The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

06 บทที่ 2 แนวคิดความขัดแย้ง มีบรรณ PDF

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Paweena Witchayanon, 2022-06-21 06:40:16

06 บทที่ 2 แนวคิดความขัดแย้ง มีบรรณ PDF

06 บทที่ 2 แนวคิดความขัดแย้ง มีบรรณ PDF

53

บทที่ 2
แนวคดิ เกย่ี วกบั ความขดั แย้ง

แนวคดิ

แนวคิดเกี่ยวกบั ความขดั แยง้ ไดพ้ ฒั นามาจากอดีตถึงปัจจุบนั แนวความคิดเดิมที่ยอมรับวา่
เป็ นแบบฉบับ หรื อเป็ นแนวคิดช้ันคลาสสิ ก (Classic) ได้แก่ แนวคิดของมากซ์ (Marx)
เวเบอร์ (Weber) ชิมเมล (Simmel) และมอสคา (Mosca) ในระยะหลงั ไดม้ ีผรู้ ับมรดกแนวคิดของชิม
เมล และได้พฒั นาแนวคิดน้ีให้กวา้ งขวางออกไปอีกซ่ึงได้แก่แนวคิดของโคเซอร์ (Coser) และ
แคพโลว์ (Caplow) นอกเหนือจากน้ีศาสตร์สาขาต่าง ๆ ก็มีแนวคิดเกี่ยวกบั ความขดั แยง้ แตกต่างกนั
ออกไปตามลกั ษณะเฉพาะของแต่ละสาขาวชิ า เช่น แนวคิดเกี่ยวกบั ความขดั แยง้ ตามทศั นะคติของ
จิตวทิ ยา การเมือง สงั คมวิทยา และทางมานุษยวทิ ยา เป็นตน้ ในบทน้ีจะไดอ้ ธิบายแนวคิดหรือทศั นะ
สาคญั เกี่ยวกบั ความขดั แยง้ ที่กล่าวถึงดงั ตอ่ ไปน้ี

แนวคดิ ของ คาร์ล มากซ์

คาร์ล มากซ์ (Karl Marx) เชื่อวา่ ความขดั แยง้ และความเปล่ียนแปลงเป็นของคู่กนั เขาใชก้ าร
วเิ คราะห์ความขดั แยง้ เป็ นเคร่ืองมือในการวเิ คราะห์สงั คม คาร์ล มากซ์ ยนื ยนั วา่ ความขดั แยง้ เป็นกฎ
พ้ืนฐานของชีวติ การวเิ คราะห์สงั คมของคาร์ล มากซ์ เชื่อในการใชค้ วามขดั แยง้ เป็ นเคร่ืองมือในการ
เปล่ียนแปลงหรือพฒั นาสังคม

คาร์ล มากซ์ เชื่อวา่ จุดเร่ิมต้นของความขัดแย้งมาจากเศรษฐกจิ ความขดั แยง้ ระหวา่ งกลุ่ม
เกิดข้ึนเพราะแตล่ ะกลุ่มมีความสนใจทางเศรษฐกิจท่ีตรงขา้ มกนั ความขดั แยง้ ทางเศรษฐกิจระหวา่ ง
กลุ่มเป็นส่ิงที่หลีกเลี่ยงไดย้ าก และจะนาไปสู่ความขดั แยง้ ทางสงั คมและทางการเมือง โดยท่ีกลุ่ม
หน่ึงก็พยายามสนองประโยชนข์ องตนซ่ึงอีกกลุ่มหน่ึงจะเสียผลประโยชน์ ในทานองเดียวกนั สมาชิก
ของกลุ่มก็พยายามแสวงหาประโยชน์ของตนซ่ึงทาใหเ้ กิดความขดั แยง้ ภายในกลุ่ม และความขดั แยง้
กบั กลุ่มอื่นที่มีความสนใจหรือมีประโยชนข์ ดั กนั คาร์ล มากซ์ ถือวา่ ความขดั แยง้ เป็นสภาพการณ์
ปกติของสังคม เป็นแกนกลางของเหตุการณ์ในประวตั ิศาสตร์ความขดั แยง้ และความเปล่ียนแปลง
เป็นส่ิงที่แยกจากกนั ไม่ออก จุดเนน้ ในแนวคิดของคาร์ล มากซ์ อยทู่ ่ีเศรษฐกิจ การต่อสู้ของชนช้นั
ธรรมชาติของการแขง่ ขนั และแสดงหาประโยชน์

จุดยนื ทางการเมืองของคาร์ล มากซ์ คือ การปฏิวตั ิ ทฤษฎีความขดั แยง้ ของ คาร์ล มากซ์
นอกจากจะอธิบายสังคมเป้นอยา่ งไรแลว้ ยงั เสนอแนวทางในการเปลี่ยนแปลงสงั คมอีกดว้ ย ไม่
เพยี งแต่ คาร์ล มากซ์ จะสร้างทฤษฎีความขดั แยง้ ข้ึนมา เขายงั สร้างทฤษฎีท่ีนาไปสู่ความขดั แยง้ อีกดว้ ย

54

แนวคดิ ของแมกซ์ เวเบอร์

แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ยอมรับวา่ ความขดั แยง้ ในผลประโยชน์ระหวา่ งบุคคลพบได้
ทุกแห่งทุกหนในสงั คม ความขดั แยง้ เกิดจากการกระทาของบุคคลท่ีตอ้ งการจะดาเนินการใหบ้ รรลุ
ความปรารถนาของตนเกิดปะทะกบั การต่อตา้ นของอีกฝ่ ายหน่ึงหรือหลาย ๆ กลุ่ม ความขดั แย้งเป็ น
ผลมาจากการมีทรัพยากรหรือรางวัลอย่างจากดั ซ่ึงการท่ีคนหนึ่งไดร้ ับทาใหอ้ ีกคนหน่ึงไม่ไดร้ ับ
การที่คนหน่ึงสามารถบรรลุความปรารถนาของตนเองในสภาพที่มีทรัพยากรอยา่ งจากดั ทาใหผ้ นู้ ้นั
มีอานาจมากข้ึน ความขดั แยง้ ท้งั หลายไม่จาเป็นตอ้ งนาไปสู่การต่อสู้กนั เวเบอร์ถือวา่ การแขง่ ขนั
(Competition) เป็นรูปแบบหน่ึงของความขดั แยง้ ในการแข่งขนั น้นั จะมีกฎหรือกติกาที่ทุกฝ่ าย
ยอมรับ การชนะคือการไดร้ างวลั หรือประโยชน์ ไมใ่ ช่การทาลายร้างคูต่ อ่ สู้ ความขดั แยง้ ถา้ หาก
เกิดข้ึนในระยะเวลายาวนานจะทาใหเ้ กิดการแบง่ อานาจของบุคคลในสังคม

สาระสาคญั ของความขดั แยง้ ในสังคมตามแนวความคิดของเวเบอร์ พอสรุปไดดงั น้ี
1. ความขดั แยง้ ของผลประโยชน์เป็นส่ิงท่ีเกิดข้ึนอยา่ งต่อเนื่องในสังคม ไม่มีสงั คมใดจะพน้
ไปจากการแตกแยกและการเปล่ียนแปลง
2. ในสังคมใด ๆ ก็ตาม กลุ่มของบุคคลแต่ละบุคคลยอ่ มมีอานาจไม่เท่าเทียมกนั
3. ผมู้ ีอานาจจะใชก้ ฎและการบงั คบั เพ่ือสร้างระเบียบทางสังคม
4. โครงสร้างทางสังคมและแนวปฏิบตั ิในสังคมถูกกาหนดข้ึนโดยผมู้ ีอานาจ
5. การเปล่ียนแปลงทางสังคมทาใหเ้ กิดความแตกแยกในกลุ่มของผมู้ ีอานาจมากกวา่ ในกลุ่ม
ของผไู้ ม่มีอานาจ ผมู้ ีอานาจจะพยายามรักษาสภาพเดิม (status quo) และตอ่ ตานการเปล่ียนแปลงที่
จะทาใหต้ นเองถูกลดอานาจลง
6. การเปล่ียนแปลงทางสังคมเกิดข้ึนจากการกระทาของบุคคลที่ไดร้ ับประโยชนจ์ ากการ
เปล่ียนแปลง ถา้ หากผมู้ ีอานาจเห็นวา่ ตนจะไดร้ ับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง จะส่งเสริมใหเ้ กิด
การเปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเร็ว
7. การใชอ้ านาจจะมีประสิทธิภาพหรือไม่ ข้ึนอยกู่ บั เง่ือนไขดงั ต่อไปน้ี

