รายงานผลการดำเนินงาน โครงการค่ายวิทยาศาสตร์ โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา วันที่10 มกราคม พ.ศ.2567 โดย ศูนย์วิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ร่วมกับ โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา
คำนำ โครงการค่ายวิทยาศาสตร์ โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างศูนย์ วิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ร่วมกับ โรงเรียนอนุบาล นครราชสีมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาและมีทักษะในด้านการ ปฏิบัติการ พัฒนาศักยภาพนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์เป็นไปอย่างต่อเนื่องถึง ระดับอุดมศึกษา ตลอดจนเป็นการปลูกฝังให้เยาวชนมีความสนใจในการเรียนวิทยาศาสตร์ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเพิ่มขึ้น รายงานฉบับนี้ได้รวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับการดำเนินงานโครงการผลการดำเนินการ ที่ได้ จัดขึ้นในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2567 โดยให้ความรู้และทักษะการปฏิบัติการด้านวิทยาศาสตร์ ตลอดจนผล การดำเนินงานกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ขอขอบพระคุณ คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษา มหาวิทยาลัย ราชภัฏนครราชสีมา พร้อมทั้งคณะครูและนักเรียนโรงเรียนทุกท่าน ที่ให้ความร่วมมือในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ สำเร็จบรรลุตามวัตถุประสงค์ทุกประการ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากิจกรรมครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์แก่ท่านและ ประโยชน์ต่อการพัฒนาการเรียนการสอนในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ต่อไป คณะผู้จัดทำ มกราคม พ.ศ. 2567
สารบัญ หน้า ส่วนที่ 1 บทนำ 1 ส่วนที่ 2 หลักสูตรการจัดกิจกรรม 5 ส่วนที่ 3 ผลการดำเนินงาน ส่วนที่ 4 สรุปผลการดำเนินงาน ภาคผนวก 23 26 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้ลงทะเบียน 28 ภาคผนวก ข เอกสารที่เกี่ยวข้อง 1. หนังสือราชการ 2. โครงการ 3. กำหนดการ 4. คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน 5. คำสั่งแต่งตั้งวิทยากร 6. บันทึกข้อความ 7. ใบเสร็จรับเงิน ภาคผนวก ค ภาพกิจกรรม 39 40 41 47 48 50 52 55 56
1 ส่วนที่ 1 บทนำ 1. หลักการและเหตุผล โครงการค่ายวิทยาศาสตร์เป็นการบริการวิชาการและสร้างความร่วมมือทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการของชุมชนและสังคม เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนของ ชุมชน สังคมและประเทศชาติ โดยให้บริการวิชาการที่ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างและกลุ่มเป้าหมายที่ เฉพาะเจาะจง ซึ่งอาจให้บริการโดยการใช้ทรัพยากรร่วมกันทั้งในสถาบันและระดับบุคคลได้ในหลายลักษณะดังนั้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาขอความร่วมมือสถาบันอุดมศึกษาจัดการศึกษา เพื่อพัฒนาศักยภาพ นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องถึง ระดับอุดมศึกษา ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ดำเนินโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่ปี 2550 เพื่อให้กลุ่มผู้เรียนเหล่านี้มีสิทธิ์ที่จะได้รับการศึกษาด้วยรูปแบบที่เหมาะสมสอดคล้องกับ พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2552 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการปลูกฝังความสามารถด้าน วิทยาศาสตร์ อีกทั้งโครงการดังกล่าวมีความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัย “เป็นผู้นำการศึกษาเพื่อ พัฒนาท้องถิ่นสู่ความยั่งยืน” เป้าประสงค์ : ชุมชนและสังคมมีศักยภาพในการแข่งขัน มีความเข้มแข็งและสามารถ พึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน ประเด็นยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยข้อที่ 4 : การยกระดับเศรษฐกิจ สังคม ศิลปวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมของท้องถิ่นเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน เป้าประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ : ปลูกฝังแนวคิดแก่บุคลากร คณาจารย์ และนักศึกษาในการอุทิศตนเพื่อชุมชนท้องถิ่นและสังคม กลยุทธ์: พัฒนา หลักสูตรอบรมระยะสั้นเพื่อสร้างอาชีพให้กับประชาชนในท้องถิ่น จึงมอบหมายให้ศูนย์วิทยาศาสตร์ คณะ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดโครงการค่ายวิทยาศาสตร์ เพื่อบริการวิชาการให้กับ โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยมีนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 รวมทั้งสิ้น 119 คน กำหนดจัด กิจกรรมวันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2567 เพื่อให้นักเรียนได้รับการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และฝึก