The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

งานนำเสนอ ทฤษฎีและพัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by bowkam_jungta, 2021-05-01 03:16:42

งานนำเสนอ ทฤษฎีและพัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย

งานนำเสนอ ทฤษฎีและพัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย

ทฤษฎแี ละพฒั นาการทางภาษาของเดก็ ปฐมวัย

วชิ า การจดั กิจกรรมทางภาษาและการสื่อสาร
สาหรับเดก็ ปฐมวยั EC 1202
ดร.ชาลี ภกั ดี

ทฤษฎแี ละพฒั นาการทางภาษาของเด็กปฐมวยั

เดก็ ปฐมวยั เรียนรู้ภาษา จากสิ่งแวดลอ้ มใกลต้ วั ท้งั ส่ิงแวดลอ้ มที่บา้ น และโรงเรียน เด็กจะเรียนรู้การฟังและการพูด
ก่อน เพราะการฟังและการพูดเป็ นของคู่กนั เป็ นพ้ืนฐานทางภาษา กล่าวคือ เมื่อฟังแลว้ ก็ยอ่ มตอ้ งพูดสนทนาโตต้ อบได้ การ
เรียนภาษาของเดก็ ปฐมวยั ไม่จาเป็นตอ้ งอาศยั การสอนอยา่ งเป็นทางการ หรือตามหลกั ไวยกรณ์ แต่จะเป็นการเรียนรู้จากการมี
ปฏิสมั พนั ธ์กบั คนรอบขา้ งหรือส่ิงแวดลอ้ มรอบตวั หรือเป็นการสอนแบบธรรมชาติ

ทฤษฎเี กย่ี วกบั การเรียนรู้ภาษา

การเรียนรู้ภาษาของเดก็ ปฐมวยั มีหลายทฤษฎีที่ควรกล่าวอา้ งถึงมีดงั น้ี

1. ทฤษฎขี องนกั พฤตกิ รรมศาสตร์ (The Behaviorist View)

ทฤษฎีน้ีมีความเช่ือเกี่ยวกบั การเรียนรู้ภาษาของเดก็ โดยกล่าววา่ การเรียนรู้ภาษาของเดก็ เป็นการเรียนรู้ที่เกิดข้ึนจากผลการปรับส่ิงแวดลอ้ มของแต่ละ
บคุ คลที่มีอยใู่ นตนเอง ในขณะที่เด็กเจริญเติบโตข้ึนเร่ือย ๆ แรงเสริมในทางบวกจะถูกนามาใชเ้ มื่อภาษาของเดก็ ใกลเ้ คียง หรือถูกตอ้ งตามภาษาผใู้ หญ่

2. ทฤษฎสี ภาวะตดิ ตวั โดยกาเนดิ (The Nativist View)

ทฤษฎีน้ีมีความเชื่อเก่ียวกบั กฎธรรมชาติ หรือกฎเก่ียวกบั สิ่งที่เป็นมาแต่กาเนิด โดยมีความคิดเห็นเก่ียวกบั การเรียนรู้ภาษาของเด็กแตกตา่ ง
จากนกั พฤติกรรมศาสตร์สองประการสาคญั คือ

1. การใหค้ วามสาคญั ตอ่ องคป์ ระกอบภายในบคุ คลเก่ียวกบั การเรียนรู้ภาษา
2. การแปลความบทบาทขององคป์ ระกอบทางสิ่งแวดลอ้ มในการเรียนรู้ภาษา

3. ทฤษฎขี องนกั สังคมศาสตร์ (The Socialist View)

นกั ทฤษฎีสงั คมหรือทฤษฎีวฒั นธรรมจะให้ความสนใจเกี่ยวกบั ผลกระทบของสิ่งแวดลอ้ มทางภาษาของผใู้ หญ่ท่ีมีต่อพฒั นาการทางภาษาของเด็ก
ผลการวจิ ยั กล่าววา่ วิธีการที่ผใู้ หญ่หรือพอ่ แม่ปฏิบตั ิต่อเดก็ มีผลต่อพฒั นาการทางภาษา และพฒั นาการทางสติปัญญาของเดก็ วิธีการเหล่าน้ี ไดแ้ ก่ การอา่ นหนงั สือให้
เด็กฟัง การสนทนาระหวา่ งรับประทานอาหาร การแสดงบทบาทสมมตุ ิ การสนทนา เป็นตน้

4. ทฤษฎพี ฒั นาการทางสตปิ ัญญาของเพยี เจท์ (Piaget Theory)
เพียเจท์ (Piaget) เช่ือวา่ การเรียนรู้ภาษาเป็นผลจากความสามารถทางสติปัญญา เดก็ เรียนรู้จากการมีปฏิสมั พนั ธ์

