สามัคคีเภทคําฉันท์
ประวัติผู้แต่ง
ผู้แต่ง นายชิต บุรทัต กวีในรัชกาลที่ ๖ ในขณะที่บรรพชาเป็นสามเณร อายุเพียง ๑๘ ปี ได้เข้าร่วม
แต่งฉันท์สมโภชพระมหาเศวตฉัตรในงานราชพิธีฉัตรมงคล รัชกาลที่ ๖ เมื่ออายุ ๒๒ ปี ได้ส่ง
กาพย์ปลุกใจลงในหนังสือพิมพ์ สมุทรสาร นายชิต
มีนามสกุลเดิมว่า ชวางกูร ได้รับพระราชทานนามสกุล “บุรทัต” จากพระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าฯ ในปี ๒๔๕๐ เมื่ออายะ ๒๓ ปี ใช้นามปากกาว่า เจ้าเงาะ เอกชน และแมวคราว
ที่มาของเรื่อง
ที่มาของเรื่อง ในสมัยรัชกาลที่ ๖ เกิดวิกฤตการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น
เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ เกิดกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของบ้าน
เมือง นายชิต บุรทัต จึงได้แต่งเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ เพื่อมุ่งชี้
ความสำคัญของการรวมกันเป็นหมู่คณะ เรื่องสามัคคีเภท เป็นนิทานสุภาษิต ในมหา
ปรินิพพานสูตร และอรรถกถาสุมังคลวิลาสินี ทีฆนิกายมหาวรรค ลงพิมพ์ในหนังสือ
ธรรมจักษุ ของมหามกุฎราชวิทยาลัย โดยเรียบเรียงเป้าษาบาลี
ความหมายของ “สามัคคีเภท”
“สามัคคีเภท” เป็นคำสมาส ระหว่าง “สามัคคี” และ “เภท” ซึ่ง “เภท” มีความหมายว่า
การแตกแยก ดังนั้น “สามัคคีเภท” จึงหมายถึง “การแตกความสามัคคี”
เนื้ อเรื่อง
เนื้อเรื่องย่อ พระเจ้าอชาตศัตรูแห่งกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ ทรงมีวัสสการ
พราหมณ์ผู้ฉลาดและรอบรู้ศิลปศาสตร์เป็นที่ปรึกษา มีพระประสงค์จะขยายอาณาจักร
ไปยังแคว้นวัชชีของเหล่ากษัตริย์ลิจฉวี ซึ่งปกครองแคว้นโดยยึดมั่นในอปริหานิย
ธรรม (ธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม) เน้นสามัคคีธรรมเป็นหลัก การโจมตี
แคว้นนี้ให้ได้จะต้องทำลายความสามัคคีนี้ให้ได้เสียก่อน วัสสการพราหมณ์ปุโรหิตที่
ปรึกษา จึงอาสาเป็นไส้ศึกไปยุแหย่ให้กษัตริย์ลิจฉวีแตกความสามัคคี โดยทำเป็นอุบาย
กราบทูลทัดทานการไปตีแคว้นวัชชี พระเจ้าอชาตศัตรูแสร้งกริ้ว รับสั่งลงโทษให้เฆี่ยน
วัสสการ พราหมณ์ อย่างรุนแรงแล้วเนรเทศไป
ข่าวของวัสสการพราหมณ์ไปถึงนครเวสารี เมืองหลวงของแคว้นวัชชี กษัตริย์ลิจฉวีรับสั่ง
ให้วัสสการพราหมณ์เข้ารับราชการกับกษัตริย์ลิจฉวี ด้วยเหตุที่เป็นผู้มีสติปัญญา มี