ปฏิบัติด้านปฏิบัติการวิทยาศาสตร์นอกห้องเรียนในสาขาวิชาเคมี สาขาชีววิทยา และสาขาฟิสิกส์ ได้อย่างครบ ทุกขั้นตอนจากแหล่งการเรียนรู้นอกห้องเรียน โดยมีคณาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นวิทยากร พร้อมด้วยนักวิทยาศาสตร์ประจำชั้นปฏิบัติการของศูนย์วิทยาศาสตร์เป็นผู้ช่วยวิทยากรร่วม เพื่อเป็นการพัฒนา ความเชี่ยวชาญและศักยภาพในการปฏิบัติงานเชิงวิชาชีพให้เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งสามารถบูรณาการงานบริการ วิชาการกับการเรียนการสอนกับหลักสูตร สนับสนุนให้นักศึกษาประจำหลักสูตรเป็นผู้ช่วยวิทยากร เพื่อเป็นการ พัฒนาทักษะ ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ก่อนออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูและฝึกงานต่อไป 2. วัตถุประสงค์ของโครงการ 1. ผู้รับบริการมีทักษะและความเข้าใจในการเรียนปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น 2. ผู้รับบริการสามารถนำความรู้จากการเข้าร่วมกิจกรรมไปประยุกต์ใช้ในการเรียนได้ 3. นักศึกษาได้พัฒนาความรู้และทักษะเชิงปฏิบัติการ
2 3. ตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ 5.1 เชิงปริมาณ ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย 11.1.1 ผู้รับบริการมีทักษะการใช้อุปกรณ์พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง มากกว่าหรือเท่ากับ 60 คน ของจำนวนผู้รับบริการทั้งหมด 119 คน 5.2 เชิงคุณภาพ ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย 11.2.1 ผู้รับบริการมีความพึงพอใจในภาพรวมมากกว่าหรือเท่ากับ ระดับดี ระดับดี 11.2.2 ผู้รับบริการมีทักษะการใช้อุปกรณ์พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ได้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 90 ร้อยละ 90 4. สถานที่ดำเนินโครงการ ณ อาคารจุฬาภรณวลัยลักษณ์ (ศูนย์วิทยาศาสตร์) คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครราชสีมา 5. ระยะเวลาดำเนินโครงการ วันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2567 ณ อาคารจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ศูนย์วิทยาศาสตร์ 6. ผู้เข้าร่วมโครงการ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 และครูผู้ควบคุม รวมทั้งสิ้น 119 คน 7. งบประมาณและแหล่งที่มา เงินอุดหนุนโครงการค่ายวิทยาศาสตร์โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา จำนวนเงิน 83,300 บาท (แปดหมื่นสามพันสามร้อยบาทถ้วน) ***ขอถัวเฉลี่ยจ่ายทุกรายการ 8. ผู้รับผิดชอบโครงการ ศูนย์วิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
3 9. การประเมินผล ตัวชี้วัดความสำเร็จ วิธีวัดประเมินผล เครื่องมือที่ใช้ ผู้รับบริการมีทักษะการใช้อุปกรณ์ พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ได้อย่าง ถูกต้อง มากกว่าหรือเท่ากับ 119 คน ของจำนวนผู้รับบริการทั้งหมด ผลคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน แบบทดสอบก่อนเรียน และแบบหลังเรียน ผู้รับบริการมีทักษะการใช้อุปกรณ์ พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ได้ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 90 ระดับความพึงพอใจโดยรวม ของผู้รับบริการ แบบประเมินความพึงพอใจ
4 กำหนดการ โครงการค่ายวิทยาศาสตร์ โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2567 ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา วันที่ 10 มกราคม 2567 นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 119 คน และครู จำนวน 6 คน 08.00 - 08.30 น. ลงทะเบียน ณ ห้องประชุม 24.125 ศูนย์วิทยาศาสตร์ พิธีกรดำเนินรายการ ชี้แจงรายละเอียดกิจกรรม แนะนำวิทยากร แจ้งกำหนดการ 08.30 - 11.30 น. ฝึกปฏิบัติการชีววิทยา เรื่อง กล้องจุลทรรศน์เซลล์และเนื้อเยื่อ ณ ห้อง 24.421 (ป.3) วิทยากร 1 : ผศ.ดร.แววดาว ดาทอง วิทยากร 2 : นายวินัฐ จิตรเกาะ ฝึกปฏิบัติการเคมี เรื่อง การวัดค่าความเป็นกรด-เบส ของสารเคมีในชีวิตประจำวัน ณ ห้อง 24.425 (ป.2) วิทยากร 1 : ผศ.ดร.สายใจ ปอสูงเนิน วิทยากร 2 : นางสาวฐานิฏฐ์กานต์ ทวนไธสง ฝึกปฏิบัติการฟิสิกส์ เรื่อง สนุกกับวิทยาศาสตร์ ณ ห้อง 24.125 (ป.1) วิทยากร 1 : ผศ ธนวัฒน์ รังสูงเนิน วิทยากร 2 : นายกันตภณฑ์ เสร็จกิจ 11.30 - 12.30 น. รับประทานอาหารกลางวัน 12.30 – 15.30 น. ฝึกปฏิบัติการชีววิทยา เรื่อง กล้องจุลทรรศน์เซลล์และเนื้อเยื่อ ณ ห้อง 24.421 (ป.2) วิทยากร 1 : ผศ.ดร.แววดาว ดาทอง วิทยากร 2 : นางรจนา พิทักษ์ธันยพร ฝึกปฏิบัติการเคมี เรื่อง การวัดค่าความเป็นกรด-เบส ของสารเคมีในชีวิตประจำวัน ณ ห้อง 24.425 (ป.1) วิทยากร 1 : ผศ.ดร.มะลิวัลย์ สืบศาสนา วิทยากร 2 : นายชัยยุทธ ปิยวรนนท์ ฝึกปฏิบัติการฟิสิกส์ เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่างๆ ณ ห้อง 24.125 (ป.3) วิทยากร 1 : ดร. วัชระ พรกวีรัตน์ วิทยากร 2 : น.ส. นภาพร ทวีแสง 15.30 น. เดินทางกลับ หมายเหตุ อาหารว่างเช้า เวลา 10.00 – 10.15 น. อาหารกลางวัน เวลา 11.30 – 12.30 น. อาหารว่างบ่าย เวลา 15.00 – 15.15 น.
