็
ความสําคัญ เห็นความจําเปน็ และประโยชน์จาการเปลยี่ นแปลง ไปส่คู วามเป็นประเทศทที่ ันสมัยอย่างเตม็ ท่ี
กระบวนการ การตดั วงจรแห่งการพึ่งพงิ ทางเศรษฐกิจพอเพยี ง จะมลี ักษณะและวิธีการท่คี ล้ายคลงึ กันกบั การ
สร้างวาทกรรม ความทนั สมัย ดังทไี่ ด้กลา่ วมา ไม่วา่ จะเป็นการสร้างวาทกรรมที่แบง่ อุดมคติออกเปน็ 2 ดา้ นด้วยกนั
คอื
1. แบบอดุ มคติแหง่ การพ่งึ พิง ( Dependent ideal –Type ) ทปี่ รากฏอย่ใู นรปู ของความเชื่อมโยงและ
ครอบงาํ เศรษฐกจิ การเมืองและวฒั นธรรมกบั ระบบโลก
2. แบบอุดมคติแบบความพอเพยี ง ( Sufficiency Ideal-Type) ซง่ึ ประกอบด้วยมโนทศั น์ตา่ งๆเช่น ความ
เขม้ แข็งของชมุ ชนและความเป็น ประชาสงั คม ( Civil Society ) อันมนี ัยของอาํ นาจที่มีอิสระในการตอบสนองและ
แกป้ ัญหาต่างๆ ด้วยตนเอง รวมทัง้ ศกั ยภาพ ในการจดั การปญั หาต่างๆรว่ มกันของชมุ ชน ตลอดจนรวมไปถึงมโนทัศน์
อ่ืนๆ ทท่ี ําให้คนและสงั คมสามารถพึ่งตนเองได้ สามารถดําเนนิ ชีวติ ไดอ้ ยา่ งมีศักดิ์ศรี ภายใตอ้ ํานาจและความมีอสิ ระ
ในการกําหนดแนวทางในการดาํ เนนิ ชวี ติ ทร่ี วมเรยี กว่า เศรษฐกิจพอเพียง ( Self-sufficiency )เพ่ือจุดประสงค์
สูงสุด คือ ความมัน่ คงและย่ังยนื ของท้ังสว่ นบุคคลและสังคม นาํ ไปสสู่ งั คมที่เขม้ แขง็ และพงึ ประสงค์ คือ
1. สังคมคณุ ภาพ ยึดหลกั ความสมดลุ ความพอดี สรา้ งทุกคนเป็นคนดี คนเก่ง
2. สงั คมแห่งภูมปิ ญั ญาและการเรยี นรู้ ใหค้ ิดเป็นทาํ เปน็ แก้ปัญหาเปน็ มเี หตผุ ล และสร้างสรรค์
3. สังคมสมานฉนั ท์และเออ้ื อาทรตอ่ กัน ร้รู ักสามัคคี
4. สังคมสมดลุ คน + สงั คม + ธรรมชาติ (สงิ่ แวดลอ้ ม)
ในยคุ สงั คมประเพณี (ยุคอดีต) เม่ือชุมชนยงั คงมีอาํ นาจในการควบคมุ ดแู ลจดั การทรัพยากรตา่ งๆของตนเอง อํานาจ
ดงั กลา่ วมักเป็นรากฐานของการนาํ ระบบความรู้ทีส่ ัง่ สมกนั มา หรือที่เรยี กวา่ ภูมปิ ญั ญาของชุมชน จัดสร้างและ
พัฒนาระบบการจดั การทมี่ ีประสทิ ธภิ าพเหล่านป้ี รากฏอยูใ่ นรูปของระบบ บรรทดั ฐาน ไมว่ า่ จะเปน็ จารตี
ประเพณี วฒั นธรรม ความเช่ือ และพิธกี รรม อันเปน็ ผลเช่อื มโยงจากอทิ ธิพลของโลกทศั นแ์ ละระบบคุณคา่ ของ
ชุมชนและโดยเหตทุ ี่อํานาจยังคงดํารงอย่อู ยา่ งเต็มทชี่ ุมชนจึงสามารถใช้อํานาจท่มี ีอยู่นน้ั ควบคมุ ดูแลใหร้ ะบบความรู้
และระบบการจดั การเหล่าน้ี สามารถผลติ ํซ้าใหเ้ กดิ ขึ้นในสมาชกิ รุน่ ต่อไป โดยผา่ นกระบวนการขดั เกลาทางสังคมและ
กระบวนการเรยี นรตู้ ่างๆซึ่งสอดคล้องกลมกลืนกบั วถิ ีชวี ติ ของชุมชน
