The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

e-book การสอนไฮสโคป

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Ratchana Madlem, 2020-09-04 05:15:33

e-book การสอนไฮสโคป

e-book การสอนไฮสโคป

หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (E-book)
เรื่อง การจัดการเรียนรูแ้ บบไฮสโคป (High Scope)

จัดทาโดย

นางสาวรชั นา หมดั เหล็ม 6020117090
สาขาวิชาการประถมศกึ ษา

เสนอ

อาจารยป์ าลิดา สายรัตทอง พัฒนพิชัย

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้เป็นส่วนหน่ึงของรายวิชา 266-411
Education Innovations for Elementary School Teachers

ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2562
มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตปัตตานี

คานา

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้เป็นส่วนหน่ึงของรายวิชา 266-411
Educational Innovations for Elementary School Teachers มีเน้ือหา
เกย่ี วกบั การจดั การเรียนรู้แบบไฮสโคป ซึง่ ประกอบดว้ ย ความเป็นมา ทฤษฎีท่ี
มีอิทธิพล หลักการสอนแบบไฮสโคป การเรียนรู้แบบลงมือกระทา ปฏิสัมพันธ์
ระหว่างผู้ใหญ่และเด็ก การจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ กิจวัตรประจาวัน หัวใจ
ของไฮสโคป วิธีการเรียนการสอนแบบไฮสโคป การประเมิน และประโยชน์
ของการสอนแบบไฮสโคป

การจัดการเรียนรู้แบบไฮสโคปเป็นการถอดแนวคิดสู่การปฏิบัติใน
สังคมไทยที่มงุ่ เน้นให้เดก็ ได้เรยี นร้ตู ามความต้องการของตนเองจากส่ิงแวดล้อม
ที่ได้เตรียมไว้ให้เด็กประสบความสาเร็จตามความต้องการจากการที่ได้ลงมือ
กระทาส่ิงต่าง ๆ ด้วยตนเอง อันเป็นการพัฒนาศักยภาพที่มีอยู่ภายในเด็กแต่
ละคน หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มน้ีมุ่งอธิบายให้ผู้อ่านได้ทราบถึงการจัดการ
เรียนรู้แบบไฮสโคป การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้แก่เด็ก รวมท้ังให้
ความรูแ้ กพ่ อ่ แม่ในการสนบั สนนุ เดก็ ใหเ้ กิดการเรียนรอู้ ย่างแทจ้ ริง

ผู้จัดทาหวงั เป็นอยา่ งยิ่งว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มน้ีจะมีประโยชน์แก่
ผู้อ่าน ทาให้ผู้อ่านเกิดความรู้ความเข้าใจถึงการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็น
สาคญั และหากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภยั มา ณ ที่น้ดี ้วย

รชั นา หมัดเหลม็

สารบัญ

เรื่อง หนา้
ความเปน็ มา 1
ทฤษฎีทีม่ ีอิทธิพล 3
หลักการสอนแบบไฮสโคป 3
การเรยี นรูแ้ บบลงมอื กระทา (Active Learning) 6
ปฏสิ มั พนั ธ์ระหวา่ งผใู้ หญแ่ ละเด็ก (Adult-Child Interaction) 8
การจัดส่ิงแวดลอ้ มการเรยี นรู้ (Learning Environment) 12
กิจวัตรประจาวัน (Daily Routine) 16
หวั ใจของไฮสโคป 18
วิธีการเรยี นการสอนแบบไฮสโคป 20
การประเมิน (Assessment) 23
ประโยชนข์ องการสอนแบบไฮสโคป 28
บรรณานกุ รม 30

ดร.เดวดิ ไวคาร์ท

ดร.เดวิด ไวคาร์ท (Dr.David Weikart) ประธานมูลนิธิวิจัย
การศึกษาไฮสโคป (High Scope Educational Research Foundation)
เป็นผู้ริเร่ิมและร่วมกับคณะนักวิชาการและนักวิจัย อาทิ แมร่ี โฮแมน
(Mary Hohmann) และ ดร.แลรี่ ชไวฮาร์ต (Dr.Larry Schweinhart)
พัฒนาขึ้นจากโครงการเพอรี่ พรี สคูล (Perry Preschool Project) ตั้งแต่
พ.ศ.2505 ซ่ึงเป็นหน่ึงในโครงการ Head Start เพ่ือช่วยเหลือเด็กด้อย
โอกาสให้มกี ารศกึ ษาที่เหมาะสม และประสบความสาเร็จในชวี ติ

1 การจดั การเรียนรูแ้ บบไฮสโคป (High Scope)

มูลนิธิวิจัยการศึกษาไฮสโคปได้ศึกษาเปรียบเทียบเด็ก 3 กลุ่ม
ประกอบดว้ ยกลุม่ ที่ได้รับการสอนจากครโู ดยตรง (Direct Instruction) กลุ่ม
เนอร์สเซอ ร่ีแบบดั้งเดิ ม ( Traditional Nursery) และ กลุ่มท่ีได้รั บ
ประสบการณ์โปรแกรมไฮสโคป จากการศึกษาติดตามเด็กเหล่านี้ตั้งแต่ระดับ
ปฐมวัยจนถึงอายุ 29 ปี พบว่ากลุ่มที่เรียนด้วยโปรแกรมไฮสโคปมีปัญหา
พฤติกรรมทางสังคมและอารมณ์ เช่น การถูกจับข้อหาลักขโมย ทาร้ายผู้อื่น
บกพร่องทางอารมณ์ และล้มเหลวในชีวิตน้อยกว่าอีก 2 กลุ่ม ดังน้ัน
โปรแกรมน้ีจึงพิสูจน์ได้ว่าช่วย ป้องกันอาชญากรรรม เพ่ิมพูนความสาเร็จ
ทางการศึกษาและผลผลิตตลอดชวี ติ

นอกจากน้ี มูลนิธิฯ ได้พัฒนาระบบการฝึกอบรมบุคลากรที่มี
ประสิทธิภาพ เรียนรู้ได้ง่าย เผยแพร่ในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศ
ต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา ครูจานวนมากกว่า
33,000 คน ได้รับการฝึกอบรมในเร่ืองไฮสโคป และจากการสารวจสมาชิก
มากกว่า 200,000 คน ของสมาคมการศึกษาปฐมวัยแห่งชาติ (NAEYC)
พบวา่ ร้อยละ 28 ของสมาชิกไดร้ บั การฝกึ อบรมในเรอ่ื งไฮสโคป และร้อยละ
44 ใช้โปรแกรมไฮสโคปในบางบริบทด้วย

