The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

วิจัยในชั้นเรียนเรื่องการพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำพื้นฐาน โดยใช้แบบฝึกทักษะภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 แผนกวิชาอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่ม 1,2

วิจัยในชั้นเรียนการพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำพื้นฐาน

การพฒั นาทักษะการอา่ นและการเขยี นสะกดคำพื้นฐาน
โดยใช้แบบฝกึ ทักษะภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ)

ของนักเรียนระดับประกาศนยี บัตรวิชาชพี ชั้นปที ี่ 1
แผนกวิชาอิเลก็ ทรอนิกส์ กลมุ่ 1,2
วิทยาลัยเทคนคิ สว่างแดนดิน

นางสาวรชั ฎาภรณ์ พันลำ้
แผนกวชิ าสามัญสัมพนั ธ์

วทิ ยาลยั เทคนคิ สว่างแดนดนิ
สำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษาสกลนคร

ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2563



ช่อื เร่ือง การพัฒนาทกั ษะการอา่ นและการเขยี นสะกดคำพน้ื ฐานโดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะ
ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ของนักเรยี นระดับประกาศนียบตั รวิชาชีพ
ผ้วู ิจัย ชั้นปีท่ี 1 แผนกวชิ าอเิ ล็กทรอนิกส์ กล่มุ 1,2 วทิ ยาลัยเทคนิคสวา่ งแดนดิน
ปกี ารศกึ ษา นางสาวนางสาวรชั ฎาภรณ์ พนั ล้ำ
2563

บทคัดย่อ

การวจิ ยั ในครง้ั น้เี ป็นการวจิ ัยเชิงทดลอง โดยใช้รปู แบบ One Group Pretest- posttest
Design มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำพื้นฐาน กลุ่มสาระ
การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 ที่มีประสิทธิภาพตาม
เกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะ
การอ่านและการเขียนสะกดคำพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ)
ระดับประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ชนั้ ปที ่ี 1

ประชากรทใ่ี ชใ้ นการวิจัยเปน็ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวชิ าชพี ชน้ั ปที ี่ แผนกวชิ าอิเลก็ ทรอนิกส์
กลุ่ม 1,2 วิทยาลยั เทคนิคสวา่ งแดนดิน จำนวน 20 คน เรยี นโดยใช้แบบฝึกทักษะการอา่ นและการเขยี น
สะกดคำพน้ื ฐานภาษาอังกฤษ

เครือ่ งมือทใ่ี ชใ้ นการรวบรวมข้อมลู ไดแ้ ก่ 1) แบบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขียน
สะกดคำพื้นฐานภาษาอังกฤษ ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 จำนวน 10 เล่ม
2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีลกั ษณะเป็นแบบทดสอบปรนัยชนดิ 4 ตัวเลือก ดำเนินการทดลองโดย
ให้กลุ่มตัวอย่างทดสอบก่อนเรียน แล้วจึงให้เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำพื้นฐาน
ภาษาอังกฤษเมื่อเรียนจบแล้วให้นักเรียนทำแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแล้วจึงนำผลไปวิเคราะห์และ
ทดสอบสมมตฐิ าน

สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที
(t-test) ผลการวิจัย พบวา่

1. แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
(ภาษาองั กฤษ) นกั เรยี นระดับประกาศนยี บัตรวชิ าชีพ ช้ันปที ่ี 1 มปี ระสทิ ธภิ าพเท่ากบั 88.60/86.83

2. นักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนหลังเรยี นสงู กวา่ ก่อนเรยี นอย่างมนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ างสถิติทร่ี ะดบั .01



กติ ติกรรมประกาศ

รายงานผลการพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำพื้นฐาน กลุ่มส าระการเรียนรู้
ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 แผนกวิชา
อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่ม 1,2 ฉบับนี้ สำเร็จลุล่วงได้ด้วยคณะครูอาจารย์ในหมวดวิชาภาษาอังกฤษ คณะผู้บริหาร
ของวิทยาลัยเทคนิคสว่างแดนดิน ที่กรุณาให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ แนะนำ ตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ
ผู้รายงานขอขอบพระคณุ เป็นอย่างสูง

ขอขอบคุณคณะครู นักเรียน วิทยาลัยเทคนิคสว่างแดนดิน ที่ให้ความร่วมมือในการเก็บรวบรวม
ข้อมูลในการพัฒนาการจัดการเรยี นรู้ในครัง้ น้ี

คุณค่าและประโยชน์ของรายงานฉบับนี้ ผู้รายงานขอมอบเป็นเครื่องแสดงความกตัญญูต่อบิดา
มารดา ท่ใี ห้การศกึ ษา อบรมสง่ั สอน ใหม้ สี ตปิ ญั ญาและคุณธรรมทง้ั หลาย อนั เป็นเครอ่ื งมือนำไปสคู่ วามสำเร็จ
ในชีวติ ของผู้รายงาน

รชั ฎาภรณ์ พนั ลำ้
ครพู เิ ศษสอน

สารบญั หนา้

บทที่ ก

กติ ติกรรมประกาศ
บทคดั ย่อ 1
1. บทนำ 3
3
ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา 3
วัตถุประสงค์ของการวิจยั 4
ขอบเขตของการวจิ ัย 4
4
เนื้อหา 4
ประชากรและกลุม่ ตัวอยา่ ง 5
ตัวแปรท่ใี ช้ในการวิจัย 6
สมมติฐานการวจิ ัย
นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ 7
ประโยชนท์ ่คี าดว่าจะได้รับ 18
กรอบแนวคิดในการวิจัย 19
2. เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี กี่ยวขอ้ ง 21
หลักสตู รประกาศนียบตั รวิชาชพี พุทธศักราช 2556 22
สาระการเรียนรภู้ าษาต่างประเทศ 24
จิตวทิ ยาการสอนภาษาองั กฤษ 24
ความหมายของการอ่าน 24
จุดมง่ หมายในการอ่าน 25
ประเภทของการอ่าน 27
การสอนอ่านออกเสียง 27
การวัดและประเมินผลดา้ นการอ่าน 30
ความหมายและความสำคญั ของแบบฝึกทักษะ
หลักการสรา้ งแบบฝึกทักษะ
รูปแบบของแบบฝึกทกั ษะ
ลกั ษณะของแบบฝึกทักษะทด่ี ี
แนวคิด/ทฤษฎีทีเ่ กีย่ วกับการสอนทักษะการอ่านโดยใช้แบบฝกึ ทักษะ

สารบัญ (ตอ่ ) หนา้

บทที่ 31
31
งานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวข้อง 32
งานวจิ ัยในประเทศ
งานวจิ ัยตา่ งประเทศ 34
34
3. วธิ ีดำเนนิ การวจิ ัย 36
ประชากรและกลุม่ ตัวอย่าง 36
เคร่อื งมือและวธิ ีการสรา้ งเคร่ืองมือ 36
การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมลู 38
สถิตทิ ีใ่ ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล 38
39
4. ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล
สญั ลกั ษณท์ ่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมลู 40
ลำดบั ขน้ั ตอนในการวิเคราะห์ข้อมลู 40
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 40
41
5. สรุป อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ 41
วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั 42
ขอบเขตของการวจิ ัย
สรุปผลการวิจัย
อภปิ รายผลการวิจยั
ข้อเสนอแนะ

บรรณานุกรม

บทที่ 1

บทนำ

ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา

ภาษานับว่าเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวติ ของมนุษย์ เพราะภาษาเป็น ทั้งมวล
ประสบการณ์และเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารระหว่างมนุษย์ ถ้าขาดสื่อสำคัญนี้แล้วมนุษย์คงไม่สามารถ
รวมกันเป็นสังคมได้ ภาษาจึงเป็นเครื่องมือสื่อสารที่สำคัญที่ทำให้คนเข้าใจกัน ภาษา คือ การฟัง การพูด
การอา่ น และการเขียน มนษุ ยอ์ าศยั ทักษะท้ัง 4 ประการ สร้างเสรมิ สตปิ ัญญาและความรู้สึกนึกคิดพัฒนา
อาชีพและพัฒนาบคุ ลกิ ภาพ รวมท้งั อ่นื ๆอีกมากให้กับตนเองและสังคม ดว้ ยเหตุผลดงั กล่าวภาษาจึงมีบทบาท
และความสำคญั สำหรับบุคคลทกุ คนของชาติ (วรรณี โสมประยูร.2537 : 16)

ภาษาอังกฤษนับว่าเป็นภาษาสากลของโลก ที่ทุกคนให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะตั้งแต่ ในอดีต
จนถงึ ปัจจบุ นั ภาษาองั กฤษมีความสำคัญและความจำเปน็ ที่ต้องใช้ โดยเฉพาะการติดต่อสอ่ื สารไมว่ ่าจะเป็นด้าน
การเขียนหรือการพูด อีกทั้งยังเข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน เช่น สิ่งของ เครื่องใช้ ยารักษาโรค
รายการวทิ ยุ โทรทัศน์ อินเทอรเ์ น็ต (internet) สารเคมที ี่ใชใ้ นการเกษตร เป็นต้น และในปัจจุบันนั้นการ
สื่อสารยิ่งต้องใช้เคร่ืองมือที่ทนั สมัยและรวดเร็ว เพื่อการติดต่อสื่อสารกันทั่วโลก ภาษาอังกฤษที่แทรกตัวอยู่
กับการใชเ้ คร่อื งมอื เหล่านน้ั ถ้าผ้ใู ช้เครื่องมือในการสอ่ื สาร ไมม่ ีความร้ทู างดา้ นภาษาดงั กลา่ ว ยอ่ มทำให้เกิด
ปญั หาการส่อื สารติดขัด ลา่ ช้า นอกจากนภ้ี าษาอังกฤษยังแทรกอยู่ตามส่ือตา่ งๆ ที่พบเห็นได้ทั่วไป ซ่งึ ทุกคน
ต้องเรยี นรแู้ ละสัมผสั อยู่ทุกวนั ฉะนน้ั การเรียนภาษา จึงมคี วามจำเป็นอย่างย่ิงที่ทุกคนต้องเรียนรู้ถ้ามีโอกาส
ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นที่ประเทศไทยต้องพัฒนาบุคลากรในประเทศให้มีความรู้ ความสามารถในการใช้
ภาษาอังกฤษ เพื่อจะได้เข้าใจสามารถสื่อสาร รู้จักเลือกรับสารสนเทศที่มีประโยชน์ แล้วนำไปใช้ในการ
พัฒนาการเรยี นรู้ การประกอบอาชีพ ตลอดจนนำภาษาองั กฤษไปใชไ้ ด้ถูกต้อง อันจะเปน็ การพฒั นาประเทศ
ต่อไป จะเห็นได้จาก แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 8 (พ.ศ.2540 – 2544) ได้ระบุวิสัยทัศน์ของ
การศึกษา หรือการศึกษาที่พึงประสงค์ในอนาคตไว้ว่า “ต้องพัฒนาคนไทยให้มีความรู้ ความสามารถ และ
ทักษะทีจ่ ำเป็นต่อการดำรงชวี ิตในยุคโลกาวิวฒั น์ เชน่ มคี วามร้ภู าษาตา่ งประเทศเป็นอย่างดี โดยเฉพาะวิชา
ภาษาอังกฤษ” (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ 2539) หลักสูตรภาษาอังกฤษ พ.ศ. 2539
ระบุจมุ ุง่ หมายของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษว่า “เพอื่ ใหม้ ีความสามารถในการฟัง พดู อา่ น และเขียน
เพื่อใช้ในการสื่อสารและการแสวงหาความรู้” (กรมวิชาการ, 2539) จากความสำคัญดังกล่าวรัฐจึงกำหนดให้
ภาษาต่างประเทศ เป็น 1 ใน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้พื้นฐานที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียนรู้ตามหลักสูตร
การศกึ ษาขั้นพื้นฐาน กำหนดให้มี การเรยี นการสอนภาษาองั กฤษเป็นภาษาตา่ งประเทศทุกช่วงชนั้ การเรยี น
ภาษาตา่ งประเทศต้องอาศัยกระบวนการคิด และการฝึกฝนการใช้

ภาษาสื่อสารในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งในและนอกห้องเรียน เพื่อให้ผู้เรียนนำภาษาไปใช้ใน
สถานการณ์จริง ทั้งภาษาพดู และภาษาเขยี นให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ เหมาะสมกับกาลเทศะ และสังคม
วัฒนธรรมของการใช้ภาษานั้นๆ นอกจากนั้นยังต้องเน้นความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศ
(ภาษาองั กฤษ) ที่เรยี นเพือ่ เป็นเคร่ืองมือในการคน้ หาความรู้ในการเรยี นวชิ าอ่ืนๆ และในการศึกษาต่อรวมท้ัง
การประกอบอาชีพ (สำนักงานทดสอบทางการศึกษา, 2546)

การอ่านเป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างหนึ่งที่จะต้องดำเนินการจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้เรียนรู้จาก
ประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
(พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542. 2542 : 24) การอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญในการศึกษา
คน้ คว้าหาความรู้ คนที่มีทกั ษะในการอ่านย่อมไดเ้ ปรยี บ สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เชน่ การคน้ คว้าหา
ความรู้เพิ่มเติมจากสิ่งพิมพ์ต่างๆ (สนิท ตั้งทวี. 2426 : 35) จึงเห็นได้ว่าผู้ที่มีนิสัยรักการอ่านและมี
ทกั ษะในการอา่ นย่อมแสวงหาความรู้และศึกษาเล่าเรยี นไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพสามารถนำความรู้ที่ได้จากการ
อ่านไปใช้ในการพูดและการเขียนได้เป็นอย่างดี ไวท์แมน (Wiseman 1992: 2) กล่าวว่าการสอนอ่าน
ภาษาอังกฤษให้แก่นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษต่ำนั้น ครูควรจะหาทักษะการอ่าน
ภาษาองั กฤษในดา้ นการใช้โครงสร้างทางภาษาและการหาความหมายของคำศัพท์อีกดว้ ย เพราะความร้ใู นเร่ือง
ดังกล่าว เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้ผู้อ่านประสบความสำเร็จในการอ่านเพื่อความเข้าใจได้
แต่นักเรียนกลุ่มดังกล่าวจะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ในเรื่องเหล่านี้ ส่วนขั้นตอนของ ฮาดเลย์ (Hadley.
1996 : 195-200) ไดก้ ลา่ ววา่ การฝกึ หัดการอา่ นเป็นเรอื่ งจำเปน็ สำหรบั นกั เรยี นที่เรยี นภาษาอังกฤษเป็นภาษา
ที่สองหรือเป็นภาษาต่างประเทศ การสอนทักษะการอ่านควรสอนหลังจากที่นักเรียนได้อ่านเนื้อหาทั้งหมดไป
แล้ว และสอนเฉพาะโครงสร้างทางภาษาและการหาความหมายของคำศัพท์ที่จำเป็นต่อ การอ่านเนื้อหา
ดงั กล่าวเท่าน้นั

จากการศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ พบว่า ทักษะการอ่านมีปัญหาหลาย
ประการ มีนักการศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้องหลายๆ คนได้พยายามแก้ไข ปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพการ
อ่าน เช่น ธิดารัก ดาบพลอ่อน (2542: บทคัดย่อ) ได้พัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อจับ
ใจความชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2541 โรงเรียนกดุ บากราษฎรบ์ ำรุง สังกัดสำนักงาน
การประถมศึกษากุดบาก จังหวัดสกลนคร จำนวน 30 คน ผลการศึกษาพบว่า แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจบั
ใจความภาษาอังกฤษมีประสิทธิภาพ 80.26/79.08 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 ที่ตั้งไว้
และผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรียนหลงั เรยี นสูงกวา่ กอ่ นเรียน อยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .01

นอกจากน้ี ดวงสมร อปราชิตา (2547: บทคดั ยอ่ ) ได้ศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นบทเรียนการสอน
ภาษาอังกฤษด้วยหนังสือการ์ตูน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนท่าเรือพิทยาคม อำเภอท่า
มะกา จังหวัดกาญจนบุรี พบว่า บทเรียนการสอนอ่านภาษาอังกฤษด้วยหนังสือการ์ตูนมีประสิทธิภาพเท่ากับ
83.75/80.43 สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 นักเรียนที่เรียนโดยใช้บทเรียนการสอนอ่านภาษาอังกฤษด้วย
หนังสอื การต์ นู มีคะแนนหลงั การเรยี นสงู กวา่ ก่อนเรยี นอยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิติท่รี ะดบั 0.01

จากการศึกษาสภาพปัญหาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชพี
ชั้นปีที่ 1 แผนกวิชาอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่ม 1, 2 วิทยาลัยเทคนิคสว่างแดนดิน อำเภอสว่างแดนดิน
จังหวัดสกลนคร พบว่านักเรียนไม่สามารถอ่านและเขียนสะกดคำภาษาอังกฤษได้ คนที่อ่านได้ก็มีจำนวนน้อย
มาก จึงเป็นปัญหาส่งผลใหน้ ักเรียนมีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนภาษาองั กฤษต่ำ ดว้ ยเหตุนี้ ผ้วู ิจัยจึงสร้างแบบฝึก
ทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1
แผนกวิชาอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่ม 1,2 เพื่อใช้ในการสอนอ่านและเขียนสะกดคำภาษาอังกฤษ ซึ่งจะทำให้

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นและเพื่อเป็นแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพ
ต่อไป
วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย

1. เพอ่ื พัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำภาษาองั กฤษ ของนกั เรียนระดบั
ประกาศนยี บัตรวชิ าชีพ ชั้นปีท่ี 1 ใหม้ ีคณุ ภาพตามเกณฑ์ 80/80

2. เพอื่ เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นก่อนการใช้แบบฝึกกบั หลงั การใชแ้ บบฝึกทักษะ
การอ่านและการเขยี นสะกดคำภาษาอังกฤษ ของนักเรยี นระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชพี ช้ันปที ี่ 1
ขอบเขตของการวจิ ัย

1. ดา้ นเน้ือหา
การพฒั นาการอ่านภาษาอังกฤษ ของนกั เรียนระดบั ประกาศนยี บัตรวิชาชพี ช้ันปที ่ี 1 โดยใช้

แบบฝกึ ทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำภาษาองั กฤษ กลุ่มสาระการเรยี นร้ภู าษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ)
ระดับประกาศนยี บัตรวิชาชพี ชน้ั ปที ่ี 1 มีทั้งหมด 10 เล่ม ดงั นี้

1. Fun with body vocabulary .
2. Fun with family vocabulary.
3. Fun with occupation vocabulary.
4. Fun with animal vocabulary .
5. Fun with fruit vocabulary.
6. Fun with food vocabulary.
7. Fun with vegetable vocabulary.
8. Fun with weather vocabulary .
9. Fun with transportation vocabulary.
10. Fun with sport vocabulary .
2. ประชากรละกลุม่ ตวั อย่าง
ประชากรท่ใี ช้ในการวจิ ยั ในเรือ่ งนี้ ได้แก่ นักเรียนระดบั ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ช้นั ปที ่ี 1
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 วิทยาลัยเทคนิคสว่างแดนดิน อำเภอสว่างแดนดิน สำนักงาน
คณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา จำนวน 40 คน
กลมุ่ ตวั อยา่ งท่ใี ชใ้ นการวิจัยครงั้ นี้ ได้แก่ นักเรียนระดบั ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 วิทยาลัยเทคนิคสว่างแดนดิน อำเภอสว่างแดนดิน สำนักงาน
คณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน 20 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random
Sampling)
3. ตวั แปรท่ีวจิ ยั
3.1 ตวั แปรต้น ได้แก่ การสอนโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ
ภาษาอังกฤษ
3.2 ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ ผลสมั ฤทธ์ิดา้ นการอา่ นและการเขียนสะกดคำภาษาอังกฤษ ของ
นักเรยี นระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพ ช้นั ปีที่ 1

สมมติฐานการวจิ ัย
นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวชิ าชีพชน้ั ปีท่ี 1 แผนกวิชาอเิ ลก็ ทรอนิกส์ กลุ่ม 1,2 ท่ีได้รับการจดั การ

เรียนรู้โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะการอ่านและการเขียนสะกดคำภาษาองั กฤษ มีทกั ษะในการอ่านและเขยี นสะกดคำ
ภาษาอังกฤษดขี น้ึ

นยิ ามศัพท์เฉพาะ
1. ทกั ษะการอา่ นและการเขียนสะกดคำภาษาองั กฤษ หมายถงึ ความสามารถในการอา่ นและ

การเขียนสะกดคำภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 แผนกวิชาอิเล็กทรอนิกส์
กลมุ่ 1,2

2. แบบฝกึ ทักษะ หมายถึง สือ่ การเรยี นการสอนที่ใช้ฝึกทกั ษะกบั ผู้เรียน เพื่อฝนใหเ้ กดิ ความรู้
ความเข้าใจ รวมทั้งเกิดความชำนาญในเรื่องการอ่านและการเขียนสะกดคำภาษาอังกฤษที่ผู้วิจัยสร้างข้ึน
ประกอบด้วย

1. Fun with body vocabulary .
2. Fun with family vocabulary.
3. Fun with occupation vocabulary.
4. Fun with animal vocabulary .
5. Fun with fruit vocabulary .
6. Fun with food vocabulary .
7. Fun with vegetable vocabulary .
8. Fun with weather vocabulary .
9. Fun with transportation vocabulary .
10. Fun with sport vocabulary .
3. นกั เรยี น หมายถงึ นกั เรยี นท่ีกำลงั ศึกษาอยู่ในระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชพี ชั้นปที ี่ 1 ภาคเรียนท่ี 2
ปกี ารศึกษา 2563 วิทยาลยั เทคนิคสวา่ งแดนดิน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา
4. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทกั ษะ หมายถงึ เกณฑท์ ีใ่ ช้ในการกำหนดประสิทธิภาพของ
แบบฝึกทกั ษะการอา่ นศัพท์ภาษาอังกฤษโดยผวู้ จิ ัยตั้งเกณฑ์ไว้ 80/80 คอื

80 ตัวแรก หมายถึง ผลรวมเฉลี่ยของคะแนนจากการนำแบบทดสอบระหว่างเรียนของ
นักเรยี นไดถ้ กู ตอ้ ง คิดเปน็ ร้อยละ 80

80 ตัวหลัง หมายถึง ผลรวมเฉลี่ยของคะแนนจากการทำแบบทดสอบหลังเรียนของนักเรียน
ได้ถกู ตอ้ ง คดิ เป็นร้อยละ 80

5. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น หมายถงึ แบบทดสอบที่ใช้วดั ความร้ภู าษาองั กฤษ
หลังจากทีเ่ รียนโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขยี นสะกดคำภาษาองั กฤษ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้นั ปี
ที่ 1 แผนกวิชาอิเล็กทรอนิกส์ กลมุ่ 1,2 วทิ ยาลัยเทคนิคสวา่ งแดนดิน ทผ่ี วู้ ิจยั สร้างข้ึน เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย
4 ตัวเลอื ก

ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะไดร้ ับ
1. ได้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตร

วิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 เพื่อให้ครูผู้สอนใช้ในการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการอ่านและการเขียนสะกด
คำภาษาองั กฤษ

2. นำข้อค้นพบที่ได้จากการวิจยั ครั้งนี้ไปประยุกต์ใชเ้ ป็นแนวทางในการสอนอ่านออกเสียงและการ
เขยี นสะกดคำภาษาอังกฤษ เพ่อื เพ่มิ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวชิ าภาษาอังกฤษของนกั เรียนใหส้ งู ขึ้น

กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั
การวิจยั คร้ังนี้ผวู้ ิจยั ไดด้ ำเนนิ การศกึ ษาการพัฒนาทกั ษะการอ่านและการเขยี นสะกดคำภาษาอังกฤษ

ของนักเรยี นระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีท่ี 1 โดยใชแ้ บบฝกึ เสรมิ ทกั ษะ ตามแผนภูมแิ สดงกรอบ
แนวคิดในการวิจัยดังน้ี

ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม

1. Fun with body vocabulary. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นดา้ นการอา่ น
2. Fun with family vocabulary. และการเขียนสะกดคำภาษาองั กฤษ
3. Fun with occupation vocabulary. ของนกั เรยี นระดับประกาศนยี บัตร
4. Fun with animal vocabulary.
5. Fun with fruit vocabulary. วิชาชีพ ชัน้ ปีท่ี 1
6. Fun with food vocabulary.
7. Fun with vegetable vocabulary.
8. Fun with weather vocabulary.
9. Fun with transportation
vocabulary.
10. Fun with sport vocabularies .

แผนภูมิแสดงกรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย

บทท่ี 2

เอกสารและงานวิจัยทเ่ี ก่ยี วข้อง

ในการศึกษาเอกสารงานวจิ ัยทเี่ กย่ี วข้องกับการพัฒนาทักษะการอา่ นและการเขียนสะกดคำ
ภาษาอังกฤษของนกั เรยี นระดับประกาศนยี บัตรวิชาชพี ชนั้ ปีที่ 1 โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะการอา่ นและการเขียน
ผู้วิจัยได้คน้ คว้าเอกสารและงานวิจัยทเ่ี กี่ยวข้อง โดยลำดบั เน้ือหาท่ีเป็นสาระสำคญั ดังต่อไปน้ี

1. เอกสารเก่ยี วกบั การเรยี นการสอนภาษาอังกฤษ
1.1 หลักสตู รประกาศนยี บัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562
หมวดวิชาทักษะชีวิต กลุ่มการเรยี นรภู้ าษาต่างประเทศ
1.2 จติ วิทยาการสอนอ่านภาษาอังกฤษ

2. เอกสารท่ีเกีย่ วข้องกบั การอา่ นและการเขยี น
2.1 ความหมายของการอ่าน
2.2 จดุ ม่งุ หมายในการอ่าน
2.3 ประเภทของการอา่ น
2.4 การสอนอา่ นออกเสียง
2.5 การวดั และประเมินผลดา้ นการอ่าน

3. เอกสารเกีย่ วกับการสอนภาษาองั กฤษโดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะ
4. แนวคดิ และทฤษฎที ่เี ก่ียวกบั การสอนทกั ษะการอ่านวิชาภาษาอังกฤษโดยใช้แบบฝกึ
ทักษะ
5. งานวจิ ัยท่เี ก่ียวข้อง

5.1 งานวิจัยในประเทศ
5.2 งานวจิ ัยต่างประเทศ

1. เอกสารเก่ียวกับการเรยี นการสอนภาษาองั กฤษ
1.1 หลักสตู รประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 สาระการเรยี นร้ภู าษาตา่ งประเทศ

วสิ ัยทศั น์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความ

สมดลุ ท้งั ด้านร่างกาย ความรู้ คณุ ธรรม มีจติ สำนกึ ในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดม่ันในการปกครอง
ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ
ท่ีจำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชวี ิต โดยมุง่ เน้นผู้เรยี นเปน็ สำคัญบนพื้นฐาน
ความเชื่อวา่ ทกุ คนสามารถเรยี นรูแ้ ละพัฒนาตนเองได้เต็ม ตามศกั ยภาพ

หลักการ

หลกั สูตรประกาศนียบตั รวชิ าชีพ มีหลักการทีส่ ำคัญ ดงั น้ี

1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้
เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐาน
ของความเปน็ ไทยควบคู่กับความเปน็ สากล

2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาค และมี
คุณภาพ

3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
ให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของทอ้ งถ่ิน

4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัด
การเรียนรู้

5. เปน็ หลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรยี นเปน็ สำคญั
6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุก
กลุ่มเป้าหมาย สามารถเทยี บโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์

จดุ หมาย

หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข
มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบ
การศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน ดงั นี้

1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมท่ีพงึ ประสงค์ เหน็ คณุ ค่าของตนเอง มวี ินยั และปฏิบัตติ นตาม
หลกั ธรรมของพระพุทธศาสนา หรอื ศาสนาที่ตนนับถอื ยดึ หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง

2. มคี วามรู้ ความสามารถในการส่ือสาร การคดิ การแก้ปญั หา การใชเ้ ทคโนโลยี และมที กั ษะชีวิต
3. มีสขุ ภาพกายและสขุ ภาพจิตท่ีดี มีสุขนิสยั และรักการออกกำลังกาย
4. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและ
การปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมขุ
5. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม
มีจติ สาธารณะที่มุ่งทำประโยชนแ์ ละสร้างสิง่ ท่ีดงี ามในสงั คม และอยู่ร่วมกันในสงั คมอยา่ งมีความสขุ

สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รยี น และคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์

ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลกั สูตรประกาศนยี บัตรวชิ าชพี มุ่งเนน้ พัฒนาผเู้ รียนให้มคี ณุ ภาพตาม
มาตรฐานทก่ี ำหนด ซึ่งจะช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิดสมรรถนะสำคัญและคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ ดังนี้

สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน

หลกั สตู รประกาศนยี บตั รวชิ าชพี มุ่งให้ผเู้ รยี นเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา

4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

คุณลักษณะอนั พึงประสงค์

หลกั สตู รประกาศนียบตั รวิชาชพี มงุ่ พฒั นาผเู้ รยี นใหม้ ีคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ เพ่ือให้สามารถอยู่

รว่ มกับผ้อู น่ื ในสงั คมได้อย่างมีความสขุ ในฐานะเปน็ พลเมืองไทยและพลโลก ดงั นี้
1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
2. ซ่อื สัตยส์ ุจรติ
3. มีวินัย
4. ใฝ่เรยี นรู้
5. อยูอ่ ย่างพอเพียง
6. มุ่งมั่นในการทำงาน
7. รกั ความเปน็ ไทย
8. มีจติ สาธารณะ
นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกำหนดคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์เพิ่มเตมิ ใหส้ อดคล้องตามบริบทและ

จดุ เน้นของตนเอง
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ 1 ภาษาเพ่ือการสื่อสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เขา้ ใจและตคี วามเร่ืองท่ีฟงั และอา่ นจากส่ือประเภทตา่ งๆ และแสดงความคดิ เห็นอย่างมี

เหตผุ ล
มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการส่ือสารทางภาษาในการแลกเปลย่ี นขอ้ มลู ขา่ วสาร แสดงความร้สู กึ และความ

คดิ เห็นอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ
มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมลู ข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรอ่ื งตา่ งๆ

โดยการพูดและการเขียน
สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม
มาตรฐาน ต 2.1 เขา้ ใจความสมั พันธร์ ะหว่างภาษากับวฒั นธรรมของเจ้าของภาษา และนำไปใช้ ได้อย่าง

เหมาะสมกบั กาลเทศะ
มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหวา่ งภาษาและวัฒนธรรมของเจา้ ของภาษากับ

ภาษาและวัฒนธรรมไทย และนำมาใช้อยา่ งถกู ตอ้ งและเหมาะสม
สาระที่ 3 ภาษากับความสัมพนั ธก์ ับกลุ่มสาระการเรียนรูอ้ น่ื
มาตรฐาน ต 3.1 ใชภ้ าษาตา่ งประเทศในการเชอื่ มโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรยี นรอู้ ื่น และเป็นพ้ืนฐาน

ในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปดิ โลกทศั น์ของตน
สาระท่ี 4 ภาษากับความสัมพันธก์ บั ชุมชนและโลก
มาตรฐาน ต 4.1 ใชภ้ าษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งในสถานศึกษา ชุมชน และสังคม
มาตรฐาน ต 4.2 ใชภ้ าษาต่างประเทศเป็นเคร่ืองมอื พ้ืนฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการ

แลกเปลี่ยนเรียนรกู้ บั สงั คมโลก

ตัวช้ีวดั และสาระการเรยี นรู้

สาระท่ี 1 ภาษาเพ่ือการสือ่ สาร

มาตรฐาน ต 1.1 เขา้ ใจและตคี วามเรื่องท่ีฟงั และอา่ นจากสอ่ื ประเภทต่างๆ และแสดงความคิดเหน็ อยา่ งมี
เหตุผล

ชน้ั ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นรู้

ป.5 1. ปฏิบัติตามคำสงั่ คำขอร้อง และ คำสง่ั และคำขอร้องทใ่ี ช้ในห้องเรยี น ภาษาทา่ ทาง

คำแนะนำง่ายๆ ที่ฟงั และอา่ น และคำแนะนำในการเลน่ เกม การวาดภาพ หรือการ
ทำอาหารและเครื่องด่ืม

- คำสั่ง เชน่ Look at the…/here/over there./

Say it again./ Read and draw./ Put

a/an…in/on/under a/an…/ Don’t go over

there. etc.

- คำขอรอ้ ง เช่น Please take a queue./ Take a

queue, please./ Can/Could you help me,

please? etc.

- คำแนะนำ เชน่ You should read everyday./

Think before you speak./ คำศพั ท์ที่ใช้ใน

การเลน่ เกม Start./ My turn./ Your turn./

Roll the dice./ Count the number./

Finish./ คำบอกลำดบั ขั้นตอน First,…

Second,… Next,… Then,… Finally,…

etc.