เมอื่ ประเทศเปลี่ยนวิถที างการพัฒนาอยา่ งตะวันตก ทําใหเ้ กดิ การเปลีย่ นแปลงตา่ งๆมากมาย ท้ังทางดา้ นทาง
สงั คม ทุกอย่างดูทนั สมัยและสะดวกสบายย่งิ ข้ึน เช่น การมีถนนตดั ผา่ นเข้าสูห่ มบู่ ้าน การมีสาธารณูปโภคทีด่ ี การ
แทรกแซงเพ่ือชว่ ยเหลือจากภาครฐั รวมทง้ั ระบบทนุ นยิ มการคา้ ทาํ ให้เกิดการเปลยี่ นโครงสร้าง สังคมหลายด้านดั้งนัน้
อาํ นาจการจัดการของชุมชนที่เคยอยู่ในสภาพสมดลุ จึงถูกกระทบกระเทือน ผลตามมาคือบรรทดั ฐานที่เคยมีบทบาท
ในการกําหนดและควบคมุ กิจกรรมทางเศรษฐกจิ ใหเ้ กดิ ความพอเพยี งถกู ลมื เลือนและถกู ทาํ ลายด้วยกลไกลเศรษฐกจิ
การตลาดทีจ่ ําเปน็ ต้องกําหนดประเภทการผลติ ท้ังท่บี างครั้งชมุ ชนเหลา่ น้นั ไมม่ ีองค์ความรู้ นน่ั คอื วถิ แี หง่ อตุ สาหกรรม
แนวทางแก้ไขปัญหาก็คือ จําต้องจดั ระเบียบและสร้างสาํ นึกในประชาสังคม อันจะนําไปสู่การเปลยี่ นแปลง
กระบวนทศั น์ ( paradigm shift ) สร้างบรรทัดฐานแบบพึ่งพาอาศัยกัน( norms of reciprocal ) การสร้าง
เครอื ข่ายที่ทําให้บุคคลมาสัมพันธใ์ นเร่ืองเกยี่ วกบั ชมุ ชน ( Networks of civic engement ) หรือการสร้าง
จิตสํานึกสาธารณะขน้ึ มาทดแทนความสัมพนั ธแ์ บบพ่ึงพาในระบบเครือญาติของสังคมประเพณที ่ีมีบทบาทน้อยลงซง่ึ
สามารถพบเหน็ ไดจ้ ากวิวัฒนาการในการตอ่ สู้ เพื่อให้ไดม้ าซง้ึ ความพอเพียงอันมมี าตลอดในประวัตศิ าสตรช์ าติไทย ใน
ปัจจุบนั ก็คือ การรวมตวั กันในกลุ่มคณะกรรมการปุาชมุ ชน กลุม่ เกษตรนเิ วศ กลุ่มทอผ้า กลุ่มธนาคารข้าว รวมท้งั
กลมุ่ ออมทรัพยภ์ ายใต้ระบบการจดั การรูปแบบใหมท่ ่ีเกิดจากความรว่ มมือระหวา่ งหนว่ ยงาน
ภาครฐั สถาบนั การศึกษา องค์กรพฒั นาเอกชน หรือแม้กระทงั้ องค์กรระหว่างประเทศเพอ่ื สร้างศักยภาพในการ
ปรับตวั โดยระดมหลากหลายทรัพยากรไม่ว่าจะเป็นความรู้ ทุน เทคโนโลยจี ากแหลง่ ต่างๆนาํ มาสร้างกระบวนการ
เรียนรูใ้ หม่รว่ มกนั ของชุมชน ท่มี ิได้ตัดตอนจากภูมปิ ัญญาด้ังเดมิ แต่กลับได้นาํ ความรู้สมัยใหม่มาบรู ณาการกันได้อยา่ ง
เหมาะสม ปจั จยั เหล่าน้ีเปน็ เงื่อนไขสําคัญท่ีทาํ ใหเ้ ศรษฐกจิ พอเพียงยังคงสามารถดาํ รงอย่ใู นชุมชนทา่ มกลางการ
เปลยี่ นแปลงของบริบทแวดล้อมไดอ้ ยา่ งยง่ั ยืนตลอดมาการตอ่ สู้ เพื่อใหช้ วี ติ อยูร่ อดของมนษุ ย์ ทําใหเ้ กิดระบบการผลติ
เกิดการคดิ คน้ และพัฒนาเทคโนโลยตี ่างๆ ซ้งึ ในสังคมดง้ั เดิมของมนษุ ย์จะอาศัยพง่ึ พาธรรมชาตเิ ป็นหลกั ทําให้คนร้จู ัก