การจัดการเรียนร้แู บบไฮสโคป (High Scope) 2

ในระยะเริ่มต้น การพัฒนาโปรแกรมไฮสโคปใช้ทฤษฎีพัฒนาการ
ทางสติปัญญา (Cognitive Theory) ของเปียเจต์ (Piaget) เป็นพื้นฐาน
โดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ของผู้เรียน ซ่ึงเน้นการเรียนรู้แบบลงมือ
กระทา (Active Learning) ระยะต่อมามีการผสมผสานทฤษฎีและแนวคิด
อื่น ๆ เช่น ทฤษฎขี องอีรกิ สัน (Erikson) ในเรอื่ งการให้โอกาสเด็กเป็นผู้ริเร่ิม
การเล่นหรือกิจกรรมต่าง ๆ อย่างอิสระและทฤษฎีของ ไวก๊อตสก้ี
(Vygotsky) ในเรื่องปฏสิ ัมพันธ์และการใชภ้ าษา เปน็ ตน้

หลักการสอนแบบไฮสโคปเน้นการเรียนรู้แบบลงมือกระทาผ่านมุม
เล่นที่หลากหลาย ดว้ ยสอื่ และกจิ กรรมทเี่ หมาะสมกับการพัฒนาการของเด็ก
และการแก้ปัญหาอย่างกระตือรือร้น

3 การจดั การเรยี นร้แู บบไฮสโคป (High Scope)

หลักการเรียนการสอนทส่ี าคัญ คือ

1. เด็กเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองโดยใช้กระบวนการ
วางแผน ลงมือปฏิบัติและทบทวนผลงานของตนเองโดยมีครูเป็นผู้สังเกต ให้
คาปรกึ ษาและแนะนา

2. การใช้เวลาดาเนินกิจกรรมอาจมีช่วงยาวกว่ากิจกรรมปกติ เช่น
นานกวา่ 60 นาที หรอื มีช่วงตอ่ ระหว่างกิจกรรม เช่น เด็กอาจพักรับประธาน
อาหารว่าก่อนแลว้ กลบั มาต่องานเดมิ

3. ศูนยห์ รือมุมการเรยี นรู้ต้องมีอุปกรณ์พร้อมใช้ มีความหลากหลาย
มีเคร่ืองหมายแสดงการวางชัดเจน ง่ายสาหรับเด็กในการตัดสินใจเลือกใช้
และจัดเกบ็ เมือ่ สิ้นสุดกิจกรรม

4. ครูและผู้ปกครองมีหน้าที่สนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กด้วยการ
สนับสนุนอุปกรณ์ การให้คาแนะนาปรึกษา และให้ความสนใจใน
ความสามารถและผลงานของเด็ก

5. เด็กได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มขนาดเล็ก ครู 1 คน ต่อเด็ก 5 - 6
คน หรือกล่มุ ใหญ่ ครู 1 คน ต่อเด็ก 25 คน

การจดั การเรยี นรแู้ บบไฮสโคป (High Scope) 4

หลักการของไฮสโคป สามารถสรปุ เปน็ แผนภูมิภาพ “วงล้อแหง่ การ
เรียนรู้” ดังนี้

วงล้อแหง่ การเรยี นรู้

5 การจดั การเรียนรู้แบบไฮสโคป (High Scope)

หลักการท่ีสาคัญของไฮสโคปในระดับปฐมวัย คือ การเรียนรู้แบบ
ลงมอื กระทา ซึ่งถือว่าเปน็ พื้นฐานสาคญั ในการพฒั นาเด็ก การเรียนรู้แบบลง
มือกระทาจะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพมากท่ีสุดในโปรแกรมที่พัฒนาเด็ก
อย่างเหมาะสมกับพัฒนาการ การเรียนรู้แบบลงมือกระทา หมายถึง การ
เรียนรู้ซ่ึงเด็กได้จัดกระทากับวัตถุ ได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล ความคิดและ
เหตุการณ์ จนกระทั่งสามารถสร้างองค์ความรู้ดว้ ยตนเอง

องคป์ ระกอบของการเรยี นรแู้ บบลงมอื กระทา ได้แก่

1. ส่อื (Materials) ในหอ้ งเรียนทเ่ี ด็กเรียนรู้แบบลงมือกระทาจะมี
เคร่ืองมือและวัสดุอุปกรณ์ท่ี หลากหลาย เพียงพอ และเหมาะสมกับระดับ
อายุของเด็ก เด็กต้องมีโอกาสและมีเวลาเพียงพอท่ีจะเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์
อย่างอิสระ เมื่อเด็กใช้เครื่องมือหรือวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เด็กจะมีโอกาส
เช่อื มโยงการกระทาตา่ ง ๆ การเรียนรู้ในเรื่องของความสัมพันธ์และมีโอกาส
ในการแกป้ ัญหามากข้ึนดว้ ย

2. การสัมผัส (Manipulation) การเรียนรู้ด้วยการลงมือกระทา
เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประสาทสัมผัสทั้งกายและใจ การให้เด็กได้สารวจ
และจัดกระทากับวัตถุโดยตรงทาให้เด็กรู้จักวัตถุ หลังจากที่เด็กคุ้นเคยกับ
วัตถุแล้ว เด็กจะนาวัตถุต่าง ๆ มาเก่ียวข้องกันและเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์
ผใู้ หญม่ หี น้าทจี่ ัดใหเ้ ด็กคน้ พบความสัมพันธ์เหล่านด้ี ว้ ยตนเอง

การจดั การเรยี นร้แู บบไฮสโคป (High Scope) 6

3. การเลือก (Choice) เด็กจะเป็นผู้ริเร่ิมกิจกรรมจากความสนใจ
และความต้ังใจของตนเอง เด็กเป็นผู้เลือกวัสดุอุปกรณ์และตัดสินใจว่าจะใช้
วัสดุอุปกรณ์นั้นอย่างไร การที่เด็กมีโอกาสเลือกและตัดสินใจทาให้เด็กเกิด
การเรียนรู้ด้วยตนเองมากกว่าได้รับการถ่ายทอดความรู้จากผู้ใหญ่ ดังนั้น
ผู้ใหญ่ท่ีตระหนักถึงความสาคัญเร่ือง การเลือกและการตัดสินใจต้องจัดให้
เด็กมีอิสระที่จะเลือกได้ตลอดท้ังวันขณะท่ีปฏิบัติกิจวัตรประจาวัน ไม่ใช่
เฉพาะในช่วงเวลาเลน่ เสรเี ทา่ น้นั

4. ภาษาและการคิด (Child language & thought) สิ่งท่ีเด็ก
พูดจะสะท้อนประสบการณแ์ ละความเข้าใจของเด็กในห้องเรียนที่เด็กเรียนรู้
แบบลงมือกระทา เดก็ มักจะเลา่ ว่าตนกาลังทาอะไรหรือทาอะไรไปแล้วในแต่
ละวัน เม่ือเด็กมีอิสระในการใช้ภาษาเพ่ือสื่อความคิดและรู้จักฟังความ
คิดเห็นของผู้อ่ืน เด็กจะเรียนรู้วิธีการพูดที่เป็นท่ียอมรับของผู้อื่น ได้
พัฒนาการคดิ ควบคูไ่ ปกบั การพฒั นาความเชื่อมนั่ ในตนเองดว้ ย