ก. ความสามารถที่จะควบคุมการออกกฎ ระเบียบ ซ่ึงจะพิทกั ษผ์ ลประโยชน์ของตน
ข. ความสามารถท่ีจะควบคุมการลงโทษ และใชก้ ารควบคุมน้ีพิทกั ษผ์ ลประโยชน์ของตน
ค. ความสามารถที่จะควบคุมเคร่ืองมือท่ีจะเผยแพร่อุดมการณ์ และการส่ือสารท้งั หลายโดย

- เผยแพร่กฎ ขอ้ บงั คบั ท้งั หลายโดยใหเ้ ห็นวา่ เป็นของดีและถูกตอ้ ง
- เปลี่ยนความสนใจของประชาชนโดยอา้ งอุดมการณ์ และทาใหเ้ ช่ือวา่ ความสนใจของ
ประชาชนสอดคลอ้ งกบั ของผนู้ า
- กระตุน้ ใหป้ ระชาชนอาสาสมคั รที่จะเช่ือฟังกฎ หรือระเบียบต่าง ๆ

55

แนวคดิ ของ เกอร์ค ซิมเมล

ชิมเมล (Simmel) นกั สงั คมวทิ ยาชาวเยอรมนั ช้ีใหเ้ ห็นวา่ ความขดั แยง้ เป็นปฏิสัมพนั ธ์
รูปแบบหน่ึง (sociation) ที่เกิดข้ึนในกลุ่มเฉพาะสมาชิกในกลุ่มมีความสมั พนั ธ์ใกลช้ ิดกนั ผลงานของ
ชิลเมลเกี่ยวกบั ความขดั แยง้ ปรากฏในหนงั สือของเขาช่ือ Soziologie ชิมเมล เชื่อวา่ ความขดั แย้ง
ระหว่างสองฝ่ ายแสดงให้เห็นถึงลกั ษณะความสัมพนั ธ์ของท้งั สองฝ่ ายน้ัน ความขดั แยง้ เป็นผลมา
จากการมีความรู้สึกเขา้ ขา้ งตนเองมากกวา่ เขา้ ขา้ งฝ่ ายอ่ืน ความรู้สึกอาจเป้นความมุ่งร้าย โกรธ เกลียด
อิจฉา ซ่ึงโดยมากเกิดข้ึนเพราะพฤติกรรม หรือคุณลกั ษณะทางสงั คมของแต่ละฝ่ ายมีความสาคญั
เหมือนอีกฝ่ ายหน่ึง ไมม่ ีองคก์ ารใดหรือบุคคลใดจะหนีพน้ จากความขดั แยง้ ไปได้ ความขดั แยง้ มกั จะ
นาไปสู่การเปล่ียนแปลงทางสงั คม

แนวคิดท่ีสาคญั บางประการของซิมเมลเก่ียวกบั ความขดั แยง้ คือ
1. ความขดั แย้งทาให้เกดิ ความสามัคคีกลมเกลยี วภายในกล่มุ
ความขดั แยง้ กบั กลุ่มภายนอกจะทาใหเ้ กิดการรวมตวั กนั ภายในกลุ่ม ความขดั แยง้ กบั กลุ่ม
ภายนอกจะบงั คบั ใหก้ ลุ่มมีการประสานงานที่ดีและมีผนู้ าเกิดข้ึนนอกจากน้นั ยงั ช่วยใหก้ ลุ่ม

ก. สร้างขอบเขตของกลุ่มข้ึนมา ซ้ึงจะทาใหท้ ราบวา่ ใครเป็ นสมาชิกของ
กลุ่มเราหรือใครเป้นพวกเราบา้ ง

ข. ลดความเบี่ยงเบนหรือความบาดหมางภายในกลุ่มเพอ่ื ที่จะเพมิ่
ประสิทธิภาพในการต่อกรหรือจดั การกบั ฝ่ ายตรงขา้ ม

ค. จดั ระบบและประสานทรัพยากรตา่ ง ๆ ทางสังคมเสียใหม่
ง. สร้างหรือพฒั นาความสัมพนั ธ์ชนิดใหม่กบั ฝ่ ายตรงขา้ ม
2. ความกลมเกลยี วภายในกลุ่มเป็ นสาเหตุทาให้เกดิ ความขัดแย้ง
ความกลมเกลียวทาใหเ้ กิดความขดั แยง้ เช่นเดียวกบั เป็นผลที่เกิดจากความขดั แยง้ หากท้งั
สองฝ่ ายที่มีความกลมเกลียวกนั มาก เช่น คูส่ มรส หุน้ ส่วน มกั จะมีประสบการณ์เกี่ยวกบั ความ
ขดั แยง้ ความจริงน้นั ความขดั แยง้ เป็นส่ิงที่เกิดเร้ือรังในความสมั พนั ธ์ท่ีใกลช้ ิดใด ๆ เพราะตา่ งฝ่ าย
ตา่ งก็มีอิทธิพลต่อกนั ในชีวติ ถา้ หากความสมั พนั ธ์ท่ีมีตอ่ กนั เป้นความสมั พนั ธ์ท่ีไม่ใกลช้ ิดกนั ความ
ขดั แยง้ อาจไม่เกิดข้ึนกไ็ ด้ เช่น พฤติกรรมที่ไม่สุภาพของคนขายของ ซึงมีความสัมพนั ธ์ที่ไมใ่ กลช้ ิด
กบั เรา พฤติกรรมของเขามีผลเพยี งเล็กนอ้ ยต่อเรา ในทางตรงกนั ขา้ มถา้ หากมีความสมั พนั ธ์ใกลช้ ิด
กนั จะทาใหเ้ ราเกิดอารมณ์รุนแรงและตอบโตก้ นั ไป ความรักของสองคนเบ่งบานเพราะมีความรู้สึก
ผกู พนั ตอ่ กนั ในทางตรงกนั ขา้ มความเกลียดชงั อยา่ งแสนสาหสั กเ็ กิดจากการเลิกรักกนั หรือรักกนั อีก
ไมไ่ ด้ บุคคลท่ีหนีออกมาจากกลุ่มดว้ ยเหตุอะไรก็ตามมกั จะเป็นคนท่ีเคยมีความสมั พนั ธ์อยา่ งดียง่ิ ใน
กลุ่มเดิม บุคคลที่มีความคบั ขอ้ งใจมากท่ีสุดในกลุ่มของบุคคลท่ีเคยมีแรงจูงใจอยา่ งมากท่ีจะเป็น

56

สมาชิกของกลุ่ม สิ่งเหล่าน้ีอาจเห็นไดจ้ ากตวั อยา่ งของพรรคการเมืองหรือการจดั ต้งั ในมหาวทิ ยาลยั
หรือองคก์ ารทางการศึกษาตา่ ง ๆ

3. ความกลมเกลียวระหวา่ งกลุ่มเป็นสาเหตุทาให้เกิดความขดั แยง้ เช่นเดียวกนั กบั ความกลม
เกลียวภายในกลุ่ม กลุ่มสองกลุ่มท่ีมีความกลมเกลียวกนั อยา่ งดีโดยมีความผกู พนั กนั แบบใดแบบ
หน่ึง เช่น มีความสมใจร่วมกนั มีผลประโยชน์ร่วมกนั ใชภ้ าษาพดู ภาษาเดียวกนั อยใู่ กลท้ อ้ งถิ่น
เดียวกนั มาจากทอ้ งถ่ินเดียวกนั หรือมีความคลา้ ยกนั ทางวฒั นธรรม สังคม เศรษฐกิจหรือแนวคิด
ทางการเมือง อาจเกิดความขดั แยง้ ท่ีรุนแรง ซิมเมลช้ีใหเ้ ห็นวา่ ความขดั แยง้ น้ีเกิดจากความกลมเกลียว
กนั ระหวา่ งสองกลุ่ม ความขดั แยง้ ระหวา่ งสองกลุ่มซ่ึงเคยมีความสัมพนั ธ์ที่ดีตอ่ กนั เช่น อิหร่านกบั
อิรักซ่ึงเป็นมุสลิมดว้ ยกนั ความขดั แยง้ ระหวา่ งกลุ่มในไอร์แลนด์เหนือท่ีตา่ งก็เป็ นคริสตด์ ว้ ยกนั
ความขดั แยง้ ระหวา่ งจีนกบั เวียดนามซ่ึงต่างก็เป็นคอมมิวนิสตด์ ว้ ยกนั เป็นตน้

จากแนวคิดของซิมเมล ขอ้ ท่ี 2 กบั ขอ้ ท่ี 3 จะทาใหเ้ ห็นความขดั แยง้ ทาใหเ้ กิดความกลม
เกลียวและความกลมเกลียวกท็ าใหเ้ กิดความขดั แยง้ ไดเ้ ช่นกนั