5 2หลักสูตรการจัดกิจกรรม การจัดกิจกรรมโครงการค่ายวิทยาศาสตร์ โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา วันที่ 10 มากราคม พ.ศ. 2567 ณ อาคารจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ศูนย์วิทยาศาสตร์ เพื่อให้นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 119 คน และครู จำนวน 6 คน ได้รับการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และฝึกปฏิบัติการ วิทยาศาสตร์นอกห้องเรียนในหลักสูตรฟิสิกส์ หลักสูตรเคมี และหลักสูตรชีววิทยา มีดังนี้ ประถมศึกษาปีที่ 1 • บทปฏิบัติการฟิสิกส์ เรื่อง สนุกกับวิทยาศาสตร์ • บทปฏิบัติการเคมี เรื่อง การวัดค่าความเป็นกรด-เบส ของสารเคมีในชีวิตประจำวัน ประถมศึกษาปีที่ 2 • บทปฏิบัติการเคมี เรื่อง การวัดค่าความเป็นกรด-เบส ของสารเคมีในชีวิตประจำวัน • บทปฏิบัติการชีววิทยา เรื่อง กล้องจุลทรรศน์เซลล์และเนื้อเยื่อ ประถมศึกษาปีที่ 3 • บทปฏิบัติการชีววิทยา เรื่อง กล้องจุลทรรศน์เซลล์และเนื้อเยื่อ • บทปฏิบัติการฟิสิกส์ เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่างๆ
6 เอกสารประกอบการอบรมค่ายวิทยาศาสตร์โรงเรียนอนุบาลเมืองนครราชสีมา เรื่อง กล้องจุลทรรศน์และเซลล์ ชื่อ............................................................ สกุล.............................................. ชั้นประถมศึกษาปีที่............. วันที่................... เดือน............................................... พ.ศ. .................................. กล้องจุลทรรศน์ (Microscopy หรือ Microscope) เครื่องมือขยายขอบเขตประสาทสัมผัสทางตา ให้มองเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ด้วยตาเปล่า เช่น จุลินทรีย์ หรือ เซลล์เม็ดเลือด เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้วัดขนาดตัวอย่างที่ศึกษาได้ โดยผู้ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์แบบง่ายคนแรก คือ แอนโทนี่ แวน เลเวนฮุค (Antonie Van Leeuwenhuek) กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (Bright field หรือ Light microscope) กล้องจุลทรรศน์ที่ใช้กันโดยทั่วไป เมื่อใช้งานจะเห็นส่วนของพื้นหลังสว่าง และตัวอย่างที่ศึกษามีสีเข้ม กว่าสีพื้นหลัง กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงแบ่งได้ 2 แบบ คือ กล้องจุลทรรศน์แบบเลนส์ประกอบ และกล้อง จุลทรรศน์แบบสเตอริโอ ตารางแสดงข้อแตกต่างระหว่างกล้องจุลทรรศน์แบบเลนส์ประกอบ และแบบสเตอริโอ Compound microscope Stereo microscope - กำลังขยาย 1,000 เท่าแต่ไม่เกิน 2,000 เท่า - ภาพเกิดจากแสงส่องผ่านวัตถุที่ต้องการดู - ภาพเสมือนหัวกลับแบบ 2 มิติ - กำลังขยาย 80-200 เท่า - เกิดจากแสงส่องกระทบวัตถุแล้วสะท้อนเข้าตา - ภาพเสมือนหัวตั้งแบบ 3 มิติ โครงสร้างและหน้าที่ของกล้องจุลทรรศน์แบบเลนส์ประกอบ (Compound microscope) กล้องจุลทรรศน์แบบเลนส์ประกอบเป็นกล้องที่ประกอบด้วยเลนส์ที่ทำให้เกิดภาพแบบ 2 มิติ ใช้ศึกษา วัตถุที่มีขนาดเล็กมากที่ไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดได้ด้วยตาเปล่า โดยภายในกระบอกเลนส์ใกล้วัตถุ ประกอบด้วยกระจกเลนส์ที่เรียงซ้อนกัน มีลักษณะเป็นเลนส์ประกอบ (compound lens) โดยมักจะต้องย้อม สีเซลล์สิ่งมีชีวิตก่อนจึงจะมองเห็นตัวอย่างได้ชัดเจน เพราะเซลล์ส่วนใหญ่มีลักษณะโปร่งแสง
7 ส่วนประกอบและหน้าที่ของกล้อง 1. เลนส์ตา หรือเลนส์ใกล้ตา (Eye-piece หรือ Ocular lens) เป็นระบบเลนส์อยู่ใกล้ตาใช้สำหรับส่อง ดูตัวอย่าง มีกำลังขยายเท่ากับ 10X โดยกล้องจุลทรรศน์ที่มี 1 กระบอกตา เรียกว่า monocular กล้อง จุลทรรศน์ที่มี 2 กระบอกตา เรียกว่า binocular ทั้งนี้ระยะห่างระหว่าง 2 กระบอกตา เรียกว่า diopter 2. ฐานยึดเลนส์วัตถุ (Revolving nosepiece) มีลักษณะเป็นแผ่นกลมโค้ง 2 แผ่น ประกบกัน ตรง กลางกลวง ด้านล่างเจาะรูไว้สำหรับยึดเลนส์วัตถุที่มีกำลังขยายต่างกัน สามารถหมุนได้รอบ 3. เลนส์ใกล้วัตถุ (Objective lens) คือ ระบบเลนส์ที่อยู่ใกล้กับตัวอย่าง ทำหน้าที่ขยาย ขนาดของ ตัวอย่างให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยมีกำลังขยายต่างๆ เช่น 4X, 10X, 20X, 40X และ 100X นอกจากนี้ ยังมี เครื่องหมายอื่นๆ เช่น แถบสี เพื่อบอกว่า objective ใดเป็น oil-immersion, phase contrast เป็นต้น กำลังขยายภาพ (Magnification) หมายถึง จำนวนเท่าของขนาดภาพที่ใหญ่กว่าวัตถุที่เรามองเห็น คำนวณได้จากกำลังขยายเลนส์ใกล้ตา คูณด้วย กำลังขยายเลนส์ใกล้วัตถุ มีหน่วยเป็นเท่า หรือ X 4. แท่นวางตัวอย่าง (Stage) ลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมสีดำยึดติดกับแขนกล้อง (Arm) ตรงกลาง มี ช่องให้แสงสว่างผ่าน ทำหน้าที่เป็นแท่นวางสไลด์ตัวอย่าง โดยมี stage clip สำหรับยึดแผ่นสไลด์ไว้ ไม่ให้ เคลื่อนที่ โดยกล้องที่ผลิตในระยะหลังจะมี mechanical stage เพื่อความสะดวกในการเลื่อนสไลด์ไปมา 5. เลนส์รวมแสง (Condenser) และม่านปรับแสง (Iris diaphragm) อยู่ใต้แท่นวางตัวอย่าง โดยเลนส์ รวมแสงทำหน้าที่รวมแสงจากแหล่งกำเนิดให้เข้าสู่เลนส์วัตถุ และม่านปรับแสงทำหน้าที่ควบคุมปริมาณแสงที่ จะผ่านเข้าสู่เลนส์รวมแสง เพื่อให้มองเห็นตัวอย่างได้ชัดเจน 6. ปุ่มปรับความคมชัด ลักษณะเป็นล้อกลมยื่นออกจากตัวกล้องบริเวณใกล้ฐานกล้อง โดยทั่วไปมี 2 ปุ่ม คือ ปุ่มปรับภาพหยาบ (Course adjustment knob) และปุ่มปรับภาพละเอียด (Fine adjustment knob) ติดตั้งไว้ที่แกนเดียวกัน