5. การสนับสนุนจากผู้ใหญ่ (Adult scaffolding) หมายถึง
การท่ีผู้ใหญ่สนับสนุนการคิดและท้าทายกระตุ้นให้เด็กพยายาม และช่วย
เด็กขยายหรือสร้างงานของตนโดยการพูดกับเด็กเกี่ยวกับส่ิงที่เด็กกาลังทา
รว่ มกนั ในการเลน่ และช่วยใหเ้ ดก็ เรยี นรู้การแก้ปญั หาท่ีเกดิ ขึ้น

7 การจดั การเรยี นร้แู บบไฮสโคป (High Scope)

ในห้องเรียนที่เด็กเรียนรู้แบบลงมือกระทา เด็กจะเผชิญกับ
ประสบการณ์สาคัญซ้าแล้วซ้าอีกในชีวิตประจาวันอย่างเป็นธรรมชาติ
ประสบการณ์สาคัญเป็นกุญแจท่ีจาเป็นในการสร้างองค์ความรู้ของเด็ก เป็น
เสมือนกรอบความคิดที่จะทาความเข้าใจการเรียนรู้แบบลงมือกระทา เรา
สามารถใหค้ าจากดั ความได้ว่า ประสบการณ์สาคัญเป็นส่วนหน่ึงของความรู้ที่
เด็กจะต้องหามาให้ได้โดยการปฏิสัมพันธ์กับวัตถุ คน แนวคิดและเหตุการณ์
สาคัญต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ประสบการณ์สาคัญเป็นกรอบความคิดให้กับ
ผู้ใหญ่ในการเข้าใจการเรียนรู้ของเด็ก สามารถวางแผนการจัดประสบการณ์
เพอ่ื สง่ เสรมิ และประเมินพฒั นาการของเด็กอยา่ งเหมาะสม

การเรียนรู้แบบลงมือกระทานั้นจะประสบความสาเร็จได้ เมื่อผู้ใหญ่
และเด็กมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไฮสโคปจึงเน้นให้ผู้ใหญ่สร้างบรรยากาศท่ี
อบอุ่นและปลอดภัยให้แก่เด็ก การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อเด็กเป็นการสร้างความ
ม่ันใจให้กับเด็ก เด็กจะกล้าพูดกล้าแสดงออกและกล้าปรึกษาปัญหา ผู้ใหญ่
จะต้องใส่ใจแม้แต่เร่ืองเล็ก ๆ น้อย ๆ และไม่เบื่อหน่ายที่จะตอบคาถามของ
เด็กหรือป้อนคาถามให้เด็กเกิดความคิด จินตนาการ การมีปฏิสัมพันธ์ท่ีดีต่อ
เดก็ นนั้ นับไดว้ า่ มคี ณุ ค่ามากกวา่ การยกย่อง ชมเชย การให้รางวลั

การจัดการเรยี นรแู้ บบไฮสโคป (High Scope) 8

ปัจจัยสาคญั ในการสร้างปฏิสัมพันธ์

1. ความไว้วางใจ (Trust) ความไว้วางใจท้ังต่อตนเองและผู้อื่น
ประสบการณ์ในช่วงนี้เป็นพื้นฐานสาคัญในการพัฒนา “ความไว้วางใจ” ใน
วัยต่อมา โดยเร่ิมจากบุคคลในครอบครัวและขยายต่อไปยังโรงเรียนและวง
สังคมท่ีกว้างข้ึน สิ่งนี้จะเป็นการสร้างสัมพันธภาพบนพื้นฐานแห่งความ
ไวว้ างใจซ่งึ กนั และกันตอ่ ไป

2. การเป็นตัวของตัวเอง (Autonomy) การเป็นตัวของตัวเอง
เป็นความสามารถในการพึ่งพาตนเอง การทดลองทาสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง
ซ่ึงจะทาใหเ้ กดิ ความภาคภูมใิ จเม่อื ทาสาเร็จ ดังนน้ั ถา้ ผ้ใู หญ่ให้กาลังใจในส่ิง
ท่ีเด็กทาได้ตามความสามารถและวิธีการของเด็กแต่ละคน เด็กจะพัฒนา
ความเป็นตัวของตวั เอง รูส้ ึกวา่ ตนเองเป็นผู้มีความสามารถพึ่งตนเองและนา
ตนเองได้

9 การจดั การเรยี นรู้แบบไฮสโคป (High Scope)

3. ความคิดริเริ่ม (Initiative) เด็กสามารถมีส่วนร่วมในการทา
กิจกรรมต่าง ๆ ซ่ึงจะไปสนับสนุนข้ันความเป็นตัวของตัวเอง ถ้าเด็กได้รับ
อิสระในการคดิ การวางแผน และริเริ่มทากจิ กรรมต่าง ๆ ผู้ใหญ่มีเวลาให้กับ
เด็กในการตอบคาถาม ก็จะเป็นการส่งเสริมให้เด็กมีแนวโน้มท่ีจะค้นคว้า
ศึกษาและสารวจ เด็กจะรู้สึกมั่นใจว่าตนเองเป็นบุคคลท่ีมีความสามารถใน
การเลอื กตัดสนิ ใจและกระทาสง่ิ ตา่ ง ๆ ได้

4. การร่วมรับรู้ความรู้สึกของผู้อ่ืน (Empathy) การร่วมรับรู้
ความรู้สึกของผู้อ่ืนเป็นความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกของผู้อ่ืน ซึ่งจะ
ช่วยให้เด็กรู้จักสร้างมิตรภาพและความรู้สึกของการมีส่วนร่วม ในช่วง
ปฐมวัยเด็กมีความสามารถในการใช้ภาษาดีขึ้น เด็กจะแสดงความรู้สึกของ
ตนเองท่ีสามารถรับรู้ความรู้สกึ ของผู้อ่ืนได้มากขนึ้

5. เชื่อมั่นในตนเอง (Self-confidence) ความเช่ือม่ันในตนเอง
เป็นสิ่งท่ีแสดงว่าตนเองสามารถประสบความสาเร็จและสามารถช่วยเหลือ
สังคมได้ ความเช่ือมั่นในตนเองเป็นส่ิงสาคัญท่ีจะกระตุ้นให้ต่อสู้กับอุปสรรค
และปัญหาต่าง ๆ ผู้ใหญ่สามารถพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเองของเด็กได้
โ ด ย ก า ร ส นั บ ส นุ น ใ ห้ เ ด็ ก มี โ อ ก า ส ป ร ะ ส บ ค ว า ม ส า เ ร็ จ จ า ก ก า ร ใ ช้
ความสามารถของตนเองอย่างเหมาะสม เปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้วิธีการ
แกป้ ญั หาด้วยตนเอง