2. อา่ นออกเสียงประโยค ขอ้ ความ ประโยค ขอ้ ความ และบทกลอน
และบทกลอนส้นั ๆ ถูกต้องตาม การใช้พจนานุกรม
หลกั การอา่ น หลกั การอ่านออกเสยี ง เชน่
- การออกเสียงพยัญชนะตน้ คำและพยัญชนะทา้ ยคำ
- การออกเสียงเนน้ หนัก-เบา ในคำและกลมุ่ คำ
- การออกเสียงตามระดับเสียงสงู -ต่ำ ในประโยค
- การออกเสยี งเช่อื มโยง (linking sound) ใน

ขอ้ ความ
- การออกเสียงบทกลอนตามจงั หวะ

ชั้น ตัวชี้วดั สาระการเรียนรู้
ป.5 3. ระบ/ุ วาดภาพ สญั ลักษณ์ หรือ กลุม่ คำ ประโยคผสม ข้อความ สัญลักษณ์

เคร่ืองหมายตรงตามความหมายของ เครอื่ งหมาย และความหมายเก่ียวกบั ตนเอง

ประโยคและข้อความสน้ั ๆ ทฟี่ ัง หรือ ครอบครวั โรงเรียน ส่ิงแวดลอ้ ม อาหาร เครอื่ งด่ืม

อ่าน เวลาวา่ งและนันทนาการ สขุ ภาพและสวสั ดิการ การ

ซอ้ื -ขาย และลมฟ้าอากาศ และเป็นวงคำศัพทส์ ะสม

ประมาณ 750-950 คำ (คำศัพทท์ ี่เป็นรูปธรรมและ

นามธรรม)

4. บอกใจความสำคญั และตอบ ประโยค บทสนทนา นทิ าน หรอื เรื่องส้นั ๆ

คำถามจากการฟงั และอ่านบทสนทนา คำถามเกยี่ วกบั ใจความสำคญั ของเรื่อง เชน่ ใคร

และนิทานงา่ ยๆ หรือ เร่อื งสน้ั ๆ ทำอะไร ท่ีไหน เมื่อไร

- Yes/No Question เช่น

Is/Are/Can…? Yes,…is/are/can./

No,…isn’t/aren’t/can’t.

Do/Does/Can/Is/Are...? Yes/No…

etc.
- Wh-Question เช่น

Who is/are…? He/She is…/They
are…

What…?/Where…? It is …/They are…

สาระท่ี 1 ภาษาเพอ่ื การส่ือสาร

มาตรฐาน ต 1.2 มีทกั ษะการส่ือสารทางภาษาในการแลกเปลยี่ นข้อมูลขา่ วสาร แสดงความรสู้ กึ
และความคิดเห็นอย่างมีประสทิ ธภิ าพ

ชั้น ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรู้
ป.5 1. พดู /เขยี นโตต้ อบในการสื่อสาร บทสนทนาที่ใชใ้ นการทักทาย กล่าวลา ขอบคณุ
ขอโทษ ชมเชย การพดู แทรกอยา่ งสุภาพ ประโยค/
ระหว่างบุคคล ข้อความทใี่ ชแ้ นะนำตนเอง เพ่อื น และบุคคลใกลต้ วั
และสำนวนการตอบรับ เชน่ Hi/ Hello/ Good
morning/ Good afternoon/ Good evening/ I
am sorry./ How are you?/ I’m fine. Thank
you. And you?/ Hello. I am…/ Hello,…I am…

This is my sister. Her name is… /Hello,…/

Nice to see you. Nice to see you too./

Goodbye./ Bye./ See you soon/later./

Good/Very good./ Thanks./ Thank you./

Thank you very much./ You’re welcome./

It’s O.K. etc.

2. ใชค้ ำสงั่ คำขอร้อง คำขออนญุ าต คำสั่ง คำขอร้อง คำแนะนำท่มี ี 1-2 ขน้ั ตอน

และใหค้ ำแนะนำงา่ ยๆ

3. พดู /เขยี นแสดงความต้องการ คำศัพท์ สำนวน และประโยคทใี่ ชบ้ อกความต้องการ

ขอความชว่ ยเหลือ ตอบรบั และ ขอความชว่ ยเหลือ ตอบรับและปฏิเสธการใหค้ วาม

ปฏิเสธการใหค้ วามชว่ ยเหลอื ใน ชว่ ยเหลอื เชน่ Please…/ May…?/ I need…/

สถานการณง์ ่ายๆ Help me!/ Can/ Could…?/ Yes,.../No,… etc.

4. พูด/เขียนเพ่ือขอและใหข้ ้อมลู คำศัพท์ สำนวน และประโยคท่ใี ช้ขอและให้ข้อมลู

เกี่ยวกับตนเอง เพ่ือน ครอบครวั และ เกยี่ วกบั ตนเอง เพ่ือน ครอบครัว และเรอ่ื งใกลต้ ัว

เรือ่ งใกล้ตวั เช่น

What do you do? I’m a/an…

What is she/he? …is a/an (อาชพี )

How old/tall…? I am…

Is/Are/Can…or…? …is/are/can…

Is/Are…going to…or…? …is/are going to…
etc.

5. พดู /เขียนแสดงความร้สู ึกของ คำและประโยคท่ใี ช้แสดงความรูส้ ึก เช่น ชอบ ไม่

ตนเองเกีย่ วกับเรอ่ื งต่างๆ ใกล้ตัว และ ชอบ ดีใจ เสยี ใจ มีความสขุ เศรา้ หวิ รสชาติ เช่น

กจิ กรรมตา่ งๆ พร้อมทั้งใหเ้ หตผุ ลสั้นๆ I’m…/He/She/It is…/You/We/They are…

ประกอบ I/You/We/They like…/He/She

likes…because…
I/You/We/They love…/He/She
loves…because…

I/You/We/They don’t
like/love/feel…because…
He/She doesn’t like/love/feel…because…

I/You/We/They feel…because… etc.

สาระท่ี 1 ภาษาเพื่อการส่อื สาร

มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมลู ข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคดิ เห็นในเร่ืองต่างๆ โดยการพดู
และการเขียน

ชนั้ ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นรู้

ป.5 1. พดู /เขยี นใหข้ ้อมูลเก่ียวกับตนเอง ประโยคและข้อความท่ีใชใ้ นการใหข้ อ้ มลู เกยี่ วกับ

และเรือ่ งใกล้ตัว บคุ คล สัตว์ สถานท่ี และกิจกรรมตา่ งๆ เชน่ ขอ้ มูล

สว่ นบคุ คล เรื่องต่างๆ ใกล้ตัว จำนวน 1-500 ลำดับ

ท่ี วัน เดอื น ปี ฤดกู าล เวลา สภาพดนิ ฟ้าอากาศ

อารมณ์ ความรู้สกึ สี ขนาด รูปทรง ท่ีอยู่ของสงิ่

ตา่ งๆ เคร่ืองหมายวรรคตอน

2. เขยี นภาพ แผนผงั และแผนภูมิ คำ กลมุ่ คำ ประโยคท่ีแสดงข้อมูลและความหมายของ

แสดงข้อมลู ต่างๆ ตามที่ฟังหรืออา่ น เร่ืองตา่ งๆ ภาพ แผนผัง แผนภูมิ ตาราง

3. พูดแสดงความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั ประโยคท่ใี ช้ในการพูดแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับ

เร่อื งตา่ งๆ ใกล้ตัว กิจกรรมหรือเรอ่ื งต่างๆ ใกล้ตัว

สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม

มาตรฐาน ต 2.1 เขา้ ใจความสมั พนั ธ์ระหวา่ งภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา และนำไปใช้ไดอ้ ย่าง
เหมาะสมกบั กาลเทศะ

ชั้น ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้

ป.5 1. ใช้ถอ้ ยคำ น้ำเสยี ง และกริ ิยา การใช้ถอ้ ยคำ น้ำเสยี ง และกริ ิยาท่าทาง ตามมารยาท

ท่าทางอย่างสภุ าพ ตามมารยาทสังคม สังคมและวัฒนธรรมของเจา้ ของภาษา เชน่ การ

และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ขอบคุณ ขอโทษ การใช้สีหน้าทา่ ทางประกอบการ

พูดขณะแนะนำตนเอง การสมั ผัสมือ การโบกมือ การ

แสดงความร้สู ึกชอบ/ไมช่ อบ การกลา่ วอวยพร การ

แสดงอาการตอบรบั หรอื ปฏเิ สธ

2. ตอบคำถาม/บอกความสำคัญของ ข้อมลู และความสำคญั ของเทศกาล/วันสำคญั /งาน

เทศกาล/วนั สำคญั /งานฉลองและชีวติ ฉลองและชวี ติ ความเปน็ อยู่ของเจ้าของภาษา เช่น

ความเปน็ อยูง่ ่ายๆ ของเจา้ ของภาษา วนั คริสตม์ าส วนั ข้ึนปีใหม่ วันวาเลนไทน์

เครอื่ งแต่งกาย ฤดกู าล อาหาร เครื่องดมื่

3. เขา้ ร่วมกจิ กรรมทางภาษาและ กิจกรรมทางภาษาและวฒั นธรรม เช่น การเลน่ เกม

วัฒนธรรมตามความสนใจ การร้องเพลง การเลา่ นิทาน บทบาทสมมุติ

วนั ขอบคุณพระเจา้ วนั คริสต์มาส วันข้นึ ปีใหม่
วันวาเลนไทน์

สาระท่ี 2 ภาษาและวัฒนธรรม

มาตรฐาน ต 2.2 เขา้ ใจความเหมอื นและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษากับ
ภาษาและวัฒนธรรมไทย และนำมาใชอ้ ย่างถูกตอ้ งและเหมาะสม

ช้ัน ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นรู้

ป.5 1. บอกความเหมือน/ความแตกต่างระหวา่ ง ความเหมือน/ความแตกต่างระหว่างการออก

การออกเสยี งประโยค เสียงประโยคชนิดต่างๆ ของเจา้ ของภาษากับ

ชนดิ ตา่ งๆ การใช้เคร่ืองหมาย ของไทย

วรรคตอน และการลำดับคำ (order) ตาม การใชเ้ ครื่องหมายวรรคตอนและการลำดับคำ

โครงสร้างประโยค ของภาษาต่างประเทศและ ตามโครงสรา้ งประโยคของภาษาตา่ งประเทศ

ภาษาไทย และภาษาไทย

2. บอกความเหมือน/ความแตกต่างระหวา่ ง ความเหมือน/ความแตกต่างระหว่างเทศกาล

เทศกาลและงานฉลอง และงานฉลองของเจ้าของภาษากบั ของไทย

ของเจ้าของภาษากับของไทย

สาระที่ 3 ภาษากับความสัมพันธ์กบั กลุม่ สาระการเรียนรูอ้ นื่

มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเช่ือมโยงความรกู้ ับกลุ่มสาระการเรยี นรูอ้ ่ืน และเป็นพื้นฐานใน
การพฒั นา แสวงหาความรู้ และเปดิ โลกทัศน์ของตน

ชน้ั ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้

ป.5 1. ค้นคว้า รวบรวมคำศพั ทท์ ีเ่ ก่ยี วข้อง การค้นควา้ การรวบรวม และการนำเสนอคำศัพทท์ ่ี

กับกลุ่มสาระการเรยี นรู้อ่ืน และ เก่ยี วข้องกับกลุ่มสาระการเรยี นรู้อืน่

นำเสนอดว้ ยการพดู / การเขียน

สาระท่ี 4 ภาษากับความสัมพันธก์ บั ชุมชนและโลก

มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณต์ ่างๆ ท้งั ในสถานศึกษา ชมุ ชน และสังคม

ชั้น ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรู้

ป.5 1. ฟงั พดู และอา่ น/เขยี นใน การใชภ้ าษาในการฟัง พดู และอ่าน/เขียนใน
สถานการณต์ ่างๆ ทเ่ี กิดขนึ้ ใน สถานการณต์ ่างๆ ทีเ่ กิดขึน้ ในห้องเรยี น
ห้องเรยี นและสถานศึกษา

สาระที่ 4 ภาษากบั ความสัมพนั ธ์กบั ชมุ ชนและโลก

มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเปน็ เคร่ืองมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการ
แลกเปลยี่ นเรยี นรูก้ บั สังคมโลก

ช้นั ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรู้

ป.5 1. ใชภ้ าษาต่างประเทศในการสบื คน้ การใช้ภาษาต่างประเทศในการสบื ค้นและการ

และรวบรวมข้อมลู ต่างๆ รวบรวมคำศพั ท์ท่ีเก่ยี วข้องใกลต้ ัว จากสอื่ และแหลง่

การเรียนรตู้ า่ งๆ

จากการศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สาระภาษาต่างประเทศ สรุปได้ว่า
การจัดการเรียนการสอนนั้นต้องจัดให้สอดคล้องกับธรรมชาติของวิชา โดยเน้นการฝึกภาษาเพื่อการสื่อสาร
ใช้ภาษาง่ายๆ ในสถานการณ์ต่างๆ มุ่งให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเรื่องราวและวัฒนธรรมอันหลากหลายของ
ประชาคมโลก สามารถเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรยี นรู้อืน่ ได้ และตอ้ งรู้วิธีการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซ่ึง
นำไปส่กู ารเรยี นรู้ตลอดชีวติ

1.2 จติ วิทยาการสอนภาษาอังกฤษ
เสงยี่ ม ไตรัตน์ (2543) ได้แบ่งจติ วิทยาการเรยี นรภู้ าษาองั กฤษ ออกเปน็ ดงั น้ี
1. การเรียนรูภ้ าษาเป็นขบวนการท่วี ับซ้อน ต้องอาศยั ความคุ้นเคยกบั ทกั ษะตา่ งๆ

การที่ทักษะจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับองค์ประกอบย่อยของแต่ละทักษะ เมื่อนักเรียนมีความสามารถ แต่ละ
ทักษะตา่ งๆ เปน็ อยา่ งดี กห็ มายถึงความสามารถใช้ภาษาเพ่ือการสอ่ื สารได้ดีดว้ ย

2. แรงจงู ใจเปน็ สง่ิ สำคญั ในการเสริมแรง และเป็นการสรา้ งความเข้าใจใน
การเรียนภาษาการให้คำชมเชย รางวัล การจัดสภาพห้องเรียนที่ส่งเสริมบรรยากาศทางการเรียนจะช่วยให้
นักเรียนพัฒนาการใช้ภาษาอย่างดี

3. การจดั กจิ กรรมในห้องเรยี น มุ่งให้นักเรยี นเกดิ ความร้สู ึกถงึ ความสำเรจ็
ความมน่ั ใจและความปลอดภยั ในการเรียน

4. การฝกึ ภาษาควรจะฝึกใชใ้ ห้เหมือนสภาพความจรงิ ในชวี ิตประจำวนั เพ่อื
นกั เรียนจะได้เลง็ เหน็ ประโยชนข์ องการเรยี น

5. การทบทวนสิ่งทีเ่ รียนมาแลว้ อย่างสม่ำเสมอจะช่วยใหน้ กั เรยี นจดจำไดน้ าน
6. การบทวน การฝกึ หัด ควรคำนึงถงึ เวลา และช่วงความสนใจของการเรยี นดว้ ย
7. การเรม่ิ ตน้ เนอ้ื หาใหม่ ควรจะสมั พันธแ์ ละสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและ
ประสบการณข์ องนกั เรยี น เพ่อื ให้นกั เรียนเช่ือมโยงความรใู้ หม่กบั ความรู้เกา่ ไดด้ ี
ทพิ วัลย์ มาแสง (2532) ไดเ้ สนอแนะวธิ ีสอนตามหลักจติ วทิ ยา ไว้ดังน้ี
1. การเรยี นรูท้ จ่ี ะเกิดข้ึนได้เมือ่ สิง่ ทีเ่ รยี นสัมพนั ธก์ ับแรงจูงใจ ความตอ้ งการและ
ประสบการณ์
2. การสอนเน้ือหาใหมน่ นั้ ควรสอนตั้งแต่ง่ายไปหายากตามลำดับ
3. การฝึกและการทำซำ้ ๆ จะทำให้ผู้เรยี นเกดิ การจำ ความแม่นยำ และคลอ่ งแคลว่
ในการใช้ภาษา
4. ในขณะทำการสอน ควรแสดงการยอมรับ ขอ้ ถกู ตอ้ งและขอ้ ผิดพลาดของผเู้ รยี น
โดยครจู ะตอ้ งบอกให้ทราบทันที อาจจะดว้ ยอาการ ท่าทางหรอื คำพูดว่าคำถามนน้ั ถูกตอ้ งหรือไม่