4. ความขดั แย้งและโครงสร้างของกลุ่ม
ซิมเมลไดอ้ ธิบายความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความขดั แยง้ กบั โครงสร้างของกลุ่ม โดยเสนอเป็น
ขอ้ เสนอแนะ (proposition) และเป็นบทแทรกไวด้ งั น้ี
ข้อเสนอแนะที่ 1 ความขดั แยง้ ระหวา่ งกลุ่มโดยมากเกิดจากพฒั นาองคก์ ารและความ
ซบั ซอ้ นขององคก์ าร
บทแรก ความขดั แยง้ ระหวา่ งกลุ่มยงิ่ มีมากข้ึนเท่าใด แต่ละกลุ่มก็จะบริหารแบบรวมศูนย์
หรือรวม อานาจมากข้ึนเทา่ น้นั และเพอื่ ท่ีจะใหก้ ลุ่มประสลความสาเร็จในการแขง่ ขนั กบั กลุ่มอื่น ใน
แต่ละกลุ่มไมเ่ พียงแตจ่ ะมอบบทบาทท่ีเชียวชาญเฉพาะอยา่ งใหส้ มาชิกท้งั หลายปฏิบตั ิแลว้ ยงั
จาเป็นตอ้ งประสานความเช่ียวชาญตา่ ง ๆ โดยการรวมอานาจในการบริหารองคก์ ารอีกดว้ ย
ข้อเสนอแนะท่ี 2 แตล่ ะฝ่ ายที่มีความขดั แยง้ กนั มีแนวโนม้ ท่ีจะผกู ติดยดึ แน่นและขาดความ
อดทน สมาชิกของกลุ่มจะชนไม่ไดถ้ า้ มีสมาชิกของกลุ่มประพฤติ ปฏิบตั ิ แตกต่างกนั ไปจากความ
คาดหวงั ของกลุ่มเพราะถือวา่ เป็นการทาลายความกลมเกลียวของกลุ่ม ในกรณีความขดั แยง้ ระหวา่ ง
กลุ่มรุนแรงข้ึน สมาชิกจะแสดงพฤติกรรมท่ีเบ่ียงเบนออกไปจากแนวปฏิบตั ิของกลุ่มยอ่ ยไมไ่ ด้

ความขดั แยง้ นาไปสู่การบริหารแบบรวมอานาจ บุคคลท่ีมีคุณลกั ษณะหรือทศั นคติ
แตกตา่ งไม่จากเพื่อนมกั จะถูกจากดั ใหพ้ น้ ไปจากกลุ่ม และคนอ่ืน ๆ ก็มีแนวโนม้ ปฏิบตั ิตาม
มาตรฐานของกลุ่ม ความขดั แยง้ นาไปสู่ความคลา้ ยกนั และความมีเอกพนั ธ์ของกลุ่ม ซ่ึงเป็นปัจจยั ทา
ใหก้ ลุ่มมีความกลมเกลียวหรือมีเอกภาพ

57

แนวคดิ ของมอสคา

มอสคา (Mosca) เป็นนกั สังคมวทิ ยาชาวอิตาลี ไดแ้ สดงความเห็นเกี่ยวกบั ความขดั แยง้ ใน
หนงั สือของเขาช่ือ The Rulilng Class โดยเช่ือวา่ ความขดั แยง้ ในสังคมไมว่ า่ จะเป็นความขดั แยง้
ระหวา่ งบุคคลกบั บุคคลหรือระหวา่ งกลุ่มกบั กลุ่มเป็นปกติท่ีเกิดโดยธรรมชาติและไม่สามารถ
หลีกเล่ียงไดใ้ นการดารงชีวติ ในสังคม แมว้ า่ จะสามารถขจดั ความขดั แยง้ ลงไดบ้ า้ งแตม่ อสคากเ็ ห็นวา่
ไมม่ ีความจาเป็นท่ีตอ้ งทาเช่นน้นั เพราะความขดั แยง้ เป็นส่ิงท่ีจะขาดเสียไม่ไดใ้ นการสร้าง
ความกา้ วหนา้ ความเป็นระเบียบของสังคม และเสรีภาพทางการเมือง จึงเห็นไดว้ า่ แนวคิดเกี่ยวกบั
ความขดั แยง้ ของมอสคาแตกตา่ งไปจากความคิดเห็นของคาร์ล มากช์ โดยที่มอสคา มีทศั นะวา่ การ
ดิ้นรนในระดบั น้นั บรรลุผลแลว้ คนก็จะหนั กลบั ไปสู่ความขดั แยง้ เพ่ือที่จะเด่นกวา่ คนอ่ืนมากกวา่
เพื่อการมีชีวติ อยู่ ดงั น้นั มนุษยจ์ ึงดิ้นรนเพื่ออานาจ บุคคลท้งั หลายจึงแสวงหาทางที่จะเป็ นสมาชิก
หรือเป็นส่วนหน่ึงของชนช้นั ปกครอง เพราะชนช้นั ปกครองเป็นผมู้ ีอานาจ เป็นผตู้ ดั สินใจ และ
ควบคุมโชคชะตาของสงั คม มอสคาไม่เห็นดว้ ยกบั แนวคิดของคาร์ลมากช์ ที่วา่ เศรษฐกิจเป็น
ตวั กาหนดสาเหตุแห่งความขดั แยง้ แต่เพยี งอยา่ งเดียว มอสคาเชื่อวา่ ความขดั แยง้ ที่สาคญั ท่ีสุดใน
สังคม คือความขดั แยง้ เก่ียวกบั อานาจ ความขดั แยง้ เกิดข้ึนระหวา่ งบุคคลหรือระหวา่ งกลุ่มกเ็ พ่ือ
ตอ้ งการเป็นสมาชิกของชนช้นั ปกครองซ่ึงชนช้นั ปกครองกค็ ือกลุ่มคนที่มีอานาจ

แนวคดิ ของโคเซอร์

โคเซอร์ (Coser) นกั สังคมวทิ ยาชาวอเมริกนั เป็นผขู้ ยายแนวคิดของชิมเมลใหก้ วา้ งขวาง
ออกไป โดยเขียนเป็ นหนงั สือชื่อ The Functional of Social Conflct โคเซอร์พยายามช้ีใหเ้ ห็นวา่
ความขดั แยง้ เป็นส่ิงท่ีเป็ นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ ความขดั แยง้ อาจนาไปสู่ความกลมเกลียว
หรือความแตกแยกโคเซอร์ไดพ้ ฒั นาแนวคิด (propostion) ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ความขดั แยง้ ในการบูรณา
การทางสังคม (social integration) ข้ึน 16 ขอ้ โคเซอร์ช้ีให้เห็นวา่ ความขดั แยง้ นาไปสู่ความกลม
เกลียวและบูรณาการในหลาย ๆ ทาง แนวคิดของโคเซอร์มีสาระสาคญั ดงั น้ี

1. ความขดั แยง้ กบั กลุ่มอ่ืนนาไปสู่
ก. การสร้างเอกลกั ษณ์ของกลุ่มใหแ้ ตกตา่ งไปจากกลุ่มอ่ืน
ข. การทาใหข้ อบเขตของกลุ่มเขม้ แขง็ และเด่นชดั

2. ความขดั แยง้ ในบางคร้ังจะช่วยรักษาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งกลุ่ม โดยการยอมใหไ้ ดร้ ะบาย
ความเป็นปรปักษก์ นหรือความเกลียดชงั กนั ออกเสียบา้ ง

3. ความขดั แยง้ ท่ีเป็นจริง (realistic conflict) มุง่ ท่ีการบรรลุวตั ถุประสงคเ์ ฉพาะบางอยา่ ง
ขณะท่ีความขดั แยง้ ท่ีไมเ่ ป็นจริง (Unrealistic conflict) มุ่งที่การลดความตึงเครียด

58

4. ความขดั แยง้ ความสัมพนั ธ์ทางสังคมรูปแบบหน่ึงและสามารถเกิดข้ึนไดใ้ นสภาพการที่มี
ปฏิสมั พนั ธ์ต่อกนั เทา่ น้นั