กบั โลกรอบตวั ของเขา เดก็ จะเป็นผปู้ รับสิ่งแวดลอ้ มโดยการใชภ้ าษาของตน ดงั ตวั อยา่ งเช่น เดก็ มีอิทธิพลตอ่ วธิ ีการที่แมพ่ ดู กบั
เขา จากผลการวจิ ยั ปรากฏวา่ แม่จะพูดกบั ลกู แตกต่างไปจากพดู กบั ผอู้ ื่น เพื่อรักษาการมีปฏิสมั พนั ธ์ตอ่ กนั แมจ่ ะพูดกบั เดก็ เลก็ ๆ
ตา่ งจากเดก็ โตและผใู้ หญ่ จะพูดประโยคที่ส้นั กวา่ ง่ายกวา่ เพ่ือการสื่อสารท่ีมีความหมาย

นอกจากน้ีเพียเจท์ (Piaget) ยนื ยนั วา่ พฒั นาการทางภาษาของเดก็ เป็นไปพร้อม ๆ กบั ความสามารถดา้ นการให้
เหตผุ ล การตดั สิน และดา้ นตรรกศาสตร์ เดก็ ตอ้ งการสิ่งแวดลอ้ มท่ีจะส่งเสริมใหเ้ ดก็ สร้างกฎ ระบบเสียง ระบบคา ระบบประโยค
และความหมายของภาษา นอกจากน้ีเดก็ ยงั ตอ้ งการฝึกภาษาดว้ ยวธิ ีการหลาย ๆ วธิ ีและจุดประสงคห์ ลาย ๆ อยา่ ง
5. ทฤษฎขี องนกั จิตวทิ ยาภาษาศาสตร์ (Psycholinguistics Theory)

ทฤษฎีน้ีชอมสก้ี (Chomskey, 1960 ; อา้ งถึงใน สุภาวดี ศรีวรรธนะ, 2542 : 36) กลา่ ววา่ การเรียนรู้ภาษาเป็น
เรื่องซบั ซอ้ นซ่ึงจะตอ้ งคานึงถึงโครงสร้างภาษาในตวั เดก็ ดว้ ยเพราะบางคร้ังเดก็ พดู คาใหม่โดยไมไ่ ดร้ ับแรงเสริมมาก่อนเลย เขา
อธิบายการเรียนรู้ภาษาของ เดก็ วา่ เม่ือเดก็ ไดร้ ับประโยค หรือกลมุ่ คาตา่ ง ๆ เขา้ มาเดก็ จะสร้างไวยกรณ์ข้ึน โดยใชเ้ ครื่องมือการ
เรียนรู้ภาษาที่ติดตวั มาแตก่ าเนิด ซ่ึงไดแ้ ก่อวยั วะเก่ียวกบั การพดู การฟัง นอกจากน้ี เลน็ เบอร์ก (Lenneberg) ยงั เป็นผหู้ น่ึงท่ีเสนอ
ทฤษฎีแนวน้ีโดยมีความเช่ือวา่ มนุษยม์ ีอวยั วะที่พร้อมสาหรับการเรียนรู้ภาษา ถา้ สมองส่วนน้ีชารุด หลงั จากวยั รุ่นตอนตน้ (อายุ
ประมาณ12 ปี ) จะทาใหก้ ารเรียนรู้ภาษาใหมไ่ ดย้ าก

ทฤษฎเี กยี่ วกบั พฒั นาการทางภาษา

ทฤษฎีเกี่ยวกบั พฒั นาการทางภาษามีหลายทฤษฎี ดงั น้ี (ศรียา นิยมธรรม และ
ประภสั สร นิยมธรรม, 2519 : 31-35)

1. ทฤษฎคี วามพงึ พอใจแห่งตน (The Autism Theory หรือ Austistic Theory) ทฤษฎีน้ีถือวา่ การเรียนรู้การพูดของเดก็ เกิด
จากการ เลียน เสียงอนั เนื่องจากความพึงพอใจที่ไดก้ ระทาเช่นน้นั โมวเ์ รอร์ (Mower) เชื่อว่า ความสามารถในการฟัง และความ
เพลิดเพลินกบั การไดย้ นิ เสียงของผอู้ ่ืนและตนเองเป็นสิ่งสาคญั ตอ่ พฒั นาการทางภาษา

2. ทฤษฎกี ารเลียนแบบ (The Imitation Theory) เลวสิ (Lawis) ไดศ้ ึกษาและเช่ือวา่ พฒั นาการทางภาษาน้นั เกิดจากการ
เลียนแบบ ซ่ึงอาจเกิดจากการมองเห็นหรือการไดย้ นิ เสียง การเลียนแบบของเดก็ เกิดจากความพอใจ และความสนใจของตวั เด็กเอง ปกติ
ช่วงความสนใจของเดก็ น้นั ส้นั มาก เพ่ือที่จะชดเชยเดก็ จึงตอ้ งมีสิ่งเร้าซ้า ๆ กนั การศึกษากระบวนการในการเลียนแบบภาษาพูดของเด็ก
พบวา่ จุดเริ่มตน้ เกิดข้ึนเม่ือพอ่ แมเ่ ลียนแบบเสียงของเดก็ ในระยะเลน่ เสียงหรือในระยะที่เดก็ กาลงั เรียนรู้การออกเสียง