8 7. ฐานกล้อง (Base) และแหล่งกำเนิดแสง (Light source) ฐานกล้องเป็นส่วนประกอบที่อยู่ด้าน ล่างสุด ลักษณะรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในกลวงและติดตั้งหลอดไฟสำหรับเป็นแหล่งกำเนิดแสง มีสวิทย์เปิดปิด และปุ่มปรับความเข้มแสง หลักการใช้งานกล้องจุลทรรศน์ 1. เปิดไฟ ให้แสงเข้าลำกล้องเต็มที่ 2. วางตัวอย่างลงบนแท่นวาง จากนั้นเลื่อน mechanical stage เพื่อให้ตัวอย่างอยู่ตรงช่องทางเดิน แสงที่ผ่าน 3. ปรับระยะห่างกระบอกเลนส์ใกล้ตาให้เหมาะสม แล้วมองภาพโดยเปิดตาทั้งสองข้างผ่านเลนส์ใกล้ ตา ทั้งนี้เพื่อไม่ให้รู้สึกปวดตา 4. หมุนปุ่มปรับภาพหยาบเพื่อเลื่อนแท่นวางตัวอย่างขึ้นช้าๆ หลังจากนั้นจึงส่องดูที่เลนส์ใกล้ตาให้ มองเห็นภาพตัวอย่าง (เลนส์ใกล้วัตถุ4X) และปรับความคมชัดภาพ โดยหมุนปุ่มปรับภาพละเอียด 5. ปรับม่านรับแสง หรือ ปุ่มปรับความเข้มแสง ให้ความเข้มของแสงพอดีกับความคมชัดของสายตา 6. ถ้าต้องการภาพขยายใหญ่ขึ้น ให้หมุนเลนส์ใกล้วัตถุกำลังขยายสูงขึ้นได้เลย โดยใช้มือจับที่ฐานยึด เลนส์วัตถุหมุนเลนส์ใกล้วัตถุไปยังกำลังขยายที่ 10X แล้วปรับความคมชัดอีกครั้งด้วยปุ่มปรับภาพละเอียด ข้อควรระวัง ไม่ใช้ปุ่มปรับภาพหยาบเลื่อนแท่นวางตัวอย่างขึ้นหรือลง ในขณะที่ตายังมองอยู่ที่เลนส์ตา โดย เฉพาะที่เลนส์ใกล้วัตถุที่มีกำลังขยายสูง (40X) เพราะอาจทำให้เลนส์ และสไลด์ตัวอย่างแตกเสียหายได้ 7. หลังจากใช้งานเสร็จแล้ว เช็ดคราบน้ำมันออกด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 95 โดยใช้กระดาษสำหรับ เช็ดเลนส์ห้ามใช้ผ้า หรือ กระดาษชำระเช็ดเลนส์โดยเด็ดขาด การเก็บและบำรุงรักษากล้องจุลทรรศน์ 1. ไม่ควรวางสไลด์ทิ้งไว้บนแท่นวางตัวอย่าง ภายหลังจากใช้งานเสร็จแล้ว 2. ควรเช็ดน้ำมันออกจากเลนส์ใกล้วัตถุเมื่อใช้งานเสร็จแล้วด้วยกระดาษเช็ดเลนส์และหากมีน้ำมัน เปื้อนที่เลนส์อื่นควรใช้กระดาษเช็ดเลนส์ซับน้ำมันออกทันที 3. ตรวจเช็คเลนส์ใกล้วัตถุให้อยู่ที่กำลังขยายต่ำสุด และแท่นวางตัวอย่างให้อยู่ในตำแหน่งต่ำสุด ทั้ง ก่อนและหลังใช้งานเสมอ 4. ส่วนต่างๆ ของ Mechanical stage ไม่ยื่นออกมานอกแท่นวางตัวอย่าง 5. ในการเคลื่อนย้ายกล้องจุลทรรศน์ให้ใช้มือข้างที่ถนัดจับที่แขนกล้อง และมืออีกข้างอยู่ใต้ฐานกล้อง โดยให้กล้องอยู่ในสภาพตั้งตรง 6. เช็ดทำความสะอาดให้เรียบร้อย คลุมพลาสติก เก็บในที่แห้งหรือในตู้เก็บกล้อง โครงสร้างและหน้าที่ของกล้องจุลทรรศน์แบบสเตอริโอ (Stereo microscope) กล้องจุลทรรศน์แบบสเตอริโอเป็นกล้องที่ประกอบด้วยเลนส์ใกล้วัตถุที่มีกำลังขยายต่ำ (น้อยกว่า 1 เท่า) ทำให้เกิดภาพแบบ 3 มิติซึ่งเป็นภาพเสมือนที่มีความชัดลึก ใช้ศึกษาวัตถุที่มีขนาดใหญ่ทั้งวัตถุโปร่งแสง และวัตถุทึบแสง แต่ไม่สามารถแยกรายละเอียดได้ด้วยตาเปล่า
9 ส่วนประกอบและหน้าที่ของกล้อง 1. เลนส์ตา หรือเลนส์ใกล้ตา (Eye-piece หรือ Ocular lens) เป็นระบบเลนส์อยู่ใกล้ตาใช้สำหรับส่อง ดูตัวอย่าง มีกำลังขยายเท่ากับ 10X 2. เลนส์ใกล้วัตถุ (Objective lens) คือ ระบบเลนส์ที่อยู่ใกล้กับตัวอย่าง ทำหน้าที่ขยาย ขนาดของ ตัวอย่างให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยมีกำลังขยายต่างๆ เช่น 0.67X, 1X, 2X, 3X, 4Xและ 5X 3. ปุ่มปรับความคมชัด ลักษณะเป็นล้อกลมสีดำ โดยทั่วไปมี 2 ปุ่ม คือ ปุ่มปรับความคมชัดภาพติดตั้ง ไว้ที่แขนกล้อง (Arm) และปุ่มปรับกำลังขยายเลนส์ใกล้วัตถุติดตั้งไว้ที่หัวกล้อง (Head) 4. แหล่งกำเนิดแสง (Light source) มีชุดไฟส่อง 2 ชุด ชุดแรกใช้สำหรับส่องบนวัตถุ (Incident light) ชุดที่สองอยู่ใต้ฐานกล้องให้แสงสว่างผ่านวัตถุ (Transmitted light) 5. แท่นวางตัวอย่าง (Stage) ลักษณะเป็นแผ่นวงกลมอยู่ที่ตำแหน่งฐานกล้อง (Base) มีช่องให้แสง สว่างใต้ฐานกล้องผ่าน ทำหน้าที่เป็นแท่นวางสไลด์ตัวอย่าง และมีแผ่นรองรับวัตถุ 2 แผ่น เป็นแผ่นวงกลมทึบสี ขาว-ดำและเป็นกระจกใสสามารถถอดเปลี่ยนได้รวมทั้งมีสวิทย์เปิดปิดและปุ่มปรับ ความเข้มแสง วิธีการใช้กล้องจุลทรรศน์แบบสเตอริโอ 1. เปิดไฟ และปรับปริมาณแสงให้พอเหมาะ 2. วางตัวอย่างลงบนแท่นวาง และเลื่อนตำแหน่งเพื่อให้ตัวอย่างอยู่ตรงกึ่งกลางช่องทางเดินแสงที่ส่อง 3. ปรับระยะห่างของเลนส์ใกล้ตาให้พอเหมาะกับผู้ใช้กล้อง จนทำให้จอภาพที่เห็นอยู่ในวงเดียวกัน 4. ปรับโฟกัสเลนส์ใกล้ตาทีละข้างจนชัดเจน