5. ความสมั พนั ธ์ที่ใกลช้ ิดจะมีความขดั แยง้ เช่นเดียวกบั การมีสันติภาพ
6. ความสัมพนั ธ์ที่ใกลช้ ิดระหวา่ งสองฝ่ ายยงิ่ มีมากข้ึนเท่าใด อารมณ์และพฤติกรรมระหวา่ ง
สองฝ่ ายยงิ่ รุนแรงข้ึนและกระฉบั กระเฉงมากข้ึนเท่าน้นั
7. ความขดั แยง้ บางคร้ังนาไปสู่การเอาเหตุแห่งความขดั แยง้ ออกไปและรับรองยนื ยนั ความ
กลมเกลียว หรือเอกภาพของท้งั สองฝ่ ายข้ึนใหม่
8. ความสมั พนั ธ์ที่ไม่เขม้ แขง็ หรือมีไมม่ าก ในบ่อยคร้ังจะนาไปสู่การถอยออกจากความ
ขดั แยง้ ขณะท่ีความสมั พนั ธ์ที่เขม้ แขง็ หรือมีมาก บ่อยคร้ังจะแสดงวา่ มีความขดั แยง้ โดยปกติแลว้
ความขดั แยง้ เช่นน้ีจะไม่เก่ียวกบั ความเห็นสอดคลอ้ งเบ้ืองตน้ ซ่ึงเป็นพ้นื ฐานในการสร้าง
ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งท้งั สองฝ่ าย
9. ความขดั แยง้ กบั กลุ่มภายนอกจะนาไปสู่ความกลมเกลียวภายในที่แน่นแฟ้น การรวม
อานาจและการเคลื่อนยา้ ยทรัพยากร
10. ความขดั แยง้ กบั กลุ่มอ่ืนยิ่งมีมากข้ึนเท่าใด ความอดทนกบั พฤติกรรมท่ีเบ่ียงเบนภายใน
กลุ่มยงิ่ ลดลงเทา่ น้นั
11. ความตอ้ งการที่จะมีความเป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั ภายในกลุ่ม บ่อยคร้ังจะนากลุ่มไปสู่
การแสวงหาหรือการขยายความขดั แยง้ กบั กลุ่มอื่น
12. การที่บุคคลยงิ่ ยดึ ถือหรือแสดงเอกลกั ษณ์ของกลุ่มมากยง่ิ ข้ึนเทา่ ใด ความเป็ นศตั รูกนั ต่อ
กลุ่มอ่ืนยงิ่ มีมากข้ึนเทา่ น้นั และโอกาสที่พฤติกรรมมุ่งร้ายตอ่ กลุ่มอ่ืนกจ็ ะมากข้ึนเท่าน้นั
13. ก. ความขดั แยง้ ระหวา่ งฝ่ ายตา่ ง ๆ อาจนาไปสู่การขยายปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งฝ่ ายตา่ ง ๆ

ข. ความขดั แยง้ ระหวา่ งสองฝ่ ายนาไปสู่การสร้างนอร์มหรือบรรทดั ฐานอยา่ งใหมข่ อง
กลุ่มและเป็นการยนื ยนั นอร์มเดิมอีกคร้ัง

ค. ความขดั แยง้ กบั กลุ่มภายนอกยง่ิ มีมากข้ึนเทา่ ใด การมีส่วนร่วมทางสงั คมของสมาชิก
ในกลุ่มยงิ่ มีมากข้ึนเทา่ น้นั

14. ความขดั แยง้ ระหวา่ งกลุ่มบางคร้ังนาไปสู่ความปรารถนาท่ีจะใหอ้ ีกฝ่ ายหน่ึงรวมตวั กนั
15. ความขดั แยง้ เป็นการทดสอบอานาจ (test of power) ของท้งั สองฝ่ าย บางคร้ังแต่ละฝ่ าย
จะยอมปรองดองกนั ภายหลงั ท่ีมีการทดสอบอานาจโดยขดั แยง้ แลว้
16. ความขดั แยง้ นาไปสู่กระบวนการรวมตวั กนั และแสวงหาพนั ธมิตร

โคเซอร์เป็ นผขู้ ยายความคิดของชิมเมลใหก้ วา้ งขวางออกไป ในขณะเดียวกนั กม็ ีผรู้ ู้พยายาม
ขยายความคิดของโคเซอร์ใหก้ วา้ งขวางออกไปอีก เช่น โจนาธาน เทอเนอร์ (Jonathan Turner) ใน

59

หนงั สือของเขาชื่อ The Structure of Sociological Theory เทอเนอร์ไดเ้ สนอแนวคิดโดยใหค้ วาม
ขดั แยง้ เป็นตวั แปรตาม ในตอนที่วา่ ดว้ ยสาเหตุของความขดั แยง้ ความเขม้ ของความขดั แยง้ และ
ระยะเวลาของความขดั แยง้ แตใ่ นตอนท่ีวา่ ดว้ ยประโยชน์ของความขดั แยง้ เทอเนอร์ใชค้ วามขดั แยง้
เป็นท้งั ตวั แปรตน้ และตวั แปรตาม

ดยคุ (Duke) เรียบเรียงแนวคิดของโคเซอร์เสียใหม่ โดยพฒั นาใหก้ า้ วหนา้ กวา่ ของเทอเนอร์
โดยใหร้ ะดบั ความขดั แยง้ เป็ นตวั แปรตน้ หรือตวั แปรอิสระ และผลของความขดั แยง้ เป็ นตวั แปรตาม
ของดยคุ น้ีพยายามช้ีใหเ้ ห็นทิศทางของความขดั แยง้ ซ่ึงสามารถใชเ้ ป็นสมมุติฐานเพอื่ การทอสอบ
เชิงประจกั ษไ์ ดข้ องเทอเนอร์ที่ดยคุ เรียบเรียงใหม่ ดงั น้ี

1. ความขดั แยง้ กบั อีกฝ่ ายหน่ึงย่งิ มีมากข้ึนเทา่ ใด ขอบเขตของกลุ่มกย็ งิ่ เขม้ แขง็ มากข้ึน
เท่าน้นั

2. ความขดั แยง้ กบั อีกฝ่ ายหน่ึงยง่ิ มีมากข้ึนเท่าใด สมาชิกของกลุ่มกย็ ง่ิ แสดงความเป็น
ปรปักษต์ ่อสมาชิกของอีกกลุ่มหน่ึงมากข้ึนเท่าน้นั

3. ความขดั แยง้ กบั อีกฝ่ ายหน่ึงยิ่งมีมากข้ึนเท่าใด สมาชิกของกลุ่มก็ยงิ่ แสดงความเป็น
ปรปักษต์ ่อสมาชิกของอีกกลุ่มหน่ึงมากข้ึนเท่าน้นั

4. ความขดั แยง้ กบั อีกฝ่ ายหน่ึงย่งิ มีมากข้ึนเทา่ ใด โอกาสที่จะเอาเหตุแห่งความขดั แยง้ ออก
ยงิ่ มีมากข้ึนเท่าน้นั

5. ความขดั แยง้ กบั อีกฝ่ ายหน่ึงยง่ิ มีมากข้ึนเทา่ ใด ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งฝ่ ายตา่ ง ๆ กย็ งิ่ มาก
ข้ึนเทา่ น้นั

6. ความขดั แยง้ กบั อีกฝ่ ายหน่ึงยง่ิ มีมากข้ึนเทา่ ใด ความกลมเกลียวภายในกลุ่มก็ยงิ่ มากข้ึน
เท่าน้นั

7. ความขดั แยง้ กบั อีกฝ่ ายหน่ึงยงิ่ มีมากข้ึนเท่าใด การรวมอานาจของกลุ่มยง่ิ มีมากข้ึน
เทา่ น้นั

8. ความขดั แยง้ กบั อีกฝ่ ายหน่ึงยิ่งมีมากข้ึนเทา่ ใด การระดมพลงั และทรัพยากรของกลุ่มก็
ยง่ิ มีมากข้ึนเท่าน้นั

9. ความขดั แยง้ กบั อีกฝ่ ายหน่ึงย่งิ มีมากข้ึนเทา่ ใด ความไมอ่ ดทนตอ่ พฤติกรรมเบ่ียงเบน
ภายในกลุ่มยง่ิ มีมากข้ึนเท่าน้นั

10. ความขดั แยง้ กบั อีกฝ่ ายหน่ึงยิ่งมีมากข้ึนเท่าใด ปฏิสมั พนั ธ์กบั ฝ่ ายน้นั ยงิ่ มีมากข้ึนเท่าน้นั
11. ความขดั แยง้ กบั อีกฝ่ ายหน่ึงยงิ่ มีมากข้ึนเท่าใด การสร้างบรรทดั ฐานใหม่หรือนอร์มใหม่
ยง่ิ มีมากข้ึนเทา่ น้นั

60

12. ความขดั แยง้ กบั อีกฝ่ ายหน่ึงย่ิงมีมากข้ึนเทา่ ใด การสนบั สนุนยนื ยนั นอร์มเดิมท่ี
เก่ียวกบั ความกลมเกลียวของกลุ่มยงิ่ มีมากข้ึนเทา่ น้นั

13. ความขดั แยง้ กบั อีกฝ่ ายหน่ึงยิ่งมีมากข้ึนเท่าใด การมีส่วนร่วมทางสงั คมของสมาชิก
ภายในกลุ่มยงิ่ มีมากข้ึนเท่าน้นั