การจดั การเรยี นรแู้ บบไฮสโคป (High Scope) 10

กลยทุ ธ์ในการสร้างบรรยากาศทสี่ นบั สนนุ การเรียนรู้

1. ผู้ใหญ่ให้โอกาสเด็กแสดงความคิดเห็นและลงมือปฏิบัติ มีส่วน
ร่วมกับเด็ก เปิดใจรับฟังความคิดเห็น รับรู้ความรู้สึก ความต้องการของเด็ก
และเรียนรจู้ ากเดก็

2. สนใจในความสามารถของเด็ก ค้นหาความสนใจของเด็ก มอง
สถานการณ์ในมุมมองของเด็ก ให้พ่อแม่และผู้ร่วมงานมีส่วนร่วมในส่ิงท่ีเด็ก
สนใจ วางแผนการเรียนการสอนโดยคานึงถึงความสามารถและความสนใจ
ของเด็ก

3. สรา้ งปฏสิ ัมพันธก์ บั เดก็ อยา่ งแท้จริง แบ่งปันสิ่งที่ตนเองมีกับเด็ก
เชน่ ตอบสนองความสนใจของเด็กด้วยความเอาใจใส่ ให้ข้อมูลสะท้อนกลับ
แก่เด็กอย่างถกู ต้องและเหมาะสม ถามและตอบอย่างตรงไปตรงมา

4. ส่งเสริมการเล่นของเด็ก สังเกตและสนใจกับกิจกรรมการเล่น
ของเดก็ มีสว่ นร่วมในการเลน่ กับเด็กดว้ ยบรรยากาศท่สี นบั สนุน

5. ใช้วิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งขณะอยู่ร่วมกัน การแก้ปัญหา
ความขัดแย้งของเด็ก ๆ โดยคานึงถึงความจริง ความม่ันคงและความอดทน
จะช่วยใหเ้ ดก็ รู้จกั ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งเหตแุ ละผลท่ีตามมา ปลูกฝังให้เด็กมี
ความรับผิดชอบ การทางานรว่ มกันระหวา่ งผู้ใหญ่และเด็กเพ่ือช่วยแก้ปัญหา
ความขดั แยง้ โดยดาเนินการตามขัน้ ตอนต่อไปนี้ เพอื่ เป็นการประนีประนอม
ขอ้ ขดั แย้งและปญั หาที่เกิดขึ้น

11 การจดั การเรยี นร้แู บบไฮสโคป (High Scope)

1) ใหเ้ ดก็ สงบอารมณ์ก่อน
2) ยอมรับความร้สู กึ ของเด็ก
3) รวบรวมข้อมูลจากเด็ก เช่น เกิดอะไรขึ้น อะไรคือสาเหตุให้เด็ก
อารมณ์เสีย
4) ย้อนกลบั มาถามถึงปญั หาท่เี กดิ ข้ึนอีกคร้งั หนง่ึ
5) ให้เดก็ ชว่ ยหาวธิ ีแก้ไขปัญหา
6) คอยและสนบั สนุนการตัดสนิ ใจของเดก็

การจัดสิ่งแวดล้อมในสถานศึกษาปฐมวัยมีความสาคัญต่อการ
พัฒนาและการเรียนรู้ของเด็ก ตามหลักการไฮสโคปถือว่าสิ่งแวดล้อมเป็น
เสมือนครูคนท่ี 3 และเป็นส่วนหนึ่งของวงล้อการเรียนรู้ ซึ่งมีสาระ
ครอบคลุม 3 เร่ือง ได้แก่ พ้ืนท่ี สื่อและการจัดเก็บ โดยแต่ละเรื่องมี
รายละเอยี ด ดงั นี้

การจดั การเรียนรแู้ บบไฮสโคป (High Scope) 12

พนื้ ท่ี (Space)

เด็กปฐมวัยเรียนรู้ด้วยการลงมือกระทา เด็กจึงต้องการพ้ืนที่ที่
ส่งเสริมการเรียนรู้พื้นท่ีในการใช้ส่ือต่าง ๆ สารวจ เล่นก่อสร้าง และ
แก้ปัญหา พ้ืนที่ในการเคล่ือนไหว พ้ืนท่ีส่วนตัว พ้ืนท่ีสาหรับเล่นคนเดียว
และเล่นกับผู้อ่ืน พื้นท่ีเก็บของใช้ส่วนตัว และจัดแสดงผลงาน พื้นที่สาหรับ
ผู้ใหญ่ที่จะร่วมเล่นและสนับสนุนความสนใจของเด็ก การจัดแบ่งพ้ืนท่ี
ภายในหอ้ งเรียน จะประกอบดว้ ย 5 สว่ น ดังนี้

1. พื้นท่ีเก็บของใช้ส่วนตัวของเด็ก เช่น ผ้ากันเป้ือน แปรงสีฟัน
แก้วน้า ฯลฯ อาจจะเป็นตู้ยาวแยกเป็นช่องรายบุคคล หรือช้ันวางของเป็น
ชอ่ ง ๆ โดยมีชือ่ เดก็ ติดแสดงความเปน็ เจ้าของ

2. พ้ืนท่ีกิจกรรมกลุ่มใหญ่ เช่น กิจกรรมฟังนิทาน ร้องเพลง
เคลือ่ นไหว ฯลฯ ท่ีทารว่ มกันทงั้ ชั้นเรยี น

3. พื้นทกี่ ิจกรรมกลุ่มย่อย เช่น กิจกรรมศิลปะร่วมมือ กิจกรรมทา
หนังสือนิทานร่วมกันเป็นกลุ่มย่อย กิจกรรมเรียนรู้เก่ียวกับทักษะพ้ืนฐาน
ทางวทิ ยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ฯลฯ โดยสมาชิกกลุ่มที่เหมาะสม คือ 4-6
คน ทัง้ นเี้ พ่อื ครจู ะได้มโี อกาสปฏิสัมพนั ธ์ได้ใกล้ชดิ และทว่ั ถึงมากขึน้

13 การจดั การเรียนรูแ้ บบไฮสโคป (High Scope)

4. พ้ืนที่สาหรับมุมเล่น ไฮสโคปได้กาหนดให้มีมุมพ้ืนฐาน 5 มุม
ประกอบด้วย มุมหนังสือ มุมบล็อก มุมบ้าน มุมศิลปะ และมุมของเล่นซ่ึง
หมายถึงเครื่องเล่นสัมผัส เกมและของเล่นบนโต๊ะ ท้ังน้ีไฮสโคป มีหลักการ
เรียกชื่อมุมต่าง ๆ ด้วยภาษาท่ีเด็กเข้าใจจะไม่ใช้ภาษาซึ่งเป็นนามธรรมมาก
ๆ เช่น มุมบทบาทสมมติ มุมเคร่ืองเล่นสัมผัส นอกจากนี้ไฮสโคปเช่ือว่ามุม
เลน่ ตอ้ งเปลยี่ นแปลงไปตามความสนใจของเด็ก เช่น เมื่อเด็กเกิดความสนใจ
หลากหลาย มมุ บา้ นกอ็ าจปรับเปลย่ี นเป็นมุมรา้ นเสริมสวย มุมหมอ หรือมุม
รา้ นคา้ ไดต้ ามบริบทของส่งิ ท่ีเด็กสนใจในขณะนัน้