3. ทฤษฎีเสริมแรง (Reinforcement Theory) ทฤษฎีน้ีอาศยั จากหลกั ทฤษฎีการเรียนรู้ซ่ึงถือวา่ พฤติกรรมท้งั หลายถูกสร้าง
ข้ึน โดยอาศยั การวางเงื่อนไข ไรนโ์ กลต์ (Rhiengold) และคณะไดศ้ ึกษาพบวา่ เดก็ จะพดู มากข้ึนเมื่อไดร้ างวลั หรือไดร้ ับการเสริมแรง

4. ทฤษฎกี ารรับรู้ (Motor Theory of Perception) ลิเบอร์แมน (Liberman) ต้งั สมมติฐานไวว้ า่ การรับรู้ทางการฟังข้ึนอยกู่ บั
การเปลง่ เสียง จึงเห็นไดว้ า่ เดก็ มกั จอ้ งหนา้ เวลาเราพดู ดว้ ย การทาเช่นน้ีอาจเป็นเพราะเดก็ ฟัง และพดู ซ้ากบั ตวั เอง หรือหดั เปล่งเสียงโดย
อาศยั การอา่ นริมฝี ปาก แลว้ จึงเรียนรู้คา

5. ทฤษฎีความบงั เอิญจากการเล่นเสียง (Babble Buck) ซ่ึงธอร์นไดค์ (Thorndike) เป็นผคู้ ิดโดยอธิบายวา่ เม่ือเดก็ กาลงั เล่น
เสียงอยนู่ ้นั เผอิญมีเสียงบางเสียงไปคลา้ ยกบั เสียงท่ีมีความหมาย ในภาษาพดู ของพ่อแม่ พอ่ แมจ่ ึงใหก้ ารเสริมแรงทนั ที ดว้ ยวธิ ีน้ีจึงทา
ใหเ้ ดก็ เกิดพฒั นาการทางภาษา

6. ทฤษฎีชีววทิ ยา (Biological Theory) เลน็ เบิร์ก (Lenneberg) เช่ือวา่ พฒั นาการทางภาษามีพ้ืนฐานทางชีววทิ ยาเป็นสาคญั
กระบวนการที่คนพดู ไดข้ ้ึนอยกู่ บั อวยั วะในการ
เปลง่ เสียง เดก็ จะเร่ิมส่งเสียงออ้ แอ้ และพูดไดต้ ามลาดบั

7. ทฤษฎีการใหร้ างวลั ของพอ่ แม่ (Mother Reward Theory) ดอลลาร์ด (Dollard) และมิลเลอร์ (Miller) เป็นผคู้ ิดทฤษฎีน้ี
โดยย้าเก่ียวกบั บทบาทของแมใ่ นการพฒั นาภาษาของเดก็ วา่ ภาษาที่แม่ใชใ้ นการเล้ียงดูเพ่ือเสนอความตอ้ งการของลูกน้นั เป็นอิทธิพล
ที่ทาใหเ้ กิดภาษาพดู แก่ลกู

พฒั นาการทางภาษาของเดก็ ปฐมวยั

เนสเซล (Nessel. 1989 : 5 – 21) ไดอ้ า้ งถึงผลงานวจิ ยั เกี่ยวกบั พฒั นาการ
ทางภาษาของเดก็ ว่าประกอบดว้ ยข้นั ตอนต่อไปน้ี คือ

ข้นั แรกเร่ิม (Pre language) เด็กอายหุ น่ึงเดือนถึงสิบเดือน จะมีความสามารถจาแนกเสียงต่าง ๆ ได้ แตย่ งั ไม่มีความสามารถควบคุมการออกเสียง เด็กจะ
ทาเสียงออ้ แอห้ รือเสียงแสดงอารมณ์ต่าง ๆ เด็กจะพฒั นาการออกเสียงข้ึนเรื่อย ๆ จนใกล้เคียงกบั เสียงในภาษาจริง ๆ มากข้ึนตามลาดบั เรียกวา่ เป็ นคาพูดเทียม
(Pseudowore) พอ่ แม่ที่ต้งั ใจฟังและพดู ตอบจะทาใหเ้ ดก็ เพิม่ ความสามารถในการส่ือสารมากยงิ่ ข้ึน