14. ความขดั แยง้ กบั อีกฝ่ ายหน่ึงยงิ่ มีมากข้ึนเทา่ ใด ความปรารถนาท่ีจะใหอ้ ีกฝ่ ายหน่ึง
รวมกนั ยงิ่ มากข้ึน

15. ความขดั แยง้ กบั อีกฝ่ ายหน่ึงยิ่งมีมากข้ึนเทา่ ใด การแสวงหาพนั ธมิตรและการรวมตวั กนั
ยงิ่ มีมากข้ึนเท่าน้นั

จะเห็นวา่ ขอ้ เสนอแนะของยคุ น้ีอาจใชเ้ ป็ นสมมุติฐานในการทดสอบเชิงประจกั ษไ์ ด้ ระดบั
ของความขดั แยง้ เป็นตวั แปรตน้ หรือเป็นตวั แปรอิสระและใชก้ บั พฤติกรรมของกลุ่มมีขอ้ เสนอแนะ
บางขอ้ ท่ีใชก้ บั การกระทาของบุคคลได้ ถา้ พจิ ารณาใหด้ ีจะเห็นวา่ ขอ้ เสนอแนะที่ 4, 5 และ 14 อาจ
ไม่ถูกตอ้ งนกั เน่ืองจากขาดเง่ือนไขท่ีจาเป็นบางประการ

นอกเหนือไปจากแนวคิดที่กล่าวมาแลว้ ดยคุ ยงั ไดเ้ สนอแนวคิดเกี่ยวกบั ความขดั แยง้
ระหวา่ งสองกลุ่ม และปฏิกิริยาของสมาชิกแตล่ ะบุคคลของกลุ่มเหล่าน้ี แนวคิดของดยุคขยายจาก
แนวคิดเดิมของโคเชอร์ (Coser) แต่ตา่ งจากแนวคิดขอ้ ท่ี 1 – 15 โดยไม่ถือวา่ ระดบั ของความขดั แยง้
เป็นตวั แปรตน้ หรือตวั แปรอิสระ แนวคิดที่เพิ่มเติมของดยุคมีดงั น้ี

16. ความขดั แยง้ ท่ีเป็นจริง (realistic conflict) ยงิ่ มีมากเทา่ ใด โอกาสที่จะปรองดองกนั ยง่ิ มี
มากข้ึนเทา่ น้นั ในทางตรงกนั ขา้ ม ความขดั แยง้ ที่ไมเ่ ป็ นจริง (Unrealistic conflict) ยง่ิ มีมากเท่าใด
โอกาสท่ีจะปรองดองกนั ยง่ิ มีนอ้ ยเท่าน้นั

17. ความสัมพนั ธ์พิเศษหรือความสัมพนั ธ์ท่ีใกลช้ ิดเฉพาะระหวา่ งสองฝ่ ายยงิ่ มีมากข้ึน
เท่าใด โอกาสที่ความขดั แยง้ ระหวา่ งสองฝ่ ายยอ่ มจะมีมากข้ึนเท่าน้นั

18. หากความสัมพนั ธ์ใกลช้ ิดระหวา่ งสองฝ่ ายยงิ่ มีมากข้ึนเท่าใด ความกลมกลืนและความ
เช่ือถือระหวา่ งสองฝ่ ายยงิ่ เพิ่มมากข้ึนเทา่ น้นั

19. หากความสัมพนั ธ์ท่ีใกลช้ ิดระหวา่ งสองฝ่ ายยงิ่ มีเพม่ิ มากข้ึนเทา่ ใด อารมณ์และ
พฤติกรรมระหวา่ งสองฝ่ ายยิ่งรุนแรงมากข้ึนเทา่ น้นั

20. ความตอ้ งการความกลมเกลียวภายในกลุ่มยง่ิ มีมากข้ึนเทา่ ใด โอกาสที่จะแสวงหาความ
ขดั แยง้ กบั กลุ่มอื่นยง่ิ มีมากข้ึนเท่าน้นั

21. คนยง่ิ แสดงเอกลกั ษณ์ของกลุ่มมากข้ึนเทา่ ใด ยง่ิ แสดงความเป็นศตั รูหรือแสดงอาการ
ตรงกนั ขา้ มกบั กลุ่มตรงขา้ มยง่ิ ข้ึนเทา่ น้นั

22. คนยง่ิ แสดงเอกลกั ษณ์ของกลุ่มมากยงิ่ ข้ึนเท่าใด โอกาสท่ีจะแสดงพฤติกรรมประสงค์
ร้าย และรุนแรงต่อกลุ่มตรงขา้ มยง่ิ มีมากข้ึนเท่าน้นั

61

23. การทดสอบอานาจโดยการขดั แยง้ ระหวา่ งสองฝ่ ายยง่ิ มีมากข้ึนเท่าใด ความปรองดอง
ต่อกนั ของแตล่ ะฝ่ ายยงิ่ มีมากข้ึนเท่าน้นั

การพฒั นาแนวคิดเก่ียวกบั ความขดั แยง้ โดยการหาขอ้ สรุปและเสนอเป็นแนวคิดซ่ึงจะ
นาไปสู่การทดสองไดน้ ้นั ยอ่ มนบั ไดว้ า่ เป็นความกา้ วหนา้ ทางวชิ าการอยา่ งหน่ึง

แนวคดิ ของแคพโลว์

แคพโลว์ (Caplow) เป็นอีกผหู้ น่ึงท่ีพยายามขยายแนวคิดของชิมเมลใหก้ วา้ งขวางออกไปอีก
แคพโลวเ์ ช่ือวา่ ความขดั แยง้ เป็นกระบวนการเบ้ืองตน้ ทางสังคม และไม่มีวธิ ีการใดท่ีจะเห็นง่าย ๆ
ในการยกเอาความขดั แยง้ ออกไปจากองคก์ ารในกระบวนการขดั แยง้ น้นั แคพโลวเ์ ช่ือวา่ มีความ
เป็นไปไดอ้ ยา่ งสูงท่ีฝ่ ายอ่อนแอกวา่ จะรวมตวั กนั เพอ่ื ต่อสู้กบั อีกฝ่ ายที่เขม้ แขง็ กวา่ แคพโลวไ์ ดเ้ สนอ
แนวคิดเกี่ยวกบั การรวมตวั กนั ของไตรภาคี วา่ มีความเป็นไปได้ 8 แบบ ดงั รูป

รูปภาพ 3 แสดงแนวคิดแคพโลว์ (Caplow
จากรูปจะเห็นวา่ แบบท่ี 1 แต่ละฝ่ ายเท่ากนั แบบท่ี 2-4 สองฝ่ ายเทา่ กนั แต่อีกฝ่ ายหน่ึงอาจ

เขม้ แขง็ กวา่ หรืออ่อนแอกวา่ สองฝ่ ายน้ี แบบท่ี 5 – 8 แต่ละฝ่ ายไมเ่ ท่ากนั ในบางแบบสองฝ่ ายที่
ออ่ นแอกวา่ เมื่อรวมตวั กนั แลว้ จะเขม้ แขง็ กวา่ ฝ่ ายที่สาม ในบางแบบฝ่ ายที่เขม้ แขง็ ท่ีสุดฝ่ ายเดียวก็มี
อานาจมากกวา่ อีกสองฝ่ ายรวมกนั

การรวมตวั เป็ นความปรารถนาของฝ่ ายท่ีอ่อนแอกวา่ โดยหวงั วา่ พนั ธมิตรท่ีเกิดข้ึนใหม่ จะเอ
ชนะฝ่ ายที่เขม้ แขง็ แต่เดิมไดก้ ารรวมตวั กนั จึงเป็นการเปล่ียนแปลงสมดุลของอานาจฝ่ ายที่ออ่ นแอ
อาจเปลี่ยนเป็ นฝ่ ายที่เขม้ แขง็ ฝ่ ายที่เขม้ แขง็ กอ็ าจเปลี่ยนเป็ นฝ่ ายท่ีอ่อนแอได้ การรวมตวั ของฝ่ ายท่ี
เขม้ แขง็ กวา่ เพื่อเอาชนะฝ่ ายท่ีออ่ นแอกวา่ มกั ไมค่ อ่ ยเกิดในโลกแห่งความเป็ นจริง