5. การเรียนรู้จะเกดิ ข้นึ ไดเ้ ร็วขนึ้ ถา้ สงิ่ ท่ีเรยี นมคี วามหมายในด้านวัฒนธรรมหรือ
สภาพสังคม การสรา้ งบทเรียนท่ีมีแบบฝกึ ทม่ี ปี ระโยชน์ มีความหาย และนกั เรยี นสามารถนำไปใชน้ ักเรียนจะ
เรยี นไดเ้ ร็วและจำไดเ้ รว็ ขึ้น

6. ควรใหผ้ ู้เรียนได้เรียนร้ถู ึงระดบั ของทกั ษะทางภาษาว่าส่งิ ใด เกิดขึ้นก่อนและ
หลัง (ฟัง พดู อา่ น เขยี น)

7. ความสามารถในการเรียนภาษา จะแสดงให้ทราบว่า นักเรียนควรที่จะเรียนภาษาใน
ชั้นสูงต่อไปหรอื ไม่

8. ควรสอนจากสิ่งทไ่ี มซ่ ับซอ้ น จากส่ิงที่รู้ไปหาสิ่งทีไ่ ม่รู้
9. ครูทราบถึงความสามารถ และความแตกต่างของบุคคล แต่ละบุคคลมีวิธี
การเรียนที่ไม่เหมอื นกนั และไม่เทา่ กัน
10. การใชอ้ ปุ กรณ์ช่วยในการสอน จะทำให้บทเรียนมีความหมาย และนกั เรียนจำบทเรียน
ไดง้ า่ ยย่ิงขึน้
กล่าวโดยสรุป จิตวิทยาการสอนภาษาอังกฤษ คือ ขบวนการที่ซับซ้อนที่ผู้สอนต้องอาศัย
ความคุ้นเคยกับทกั ษะต่างๆ เช่น แรงจูงใจ การสเริมแรง การให้คำชมเชย รางวัล การจัดสภาพห้องเรยี น
สร้างบรรยากาศ ความมั่นใจ ความปลอดภัย นักเรียนมีการทบทวน การฝึกหัด นักเรียนมีการเชื่อมโยง
ความรู้ใหมก่ ับความรู้เก่า เรียนจากสิ่งที่ง่ายไปหายาก เรียนจากสิ่งที่ไม่ซับซ้อนไปหาสิ่งที่ซับซ้อน จากสิ่งทีร่ ู้
ไปหาสง่ิ ทไี่ มร่ ู้ การฝกึ และการทำซำ้ ๆ ทำให้ผ้เู รยี นเกิดการจำ ความแมน่ ยำ และคล่องแคล่วในการใช้ภาษา
การสอนควรแสดงการยอมรับ ขอ้ ถกู ต้องและข้อผิดพลาดของนกั เรียนทันที อาจจะดว้ ยอาการ ทา่ ทาง หรือ
คำพูดว่าคำถามนั้นถูกต้องหรือไม่ ครูสร้างบทเรียนที่มีแบบฝึกที่มีประโยชน์ มีความหมาย และนักเรียน
สามารถนำไปใช้ เรียนได้เร็วและจำได้เร็วขึ้น ผู้เรียนได้เรียนรู้ถึงระดับของทักษะทางภาษาว่าสิ่งใด เกิดข้ึน
ก่อนและหลัง เข้าใจความสามารถ และความแตกต่างของบุคคล ครูมีการใช้อุปกรณ์ช่วยสอน และอธิบาย
ให้นักเรยี นเกิดการเรียนรดู้ ยี ิง่ ข้นึ รจู้ ักการสรา้ งสถานการณ์ในการสอน และทำให้บทเรียนมีความหมาย และ
นักเรยี นจำบทเรียนได้ง่ายย่งิ ขน้ึ

2. เอกสารเกยี่ วกบั การอา่ นและการเขียน
2.1 ความหมายของการอ่าน
การอ่านเป็นทักษะที่มีความสำคัญในชีวิตประจำวัน เพราะการอ่านจะทำให้ได้รับความรู้

ความเพลิดเพลิน ก่อให้เกิดความเข้าใจแนวคิด อารมณ์ และจินตนาการได้ นอกจากนั้น การอ่านยังมี
บทบาทสูงสุดในการเล่าเรียนด้วยเหตุนี้ นกั การศกึ ษา นกั จติ วิทยา นักภาษาศาสตร์ หลายท่านให้ความเห็น
เก่ยี วกบั ความหมายของการอ่านไวด้ งั น้ี

บนั ลือ พฤกษะวนั (2545) ไดใ้ ห้ความหมายของการอา่ นไวด้ ังน้ี
1. การอ่าน คอื การผสมเสยี งของตวั อักษรหรอื สะกดตวั ผสมคำ ซึ่งระยะหนง่ึ
เรยี กว่า “อ่านออก” เพอื่ ม่งุ ให้อ่านหนังสือได้ถกู ต้อง แตกฉาน ขยายประสบการณ์ในการอ่านคำโดยตรง
2. การอา่ น เป็นการใชค้ วามสามารถในการผสมผสานของตวั อักษรออกเสยี งเป็น
คำ เป็นประโยค ทำให้เกิดความเข้าใจความหมายของสง่ิ ทอี่ ่าน ซงึ่ ผฟู้ งั ฟังแลว้ รเู้ รอ่ื ง เรยี กวา่
“อ่านได”้
3. การอา่ น เปน็ การใชเ้ ทคนคิ การจำรปู คำ (word’s figuration) เข้าใจรูปประโยค

แล้วสรุปเรื่องราว เข้าใจเรื่องราวที่ผู้เขียนสื่อความคิดมายังผู้อ่าน คือ อ่านแล้วสามารถประเมินผลของสิ่งท่ี
อา่ นได้ เรียกวา่ “อา่ นเป็น”

4. การอา่ น เป็นการพัฒนาความคิด โดยผอู้ ่านใชค้ วามสามารถหลายๆ ดา้ น
นับตั้งแตก่ ารสงั เกต การจำรปู คำ การใชป้ ระสบการณเ์ ดิมมาแปลความ ตีความ หรือถอดความให้เกิดความ
เขา้ ใจเรอ่ื งราวท่อี ่านได้ดี ตลอดจนนำส่ิงท่อี ่านมาใชเ้ ปน็ ประโยชน์ เป็นแนวคิด แนวปฏิบัตไิ ด้ดี

สปุ ราณี ดาราฉาย และคณะ (2535), หน่วยศกึ ษานเิ ทศก์ กรมการฝึกหัดครู
(อ้างถงึ ในนภดล จันทรเ์ พญ็ . 2534, หนา้ 73), โกชยั สาริกบุตร (2519, หน้า 17) ไดใ้ หค้ วามหมายของ
การอ่านไว้เหมือนกันว่า การอ่านเป็นการแปลความหมายของตวั อักษรออกมาเปน็ ความคิด และนำความคดิ
ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ดังนัน้ หัวใจของการอ่านอยทู่ ี่ความเขา้ ใจความหมายของคำ

ประเทิน มหาขันธ์ (2534) และ สุขุม เฉลยศัพท์ (2531, หน้า 27) ได้ให้ความหมาย
ของการอา่ นไว้อยา่ งสอดคล้องกันวา่ การอา่ นเป็นกระบวนการในการค้นหาเพื่อแปลความหมายของตัวอักษร
หรอื สญั ลักษณอ์ ื่นๆ ทีใ่ ชแ้ ทนความคดิ เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ของผู้อ่าน นอกจากนแี้ ล้วการอ่านยังเป็นการ
รวบรวม การตคี วามหมาย และการประเมินความคดิ เหล่าน้นั
เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจแก่ผู้อ่าน การอ่านถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในด้านศิลปะเกี่ยวกับ
ภาษาศาสตร์

จากทกี่ ลา่ วมาทั้งหมดพอสรุปได้ว่า การอา่ น คือ กระบวนการในการแปลความหมายจาก
ภาพ จากสญั ลกั ษณต์ า่ งๆ จากตัวอกั ษร หรอื เร่ืองราวออกมาเป็นความคดิ โดยอาศัยการรวบรวมและ
ตคี วามหมายจากการอา่ น เพ่ือใหไ้ ด้มาซึง่ ความเข้าใจเปน็ สำคญั และการอ่านจะประสบความสำเรจ็ หรือไม่
ขึ้นอยู่กับความรคู้ วามสามารถและประสบการณข์ องผูอ้ า่ นเปน็ สำคัญ

2.2 จุดมุ่งหมายในการอา่ น
นักภาษาศาสตร์ และผ้เู ชย่ี วชาญทางดา้ นภาษาไดแ้ บ่งจดุ มุง่ หมายของการอา่ นออกเปน็

ขอ้ ๆ ไวด้ ังน้ี
พนั ธุ์ทพิ า หลายเลิศบญุ (2535) สมพร มนั ตะสูตร (2534) และชลุ ี อนิ ม่ัน (2533)

มีความคิดเห็นทสี่ อดคล้องกนั วา่ จุดมงุ่ หมายของการอา่ นคือ
1. อ่านเพอื่ รอบรู้
การอา่ นเพ่อื รอบรูม้ วี ัตถปุ ระสงคย์ ่อยๆ 6 ประเดน็ คอื เพื่อหาคำตอบในสง่ิ ที่

ต้องการ ได้แก่ การอ่านคำแนะนำ การอ่านเพื่อตอบปัญหาที่ข้องใจอยู่การอ่านเพื่อค้นหาความรู้ต่างๆ
ทั้งโดยย่อและอย่างละเอียดการอ่านเพื่อรับรู้ข่าวสาร ข้อเท็จจริงการอ่านเพื่อศึกษาค้นคว้าเป็นพิเศษ
เพื่อนำไปใช้ประโยชน์เรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือเพื่อเขียนตำราวิชาการ อ่านเพื่อรวบรวมข้อมูลนำมาทำรายงาน
ทำการวจิ ัย เผยแพร่ในหมูน่ กั วิชาการ ผู้สนใจทว่ั ไปอนั เป็นประโยชน์แกส่ ว่ นรวมเปน็ การอ่านเพอ่ื ต้องการรู้ใน
สิง่ ที่ผู้อ่านเปน็ ปญั หาหรือต้องการให้ความรู้ของตนเองงอกเงยหรือต้องการเพื่อประกอบอาชีพ การอ่านจึงเน้น
ถึงความรู้ในวทิ ยาการแขนงต่างๆ

2. อ่านเพื่อความคิด
การอา่ นเพือ่ ให้เกดิ ความคิด เป็นการอา่ นทแ่ี สดงทัศนะทีไ่ ดจ้ ากการอา่ นวสั ดุ

สิ่งพิมพ์ ซึ่งได้แก่ บทความ บทวิจารณ์ บทวิจัยต่างๆ การอ่านลักษณะนี้เป็นการอ่านเพื่อทำความเข้าใจ
แนวคิดสำคัญการจัดลำดับขั้นแนวความคิดของผู้เขียนพร้อมทั้งพิจารณาหาเหตุผลและแรงจูงใจในการเขียน
เร่อื งน้ันข้ึนมา

3. อ่านเพ่ือความบนั เทงิ
เปน็ การอ่านหนังสือเพือ่ การพกั ผอ่ น ผอ่ นคลายอารมณแ์ ละเปน็ การอ่านทีช่ ว่ ย

ให้เกิดความบันเทงิ ควบคู่ไปกับความคิด ไดแ้ ก่ การอา่ นหนงั สือประเภทเร่ืองส้ัน นทิ าน นยิ าย นวนิยาย
บทละคร ทงั้ ระดับท่ีเป็นวรรณกรรม หรอื วรรณคดี โดยมจี ุดมุ่งหมายในการอ่านเพ่อื ความเรงิ รมย์เป็นสำคัญ

4. อ่านเพอื่ หาความคดิ แปลกใหม่
เปน็ กระบวนการให้เกิดความคดิ สรา้ งสรรคใ์ นตัวผ้อู า่ น เช่น การอา่ นผลการ

ทดลอง การค้นคว้าวิจัย และการสเนอความคิดใหม่ในหนังสือต่างๆ ซึ่งอาจหาได้ทั้งจากหนงั สือสารคดีและ
บันเทิงคดี

5. การอ่านเพ่อื ปรบั ปรงุ บุคลิกภาพ
เป็นทยี่ อมรับกันโดยทั่วไปว่า การอา่ นเปน็ การพัฒนาความรคู้ วามคดิ และ

ทัศนคติได้ดียิ่งขึ้น ผู้รักการอ่านจึงเป็นคนทันสมัย น่าคบ สามารถที่จะเข้าร่วมสนทนากับทกุ ชนชั้น เพราะ
รับรู้ข่าวสารและพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนความรูข้ ่าวสารกับผู้อื่นได้ เนื่องจากการอ่านมากย่อมทำให้รู้มาก ทำ
ให้บุคคลเป็นที่ยอมรับของสังคม เนื้อหาข่าวสารบางประการในหนังสือจะทำให้ผู้อ่านนำมาปรับปรุง
บคุ ลิกภาพของตนได้เปน็ อยา่ งดี การอ่านจงึ ชว่ ยพัฒนาบุคลิกภาพได้เป็นอย่างดี

6. อ่านเพ่ือสนองความต้องการอนื่ ๆ
เป็นการอ่านท่ใี ชใ้ นการชว่ ยชดเชยความตอ้ งการของคนเราทยี่ ังขาดอยู่ เชน่

ความต้องการความมั่นคงในชีวิต ต้องการเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม การอ่านจึงมีส่วนช่วยชดเชยความต้องการ
โดยผ้อู า่ นใชห้ นังสือในการแก้ปญั หาของตนเองเพื่อขยายขอบเขตของความสนใจในส่ิงใหม่ หรอื เพ่ือสร้างภาพ
อารมณ์ที่ต้องการ เช่น เมื่อเกิดความรู้สึกเหนื่อย กลุ้มใจ ผู้อ่านมักจะไปพึ่งหนังสือเบาๆ เรื่องที่เคยรู้จัก
หรือเคยอ่านสนุกสนานมาอ่าน แตบ่ างครัง้ ก็อยากจะอ่านเร่อื งใหม่ๆ แนวทางใหม่ๆ เพื่อปรบั ตัวให้เข้ากับวิถี
การดำรงชวี ติ

Harris and Sipay (1979) แบง่ จดุ ม่งุ หมายของการอา่ นออกเปน็ 3 ประการ คือ
1. เพื่อพฒั นาสมรรถภาพในการอ่าน
2. เพื่อจบั ใจความสำคัญ
3. อา่ นเพอื่ ความเพลิดเพลนิ
สรปุ ไดว้ ่า จุดมงุ่ หมายของการอ่านมีมากมาย เชน่ อา่ นเพือ่ ความรู้ เพือ่ ความบนั เทิง เพื่อ
หาความคิดที่แปลกใหม่ หรือเพื่อปรับปรุงบุคลิกภาพ อ่านเพื่อจับใจความ ซึ่งแต่ละอย่างก็มีจุดมุ่งหมายใน
การอ่านทีแ่ ตกต่างกนั ทงั้ นี้กข็ ้นึ อยู่กับความต้องการของผู้อ่านที่ต้องการคน้ หาสิ่งทีเ่ ปน็ เป้าหมายในการอ่านใน
ครัง้ นั้น

2.3 ประเภทของการอ่าน
ทพิ วัลย์ มาแสง (2532) และ ฉววี รรณ บญุ ยะกาญจน (2523, อ้างถึงใน ลมโชย

ด่านขุนทด, 2544) ได้แบ่งประเภทของการอ่านอย่างกว้างๆ ไว้ด้วยกัน 2 ประเภท คือ การอ่านในใจ
(Silent Reading) และการอา่ นออกเสียง (Oral Reading)

2.3.1 การอา่ นในใจ (Silent Reading)
การอา่ นในใจ เปน็ การถา่ ยทอดตวั อักษรออกมาเปน็ ความคิดโดยตรง โดยผ้อู า่ นมี
จุดมุ่งหมายจะจบั ใจความอย่างรวดเรว็ รู้เร่อื งเรว็ และถกู ต้อง การอ่านในใจชว่ ยให้เขา้ ใจเนื้อความได้เร็วกว่า
การอ่านออกเสียง เพราะผู้อ่านไม่ตอ้ งแบ่งสมองไว้สำหรับการแปลงความคดิ ออกมาเป็นเสียง เมื่อเบื่อก็หยุด