ข้นั ท่ี 1 (10 – 18 เดือน) เดก็ จะควบคุมการออกเสียงคาท่ีจาได้ สามารถเรียนรู้คาศพั ทใ์ นการสื่อสารถึง 50 คา คาเหล่าน้ีจะเก่ียวขอ้ งกบั คน สัตว์ ส่ิงของ
หรือเร่ืองราวในสิ่งแวดลอ้ ม การท่ีเด็กออกเสียงคาหน่ึงหรือสองคา อาจมีความหมายรวมถึงประโยคหรือวลีท้งั หมด การพดู ชนิดน้ีมีชื่อเรียกวา่ Holphrastic Speech

ข้นั ที่ 2 (18 – 24 เดือน) การพูดข้นั น้ีจะเป็ นการออกเสียงคาสองคาและวลีส้ัน ๆมีชื่อเรียกว่า Telegraphic Speech คลา้ ย ๆ กบั โทรเลข คือมีเฉพาะคา
สาหรับสื่อความหมายเดก็ เรียนรู้คาศพั ทม์ ากข้ึนถึง 300 คา รวมท้งั คากิริยาและคาปฏิเสธ เด็กจะสนุกสนานกบั การพดู คนเดียวในขณะที่ทดลองพดู คาและโครงสร้าง
หลาย ๆ รูปแบบ

ข้นั ที่ 3 (24 – 30 เดือน) เดก็ จะเรียนรู้ศพั ทเ์ พม่ิ ข้ึนถึง 450 คา วลีจะยาวข้ึนพดู ประโยคความเดียวส้นั ๆ มีคาคุณศพั ทร์ วมอยใู่ นประโยค

ข้นั ที่ 4 (30 – 36 เดือน) คาศพั ทจ์ ะเพ่ิมมากข้ึนถึง 1,000 คา ประโยคเริ่มซบั ซอ้ นข้ึน เด็กที่อยใู่ นสิ่งแวดลอ้ มท่ีส่งเสริมพฒั นาการทางภาษา จะแสดงให้
เห็นถึงความเจริญงอกงามทางดา้ นจานวนศพั ทแ์ ละรูปแบบของประโยคอยา่ งชดั เจน

ข้นั ที่ 5 (36 – 50 เดือน) เด็กสามารถสื่อสารอยา่ งมีประสิทธิภาพในครอบครัวและผคู้ นรอบขา้ ง จานวนคาศพั ทท์ ่ีเด็กรู้มีประมาณ 2,000 คา เด็กใช้
โครงสร้างของประโยคหลายรูปแบบ เดก็ จะพฒั นาพ้นื ฐานการสื่อสารดว้ ยวาจาอยา่ งมน่ั คง และเร่ิมตน้ เรียนรู้ภาษาเขียน

ปัจจัยทม่ี อี ทิ ธิพลต่อพฒั นาการทางภาษา

ปัจจยั ท่ีมีอิทธิพลต่อพฒั นาการหรือความกา้ วหนา้ ทางภาษาของเดก็ มีดงั น้ี
(กรรณิการ์ พวงเกษม, 2534 : 20 – 21)

1. วฒุ ิภาวะ เม่ือเด็กมีความเจริญข้ึนตามลาดบั ความสามารถในการพูด การเขียนยอ่ มตามมา นบั ต้งั แต่อายุ 15 เดือน ข้ึนไป
แลว้ เดก็ จะใชภ้ าษาพูดมากข้ึนตามลาดบั จนกระทงั่ อายุ 36 เดือน จะสามารถใชค้ าพูด 376 คาต่อวนั และเมื่ออายุ 48 เดือน จะพูดได้ 397
คาตอ่ วนั และสามารถใชค้ าวิเศษณ์ และคาคุณศพั ทเ์ พิ่มมากข้ึนตามลาดบั และนอกจากน้นั ถา้ หากมีสมาธิดี ก็จะจดจาสิ่งท่ีไดย้ นิ ไดฟ้ ัง
มาเลา่ ต่อใหค้ นอื่นทราบ

2. ส่ิงแวดลอ้ ม ถา้ หากพอ่ แม่ ผปู้ กครองสนใจ เอาใจใส่ พยายามพร่าสอนใหเ้ ดก็ พูดคุย และหดั อ่านหดั เขียนอยตู่ ลอด เด็กจะ
มีความพร้อมทางภาษามาก โดยเฉพาะครอบครัวที่มีการศึกษาสูง ย่อมมีส่วนสร้างความเจริญทางภาษาให้เด็กไดด้ ีกวา่ ครอบครัวท่ีมี
ฐานะยากจน ซ่ึงส่วนมากไม่ค่อยสนใจในเร่ืองภาษาของบุตรหลานของตนเท่าที่ควร