5. พ้ืนที่เก็บของใช้ครู เช่น หนังสือ คู่มือครู เอกสารโปรแกรมส่ือ
การสอนสว่ นรวมของชัน้ เรยี น เช่น วสั ดุศิลปะตา่ ง ๆ เปน็ ต้น

ส่อื (Materials)

สื่อ หมายถึง วัสดุอุปกรณ์ท่ีหลากหลาย ทั้งประเภท 2 มิติ 3 มิติ
สะท้อนวัฒนธรรมท้องถ่ิน สื่อที่เอ้ือให้เด็กเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสท้ัง 5
โดยมกี ารจัดการใช้ส่ือทีเ่ รม่ิ ต้นจากส่ือท่ีเป็นรูปธรรมไปสู่นามธรรม กล่าวคือ
เริ่มต้นจากส่ือของจริง ของจาลอง ภาพถ่าย ภาพโครงร่าง และสัญลักษณ์
ตัวอย่างเช่น เรื่องกล้วย ให้เรียงลาดับส่ือจากกล้วยจริง กล้วยจาลอง
ภาพถ่ายกล้วย ภาพวาด หรือภาพโครงร่าง และคาว่า “กล้วย” อยู่ท้ายสุด
ทั้งนี้เพราะการใช้ส่ือต้องเหมาะสมกับวัย วุฒิภาวะ ความแตกต่างระหว่าง
บคุ คล ความสนใจและ

การจัดการเรยี นรูแ้ บบไฮสโคป (High Scope) 14

ความต้องการของเด็กที่หลากหลาย ตลอดจนสื่อที่สะท้อนชีวิต
ครอบครัวของเด็ก ไฮสโคปเน้นหลักการข้อน้ีมาก ดังนั้นหนังสือนิทาน
นิตยสาร ภาพถ่าย ตุ๊กตา เสื้อผ้า มุมบ้าน มุมดนตรี หรือของเล่น เช่น ภาพ
ตัดต่อควรสะท้อนภาษา บรรยากาศ อาชีพ และส่ิงก่อสร้างหรือ
สถาปัตยกรรมในชมุ ชนที่เดก็ อาศัยอย่ดู ้วย

การจดั เก็บ (Storage)

ไฮสโคปให้ความสาคัญกับระบบจัดเก็บส่ือด้วยวงจร “ค้นหา-ใช้-
เกบ็ คนื ” (Find-Use-Return Cycle) ตามกรอบแนวคดิ ดงั น้ี

1. ส่อื ที่เหมือนกันจดั เกบ็ หรือจดั วางไว้ดว้ ยกนั
2. ภาชนะบรรจุส่ือควรโปร่งใสเพื่อให้เด็กมองเห็นส่ิงที่อยู่ภายในได้
ง่ายและควรมีมือจบั เพ่ือให้สะดวกในการขนยา้ ย
3. การใช้สัญลักษณ์ (Labels) ควรมีความหมายต่อการเรียนรู้ของ
เด็ก สัญลักษณ์ทามาจากส่ืออุปกรณ์ของจริง ภาพถ่ายหรือภาพสาเนา
ภาพวาด ภาพโครงร่างหรอื ภาพประจุด หรือบัตรคาติดคู่กับสัญลักษณ์อย่าง
ใดอยา่ งหนงึ่

15 การจดั การเรียนร้แู บบไฮสโคป (High Scope)

ไฮสโคปเช่ือวา่ วงจร “ค้นหา-ใช้-เก็บคนื ” สง่ เสรมิ การเรียนรู้ เพราะ
เด็ก ๆ ได้ฝึกการสังเกต เปรียบเทียบ จัดกลุ่ม เด็กได้สั่งสมประสบการณ์
ส่งเสริมความรับผิดชอบ รู้จักมีน้าใจช่วยเหลือ เป็นการเรียนรู้ทางสังคม
ดังนั้นครูจึงควรจัดเวลา “เก็บของเล่น” ทุกวันอย่างเพียงพอ มีสัญญาณ
เตอื นก่อนเวลาจะสิ้นสุด ครูควรช่วยเด็กเก็บของเล่นเพื่อเป็นแบบอย่างและ
ทาให้เด็กสนกุ สนาน ครตู ้องไม่ใชก้ ารเก็บของเลน่ เขา้ ทเ่ี ป็นการลงโทษเดก็

นอกจากน้ีสื่อจะต้องจัดวางไว้ในระดับสายตาเด็ก (Eye-level)
เพื่อให้เดก็ มองเห็นไดช้ ดั เจน สามารถหยิบใช้และจัดเก็บได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่
อยู่สูงจนเป็นอันตรายเวลาเอื้อมหยิบ หรือต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ให้หยิบให้
ตลอดเวลา

การวางแผนกิจวัตรประจาวันของไฮสโคปมีความสม่าเสมอ เพื่อ
สนับสนุนการเรียนรู้แบบลงมือทา ซึ่งทาให้เด็กสามารถคาดได้ว่าช่วงเวลา
ต่อไปเป็นกิจกรรมใดและทาให้เด็กสามารถจัดการควบคุมได้ว่าต้องทาอะไร
ในกิจกรรมแต่ละช่วงด้วยตนเอง กิจวัตรประจาวันสาหรับเด็กของไฮสโคป
รวมถึงกระบวนการวางแผน ปฏิบัติ ทบทวน (Plan-do-review process)
กิจกรรมกลุ่มย่อย กิจกรรมกลุ่มใหญ่ กิจกรรมกลางแจ้ง ตลอดการดาเนิน
กิจวัตรประจาวัน คานึงถึงช่วงต่อระหว่างกิจกรรม และเน้นโอกาสของการ
เรียนรู้แบบลงมือกระทา เด็กและครูได้สร้างความรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่ง
ของชุมชน

การจดั การเรียนรแู้ บบไฮสโคป (High Scope) 16

ตวั อย่างตารางกิจวัตรประจาวนั ของไฮสโคป

ตวั อย่างตารางกจิ วตั รประจาวันของไฮสโคป

ลกั ษณะ โปรแกรมคร่ึงวัน โปรแกรมเตม็ วัน
ตาราง
กิจวตั ร • การรวมกลุม่ แบบไม่เปน็ • รับประทานอาหารเชา้
ประจาวัน ทางการ • กจิ กรรมวางแผน
ปฏบิ ัติ และทบทวน
• กจิ กรรมวางแผน ปฏิบตั ิ • กจิ กรรมกลุ่มใหญ่
และทบทวน • กจิ กรรมกลุม่ ยอ่ ย
• กจิ กรรมกลางแจง้
• รบั ประทานอาหารวา่ ง • รบั ประทานอาหาร
• กิจกรรมกล่มุ ใหญ่ กลางวนั
• กิจกรรมกลมุ่ ย่อย • อา่ นหนังสือและนอน
• กจิ กรรมกลางแจ้งและ กลางวนั
• รบั ประทานอาหารว่าง
ช่วงสง่ เด็ก • กจิ กรรมกลางแจ้งและ
ช่วงสง่ เดก็