พักได้ หลักสำคัญของการอ่านในใจ คือ ความแม่นยำในการจับตาดูตัวหนังสือ การเคลื่อนสายตา จากคำ
ต้นวรรคไปสูค่ ำท้ายวรรค และการแบ่งชว่ ยระหว่างวรรคหนึง่ ผ่านไปสู่วรรคหนึ่ง ความแม่นยำในการกวาด
สายตาเป็นส่งิ ท่ีจะตอ้ งฝกึ ใหเ้ รว็ จงึ จะสามารถเก็บคำได้ครบ ทกุ คำ การเปล่ียนบรรทัดต้องคลอ่ งแคลว่ เมื่อ
จบยอ่ หนา้ หนึง่ ควรหยุดคดิ เลก็ น้อย เพอื่ สรุปความคิดว่ายอ่ หนา้ ท่ีอ่านจบลงกลา่ วถึงอะไร เนือ้ ความสำคัญอยู่
ท่ใี ด

2.3.2 การอ่านออกเสยี ง (Oral Reading)
การอา่ นออกเสยี ง เป็นการอา่ นท่ีต้องการความถูกตอ้ งในเรื่องของเสยี ง เสียงสงู ตำ่
จังหวะ การหยุดวรรคตอนให้ถูกต้องชัดเจน เป็นกระบวนการต่อเนื่องระหว่างสายตา สมองและ การเปล่ง
เสียงออกทางช่องปาก นั่นคือ สายตาจะต้องจับจ้องตัวอักษรและเครื่องหมายต่างๆ ที่เขียนไว้แล้วสมอง
จะต้องประมวลให้เป็นถ้อยคำ จากนั้นจึงเปล่งเสียงออกมา การอ่านออกเสียงจะต้องเกี่ยวข้องกับผู้ฟังด้วย
เพราะเป็นวิธีส่อื ความหมายให้เกดิ ความเขา้ ใจกนั ได้ ภารกจิ ของผู้อ่านคือ
อ่านสารเดิมที่มีผเู้ ขยี นไวแ้ ล้ว ถ่ายทอดไปส่ผู ู้ฟัง โดยท่ีจะตอ้ งพยายามรักษาสารเดิมเอาไว้ให้ได้อย่างสมบูรณ์
ทส่ี ดุ
ลกั ษณะของการอา่ นออกเสียงทด่ี ี สรุปได้ดงั น้ี
1. ศึกษาเรื่องทอี่ ่านใหเ้ ขา้ ใจเสยี กอ่ น
2. อย่าอา่ นเร็วเกินไป หรอื ชา้ เกินไป
3. แบง่ ประโยคเปน็ ขอ้ ความสน้ั ๆ ไดอ้ ย่างเหมาะสม
4. ต้องรจู้ กั เนน้ เสียงพอเหมาะแกเ่ รือ่ ง
5. อา่ นใหด้ งั พอที่จะได้ยนิ ทัว่ ไป
6. อา่ นใหค้ ล่องชดั ถอ้ ยชัดคำ
7. รจู้ กั วธิ อี ่านเร่อื งตามประเภทของเรอื่ ง ซงึ่ เรยี กว่า อ่านตีบท
8. ผู้อา่ นไมย่ กหนงั สอื หรอื เอกสารท่ีอ่านบังหนา้ ตนเอง
9. ผูอ้ า่ นควรวางสหี นา้ ใหเ้ ป็นปกติ มีอาการอนั เป็นธรรมชาติ
10. อา่ นใหผ้ อู้ ่ืนฟงั ไดท้ นั ตอ้ งไม่เอาตนเองเป็นมาตรฐาน
วิธวี ดั คุณภาพของการอ่านออกเสยี ง ควรอ่านหนงั สือบางตอนหน้าช้ันเรียน หรอื
อ่านสูก่ นั ฟังเปน็ กลุ่มยอ่ ย ชว่ ยกันวิจารณแ์ กไ้ ข ถา้ ติชมกันด้วยความจริงใจยอ่ มรู้ขอ้ บกพรอ่ งได้ หรือใช้เคร่ือง
บันทึกเสยี ง เพื่อนำมาฟงั ทบทวนคน้ หาข้อบกพร่องกันได้อยา่ งละเอยี ดย่ิงขึ้น

2.4 การสอนอ่านออกเสียง (Teaching Pronunciation)
สมยศ เมน่ แยม้ (2530) การสอนอา่ นออกเสียงเปน็ เรื่องสำคัญมากในการสอน

ภาษาอังกฤษ เนื่องจากเสียงในภาษาอังกฤษมาเหมือนกับเสียงในภาษาไทย การออกเสียงได้ถูกต้องจะทำให้
พูดภาษาอังกฤษได้ดเี มอ่ื ตดิ ต่อกับเจ้าของภาษาจะทำให้เจ้าของภาษาอังกฤษเข้าใจ ซึ่งมีข้นั ตอนการสอนอย่าง
นอ้ ย 4 ข้ันตอนดังนี้

1. ครูออกเสยี งใหน้ กั เรยี นฟังและเขียนสญั ลกั ษณ(์ Symbol) บนกระดานดำหรอื บัตรคำ
2. การใหน้ ักเรียนแยกเสียงท่แี ตกตา่ ง (Different sound)
3. ครูออกเสียงให้นกั เรยี น แลว้ นกั เรียนออกเสียงตาม
4. นักเรียนออกเสยี งเอง คอื อาจช้ไี ปทต่ี ัวอกั ษร , สัญลกั ษณ์ หากนักเรียน
ออกเสียงผดิ ครูแก้ไขใหถ้ ูกต้อง

2.5 การวัดและประเมนิ ผลด้านการอา่ น
เพอ่ื ใหก้ ารอา่ นมปี ระสทิ ธิภาพ ครูผสู้ อนจำเป็นต้องมีการวัดและประเมินผลความรู้

ความสามารถว่ามีความก้าวหน้าเพียงใดอยู่ตลอดเวลา การวัดและประเมินผลการอ่านของเด็กจึงมีประโยชน์
มาก

นพคณุ บุญมาพิลา (2540) กลา่ วว่า การประเมินผลการอ่านอย่างถูกต้องจำเปน็ ตอ้ งอาศัย
เครอื่ งมอื ประเมนิ ผลการอ่านตอ่ ไปน้ี

1. การใช้ขอ้ สอบ มีทงั้ แบบอัตนัยและปรนยั
2. การใชแ้ บบบนั ทึกวดั พฤติกรรมจากการสังเกต การซักถามหรือสัมภาษณ์

3. เอกสารเก่ยี วกับการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะ
3.1 ความหมายและความสำคัญของแบบฝกึ ทักษะ
แบบฝกึ หรอื แบบฝึกหดั เป็นส่อื การเรยี นการสอนประเภทหน่งึ ท่ีใหน้ ักเรยี นได้ฝึก

ปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจและทักษะเพิ่มเติมขึ้น ส่วนใหญ่หนังสือเรียนจะมีแบบฝึกหัด
ท้ายบทเรียน ในบางวิชาแบบฝึกหัดจะมีลักษณะเป็นแบบฝึกปฏิบัติ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา
แห่งชาติ, 2537 : 147)

สนอง คำศรี (2537 : 147) กล่าวว่า แบบฝกึ หดั เปน็ ส่งิ ท่ชี ่วยใหน้ ักเรียนประสบ
ผลสำเร็จในการเรียนการสอน ดงั นนั้ แบบฝึกหัดจะมีลกั ษณะทีก่ ่อให้เกิดความสนุกสนานความพอใจในการ
เรยี นใหก้ ับนกั เรยี น

ขจีรัตน์ หงส์ประสงค์ (2534) กล่าววา่ แบบฝึกเป็นอุปกรณ์การเรียนการสอน อย่างหนึ่ง
ที่ครูใช้ฝึกทักษะ หลังจากที่นักเรียนได้เรียนเนื้อหาจากบทเรียนแล้ว โดยสร้างขึ้นเพ่ื อเสริมทักษะให้แก่
นักเรียน มีลักษณะเป็นแบบฝึกหัดที่มีกิจกรรมให้นักเรยี นกระทำ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความสามารถ
ของนักเรยี น

วรสุดา บุญยไวโรจน์ (2536) กล่าว่า แบบฝึกหัดเปน็ ส่ือการสอนที่จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้เรียน
ได้ศึกษา ทำความเข้าใจ ฝึกฝนจนเกิดแนวคิดที่ถูกต้อง และเกิดทักษะในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง นอกจากนั้น
แบบฝึกหัดยังเป็นเครื่องบ่งชี้ให้ครูทราบว่าผู้เรียนหรือผู้ใช้แบบฝึกหัดมีความรู้ ความเข้าใจในบทเรียนและ
สามารถนำความรนู้ ั้นไปใช้ได้มากน้อยเพียงใด ผเู้ รียนมจี ดุ เด่นที่ควรสง่ เสริมหรือจดุ ด้อยที่ควรปรับปรุง แก้ไข
ตรงไหน อย่างไร แบบฝึกหัดจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ครูทุกคนใช้ในการตรวจสอบความรู้ ความเข้าใจ
และพฒั นาทกั ษะของนักเรยี นในวชิ าต่างๆ

จากความเห็นของนักวิชาการดังกล่าว เกี่ยวกับความหมายและความสำคัญของ แบบฝึก
หรือแบบฝึกหัดจึงพอสรุปได้ว่า แบบฝึกหรือแบบฝึกหัด คือ สื่อการเรียนการสอนชนิดหนึ่งที่ใช้ฝึกทักษะ
ให้กับผู้เรียนหลังจากเรียนจบเนื้อหาในช่วงหนึ่งๆ เพื่อฝึกฝนให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ รวมทั้งเกิดความ
ชำนาญในเรื่องนั้นๆ อย่างกว้างขวางมากขึ้น ดังนั้นแบบฝึกจึงมีความสำคัญต่อผู้เรียนไม่นอ้ ยในการที่จะช่วย
เสริมสร้างทักษะให้กับผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจได้เร็วขึ้น ชัดเจนขึ้น กว้างขวางขึ้น ทำให้การสอน
ของครแู ละการเรียนของนกั เรยี นประสบผลสำเรจ็ อย่างมปี ระสิทธภิ าพ

3.2 หลักการสร้างแบบฝึกทักษะ
สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงการสร้างแบบฝึกคือขั้นตอนและหลักในการสร้างซึ่ง Seel &

Glasgow (1990) ได้เสนอแนะไว้วา่ ในการจัดสถานการณท์ างการเรยี นการสอนน้ันสามารถกำหนดขอบเขต
เน้อื หาจากหลักสตู ร โดยกำหนดจากหน่วยการเรียนย่อย ๆ ไปส่หู น่วยการเรยี นใหญ่ แตอ่ ยา่ งไรก็ตามในการ
ออกแบบการสอนหรือการสร้างแบบฝึกควรคำนงึ ถึงองค์ประกอบดังต่อไปนี้

1. เน้อื หาทีค่ ดั เลือกมาสรา้ งแบบฝกึ ตอ้ งองิ จดุ ประสงค์รายงวิชา
2. กลวธิ ีทใ่ี ช้ในการสอนตอ้ งองิ ทฤษฎแี ละผลการวจิ ยั ทม่ี ีผ้ทู ำไวแ้ ลว้
3. การวัดต้ององิ พฤตกิ รรมการเรยี นรู้
4. รู้จกั นำเทคโนโลยีมาใชป้ ระกอบเพื่อใหแ้ บบฝึกมีประสิทธภิ าพและคมุ้ ค่า
นอกจากนี้ Bock (1993) ได้เสนอหลักในการสรา้ งแบบฝกึ ดงั น้ี
1. กอ่ นทจ่ี ะสร้างแบบฝึกจะต้องกำหนดโครงร่างครา่ ว ๆ กอ่ นวา่ จะเขียน
แบบฝกึ เกย่ี วกับเรื่องอะไร มจี ดุ ประสงคอ์ ย่างไร
2. ศึกษาเอกสารทเ่ี กย่ี วข้องกับเร่อื งที่จะใช้สร้างแบบฝกึ
3. เขียนจดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรมและเนือ้ หาให้สอดคลอ้ งกนั
4. จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรมออกเปน็ กิกรรมยอ่ ย โดยคำนงึ ถงึ ความเหมาะสม
ของผู้เรยี น และเรยี งกจิ กรรมหรืองานทน่ี ักเรียนตอ้ งปฏิบตั ิจากง่ายไปหายาก
5. กำหนดอุปกรณท์ ี่จะใชใ้ นแตล่ ะตอนใหเ้ หมาะสมกับแบบฝึก
6. กำหนดเวลาท่จี ะใช้ในแบบฝึกแต่ละตอนให้เหมาะสม
7. ควรประเมนิ ผลก่อนและหลงั
นิภา เล็กบำรงุ (2518 อ้างถงึ ใน กุศยา แสงเดช, 2545) ไดก้ ลา่ วถึงหลกั ในการสร้าง
แบบฝกึ ดงั นี้
1. แบบฝกึ ตอ้ งแจม่ แจง้ และแนน่ ครจู ะต้องอธบิ ายวธิ ที ำให้ชดั เจน นักเรยี น
เขา้ ใจไดอ้ ยา่ งถูกต้อง และกำหนดขอบเขตให้แนน่ อนไม่กวา้ งเกนิ ไป
2. ใชภ้ าษาท่เี ข้าใจงา่ ย เหมาะสมกบั วัยและพ้ืนฐานความรู้ของนกั เรยี น
3. แบบฝกึ ควรเปน็ เร่ืองทีน่ กั เรียนเคยเรยี นมาแลว้ เพราะความรหู้ รอื
ประสบการณ์เดิม ยอ่ มเปน็ รากฐานของประสบการณใ์ หม่ ช่วยใหก้ ารเรยี นรู้เป็นไปไดง้ ่ายและสะดวกข้นึ
4. ช้แี จงใหน้ กั เรยี นเข้าใจความสำคัญของแบบฝกึ เพอื่ ให้นักเรียนมองเหน็
คุณคา่ อนั เป็นเครื่องเร้าใจให้นกั เรยี นทำสำเรจ็ ลลุ ว่ งไปดว้ ยดี
5. ครตู ้องเรา้ ความสนใจของนกั เรียนให้มีต่อแบบฝกึ น้ัน
6. ครเู ปน็ ผู้ตงั้ ปญั หาข้นึ และเป็นปัญหาที่ไมย่ ากเกนิ ความสนใจของนักเรียน
แต่เรา้ ความอยากรอู้ ยากเห็น และย่ัวยใุ ห้นักเรยี นอยากแกป้ ญั หานน้ั
7. การให้นักเรียนรเู้ ค้าโครงกอ่ น จะเปน็ เคร่อื งเร้าใจให้นักเรยี นทำตอ่ ไปจน
สำเร็จ
8. เน่ืองจากนกั เรียนแตล่ ะคนมีความแตกตา่ งกนั แบบฝกึ ท่กี ำหนดใหน้ ักเรียน
เก่ง นักเรียนปานกลาง และนักเรียนอ่อนนั้น ควรยากง่ายต่างกัน แต่ถ้าหากให้แบบฝึกอย่างเดียวกันก็ควร
พจิ ารณาด้านคุณภาพของแบบฝึกให้แตกต่างกนั หรอื ใหน้ ักเรียนท่ีเรียนอ่อนมเี วลาทำมากกวา่
จากที่กล่าวมาทั้งหมดหลักการสร้างแบบฝึกนั้นต้องคำนึงถึง หลักสูตร จุดประสงค์การ
เรียนรู้ จึงคัดเลือกเนื้อหาให้สอดคล้องกับหลักสูตรและจุดประสงค์ เพื่อนำไปสร้างแบบฝึก ซึ่งจะต้องมี

รูปแบบที่หลากหลาย และสามารถสร้างความเข้าใจให้กับผู้เรียนและที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือภาระงานและ
กจิ กรรมทเ่ี ลอื กใชใ้ นแบบฝกึ ต้องสอดคลอ้ งกบั รูปแบบการสอน

3.3 รปู แบบของแบบฝกึ ทักษะ
สมเดช สีแสง, สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2543 อา้ งถงึ ใน กศุ ยา แสงเดช, 2545) กล่าว

ว่า รูปแบบของแบบฝึกควรมีความหลากหลายเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เรียนเกดิ ความเบื่อหน่าย ไม่อยากทำ และ
ไดเ้ สนอรปู แบบของแบบฝกึ ไว้ดังน้ี

1. แบบถูกผดิ เป็นแบบฝกึ ท่เี ปน็ ประโยคบอกเลา่ ใหผ้ เู้ รยี นอา่ นแลว้ เลือกใส่
เครอ่ื งหมายถกู หรอื ผิดตามดลุ ยพินจิ ของผูเ้ รยี น