62

แรงจูงใจในการรวมตวั กนั ของไตรภาคีกเ็ พื่อผลประโยชน์จากการรวมตวั หรือเพ่อื ที่จะ
บรรลุวตั ถุประสงคบ์ างอยา่ ง ลองพิจารณาแบบที่ 5 ของไตรภาคี จะเห็นวา่ A มากกวา่ B B มากวา่ C
และ B กบั C
เมื่อรวมตวั กนั แลว้ จะมากกวา่ A C ไม่มีแรงจูงใจท่ีจะรวมตวั กบั A เพราะจะกลายเป็นฝ่ ายที่ดอ้ ยกวา่
และ A กจ็ ะเป็นฝ่ ายที่ดอ้ ยกวา่ และ A ก็จะเป็นฝ่ ายเหนือกวา่ C กด็ อ้ ยกวา่ B ในการรวมตวั แต่
ความรู้สึกดอ้ ยน้ีจะมีนอ้ ยกวา่ การรวมตวั กบั A ดงั น้นั ในการรวมตวั ของไตรภาคีในแบบที่ 5 น้ี B จะ
รวมตวั กบั C เพราะมีโอกาสท่ีจะชนะบา้ งแมจ้ ะมีค่อนขา้ งนอ้ ยกต็ าม

ในบางกรณีของการรวมตวั กนั น้นั ถา้ สองฝ่ ายท่ีไมเ่ ท่ากนั รวมตวั กนั เพอ่ื เอาชนะฝ่ ายท่ีสาม
เป็นท่ีคาดหวงั วา่ รางวลั ท่ีจะไดร้ ับจากการรวมตวั กนั ควรจะเป็นสดั ส่วนกบั ทรัพยากรที่ลงทุนไปถา้
หากฝ่ ายหน่ึงลงทุนมากกวา่ อีกฝ่ ายหน่ึง แตต่ ามทฤษฎีน้นั ตา่ งฝ่ ายกม็ ีส่วนร่วมกนั เพือ่ ที่จะไดช้ ยั ชนะ
ดงั น้นั จึงรู้สึกไดล้ งทุนเทา่ ๆ กนั

ปัจจัยทส่ี ่งผลต่อการเพม่ิ ความขดั แย้ง
เมื่อคนมีความขดั แยง้ ตา่ งฝ่ ายต่างกจ็ ะแสดงความเป็นปรปักษต์ อ่ กนั ต่างฝ่ ายต่างกจ็ ะถอย

ห่างและลดการส่ือสารระหวา่ งกนั ซ่ึงจะทาใหแ้ ต่ละฝ่ ายมีความห่างกนั มากข้ึน ผลที่ตามมาก็คือมี
ความไม่ไวว้ างใจกนั มากข้ึนและมีความสงสัยอีกฝ่ ายมากข้ึน ฝ่ ายหน่ึงกจ็ ะเห็นวา่ อีกฝ่ ายหน่ึงเลว
และการรับรู้ที่มีตอ่ อีกฝ่ ายก็จะลาเอียง การรับรู้ที่ลาเอียง การรับรู้ที่ลาเอียงจะทาให้แตล่ ะฝ่ ายเลือกท่ี
จะสนใจเฉพาะเร่ืองและมองเห็นแตส่ ่ิงที่มาสนบั สนุนความคิดเห็นของตนเองวา่ อีกฝ่ ายหน่ึงเลวหรือ
ไวใ้ จไม่ได้ สิ่งเหล่าน้ีเป็นปัจจยั ท่ีส่งต่อการเพิ่มหรือขยายความขดั แยง้

วอร์เชล และคูเปอร์ (Worchel and Cooper) ช้ีใหเ้ หน้ วา่ ปัจจยั ที่ส่งผลต่อการเพ่ิมหรือขยาย
ความขดั แยง้ ไดแ้ ก่

1. การข่มขู่
2. การรับรู้
3. ความไวว้ างใจ
4. การส่ือสาร
นกั วชิ าการของสถาบนั อเลกซานเดอร์ แฮมิลตนั (Alexander Hamilton Institute) เชื่อวา่
ปัจจยั ท่ีส่งผลกระทบตอ่ การขายหรือเพ่ิมความขดั แยง้ ไดแ้ ก่
1. อุปสรรคใ์ นการส่ือสาร
2. องคก์ ารท่ีมีหลายระดบั
3. ความตอ้ งการความเป็ นเอกฉนั ท์
4. กฎที่ถูกบงั คบั ใหป้ ฏิบตั ิ

63

5. ความขดั แยง้ เดิมที่ยงั ไมไ้ ดแ้ กไ้ ข
ปัจจยั ดงั กล่าวทาใหเ้ พม่ิ ความขดั แยง้ หรือความขยายความขดั แยง้ ใหม้ ากข้ึน ดงั ต่อไปน้ี

การข่มขู่

ส่ิงหน่ึงที่ส่งผลต่อการเพิ่มความขดั แยง้ กค็ ืออาการขม่ ขู่ คูข่ ดั แยง้ มกั ขะข่มขอู่ ีกฝ่ ายหน่ึง
เพอ่ื ท่ีจะทาใหเ้ ห็นวา่ ฝ่ ายตนเขม้ แขง็ การข่มข่เู หล่าน้ีทาใหอ้ ีกฝ่ ายขม่ ขโู่ ตต้ อบกลบั มา ทาใหเ้ กิดความ
ตึงเครียดอยา่ งใหม่ซ่ึงเพ่มิ เขา้ ไปในความขดั แยง้

เราอาจเคยเห็นวา่ การข่มขเู่ ป็ นวกี ารหน่ึงที่ครูใหก้ บั นกั เรียนในหอ้ งเรียน คนที่ใชก้ ารข่มขู่
เพราะเขาเชื่อวา่ การขม่ ข่จู ะเป็ นวธิ ีการที่ทาใหก้ ารขดั แยง้ สิ้นสุดลงโดยเร็ว เขาเช่ือวา่ ความขดั แยง้ จะ
สิ้นสุดลงโดยที่เขา้ ขา้ งฝ่ ายเขาหรือฝ่ ายเขาไดป้ ระโยชน์ แตผ่ ลงานวจิ ยั แสดงวา่ ผลของการขม่ ขู่
แตกตา่ งจากที่ไดก้ ล่าวมาแลว้ เช่น พบวา่ การขม่ ข่ทู าใหน้ กั เรียนเกิดความไม่ไวว้ างใจครู การสงคราม
ระหวา่ งประเทศเกิดจากการสะสมอาวธุ ซ่ึงตา่ งฝ่ ายตา่ งกเ็ พิม่ ศกั ยภาพของการขม่ ขู่ ผลจากการวจิ ยั
ตา่ ง ๆ แสดงวา่ การใชก้ ารข่มข่เู ป็นการเพ่มิ ความขดั แยง้

เหตุผลสาคญั ที่มนุษยใ์ ชก้ ารขม่ ข่ใู นความขดั แยง้ คือ เพ่อื รักษาหนา้ ถา้ หากยอมแพใ้ นการ
ขดั แยง้ กจ็ ะทาใหเ้ กิดความรู้สึกวา่ อีกฝ่ ายหน่ึงเขม้ แขง็ กวา่ บางคนมีความรู้สึกวา่ การยอมแพน้ ้นั
นอกจากจะเป็ นการทาลายเกียรติของตวั เองแลว้ ยงั ทาใหว้ ติ กกงั วลวา่ คนท้งั หลายจะเห็นความ
ออ่ นแอของตน เมื่อเป็นเช่นน้ีคนจึงไมต่ อ้ งการท่ีจะแสดงใหเ้ ห็นความออ่ นแอของตน ดงั น้นั คน
โดยมากนอกจากจะไม่ยอมแพห้ รือยอมแพไ้ มเ่ ป็นแลว้ ยงั ตอบสนองดว้ ยการขม่ ข่เู มื่อมีความขดั แยง้
เกิดข้ึน ในสงครามชิงหมู่เกาะฟอลก์ แลนด์ (Falkland) นายกรัฐมนตรีแธทเชอร์ขององั กฤษยอมรับวา่
การท่ีตอ้ งทาสงครามกรณีเกาะฟอลก์ แลนดก์ เ็ พ่ือรักษาชื่อเสียงขององั กฤษแลละรักษาหนา้ คนท่ียงิ่
กา้ วหนา้ ไปสู่ความขดั แยง้ มากเทา่ ไร ยงิ่ ตอ้ งรักษาหนา้ มากข้ึนเทา่ น้นั

การขม่ ข่ใู นความขดั แยง้ จะทาใหเ้ กิดผลสาคญั พอสรุปไดด้ งั น้ี
1. การใชก้ ารขม่ ข่เู ป็นการขยายหรือเพิ่มความขดั แยง้ มากกวา่ ที่จะเป็นการลดความขดั แยง้
2. ความขดั แยง้ อาจถูกแกไ้ ขไดร้ วดเร็วเม่ือไมม่ ีฝ่ ายใดมีศกั ยภาพที่จะใชก้ ารข่มขู่
3. การใชก้ ารข่มข่ขู องฝ่ ายหน่ึงมีแนวโนม้ ที่จะส่งเสริมให้อีกฝ่ ายหน่ึงใชก้ ารข่มขโู่ ตต้ อบ
4. เม่ือท้งั สองฝ่ ายมีศกั ยภาพของการข่มขเู่ ทา่ กนั จะมีแนวโนม้ ของการข่มขนู่ อ้ ยกวา่ เม่ือ