วาทศิลป์ดี มีความรอบรู้ในศิลปะวิทยาการ ทำให้กษัตริย์ลิจฉวีรับไว้ในพระราชสำนัก ให้
พิจารณาคดีความและสอนหนังสือพระโอรส วัสสการพราหมณ์ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มความ
รู้ความสามารถ จนกษัตริย์ลิจฉวีไว้วางพระทัย ก็ดำเนินอุบายขั้นต่อไป คือสร้างความ
คลางแคลงใจในหมู่พระโอรส แล้สลุกลามไปถึงพระบิดา ซึ่งต่างก็เชื่อพระโอรส ทำให้ขุ่น
เคืองกันไปทั่ว เวลาผ่านไป ๓ ปี เหล่ากษัตริย์ลิจฉวีก็แตกความสามัคคีกันหมด แม้วัสสการ
พราหมณ์ตีกลองนัดประชุม ก็ไม่มีพระองค์ใดมาร่วมประชุม วัสสการพราหมณ์จึงลอบส่ง
ข่าวไปยังพระเจ้าอชาตศัตรู ให้ทรงยกทัพมาตีแคว้นวัชชีได้อย่างง่ายดาย
อปริหานิยธรรม ๗ ประการ
๑. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
๒. พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจที่
พึง ทำ
๓. ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติเอาไว้ ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้ ถือปฏิบัติตามวัช
ชีธรรมตามที่วางไว้เดิม
๔. ท่านเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่ในชนชาววัชชี ก็ควรเคารพนับถือท่านเหล่านั้น เห็น
ถ้อยคำของท่านว่าเป็นสิ่งอันควรรับฟัง
๕. บรรดากุลสตรีและกุลกุมารีทั้งหลายให้อยู่ดี โดยมิถูกข่มเหงหรือฉุดคร่า
ขืนใจ
๖. เคารพสักการบูชาเจดีย์ของวัชชีทั้งหลายทั้งภายในและภายนอก ไม่ปล่อยให้
ธรรมิกพลีที่เคยให้เคยทำแก่เจดีย์เหล่านั้นเสื่อมทรามไป
๗. จัดให้ความอารักขา คุ้มครอง และป้องกันอันชอบธรรมแก่พระอรหันต์ทั้ง
หลายทั้งที่ยังมิได้มาพึงมาสู่แว่นแคว้นและที่มาแล้วพึงอยู่ในแว่นแคว้นโดยผาสุก
ตัวละครในเรื่อง"สามัคคีเภทคำฉันท์”
• พระเจ้าอชาตศัตรู กษัตริย์แห่งแคว้น
มคธ
• พระกุมารและกษัตริย์ลิจฉวี เมืองเวสาลี
แคว้นวัชชี
• วัสสการพราหมณ์ ปุโรหิต ที่ปรึกษาของ
พระเจ้าอชาตศัตรู
จุดประสงค์ในการแต่ง
นายชิต บุรทัต อาศัยเค้าคำแปลของเรื่องสามัคคี
เภทมาแต่งเป็นคำฉันท์ เพื่อแสดงความสามารถใน
เชิงกวีให้เป็นที่ปรากฏ และเป็นพิทยาภรณ์ประดับ
บ้านเมือง
รูปแบบ
แต่งเป็นบทร้อยกรอง โดยนำฉันท์ชนิดต่าง ๆ มาใช้สลับกันอย่างเหมาะสมกับ
เนื้อหาแต่ละตอน ประกอบด้วยฉันท์ ๑๘ ชนิด กาพย์ ๒ ชนิด คือ กาพย์ฉบัง
๑๖ และ กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘
ฉันทลักษณ์สำคัญที่ควรรู้
คำประพันธ์ชนิด “ฉันท์” จะมีฉันทลักษณ์ที่เป็นลักษณะบังคับ
ได้แก่