2. แบบจบั คู่ เปน็ แบบฝกึ ทีป่ ระกอบดว้ ยคำถามหรือตัวปญั หาซึ่งเปน็ ตัวยนื ไวใ้ น
สดมภซ์ า้ ยมือโดยมีทว่ี า่ งไวห้ น้าขอ้ เพ่อื ให้ผเู้ รยี นเลือกหาคำตอบที่กำหนดไว้ในสดมภ์ขวามือมาจับคู่กับคำถาม
ให้สอคล้องกนั โดยใชห้ มายเลขคำตอบไปวางไวท้ ่ีวา่ งหน้าข้อคำถาม หรอื จะใช้โยงเสน้

3. แบบเติมคำหรือแบบเติมขอ้ ความ เป็นแบบฝกึ ทม่ี ขี อ้ ความไว้ให้ แตจ่ ะเวน้
ช่องว่างไว้ให้ผู้เรียนเติมคำหรือข้อความที่ขาดหายไป ซึ่งคำที่นำมาเติมอาจให้เติมอย่างอิสระหรือกำหนด
ตัวเลอื กใหเ้ ตมิ ก็ได้

4. แบบหลายตัวเลอื ก เปน็ แบบฝกึ เชงิ แบบทดสอบ โดยมี 2 สว่ น คือสว่ นทีเ่ ปน็
คำถาม ซงึ่ จะตอ้ งเปน็ ประโยคคำถามทีส่ มบรู ณช์ ัดเจน สว่ นท่ี 2 เป็นตวั เลือก คอื คำตอบซึ่งอาจมี
3-4 ตวั เลอื กก็ได้ ตวั เลือกทัง้ หมดจะมีตัวเลอื กท่ีถูกตอ้ งทส่ี ุดเพยี งตวั เดยี วส่วนท่ีเหลอื เป็นตวั ลวง

5. แบบอตั นยั คอื ความเรยี งเปน็ แบบฝึกทีม่ ีตัวคำถาม ผ้เู รยี นเขียนบรรยายตอบ
อย่างเสรี ไม่จำกัดคำตอบ แต่จำกัดในเรื่องเวลา อาจใช้ในรูปคำถามทั่วไปหรือเป็นคำสั่งให้เขียนเรื่องราว
ต่างๆ กำหนดเวลาทจ่ี ะใช้ในแบบฝกึ แตล่ ะตอนให้เหมาะสมกไ็ ด้

3.4 ลักษณะของแบบฝึกทักษะที่ดี
กุศยา แสงเดช (2545) กล่าวว่า แบบฝกึ ทด่ี ีควรมีลกั ษณะดงั นี้
1. เกยี่ วขอ้ งกับเรื่องที่เรยี นมาแล้ว
2. เหมาะสมกบั วยั ระดับชัน้ ของผู้เรียน
3. มีคำช้ีแจงสั้นๆ เพื่อใหเ้ ข้าใจง่าย
4. ใชเ้ วลาทเี่ หมาะสม
5. มสี งิ่ ทน่ี า่ สนใจและท้าทายให้แสดงความสามารถ
6. ควรมขี ้อเสนอแนะในการใช้
7. มีให้เลอื กตอบอยา่ งจำกัดและตอบอย่างเสรี
8. ถ้าเปน็ แบบฝกึ ท่ตี ้องการให้ผูเ้ รียนศึกษาด้วยตนเองแบบฝกึ ควรมีหลาย

รปู แบบ
9. ควรใชภ้ าษางา่ ยๆ ฝกึ ใหค้ ดิ และสนกุ สนาน

นอกจากนี้ อารีย์ วาศนอ์ ำนวย (2545) ได้กล่าววา่ แบบฝึกที่ดีควรมีลกั ษณะดงั น้ี
คือ การสร้างต้องคำนึงถึงหลักจิตวิทยา ควรสร้างให้สอดคล้องกับ ความต้องการของผู้เรียนและควรจัด
เนื้อหาให้สอดคล้องกับ ความต้องการของผู้เรียนและควรจัดเนื้อหาให้สอดคล้องกับเนื้อหาบทเรียนที่เรียน
มาแล้ว ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับวัยและความสามารถของผู้เรียน โดยใช้เวลาอย่างเหมาะสมกับ

แบบฝึกนั้นๆ ทั้งนี้หากจะมีคำชี้แจงก็ควรสั้นๆ และใช้ภาษาที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ แบบฝึกควรมี
ลักษณะทท่ี ้าทายความสามารถ ดงึ ดูดความสนใจทจี่ ะทำ การสร้างแบบฝึกควรมีหลากหลายรปู แบบเพื่อไม่ให้
ผู้เรยี นเกดิ ความเบอื่ หนา่ ย ควรมีราคาถูกหาง่าย สามารถนำไปใช้ในชีวติ ประจำวันได้

วรสุดา บญุ ยไวโรจน์ (2536) กลา่ วแนะนำใหผ้ ูส้ รา้ งแบบฝึกได้ยึดลักษณะของ
แบบฝกึ ท่ีดี ไวด้ งั นี้

1. แบบฝึกท่ดี ีควรมคี วามชดั เจนท้ังคำสง่ั และวิธีทำ สั่งหรือตวั อยา่ งแสดงวธิ ี
ทำที่ใช้ไม่ควรยาวเกินไป เพราะจะทำให้เข้าใจยาก ควรปรับปรุงได้ง่าย เหมาะสมกับผู้ใช้ ทั้งนี้เพื่อให้
นักเรยี นสามารถศึกษาไดด้ ้วยตนเองไดถ้ ้าต้องการ

2. แบบฝึกทด่ี คี วรมีความหมายตอ่ ผู้เรียนและตรงตามจดุ มงุ่ หมายของการฝกึ
ลงทนุ นอ้ ย ใชไ้ ด้นานและทนั สมัยอย่เู สมอ

3. ภาษาและภาพท่ใี ช้ในแบบฝึกหัดควรเหมาะสมกบั วัยและพ้ืนฐานความรู้
ของผูเ้ รยี น

4. แบบฝึกหดั ท่ดี คี วรแยกฝกึ เป็นเรือ่ งๆ แตล่ ะเรื่องไมค่ วรยาวเกนิ ไปแต่ควร
มกี ิจกรรมหลายรปู แบบ เพื่อเรา้ ใหน้ ักเรยี นเกดิ ความสนใจและไม่น่าเบ่ือหนา่ ยในการทำ และเพื่อฝึกทักษะใด
ทกั ษะหนง่ึ จนเกิดความชำนาญ

5. แบบฝกึ ที่ดีควรมที ั้งแบบกำหนดคำตอบให้ แบบใหต้ อบโดยเสรี
การเลือกใช้คำ ขอ้ ความ หรอื รูปภาพในแบบฝึกหัด ควรเปน็ ส่งิ ท่นี กั เรยี นค้นุ เคย และตรงกับความในใจของ
นักเรียน เพื่อว่าแบบฝึกหัดที่สร้างขึ้นจะได้ก่อให้เกิดความเพลดิ เพลินและพอใจแก่ผู้ใช้ ซึ่งตรงกับหลักการ
เรยี นรู้ที่วา่ เด็กมักจะเรยี นรูไ้ ด้เรว็ ในการกระทำที่ก่อใหเ้ กดิ ความพึงพอใจ

6. แบบฝกึ หัดทีด่ คี วรเปดิ โอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ใหร้ ู้จักคน้ คว้า
รวบรวมส่ิงท่พี บเห็นบ่อยๆหรือทต่ี ัวเองเคยใช้ จะทำให้นักเรียนเข้าใจเรื่องนัน้ ๆมากยิ่งขึ้น และรู้จักนำความรู้
ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง มีหลักเกณฑ์และมองเห็นว่าสิ่งที่เขาได้ฝึกฝนนั้นมีความหมายต่อเขา
ตลอดไป

7. แบบฝกึ หัดทด่ี ี ควรตอบสนองความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ผ้เู รียนแตล่ ะ
คนมีความแตกต่างในหลายๆ ด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญาและ
ประสบการณ์ ฯลฯ ฉะนั้นการทำแบบฝึกหัดแต่ละเรื่องควรจดั ทำใหม้ ากพอและมีทกุ ระดับ ตั้งแต่ง่าย ปาน
กลางจนถึงระดับค่อนข้างยาก เพื่อว่าท้ังเด็กเก่ง กลางและอ่อน จะได้เลือกทำได้ตามความสามารถ ทั้งน้ี
เพ่ือให้เด็กทุกคนประสบผลสำเร็จในการทำแบบฝึกหัด

8. แบบฝึกหัดท่ดี ี ควรสามารถเร้าความสนใจของนักเรียนได้ตง้ั แตห่ นา้ ปกไป
จนถงึ หนา้ สุดท้าย

9. แบบฝึกหัดทด่ี คี วรได้รบั การปรบั ปรุงควบคู่ไปกบั หนังสอื เรียนอยู่เสมอและ
ควรใช้ไดด้ ีทงั้ ในและนอกหอ้ งเรยี น

10. แบบฝกึ หดั ทดี่ คี วรเปน็ แบบฝึกหดั ที่สามารถประเมนิ และจำแนกความ
เจรญิ งอกงามของเด็กได้ด้วย

ขันธชัย มหาโพธิ์ (2535 : 20) กลา่ ววา่ ลกั ษณะของแบบฝกึ ท่ดี ีควรประกอบด้วย
1. มเี นือ้ หาทต่ี รงกบั จุดประสงค์
2. กิจกรรมเหมาะสมกับระดับหรอื ความสามารถของนักเรยี น

3. มภี าพประกอบ มีการวางฟอร์มทีด่ ี
4. มที ่วี า่ งเหมาะสมสำหรับฝึกเขียน
5. ใชเ้ วลาท่เี หมาะสม
6. ทา้ ทายความสามารถของผเู้ รียนและสามารถนำไปฝึกด้วยตนเองได้
บรูค๊ (Brook. 1964 : 212-215) ได้เสนอรปู แบบฝกึ ไว้หลายชนิดทเี่ ปน็ ประโยชน์
ในการฝกึ ทกั ษะทางภาษา มดี งั ต่อไปน้ี
1. การเลียนคำ (Repetition) ฝึกโดยใหน้ กั เรียนเลียนแบบครู
2. การเปลยี่ นโครงสร้างของประโยค (Transformation)
3. การแทนทขี่ องคำโดยเปลย่ี นคำนามเป็นสรรพนาม (Replacement)
4. แตง่ บทโต้ตอบ (Rejoinder) ให้นักเรียนแตง่ ประโยคโตต้ อบประโยคที่
กำหนดให้
5. การเรยี บเรยี งขอ้ ความใหม่ (Restatement) หรอื หาขอ้ ความมาเติม
จากรปู แบบลกั ษณะของแบบฝกึ ทีก่ ลา่ วมาขา้ งตน้ จะเห็นว่ามีหลากหลายลกั ษณะ ผู้สรา้ งแบบฝกึ
เองจะต้องเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับจุดประสงค์ในการสร้างแบบฝึกนั้นๆว่าเราต้องการที่จะฝึกทักษะใดกับ
นกั เรียน เน้ือหาสาระสำคญั ของหลักสตู ร วัยของผู้เรยี น ทงั้ นี้จะยดึ หลักการพฒั นาการของผ้เู รียน เพ่ือให้ได้
แบบฝกึ ทักษะท่ีมคี ุณภาพและมีประสทิ ธภิ าพ

4. แนวคดิ และทฤษฎที ีเ่ กย่ี วกบั การสอนทกั ษะการอ่านวชิ าภาษาองั กฤษโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ
การสอนอา่ นโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ ผูว้ ิจัยได้ยึดทฤษฎกี ารเรียนรู้และหลกั การเรยี นรู้ ดงั นี้
1. ทฤษฎีการเรียนรู้ของ Thorndike
Thorndike ได้เป็นผู้ให้กำเนิดทฤษฎีการเรียนรู้ที่เน้นความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้า

(S) กับการตอบสนอง (R) เขาเชอ่ื วา่ การเรียนรจู้ ะเกดิ ขนึ้ ไดตอ้ งสรา้ งสิง่ เช่ือมโยงหรือพันธะระหว่างส่ิงเร้ากับ
การตอบสนอง ซึ่งทฤษฎกี ารเรียนรูข้ อง Thorndike มีอยู่ 3 ขอ้ คือ

1) กฎแห่งความพร้อม (Law of readiness) กล่าวถึงความพร้อมของผู้เรียนทั้งร่างกาย
จิตใจ ทางร่างกาย หมายถึงความพร้อมทางวุฒิภาวะและอวัยวะของร่างกาย เช่น หูและตา ทางจิตใจ
หมายถึงความพร้อมที่เกิดจากความพึงพอใจเป็นสำคัญ คือถ้าเกิดความพอใจจะนำไปสู่การเรียนรู้ ถ้าไม่เกิด
ความพอใจจะทำใหก้ ารเรียนรู้หยุดชะงกั ไปได้

2) กฎแห่งการฝึกหัด (Law of exercise) กล่าวถึงความมั่นคงของการเชื่อมโยงระหว่าง
สิง่ เรา้ กับตอบสนองที่ถกู ตอ้ ง โดยการฝกึ หดั ทำซ้ำบอ่ ยๆ ย่อมทำใหเ้ กดิ การเรยี นร้ไู ดน้ านและคงทาถาวร

3) กฎแห่งผล (Law of effect) กล่าวถึงผลที่ได้รับ เมื่อแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้แล้ว
ว่า ถ้าได้รับผลที่พอใจ อินทรีย์ก็อยากจะเรียนรู้ต่อไป แต่ถ้าได้รับผลที่ไม่พอใจ อินทรีย์ก็ไม่อยากเรียนรู้
หรอื เกิดความเบือ่ หน่ายตอ่ การเรยี นรู้

จากทฤษฎีการเรียนรู้ของ Thorndike ท้ัง 3 ข้อ ดังที่กล่าวมานี้ ผู้วิจัยได้นำมา
ประยกุ ตใ์ ช้ท้ัง 3 ข้อ กลา่ วคอื จากกฎข้อที่ 3.1 ของ Thorndike กล่าวถงึ กฎแหง่ ความพร้อม ผู้วิจัย
ได้นำไปใช้ทุกขั้นตอนของการสอนเพราะผู้วิจัยเองเชื่อว่าเด็กจะเรียนรู้ได้ดีจะต้องมีความพร้อมก่อน ซึ่งเป็น
ประเดน็ สำคญั ทผี่ ู้สอนทุกคนก็ต้องตระหนัก กลา่ วคือไม่ว่าจะเป็นขน้ั นำ ข้นั สอน ขั้นสรุป และข้ันวัดผล
และประเมินผล ผู้เรียนจะต้องมีความพร้อมทั้งสิ้น ส่วนกฎข้อที่ 3.2 กฎแห่งการปฏิบัติ ผู้วิจัยก็ได้นำมา
ประยกุ ตใ์ ช้กบั ข้นั สอนในขน้ั ตอนการฝกึ ปฏบิ ตั ิ

จากกฎข้อท่ี 3.3 กฎแหง่ ผล ผ้วู ิจยั ได้นำไปใช้เช่นกัน คอื ได้นำไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นข้นั สรปุ การสอน
ไพบูลย์ เทวรักษ์ (2540) ได้กล่าวถึงกฎการฝึกหัดไว้ว่า การฝึกหัดให้บุคคลทำกิจกรรม

ตา่ งๆ นนั้ ผ้ฝู กึ จะต้องควบคมุ และจัดสภาพการให้สอดคล้องกับวัตถุประสงคข์ องตนเอง บุคคลจะถูกกำหนด
ลกั ษณะพฤตกิ รรมทแ่ี สดงออก

ดังนั้น ผู้สร้างแบบฝึกจึงจะต้องกำหนดกิจกรรมตลอดจนคำสั่งต่างๆ ในแบบฝึกให้ผู้ฝึกได้
แสดงพฤติกรรมสอดคลอ้ งกับวัตถปุ ระสงค์ทผ่ี ้สู ร้างตอ้ งการ

2. ทฤษฎพี ฤติกรรมนิยมของสกนิ เนอร์
ซึ่งมีความเชื่อวา่ สามารถควบคุมบุคคลให้ทำตามความประสงค์ หรอื แนวทางท่ี

กำหนดได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกทางจิตใจของบุคคลผู้นั้นว่าจะรู้สึกนึกคิดอย่างไร โดยมีการเสริมแรง
เป็นตัวการเมื่อบุคคลตอบสนองการเร้าของสิ่งเร้าควบคู่กันในช่วงเวลาที่เหมาะสม สิ่งเร้านั้นจะรักษาระดับ
หรือเพม่ิ การตอบสนองให้เข้มข้ึน