10 5. ถ้าต้องการศึกษาจุดใดจุดหนึ่งของตัวอย่างให้ปรับโฟกัสของเลนส์ใกล้วัตถุที่มีกำลังขยายสูงก่อน เพราะจะทำให้เห็นภาพวัตถุได้ชัดเจนทั้งกำลังขยายสูงและกำลังขยายต่ำ การเก็บและบำรุงรักษากล้องจุลทรรศน์ 1. ไม่ควรวางตัวอย่างทิ้งไว้บนแท่นวางตัวอย่าง ภายหลังจากใช้งานเสร็จแล้ว 2. ตรวจเช็คแท่นวางตัวอย่างให้อยู่ในตำแหน่งต่ำสุด ทั้งก่อนและหลังใช้งานเสมอ 3. ในการเคลื่อนย้ายกล้องจุลทรรศน์ให้ใช้มือข้างที่ถนัดจับที่แขนกล้อง และมืออีกข้างอยู่ใต้ฐานกล้อง โดยให้กล้องอยู่ในสภาพตั้งตรง 4. เช็ดทำความสะอาดให้เรียบร้อย คลุมพลาสติก เก็บในที่แห้งหรือในตู้เก็บกล้อง เซลล์ (Cell) เซลล์จัดเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดที่แสดงความมีชีวิตของสิ่งมีชีวิต ในการศึกษาโครงสร้างของเซลล์ที่ไม่ สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า จึงต้องใช้กล้องจุลทรรศน์เป็นเครื่องมือเพื่อช่วยในการขยายขอบเขตการมองเห็น ของตา เซลล์แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ เซลล์โพรคาริโอต (Prokaryotic cell) เป็นเซลล์ที่ยังไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส และไม่มีออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อ หุ้ม เรียกกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีเซลล์ประเภทนี้ว่า โพรคาริโอต (Prokaryote) พบในไซยาโนแบคทีเรีย (Cyanobacteria) และแบคทีเรีย (Bacteria) เซลล์ยูคาริโอต (Eukaryotic cell) เป็นเซลล์ที่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส และมีออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้ม เรียก กลุ่มสิ่งมีชีวิตนี้ว่า ยูคารีโอต (eukaryote) พบในเซลล์พืช (Plant cell) เซลล์สัตว์(Animal cell) สาหร่าย (Algae) โปรโตซัว (Protozoa) และเห็ดรา (Fungi) ภาพแสดงโครงสร้างของเซลล์โพรคาริโอต (Prokaryotic cell) และเซลล์ยูคาริโอต (Eukaryotic cell)
11 นอกจากนี้ สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวยังมีวิวัฒนาการต่อเนื่องกระทั่งกำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่มีความ ซับซ้อน (complexity) ของร่างกายมากกว่าเดิม และเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่อย่างหลากหลายในปัจจุบัน ความ ซับซ้อนเชิงโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวนี้ทำให้เซลล์มีการพัฒนาไปในหลายทิศทางกลายเป็น เนื้อเยื่อ (Tissue) เพื่อทำหน้าที่เฉพาะอย่าง เช่น ผิวหนังของสัตว์ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์เยื่อบุผิวที่มีรูปร่างแบนบาง ซึ่ง มีหน้าที่ปกป้องสิ่งต่างๆ ในร่างกายจากสิ่งแวดล้อมภายนอก กลุ่มเซลล์เยื่อบุผิวในลำไส้ที่มีรูปร่างทรงกระบอก และทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหาร หรือสมองและไขสันหลังที่ประกอบด้วยเซลล์ประสาทที่แตกแขนงคล้ายรากไม้ เพื่อทำหน้าที่รับส่งกระแสประสาท เป็นต้น ดังนั้น การทำความรู้จักเซลล์ต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตจึงเป็นกระบวนการขั้นต้นของการเรียนรู้ศาสตร์สาขา อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตต่อไป วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาส่วนประกอบและหน้าที่ของกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง 2. เพื่อทราบวิธีการใช้การดูแล และเก็บรักษากล้องจุลทรรศน์ได้อย่างถูกต้อง 3. เพื่อศึกษาลักษณะและโครงสร้างของเซลล์แต่ละชนิดโดยใช้กล้องจุลทรรศน์แบบเลนส์ประกอบ 4. เพื่อศึกษาโครงสร้างภายนอกของสิ่งมีชีวิตโดยใช้กล้องจุลทรรศน์แบบสเตอริโอ อุปกรณ์และสารเคมี 1. กล้องจุลทรรศน์แบบเลนส์ประกอบ (Compound microscope) และแบบสเตอริโอ (Stereo microscope) 2. กระดาษทิชชูและสำลี 3. หลอดหยดสารละลาย 4. ใบมีด 5. แผ่นสไลด์ 6. กระจกปิดสไลด์ 7. จานเพาะเชื้อ 8. น้ำกลั่น 9. ตัวอย่างเซลล์สิ่งมีชีวิต ได้แก่ สาหร่ายหางกระรอก ว่านกาบหอย ดอกไม้ ปลาหางนกยูง แมลง ขนาดเล็ก วิธีดาเนินการทดลอง กิจกรรมที่1 ศึกษาโครงสร้างของเซลล์พืช กิจกรรมที่ 1.1 สาหร่ายหางกระรอก 1. เลือกใบสาหร่ายหางกระรอกบริเวณใกล้ยอด 1 ใบ วางลงบนสไลด์ 2. หยดน้ำให้ท่วมใบสาหร่ายหางกระรอก แล้วปิดทับด้วยกระจกปิดสไลด์ 3. นำสไลด์ไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์แบบเลนส์ประกอบที่กำลังขยายเลนส์ใกล้วัตถุ10X หรือ 40X 4. สังเกตรูปร่าง สี และโครงสร้างของเซลล์ภายใต้กล้องจุลทรรศน์พร้อมวาดภาพ กิจกรรมที่ 1.2 ศึกษาโคงสร้างของปากใบ 1. เลือกใบว่านกาบหอย 1 ใบ ใช้มีดเฉือนบริเวณใต้ใบบางๆ (บริเวณสีม่วง)