จัดการระบบความสมั พันธก์ บั ธรรมชาติ โดยสร้างความเช่ือต่างๆข้ึนจนทําให้เกิดเปน็ ระบบคุณคา่ เกิดการนับถือศาสนา
และพิธกี รรมต่างๆ นอกจากนั้นการท่ีมนุษยไ์ ด้อยู่ร่วมกนั เป็นกลมุ่ จงึ จาํ เป็นต้องจัดระบบความสัมพันธใ์ นการอยรู่ ่วมกัน
นใ้ี หเ้ หมาะสม ทาํ ให้เกิดจารตี ประเพณี ระบบกฎเกณฑแ์ ละพธิ กี รรมตา่ งๆเป็นแนวทางและบรรทัดฐานให้สมาชิกของ
ชุมชนทง้ั รุน่ ปจั จุบันและต่อไปถอื ปฏบิ ัติ ระบบกฎเกณฑ์ และประเพณตี ่างๆจะถูกถา่ ยทอด โดยมีการเปลีย่ นแปลง และ
พฒั นา เพ่ือใหส้ อดคล้องกับ สภาพส่ิงแวดล้อมท่เี ปลย่ี นแปลงไป จึงทาํ ให้ บางส่วนท่ีเหมาะสมกบั สภาพสิ่งแวดล้อมใหม่
ตอ้ งยกเลิกไปไม่มีการถอื ปฏบิ ัติกนั อีกแนวคดิ ดังกลา่ ว แสดงความเกย่ี วพนั และเชือ่ มโยง ระหวา่ ง ระบบความสัมพนั ธ์
ทางเศรษฐกิจ ระบบคณุ คา่ และโลกทศั น์กับความสมั พันธ์ทางสงั คมตา่ งๆ วา่ การเปลยี่ นแปลงประเทศไปสคู่ วามทนั สมัย
ตามแบบทนุ นยิ มการคา้ ทเ่ี น้นความเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกจิ พร้อมๆกบั การจดั ระเบยี บสงั คมใหม่ เพอ่ื ให้เอื้อต่อความ
ทันสมัยนั้น
แม้วา่ ผลทีเ่ กิดขึ้น คือ ความทันสมยั ทาํ ให้คณุ ภาพชีวติ ส่วนหนงึ่ ของคนดขี น้ึ แต่ในขณะเดียวกัน ในอีกด้านหน่ึงกลบั
พบว่าการพัฒนาด้านวัตถแุ ละการจัดระเบียบความสมั พนั ธท์ างสงั คมแบบใหม่น้ี ได้ทาํ ลายสายสมั พันธท์ างสังคม
และวัฒนธรรมดั้งเดิม ซง่ึ เปน็ รากฐานของความสุข ความม่ันคงและความเข้มแข็งของชุมชนลง ผลกระทบสาํ คญั อกี
ประการหน่ึงก็ คือ ศักยภาพในการรกั ษาอํานาจ เพ่อื ตอบสนองความต้องการของตนเองรวมท้งั การรักษาสมดลุ ย
ภาพ ระหวา่ งมนุษย์กับธรรมชาติ มนุษย์กับมนษุ ย์ และ กายกับจิตของมนุษย์ อนั เป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์
ทจ่ี ะทาํ ให้เกิดความพอเพียงต้องถูกกระทบกระเทือน จึงมผี ลทาํ ให้ แตล่ ะชุมชนต้องพยามหาหนทางเพ่อื ปรับตวั ให้
สามารถดาํ รงอยไู่ ด้แตด่ ว้ ยความแตกต่างกัน อาทิ ลักษณะทางกายภาพ สภาพภมู ิศาสตร์ ทรพั ยากรของแต่ละ
ชุมชน ทาํ ใหเ้ กดิ การแสวงหาทางออกเพ่ือรกั ษาความพอเพียงซ่งึ เปน็ ทางรอดของแตล่ ะชุมชน มีระดับลักษณะและ
รูปแบบที่แตกต่างกันออกไป เช่น บางชมุ ชนรักษาความพอเพยี งไวด้ ว้ ยการสรา้ งระบบ ความสัมพันธท์ ่ีไม่พยามพึง่ พงิ
ผอู้ ืน่ โดยทําการผลติ เพื่อผู้บริโภคของตนเองและใชท้ รัพยากรทมี่ ีอยู่ใหม้ ากทีส่ ุด ไม่เนน้ การผลิตแบบการคา้ หรือ
หากจะต้องมบี ้าก็สามารถสร้างระบบการจัดการทเ่ี อ้ือให้เกิดการบูรณาการ แลกเปล่ียนสินค้า รวมท้ังกจิ กรรมทาง