17 การจัดการเรยี นรแู้ บบไฮสโคป (High Scope)

หลักปฏิบัติสาคัญที่ถือเป็นหัวใจของการจัดการเรียนรู้แบบไฮสโคป
น้ัน ประกอบดว้ ยกระบวนการ 3 กระบวนการ ไดแ้ ก่
การวางแผน (Plan)

การวางแผน เป็นการให้เด็กกาหนดแนวทางการปฏิบัติ หรือการ
ดาเนินงานตามงานที่ได้รับมอบหมายหรือตามส่ิงที่ตัวเองสนใจ โดยคุณครู
จะต้องเปิดโอกาสให้เด็กสนทนากับครู หรือสนทนาระหว่างเพื่อนด้วยกัน เพ่ือ
วางแผนการทางานอย่างเหมาะสม วา่ จะทาอะไร อย่างไร การวางแผนกิจกรรม
นี้เด็กต้องมีโอกาสเลือกและตัดสินใจ ซ่ึงอาจจะบันทึกด้วยภาพหรือสัญลักษณ์
ประจาตัวเด็กหรือบอกให้ครูช่วยบันทึกก็ได้ ซึ่งกระบวนการนี้จะช่วยส่งเสริม
ความรู้สึกเช่ือม่ันในตนเองของเด็กและความรู้สึกในการควบคุมตนเอง ทาให้
เด็กสนใจในกจิ กรรมทต่ี นเองไดว้ างแผนไว้

การจดั การเรียนรู้แบบไฮสโคป (High Scope) 18

การปฏิบัติ (Do)
การปฏบิ ตั ิ คือ การใหเ้ ด็กลงมือทากิจกรรมตามแผนทวี่ างไว้อย่าง

อิสระตามเวลาท่ีกาหนด โดยเน้นให้เด็กได้ช่วยกันคิด ทดลองและแก้ปัญหา
ร่วมกันอยา่ งมีจดุ มุง่ หมาย ได้เรยี นรูต้ ามประสบการณ์ ค้นพบความคิดใหม่ๆ
โดยคณุ ครจู ะทาหนา้ ที่เป็นผ้ชู แ้ี นะและใหค้ าแนะนา มากกว่าจะลงไปจัดการ
ดว้ ยตัวเอง การทบทวน

การทบทวน (Review)
การทบทวน คือ กระบวนการที่ให้เด็กสะท้อนผลงานของตัวเองท่ีได้

ลงมือทาผ่านการพูดคุยหรือแสดงผลต่าง ๆ เพ่ือทบทวนว่าตนเองนั้นได้
ปฏิบัติงานตามแผนท่ีได้วางไว้หรือไม่ มีการเปล่ียนแปลงอย่างไร โดยมี
จุดมุ่งหมายเพอ่ื ใหเ้ ดก็ ได้เชอ่ื มโยงแผนการปฏิบัติงานกับผลงานที่ทา รวมถึง
การเลา่ ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ไดล้ งมอื ทาดว้ ยตนเอง

19 การจดั การเรยี นรู้แบบไฮสโคป (High Scope)

การเรียนการสอนแบบไฮสโคป (High Scope) เน้นการเรียนรู้ด้วย
การลงมือกระทาของเด็ก เร่ิมตั้งแต่เลือกเรื่องที่สนใจแล้ววางแผนลงมือ
ปฏบิ ตั ติ ามแผน และทบทวน ซงึ่ มีข้ันตอนของการสอน ดังนี้

การเตรียม

พื้นที่และสื่ออุปกรณ์มีความหมายกับการเรียนแบบไฮสโคป (High
Scope) เน่ืองจากเป็นการเรียนเป็นกลุ่ม มีกิจกรรม และต้องใช้ส่ืออุปกรณ์
ในการคิด และดาเนินกจิ กรรมการเรยี นรู้และการแก้ปญั หา ครูต้องเตรียมให้
พร้อม โดยเฉพาะสอ่ื ตอ้ งมีความหลากหลาย สามารถให้ประสบการณ์สาคัญ
ตามจุดประสงค์ของการเรียนการสอน ห้องเรียนมีพ้ืนท่ีพอท่ีจะทาให้เด็กได้
ทากจิ กรรมอย่างคลอ่ งตัว

การจดั การเรยี นร้แู บบไฮสโคป (High Scope) 20

การดาเนนิ การ
1. ขัน้ นา ครูเตรียมเด็กเข้าสู่เวลาการเรียนด้วยกิจกรมที่เชื่อมโยงสู่

การคิดทากิจกรรมการเรียนด้วยตัวเด็กเอง ครูนาเด็กไปสู่การคิดหาหัวเรื่อง
ที่ต้องการเรียนด้วยการสนทนาอภิปรายเพื่อเสนอเร่ืองที่ต้องการเรียน ด้วย
การให้เด็กช่วยกันคิดเลือกและตัดสินใจท่ีจะทากิจกรรมตามความสนใจของ
เด็ก เช่น ครูสนทนากับเด็กว่า “วันนี้ครูได้กระดาษสวย ๆ มาเยอะเลย เรา
จะเอามาทาอะไรกนั ดี” การสนทนาน้ีจะเป็นจุดเร่ิมต้นของการคิดของเด็กที่
เขา้ สกู่ ารเรยี น

2. ขั้นสอน เป็นข้ันที่ครูนาเด็กสู่การวางแผน (Plan) การลงมือ
ปฏิบตั ิตามแผน (Do) และการทบทวน (Review) ดงั น้ี

2.1 ขน้ั ดาเนินการวางแผน เม่อื เด็กตกลงเร่ืองทีจ่ ะเรียนแล้ว ครู
ใหเ้ ด็กแต่ละกลุม่ รว่ มกันคิดวา่ ทาอยา่ งไรจึงจะทาสิ่งท่ีพูดได้ หรือทาสิ่งท่ีเป็น
คาตอบได้ ครูจะกระตุ้นด้วยคาถามให้เด็กวางแผนด้วยการวาดภาพแสดง
หรือทาสัญลักษณ์ หรือบอกครูและจดบันทึกไว้ด้วยภาพหรือสัญลักษณ์
ประจาตวั เดก็ ข้นั น้เี ปน็ ขน้ั ของการคดิ และตัดสนิ ใจของเด็ก

21 การจัดการเรียนร้แู บบไฮสโคป (High Scope)