3. วธิ กี ารสอนของกาเย่
ซึ่งมคี วามเห็นวา่ การเรียนร้มู ีลำดับขัน้ และผู้เรียนจะตอ้ งเรียนร้เู นอ้ื หาท่งี ่ายไปหายาก
พรรณี ช.เจนจิต (2538) ไดก้ ลา่ วถึงแนวคิดของกาเย่ ไวด้ งั นี้
การเรียนรู้มีลำดับขั้น ดังนั้นก่อนที่จะสอนเด็กแก้ปัญหาได้นั้น เด็กจะต้องเรียนรู้ความคิด

รวบยอด หรอื กฎเกณฑ์มาก่อน ซ่งึ ในการสอนใหเ้ ดก็ ไดค้ วามคิดรวบยอดหรือกฎเกณฑน์ นั้ จะทำใหเ้ ดก็ เป็นผู้
สรุปความคิดรวบยอดด้วยตนเองแทนที่ครจู ะเป็นผูบ้ อก การสรา้ งแบบฝึกจึงควรคำนึงถงึ การฝึกตามลำดับขั้น
จากงา่ ยไปหายาก

โดยสรปุ แล้วผูว้ จิ ัยก็ได้นำแนวคดิ ของทฤษฎตี ่างๆ ที่ไดก้ ลา่ วมาไปใชใ้ นทกุ ขัน้ ตอน
ทั้งขั้นนำ ขั้นสอน ขั้นสรุปและขั้นวัดผลและประเมินผล ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
และมีแรงกระตนุ้ ในการท่จี ะรกั การอ่านให้มากที่สุด
5. งายวจิ ัยทเ่ี กี่ยวขอ้ ง

5.1 งานวิจัยในประเทศ
วิไลรัตน์ วสุรีย์ (2545) ศึกษาการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้

เอกสารจริงเกี่ยวกับท้องถิ่น ในรายวิชา อ 0112 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนพิบูล
วิทยาลัย จงั หวัดลพบรุ ี กล่มุ ตัวอยา่ งจำนวน 45 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. ประสิทธิภาพของแบบฝกึ ทักษะ
การอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้เอกสารจริงเกี่ยวกับท้องถน่ิ มีค่าเท่ากบั 87.80/80.50 2. ความสามารถในการ
อ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังการใช้แบบฝึกเสริมทักษะ การอ่านสูงกว่าก่อนการใช้แบบฝึกอย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3. นักเรียนมีความคิดเห็นที่ดีต่อแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ
โดยใชเ้ อกสารจรงิ เกย่ี วกับท้องถิ่นท่ผี ู้วจิ ัยสรา้ งข้ึน

อรชร วงษ์ษา (2548) ได้ศึกษาการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ในกลุ่มสาระ การ
เรยี นรูภ้ าษาต่างประเทศ (วิชาภาษาอังกฤษ) โดยใชน้ ทิ านพ้นื บ้านอีสานเปน็ สื่อ สำหรับนกั เรียนช่วงช้ันท่ี 3
(ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2) กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 35 คน ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
ภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังสิ้นสุดการทดลองวงจรตามแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้นิทานพื้นบ้านอีสาน
เป็นสื่อ มีจำนวนนักเรียนที่สอบผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม จำนวน 27 คน คิดเป็นร้อยละ
77.14

สุจิตรา ศาสตรวาหา (2541 อ้างถึงใน รุ่งวนา สุดจิตต์, 2545) ได้ทำการศึกษา
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในชั้นเรียนที่มีการสอนแบบ

สื่อสารโดยมีนิทานเป็นองค์ประกอบ กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 30 คน
แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 15 คน กลุ่มควบคุม 15 คน ทำการสอนแบบสื่อสารที่มีนิทานเป็นองค์ประกอบ
จำนวน 3 เรื่อง ในกลุ่มทดลองส่วนกลุ่มควบคุมทำการสอนตามคู่มือครู นิทานที่เลือกใช้เป็นนิทานของชน
ชาติอื่น มีการสังเกตพฤติกรรมระหว่างเรียนทั้ง 2 กลุ่ม ผลการวิจัยสรุปได้ว่านักเรียนในกลุ่มทดลองมี
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มควบคุม ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
แสดงให้เห็นว่าแนวทางการเรียนการสอนแบบสื่อสารโดยมีนิทานเป็นองค์ประกอบ เป็นแนวการสอนที่ดี
มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้นักเรียนมีความก้าวหน้าและพัฒนาทักษะทางภาษาทั้ง 4 ด้าน จากการสังเกต
พฤติกรรมในขณะที่เรียนพบว่านักเรียนในกลุ่มทดลองมีการแสดงพฤติกรรมที่อยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่านักเรียนใน
กลุม่ ควบคุม ทัง้ นเ้ี พราะนกั เรยี นในกลมุ่ ทดลองมีความสนใจชื่นชอบทำใหส้ ามารถทำความเข้าใจเนอื้ หาที่เรียน
ได้ดี

วิไลลักษณ์ ลาจันทึก (2548) ได้ศกึ ษาการพฒั นาทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษโดยใชห้ นังสือ
การ์ตูนประกอบบทเรียนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
ผลการวิจัยพบว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้หนังสือการ์ตูนประกอบบทเรียนสง่ เสริมให้นกั เรียนได้เรียนรู้และฝึก
ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษด้วยตนเอง มีปฏิสัมพันธ์ในการช่วยเหลอื กัน ในการเรียนรู้ และหนังสือการ์ตูน
ได้ช่วยกระตุ้นความสนใจของนักเรียนให้เกิดความกระตือรือร้นและเข้าใจบทเรียนมากยิง่ ขึ้น ผลการทดสอบ
ผู้เรียนพบว่านักเรียนมกี ารพัฒนาทางด้านการอ่านภาษาอังกฤษในด้านทักษะการอ่านออกเสียงคิดเป็นร้อยละ
68 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมดและด้านทักษะการอ่านในใจ นักเรียนทุกคนผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด
ด้านความคิดเห็นพบว่านักเรียนมีความคิดเห็นสอดคล้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการ
อ่านภาษาองั กฤษโดยใชห้ นังสือการต์ นู ประกอบบทเรียนในทกุ ๆ ดา้ น

5.2 งานวิจยั ต่างประเทศ
ลอเรย์ (Lawrey. 1978 : 817-A) ได้ศึกษาผลสัมฤทธ์ิของการใช้แบบฝึกทักษะกับนักเรยี น

ระดับ 1 ถึงระดับ 3 จำนวน 87 คน พบว่านกั เรียนที่ไดร้ ับการฝึกโดยใช้แบบฝึกทักษะ มีคะแนนหลงั
การทำแบบฝกึ มากกว่าคะแนนการทดสอบก่อนการทำแบบฝกึ ทักษะ

แมคพิค (Mcpeake. 1979 : 7199-A) ได้ศึกษาผลการเรียนจากแบบฝึกอย่างเป็นระบบ
ตั้งแต่เริ่มศึกษาจนถึงความในการอ่านและเพศที่มีต่อความสามารถในการ สะกดคำของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปที ี่ 6 พบว่าแบบฝกึ ชว่ ยปรบั ปรงุ ความสามารถในการสะกดคำของนักเรยี นทกุ คน แต่เวลา 12
สัปดาห์ไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการถ่ายโยงการเรียนรู้ ในการสะกดคำไปสู่คำใหม่ที่ยังไม่ได้ศึกษา และ
คะแนนนักเรียนหญิงสูงกว่านักเรียนชายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้การอ่านยังมีความสัมพันธ์กับ
ความสามารถในการสะกดคำ

จากการศึกษางานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศสรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะเป็นสื่อการ
เรยี นการสอนท่ีสำคัญสำหรบั นักเรยี น ทำให้นกั เรียนสนใจบทเรยี น เกดิ ความสนกุ สนาน เพลดิ เพลิน ช่วยให้
ผู้เรียนเรียนรู้และเข้าใจบทเรียนได้เร็ว ทำให้การสอนของครู การเรียนของนักเรียนมีประสิทธิภาพและ
นักเรียนมีพฒั นาการทกั ษะทางภาษาได้ดยี งิ่ ข้ึน

บทท่ี 3

วิธดี ำเนนิ การวิจยั

ในการศึกษาการพฒั นาทกั ษะการอ่านและการเขยี นสะกดคำภาษาองั กฤษ โดยใช้แบบฝกึ
ทกั ษะของนกั เรียนระดับประกาศนียบตั รวชิ าชีพ ชั้นปที ่ี 1 แผนกวิชาอิเลก็ ทรอนกิ ส์ กลุ่ม 1,2 ซึ่งดำเนินการ
วจิ ัยในภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2563 ผู้วจิ ยั ไดด้ ำเนนิ การวิจยั โดยลำดบั ขน้ั ตอนดังน้ี

1. ประชากร/กลมุ่ ตวั อยา่ ง
2. เครอ่ื งมือและวธิ กี ารสร้างเครอ่ื งมือ
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
4. การจัดกระทำข้อมลู
5. การวิเคราะหข์ ้อมูล
6. สถิติทใี่ ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู

ประชากร/กล่มุ ตัวอย่าง
1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในเรื่องนี้ ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ

ชั้นปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 วิทยาลัยเทคนิคสว่างแดนดิน สำนักงาน
คณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา จำนวน 40 คน

2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในเรื่องนี้ ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ
ชั้นปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 วิทยาลัยเทคนิคสว่างแดนดิน สำนักงาน
คณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน 20 คน โดยใช้วิธีการสุม่ แบบกลุ่ม (Cluster Random
Sampling)

เคร่ืองมอื และวิธีการสรา้ งเครอื่ งมือ
เคร่อื งมอื ท่ีใชใ้ นการวิจยั มดี ังน้ี
1. แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำพื้นฐานภาษาอังกฤษที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น

จำนวน 10 ชดุ
2. แบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรียนท่ีผศู้ กึ ษาสรา้ งข้ึน จำนวน 1 ชุด

วธิ ีการสร้างและการหาคุณภาพของเครือ่ งมือ
ขัน้ ตอนการสร้างเครื่องมือและการหาคณุ ภาพของเคร่ืองมือ
1. แบบฝกึ ทกั ษะการอ่านและการเขียน มีขนั้ ตอนในการสรา้ งดังน้ี

1.1 ศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี หลักการจากเอกสาร และงานวิจัยทเี่ กี่ยวข้องกับการสรา้ ง
แบบฝกึ ทักษะ

1.2 ศึกษาหลักสูตรประกาศนยี บตั รวชิ าชีพ พทุ ธศกั ราช 2562 ในกลุ่มสาระ
การเรียนรูภ้ าษาต่างประเทศ

1.3 ศกึ ษาหลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ
1.4 ศกึ ษาแนวการสร้างแบบฝึกทักษะ

1.5 วเิ คราะหเ์ นื้อหา และผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวงั รายปี
1.6 จัดทำแบบฝึกทักษะการอา่ นและการเขยี น จำนวน 10 ชุด
1.7 นำขอ้ เสนอแนะจากผู้เชีย่ วชาญ เพ่อื ปรับปรุงแก้ไขแบบทดสอบก่อนเรยี นและ
หลังเรียน แลว้ นำไปจดั พิมพเ์ ปน็ เครอื่ งมอื ที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ต่อไป
2. แบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรยี น มขี ้ันตอนในการสร้างดังน้ี
2.1 กำหนดนำ้ หนกั ข้อสอบ
2.2 สร้างแบบทดสอบ เป็นแบบอัตนัย ให้นักเรียนเขียนตอบซึ่งมีคำตอบที่ถูกต้องเพียง
คำตอบเดยี ว ครอบคลุมเนื้อหาและวตั ถุประสงคก์ ารเรียนรขู้ องเนอื้ หาแตล่ ะหนว่ ยการเรียน จำนวน 1 ชุด
2.3 นำข้อเสนอแนะจากผู้เช่ียวชาญ เพ่อื ปรบั ปรงุ แก้ไขแบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น
แล้วนำไปจัดพมิ พ์เปน็ เครือ่ งมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป

การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
การวิจยั ในครัง้ น้ผี ้วู จิ ยั ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยไดด้ ำเนนิ การตามขน้ั ตอนดังนี้
1. ปฐมนิเทศนกั เรยี นพร้อมช้ีแจงวัตถปุ ระสงค์
2. เก็บรวบรวมข้อมูลก่อนการทดลอง ผู้ศกึ ษาไดน้ ำแบบทดสอบก่อนเรยี น จำนวน 1 ชดุ ให้

นกั เรียนทำการทดสอบ ใช้เวลา 1 ช่วั โมง
3. เกบ็ รวบรวมข้อมลู ขณะดำเนินการทดลอง ผู้วิจยั ดำเนินการสอนด้วยตนเองและขณะทำการสอน

ผ้วู ิจยั ได้เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากการตรวจแบบฝึกทกั ษะ
4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู หลังการทดลอง หลงั จากทำการทดลองสอนครบทัง้ 10 แบบฝกึ

นกั เรยี นทำแบบทอสอบหลังเรยี น

การวเิ คราะหข์ ้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลโดยนำข้อมลู ที่ได้มาหาความถี่แลว้ วิเคราะห์ บรรยายเป็นความเรียง ประกอบ

ตาราง โดยเปรียบเทยี บความแตกตา่ งคะแนนเฉล่ีย ค่าร้อยละ ระหว่างการทดสอบคร้ังแรกกบั คร้งั หลงั ของ
กลุ่มตวั อยา่ งและเปรยี บเทียบคะแนนการทำแบบฝกึ ทักษะกับคะแนนทดสอบหลังเรยี น

6.1 สถติ ิท่ใี ช้
1) หาคา่ เฉลีย่ (Mean) ของคะแนนใช้สูตร ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ

(2538)

x = X/N

เมอื่ x แทน คะแนนเฉล่ีย

 X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด
N แทน จำนวนนกั เรียนในกลมุ่ ตัวอย่าง

2) หาค่าร้อยละ (Percentage) ใชส้ ตู ร ศกั รนิ ทร์ สุวรรณโรจน์
และคณะ (2538)

คา่ รอ้ ยละ = XN  100
เมอ่ื X แทน คะแนนทไ่ี ด้

N แทน คะแนนเต็ม

3) หาคา่ ประสิทธภิ าพ ใช้สตู ร ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ (2537)
สตู รท่ี 1
E1 = X / N  A  100
เม่ือ E1 แทน ประสทิ ธิภาพของกระบวนการ
X แทน คะแนนรวมของแบบฝกึ หัดหรอื งาน
A แทน คะแนนเกบ็ ของแบบฝึกหดั ทกุ ชิ้นรวมกัน
N แทน จำนวนผูเ้ รียน
สูตรท่ี 2
E2 = F/N  B  100
เมื่อ E2 แทน ประสทิ ธภิ าพของผลลพั ธ์
F แทน คะแนนรวมของผลลัพธห์ ลังเรียน
B แทน คะแนนเต็มของการสอบหลังเรยี น
N แทน จำนวนผู้เรียน

บทท่ี 4

ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู

ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้สร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำพื้นฐานภาษาอังกฤษ
สำหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 แล้วได้นำไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับ
ประกาศนียบตั รวชิ าชพี ชั้นปีที่ 1 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563 วทิ ยาลยั เทคนคิ สวา่ งแดนดิน สำนักงาน
คณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา
ไดว้ เิ คราะห์ขอ้ มูล และเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูลตามลำดับ ดงั น้ี

1. สญั ลกั ษณท์ ี่ใชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู
2. ลำดับขน้ั ตอนในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
3. ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล

1. สญั ลกั ษณ์ท่ีใชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมลู

เพื่อใหก้ ารนำเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูลเปน็ ท่เี ข้าใจตรงกัน ไดก้ ำหนดความหมายของสัญลกั ษณ์ทใ่ี ช้
นำเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูลดงั นี้

N แทน จำนวนนกั เรยี นกลมุ่ ตัวอย่าง
X แทน คะแนนเฉล่ยี

 D แทน ผลบวกของผลต่างของคะแนนครง้ั หลงั กับครั้งแรก
 D2 แทน ผลบวกของผลต่างของคะแนนคร้งั หลังกบั คร้ังแรกท่ีแตล่ ะตวั

ยกกำลังสอง

2. ลำดบั ขั้นตอนในการวิเคราะหข์ ้อมูล

2.1 คะแนนจากการทดสอบยอ่ ยเพื่อพัฒนาทักษะการอา่ นและการเขยี นสะกดคำพื้นฐาน
ภาษาองั กฤษ ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชัน้ ปีที่ 1 แผนกวิชาอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่ม 1,2 โดยใช้
แบบฝึกทักษะ