12 2. นำมาวางบนแผ่นสไสด์ หยดน้ำกลั่นลงให้ท่วมแล้วปิดทับด้วยกระจกปิดสไลด์ 3. นำสไลด์ไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์แบบเลนส์ประกอบที่กำลังขยายเลนส์ใกล้วัตถุ10X หรือ 40X 4. สังเกตรูปร่าง สี และโครงสร้างของเซลล์ภายใต้กล้องจุลทรรศน์พร้อมวาดภาพ กิจกรรมที่ 1.3 ศึกษาลักษณะของเกสรดอกไม้ 1. นำดอกไม้วางบนจานเพาะเชื้อนำไปส่องใต้กล้องจุลทรรศน์สเตอริโอ กำลังขยาย 5X สังเกต ลักษณะของเกสรดอกไม้แต่ละชนิดพร้อมวาดภาพ กิจกรรมที่2 ศึกษาโครงสร้างของเซลล์สัตว์ กิจกรรมที่ 2.1 การไหลเวียนเลือด (ปลาหางนกยูง) 1. นำปลาหางนกยูง 1 ตัว วางบนแผ่นสไลด์ แล้วใช้สำสีหรือกระดาษทิชชูชุบน้ำวางทับบริเวณตัวปลา ไปจนถึงหัว 2. นำกระจกปิดสไลด์มาวางทับบริเวณส่วนหางปลาอย่างเบามือ 3. นำสไลด์ที่เตรียมไปส่องภายใต้กล้องจุลทรรศน์ กำลังขยาย 4x หรือ 10x 4. สังเกต การเรียงตัว และการไหลของเม็ดเลือดภายใต้กล้องจุลทรรศน์พร้อมวาดภาพ กิจกรรมที่ 2.2 การศึกษาโครงสร้างภายนอกของแมลง โดยศึกษาโครงสร้างภายนอกตัวอย่างแมลงภายใต้กล้องจุลทรรศน์สเตอริโอ พร้อมทั้งวาดภาพที่ กำลังขยาย 5X บันทึกผลการทดลอง กิจกรรมที่1.1 สาหร่ายหางกระรอก กำลังขยาย...........................เท่า กิจกรรมที่1.2 ศึกษาโคงสร้างของปากใบ กำลังขยาย...........................เท่า กิจกรรมที่1.3 ลักษณะของเกสรดอกไม้
13 ดอกไม้............................ ดอกไม้............................ ดอกไม้............................ กำลังขยาย...........................เท่า กิจกรรมที่ 2.1 ศึกษาการไหลเวียนเลือดของปลาหางนกยูง กำลังขยาย...........................เท่า กิจกรรมที่ 2.2 ศึกษาลักษณะตาของแมลง แมลง............................ แมลง............................ แมลง............................ กำลังขยาย...........................เท่า
14 สรุปผลการศึกษา .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................
15 บทปฏิบัติการ เรื่อง การวัดค่าความเป็นกรด-ด่าง ของสารเคมีในชีวิตประจำวัน (Acid-base pH measurement of chemicals in daily life) ทฤษฎี (Theory) สารเคมีรอบตัวเรามีทั้งที่มีสมบัติเป็นกลาง กรดและด่าง ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับค่า pH ของ สารละลาย ดังแสดงในรูปที่ 1 ดังนี้ รูปที่ 1 pH ของสารละลาย นักวิทยาศาสตร์สามารถทดสอบความเป็น กรด-ด่าง ของสารเคมีต่างๆ ได้โดยการใช้กระดาษ ลิตมัส ซึ่งสารละลายกรดจะเปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสจากน้ำเงินเป็นแดง ในทางตรงกันข้ามสารละลายด่าง จะเปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสจากแดงเป็นน้ำเงิน ขณะที่สารละลายที่เป็นกลางจะไม่เปลี่ยนสีกระดาษลิตมัส แสดงดังรูปที่ 2 ดังนี้ รูปที่ 2 การทดสอบค่าpH ของสารละลายด้วยกระดาษลิสมัต อย่างไรก็ดีเราสามารถทดสอบความเป็น กรด-ด่าง ของสารเคมีต่างๆ โดยละเอียดแบบที่สามารถ ระบุค่า pH ได้ ได้โดยการใช้กระดาษยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์ ซึ่งเมื่อทดสอบกับสารละลายต่างๆแล้ว ให้ผลการทดสอบที่มีลักษณะแถบสีที่เฉพาะตัว แสดงดังรูปที่ 3 ดังนี้
16 รูปที่ 3 การทดสอบค่า pH ของสารด้วยกระดาษยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์ อุปกรณ์และสารเคมี(Chemicals and apparatus) 1. กระดาษลิตมัส (Litmus paper) และกระดาษยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์ 2. บีกเกอร์ (Beaker) ขนาด 50 cm3 จำนวน 13 ใบ 3. สารเคมีในชีวิตประจำวัน ได้แก่ น้ำสบู่ น้ำส้มสายชู น้ำยาล้างจาน น้ำสบู่ น้ำแชมพูสระผม น้ำเชื่อม น้ำอัดลม น้ำผลไม้ และ น้ำปลา เป็นต้น 4. กระจกนาฬิกา (Watch glass) 1 อัน 5. แท่งแก้วคนสาร (Stirring rod) 1 อัน 6. ขวดน้ำกลั่น (Distilled water bottle) 1 ขวด 7. ตะกร้าใส่อุปกรณ์ ขันน้ำพลาสติก ผ้าเช็ดมือ และกระดาษชำระ วิธีการทดลอง (Experimental) 1. เทสารเคมีต่างๆ ปริมาตรประมาณ 25 cm3 ลงในบีกเกอร์ 2. ฉีกกระดาษลิตมัสแต่ละสี เป็นชิ้นเล็กๆ ความยาวประมาณ 1 cm วางบนกระจกนาฬิกา 3. ใช้แท่งแก้วจุ่มสารเคมีทีละชนิดแล้วนำไปแตะกับกระดาษลิตมัสทั้งสองสีแยกกัน สังเกตการ เปลี่ยนสีของกระดาษลิตมัส เพื่อสรุปผลการทดสอบว่าสารละลายแต่ละชนิดมีสมบัติเป็น กรด กลาง หรือ ด่าง 4. จุ่มกระดาษยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์ลงในสารแต่ละชนิดแยกกัน แล้วสังเกตเปรียบแถบสีที่ ปรากฏกับแถบสีมาตรฐานที่กำหนดให้ เพื่อระบุผลการทดสอบค่า pH ของสารแต่ละชนิด ผลการทดสอบ (Results) สารเคมี การเปลี่ยนสีกระดาษลิตมัส กระดาษยูนิเวอร์ซัล อินดิเคเตอร์ สมบัติของสาร แดงเป็นน้ำเงิน น้ำเงินเป็นแดง ค่า pH กรด กลาง ด่าง น้ำสบู่ ✓ น้ำส้มสายชู น้ำยาล้างจาน น้ำมะนาว
17 น้ำเชื่อม น้ำอัดลม สารละลายผงฟู นม น้ำดื่ม น้ำส้ม สรุปผลการทดลอง ให้นักเรียนจับคู่สมบัติของสาร ดังนี้ น้ำสบู่ น้ำส้มสายชู น้ำยาล้างจาน น้ำมะนาว น้ำเชื่อม น้ำอัดลม สารละลายผงฟู นม น้ำดื่ม น้ำส้ม วิธีทำสารละลายอินดิเคเตอร์จากกะหล่ำปลีม่วง กะหล่ำปลีม่วง จะมีสีม่วงแดง เรียกว่า anthocyanin ซึ่งเป็นเม็ดสีที่สามารถละลายในน้ำได้ดี รูปที่ 4 กะหล่ำปลีม่วง ที่มา : สินค้าเกษตร รอบตัว ทั่วไทย, 2563 [ออนไลน์] สารเคมีที่เป็นกรด สารเคมีที่เป็นด่าง สารเคมีที่เป็นกลาง