3. การเขา้ ใจความหมายภาษาท่ีใชพ้ ดู ถา้ อยใู่ นวงแคบศพั ทก์ ็พ้ืน ๆ ธรรมดาแตถ่ า้ หากอยใู่ นชุมชนที่กวา้ งใหญ่ เดก็ ก็สามารถ
เขา้ ใจคา ประโยค วลีท่ีมีความหมายต่าง ๆไดด้ ี ฉะน้นั การพูดอะไรก็ตามที่เดก็ เพียงแต่เลียนคาพูด เลียนเสียงพูด ผใู้ หญ่จึงควรไดย้ อ้ น
ถามเขาดูบ้างว่าท่ีพูด ๆ น้นั เขา้ ใจเพียงใด เปรียบเสมือนคนไทยที่พูดคาต่างประเทศตามเขาแต่ออกเสียงผิด ความหมายก็ย่อมจะ
เปลี่ยนไปได้ ดงั น้นั เพื่อป้องกนั ความผดิ พลาดดงั กลา่ วจึงควรไดย้ อ้ นถามความหมายในสิ่งท่ีเดก็ พดู ไดแ้ ต่ไมเ่ ขา้ ใจความหมายดว้ ย

4. การใหม้ ีพฒั นาการท้งั หมด (Develope as a Whole) เราจะตอ้ งให้เด็กมีรูปร่างท่ีดี หนา้ ตาสดใส สะอาดกายใจ สมองก็
ตอ้ งใหด้ ี สุขภาพสมบูรณ์ และสงั คมก็ตอ้ งดี จึงจะทาใหเ้ ดก็ มีความเจริญทางภาษาไดด้ ี ไมค่ วรแตเ่ พียงวา่ ให้อ่านไดเ้ ขียนไดเ้ ท่าน้นั เรา
ตอ้ งคานึงถึงหลกั ของความตอ้ งการความสนใจจากเพื่อน ๆ ของเด็กดว้ ย ถา้ หนา้ ตาสกปรกเพ่ือน ๆ ก็ยอ่ มไม่พูดคุยดว้ ย โอกาสท่ีจะมี
ความเจริญทางภาษาพูดก็ยง่ิ เสียเปรียบคนที่รูปร่าง หนา้ ตา สะอาดสดใส

5. ข้นั ตอนและการจดั ช้นั เรียน การจดั โรงเรียนแบบไม่มีช้นั แต่อาศยั ความสามารถทางภาษาเป็นแนวก็น่าจะไดล้ องจดั ให้
เป็ นที่แพร่หลายต่อไป หลกั สูตรและข้นั ตอนการสอนบางบทก็น่าจะสับเปลี่ยนไปไดต้ ามระดบั ความสามารถและความพร้อมของ
นกั เรียน จึงมีขอ้ ท่ีน่าสงั เกตวา่ บางแห่งสอนบทเรียนยากก่อน แลว้ กลบั มาสอนบทธรรมดาภายหลงั โดยอา้ งแต่หลกั สูตร ซ่ึงตามความ
เป็นจริงแลว้ ครูผสู้ อนน่าจะมีความสามารถในการวนิ ิจฉยั บทเรียนน้นั ๆ ไดด้ ว้ ยตนเอง

6. การมีส่วนร่วม (Participation) กิจกรรมใด ๆ ก็ตามเด็ก ๆ ควรมีส่วนร่วมทุกคร้ัง ทุกคน ครูไม่ควรเลือกที่รักมกั ที่ชงั
จะตอ้ งพิจารณาความสามารถของเด็กเป็ นรายบุคคลและกาหนดงานให้ทาร่วมกบั เพ่ือน ๆ ตามใจสมคั ร หรือครูกาหนดกลุ่มให้
บางคร้ัง การทางานเป็นกลุ่ม การทางานเป็นกลุ่มยอ่ ย การร่วมกิจกรรมตา่ ง ๆ มีส่วนช่วยใหเ้ ดก็ มีความเจริญทางภาษาไดอ้ ยา่ งมาก

จากท่ีกล่าวขา้ งตน้ สรุปไดว้ า่ ปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่อพฒั นาการทางภาษาของเด็กปฐมวยั ควรประกอบดว้ ยวฒุ ิภาวะหรือ
ความพร้อมของพฒั นาการทุกดา้ น เพศ อายุ ขนาดของครอบครัว สถานภาพทางเศรษฐกิจและสงั คม สิ่งแวดลอ้ มรอบตวั ท้งั บุคคลและ
สถานท่ี ตลอดจนบุคลิกภาพ

จิตวทิ ยาการเรียนรู้ของเด็กปฐมวยั

จิตวทิ ยาการเรียนรู้หรือจิตวทิ ยาการเรียนการสอน เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกบั พฤติกรรมของมนุษยใ์ นส่วนท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั
การจดั การศึกษาหรือจดั การเรียนการสอน ซ่ึงเป็นการนาเอาหลกั จิตวทิ ยามาใชใ้ หเ้ กิดประโยชนใ์ นการจดั การเรียนการสอนหรือการ
เรียนรู้ โดยมีขอบข่ายท่ีสาคญั 3 ประการคือ

1. ศึกษาถึงธรรมชาติของการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ ตลอดถึงธรรมชาติของการคิด การจา และการลืม
2. ศึกษาถึงเชาวน์ปัญญา ความถนดั ความสนใจ และทศั นคติ ซ่ึงเป็นองคป์ ระกอบสาคญั สาหรับการเรียนรู้
3. ศึกษาถึงบุคลิกภาพ การปรับตวั และวธิ ีการปรับพฤติกรรม
การนาเสนอจิตวทิ ยาการเรียนรู้สาหรับเดก็ ปฐมวยั ในเอกสารเลม่ น้ี ผเู้ ขียน ขอนาเสนอเฉพาะในส่วนท่ีสาคญั และเก่ียวขอ้ ง
กบั เดก็ ปฐมวยั 3 ประการดงั น้ี
1. จุดมงุ่ หมายของการศึกษาจิตวทิ ยาการเรียนรู้
2. ธรรมชาติของการเรียนรู้
3. การเรียนรู้ทางภาษา

ความสัมพนั ธ์ของภาษากบั การคิด

นกั จิตวิทยาหลายท่านไดใ้ หค้ วามเห็นพอ้ งกนั วา่ ภาษากบั การคิดมีความสมั พนั ธ์กนั อยา่ งใกลช้ ิด การคิดเป็นรูปของพฤติกรรมชนดิ หน่ึงที่ใช้สญั ลกั ษณ์เป็ น
ตวั แทนของส่ิงของ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ แต่สัญลกั ษณ์ก็ไม่ได้จากดั เฉพาะคาต่าง ๆ ในภาษาท่ีเราใช้อยูท่ ุกวนั แต่ยงั รวมไปถึงสัญลกั ษณ์ประเภทอ่ืน ๆ ด้วย เช่น
เครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ ป้ายจราจร เป็นตน้ แต่ภาษาก็เป็นสญั ลกั ษณ์ท่ีใชม้ ากกวา่ สญั ลกั ษณ์ประเภทอื่น ๆ ที่ตอ้ งใชก้ ารคิดเป็นพ้ืนฐาน

สานกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (2552 : 3 – 4, 19)ไดอ้ ธิบายว่า สมองเร่ิมมีปฏิบตั ิการทางภาษาจริงจงั มาต้งั แต่ทารกอายไุ ด้
ราว 18 เดือน หรือ1 ขวบคร่ึง สมองส่วนรับเสียงจะพฒั นาไปก่อน ส่วนการเปล่งเสียงน้นั พฒั นาชา้ กวา่ ถา้ เราบอกให้เด็กขวบคร่ึงทาอะไร เด็กก็ทาตามไดเ้ ขาเขา้ ใจ แต่ยงั
พดู ไม่ได้ เพราะสมองยงั ไม่พร้อมสาหรับการพูดออกมา พฒั นาการทางภาษาของเด็กปฐมวยั เป็ นส่ิงสาคญั ย่ิง เพราะจะทาให้เด็กแสดงความคิดและตวั ตนออกมาได้
นอกจากน้ีนกั ประสาทวิทยาไดอ้ ธิบายไวว้ ่า สมองส่วนที่เกี่ยวขอ้ งกบั การเรียนรู้ภาษาน้นั ไม่ได้ทางานส่วนเดียวโดด ๆ ตามลาพงั แต่มนั ทางานร่วมกบั ส่วนรับภาพ
กล่าวคือ ขณะรับเสียง สมองจะทาการประมวลผลขอ้ มลู จากเสียงท่ีไดย้ นิ เช่นไดย้ นิ คาวา่ ดวงดาว ตน้ ไม้ ฯลฯ จากน้นั สมองกจ็ ะนาเสียงท่ีไดย้ นิ น้นั ไปเช่ือมกบั ภาพท่ีจา
ได้ หรือภาพท่ีมองเห็น จากน้นั สมองก็จะจดั การเกบ็ ขอ้ มูลเสียงและภาพท่ีเช่ือมโยงกนั ท้งั หมดน้ีเอาไวใ้ นความจา (memory) ซ่ึงท้งั หมดน้ีเป็ นกระบวนการเรียนรู้ภาษา
หรือเขา้ ใจภาษา หรือเป็นความสมั พนั ธข์ องภาษากบั การคิด