ไมม่ ีความสมดุลของอานาจ

64

การรับรู้

ส่ิงท่ีน่าสนใจอยา่ งหน่ึงของความขดั แยง้ กค็ ือวที ่ีผูเ้ กี่ยวขอ้ งคิดและมองความขดั แยง้ ในเกือบ
ทุกกรณีฝ่ ายหน่ึงจะมองเห็นวา่ “คนอื่น” เป็นผเู้ ริ่มตน้ ความขดั แยง้ “เรา” ทาอะไรดว้ ยความมีเหตุผล
“เขา” ทาอะไรที่ไม่มีเหตุผลและมีแต่ความกา้ วร้าว ไม่เพยี งแตล่ ะฝ่ ายจะมีความคิดเห็น ดงั ที่กล่าวมา
น้ีแลว้ แต่ละฝ่ ายยงั สามารถช้ีใหเ้ ห็นเหตุการณ์ท่ีสนบั สนุนจุดยนื ของตนเองได้ ยงิ่ ไปกวา่ น้ี แตล่ ะฝ่ าย
ยงั มีความคิดและความเชื่อเช่นน้ีวา่ ดว้ ยความเช่ือมน่ั อยา่ งสูง แต่ละฝ่ ายรู้วา่ เราเทา่ น้นั ท่ีเป็นฝ่ ายถูกแต่
ละฝ่ ายก็จะมองเห็นวา่ การกระทาของอีกฝ่ ายหน่ึงมุ่งมาที่ฝ่ ายตนการรับรู้ท่ีลาเอียงเช่นน้ีจะทาใหม้ ี
ความขดั แยง้ เพมิ่ มากข้ึน มีส่ิงหน่ึงที่ควรระลึกอยเู่ สมอก็คือความขดั แยง้ ถูกกาหนดโดยการรับรู้ต่อ
สถานการณ์ขดั แยง้ หรือสถานการณ์ขดั แยง้ ท่ีแตล่ ะฝ่ ายมองเห็นมากกวา่ ท่ีจะถูกกาหนดโดย
สถานการณ์ท่ีเป็นจริง ในการมองภาพความขดั แยง้ น้นั แตล่ ะฝ่ ายมกั จะมองเห็นวา่ ฝ่ ายตรงขา้ มเป็น
คู่แข่ง เป้นพวกกา้ วร้าวและเป็นตน้ เหตุแห่งความขดั แยง้ ลกั ษณะการรับรู้เช่นน้ีจะทาใหก้ ารขดั แยง้
ขยายตวั ข้ึนและรุนแรงข้ึน

ความไว้วางใจ

ความไวว้ างใจ (trust) เป็นตวั แปรอีกตวั หน่ึงท่ีมีอิทธิพลต่อระดบั ของการเกิดความขดั แยง้
ความไวว้ างใจคนอ่ืนหมายความวา่ มีความคาดหวงั คาพดู สัญญา การกระทาของคนอื่นจะเชื่อถือได้
หรือเขาจะทาตามที่เขาพูดวา่ เขาจะทา และความไวว้ างใจน้นั เป็นความคาดหวงั วา่ เขจะทาในส่ิงที่
เป็นคุณมากกวา่ เป็ นโทษ ความไวว้ างใจเกี่ยวขอ้ งกบั การกระทาที่แสดงอาการเมตตากรุณา ดงั น้นั
ความขดั แยง้ จึงถูกแกไ้ ขไดโ้ ดยยาก ถา้ หากท้งั สองฝ่ ายขาดความไวว้ างใจต่อกนั คนเราน้นั เมื่อไม่
ไวว้ างใจใครแลว้ กย็ ากท่ีจะเปลี่ยนความคิด เพราะความไม่ไวว้ างใจจะนาไปสู่การรับรู้วา่ คน ๆ น้นั
จะไมซ่ ื่อ จะหกั หลงั หรือข่มขู่ ซ่ึงการรับรู้เช่นน้ีจะนาไปสู่ความไมไ่ วว้ างใจมากยงิ่ ข้ึน ใครท่ีเคย
แสดงอาการไมซ่ ื่อต่อเราจึงเป็นการยากที่เราจะไวว้ างใจคนน้ี แตค่ น ๆ น้ีมกั จะคิดวา่ ตนอาจแกต้ วั ได้
ในอนาคต ความขดั แยง้ ทาใหค้ นเกิดทศั นะคติท่ีไม่ดีต่อกนั และเป็นการสร้างความพร้อมท่ีจะไม่
ไวว้ างใจกนั

เมื่อเกิดความไม่ไวว้ างใจข้ึน สภาพการณ์เช่นน้ีมกั จะยงั คงอยตู่ อ่ ไป วธิ ีการลดสภาพของ
ความไม่ไวว้ างใจอาจทาไดโ้ ดยผกู้ ระทาความผดิ สารภาพและแสดงความเสียใจในเหตุการณ์ท่ี
เกิดข้ึนดงั จะเห็นตวั อยา่ งจากประธานาธิบดีที่มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา เช่น จอร์ช วอชิงตนั อบั รา
ฮมั ลินคอลน์ และแฮรี ทรูแมน ที่เยเกี่ยวขอ้ งกบั สถานการณ์ท่ีทาใหเ้ กิดความไวว้ างใจ แต่ท่านเหล่าน้ี
ไดข้ ออภยั ตอ่ สาธารณชนและยอมรับคาติเตียน สภาวการณ์ของความไมไ่ วว้ างใจก็ลดลงไปในทาง
ตรงกนั ขา้ มกม็ ีประธานาธิบดีบางทา่ นที่ลดความเช่ือถือเพราะไปเก่ียวขอ้ งกบั เหตุการณ์ท่ีน่าสงสัย
และไม่ไดแ้ สดงความเสียใจต่อเหตุการณ์น้นั ๆ เช่น ประธานาธิบดีจอห์นสนั ไม่ยอมรับวา่ ตนเอง

65

ตดั สินใจผดิ พลาดในกรณีสงครามเวยี ดนาม ท้งั ๆ ท่ีมีหลกั ฐานพอสมควรที่เป็นผลของความ
ผดิ พลาดน้นั ประธานาธิบดีนิกสนั ก็เป็นอีกตวั อยา่ งหน่ึงท่ีปฏิเสธการยอมรับผดิ ในกรณีวเิ ตอร์เกท

การส่ือสาร

ถา้ หากเราสงั เกตพฤติกรรมของเด็กเมื่อเวลาทะเลาะกนั เด็กมกั จะพูดวา่ “ฉนั จะไม่พดู กบั เธอ
อีกแลว้ ” ความขดั แยง้ ทาใหท้ ้งั สองฝ่ ายแยกออกจากกนั และลดการสื่อสารระหวา่ งกนั ลงในหลาย
กรณีการไมส่ ่ือสารระหวา่ งกนั ทาใหไ้ ม่สามารถแกไ้ ขความขดั แยง้ ได้ การสื่อความหมายไม่เพียงแต่
จะช่วยใหท้ ้งั สองฝ่ ายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกนั ยงั จะช่วยใหไ้ ดข้ อ้ มูลเกี่ยวกบั เจตนาและ
ความหมายของพฤติกรรมท่ีแสดงออกดว้ ย สิ่งน้ีเป็นเรื่องสาคญั มากเพราะโดยธรรมชาติแลว้ คู่
ขดั แยง้ มกั มีทศั นคติท่ีไมม่ ีต่ออีกฝ่ ายหน่ึง ดงั น้นั การส่ือความหมายที่เหมาะสมจะช่วยใหล้ ดระดบั
ของความขดั แยง้ ได้ ในทางตรงกนั ขา้ มถาความขดั แยง้ เตม็ ไปดว้ ยบรรยากาศ ของความไมไ่ วว้ างใจ
กนั การแลกเปล่ียนการส่ือสารกจ็ ะมีแตค่ วามหวาดระแวงกนั ไมเ่ ช่ือใจกนั พยายามบิดเบือนขอ้ มูลใน
การส่ือสารเพ่ือประโยชน์ของฝ่ ายตน การส่ือสารก็จะขาดประสิทธิภาพทาใหค้ วามขดั แยง้ ขยายเพิม่
มากข้ึน อุปสรรคส์ าคญั ในการสื่อสาร ไดแ้ ก่ ช่องทางของการส่ือสารจากระดบั บนลงมาระกบั ล่าง
และจากระดบั ล่างข้ึนไประดบั บน อุปสรรคท์ ่ีสาคญั ยง่ิ อีกอยา่ งหน่ึงก็คือ ความแตกต่างของค่านิยม
ของทศั นคติระหวา่ งผสู้ ่งและผรู้ ับข่าวสารซ่ึงยากท่ีจะแกไ้ ข