เศรษฐกจิ อืน่ ๆ ให้ดาํ รงอยูใ่ นบริบทเดยี วกัน หรือในบางชุมชนก็เลอื กวธิ ีการอยูร่ อดโดยการผนวกตนเองเข้าไปกับ
ระบบเศรษฐกจิ ทนุ นิยมการค้า ด้วยการสร้างกระบวนการจัดระเบียบทางสังคมใหมท่ ีเ่ อื้อให้เกิด ความเปน็ ประชา
สังคม ( Civil Society) เพอ่ื รักษาความเป็นศักยภาพแหง่ ความพอเพียงและอํานาจตอ่ รองกบั เศรษฐกิจภายนอก
ไว้ ไม่วา่ จะเป็นการสรา้ งความสัมพันธ์ทางสังคมท่ีอย่บู นพ้ืนฐานของความเอื้อเฟอื้ เผื่อแผ่มคี วามรบั ผิดชอบต่อ
สว่ นรวมหรอื การพ่ึงพาอาศัยกันอย่างเทา่ เทียมบนพื้นฐานของความไวว้ างใจต่อกัน (Social trust ) ซง่ึ ถือว่าเปน็ ทนุ
ทางสังคม Social Capital) ที่สาํ คญั สามารถช่วยใหช้ ุมชนสามารถรวมกลุ่มกนั เพื่อการจัดการปญั หาตา่ งๆรวมทัง้
กาํ หนดแนวทางการพฒั นาของตนเองอนั เป็นเงื่อนไขสาํ คญั ของการดาํ รงอย่ขู องเศรษฐกิจพอเพียง ความไว้วางใจทาง
สังคมนเี้ กิดขน้ึ ได้โดยเง่ือนไขสําคัญ 2 ประการ คือประการแรก ดว้ ยการสรา้ งบรรทดั ฐานแบบพงึ่ พาอาศยั กันท่ี
ต้งั อย่บู นพนื้ ฐานและกฎเกณฑก์ ติกาของความสัมพันธ์แบบเท่าเทียมกนั ขึ้นมา พร้อมทั้งพัฒนากระบวนการบังคบั
ทางสังคมและการขัดเกลาทางสังคม เพ่ือให้บรรทัดฐานดงั กล่าวเปน็ ท่ียอมรับอยา่ งกวา้ งขวางและยง้ั ยืน ประการที่
สอง การสร้างเครือข่ายทีท่ าํ ให้บคุ คลมาสัมพันธก์ นั ในเรื่องเกยี่ วกับชมุ ชน เชน่ การพฒั นาความสมั พันธแ์ บบ
วสิ าสะ ( Association) และความสมั พนั ธแ์ บบแนวราบ เพื่อใหส้ มาชิกไดส้ ร้างนสิ ยั ของความรว่ มมือกัน
(Cooperation ) ทาํ ใหส้ ามารถผลกึ กําลงั กนั ดาํ เนนิ กิจกรรมตา่ งๆได้ รวมท้ังปลูกฝังให้เกิดจติ สาํ นึกสาธารณะและ
ความไวว้ างใจกนั จนในทส่ี ุดสามารถพฒั นาไปสู่ความเป็นชุมชนแบบประชาสังคม( Civic Community) ซงึ่ มี
ศักยภาพตอบสนองความต้องการของตนเองไดเ้ ป็นอย่างดีและทําให้สามารถสร้างระบบการจดั การในการรักษาความ
พอเพยี งของตนเองไวไ้ ด้ไมว่ ่าจะมีการเปลย่ี นบริบทแวดลอ้ มไปอย่างไร เง่ือนไขสําคัญของการดาํ รงอยภู่ ายใตบ้ รบิ ทที่
เปลย่ี นแปลงไปสู่ความทนั สมัยและความสมั พนั ธ์ทางการผลติ แบบทนุ นิยมการค้าก็คือ ศักยภาพของชุมชนในการจดั
ระเบียบทางสังคมใหมท่ ่มี ีผลต่อการเปล่ยี นแปลงโลกทศั น์ ระบบคุณคา่ และบรรทัดฐานที่ทําให้ชุมชนสามารถสรา้ ง
ศักยภาพในการปรบั ตวั อยา่ งมอี าํ นาจต่อรองและดํารงความสามารถในการตอบสนองความต้องการของตนเองไว้ได้
ทา่ มกลางบริบทที่เปลี่ยนแปลง