การคิดเป็นกระบวนการทางานของสมองในส่วนท่ีเรียกวา่ นีโอคอร์เทก็ ส์ซ่ึงเป็นสมองส่วนที่มีหนา้ ท่ีเก่ียวกบั ความฉลาดและการคิดของคน ความฉลาด
และความคิดเป็นส่ิงที่มาจากความรู้สึกนึกคิดของสมอง สมองจะมีความสามารถในการท่ีจะเรียนรู้และมีประสบการณ์มากข้ึน เก็บขอ้ มูลไดม้ ากข้ึน มนุษยเ์ ราเมื่อมีการ
รับรู้ขอ้ มลู ขอ้ มลู ตา่ ง ๆจะถูกจดั เก็บโดยวิธีการจา การคิด การใหเ้ หตุผล การจดั โครงสร้าง การเช่ือมโยงสมั พนั ธก์ ารแกป้ ัญหา หรือการผสมผสานระหว่างวิธีการต่าง ๆ
เขา้ ดว้ ยกนั ส่วนผลผลิตมกั จะออกมาในรูปของการใช้การเคล่ือนไหวร่างกาย ภาษาท้งั การพดู การเขียน การแสดงท่าทาง การแสดงสีหน้าและแววตา การทางานของ
การคิดน้ี ถา้ ส่วนใดส่วนหน่ึงไม่ทางานตามท่ีควรจะเป็นผลกค็ ือมีความผดิ ปกติเกิดข้ึน

ในปัจจุบนั มีผูใ้ หค้ วามสนใจเกี่ยวกบั การทางานของสมองในดา้ นกระบวนการคิดและกระบวนการเรียนรู้ว่าสมองทางานอยา่ งไร การ
แบง่ การทางานของสมองโดยเฉพาะในดา้ นการควบคุม การคิด ประสาทรับรู้และดา้ นการเคลอ่ื นไหวของสมองท้งั 2 ซีก คือ ซีกซ้ายและซีกขวา สมอง
แต่ละซึกจะทางานและมีหน้าที่ต่างกนั สมองซีกซ้ายจะควบคุมการทางานของร่างกายซีกขวา ส่วนสมองซีกขวาจะควบคุมการทางานของร่างกายซีก
ซา้ ย สมองซีกซา้ ยจะมีปฏิกิริยาต่อส่ิงเร้าหรือสิ่งนาเขา้ ในเชิงตรวจสอบวเิ คราะหพ์ ิจารณาในเชิงจดั ระบบและเป็นเหตุเป็นผล ซ่ึงเป็นพ้นื ฐานสู่การเรียนรู้
เชิงทกั ษะและเชิงเหตุผล เช่น กฎเกณฑข์ องการพูด การอ่าน และคณิตศาสตร์ สมองซีกขวาจะควบคุมเกี่ยวกบั ความคุน้ เคยและพ้ืนฐานของพ้ืนท่ี
ความสามารถพเิ ศษ การตระหนกั ของร่างกายและการยอมรับ การจาหนา้ ตา

การพฒั นาทางสติปัญญาดา้ นการคิด จะเกิดข้ึนไดโ้ ดยเดก็ จะตอ้ งผา่ นพฒั นาการที่สาคญั 4 ข้นั ที่เพียเจทก์ ล่าวถึง สติปัญญาจะงอกงามได้
ตอ้ งเก่ียวขอ้ งกบั โครงสร้างและการทางานของสมอง ระบบของสติปัญญาจะเปลี่ยนแปลงเป็นข้นั ๆ ตามประสบการณ์ท่ีเดก็ ไดร้ ับ โดยส่ิงเร้าจะรวมเขา้
ไปในโครงสร้างของการคิดพฒั นาเป็ นข้นั ก่อนการคิดรวบยอดและพฒั นาสู่ข้นั การคิดรวบยอด การทางานของสติปัญญาจะเร่ิมจากการรับรู้และ
รวบรวมไวก้ ลายเป็นขอ้ มูลต่าง ๆ ในสมอง การทางานของสมองจะทางานท้งั ซีกซา้ ยและซีกขวาไปพร้อม ๆ กนั โดยเฉพาะสมองซีกซา้ ยน้นั จะทางาน
เก่ียวกบั ภาษา ความมีเหตุผล คิดเป็นคาพูด หรือการใชภ้ าษา ฯลฯ