2.2 ข้นั ปฏบิ ัติตามแผน เด็กจะเริ่มจากการค้นหาอุปกรณ์เพื่อใช้
ตามแผน ส่วนเด็กท่ีมีอุปกรณ์พร้อมแล้วจะเร่ิมจากการใช้อุปกรณ์นั้น
ดาเนินการตามแผน ครูสังเกตการณ์ทางานของเด็กแต่ละกลุ่ม บันทึก
พฤติกรรมเด็ก ให้คาแนะนาช่วยเหลือ หรือร่วมแสดงความคิดเห็นกับกลุ่ม
สนับสนนุ ใหเ้ ดก็ ดาเนินกิจกรรมตามแผนดว้ ยตนเองหรอื กลุ่มอย่างอิสระตาม
เวลาทก่ี าหนด ส่ิงที่ครูปฏิบตั ิในระหว่างการดาเนนิ กิจกรรม ไดแ้ ก่

2.2.1 ครจู ดบนั ทึกการวางแผนของเด็ก
2.2.2 ครตู ้องเตือนเด็กเมื่อจะหมดเวลา
2.2.3 เมื่อเด็กทางานเสร็จแล้ว ครูชักชวนให้เด็กทาความ
สะอาดและเก็บอปุ กรณ์เขา้ ทีใ่ ห้เรยี บร้อย
2.3 ขนั้ ทบทวน เมื่อเด็กทาผลงานเปน็ ที่เรยี บร้อยแล้วก่อนท่ีจะ
มีการทบทวนแผนการทางานและผลงาน ครูให้เด็กเก็บของเข้าท่ีให้
เรียบร้อยก่อน แล้วจึงมาทบทวนแผนงานการปฏิบัติและผลงานที่เกิด ว่า
การทางานตามแผนมีปัญหาอะไร อย่างไร แก้ไขอย่างไร ใครช่วยอะไรบ้าง
แล้วทาไมจึงทาสาเร็จ ทั้งน้ีเพื่อเป็นการสะท้อนประสบการณ์ของเด็กจาก
การทางานตามแผนและทางานร่วมกันกับเพื่อน การสนทนาและอภิปราย
กับครู เป็นการตรวจสอบ เปรียบเทียบทบทวนงานท่ีทา ครูต้องให้โอกาส
เดก็ ในการพดู อธบิ ายส่งิ ทเี่ ด็กทา ปัญหา และแนวทางแก้ไขของเด็กเพื่อสร้าง
การเรียนรู้และความม่ันใจให้กับเด็กจากการปฏิบัติจริง ก่อนจบกิจกรรมแต่
ละครั้งครูต้องให้เด็กสรุปผล ของการเรียนรู้จากผลงานของเด็ก ด้วยการให้
ออกมาเลา่ ใหเ้ พ่ือนฟงั และเปดิ โอกาสให้เพอ่ื นซกั ถามได้

การจดั การเรียนรูแ้ บบไฮสโคป (High Scope) 22

ในโปรแกรมไฮสโคป การประเมินถือเป็นงานโดยตรงของครูท่ีจะต้อง
ต้ังใจปฏิบตั แิ ละเอาใจใสอ่ ยา่ งเต็มที่ ครไู ฮสโคปจะทางานร่วมกันเป็นคณะ ใน
แต่ละวันครูทุกคนจะรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับเด็ก ข้อมูลน้ีได้จากการสังเกต
และการมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กในกิจวัตรประจาวัน โดยครูจะจดบันทึกสั้นตาม
ส่ิงท่ีเห็น (ด้วยการสังเกต) และได้ยินอย่างเท่ียงตรง (เห็นและได้ยินอย่างไร
บันทึกอย่างน้ัน) สมาชิกครูท่ีร่วมกันสอนจะมีการวางแผนประจาวันร่วมกัน
ก่อนที่เด็กจะมาถึงโรงเรียน หรือหลังจากท่ีเด็กกลับบ้าน หรือในขณะที่เด็ก
นอนพักผ่อนตอนกลางวัน ครูจะแลกเปลี่ยนข้อมูลท่ีได้จากการสังเกตเด็ก ทา
การวิเคราะห์ข้อมูลในด้านประสบการณ์สาคัญ และเตรียมการวางแผน
สาหรับวนั ต่อไป

23 การจัดการเรยี นร้แู บบไฮสโคป (High Scope)

จุดมุ่งหมายหลักของการประเมิน คือ การประเมินคุณภาพของ
โปรแกรมและพัฒนาการเด็กซึ่งไฮสโคปได้สร้างแบบประเมินคุณภาพ
โปรแกรม (High Scope Program Quality Assessment หรือ PQA) และ
แบบสังเกตบันทึกพฤติกรรมเด็ก (High Scope Child Observation Rec-
ord หรอื COR) มีรายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปนี้

1. แบบประเมินคุณภาพโปรแกรม (PQA)

ไฮสโคปได้จัดทาแบบประเมินคุณภาพโปรแกรม ( PQA)
ประกอบด้วยมาตรฐานคุณภาพด้านต่าง ๆ ซึ่งการประเมินคุณภาพ
โปรแกรมประกอบดว้ ย

- สภาพแวดลอ้ มในการเรียนรู้
- ปฏิสัมพันธร์ ะหว่างผูใ้ หญ่กบั เดก็
- กิจวัตรประจาวนั
- การวางแผนหลักสตู รและการวดั ประเมนิ
- การมสี ่วนร่วมของพอ่ แม่ ผู้ปกครอง
- การบรกิ ารครอบครัว
- คณุ สมบตั ิของบุคลากรและการพฒั นาบคุ ลากร
ในแต่ละด้านจะแยกออกเป็นข้อย่อย แต่ละข้อย่อยกาหนดเป็น
ระดบั 1-5 มขี นั้ ตอนการให้คะแนน PQA ดังน้ี
ขั้นที่ 1 บันทึกข้อมูลสนับสนุน รวมทั้งรายการส่ือ วัสดุ เหตุการณ์
สั้นๆ ท่ีได้จากการสังเกต รวมทั้งจดบันทึกคาพูดของเด็กและผู้ใหญ่ ซ่ึงการ
จดบนั ทกึ นี้จะต้องสน้ั ตรง กระชับ เฉพาะเจาะจง เป็นจริงตามท่ีครูและเด็ก
พดู หรือปฏบิ ัติ

การจัดการเรยี นรูแ้ บบไฮสโคป (High Scope) 24

ขั้นท่ี 2 ขีดเส้นใต้ประโยค พยางค์ ข้อมูลท่ีสะท้อนให้เห็นคุณภาพ
โปรแกรม

ขั้นท่ี 3 วงกลมระดบั ท่ีเหมาะสม ในแบบประเมินคณุ ภาพโปรแกรม
ปฐมวยั (PQA) วา่ อยูใ่ นระดบั 1, 2, 3, 4 หรอื 5

25 การจดั การเรียนรู้แบบไฮสโคป (High Scope)

ตวั อยา่ งแบบประเมนิ คณุ ภาพโปรแกรมปฐมวัย

การจดั การเรียนรูแ้ บบไฮสโคป (High Scope) 26

2. แบบสังเกตบนั ทกึ พฤติกรรมเดก็ (COR)