2.2 ผลการหาประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธิผลของการจัดการเรียนรูเ้ พือ่ พัฒนาทักษะการอา่ นและการ
เขยี นสะกดคำพ้ืนฐานภาษาอังกฤษ

3. ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล

3.1 คะแนนจากการจัดการเรียนร้เู พ่อื พัฒนาทักษะการอา่ นและการเขียนสะกดคำพนื้ ฐาน
ภาษาองั กฤษ ของนักเรียนระดบั ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปที ี่ 1 แผนกวชิ าอิเลก็ ทรอนิกส์ กลุ่ม 1,2 ภาค
เรยี นท่ี 2
ปีการศึกษา 2563 วทิ ยาลัยเทคนคิ สวา่ งแดนดนิ โดยใช้แบบฝกึ ทักษะ ผรู้ ายงานไดท้ ำการทดสอบย่อยทุก
ชวั่ โมงหลังจากสอนคำศัพทโ์ ดยใชส้ อ่ื ประกอบการสอนไดผ้ ลตามตาราง ดงั น้ี

ตารางที่ 1 คะแนนจากการทดสอบตามแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำพืน้ ฐานภาษาองั กฤษ
โดยใชแ้ บบฝึกทักษะ

แบบฝึกทักษะการอา่ น คะแนนเตม็ คะแนนรวม คะแนนเฉลยี่ คะแนนเฉลี่ยรอ้ ย
ละ
แบบฝกึ ทักษะ ชุดที่ 1 10 170 8.50 85.00
แบบฝกึ ทักษะ ชุดที่ 2 10 176 8.80 88.00
แบบฝึกทักษะ ชดุ ที่ 3 10 173 8.55 85.50
แบบฝึกทกั ษะ ชดุ ท่ี 4 10 175 8.75 87.50
แบบฝกึ ทักษะ ชดุ ที่ 5 10 178 8.90 89.00
แบบฝกึ ทักษะ ชดุ ท่ี 6 10 175 8.75 87.50
แบบฝึกทักษะ ชุดท่ี 7 10 179 9.00 90.00
แบบฝกึ ทักษะ ชุดที่ 8 10 180 9.05 90.50
แบบฝกึ ทักษะ ชุดที่ 9 10 182 9.10 91.00
แบบฝึกทกั ษะ ชุดที่ 10 10 184 9.20 92.00
120 1772 88.60 886
รวม 8.86 88.60
เฉล่ยี

จากตารางที่ 1 พบว่า คะแนนจากการทดสอบย่อยเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำ
พื้นฐานภาษาอังกฤษ ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวชิ าชีพ ชั้นปีที่ 1 มีคะแนนเฉลี่ย 8.86 จากคะแนน
เตม็ 10 คะแนน คิดเป็นรอ้ ยละ 88.60 ของคะแนนเตม็ ซึ่งสงู กวา่ เกณฑท์ ่ีตงั้ ไว้

บทที่ 5

สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ

การวจิ ัยในครัง้ นี้ ผู้วจิ ยั ได้ดำเนินการพฒั นาทักษะการอา่ นและการเขยี นสะกดคำพื้นฐานภาษาองั กฤษ
ของนักเรียนระดับประกาศนียบตั รวชิ าชีพ ช้นั ปีท่ี 1 แผนกวิชาอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่ม 1,2 โดยใชแ้ บบฝึกทักษะ
ซ่ึงสรุปได้ ดงั น้ี

วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย

1. เพื่อพฒั นาแบบฝกึ ทักษะการอา่ นและการเขียนสะกดคำพ้ืนฐานภาษาองั กฤษ
ของนกั เรยี นระดบั ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ช้ันปีที่ 1 ใหม้ ีคณุ ภาพตามเกณฑ์ 80/80

2. เพ่ือเปรียบเทียบผลสมั ฤทธท์ิ าการเรียนกอ่ นการใช้แบบฝกึ กับหลงั การใชแ้ บบฝึกทักษะ
การอา่ นและการเขยี นสะกดคำพน้ื ฐานภาษาองั กฤษ ของนักเรียนระดับประกาศนยี บตั รวชิ าชีพ ชน้ั ปที ่ี 1

ขอบเขตของการวจิ ัย

1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในเรื่องนี้ ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 วิทยาลัยเทคนิคสว่างแดนดิน สำนักงานคณะกรรมการการ
อาชวี ศึกษา จำนวน 40 คน

2. กลมุ่ ตวั อยา่ งทใี่ ช้ในการวจิ ัยในเรื่องนี้ ไดแ้ ก่ นักเรียนระดบั ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีท่ี 1 ภาค
เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 วิทยาลัยเทคนิคสว่างแดนดิน สำนักงานคณะกรรมการการ
อาชีวศึกษา จำนวน 20 คน โดยใช้วิธกี ารสุม่ แบบกล่มุ (Cluster Random Sampling)

สรุปผลการวจิ ัย

ผวู้ ิจัยได้สรปุ ผลการวิจัยตามประเดน็ ทศี่ ึกษา ดังน้ี
1. การจดั การเรียนรู้เพ่ือพัฒนาทักษะการอา่ นและการเขยี นสะกดคำภาษาองั กฤษ ของ

นกั เรียนระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชพี ชั้นปที ่ี 1 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563 โดยใชแ้ บบฝึกทักษะที่
ผู้วจิ ยั สร้างข้นึ มปี ระสิทธิภาพ 88.60/86.83 ซึ่งสงู กวา่ เกณฑท์ ตี่ ้ังไว้ 80/80

2. นักเรยี นมผี ลสัมฤทธ์ิทางการอา่ นและการเขียนคำภาษาอังกฤษโดยรวมสูงขน้ึ

อภิปรายผลการวจิ ัย

ผลการวิจัย พบว่า การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำพื้นฐาน
ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563
วิทยาลัยเทคนิคสว่างแดนดิน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดยใช้แบบฝึกทักษะที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมี
ประสิทธิภาพ 88.60/86.83 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ หมายความว่า นักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยจากการจัดการ
เรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ คิดเป็นร้อยละ 88.60 และได้คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนคิดเป็น
ร้อยละ 86.83 สื่อที่สรา้ งขึน้ มีประสิทธิภาพตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 ซงึ่ เป็นไปตามสมมุติฐานทต่ี ง้ั ไว้

ข้อเสนอแนะ

สื่อทพ่ี ฒั นานย้ี ังสามารถพัฒนาต่อไปใหส้ มบูรณ์มากข้ึนอีกโดยการวิเคราะห์กระบวนการท่นี ำมาใชใ้ น
การเรยี นรู้และเสริมสร้างคณุ ลกั ษณะ เก่ง ดี มสี ุข แก่นักเรียนตามแนวปฏริ ูปการเรียนรู้

สำหรบั ครใู นการนำสื่อมาใชต้ ้องศึกษารายละเอียดของการใช้ ขัน้ ตอนการใช้ และตอ้ งให้สอดคล้องกบั
แผนการเรียนรู้ และควรเตรยี มการสอนมาล่วงหน้า และไม่จำเปน็ ตอ้ งใช้กระบวน
การสอนตามท่ีกลา่ วมาทั้งหมด

บรรณานุกรม

กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. กรมวิชาการ. หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศกั ราช 2544.
กรงุ เทพฯ : องค์การรับส่งสนิ ค้าและพัสดภุ ณั ฑ์, 2544.

กระทรวงศึกษาธกิ าร. คู่มือสาระการเรยี นรู้พ้นื ฐานภาษาอังกฤษ กลุ่มสาระภาษาอังกฤษ.
กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์คุรสุ ภา ลาดพร้าว, 2542.

คณะกรรมการการประถมศึกษาแหง่ ชาติ, สำนักงาน. “เทคนคิ การสอนภาษาองั กฤษ.” ในชดุ
การฝึกอบรมการสอนภาษาองั กฤษช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3. กรงุ เทพฯ :โรงพิมพค์ รุ สุ ภา, 2540.

ฉววี รรณ จอ้ ยจติ ร. การพัฒนาแผนการสอนทกั ษะการฟังและการพดู ภาษาอังกฤษ สำหรบั นักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ตามแนวคู่มือการจัดกิจกรรมการเตรียมความพร้อมภาษาอังกฤษ
ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธป์ รญิ ญาศกึ ษาศาสตรม์ หาบัณฑิต สาขาวชิ าหลักสตู ร
และการสอน มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ , 2541.

ดวงเดอื น แสงชยั . การสอนภาษาอังกฤษระดับประถมศึกษา. กรงุ เทพฯ : คณะครุศาสตร์
จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, 2531.

ทรงสิทธิ์ ทองจรสั . การพัฒนากจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าภาษาองั กฤษเพอ่ื การส่ือสาร
ของนกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 5 โดยใชเ้ กม. วิทยานิพนธ์ ปริญญาศกึ ษาศาสตร์
มหาบัณฑติ สาขาการประถมศึกษา มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2544.

ทิพพดี อ่อนแสงคุณ. ส่ือการสอนภาษาอังกฤษระดบั ประถมศกึ ษาในกิจกรรมและส่ือการสอน
ภาษาอังกฤษเพื่อการสอ่ื สารระดับประถมศึกษา หนา้ 6-8 , ประนอม สรุ สั วด.ี
กรงุ เทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2539.

ธดิ ารกั ดาบพลอ่อน. “การพัฒนาแบบฝกึ เสริมทักษะการอา่ นภาษาองั กฤษเพอ่ื ความเขา้ ใจ
ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6.” ปรญิ ญานิพนธก์ ารศกึ ษามหาบัณฑติ สาขาวชิ าการประถมศึกษา
บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม : ถา่ ยเอกสาร, 2542.

บนั ลือ พฤกษะวัน. อปุ เทศการสอนภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษาแนวบูรณาการสอน.
ไทยวฒั นาพานชิ กรุงเพมหานคร, 2522.

ปราณี ชินกลาง. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านแลการเขยี นภาษาอังกฤษของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 5 ทีเ่ รยี นโดยการสอนแบบมุ่งประสบการณ์ภาษาและท่ีเรยี นโดย
การสอนตามคู่มอื ครู. ปริญญานิพนธ์ บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
มหาสารคาม, 2537.

พจนุกรมภาพ. อังกฤษ ไทย จีน : บรษิ ัท จเี นยี ส บุค จำกดั 28/58 สามเสนใน พญาไท.
กรงุ เทพฯ.

พติ รวลั ย์ โกวิทวที. การสอนภาษาองั กฤษในระดบั ชน้ั ประถมศึกษา. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย.

พวงเพ็ญ อินทรประวัต.ิ วธิ สี อนภาษาองั กฤษ. สงขลา : มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ, 2521.
ภาวนิ ี ทอนสงู เนิน. การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรยี นคำศพั ท์ภาษาองั กฤษโดยใชแ้ บบฝึกเสริมทกั ษะ

คำศัพทภ์ าษาอังกฤษสำหรบั นกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นบ้านหนองหมาก
จังหวดั นครราชสีมา. วิทยานิพนธ์ปรญิ ญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑติ สาขาวชิ าหลกั สูตร
และการสอน มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2543.

มานติ บญุ ประเสริฐ. “การสอนภาษาองั กฤษ”. จนั ทรเกษม. 17 (4) : 9 ; กนั ยายน 2540.
รตั ติกาล สทุ ธิสวัสด์ิกุล. การพัฒนาทักษะด้านคำศพั ทภ์ าษาอังกฤษของนักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 5

โดยใช้การสอนแบบโครงงาน. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยศรีนครินวิโรฒ : ถ่ายเอกสาร, 2545.
โรงเรยี นชุมชนบ้านหัวขัว. หลักสตู รสถานศกึ ษา กลุ่มสาระการเรยี นร้ภู าษาตา่ งประเทศ

ฉบบั ปรบั ปรงุ คร้ังที่ 2/2547 (ม.ป.พ.), 2547.
วราพันธ์ุ สวา่ งเนตร. การศกึ ษาการทดลองสอนทกั ษะความเข้าใจในการฟงั ภาษาอังกฤษโดยใชเ้ ทป

โทรทศั น์ร่วมกับเทปบันทกึ เสียง เปรียบเทียบกบั การใช้เทปบนั ทกึ เสยี งแต่เพียงอยา่ งเดียว.
วทิ ยานพิ นธ์ปริญญาศิลปะศาสตรม์ หาบัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั มหิดล, 2530.
วิชาการ, กรม. การวิจัยเพ่อื พฒั นาการเรียนรตู้ ามหลกั สูตรการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน.
ครง้ั ที่ 1 กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว, 2545.
________. กรม. ค่มู ือหลักสูตรประถมศกึ ษา พทุ ธศกั ราช 2521 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2533 )
กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพก์ ารศาสนา, 2534.
________ . กรม. พระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแหง่ ชาติ พุทธศักราช 2542. กรงุ เทพมหานคร:
ครุ สุ ภา ลาดพรา้ ว, 2542.
________ . กรม. หลกั สตู รการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2544. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์คุรสุ ภา
ลาดพร้าว, 2545.
________. กรม. หลักสตู รประถมศกึ ษา พุทธศกั ราช 2521 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2533).
พมิ พ์คร้ังท่ี 2 .กรุงเทพ ฯ : โรงพมิ พ์การศาสนา, 2535.
สมยศ เมน่ แย้ม. คมู่ อื ครูไทยสอนภาษาองั กฤษ. (ม.ป.ท. : ม.ป.พ.), 2530.
สกุลรตั น์ กมทุ มาศ. กจิ กรรมปฏริ ปู การเรยี นรู้ ผเู้ รยี นสำคัญทสี่ ดุ . สำนักพิมพป์ ระสานมิตร :
กรุงเทพฯ, 2546.
เสมอจติ สัจจปยิ ะนจิ กุล. Basic English : สำนักพมิ พด์ อกหญ้าวิชาการ, 2549.
สุนยี ์รัตน์ ซงั ธาดา. ภาษาองั กฤษแนวใหม่ ป.5 : กรุงเทพ เดอะบคุ ส์, 2548.
สุปรยี า มาลากาญจน.์ การสอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา. วทิ ยาลยั ครูนครศรธี รรมราช, 2528.
สภุ ัทรา อักษรานุเคราะห์. การสอนทักษะภาษาองั กฤษ. กรงุ เทพฯ : ภาควิชามัธยมศึกษา

คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, 2529.
________. การสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนมธั ยมศึกษา. กรงุ เทพฯ : ภาควิชาหลกั สตู รและ

การสอน คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย, 2532.
สุมติ รา องั วฒั นากลุ . การสอนภาษาองั กฤษเพือ่ การส่ือสาร. กรุงเทพฯ : โรงพิมพจ์ ุฬาลงกรณ์

มหาวิทยาลยั , 2535.
________. วธิ ีสอนภาษาอังกฤษ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2537.
________. วธิ สี อนภาษาองั กฤษ. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , 2540.
วินัย พัฒนรัฐ. แบบเรยี นมาตรฐานภาษาองั กฤษ ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 กรุงเทพฯ : ประสานมิตร,

2541.
อรพนิ พจนานนท.์ การสอนภาษาองั กฤษเป็นภาษาต่างประเทศในระดับประถมศึกษา.

คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ , 2537.
อุบลวัณณา รอนยุทธ์. การสรา้ งและประเมนิ ประสทิ ธิภาพชุดเสริมทกั ษะภาษาอังกฤษสำหรบั

นักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษา. วทิ ยานิพนธ์ศกึ ษาศาสตรม์ หาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลักสตู ร

และการสอน มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ , 2535.
Carroll, Brendan J. Testing Communicative Performance. Oxford : Oxford Performance

Press, 1982.
Drune Donn. Teaching oral English. Essex : Longman Group UK. Ltd., 1987.
Mcpeake. Poyce Guinta. TheEffects of Oricmal syatcmatit Study Worksteets,
Reading

Level and Sex on The Spelling Aehievement of Sixth Grads Students,
Disscrtation Abstracts International. 39 ( 12 ) : 1799 – A; June, 1979.
Schwendinger. James Rea, “ A Study of Modality of Inferences and Their
Relationship
to Spelling Achievement of Sixth Grads Students,” Resoures in
Education. 12
( 12 ) : 51; December. 1977.
Scott, Roger. “Speaking” Communication in the Classroom. ed. By Keith Johnson
and
Keith Morrow : Longman Group Ltd., 1980.
Widdowson. H. Teaching Language Communication. Oxford : Oxford University Press,

1983.


Click to View FlipBook Version