สมองมีตาแหน่งรับรู้ต่าง ๆ กนั ได้แก่ ส่วนรับภาพ (Visual Cortex) ส่วนรับเสียง (Auditory Cortex) ส่วนรับสัมผสั และรับรู้การ
เคล่ือนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย (Sensory Cortex) สมองส่วนต่าง ๆ เหล่าน้ีจะพฒั นาข้ึนมาไดช้ า้ หรือเร็วข้ึนอยู่กบั การกระตุน้ ของสิ่งแวดลอ้ ม
ภายนอก สมองของเดก็ ทีเ่ ขา้ ใจเกี่ยวกบั ภาพ เสียง และสมั ผสั แบบต่าง ๆมีความสาคญั มาก เพราะขอ้ มูลจากภาพ เสียง และสมั ผสั เหล่าน้ีจะก่อรูปข้ึนเป็ น
เร่ืองราวทีจ่ ะรับรู้ เขา้ ใจซบั ซอ้ นข้ึนเรื่อย ๆ ไดใ้ นที่สุด สมองส่วนหนา้ น้นั มีหนา้ ท่ีคิด ตดั สินใจ เช่ือมโยงการรับรู้ไปสู่การกระทาท่ีเป็นลาดบั ข้นั ตอน
เช่น ฟังเขา้ ใจ พูดส่ือสารออกมาไดอ้ า่ นได้ ก็โดยการท่สี มองส่วนหนา้ จดั การเช่ือมโยงขอ้ มูลจากภาพ เสียง และสมั ผสั นามาประมวลผล แลว้ เปลี่ยนเป็น
ปฏิบตั ิเป็นลาดบั ก่อนหลงั อยา่ งถกู ตอ้ ง (สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน. 2552 : 15)

การเรียนรู้ภาษาของเดก็ ปฐมวยั เป็นการเรียนรู้ทีส่ มั พนั ธเ์ ชื่อมโยงกบั การคิดซ่ึงเป็นพฒั นาการดา้ นสติปัญญาของเด็กปฐมวยั การถ่ายทอด
ความรู้สึกนึกคิดซ่ึงกนั และกนั เพอื่ ใหม้ ีความเขา้ ใจกนั ในสงั คม จาเป็นตอ้ งใชภ้ าษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารเป็ นสาคญั ภาษาถือไดว้ ่ามีหน้าที่ในการ
ส่ือความคิด คือเป็นสะพานเชื่อมโยงความคิดของมนุษยไ์ ปสู่กนั และกนั ได้ ดงั น้นั ภาษาและความคิดจึงมีความสมั พนั ธก์ นั อยา่ งใกลช้ ิด

บทสรุป

นักการศึกษาและนักจิตวิทยาได้ศึกษาทฤษฎีท่ีเก่ียวขอ้ งกับการเรียนรู้ภาษาไวห้ ลายทฤษฎี เช่นทฤษฎีของนัก
พฤติกรรมศาสตร์ ทฤษฎีสภาวะติดตวั โดยกาเนิด ทฤษฎีของนักสังคมศาสตร์ ทฤษฎีพฒั นาการทางสติปัญญาและทฤษฎีของ
นักจิตวิทยาภาษาศาสตร์ ซ่ึงทุกทฤษฎีสรุปได้ว่า การเรียนรู้ทางภาษาเกิดจากความพร้อมทางด้านร่างกาย สติปัญญาการมี
ปฏิสัมพนั ธ์กบั ส่ิงแวดลอ้ ม การเสริมแรง พฒั นาการทางภาษาเกิดข้ึนจากความพึงพอใจแห่งตน การเลียนแบบ การได้รับการ
เสริมแรง ฯลฯ พฒั นาการทางภาษาของเด็กในระยะแรกประมาณ 1 เดือน เด็กสามารถจาแนกเสียงต่าง ๆ ได้ และจะพฒั นา
กา้ วหนา้ ข้ึนเร่ือย ๆจนประมาณ 4 – 5 ปี เด็กจะสามารถสื่อสารไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ปัจจยั หรือองคป์ ระกอบที่มีอิทธิพลต่อ
พฒั นาการทางภาษาของเด็ก ไดแ้ ก่ วฒุ ิภาวะ สิ่งแวดลอ้ ม สถานภาพทางสงั คม ฯลฯ อยา่ งไรก็ตามเดก็ ปฐมวยั จะเรียนรู้ภาษาไดด้ ี
เม่ือเดก็ มีความพร้อม ซ่ึงความพร้อมของเด็กสามารถสอนหรือเตรียมให้แก่เด็กไดโ้ ดยการจดั ประสบการณ์ที่เหมาะสมใหแ้ ก่เด็ก
นอกจากน้ีนกั จิตวทิ ยาไดใ้ หแ้ นวคิดไวว้ า่ ภาษาและการคิดมีความสัมพนั ธ์สอดคลอ้ งกนั อยา่ งใกลช้ ิด เพราะมนุษยเ์ ม่ือมีการสื่อสาร
จะเกบ็ ขอ้ มลู ต่าง ๆ โดยวธิ ีการจา เดก็ อายขุ วบคร่ึงเริ่มมีพฒั นาการของภาษาในส่วนที่รับเสียงและเปล่งเสียงพูด แต่การพูดจะพฒั นา
ค่อนขา้ งชา้ กวา่ การฟัง

จดั ทาโดย
นางสาวณฐั วรา จองทา
รหัสนักศึกษา 6301110812058


Click to View FlipBook Version