COR เป็นเครื่องมือประเมินพัฒนาการเด็กที่ไฮสโคปสร้างขึ้นเพื่อ
นามาใช้แทนแบบทดสอบซึ่งถือว่าไม่เหมาะสมกับเด็ก เครื่องมือชิ้นนี้
ไฮสโคปใชก้ บั เด็กอายุ 2 - 6 ปี โดยสังเกตเด็กขณะทากิจกรรมปกติในแต่ละ
วัน ผู้ที่สังเกตจะต้องผ่านการฝึกอบรมการสังเกตและบันทึกพฤติกรรม
เพื่อทจ่ี ะสามารถใช้ COR ได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ

แบบสังเกตบันทึกพฤติกรรมเด็ก (COR) ช่วยให้ครูที่ทางานอยู่ใน
โปรแกรมที่พัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างเหมาะสมกับพัฒนาการ ได้สังเกตเด็ก
และบันทึกพฤติกรรมท่ีเด็กแสดงออกในกิจวัตรประจาวันอย่างต่อเน่ือง
สม่าเสมอ COR จะช่วยชี้ให้เห็นทักษะและศักยภาพของเด็กแต่ละคน ทาให้
ครูวางแผนการสอนและปรับสื่อการเรียนการสอน เทคนิควิธีการและ
กิจกรรมให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความสนใจและความต้องการของ
เดก็ เป็นรายบุคคล

รายการสังเกตใน COR มี 6 รายการ ตามประสบการณ์สาคัญ
ในไฮสโคป คอื

1. การรเิ รม่ิ (Initiative)
2. ความสัมพนั ธท์ างสงั คม (Social Relations)
3. การนาเสนออยา่ งสร้างสรรค์ (Creative Representation)
4. ดนตรแี ละการเคล่ือนไหว (Music and Movement)
5. ภาษาและการรหู้ นังสอื (Language and Literacy)
6. ตรรกและคณติ ศาสตร์ (logic and Mathematics)

27 การจัดการเรียนรู้แบบไฮสโคป (High Scope)

1. สอนให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้อื่น ซ่ึงเร่ิมจากความไว้วางใจ
โดยครูตอ้ งเป็นผู้สรา้ งความไวว้ างใจให้แก่เด็กเพื่อให้เด็กได้ลงมือทากิจกรรม
หรือช้ินงานตามความสนใจของตนเองและมีความสนุกในการเรียนรู้ที่จะ
ทางาน

2. การลงมือทางานฝึกให้เด็กวางแผนการทางานอย่างเป็นขั้นตอน
เป็นระบบ

3. เด็กได้ฝึกสมาธิทาให้เด็กเกิดปัญญา ฝึกความมีระเบียบวินัย ฝึก
การคิดอยา่ งมคี วามหมาย ผลท่ตี ามมา คือ ความสาเร็จในการทางานที่ได้ลง
มอื ปฏบิ ตั ดิ ้วยตนเอง ไดเ้ รยี นรูแ้ ละมีความสขุ ในการทางานทต่ี นสนใจ

การจดั การเรียนรู้แบบไฮสโคป (High Scope) 28

สรุป

การเรียนการสอนแบบไฮสโคป สามารถนาไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ได้
ทุกกิจกรรม เพราะกระบวนการและวิธีการสนับสนนุ การเรียนรู้ของเด็ก เปิด
กว้าง มีการคิดการปฏิบัติตามวงจรของการวางแผน การปฏิบัติ และการ
ทบทวน ( plan-do-review cycle ) เม่ือทากิจกรรมแล้วเด็กสามารถที่คิด
กิจกรรมอ่ืนต่อเน่ืองได้ตามความสนใจ จุดสาคัญอยู่ท่ีประสบการณ์การ
เรียนรู้ ( Key experience ) ท่ีเด็กควรได้รับระหว่างกิจกรรม ซ่ึงครูต้องมี
ปฏิสัมพนั ธ์และกระต้นุ ใหเ้ ดก็ เกิดการเรยี นรจู้ ากกิจกรรมใหม้ ากท่ีสดุ

การเรียนการสอนทุกรูปแบบต่างก็ส่งผลต่อเด็กในการเรียนรู้ แต่ส่ิงที่
มุ่งหวังให้เด็กได้รับอย่างน้อยต้องส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์
จิตใจ สังคมและสติปัญญา เพื่อการเรียนรู้ที่ดี และการอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้มี
ความคิดอิสระสร้างสรรค์ ริเริ่ม ซ่ึงรูปแบบการเรียนการสอนแต่ละรูปแบบ
จะมจี ุดเน้นสาคัญของรปู แบบทเี่ ปน็ ลกั ษณะเฉพาะของรูปแบบน้นั ๆ

ครูคือบุคคลที่จะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ หาก
รูปแบบการเรียนการสอนทม่ี ีความสอดคลอ้ งภาวะการเรยี นรู้ของเด็กและครู
มีความเข้าใจในรูปแบบการเรียนการสอน ก็จะเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ท่ีดี
ให้กับเดก็ มากย่ิงขนึ้

29 การจดั การเรียนร้แู บบไฮสโคป (High Scope)

บรรณานุกรม

ณัฏฐา มหาสคุ นธ์. (2561). การจัดประสบการณ์ตามแนวคิดไฮสโคปเพอ่ื พฒั นา
ทกั ษะพ้ืนฐานทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนอนบุ าลช้นั อนุบาลช้ันปีที่ 1.
(วิทยานิพบธป์ รญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต). มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยี
ราชมงคลธัญบรุ ,ี ปทุมธาน.ี

สานักงานเลขาธิการสภาการศกึ ษา. (2550). การเรยี นรูข้ องเดก็ ปฐมวัยไทย :
ตามแนวคิดไฮสโคป (พมิ พ์คร้ังที่ 2). กรุงเทพฯ: หา้ งหุน้ สว่ นจากดั วี.ท.ี ซ.ี
คอมมิวนเิ คชน่ั .

นฤมล โล่ห์ทองคา. (2555). การสอนแบบ ไฮสโคป. คน้ จาก https://
www.gotoknow.org/posts/46851

มิง่ ขวญั ลิรุจประภากร. (ม.ป.ป). ทาความรูจ้ ัก “แนวการสอนไฮสโคป” พัฒนา
เด็กอนบุ าลเน้นการลงมือทา. คน้ จาก http://1ab.in/glB

วชริ ญาณ์ กลา้ หาญ. (2555). รูปแบบการเรยี นการสอนแบบไฮ/สโคป. คน้ จาก
https://www.gotoknow.org/posts/46851

สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2. (2552). การจัดการ
ความรู้การจดั การเรียนรแู้ บบไฮสโคปและแบบมอนเตสซอร่ี. ค้นจาก
https://wow.in.th/Odg0x

การจัดการเรียนรู้แบบไฮสโคป (High Scope) 30


Click to View FlipBook Version