องค์การทม่ี หี ลายระดบั

ในองคก์ ารนอกจากจะมีหลายฝ่ ายตามสายงานแลว้ แต่ละฝ่ ายก็ยงั แบง่ ออกเป็นหลายระดบั
อีกดว้ ย การส่ือสารตา่ งระดบั และหลาย ๆ ช้นั ทาใหโ้ อกาสท่ีการส่ือสารจะถูกบิดเบือนมี
คอ่ นขา้ งมาก ไม่วา่ จะเป็ นการสง่ั การ การมอบอานาจหรือการรายงาน นอกจากน้นั องคก์ ารที่มีหลาย
ระดบั ยงั เป็นผลทาใหต้ าแหน่งต่าง ๆ กแ็ ตกต่างกนั ออกไป คนในระดบั ล่างจะมองเห็นวา่ คนใน
ระดบั บนสบาย งานเบา มีผลประโยชน์ ความขดั แยง้ ท่ีเกิดจากคนตา่ งระดบั กนั กจ็ ะขยายตวั ข้ึน คน
ในระดบั ล่างจะรวมกลุ่มกนั เพื่อตอ่ สู้กบั คนในระดบั บน หรือรวมกลุ่มเพื่อจะพทิ กั ษส์ ิทธิที่จะพึงมีพงึ
ไดข้ องพวกตนลกั ษณะขององคก์ ารท่ีมีหลายระดบั จะส่งผลใหค้ วามขดั แยง้ ขยายตวั ข้ึน

ความต้องการการเหน็ เอกฉันท์

หากบุคคลที่มีความร่วมมือกนั ทางานและตอ้ งการความเห็นเอกฉนั ทก์ ่อนจะลงมือทางานท่ี
จะทาคงเริ่มตน้ ไดย้ าก เพราะบุคคลตา่ งกม็ ีแนวคิด เป้าหมายและทกั ษะในการทางานต่างกนั เมื่อเร่ิม
ดาเนินงานไปแลว้ เกิดมีความเห็นไมต่ รงกนั มีความขดั แยง้ เกิดข้ึน การหาขอ้ ยตุ ิท่ีเป็นความเห็นเป็ น
เอกฉนั ทท์ ุกคนเห็นดว้ ยน้นั คงจะเป็นไปไดย้ าก วธิ ีท่ีจะอาจทาไดค้ ือฟังความเห็นของคนส่วนใหญ่
แต่คนส่วนนอ้ ยกม็ องเห็นวา่ กลุ่มไมเ่ ห็นความสาคญั ของตน พวกตนไมม่ ีคา่ ความขดั แยง้ ก็จะขยายตวั
ข้ึน การบริหารการศึกษาในปัจจุบนั หากตอ้ งการเป้าหมายและวธิ ีการท่ีเป็นเอกฉนั ท์ แลว้ คงจะ

66

บริหารงานดว้ ยความยากลาบาก คงไม่มีคนฉลาดคนใดที่จะพยายามทาอะไรที่ถูกใจทุกคน คนท่ี
ฉลาดจะพยายามทาอะไรตามเสียงส่วนใหญ่

กฎทถี่ ูกบังคบั ให้ปฏบิ ัติ

หากทุกคนตอ้ งงปฏิบตั ิตามกฎอยา่ งเขม้ งวดแลว้ คนท่ีมีความคิดริเร่ิมสร้างสรรคก์ ไ็ มอ่ ยาก
ทางานเพราะความคิดริเร่ิมของตนอาจไมข่ ดั แยง้ กบั กฎ ทาใหต้ นอาจถูกลงโทษ ผบู้ ริหารบางคน
เคร่งครัดกบั กฎระเบียบ เอาระเบียบเป็นขอ้ อา้ งเพ่ือตนเองจะไมต่ อ้ งทา หรืออา้ งระเบียบเพ่ือมิใหค้ น
อ่ืนทา คนท่ีปฏิบตั ิตามระเบียบอยา่ งเคร่งครัด ยอ่ มประกนั ไดว้ า่ จะไม่ถูกสอบสวนทางวนิ ยั แต่ก็ไมม่ ี
อะไรประกนั วา่ งานที่ทาจะมีประสิทธิภาพ คนท่ีไม่ยดึ กบั ระเบียบมากนกั อาจมีความคิดสร้างสรรค์ มี
ผลงานดีเด่น สร้างงานที่มีคุณภาพ คนที่ไมย่ ดึ กบั ระเบียบมากนอ้ ยอาจมีความคิดสร้างสรรค์ มีผลงาน
ดีเด่น สร้างงานที่มีคุณภาพ แต่อาจถูกสอบสวนทางวินยั ในขอ้ หาท่ีไม่ปฏิบตั ิตามกฎระเบียบ ในการ
บริหารการศึกษาไทยในทุกวนั น้ี คนที่ปฏิบตั ิตามระเบียบอยา่ งเคร่งครัดคงหาไดไ้ มย่ ากนกั แต่คนท่ีมี
ความคิดริเริ่มสร้างสรรคก์ ็อาจหาไดไ้ ม่ง่ายเช่นกนั กฎระเบียบต่าง ๆ จะมีประสิทธิภาพหรือไมข่ ้ึนอยู่
กบั ความร่วมมือของผปู้ ฏิบตั ิ หากผปู้ ฏิบตั ิไมร่ ่วมมือในการปฏิบตั ิตามกฎ ตามระเบียบแลว้ กฎ
ระเบียบเหล่าน้ีกจ็ ะไม่มีความหมาย ไมว่ า่ จะใชม้ าตรการในการลงโทษอยา่ งไรก็ตาม ตวั อยา่ งที่เห็น
ไดช้ ดั เจนคือการขายพวงมาลยั หนงั สือพิมพ์ หรือผา้ เช็ดรถตามส่ีแยกเกิดข้ึนและถูกขวู่ า่ จะใชก้ ฎ
อยา่ งเคร่งครัด ยอ่ มส่งผลใหค้ วามขดั แยง้ ขยายตวั เพิม่ มากข้ึน

ความขดั แย้งเดมิ ทย่ี งั ไม่ได้แก้ไข

การที่ผบู้ ริหารละเลย เพิกเฉย ไมส่ นใจจะแกไ้ ขปัญหาความขดั แยง้ ท่ีมีอยู่ อาจโดยไม่ทา
อะไรหรือพยายามผลดั ไวก้ ่อน หรือรีรอไวก้ ่อน (delay tactics) โดยหวงั วา่ ความขดั แยง้ จะลดลงหรือ
แกป้ ัญหาโดยตวั มนั เองเม่ือเวลาผา่ นเลยไป วธิ ีการ่นน้ีนอกจากจะทาใหเ้ กิดความขดั แยง้ สะสมเพ่มิ
มากข้ึนแลว้ ยงั ก่อใหเ้ กิดความขดั แยง้ อยา่ งใหม่ท่ีเกิดข้ึนดว้ ย หรือการแกไ้ ขขอ้ ขดั แยง้ ในคร้ังก่อนทา
ใหค้ นมีทศั นคติในทาลบ ไม่พอใจกบั ส่ิงท่ีตนไดร้ ับจะเร่งทาใหค้ วามขดั แยง้ อยา่ งใหม่เกิดข้ึนและ
เกิดข้ึนบอ่ ย ๆ

67

คาถามท้ายบท

1. คาร์ล มากซ์ (Karl Marx) เชื่อวา่ ความขดั แยง้ เป็นเคร่ืองมือในการวเิ คราะห์ดา้ นอะไร
2. ความขดั แยง้ ระหว่างสองฝ่ ายแสดงให้เห็นถึงลกั ษณะความสัมพนั ธ์ของท้งั สองฝ่ าย เป็ นแนวคิด
ของนกั คิดท่านใดและมีลกั ษณะอยา่ งไร
3. จงอธิบายหนงั สือชื่อ The Functional of Social Conflict ของนกั คิดท่านใดและมีลกั ษณะอยา่ งไร

68

เอกสารอ้างองิ

ชานน์ จิตรดิลก. การเมืองในองค์การ. กองทุนอนุรักษแ์ ละเผยแพร่หนงั สือภาษาไทย
วชิ ยั โถสุวรรณจินดา. (2539). หัวหน้างานยุคใหม่. บริษทั ดีไลน์ จากดั .
วจิ ิตร วรุตบางกรู . การจัดการกบั ความขดั แย้ง. คุรุบริทศั น์ กระทรวงศึกษาธิการ.
ธงชยั สันติวงษ.์ (2537). พฤติกรรมองค์การ. บริษทั โรงพิมพ์ ไทยวฒั นาพานิช จากดั .


Click to View FlipBook Version