18 สาร anthocyanin จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่ออยู่ในสารละลายที่เป็นกรดแก่ เป็นสีม่วงหรือชมพูใน สารละลายที่เป็นกลาง และเป็นสีเขียวเมื่ออยู่ในสารละลายด่าง ดังนั้นจึงสามารถนำสารละลายกะหล่ำปลี ม่วงมาใช้เป็นอินดิเคเตอร์ ตรวจสอบความเป็นกรด-ด่าง ของสารละลายที่ต้องการศึกษาได้ รูปที่ 5 ขั้นตอนการทำอินดิเคเตอร์จากกะหล่ำปลีม่วง ที่มา : http://elife-news.blogspot.com/2018/04/blog-post.html นำสารละลายน้ำกะหล่ำปลีม่วงมาทดสอบความเป็นกรด-ด่างของสารต่างๆ ที่ต้องการศึกษา โดยหยดอินดิเคเตอร์ลงไปในสารที่ต้องการทดสอบความเป็นกรด-ด่าง ตัวอย่าง เช่น รูปที่ 6 สีความเป็นกรด-ด่าง ของสารละลายอินดิเคเตอร์จากกะหล่ำปลีม่วง ที่มา : http://elife-news.blogspot.com/2018/04/blog-post.html สารละลายผงฟู น้ำเปล่า น้ำส้มสายชู ทิ้งให้ เย็น หนั่เป็นชิ้นเลก็ๆ ต้มให้เดือด สารละลายอินดิเค เตอร์
19 จงเติมเครื่องหมาย✓ ลงในช่องว่างให้ถูกต้องและบอก pH ของสารละลายในการศึกษานี้ pH 2 4 6 8 10 12 14 pH สีที่เกิดขึ้นในสาร น้ำสบู่ น้ำส้มสายชู น้ำยาล้างจาน น้ำมะนาว น้ำเชื่อม น้ำอัดลม สารละลายผงฟู นม น้ำดื่ม
20
21
22
23 ส่วนที่ 3 ผลการดำเนินงาน จากการดำเนินงานจัดโครงการค่ายวิทยาศาสตร์โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา ในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2567 ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา โดยดำเนินการจัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้แก่ ให้แก่นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 119 คน และครู จำนวน 10 คน เพื่อให้นักเรียนได้มี ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาและมีทักษะในด้านการปฏิบัติการ แลทักษะการใช้อุปกรณ์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ ตลอดจนเป็นการปลูกฝังให้เยาวชนมีความสนใจในการเรียนวิทยาศาสตร์และเกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพิ่มขึ้น และมีการประเมินความพึงพอใจในการจัดกิจกรรม ดังรายงานต่อไปนี้ 3.1 การวิเคราะห์แบบประเมินความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมโดยภาพรวม ตารางที่ 1 ระดับความพึงพอใจโดยภาพรวม 5 ระดับ ความพึงพอใจ ระดับความพึงพอใจ ระดับคะแนน ระดับความพึงพอใจ 1 น้อยที่สุด 2 น้อย 3 ปานกลาง 4 มาก 5 มากที่สุด จากเกณฑ์การพิจารณาดังกล่าวสามารถกำหนดระดับความคิดเห็นได้ดังนี้ ระดับคะแนน 1 หมายถึง ผู้รับบริการมีความพึงพอใจในระดับน้อยที่สุด ระดับคะแนน 2 หมายถึง ผู้รับบริการมีความพึงพอใจในระดับน้อย ระดับคะแนน 3 หมายถึง ผู้รับบริการมีความพึงพอใจในระดับปานกลาง ระดับคะแนน 4 หมายถึง ผู้รับบริการมีความพึงพอใจในระดับมาก ระดับคะแนน 5 หมายถึง ผู้รับบริการมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด
24 สรุปผลการประเมินได้ดังนี้ ตารางที่ 2 จำนวนผู้รับบริการ ระดับการศึกษา จำนวน (คน) จำนวนผู้รับบริการ ร้อยละ ประถมศึกษาปีที่ 1 40 32 80.00 ประถมศึกษาปีที่ 2 40 37 92.50 ประถมศึกษาปีที่ 3 39 37 94.87 อื่นๆ 10 10 100.00 รวม 119 116 97.47 จากตารางที่ 2 จำนวนผู้รับบริการทั้งหมด 116 คน คิดเป็นร้อยละ 97.47 ผู้รับบริการที่ประเมิน ความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ จำนวน 106 คน คิดเป็นร้อยละ 91.37 2. ความพึงพอใจต่อการให้บริการ โครงการค่ายวิทยาศาสตร์ ตารางที่ 3 ระดับความพึงพอใจโดยภาพรวม 5 ระดับ ความพึงพอใจ ระดับความพึงพอใจ ป.1 ป.2 ป.3 จำนวนผู้ประเมิน ความพึงพอใจ 1 - - 1 1 - - 1 - - - - - 4 1 5 30 33 36 99 รวมทั้งหมด 32 37 37 106 จากตารางที่ 3 ผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมโดยภาพรวม ดังนี้ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1-3 มีความพึงพอใจมากที่สุด จำนวน 99 คน รองลงมา มีความพึงพอใจมาก จำนวน 5 คน มีความพึงพอใจน้อย จำนวน 1 คน และมีความพึงพอใจน้อยที่สุด จำนวน 1 คน ตามลำดับ
25 ตารางที่ 4 ร้อยละความพึงพอใจโดยภาพรวม ความพึงพอใจ ระดับความพึงพอใจ ป.1 ป.2 ป.3 จำนวนผู้ประเมิน ความพึงพอใจ 3.13 - - 0.94 3.13 - - 0.94 - - - 0.00 - 10.81 2.70 4.72 93.75 89.19 97.30 93.40 รวมทั้งหมด 100.00 100.00 100.00 100.00 จากตารางที่ 4 ผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมโดยภาพรวม ดังนี้ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1-3 มีความพึงพอใจมากที่สุด ร้อยละ 93.40 รองลงมา มีความพึงพอใจมาก ร้อยละ 4.72 มีความพึงพอใจน้อย ร้อยละ 0.94 และมีความพึงพอใจน้อยที่สุด ร้อยละ 0.94 ตามลำดับ