ครุ คือ พยางค์ที่มีเสียงหนัก ได้แก่ พยางค์ที่ประกอบด้วย
สระเสียงยาว เช่น ตา แม่ ปู และสระ อำ ใอ ไอ เอา เช่น ทำ
ใจ ไป เดา รวมทั้งพยางค์ที่มีตัวสะกด เช่น แมว จาน กลม
เป็นต้น
ลหุ คือ พยางค์ที่ประสมกับสระเสียงสั้น และจะต้องไม่มีตัว
สะกด เช่น จะ สิ ก็ ธ เป็นต้น
ข้อคิดที่ควรพิจารณา จากเรื่อง
สามัคคีเภทคำฉันท์
๑. การขาดการพิจารณาไตร่ตรอง นำไปซึ่งความสูญเสีย ดังเช่น เหล่ากษัตริย์ลิจฉวี “ขาดการ
พิจารณาไตร่ตรอง” คือ ขาดความสามารถในการใช้ปัญญา
ตริตรองพิจารณาสอบสวน และใช้เหตุผลที่ถูกต้อง จึงหลงกลของวัสสการพราหมณ์ ถูกยุแหย่
ให้แตกความสามัคคีจนเสียบ้านเสียเมือง
ในรัชกาลที่ ๖ ด้วยเหตุที่คนไทยมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินกิจการบ้านเมืองแตก
ต่างกันหลายฝ่าย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ กวีจึงนิยมแต่งวรรณคดีปลุกใจ
ขึ้นเป็นจำนวนมาก สามัคคีเภทคำฉันท์เป็นเรื่องหนึ่งในจำนวนนั้น
นายชิต บุรทัต แต่งเรื่องนี้ขึ้น โดยมุ่งชี้ให้เห็นความสำคัญของความสามัคคี เพื่อบ้านเมืองเป็น
ปึกแผ่นมั่นคง แต่ในปัจจุบันกระแสชาตินิยมลดลง แต่ความสามัคคีก็เป็นหลักธรรมสำคัญใน
การทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ วรรณคดีเรื่องนี้จึงเป็นเนื้อหาที่มีคติสอนใจทันสมัยอยู่เสมอ
๒. แนวคิดของเรื่องสามัคคีเภท สามัคคีเภทคำฉันท์ เป็นนิทานสุภาษิตสอน
ใจให้เห็นโทษของการแตกความสามัคคี และแสดงให้เห็นความสำคัญของการ
ใช้สติปัญญาให้เกิดผลโดยไม่ต้องใช้กำลัง
๓. ข้อคิดเห็นระหว่างวัสสการพราหมณ์กับกษัตริย์ลิจฉวี บางคนอาจมีทรรศนะ
ว่า
วัสสการพราหมณ์ขาดคุณธรรม ใช้อุบายล่อลวงผู้อื่นเพื่อประโยชน์ฝ่ายตนแต่
มองอีกมุมหนึ่งก็จะเห็นว่าวัสสการพราหมณ์น่ายกย่องตรงที่มีความจงรัก
ภักดีต่อพระเจ้าอชาตศัตรูและต่อบ้านเมือง ยอมถูกลงโทษเฆี่ยนตี ยอมลำบาก
จากบ้านเมืองตนไปเสี่ยงภัยในหมู่ศัตรู ด้องใช้ความอดทน สติปัญญาความ
สามารถอย่างสูงจึงจะสัมฤทธิผลตามแผนการที่วางไว้ส่วนกษัตริย์ลิจฉวีเคย
ใช้หลักอปริหานิยธรรมร่วมกันปกครองแคว้นวัชชีให้มั่นคงเจริญมาช้านาน แต่
เมื่อถูกวัสสการพรามหณ์ใช้อุบายยุแหย่ให้แตกความสามัคคีก็พ่ายแพ้ศัตรูได้
โดยง่ายดาย
ลักษณะเด่นของ สามัคคีเภทคำฉันท์
เป็นกวีที่มีความงดงาม ใช้ถ้อยคำอย่างละเมียดละไม โอ่อ่าอลังการในการใช้
แบบแผนฉันทลักษณ์ของกาพย์และฉันท์เช่น การใช้สัททุลลวิกกีฬิต ฉันท์แต่งบทไหว้
ครู หรือการใช้มาลินีฉันท์ และสัทธราฉันท์แต่งบทขรึมขลัง การใช้กาพย์และ ฉันท์
ลักษณะอื่นๆ ที่ให้อารมณ์ความรู้สึกสอดคล้องกับเนื้อหา อารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
น่าหวาดกลัว เกรี้ยวกราด ตกใจ ผาดโผน ลีลาอ่อนไหวโน้มน้ำใจ หรือเศร้าสังเวช จน
กล่าวได้ว่า เอกภาพของเนื้อหาและรูปแบบฉันทลักษณ์ในสามัคคีเภทคำฉันท์นั้นแต่ง
ได้ดียิ่ง ควรเป้นแบบอย่างในการศึกษาเรียนรู้
เรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ให้อะไรกับผู้อ่าน
๕.๑ เลือกสรรฉันท์ชนิดต่าง ๆ มาใช้สลับกันอย่างเหมาะสมกับเนื้อเรื่องแต่ละตอน เช่น ใช้วสันตดิลก
ฉันท์ ๑๔ ซึ่งมีลีลาไพเราะ ชมความงามของเมืองราชคฤห์ ใช้อีทิสังฉันท์ ๒๐ ซึ่งมีลีลากระแทกกระทั้น
แสดงอารมณ์โกรธ
๕.๒ ดัดแปลงฉันท์บางชนิดให้ไพเราะยิ่งขึ้น เช่น เพิ่มสัมผัสบังคับคำสุดท้ายของวรรคแรกกับ
คำที่ ๓ ของวรรคที่ ๒ ในฉันท์ ๑๑ ฉันท์ ๑๒ และฉันท์ ๑๔ เป็นที่นิยมแต่งตามมาถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ นายชิต บุรทัต ยังเพิ่มลักษณะบังคับ ครุ ลหุ สลับกันลงในกาพย์สุรางคนาง ๒๘
ให้มีจังหวะคล้ายฉันท์ด้วย
๕.๓ เล่นสัมผัสในทั้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษรอย่างไพเราะ เช่น คะเนกล – คะนึงการ ระวัง
เหือด – ระแวงหาย
๕.๔ ใช้คำง่าย ๆ ในการเล่าเรื่อง ทำให้ดำเนินเรื่องได้รวดเร็ว และผู้อ่านเข้าใจเรื่องได้ทันที
๕.๕ ใช้คำง่าย ๆ ในการบรรยายและพรรณนาดัวละครได้อย่างกระชับ และสร้างภาพให้เห็นได้อย่าง
ชัดเจน
คุณค่างานประพันธ์
๑.ด้านวรรณศิลป์
- ใช้ฉันทลักษณ์ได้อย่างงดงามเหมาะสม โดยเลือกฉันท์ชนิดต่าง ๆ มาใช้สลับกัน
- ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เห็นภาพชัด
๒. ด้านสังคม
- เน้นโทษของการแตกความสามัคคีในหมู่คณะ
- ด้านจริยธรรม เน้นถึงหลักธรรม อปริหานิยธรรม ซึ่งเป็นธรรมอันไม่เป็นที่ตั้ง
แห่งความเสื่อม
- เน้นถึงความสำคัญของการใช้สติปัญญาตริตรอง และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดย
ไม่ต้องใช้กำลัง
สมาชิกในกลุ่ม
๑. นางสาว ปภาวี แซ่เสิ่น เลขที่ 2
เลขที่ 6
๒. นางสาว กัญญาลักษณ์ เมืองดี เลขที่ 14
เลขที่ 17
๓. นางสาว พิมพ์ภัสส
ร ทาคำปัน เลขที่ 23
๔. นางสาว อัจฉรา พูมเกษม เลขที่ 29
๕. นางสาว ศศิธร แซ่เสอ
๖. นางสาว เกสร ทองดี