26 ส่วนที่ 4 สรุปผลการดำเนินงาน ศูนย์วิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ร่วมกับ โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา ดำเนินจัดโครงการค่ายวิทยาศาสตร์ ในวันที่10 มกราคม พ.ศ. 2567 ณ ศูนย์ วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา การดำเนินงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่นักเรียน ประถมศึกษาปีที่ 1-3 และครู รวมทั้งสิ้น 116 คน นักเรียนทั้งหมดได้เรียนรู้เนื้อหาในหลักสูตรเคมี เรื่อง การ วัดค่าความเป็นกรด-เบส ของสารเคมีในชีวิตประจำวัน หลักสูตรชีววิทยา เรื่อง กล้องจุลทรรศน์เซลล์และ เนื้อเยื่อ และหลักสูตรฟิสิกส์ เรื่อง สนุกกับวิทยาศาสตร์ และการเคลื่อนที่แบบต่างๆ ตามลำดับ ผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมโดยภาพรวม ดังนี้ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 มี ความพึงพอใจมากที่สุด จำนวน 99 คน รองลงมา มีความพึงพอใจมาก จำนวน 5 คน มีความพึงพอใจ น้อย จำนวน 1 คน และมีความพึงพอใจน้อยที่สุด จำนวน 1 คน ตามลำดับ ผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมโดยภาพรวม ดังนี้ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 มี ความพึงพอใจมากที่สุด ร้อยละ 93.40 รองลงมา มีความพึงพอใจมาก ร้อยละ 4.72 มีความพึงพอใจน้อย ร้อยละ 0.94 และมีความพึงพอใจน้อยที่สุด ร้อยละ 0.94 ตามลำดับ โดยภาพรวมนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 มีความรู้เพิ่มมากขึ้น ได้รับการถ่ายทอดความรู้ มี ทักษะการใช้อุปกรณ์พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้อง มีทักษะการใช้อุปกรณ์พื้นฐานทางด้าน วิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น จากวิทยากรหลักสูตรและผู้ช่วยวิทยากร ที่เป็นนักศึกษาของแต่ละหลักสูตร ซึ่งผู้ช่วย วิทยากรที่เข้ามาร่วมกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ครั้งนี้ ได้รับการฝึกอบรมและมีประสบการณ์ในการใช้เครื่องมือ วิทยาศาสตร์มาเป็นอย่างดี ได้รับการพัฒนาความรู้ ความเชี่ยวชาญ ในทักษะเชิงปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ เพิ่มมากขึ้น รวมถึงนักวิทยาศาสตร์ประจำชั้นปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ได้มีโอกาสในการพัฒนาความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และศักยภาพทางวิชาชีพเพิ่มมากขึ้น จากผลประเมินความพึงพอใจต่อการให้บริการโครงการค่ายวิทยาศาสตร์ โรงเรียนอนุบาล นครราชสีมา โดยภาพรวมผู้รับบริการมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 93.40 ค่าเฉลี่ย ( X = 4.67) แสดงให้เห็นว่า นักเรียนมีความพึงพอใจมากในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ ศูนย์วิทยาศาสตร์เป็นแหล่ง เรียนรู้ และบริการวิชาการให้กับเยาวชน เยาวชนได้รับความรู้ จากการเข้าร่วมกิจกรรมโครงการค่าย วิทยาศาสตร์ เป็นการสร้างโอกาสในการศึกษา นอกห้องเรียนให้กับเยาวชนรุ่นเยาว์ นักเรียนที่เข้าร่วม โครงการมีทักษะและความเข้าใจในการเรียนปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น สนุกสนานกับการเรียน
27 วิทยาศาสตร์ ได้รับการพัฒนาความรู้สามารถนำความรู้จากการทำบทปฏิบัติการต่าง ๆ ไปประยุกต์ใช้ให้เกิด ประโยชน์กับการเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน ดังนั้น การจัดกิจกรรมโครงการค่ายวิทยาศาสตร์ โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา ถือว่าบรรลุตาม วัตถุประสงค์ของโครงการทั้ง 3 ข้อ ได้แก่ 1. ผู้รับบริการมีทักษะและความเข้าใจในการเรียนปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น 2. ผู้รับบริการสามารถนำความรู้จากการเข้าร่วมกิจกรรมไปประยุกต์ใช้ในการเรียนได้ 3. นักศึกษาได้พัฒนาความรู้ และทักษะเชิงปฏิบัติการ ตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ ได้แก่ ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย ผลการดำเนินงาน เชิงปริมาณ 1.ผู้รับบริการมีทักษะการใช้อุปกรณ์ พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ได้อย่าง ถูกต้อง 119 คน ผู้รับบริการ 116 คนเชิงคุณภาพ 1.ผู้เข้าร่วมโครงการ มีความพึงพอใจใน ภาพรวมมากกว่าหรือเท่ากับ ระดับดี ระดับดี ผู้รับบริการมีความพึง พอใจในระดับมากที่สุด ( X = 4.67) 2.ผู้รับบริการมีทักษะการใช้อุปกรณ์ พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ได้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 90 ร้อยละ 93.40
28 ภาคผนวก ก. รายชื่อผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม
29 ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
30
31 ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
32
33 ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
34
35 คณะครูโรงรียนอนุบาลนครราชสีมา
36 คณะผู้ดำเนินงานโครงการค่ายวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
37
38
39 ภาคผนวก ข. เอกสารที่เกี่ยวข้อง 1. หนังสือราชการ 2. โครงการ 3. กำหนดการ 4. คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน 5. คำสั่งแต่งตั้งวิทยากร 6. บันทึกข้อความ 7. ใบเสร็จรับเงิน
40
41
42
43
44
45
46